Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1] 2 3 ... 12   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: read news  (อ่าน 10470 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 03:57:14 PM »

ฮือฮา หนุ่มอังกฤษจับปลาน้ำจืดยักษ์ น้ำหนักเท่า 160 ปีก่อน



ขอขอบคุณภาพประกอบจาก flyforums.co.uk
 
            วันที่ 30 มีนาคม เว็บไซต์เดอะซันของอังกฤษ รายงานว่า นายแอนดี้ โอ คอนเนอร์ อายุ 20 ปี สร้างความฮือฮาหลังสามารถจับปลาน้ำจืดหนักถึง 46 ปอนด์ หรือประมาณ 20.6 กิโลกรัม ได้ที่ทะเลสาบเวคแฮม ใกล้กับเมืองสการ์โบโร่ห์ อีสยอร์ก ประเทศอังกฤษ
 
            โดยรายงานระบุว่า สถิติดังกล่าวเทียบเท่าการจับปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอังกฤษเมื่อ 160 ปีก่อน ที่เคยทำได้โดยนายวิคแฮม แว็กเกอร์ เมื่อปี 1822 ที่เมืองสแตฟฟอร์ดไชร์ ซึ่งมีน้ำหนักของปลาเท่ากันที่ 46 ปอนด์ หรือประมาณ 20.6 กิโลกรัม ทั้งนี้ นายแอนดี้ กล่าวว่า ตอนแรกที่เขาตกปลาอยู่ เขารู้สึกได้ว่า เบ็ดตกปลาเขาน่าจะไปเกี่ยวกับอะไรใหญ่ ๆ จนกระทั่งมันมาติดตาข่ายนั่นแหละถึงได้รู้ว่ามันเป็นปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่มาก เขาใช้เวลาประมาณ 15 นาทีในการนำปลาตัวนี้ขึ้นฝั่ง
 
            อย่างไรก็ตาม นายแอนดี้ กล่าวต่อว่า เขารู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถทำลายสถิติการจับปลาน้ำจืดใหญ่ที่สุดของประเทศได้ เพราะปลาตัวที่เขาจับได้นี้มีน้ำหนักเท่ากับปลาที่นายวิคแฮมจับได้ แต่ครั้งหน้าเขาจะพยายามจับปลาที่มีน้ำหนักมากกว่านี้ เพื่อทำลายสถิติให้ได้

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 03:58:17 PM »

ยอดคุณพ่อวัย 60 พาลูกชายพิการพิชิตการแข่งขันไตรกีฬา



ที่ผ่านมาในชีวิต....คุณเคยคิดว่า "ทำไม่ได้" มาแล้วกี่ครั้ง? 


         "งานที่ได้รับมอบหมายยากเกินไป"


         "ทำข้อสอบไม่ได้เลย"


         "ตื่นเช้าไม่ไหว"


         "ขี้เกียจออกกำลังกายจังเลย"


         "ก็อยากลดน้ำหนักอยู่หรอกนะ แต่ทรมานเกิน"


         เรามักพูดว่าเราไม่ใช่ "คนพิเศษ" ที่มี "ความสามารถพิเศษ" ดังเช่น ดารา นักกีฬา หรือ นักวิชาการ ดังนั้น คงไม่แปลกอะไรถ้าเราจะมีสิ่งที่เราจะทำไม่ได้ แต่ความคิดเช่นนั้น คงไม่เหลืออยู่หลังจากคุณได้รับรู้เรื่องของพ่อลูกคู่นี้ 


         "ผมกับลูกจะไปแข่งไตรกีฬากัน" ฉันเกือบหัวเราะใส่หน้าสามีตอนที่เขาพูดคำคำนี้ออกมา


         ฉันมีเหตุผลที่จะหัวเราะก็คือ สามีของฉันอายุหกสิบกว่าแล้ว การจะไปแข่งขันไตรกีฬาสุดโหดที่ประกอบด้วยการวิ่งมาราธอน การว่ายน้ำในทะเล และการปั่นจักรยาน ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ของคนวัยเกษียณ


         "ฉันคิดว่าคุณแก่เกินไป"


         "มันไม่ใช่ไอเดียของผมนะ"


         "ลูกอยากไปแข่งหรือ" ฉันถามเบา ๆ ถึงลูกชายอายุสี่สิบกว่า


         "ใช่"


         "แล้วคุณจะไปแข่งด้วยกัน"


         "ใช่"


         "ทำไม"


         "จำวันที่เราพาเขาออกจากโรงพยาบาลได้ไหม คุณบอกผมว่าลูกแรงเยอะ ถีบคุณจนเจ็บท้องไปหมด ผมเลยคิดว่าลูกคงทำให้ผมชนะแน่" ฉันยิ้มให้


         "ลูกอายุสี่สิบกว่าเนี่ยแข็งแรงพอจะพยุงคนอายุหกสิบกว่าอย่างผมแน่ คุณว่าไหม"


         "ค่ะ" ฉันตอบรับ แม้จะรู้ดีว่าความจริง มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย
 
          มันตลกดีที่ชายแก่อายุหกสิบจะแข่งไตรกรีฑาคู่กับลูกชายวัยสี่สิบกว่า และพวกเขาไม่เคยหยุดที่จะแข่งมัน อาจจะอย่างที่เขาบอก "ลูกแข็งแรงพอที่จะพยุงเขา" จนถึงตอนนี้พวกเขาแข่งด้วยกันร่วมพันรายการแล้ว พวกเขาวิ่งไปพร้อมกันเสมอ ว่ายน้ำไปพร้อมกันเสมอ และขี่จักรยานคันเดียวกันเสมอ พวกเขาวิ่งด้วยขาเพียงสองข้างร่วมกันเสมอ ว่ายน้ำด้วยแขนเพียงสองข้างเสมอ และขี่จักรยานด้วยสองเท้าถีบร่วมกันเสมอ คุณอ่านไม่ผิดหรอก พ่อลูกคู่นี้มีแขนรวมกันเพียงสองแขนและมีขารวมกันเพียงสองข้าง และทั้งหมดนั้นอยู่ที่ชายชราวัยหกสิบปีคนเดียว
 
          หมอแนะนำเราตั้งแต่ตอนที่ลูกอายุได้แปดเดือนว่า "คุณควรปล่อยเขาไปซะ" เพราะลูกของเราสมองพิการแต่กำเนิดเนื่องจากถูกสายสะดือพันคอ ออกซิเจนไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ทัน และทำให้เขาเป็นเพียงร่างกายที่มีลมหายใจเท่านั้น ตอนนั้นฉันพูดเพียงประโยคสั้น ๆ ว่า "แต่ตอนที่เขายังอยู่ในท้อง เขายังถีบฉันแรงมาก" สามีของฉันจึงตัดสินใจว่าเราจะพาเขากลับบ้าน และบอกกับฉันว่าวันหนึ่งเขาจะแสดงให้ฉันเห็นว่าลูกกลับมามีแรงได้อย่างนั้นอีกครั้ง และวันนี้ไม่ว่าเขาจะไปแข่งอยู่ที่ซีกโลกไหน เขาก็พาลูกเข้าเส้นชัยและบอกฉันเสมอ


          (แรงบันดาลใจจาก TEAM HOYT พ่อและลูกผู้พิการทางสมองที่แข่งกรีฑามาแล้วร่วมพันรายการ)

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 04:10:41 PM »

กูเกิลเปิด Google Street View ใช้งานในไทยได้แล้ว





ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Googlethailand, Google Maps
 
          Google Maps อีกหนึ่งบริการเด่นของกูเกิลที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย ที่ช่วยให้เราสามารถดูแผนที่ในรูปแบบภาพถ่ายจากดาวเทียม และสำหรับประเทศไทยเพื่อให้การใช้งานบริการแผนที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยจาก Google Maps เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น Google ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ถ่ายรูปเส้นทางต่าง ๆ และสถานที่สำคัญในประเทศไทยมาทำเป็น Street View ลงเว็บไซต์แผนที่ Google Maps โดยถ่ายภาพอุปกรณ์ถ่ายภาพแบบเคลื่อนที่ โดยติดตั้งบนรถยนต์ รุ่น Subaru Impreza จำนวน 15 คัน ขับตระเวณขับไปตามเส้นทางถนนต่าง ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย โดยรูปภาพที่ได้จากภาพมุมมอง Google Street View นั้นเป็นภาพรอบ ๆ ถนนที่สามารถชมได้แบบ 360 องศา ซึ่งในปัจจุบันบริการ Google Street View นั้นมีให้บริการแล้วกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

          ล่าสุดในประเทศไทยสามารถใช้งาน  Google Street View ได้แล้ว โดยสามารถเข้าไปใช้งานผ่านทาง maps.google.com สำหรับ Google Street  View ขณะนี้สามารถดูเฉพาะในกรุงเทพฯ, ปริมณฑล จังหวัดเชียงใหม่ และเส้นทางจากกรุงเทพลงสู่ภาคใต้ จนถึงจังหวัดภูเก็ตทั้งจังหวัด ที่สามารถใช้งาน Google Street View ได้ และคาดว่าเส้นทาง รวมถึงสถานที่อื่น ๆ ในจังหวัดอื่น ๆ คงทะยอยอัพเดทเร็ว ๆ นี้ 



Google Street View Thailand
       
วิธีการใช้งาน Google Street View Thailand

 1. ให้เราเข้าไปยังเว็บไซต์ http://maps.google.com
 2. จะมีสัญลักษณ์ตุ๊กตา   สีส้มที่อยู่ทางซ้ายของแผนที่

 3. ให้เราลากไอคอนตุ๊กตาสีส้ม จากทางด้านซ้ายของแผนที่ไปยังถนน จังหวัด เมืองที่ต้องการที่เป็นเส้นไฮไลท์สีฟ้า

 4. จากนั้นรูปภาพ Street View จะแสดงรูปขึ้นมา เราดูภาพแบบ 360 องศา โดยใช้เมาส์หมุนภาพไปรอบ ๆ ได้ หากต้องการเลื่อนไปยังตำแหน่งอื่น ให้ลากตุ๊กตาสีส้ม จากแผนที่เพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง ดูรูปประกอบด้านล่าง

วิธีการใช้งาน Google Street View Thailand บนมือถือ iPhone และ Android

 1. เปิดแอพฯ Maps (แผนที่) บน iPhone หรือ Android

 2. เลือกสถานที่ ที่ต้องการดูแบบ Street View โดยการแตะที่หน้าจอบริเวณสถานที่ที่ต้องการค้างไว้ จากนั้นจะมีหมุดสีม่วง (Dropped Pin) มาปักยังตำแหน่งที่เราเลือก ให้แตะที่ไอคอนรูปคนสีส้ม เพื่อชมแบบ Street View หากไอคอนรูปคนเป็นสีส้มจาง ๆ แสดงว่าไม่สามารถดูแบบ Street View ได้



3. ใช้มือแตะที่หน้าจอเพื่อซูมและหมุนภาพ 360 องศาได้ตามต้องการ ซึ่งจะเหมือนกับการใช้งานผ่านเว็บ



ภาพจาก Google Street View Thailand บริเวณ The Mall งามวงศ์วาน


 4. สำหรับผู้ที่ใช้งานมือถือยี่ห้ออื่น ๆ เช่น Nokia, BlackBerry เป็นต้น สามารถใช้งานได้โดยดาวน์โหลดแอพฯ Google Maps ติดตั้งลงบนมือถือ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ m.google.co.th/maps  บนมือถือ

ตัวอย่างภาพจาก  Google Street View Thailand บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ตัวอย่างภาพจาก Google Street View อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต


สำหรับใครที่อยากทราบว่าจังหวัด สถานที่ใดก็ตาม ถูกแสดงบน Google Street View แล้วหรือไม่ สามารถตรวจสอบได้จาก Google Maps Street View เพียงเท่านี้เราก็จะทราบแล้วว่าพื้นที่ไหน จังหวัดไหน มีการอัพเดทของ Google Street View แล้วบ้าง


ลองเล่นดูค่ะเหมือนยืนอยู่หน้าบ้านเลยขอบอก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 08:59:13 PM »

บริษัทเรือสำราญอิตาลีระบุ กัปตัน “พลาด” จนเกิดอุบัติเหตุ


















บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 09:05:09 PM »


ปรากฏการณ์ปลาเฮริงเกยตื้นมหาศาล ทางตอนเหนือของประเทศนอรเวย์
ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้...



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 17, 2012, 08:27:13 PM »

โจชิซึ ซูชิ อาหารญี่ปุ่นน้องใหม่มาแรง


อาหารญี่ปุ่นนับเป็นสุดยอดอาหารต่างชาติที่ถูกใจคนไทย จนกลายมาเป็นอาหารยอดฮิตที่มีร้านเปิดขึ้นมากมาย วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ พาไปแนะนำร้านอาหารญี่ปุ่นน้องใหม่ ที่เปิดบริการได้ไม่นานก็เข้าไปอยู่ใจคนรักอาหารญี่ปุ่นทันที ด้วยคุณภาพอาหารและบรรยากาศร้านที่ ร้าน Joushitsu Sushi (โจชิซึ ซูชิ)

โจชิซึ ซูชิ ตั้งอยู่ใน เอกมัย ซอย 2 เดินทางไปง่ายเพียงนั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส มาลงที่สถานีเอกมัย จากนั้นสามารถเดินต่อจนร้านได้ทันที เพราะอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้ามากนัก สำหรับใครที่ต้องการนำรถส่วนตัวไป บริเวณด้านหน้าร้านมีลานจอดรถไว้คอยบริการลูกค้าเช่นกัน

ภายในร้านโจชิซึ ซูชิ ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น เข้ามาในร้านแล้วเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในประเทศญี่ปุ่นโดยไม่รู้ตัว เพราะมีบริกรสาวใส่ชุดกิโมโนคอยต้อนรับตั้งแต่หน้าประตู พร้อมเหล่าเชฟหนุ่มที่ยืนเรียงรายด้านหลังเคาเตอร์บาร์ พร้อมกล่าวคำทักทายต้อนรับเป็นภาษาญี่ปุ่น

มองไปรอบร้านจะเห็นการจัดวางโต๊ะที่เรียบง่าย ไว้รองรับทั้งคนที่มาเป็นคู่ หรือมาเป็นกลุ่ม มีบริการห้องส่วนตัว 3 ห้อง สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในมื้ออาหาร และยังมีเก้าอี้นั่งด้านหน้าบาร์ซูชิ ที่สามารถมองเห็นบรรดาเชฟทำอาหารได้อย่างชัดเจน เป็นมุมยอดนิยมสำหรับคนที่ชอบมาทานอาหารคนเดียว เพราะสามารถเพลิดเพลินไปกับฝีมือเชฟระหว่างรออาหารโดยไม่เบื่อ

สำหรับรสชาติและคุณภาพอาหารที่ โจชิซึ ซูชิ การันตีด้วยเชฟใหญ่มากฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญในแวดวงอาหารมายาวนานกว่า 20 ปี โดยเชฟจะคิดค้นเมนูแปลกใหม่มานำเสนออยู่เสมอ เพื่อเอาใจลูกค้าทั้งขาประจำและขาจร คัดสรรวัตถุดิบชั้นเยี่ยมมารังสรรค์อาหารทุกเมนูอย่างพิถีพิถัน คนชอบทานปลาดิบและซูชิ รับรองว่าต้องติดใจ เพราะที่นี่มีหลากหลายเมนูปลาดิบและซูชิไว้ให้ลิ้มลองรสชาติ อีกทั้งยังมีเมนูสลัดสูตรเฉพาะของทางร้านไว้เอาใจคนรักสุขภาพอีกด้วย

โจชิซึ ซูชิ ตั้งอยู่ที่ ซอยเอกมัย 2 ถนนเอกมัย เข้าซอยไปประมาณ 200 เมตร จะเห็นร้านอยู่ทางด้านขวามือ เดินทางง่ายเพียง นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอส ลงสถานีเอกมัย เปิดบริการทุกวัน 2 ช่วงเวลา ตั้งแต่เวลา 11.30-14.30 น. และ 18.00-23.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0 2714 3984 , 0 2714 1551 หรือ www.facebook/JoushitsuSushi.com


thanks
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 17, 2012, 08:30:07 PM »

ไขปริศนาการกำเนิด“ฉลามพันธุ์ใหม่”ในโลก!


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีข่าวคราวการค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ ๆ จากทั่วทุกมุมโลกเป็นประจำ และในปี 2012 ก็เช่นกัน โดย “ฉลาม” กลับมาเป็นข่าวฮือฮาอีกครั้งหลังจากออสซี่พบ “พันธุ์ใหม่” ครั้งแรกในโลก ผสมระหว่างครีบดำกับธรรมดา การค้นพบนี้ถือเป็นกระบวนการแต่โบราณ หรือ ปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน โอกาสเกิด “ฉลามพันธุ์ผสม” ในประเทศอื่นรวมถึงไทยเป็นไปได้หรือไม่ จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศท้องทะเลอย่างไร หรือ ธรรมชาติกำลังจะส่งสัญญาณอะไรถึงมนุษย์ วันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” พาไปรู้จักข้อเท็จจริงของเหล่าฉลามกัน

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายถึง ลักษณะทั่วไปของฉลาม ว่า เป็นปลาในชั้นปลากระดูกอ่อน แบ่งได้หลายอันดับ หลายวงศ์ และหลายชนิด ปัจจุบันพบประมาณ 400 ชนิดทั่วโลก มีขนาดลำตัวแตกต่างกัน โดยฉลามวาฬใหญ่ที่สุดในโลก ความยาวประมาณ 15 เมตร ส่วนพวกฉลามหนู ฉลามกบ เล็กที่สุด ความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร

“ฉลามทุกชนิดกินเนื้อล่าสัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ แต่มีบางพวกกินแพลงก์ตอน เช่น ฉลามวาฬ ทั้งนี้ ฉลามที่มีรายงานว่าทำอันตรายกับมนุษย์มีประมาณ 20 ชนิด จาก 300 กว่าชนิด เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่าฉลามทุกตัวจะกินคน เพราะส่วนใหญ่มีขนาด 1-2 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่จริง ๆ ไม่มากนัก ในกรณีอื่น ๆ อาจเกิดจากความเข้าใจผิด เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่เหยื่อตามธรรมชาติ ยกตัวอย่าง ฉลามขาว อยู่ในทะเลน้ำเย็น กินแมวน้ำเป็นหลัก เมื่อพบคนมาว่ายน้ำ โดยเฉพาะที่อยู่บนกระดานโต้คลื่น มองจากด้านล่างเห็นเป็นเงาดำ มันจึงเข้าใจว่าเป็นแมวน้ำ เป็นต้น



ฉลามส่วนใหญ่ว่ายน้ำในอัตราเร็วคงที่ประมาณ 5 นอต 10 นอต หรือ 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่บางจังหวะ เช่น จู่โจม หรือ พุ่งเข้าใส่ อาจจะได้ 20 นอต หรือ 30-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง นอกจากนั้น ฉลามออกลูก 3 แบบ อย่างแรกคือ ออกลูกเป็นไข่ โดยนำไข่มาติดกับพื้นจนฟักเป็นตัว อย่างที่สองคือ ออกลูกเป็นตัว ครั้งละ 7 ตัว 10 ตัว 30 ตัว และสุดท้ายคือ ออกเป็นไข่ แต่ไข่อยู่ในท้อง เมื่อฟักเป็นตัวจึงว่ายออกมาจากท้อง ประมาณ 5-10 ใบ กรณีนี้บางครั้งอาจกินกันในท้องด้วย ทั้งนี้ ตัวผู้จะมีเดือย 2 อัน ตรงบริเวณท้อง ใกล้ ๆ โคนหาง เห็นได้ชัด”

สำหรับกรณีพบฉลามพันธุ์ใหม่ครั้งแรกในโลก ในทะเลนอกชายฝั่งทางตะวันออกของออสเตรเลียนั้น ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าวว่า พันธุ์ของมันใกล้กันมาก สายพันธุ์นี้คือฉลามครีบดำ ในเมืองไทยก็มี แต่ที่ออสเตรเลียมีทั้งน้ำร้อน และน้ำเย็น บางกลุ่มก็ลงไปอยู่ในเขตหนาว เขตทะเลเย็น ซึ่งอาจจะอยู่เมื่อหมื่นปี สองหมื่นปี หรือ ห้าหมื่นปีก่อน กลุ่มพวกนี้เลยเริ่มมีความผิดแปลกออกจากกลุ่มแรก แต่จริง ๆ แล้วรากของมันก็คือชนิดเดียวกัน เมื่อเกิดภาวะโลกร้อนขึ้น น้ำร้อนเริ่มทับเข้ามาในน้ำเย็น ฉลามร้อนก็มาเจอฉลามเย็น เริ่มเกิดการผสมพันธุ์กัน ทั้งนี้ ปกติแล้วสัตว์ต่างสายพันธุ์จริง ๆ ผสมพันธุ์ไม่มีทางออกลูกได้ หรือ ออกลูกเป็นหมัน แต่กรณีนี้ยังไม่แน่ใจว่าเป็นหมันหรือไม่ เพราะนักวิทยาศาสตร์เขาไม่ได้บอก นอกจากนี้ เขาบอกว่ามัลติเจเนอเรชัน หมายความว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เกิดวันนี้ พรุ่งนี้ เมื่อวานนี้ แต่เกิดมาเป็นร้อยปีแล้ว ในช่วงที่โลกเริ่มเปลี่ยนภาวะ เมื่อใช้ดีเอ็นเอตรวจสอบก็พบว่ามาจาก 2 กลุ่มนี้ จึงเรียก “ไฮบริด” คือฉลามที่มาจาก 2 กลุ่ม เสร็จแล้วเขาก็เลยใช้เป็นคำพูดบอกว่า เพราะฉะนั้น ภาวะโลกร้อนมันก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับสัตว์หลายกลุ่มแล้ว

“คำถามว่าจะเกิดผลกระทบอะไรกับระบบนิเวศ มันก็มีทางเป็นไปได้หลายทาง เช่น ฉลามไฮบริดอาจอยู่ได้ทั้งร้อน-เย็น เพราะมาจากพ่อแม่ทั้งร้อน-เย็น เพราะฉะนั้น มันอาจจะว่ายน้ำไปไหนก็ได้ อยู่แถวไหนก็ได้ ฉลามรุ่นพ่อแม่เดิมอาจจะโดนพวกใหม่ยึดพื้นที่ไปหมด นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เกิดการคุกคาม หรือ เรียกว่าคุกคามต่อพันธุ์เดิม ก็เป็นไปได้ ซึ่งถ้าเกิดพันธุ์ใหม่มายึดพันธุ์เดิมได้จะเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้ล้านแปด เพราะฉลามเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของระบบนิเวศ เป็นตัวควบคุมปลาอื่น ระบบนิเวศก็อาจจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือ อื่น ๆ อีกมาก มาถึงคนอาจจะทำให้ปลาในแหล่งหาปลาเดิมแถวนั้นหายไป ไม่มีปลากิน เพราะฉลามพันธุ์นี้มาไล่ ซึ่งอาจจะต่อเนื่องกันได้ เป็นต้น สำหรับฉลามไฮบริดในประเทศไทย เป็นไปได้ว่าคงไม่เกิด เนื่องจากเป็นลักษณะของน้ำร้อน-น้ำเย็น ส่วนโอกาสที่จะพบในสัตว์ หรือ พืชพันธุ์อื่น ๆ นั้น ที่เห็นชัดคือเขตหนาว เพราะความร้อนจะรุกขึ้นข้างบน เขตหนาวจะน้อยลง พวกนั้นจะเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่ามันเป็นอีกหนึ่งในสัญญาณที่กำลังบอกว่าโลกกำลังเปลี่ยน และการเปลี่ยนเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อนจากพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นพายุแรงขึ้น ฝนตกเยอะขึ้น อุทกภัยมากขึ้น แม้กระทั่งฉลามดันมีไฮบริดชาร์ค เพราะฉะนั้น ภัยภาวะโลกร้อนถามว่ามันน่ากลัวไหม มันไม่ใช่ภาวะที่กำลังจะมา แต่มันเข้ามาแล้ว สิ่งที่ควรจะต้องทำกันตอนนี้ก็คือ วางแผนในการรับมือภัยธรรมชาติ และวิธีการสำคัญที่สุดก็คือ ต้องพยายามหาธรรมชาติมาช่วย อย่างน้อยที่สุดเรามีต้นไม้ มีอะไรอยู่รอบ ๆ ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย ปล่อยโล่ง ๆ แห้ง ๆ พายุเข้าเกิดน้ำหลาก ดินถล่มก็ยังมีต้นไม้ช่วยประคอง-ลด มีแต่ธรรมชาติที่กั้นธรรมชาติได้ เพราะฉะนั้น สิ่งจำเป็นที่ต้องทำเร่งด่วนคือรักษา และฟื้นฟูธรรมชาติ เริ่มง่าย ๆ แค่รอบบ้าน รอบหมู่บ้าน หรือ รอบที่ทำงาน แล้วมันก็จะขยายไปเรื่อย ๆ ด้วยการนำธรรมชาติมาเป็นเกราะป้องกันธรรมชาติ”.

thanks
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 18, 2012, 07:20:28 PM »

นักวิทยาศาตร์ งง!! ธารน้ำแข็งกำลังเกิดขึ้นในเอเชีย


ภาพถ่ายดาวเทียมที่บันทึกโดยดาวเทียมของฝรั่งเศส แสดงให้เห็นเทือกเขาน้ำแข็งทางตะวันตกของเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ คาราโครัม(Karakoram)เชื่อมพรมแดนจีน-ปากีสถาน และอินเดีย การพบดังกล่าวสร้างความงุนงงแก่นักวิทยาศาสตร์ เพราะเกิดขึ้นสวนกระแสกับธารน้ำแข็งส่วนอื่นๆ ที่กำลังละลายไป

ทั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัย เกรนโนเบิล กำลังศึกษาจากภาพที่เกิดขึ้น ซึ่งอุปสรรคก็คือ พื้นที่แห่งนี้ยังไม่สามารถเข้าถึงได้

จากการศึกษาที่ผ่านมา ในพื้นที่หนาวเย็นอื่นๆทั่วโลกมีลักษณะคล้ายคลึงกับพื้นที่ คาราโครัม ที่จะเพิ่มมวลน้ำแข็งอย่างต่อเนื่อง และมีการตรวจวัดทางอุตุนิยมวิทยาแสดงว่าเกิดฤดูหนาวยาวนานขึ้น

ธารน้ำแข็ง Karakoram ยังพบสิ่งผิดปกติคือ เป็นพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยชั้นหินที่หนา แต่มีการละลายและการเพิ่มมวลของพื้นผิวที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เกิดเป็นธารน้ำแข็ง

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษา ว่าเหล่านี้ เป็นผลที่เกิดจาก อุณหภูมิของโลกที่เปลี่ยนแปลง (global warming)ด้วยหรือไม่ ที่จะกลายมาเป็น global cooling หรืออย่างไร


fw mail
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 18, 2012, 08:23:08 PM »

กำลังใจดี ๆ จากเรื่องเล่าของหนุ่มแขนพิการยอดนักสู้


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ ดนตรีสีแดง



          อาจจะมีบางวันที่เรารู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ หมดหวังกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวันของชีวิต จนบางคนอาจตัดสินใจละทิ้งความฝัน และหยุดเส้นทางเดินนั้นเสีย เมื่อวันใดที่ความรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองบังเกิดขึ้น


          แต่หากใครกำลังมีความคิดเช่นนี้อยู่ เราอยากให้คุณรู้จักกับอีกชีวิตหนึ่งในสังคมไทย ที่คุณ ดนตรีสีแดง นำภาพของเขามาโพสต์ไว้ในเว็บไซต์พันทิป ในกระทู้ที่ว่า "+++ เจอตากล้องคนนึงในงานสงกรานต์... อยากให้เข้ามาอ่านกันนะครับ +++" แล้วจะเข้าใจว่า หัวใจที่เข้มแข็งคือแรงผลักดันให้ชีวิตเดินหน้าได้ต่อไป...




  "ในขณะที่เรากำลังคิดว่าตัวเองทำงานเหนื่อยหรือลำบากไปรึเปล่า... อาจจะมีคนหลาย ๆ คน ที่ลำบากกว่าเราหลายเท่านัก.. วันนี้ผมเจอผู้ชายคนนึง ไม่มีแขนทั้งสองข้าง มีขาข้างเดียว ต้องนั่งวีลแชร์ พี่เค้ายกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป ผมเลยเข้าไปคุยกับพี่เค้า...


          ผม.. พี่ครับ พี่ชอบถ่ายรูปเหรอครับ?

          พี่คนนั้น.. ใช่ครับ นี่ผมก็มาถ่ายเก็บภาพงานให้กับสยามน่ะครับ


          ผมแอบตกใจนิด ๆ แต่ก็ดีใจในเวลาเดียวกัน ที่ยังมีบริษัทที่มีงานมาให้ผู้พิการได้ทำมาหาเลี้ยงชีพ (มารู้ภายหลังว่ามีกฏหมายเกี่ยวกับข้อนี้อยู่)




พี่คนนั้น.. กว่าจะได้ตังค์มา มันก็ต้องเหนื่อยบ้างแหละครับ ไม่มีงานไหนที่ไม่เหนื่อยหรอก (ยิ้ม)

          ..น่าจะเป็นแรงผลักดันให้กับคนที่กำลังท้อแท้ได้ดี เลยนำมาแชร์กันครับ ^^


          ผมไปถ่ายงานนี้สามวัน เจอพี่เค้าทั้งสามวัน พยายามมองว่าพี่เค้าทำงานยังไง เท่าที่พอจะสังเกตเห็น พี่เค้าใช้สองแขนที่ยาวถึงแค่ศอก ประคองกล้อง ใช้จมูกเข้าไปขยับให้กล้องเงยได้องศา และก็ใช้จมูกในการกดปุ่มซูมด้วย ทุกครั้งที่ต้องเปลี่ยนมุมก็ต้องลดกล้องลง เพื่อขยับรถเข็น... กว่าจะได้แต่ละช็อต ผมว่ามันยากมากเลยนะครับ ขนาดผมร่างกายปกติ กว่าจะเบียดเสียดคนเพื่อหามุมถ่ายได้นี่เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน บ่นตลอดเวลาว่าร้อนบ้าง เมื่อยบ้าง ฯลฯ


          แต่พี่เค้าไม่บ่นอะไรให้ผมได้ยินเลย และทำงานด้วยรอยยิ้มเสมอ ยกนิ้วให้เลยครับ ^^"


          ใครที่กำลังท้อใจ เชื่อว่าได้เห็นภาพของพี่คนนี้ ต้องรู้สึกหายเหนื่อย และทำให้รู้ตัวเองว่า ชีวิตของคุณยังมีคุณค่ามากกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 18, 2012, 08:53:40 PM »

รอมานาน ตลาดหุ้นกัมพูชาเปิดซื้อขายวันแรก  โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 เมษายน 2555 16:45 น.



ชน รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง (ที่ 3 จากซ้าย) เตรียมตัวลั่นระฆัง โดยมีนายคิม บอง ซู (ซ้าย) ซีอีโอ และประธานตลาดหลักทรัพย์เกาหลี อยู่ร่วมในพิธีเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (CSX) วันนี้ (18 เม.ย.). --.AFP PHOTO/Tang Chhin Sothy. 
เอเอฟพี - ในที่สุด ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา หรือ CSX (Cambodia Stock Exchange) เริ่มซื้อขายหลักทรัพย์ในวันนี้ (18 เม.ย.) หลังเปิดตลาดอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อ 9 เดือนก่อน โดยบริษัทด้านประปาเป็นบริษัทที่เข้าจดทะเบียนรายแรก

การซื้อขายเชิงสัญลักษณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 09.09 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่กัมพูชาถือว่าเลข 9 เป็นเลขมงคล และปิดการซื้อขายในเวลา 12.00 น. ส่วนเวลาซื้อขายปกติจะเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. จนถึงเวลา 11.30 น.

กัมพูชาเปิดตลาดหลักทรัพย์อย่างยิ่งใหญ่ในเดือน ก.ค.2554 หลังจากเลื่อนมาหลายครั้งเพราะวิกฤตการเงินโลก และปัญหาด้านกฎระเบียบต่างๆ แต่ไม่มีบริษัทใดพร้อมจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นการร่วมทุนระหว่าง รัฐบาลกัมพูชา และตลาดหลักทรัพย์เกาหลีใต้

จนถึงตอนนี้ บริษัท Phnom Penh Water Supply Authority (PPWSA) ที่เดิมเคยเป็นของรัฐทั้งหมด ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดเพียงบริษัทเดียว และเสนอขายหุ้นทั้งหมด 13 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท โดยเริ่มต้นที่หุ้นละ 6,300 เรียล (1.57 ดอลลาร์) ขณะที่หุ้นส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 85 รัฐเป็นผู้ถือครอง

การปิดตลาดซื้อขายในวันแรกนี้ ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปเกือบร้อยละ 50 ที่ 9,300 เรียล (2.32 ดอลลาร์)

ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า การเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกของบริษัทเมื่อเดือนก่อน มีผู้ต้องการเข้าถือหุ้นมากกว่าจำนวนหุ้นที่มีอยู่ถึง 17 เท่า ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ความต้องการของนักลงทุนนั้นมีอยู่สูงมากสำหรับตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้

นายเกียต ชน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังกัมพูชากล่าวยกย่องกับการจดทะเบียนครั้งประวัติ ศาสตร์ของ PPWSA ว่า เป็นการพัฒนาครั้งใหญ่สำหรับเศรษฐกิจของประเทศ

“ผมมีความต้องการที่จะเชิญชวนให้นักลงทุนในประเทศ และต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการซื้อขายหลักทรัพย์ และให้การสนับสนุนแก่ตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่งเริ่มต้นแต่เต็มไปด้วยศักยภาพ แห่งนี้ และผมเชื่อมั่นอย่างมากว่า การซื้อขายหลักทรัพย์ในกัมพูชาจะประสบความสำเร็จ” นายเกียต ชน กล่าว

ส่วนรัฐวิสาหกิจอีกสองแห่ง คือ Telecom Cambodia และ Sihanoukville Autonomous Port คาดว่าจะเริ่มเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปในปลายปีนี้

ทั้งนี้ การซื้อขายจะต้องใช้เงินเรียล เงินสกุลท้องถิ่นเท่านั้น ตามเป้าหมายระยะยาวของรัฐบาลที่ต้องการจะลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ ที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่าเป็นสกุลเงินที่ครองสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 90 ของสกุลเงินทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในประเทศ แต่ในช่วง 3 ปีแรก อนุญาตให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถจ่ายเป็นเงินดอลลาร์ได้โดยทำความตกลง ตามที่คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา หรือ SECC ระบุไว้

ขณะที่ยังเป็นประเทศหนึ่งที่ยากจนที่สุดในโลก กัมพูชาได้ก้าวพ้นจากหลายทศวรรษแห่งความขัดแย้ง ในฐานะเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาค รัฐบาลเปิดเผยตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2553 ที่ร้อยละ 5.9 ขณะที่ ADB ระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 6.8

เศรษฐกิจกัมพูชายังคงใช้จ่ายด้วยเงินสดเป็นหลัก การไม่ไว้วางใจ และเชื่อถือย่อมหมายถึงว่าประชาชนพากันเก็บเงินจำนวนมมากที่บ้านแทนที่จะฝาก ในธนาคาร



ของตลาด หลักทรัพย์กัมพูชา ชี้ไปที่จอแสดงราคาหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (CSX) ในกรุงพนมเปญ วันนี้ (18 เม.ย.) โดย CSX เริ่มซื้อขายหลักทรัพย์เป็นวันแรกหลังเปิดตลาดอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อ 9 เดือนก่อน. --.AFP PHOTO/Tang Chhin Sothy.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 18, 2012, 08:58:10 PM »

'วอร์เรน บัฟเฟตต์' ประกาศขอเวลารักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 2 เดือน


เทพพยากรณ์แห่งโอมาฮา/ปราชญ์แห่งโอมาฮา

รอยเตอร์รายงานว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอของบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ อิงค์และเป็นผู้ที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของโลก ประกาศว่า เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระยะแรก แต่อาการของเขา "ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต หรือทำให้เกิดการอ่อนแรงลงอย่างมากแต่อย่างใด"
นายบัฟเฟตต์ระบุในแถลงการณ์ว่า เขาจะเข้ารับการรักษาเป็นเวลานาน 2 เดือน ซึ่งรวมถึงการฉายรังสีรายวันที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางเดือนก.ค.และสิ่ง นี้จะจำกัดความสามารถของเขาในการเดินทางในช่วงเวลาดังกล่าว
ปัจจุบันบัฟเฟตต์ ซึ่งมีอายุ 81 ปีในปัจจุบันจะทำให้มีการถกกันมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแผนการสืบทอดอำนาจการ บริหารบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ โดยบริษัทแห่งนี้จ้างงานพนักงานกว่า 270,000 คนในธุรกิจกว่า 70 แห่งทั่วโลก
แพทย์ระบุว่าบัฟเฟตต์ยังคงมีแนวโน้มที่ดีมาก เนื่องจากโรคมะเร็งอยู่ในระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม บางคนตั้งคำถามว่าบัฟเฟตต์จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาหรือไม่เมื่อพิจารณาจาก อายุของเขา ด้านผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์กล่าวว่า บัฟเฟตต์มีโอกาสสูงที่จะหายจากโรคนี้ถึงแม้เขาอายุมากแล้ว
สมาคมมะเร็งสหรัฐระบุว่า ชายชาวสหรัฐ 1 ใน 6 คนป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่มีเพียง 1 ใน 36 คนที่เสียชีวิตจากโรคนี้ ทั้งนี้อาการของนายบัฟเฟตต์จะกลายเป็นจุดสนใจสำคัญในงานประชุมประจำปีของ เบิร์คเชียร์ในวันที่ 5 พ.ค. โดยงานดังกล่าวจะมีผู้ถือหุ้นกว่า 40,000 คนเข้าร่วมการประชุมที่สำนักงานใหญ่ของเบิร์คเชียร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองโอมาฮา ในรัฐเนบราสกา
บัฟเฟตต์กล่าวต่อนักลงทุนในช่วงปลายเดือนก.พ.ว่า เบิร์คเขียร์ได้กำหนดตัวผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาแล้ว แต่ไม่เปิดเผยว่าบุคคลคนนั้นเป็นใคร โดยเขายังระบุอีกด้วยว่าแม้แต่ผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวก็ ยังไม่รู้ตัวในเรื่องนี้
ข่าวการเป็นโรคมะเร็งของนายบัฟเฟตต์มีขึ้นในเวลาหนึ่งวันหลังจาก วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันของสหรัฐขัดขวางการใช้ "กฎบัฟเฟตต์" หรือมาตรการเก็บภาษีคนรวย โดยกฎนี้มีที่มาจากบทความที่บัฟเฟตต์เขียนลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทมส์ในปีที่แล้ว โดยระบุว่าคนรวยมีหน้าที่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ในอัตราที่สูงกว่าคนอื่นๆ
การอภิปรายในประเด็นนี้ครอบคลุมไปถึงเลขานุการของบัฟเฟตต์ด้วย โดยหลังจากที่บัฟเฟตต์กล่าวว่า นางเด็บบี้ โบซาเนค ซึ่งเป็นเลขานุการของเขาจ่ายภาษีมากกว่าเขา ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐก็ได้เชิญนางโบซาเนคให้ไปเข้าร่วมงานแถลงนโยบายประจำปีของ ปธน.โอบามาในปีนี้
ราคาหุ้นบริษัทเบิร์คเชียร์ร่วงลง 1.5 % ในช่วงการซื้อขายหลังตลาดปิดทำการเมื่อวานนี้หลังมีการเผยแพร่ข่าวนี้ออกมา ส่วนราคาหุ้น Class B ของเบิร์คเชียร์บวกขึ้น 5.9 % จากช่วงต้นปีนี้ หรือเพียงราวครึ่งหนึ่งของอัตราการทะยานขึ้นของดัชนี S&P 500 ในปีนี้
นายเมเยอร์ ชีลด์ส นักวิเคราะห์ของบริษัทสไตเฟล นิเคลาส์ ระบุว่าเขาคาดว่าราคาหุ้นเบิร์คเชียร์อาจปรับตัวอ่อนลงบ้างในวันนี้ แต่เขาคาดว่าข่าวนี้จะไม่ส่งผลให้ตลาดกังวลมากนักกับการสืบทอดตำแหน่งใน บริษัท
ด้านนายไมเคิล โยชิคามิ ซีอีโอของบริษัทเดสติเนชัน เวลธ์แมเนจเมนท์ ซึ่งลงทุนในเบิร์คเชียร์ กล่าวว่าข่าวนี้ไม่ใช่เหตุผลสำหรับการขายหุ้นเบิร์คเชียร์ เพราะปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนี้ยังคงดีอยู่ และแผนการสืบทอดตำแหน่งอย่างชัดเจนก็ส่งผลให้บริษัทนี้มีแนวทางในอนาคตที่ ชัดเจน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 18, 2012, 09:03:29 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 19, 2012, 07:48:33 PM »

ไทม์ประกาศ 100 บุคคลทรงอิทธิพลของโลก 2012


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก hypebeast.com


            เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา สำนักข่าวซีบีเอส รายงานว่า นิตยสารไทม์ ได้ประกาศรายชื่อ 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ประจำปี 2012 โดยในปีนี้ มีคนดังรวมกว่า 54 สัญชาติ จาก 37 ประเทศ เป็นผู้หญิงติดโผทั้งหมด 38 คน จากจำนวน 100 คน ซึ่งมากกว่าปีก่อน ประกอบไปด้วยบุคคลในแวดวงบันเทิง ผู้นำทางการเมือง หรือแม้กระทั่งบุคคลที่ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคม

          สำหรับการประกาศรายชื่อ 100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกของไทม์ จัดขึ้นมาเป็นครั้งที่ 9 แล้ว ซึ่งจะมีการแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 ประเภทด้วยกัน คือ ผู้มีอำนาจ ผู้มีอิทธิพลดาวรุ่ง ผู้มีชื่อเสียงที่เป็นสัญลักษณ์ ผู้คิดริเริ่มสร้างสรรค์ และผู้นำ ...จะมีใครติดอันดับมาในปี 2012 นี้บ้าง ลองดมาดูกัน

ผู้ทรงอิทธิพลด้านธุรกิจ

           วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกา ผู้ประสบความสำเร็จทางด้านการลงทุน
           ทิม คุก ซีอีโอของบริษัทแอปเปิ้ล

ผู้ทรงอิทธิพลด้านการเมือง

           มิตต์ รอมนีย์ นักธุรกิจและอดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซสต์ ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีนี้
           ฮิลลารี่ คลินตัน นักการเมืองจากพรรคเดโมเเครต
           รอน พอล นักการเมืองชาวอเมริกัน
           แองเจลล่า เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีจากประเทศเยอรมนี
           คริสตีน เลอการ์ด นักการเมืองและอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจคนแรกของฝรั่งเศส ผู้อำนวยการด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

ผู้ทรงอิทธิพลด้านกีฬา

           ทิม ทีบาว ควอเตอร์แบ็คของกีฬาอเมริกันฟุตบอล
           เจเรมี่ หลิน นักบาสเกตบอลจากทีมนิวยอร์ก นิคส์
           โนวัค โยโควิช นักเทนนิสมือวางอันดับ 1 ของโลก
           เจิ้ง หย่าหนี นักกอล์ฟหญิงชาวจีน

ผู้ทรงอิทธิพลด้านวงการบันเทิง

           ริฮานน่า นักร้องชื่อดัง
           เชลซี แฮนด์เลอร์ นักแสดงตลกและนักเขียน
           แคลร์ เดนส์ นักแสดงทีวีซีรี่ย์ชาวอเมริกัน
           คริสเทน วิก พิธีกรรายการตลก
           วิโอล่า เดวิส นักแสดงหญิงที่มีชื่อเข้าชิงออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม
           อะเดล นักร้องหญิงชาวอังกฤษ

ผู้ทรงอิทธิพลในด้านอื่น
 
           อี แอล เจมส์ นักเขียนหนังสือเรื่อง Fifty Shades of Grey
           เคท ดัชเชส แห่ง เคมบริดจ์ องค์หญิงจากประเทศอังกฤษ
           ปิ๊ปปา มิดเดิลตัน สมาชิกอังกฤษ
           ซาราห์ เบอร์ตัน ดีไซน์เนอร์จากห้องเสื้อ อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน

            รวมไปถึงคนดังคนอื่น ๆ และบุคคลที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และอยู่ในกระแส อาทิ นายแบชชาร์ อาซสาด ประธานาธิบดีของประเทศซีเรีย ที่ใช้กำลังในการปราบจลาจล จนเป็นเหตุให้มีคนล้มตายจำนวนมาก, นายคิม จองอึน ผู้นำคนใหม่ของเทศเกาหลีเหนือ และมุลลาห์ โมฮัมเหม็ด โอมาร์ ผู้นำกลุ่มตาลีบัน

            ส่วนคนดังในแวดวงบันเทิงนั้น มีทั้ง ริฮานน่า นักร้องชื่อดัง, เชลซี แฮนด์เลอร์ นักแสดงตลกและนักเขียน, แคลร์ เดนส์ นักแสดงทีวีซีรี่ย์ชาวอเมริกัน, คริสเทน วิก พิธีกรรายการตลก และ วิโอล่า เดวิส นักแสดงหญิงที่เพิ่งคว้ารางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

            นอกจากนี้ ยังเป็นธรรมเนียมของทางนิตยสารไทม์ ที่จะยกคำพูดคนดังคนอื่นที่เขียนบรรยายสั้น ๆ มาเพื่อจำกัดความถึงคนดังคนนั้น อาทิปีนี้  เจเรมี่ หลิน นักบาสเก็ตบอลชื่อดังจากทีมนิวยอร์ก นิคส์ เขียนบรรยายถึง ทิม ทีบาว ควอเตอร์แบ็คชื่อดังจากทีม นิวยอร์ก เจ็ทส์ ว่า... "ทิมไม่เคยรู้สึกหมดความเชื่อมั่นหรือศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เขาใช้ชีวิตในแบบที่สะท้อนถึงคุณค่าในตัวเขา ทุกวัน ทุกเวลา ในฐานะของนักกีฬา เราทุ่มเทเเรงกายเเรงใจทุกอย่างเพื่อชัยชนะในเกมการแข่งขัน ทิมเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนเสมอว่า ชีวิตมีค่ามากกว่านั้น"

            หากสนใจรายชื่อผู้ทรงอิทธิพลทั้ง 100 คน จากนิตยสารไทม์ ประจำประจำปี 2012 สามารถ คลิกที่นี่  time.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 09:21:44 PM »

เตือนอุณหภูมิพุ่ง 40 องศาฯ เสี่ยงโรคจากแดด


ผอ.สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 เผยอุณหภูมิพุ่ง 40 องศาฯ เสี่ยงโรคจากแดด 4 โรค ขณะที่รองสสจ.เชียงใหม่ เตือนคนทำงานกลางแดดเป็นเวลานานเสี่ยงอันตราย

นายแพทย์วิทยา หลิวเสรี ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 10 เชียงใหม่ เปิดเผยว่า สภาพอากาศขณะนี้อุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิที่สูงนี้มีผลกระทบต่อร่างกายโดยเฉพาะภาวะโรคจากแดดทั้ง 4 โรค คือโรคลมแดด หรือ ฮีท สโตรก (Heat Stroke) โรคเพลียแดด (Heat Exhaustion) โรคตะคริวแดด(Heat Cramps) และผิวหนังไหม้แดด(Sunburn) ซึ่งสาเหตุเกิดจากการได้รับความร้อนมากจนเกินไป ผนวกกับเกิดภาวะขาดน้ำ และการอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน

ทั้งนี้ โรคลมแดดอาการรุนแรงที่สุดอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เนื่องจากเป็นภาวะผิดปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายไม่สามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายได้ทัน ปกติอุณหภูมิร่างกายจะอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส แต่หากอยู่ในภาวะฮีท สโตรก ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงราว 41-42 องศาเซลเซียส โดยจะทำให้มีอาการเป็นลม ตัวร้อนจัด แต่ไม่มีเหงื่อ บางรายรุนแรงอาจชักและเสียชีวิตได้ในที่สุด ซึ่งไม่ได้เสี่ยงเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรังเท่านั้น แต่ในคนแข็งแรง คนออกกำลังกาย เล่นกีฬา ก็เสี่ยงเกิดภาวะนี้เช่นกัน

โดยหากอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือเล่นกีฬาที่มีอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ก็จะทำให้สมองไม่ทำงาน ไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะ รวมทั้งการควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ นอกจากโรคลมแดดแล้วยังมีโรคเพลียแดดเป็นอาการที่เกิดจากร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป แต่ยังไม่รุนแรงถึงขั้นเป็นลมแดด เพราะยังมีสติดีอยู่ จะมีอาการอ่อนเพลีย แต่ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการปวดศีรษะ มึนงง กระสับกระส่าย คลื่นไส้ อาเจียน

ทพ.ดร.สุรสิงห์ วิศรุตรัตน์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นว่ามีผู้เสียชีวิตเนื่องจากอากาศร้อน แต่ตนเองยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการ อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเสียชีวิตจากอากาศร้อนจัดจริงหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวคิดว่าการเสียชีวิตน่าจะมาจากสาเหตุอื่น เนื่องจากเชียงใหม่อุณหภูมิไม่ได้สูงถึง 40 องศาเซลเซียส

อย่างไรก็ตาม อยากเตือนในส่วนของผู้ที่ต้องทำงานกลางแดดเป็นเวลานานจำเป็นต้องหาเวลาหลบแดดเข้าอยู่ในร่มบ้าง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการมึนศรีษะ ปวดศรีษะ ไม่เช่นนั้นอาจมีอัตรายได้


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 08:59:25 PM »

นักวิทย์ชี้น้ำเเข็งขั้วโลกละลายเร็ว โลกเสียพื้นที่บางส่วน




เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า จากงานวิจัยชิ้นล่าสุด พบว่า น้ำแข็งขั้นโลกได้ละลายลงอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อ้างอิงจากข้อมูลเกี่ยวกับเเรงดึงดูดของโลก ที่เก็บสะสมมาตั้งแต่ปี 2002 โดยนายจอห์น วาห์ร ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ชี้ให้เห็นว่า แผ่นน้ำเเข็งกำลังแตก และโลกกำลังสูญเสียพื้นที่ในส่วนที่เป็นน้ำเเข็ง

ทั้งนี้ นายวาห์ร กล่าวว่า เราค้นพบว่า ใน ทุก ๆ ปี โลกได้ส่วนเสียพื้นผิวส่วนที่เป็นน้ำเเข็งไปเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ มีน้ำแแข็งละลายลงสู่มหาสมุทรไปมากแล้ว จนเป็นเหตุให้น้ำทะเลสูงขึ้น แต่ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำเเข็งที่ละลายรวมกันไปแล้วกว่า 4 ล้านล้านตัน ซึ่งหากลองคำนวณแล้ว จะพบว่า หากเปลี่ยนน้ำแข็งจำนวนมากขนาดนั้นให้กลายเป็นน้ำ แล้วเทไปทั่วสหรัฐอเมิรกา และก็จะทำให้ทุกพื้นที่ในอเมริกา มีน้ำท่วมสูงประมาณ 1 ฟุตครึ่ง

หากพื้นน้ำแข็งและธารน้ำเเข็งต้องละลายลงเรื่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกับแรงดึงดูดของโลก ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ดาวเทียมสอง 2 ดวงที่โคจรรอบโลก มีระยะห่างของดาวเทียมที่เปลี่ยนไป และการใช้ดาวเทียม ทำให้นายวาห์รและทีมงานสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและบอกได้ว่า โลกเราได้สูญเสียพื้นที่น้ำเเข็งไปแล้วเท่าไหร่ และส่งผลต่อแรงดึงดูดของโลกแค่ไหน

หากสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงจากข้อมูลที่ได้จากดาวเทียม คุณก็จะสามารถรู้ได้ว่า ทวีปแอนตาร์กติกามีน้ำหนักเท่าไหร่ และมีมวลมากขนาดไหน จากนั้นใน 1 เดือนต่อมา ก็มาดูกันว่า มวลนั้นใหญ่ขึ้นหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แทน ที่มวลจะใหญ่ขึ้น แต่มวลเหล่านั้นกลับเล็กลงเรื่อย  ๆ ทวีปแอนตาร์กติกาและน้ำแข็งที่ปกคลุมตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ได้ละลายลงไปอย่างรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #14 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 09:01:46 PM »

ฮือฮา นาซาจับภาพนาทีระทึก"หลุมดำ"กระชากกลืนดวงดาว




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ว่า ยาน"กาแล๊คซี่ เอฟโวลูชั่น เอ็กซ์โพเร่อร์"ซึ่งเป็นห้องทดลองอวกาศของนาซา และกล้องโทรทัศน์ the Pan-STARRS1 สามารถจับภาพดวงดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง ถูกหลุมดำกระชากดูดกลืนแยกเป็นสองส่วนเมื่อดาวดวงนี้ได้โคจรเข้าใกล้บริเวณใจกลางหลุมดำ ในอัตรา 2.7 พันล้านปีแสง ก่อนถูกหลุมดำดูดด้วยพลังดึงดูดอันมหาศาล และนับเป็นภาพแรกที่ยานกาแล๊คซี่ฯ สามารถเห็นดาวถูกหลุมดำ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าดวงอาทิตย์นับล้านถึงพันล้านเท่า ดูดกลืนดาวบริเวณใจกลางกาแล๊คซี่ต่าง ๆ

ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ดาวดังกล่าวเป็นดาวที่เต็มไปด้วยแก๊สฮีเลี่ยม
 
โดยเมื่อดาวดวงนี้ถูกกระชากกลืนจากหลุมดำที่มีพลังดึงดูดอันมหาศาล บางส่วนของดาวได้ถูกกลืนเข้าสู่หลุมดำ และบางส่วนพลัดออกจากหลุมดำด้วยความเร็วสูง และว่า ยานฯได้เผยให้เห็นถึงธรรมชาติอันมโหดของหลุมดำ และสภาพของดวงดาวที่โคจรรอบ ๆ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งนี้ที่มีดวงดาวโชคร้ายถูกดูดกลืน และทีมงานเชื่อว่า ไฮโดรเจนที่ห่อหุ้มบริเวณแกนกลางของดาวดังกล่าวได้ถูกดึงจากหลุมดำมานานแล้ว และดาวดวงนี้อยู่ในช่วงใกล้อวสาน หลังจากมันบริโภคเชื้อเพลิงไฮโดรเจน และทำให้ดาวพองตัวเหมือนบอลลูน และกลายเป็นดาวที่มีสีแดง

อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์เชื่อว่า มีดวงดาวต่าง ๆ ที่ได้โคจรบริเวณกลางหลุมดำของทางช้างเผือกในช่วงเวลาที่ผ่านมา
 




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 12   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: