jainu
|
 |
« ตอบ #240 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2017, 02:24:27 PM » |
|
=== 25-01-60/08 : Richard Whitt / มีผู้นำที่สิ้นคิด 。。ประเทศก็มีสิทธิสิ้นหวัง The biggest stories from Davos 2017
✤ ในระหว่างวันที่ 17 – 20 มกราคม ค.ศ. 2017 มีการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอสประเทศสวิสเซอร์แลนด์ การประชุมครั้งนี้นับว่ามีความสำคัญมากด้วยเหตุผล 2 ประการ
1. การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่คุยกันถึงอนาคตการเปลี่ยนแปลงของโลกภายใต้ชื่อ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (The 4th Industrial Revolution) ซึ่งเป็นหัวข้อการประชุมที่ฮือฮาไปทั่วโลก เพราะการประชุมได้ชี้ให้เห็นถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีที่จะส่งผลกระทบกับสังคมรวมทั้งการเมืองทั่วโลก
✤ การประชุมที่ดาวอสครั้งนี้ ถือเป็นการประชุมต่อเนื่องโดยมีหัวข้อการประชุมคือ *ผู้นำที่ตอบสนองและรับผิดชอบ* (Responsive and Responsible Leaders) กล่าวคือ เป็นการปรึกษาหารือถึงบทบาทผู้นำทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ในการดำเนินยุทธศาสตร์ในการรองรับการเปลี่ยนแปลงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
2. สังคมโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เคยมีมาก่อนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สังคมโลกกำลังอยู่ในจุดของแรงกระเพื่อมอันเกิดจากการขยายตัวของการต่อต้านที่มีต่อโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรี กระแสต่อต้านเหล่านี้คือ การขยายตัวของกลุ่มที่เรียกว่า *อุดมการณ์ประชานิยม* (Populism)
✤ ภาพฉายของขบวนการดังกล่าวคือ การขยายตัวของพรรค การเมืองที่มีอุดมการณ์ขวาจัดซ้ายจัดในยุโรป และการชนะการเลือกตั้งของนาย Donald Trump ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังขยายมาสู่เอเชียโดยเฉพาะชัยชนะและพฤติกรรมของนาย Rodrigo Duterte ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์
✤ ในการประชุมที่ดาวอสครั้งนี้ จะเป็นการปรึกษาหารือในเรื่องของยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงที่จะตอบสนองต่อโลกยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 แนวคิดเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มาจากแนวคิดของนาย Klaus Martin Schwab ผู้ก่อตั้ง World Economic Forum
✤ นาย Klaus Schwab ได้แบ่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็น 4 ยุค ดังนี้
● ยุคที่ 1 คือยุค 1.0 เมื่อเกิดการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ 200 ปีที่ผ่านมา
● ยุคที่ 2 คือยุค 2.0 เมื่อมีการประดิษฐ์ไฟฟ้าเมื่อ 100 กว่าปีที่ผ่านมา
● ยุคที่ 3 คือยุค 3.0 เมื่อมีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์เมื่อทศวรรษ 1960
● ยุคที่ 4 คือ ยุค 4.0 ซึ่งกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตคือการบรรจบกัน (Convergence) ของ 3 ระบบ ได้แก่ ระบบดิจิทัลซึ่งในปัจจุบันเรียกว่ายุค 3.5 กับระบบฟิสิกส์ และระบบเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการบรรจบกันของ 3 ระบบดังกล่าวทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ที่กระทบกับวิถีชีวิตของคนบนโลกอย่างถอนรากถอนโคน เช่น
● Artificial Intelligence ● Autonomous Vehicles ● Bitcoin ● Blockchain ● Energy Storage ● Internet of Things (IOT) ● Material Science ● Robotics ● Fintech ● 3D Printing
✤ การขยายตัวของสิ่งประดิษฐ์และปรากฏการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ด้านดีคือ มนุษย์จะอยู่อย่างสบายมากขึ้น อายุจะยืนยาวขึ้น การผสมผสานระหว่าง 3D Printing กับ Biotech จะทำให้วงการแพทย์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย เนื่องจากสามารถวิเคราะห์แนวโน้มของโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ได้ล่วงหน้า และใช้สิ่งประดิษฐ์เทียมทดแทนอวัยวะของมนุษย์ได้
✤ ในด้านลบ คนจะมีการตกงานขนานใหญ่ Robot จะเข้ามาแทนที่ คนใช้ พนักงาน รถที่ไม่มีคนขับจะทำให้คนขับแท็กซี่ตกงาน Blockchain และ Bitcoin ด้านหนึ่งจะทำให้คน 7,300 ล้านคนในปัจจุบันสามารถเข้าสู่ตลาดการเงินได้อย่างรวดเร็ว ต้นทุนถูก โดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า Crowd Funding แต่อีกด้านหนึ่งก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสถาบันการเงิน คนจะตกงานเป็นแถว บุคลากรต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบคิด (Mindset) อย่างรุนแรงในอนาคต โรงงานไฟฟ้า ปั๊มน้ำมัน จะอันตรธานหายไป เนื่องจากจะมีการเก็บสะสมพลังแสดงแดด และแจกจ่ายทั่วไปผ่านระบบ Information Technology
✤ ในบริบทดังกล่าว ประเทศต่าง ๆ ที่พึ่งพาน้ำมันเป็นรายได้หลักก็ต้องเจอสภาพวิกฤตทางเศรษฐกิจอย่างไม่เคยมีมาก่อนและย่อมส่งผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ของสังคมโลก
✤ การประชุมครั้งนี้จึงตั้งประเด็นประชุมไว้ 14 ประเด็นที่จะให้ผู้นำทางการเมือง นักธุรกิจ NGO สื่อมวลชน มาถกแถลงระดมความคิดร่วมกันว่าจะดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของการปฏิรูปอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 อย่างไร หัวข้อทางยุทธศาสตร์ที่มี 14 หัวข้อ ประกอบด้วย อนาคตของตลาดการเงิน อนาคตของการบริโภค อนาคตของพลังงาน อนาคตของความเท่าเทียมของสังคม อนาคตของการค้าการลงทุน และอื่น ๆ
✤ ในการประชุมครั้งนี้ ประเด็นที่น่าสนใจมากคือ ประธานาธิบดี Xi Jinping ได้เข้าร่วมการประชุมและนับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำระดับสูงสุดของจีนได้เข้าร่วม นาย Xi Jinping ได้เสนอความเห็นในทำนองว่า โลกาภิวัตน์ซึ่งเป็นกระแสหลักของโลกจะต้องพัฒนาต่อไป แม้ทุกวันนี้จะมีภัยคุกคามจากกระแสต่อต้าน ความอยู่รอดของสังคมโลกจึงมิใช่การย้อนกลับไปสู่การกีดกันทางการค้า การใช้นโยบายชาตินิยม การมุ่งโจมตีประเทศอื่น หรือที่เรียกนโยบายนี้ว่า Beggar-Thy-Neighbor
✤ นอกจากนั้นนาย Xi Jinping ยังแสดงถึงเจตจำนงและบทบาทของจีนว่า จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนกระแสหลักของโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีต่อไป
✤ สุนทรพจน์ของนาย Xi Jinping มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ 2 ประการ
1. เป็นการโจมตีนโยบายของนาย Donald Trump ที่มุ่งการกีดกันทางการค้าและยังมีท่าทีข่มขู่ประเทศอื่น ๆ นอกจากนั้น ท่าทีของนาย Xi Jinping ยังเป็นการต่อต้านกระแสชาตินิยมที่ต่อต้านการรวมกลุ่มการเปิดเสรีในด้านสินค้า บริการ เงินทุน และแรงงานซึ่งนอกจากเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดของนาย Donald Trump แล้วยังเป็นอุดมการณ์ของพรรคขวาจัดซ้ายจัดที่กำลังได้คะแนนนิยมในสหภาพยุโรปและเอเชีย
2. นาย Xi Jinping กำลังประกาศศักดาในการขยายบทบาทของจีนในการเป็นอภิมหาอำนาจโลกและจะทำหน้าที่เป็นผู้นำในด้านโลกาภิวัตน์และการเปิดเสรีแทนที่บทบาทของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของนาย Donald Trump
✤ โดยสรุป อาจกล่าวได้ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นภาพฉายของการเปลี่ยนแปลงทางด้านประชาสังคมที่มีผลกระทบต่อสังคมโลก เป็นภาพฉายของบทบาทของผู้นำที่ต้องมีการเตรียมยุทธศาสตร์ และสุดท้ายคือ เป็นภาพฉายของการขยายบทบาทของจีนในบริบทที่สหรัฐอเมริกากำลังถดถอยลง
Credit : https://www.weforum.org/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #242 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2018, 10:38:51 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #243 เมื่อ: มกราคม 06, 2019, 10:46:29 AM » |
|
ป่วนปาบึก
ปาบึกม้วนบ้วนหมึกทลายสมุทร หมื่นมหามารุต ถล่มหล้า พลิกแผ่นดินทะมึนดำคว่ำแผ่นฟ้า แสนมหาวาตภัย พิบัติซ้ำ
คลื่นหัวเดิ่งเถิ่งโถมกระโจมฉก ถิ่นเลออก เลตก เพียงผกคว่ำ เดือดแผ่นดินเดือนดาวร้าวระกำ ยะเยือกน้ำตาหนาวตระหนกนัก
ตระหนกภัยแผ่นดินไม่สิ้นสุด ภัยมนุษย์ยิ่งซ้ำ กระหน่ำหนัก พวกต้อนควายเข้าคอกมันยอกยัก มันตีแปลงแหล่งหลักเป็นปลักควาย
พายุเก่าเน่าน้ำ กระหน่ำเมือง จะปลดเปลื้องพันธนานั้นอย่าหมาย ปฏิลูบ ปฏิคลำ เปลืองน้ำลาย ล้วนนิยายน้ำเน่า เล่าจำเจ
ปาบึกม้วนบ้วนหมึก ระทึกถล่ม คะโครมครืนคลื่นลมเข้าโหมเห่ ฤาสมคำ " วินาศะ กาเล - วิปริต พุทเธ " ประเดประดัง !
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #244 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2019, 02:47:24 PM » |
|
Bank of Thailand Scholarship Students(Nov 16) IIF เผยหนี้ทั่วโลกพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์แตะ 250 ล้านล้านดอลล์ช่วงครึ่งปี 2562 : สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) เปิดเผยว่า หนี้สินทั่วโลก พุ่งขึ้น 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 250.9 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 และจะสูงเกินกว่าระดับ 255 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2562 IIF เปิดเผยรายงานระบุว่า หนี้สินทั่วโลกได้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์สูงกว่า 250 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ นำโดยการพุ่งขึ้นของหนี้สินในสหรัฐและจีน รายงานระบุว่า จีนและสหรัฐมีสัดส่วนหนี้สินเพิ่มขึ้นกว่า 60% ขณะที่หนี้สินของประเทศในตลาดเกิดใหม่แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ด้วยเช่นกันที่ระดับ 71.4 ล้านล้านดอลลาร์ (220% ของ GDP) ทั้งนี้ IIF ประมาณการว่า ระดับหนี้สินทั่วโลกจะสูงกว่า 255 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ เนื่องจากแทบไม่มีสัญญาณการชะลอตัวของอัตราการสะสมหนี้
Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิ- Global debt surged to a record $250 trillion in the first half of 2019, led by the US and China : https://www.cnbc.com/2019/11/15/global-debt-surged-to-a-record-250-trillion-in-the-first-half-of-2019-led-by-the-us-and-china.html
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #245 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2019, 02:48:40 PM » |
|
ห้าง-ค้าปลีกหืดขึ้นคอ-อัดอีเวนต์ปลุกปีใหม่ นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกไม่ค่อยดี และคาดว่าภาพรวมธุรกิจค้าปลีกปีนี้จะโตเพียง 2.6% จากปีก่อน ผลจากกำลังซื้อชะลอตัวลง ทำให้ยอดขายสินค้าหลาย ๆ อย่างไม่เติบโตตามเป้าที่วางไว้ ในช่วงปลายปีที่เป็นหน้าขายสำคัญ เชื่อว่าทุกห้าง ทุกแบรนด์ ต่างอัดแคมเปญแรงกันอย่างต่อเนื่อง https://www.prachachat.net/marketing/news-392283วันที่ 16 November 2019 -
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #246 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2019, 09:45:01 PM » |
|
Business Decode - ถอดรหัสธุรกิจ 27 ตุลาคม
2-3 ปีก่อน ผมเองกินข้าว 7-Eleven อยู่บ่อยครั้ง เพราะสะดวก รวดเร็ว
แม้ว่ารสชาติไม่ถึงกับอร่อยมากนัก แต่ก็พอกินได้
แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้กินอาหาร 7-Eleven อีกเลย หิวเมื่อไหร่ ก็สั่ง Grab Food, Line Man, GET แทน
เป็นแบบนี้มา 2 ปีตั้งแต่ Grab มีโปรส่งฟรีอยู่นานนับปี จนโปรคิดค่าส่ง 10-15 บาท ก็ยังใช้บริการ เพราะได้กินอาหารอร่อย หลากหลาย สดใหม่ จากร้านที่เราอยากกิน
ไม่กี่ปีก่อน 7-Eleven เคยมีข่าวจะทำครัวอาหารตามสั่ง
ตอนนั้นสร้างความสั่นสะเทือนให้ร้านอาหาร street food บ้านเรา ถึงกับมีข่าวกันว่า มีโอกาสเจ๊ง ตามรอยร้านโชว์ห่วยที่ทะยอยล้มหายตายจากไป จากการผุดขึ้นของร้านสะดวกซื้อมากมาย
ตอนนี้เกมพลิก เมื่อความสะดวกสบาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ location ต่อไป
เพราะคนสามารถสั่งอาหารอร่อย+สดใหม่ได้ ในไม่กี่คลิก รออีกนิดหน่อย ก็ได้กินแล้ว แถมจ่ายค่าอาหารหลักสิบบาทด้วยบัตรเครดิตได้
ตอบโจทย์และแก้ pain point ของคนเมืองได้มาก
ร้านอาหาร street food กลับมามีโอกาสที่ดีอีกครั้ง
ปกติแล้วธุรกิจอาหาร ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆน่าตื่นเต้นมากนัก
แต่ในระยะเวลาไม่กี่ปี นอกจากธุรกิจ Food Delivery แล้ว
ยังมีรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารอย่าง “Cloud Kitchen” ที่เป็นเหมือน Virtual Restaurant ถือกำเนิดขึ้นมา
จากเดิม อยากเปิดร้านอาหาร แค่ทำอาหารเป็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีหน้าร้าน ที่ไม่เช่าก็ต้องซื้อมาเพื่อให้คนนั่งกิน
จะอยู่รอดหรือไม่รอด ขึ้นอยู่กับว่ากำไรที่ได้ พอจ่ายค่าเช่าที่ ค่าพนักงานเสิร์ฟ ค่าวัตถุดิบมั้ย
แต่ตอนนี้แค่ทำอาหารเป็น ไม่ต้องเปิดเป็นร้านอาหารแบบมีหน้าร้าน ก็สามารถทำธุรกิจอาหารได้
Cloud Kitchen มีครัว มีอุปกรณ์ทำอาหารให้เช่า มีกล่อง มี packaging สวยๆที่ออกแบบสำหรับการทำ delivery อาหารในรูปแบบต่างๆ
มีระบบ POS สำหรับคิดเงิน พร้อมเชื่อมโยงระบบ delivery เพื่อส่งอาหารถึงมือลูกค้าได้เลยทันที
แถมยังมีแพลตฟอร์มช่วยสร้างแบรนด์ ช่วยทำการตลาดออนไลน์ ให้คนที่มาเช่าใช้อีกด้วย
เรียกได้ว่า มาตัวเปล่า ก็กลายเป็นเจ้าของธุรกิจอาหาร มีแบรนด์ร้านอาหารของตัวเองได้ทันที
Cloud Kitchen จึงเป็นธุรกิจต่อยอดที่คนทำ Food Delivery ต้องมี เพื่อเติมจิ๊กซอว์ให้ครบ
ตัวอย่างเช่น
- Gojek แอพ logistic ชื่อดังของอินโดนีเซีย เพิ่งลงทุนใน startup ที่ทำ Cloud Kitchen สัญชาติอินเดียชื่อ “Rebel Foods” ไป 5 ล้านดอลลาร์ เพื่อขยายครัว 100 สาขาในอินโดนีเซีย
ซึ่ง Rebel Foods นี่ได้เงินทุนไปแล้วรวมๆ 76 ล้านดอลลาร์ และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
มีแบรนด์อาหารเป็นของตัวเอง ขายทั้งอาหารอินเดีย เบอร์เกอร์ พิซซ่า พาสต้า อาหารจีน
- ที่ยุโรป “Deliveroo” แอพ delivery อาหารยักษ์ใหญ่ สัญชาติอังกฤษ ก็กำลังขยายธุรกิจ Cloud Kitchen ต่อยอดจากระบบส่งอาหารที่ตัวเองมีเช่นกัน
Deliveroo ระดมทุนไปแล้วกว่า 1,530 ล้านดอลลาร์ (46,000 ล้านบาท โดยประมาณ) ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2013 ใน 13 ประเทศ ใกล้สุดก็ที่สิงคโปร์
ตัว Cloud Kitchen ของ Deliveroo เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรก เมื่อปี 2017 ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ก่อนที่จะขยายกลับมาที่อังกฤษบ้านเกิดและขยายไปยังฝรั่งเศส
ที่ดูไบนี่ฮอตมากๆครับ นอกจาก Deliveroo แล้ว ยังมี UberEAT ที่ขยายธุรกิจ Cloud Kitchen อย่างรวดเร็ว กว่า 100 สาขา support แบรนด์ร้านอาหารนับพันแบรนด์
ตอนนี้ UberEAT มี Cloud Kitchen ของตัวเองแล้ว 1,600 แห่งใน 300 เมืองทั่วโลก
นอกจากยักษ์ใหญ่ด้าน Food Delivery จะขยายมาทำเองแล้ว
ยังมี startup รายเล็กอื่นๆที่ทำ Cloud Kitchen และได้เงินทุนสนับสนุนจาก VC อีกมากมาย
เทรนด์นี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จนน่าจะให้บริการครอบคลุมไปทั่วโลกในอีกไม่นาน
ไม่ใช่แค่ 7-Eleven ที่กระทบกระเทือน
แต่ร้านอาหารดังๆ หรือ food chain ใหญ่ๆ มีหนาวนะครับแบบนี้
เพราะเป็นโอกาสของร้านอาหารเบอร์รองๆ street food หรือแม้กระทั่งเชฟแบบตัวคนเดียว ได้มีโอกาสขยายสาขาด้วยต้นทุนที่ต่ำ
สามารถขายอาหารครอบคลุมในระดับเมืองหรือประเทศได้ โดยไม่ต้องลงทุนเปิดร้านของตัวเองเลยแม้แต่ร้านเดียว
กดในแอพ Food Delivery ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็สั่งอาหารจากร้านนี้ได้ เพราะ Cloud Kitchen กระจายอยู่ทั่วไปหมด นี่คือความเจ๋งของมัน
ในต่างประเทศ แบรนด์ร้านอาหารดังๆในแอพ Food Delivery ทั้งหลาย ก็ไม่มีร้านเป็นของตัวเอง แต่ใช้วิธีการเติบโตบน Cloud Kitchen ทั้งนั้น
สำหรับ 7-Eleven ไม่ได้ถูกกระทบเฉพาะอาหารแช่เย็นเท่านั้น
วันนี้ถ้าเราเข้าแอพ Lazada จะเจอสิ่งที่เรียกว่า ”LazMart” ที่อาหารแห้ง มีสินค้ามากมายเหมือนที่ Supermarket ทั่วไปมี
อีกไม่นานก็จะมีขายอาหารสดด้วย
ตัว Lazada เองก็ตั้งใจพัฒนาคลังสินค้า & logistic เพื่อรองรับธุรกิจประเภทนี้โดยเฉพาะ
มีการส่งฟรีถ้ายอดออเดอร์ถึงจำนวนที่กำหนดไว้
การส่งตอนนี้ยังเป็นแบบ next day แต่ต่อไปถ้าสามารถทำแบบ same day at scale (ทั้งจังหวัด ภาค ประเทศ) ได้
กระเทือนธุรกิจ supermarket อย่าง 7-Eleven แน่นอน
แน่นอนว่าด้วยรากฐานและความยิ่งใหญ่ของ 7-Eleven ในไทย คงไม่ได้รับผลประทบมากมาย ณ วันนี้
แต่เมื่อคู่แข่งของ 7-Eleven กลายมาเป็น Lazada ที่พร้อมจะยอมขาดทุนไปเรื่อยๆ ได้ เพื่อดึงลูกค้าให้ใช้งาน มีการเก็บข้อมูล รู้พฤติกรรมลูกค้า เดาได้ว่าครอบครัวมีขนาดเท่าไหร่ ชอบซื้อสินค้าตัวไหนเป็นพิเศษ จนสามารถออกแบบประสบการณ์การซื้อของเฉพาะบุคคลได้
7-Eleven ก็คงมีหนาวบ้างแน่ๆ
และยิ่ง 7-Eleven เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะทำอะไรแล้วขาดทุน ไม่แคร์กำไรอย่างที่ Lazada ทำ น่าจะลำบากหน่อย
อย่าลืมว่าบนบ่าอีกข้างของ 7-Eleven ยังมีเจ้าของแฟรนไชส์ อีกหลายพันสาขา ที่อาจได้รับผลกระทบ ไม่ได้กินเต็มคำเหมือนเดิม
ใครจะไปคิดครับ ว่าธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง 7-Eleven ที่มีสาขามากมายนับหมื่นสาขา กำลังถูกท้าทายจาก tech company และมีโอกาสถึงขั้นโดน Disrupt ได้เช่นกัน ถ้าไม่ปรับตัว
ปล. ในไทยเริ่มมี Cloud Kitchen แล้วแต่ไม่ได้ขยายเติบโตแบบเป็นร้อยๆ เหมือนในต่างประเทศ ที่รู้จักก็มี Wongnai Co-cooking Space ที่ True Digital Park
แต่เชื่อว่า มันเป็นไฟต์บังคับที่ทั้ง Grab และ GET ต้องมี
ตอนต่อๆไป ถ้ามีเวลา จะเขียนถึงพวก plant-based meat และการผลิตไข่โดยที่ไม่จำเป็นต้องเลี้ยงไก่
Disruption ในวงการอาหารเยอะมาก มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ
นำมาจากline ขอขอบคุณไว้ที่นี้ด้วยค่ะค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #247 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2019, 09:58:18 PM » |
|
แชร์เท่ากับ1การช่วยเหลือที่จะเกิดขึ้นครับ
(เป็นเรื่องของชายคนนึงครับ) ผมมีตัวตนแต่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ เรื่องต่อไปนี้จะเป็นตัวบอกว่าทำไมผมจึงบอกไม่ได้ ประมาณสองสัปดาห์หลังปีใหม่ ภรรยาผมลางานเพื่อไปติดต่องานราชการ เสร็จแล้วแวะ Central ลาดพร้าว
เพื่อหาซื้อหนังสือแนวที่เธอชอบอ่านที่ B2S ระหว่างที่กำลังเลือกหาซื้อหนังสืออยู่นั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณ สามสิบเข้ามาทักทาย บอกว่าชอบหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนเช่นกัน และ มีหนังสือที่น่าสนใจหลายเล่มที่น่าอ่านมาก การสนทนาก็เป็นไปอย่างมี มิตรไมตรีต่อกัน เพราะจากลักษณะท่าทางและการแต่งตัวดูเหมือนเป็น คนทำงานทั่วไป แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ให้นามบัตรภรรยาผมมา ส่วนภรรยาผม ก็ให้เบอร์มือถือเธอไปเพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงด้วยกัน
การติดต่อพูดคุยก็ มีขึ้นเป็นระยะๆ และมีนัดเจอกันเพื่อให้หนังสือภรรยาผมมาอ่าน แล้วก็บอกว่า จะรีบไปทำงาน แต่หนังสือที่ให้มาเป็นหนังสือแนวสืบสวนธรรมดา ที่ภรรยาผม เคยอ่านมาแล้ว จึงอยากจะคืนกลับไป
การนัดเจอกันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ผู้หญิงคนนั้นชวนทานข้าว เพราะเป็น ช่วงเกือบเที่ยงวันแล้ว และได้แนะนำให้รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งรออยู่ที่ Food Center เธอบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานชอบอ่านหนังสือแนวนี้เช่นกัน
ผู้ชายคนนั้น ถามภรรยาผมและผู้หญิงคนนั้นว่า จะทานอะไรจะไปซื้อมาให้ ด้วยความเกรงใจ จึงทานเหมือนกันเป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมู แต่ภรรยาผมก็พยายามจะขอตัวไปซื้อ น้ำมาให้ แต่ทางผู้หญิงคนนั้น ชิงเดินไปซื้อมาให้ก่อน พอนั่งทานไปได้ประมาณ ครึ่งชามและดื่มน้ำไปหน่อย ภรรยาผมก็เกิดอาการมึนๆ และเริ่มง่วงนอน เพียงอีก ไม่กี่นาทีต่อมา เริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาประคองตัวภรรยาผม แล้วพูดบอกผู้ชายว่า คงเป็นลมช่วยพาออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อย
ตอนนั้น ภรรยาผมบอกว่าไม่สามารถพูดอะไรได้ ร่างกายยืนแทบไม่ไหว ระหว่างเดินผ่าน ตัวห้างมาลานจอดรถเห็นผู้ชายโทรศัพท์เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที รถตู้สีขาวก็มาจอด แล้วทั้งคู่ก็พาภรรยาผมขึ้นรถ วินาทีนั้นภรรยาผมบอกว่าเธอพยายามขัดขืนแต่ ทั้งคู่ก็ใช้กำลังพาเธอขึ้นรถแล้วปิดประตูรถ บนรถมีผู้ชายสองคนนั่งมาในรถด้วย เมื่อรถวิ่งออกจากห้าง
ภรรยาผมพยายาม ร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ไม่มีเสียงและผู้ชายที่นั่งอยู่บนรถเอามือมาปิดปากเธอไว้ พอรถวิ่งออกมาระยะหนึ่งผู้ชายที่เจอกันที่ Food Center เริ่มปลดเสื้อผ้า รรยาผม เธอพยายามร้องขอความช่วยเหลือและต่อสู้แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง ผู้ชายอีกสองคนที่นั่ง รออยู่บนรถก็ช่วยกันถอด สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคงไม่ต้องบรรยายกันอีก โดยมีผู้หญิงเป็น คนเก็บภาพเป็นระยะๆ
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกที่ภรรยาผมถูกนำ มาทิ้งที่ห้องน้ำหญิงของปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวสุขาภิบาลสองย่านบางกะปิ ผมไปรับเธอแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่พูดอะไรได้แต่ร้องไห้และไม่ไปทำงานอีกเลย นั่งซึมอยู่กับบ้าน
สามวันต่อมาคุณแม่ของภรรยาโทรมาบอกว่ามีจดหมายลงทะเบียนส่งมาที่ บ้านให้ไปรับผมก็ไปรับ แล้วเปิดออกดู มีภาพถ่ายพร้อมขอเงินสดสี่แสนบาทเป็นค่าฟิล์มและ ภาพถ่ายทั้งหมด ผมพูดไม่ออก ทุกความรู้สึกวิ่งพุ่งเข้ามาในใจ สับสน เสียใจ แค้นใจ เจ็บใจ
ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อและเพื่อนท่านที่เป็นนายตำรวจ มีความเห็นเหมือนกันว่าต้องแจ้ง ความกับตำรวจ เพราะเงินสี่แสนครอบครัวเราคงหามาให้ได้ยาก ผมกับภรรยาเป็นเพียงลูกจ้าง กินเงินเดือนเท่านั้น
ในวันส่งเงินตามนัดหมายตำรวจกองปราบวางแผนอย่างดี และสามารถจับ พวกเดนสังคมได้สองคนได้ฟิล์มและภาพจำนวนหนึ่ง และตำรวจกำลังตามจับพวกที่เหลืออีก สามคน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าภาพถ่ายยังคงมีเหลืออยู่อีกหรือเปล่า
ซึ่งหลังจากพวกมันถูกจับผมก็ ได้รับโทรศัพท์ขู่ว่าจะภาพลง internet สองครั้ง ทุกวันนี้ภรรยาผมไม่ได้ทำงานอีกแล้ว อยู่บ้านด้วยอาการซึมเศร้าและไม่ต้องการ พบปะกับใครเลย ส่วนผมก็ไม่กล้าออกไปไหนเช่นกันทำงานเสร็จก็กลับบ้าน ชีวิตความเป็นอยู่ มีแต่ความกลัว ระแวง คิดมาก เหมือนเป็นโรคประสาท ผมจึงอยากฝากบอกเรื่องราวของ ผมให้เป็นข้อมูลกับทุกคน ทุกวันนี้การหากินบนความทุกข์ร้อนของคนอื่นเป็นเรื่องธรรมดา ไปแล้วครับ ขอบุญกุศลในการให้ข้อมูลนี้ ทำให้ชีวิตครอบครัวผมดีขึ้นด้วยเถอะ อย่าลืมบอกต่อๆกันไปด้วยครับ
เรื่องเล่าจากไลน์ขอบคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #248 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2019, 10:05:10 PM » |
|
บรรจง นะแส
มูลเหตุคดีที่ดิน 3,800 ไร่ จันทบุรี
ภาคแรก : มูลเหตุของที่ดิน จากคู่กรณียิงกันในศาลจันทบุรี มีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 2 คน นั้น มีความเป็นมาพอสรุปได้ ดังนี้ แรกเริ่มนั้น เนื่องจากพระกิตติวุฒฺโฑภิกขุ แห่งสำนักจิตตภาวันวิทยาลัย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ขณะที่อยู่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพ ได้มีนโยบายต้องการซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อนำมาเป็นที่กัลปนาผล คือ นำดอกผลมาบำรุงพระศาสนา จึงได้ก่อตั้งมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุขึ้น เพื่อบริหารจัดการในเรื่องดังกล่าว เพราะขณะนั้นที่จิตตภาวันและวัดมหาธาตุ มีพระเณรรวมกันกว่า 1,000 รูป ถ้าสิ้นท่านแล้วเกรงว่า พระสงฆ์จะอยู่ลำบาก จึงคิดแสวงหาซื้อที่ดินจำนวนมากมาทำไร่เกษตรตามโครงการดังกล่าว
ปี 2515 มีคุณย่าจงจินต์ รุจิรวงศ์ แม่ของพล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ได้แนะนำให้พระกิตติวุฒฺโฑ รู้จักกับนายสมพล โกศลานันท์ เศรษฐีเมืองจันทบุรี ผู้เป็นเจ้าของที่ดิน 3,800 ไร่ เมื่อนายสมพล โกศลานันท์ ทราบวัตถุประสงค์ว่า พระกิตติวุฒฺโฑ ต้องการได้ที่ดินไปทำประโยชน์แก่พระศาสนา โดยมีโครงการว่า ส่วนหนึ่งจะทำเป็นวิทยาลัยเกษตรของสงฆ์ ให้ลูกหลานชาวบ้านมาเรียนเกี่ยวกับการเกษตรพืชผล จบแล้วให้ทำเกษตร ณ ที่เหล่านั้นเลย แล้วนำดอกผลทั้งหมดมาบำรุงพระศาสนา ส่วนหนึ่งจะทำเป็นที่ฝึกสมาธิวิปัสสนานานาชาติ ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้พระไตรปิฎกและอื่น ๆ อยู่ในพื้นที่นั้นเลย เมื่อนายสมพล ได้ฟังโครงการจึงเกิดศรัทธา และยินดีขายที่ทั้งหมดให้ในราคาแบบทำบุญด้วย คือ ไร่ละ 3,000 บาท เป็นจำนวนเงินรวม 12 ล้านบาท
หลังจากนั้น พระกิตติวุฒฺโฑได้ประกาศเชิญชวนญาติโยมให้มาร่วมกันบริจาคเพื่อซื้อที่ดังกล่าว จนได้เงินมาทั้งสิ้น 8 ล้านบาท และได้นำมาซื้อที่ดินเหล่านั้นในนามมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ หลังจากนั้นนายสมพล ก็ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้กับพระกิตติวุฒฺโฑเข้าทำประโยชน์ และทุก ๆ หน้าแล้ง พระกิตติวุฒฺโฑจะนำพระเณรจากจิตตภาวันจำนวน 300-400 รูปเข้าไปพักในไร่จันทบุรีนั้น และทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา รวมทั้งปลูกต้นไม้ แม้กระทั่งทำฝายกั้นน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้งด้วย
โดยระยะแรกพระกิตติวุฒฺโฑได้มอบให้น้องชายท่านชื่อนายชูศักดิ์ เจริญสถาพร เป็นผู้ดูแลสวนในระยะแรก ต่อมานายชูศักดิ์ ได้ไปเป็นสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) จันทบุรี ท่านจึงให้น้องชายอีกคน คือ นายบุญช่วย เจริญสถาพร มาเป็นผู้ดูแลสวนแทน
จากนั้น พระกิตติวุฒฺโฑ ก็ไม่ได้มีการชำระเงินส่วนที่เหลืออีกเลย แต่ก็ได้มีการแจ้งให้ผู้บริจาคทราบว่า ถ้ามีการชำระที่ดินครบเมื่อไหร่ จะประกาศเชิญชวนญาติโยมมาทำพิธีร่วมกันรับมอบโฉนดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง จนกระทั่งปี 2538 นายสมพล โกศลานันท์เจ้าของสวนเสียชีวิต ต่อมา ปี 2548 พระกิตติวุฒฺโฑก็มรณภาพไป นายบุญช่วย เจริญสถาพร ซึ่งเป็นผู้ดูแลสวนและเป็นน้องชายของพระกิตติวุฒฺโฑ ได้อ้างสิทธิ์ว่า ตนเองเป็นผู้ซื้อที่ดิน 3800 ไร่นั้น แต่ยังไม่มีการโอนโฉนดกัน นอกจากที่ดิน 3800 ไร่นี้แล้ว พระกิตติวุฒฺโฑ ยังได้มีการซื้อที่ดินที่อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรีอีก 1,300 ไร่ (ไม่มีเอกสารสิทธิ์) และที่อำเภอเทพา จ.สงขลา ติดทะเลยาวกว่า 2 กิโลเมตรอีก 600 ไร่ (มีโฉนด) และที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง
ภาคสอง : มูลเหตุของคดี ที่ดินพิพาทเริ่มก่อตัวขึ้น ดังนี้ 3 พ.ค.50 นายบุญช่วย เจริญสถาพร พร้อมด้วย นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ ทนายความ ได้นำ “หนังสือรับรองการซื้อขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ทำการซื้อขาย” มาให้นายเรวัต โกศลานันท์ ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของนายสมพลเซ็นรับทราบว่าได้มีการขายที่ดิน 85 แปลงให้กับนายบุญช่วย แต่เพียงผู้เดียวแล้ว
19 ก.ค.50 นายบุญช่วย ได้อาศัยหนังสือรับรองการซื้อขายฯดังกล่าว มาฟ้องนายเรวัต โกศลานันท์ ต่อศาลจันทบุรี คดีแพ่ง 1420 /2550 เพื่อให้นายเรวัต โอนโฉนดทั้งหมดให้ตนเอง โดยมีนายบัญชา เป็นทนายฝ่ายนายบุญช่วย และได้นำ ทนายสำนักงานเดียวกันกับตนเองคือ นายเจต จึงประเสริฐศรี มาเป็นทนายให้ฝ่ายนายเรวัตด้วย และแถลงศาลว่า คู่ความตกลงกันได้แล้ว ศาลจึงพิพากษาให้คดีเด็ดขาดตามสัญญายอม และคืนเงินประกันศาลให้นายบุญช่วย (175,000 บาท)
สิ้นสุดการฟ้องนั้น ศาลได้ออกหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความให้ทั้งสองฝ่าย โดย มีเงื่อนไข 6 ข้อ คือ นายเรวัต รับว่าเป็นทายาทผู้รับมรดกนายสมพลจริง, นายเรวัตตกลงจดทะเบียนโอนสิทธิ์ที่ดิน 86 แปลงให้นายบุญช่วย, ทั้งสองฝ่ายหา น.ส.3 ที่ดิน 86 แปลงไม่เจอ อนุญาตให้นายบุญช่วย ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินใหม่กับสนง.ที่ดินได้, ให้นายบุญช่วย ชำระค่าธรรมเนียมการโอนเอง, ให้ทั้งสองฝ่ายถือเอาตามสัญญานี้, ทั้งสองฝ่ายจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ต่อกันอีก
ต่อจากนั้นนายบุญช่วย ได้นำสัญญาประนีประนอมดังกล่าว ไปขอขึ้นเป็นโฉนดที่ดิน ที่สำนักงานที่ดิน สาขา อ.มะขาม จ.จันทบุรี 20 ส.ค.50 สำนักงานที่ดินสาขา อ.มะขาม ทำหนังสือถึงศาลจันทบุรีว่า สัญญาประนีประนอมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงปฏิเสธการโอนโฉนดที่ดินให้นายบุญช่วย
28 ส.ค.50 สำนักงานที่ดิน อ.มะขาม ทำหนังสือถึงศาลจันทบุรีอีกครั้ง ด้วยเหตุผลว่านายบุญช่วย ได้นำคำพิพากษาตามยอมนั้นไปแสดงต่อสำนักงานที่ดินเพื่อให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ตนเอง แต่ทางที่ดินยังคงยืนยันว่า เมื่อนายสมพล โกศลานันท์ถึงแก่กรรมแล้ว นายเรวัต เป็นเพียงทายาทคนหนึ่งผู้มีสิทธิ์รับมรดกของนายสมพล เท่านั้น ไม่น่าจะใช้คำพิพากษาตามยอมนั้นโอนสิทธิ์ตามกฎหมายได้
12 ก.ย. 50 นายบุญช่วย กับนายบัญชา ได้กลับไปให้บุตรนายสมพลอีก 2 คน คือ นายกำพล โกศลานันท์ และนายเกษม โกศลานันท์ ทำหนังสือยืนยันกับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้โอนที่ให้นายบุญช่วย
12 ก.ย.50 ในวันเดียวกันนั้น นายบุญช่วย ได้มอบเงินจำนวน 2 ล้านบาทให้บุตรของนายสมพล 3 คน คือ นายเรวัต นายกำพล และนายเกษม ระบุว่า ข้าพเจ้าทั้งสามได้รับการชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 86 แปลง ที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยเป็นจำนวน 2 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (แต่ภายหลังนายบุญช่วย อ้างว่าไม่ใช่เงินชำระที่ดิน แต่เพื่ออำนวยความสะดวก)
22 ต.ค.50 ศาลจันทบุรี สั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ให้มีหนังสือแจ้งยืนยันให้สำนักงานที่ดินจันทบุรี สาขา อ.มะขาม ให้ดำเนินการโอนที่ดินตามคำพิพากษาตามยอมให้กับนายบุญช่วย เจริญสถาพร ตอนท้ายของรายงานนั้น มีพิมพ์ลายนิ้วมือข้างขวาของนายสมพล โกศลานันท์ เป็นจำเลยรับทราบ (ความจริงนายสมพล โกศลานันท์ เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2538 แล้ว)
21 พ.ย.50 นายบุญช่วย และทนายบัญชา ได้ฟ้องนายเรวัตอีกครั้งหนึ่ง และอ้างว่า นายสมพล มีทายาทเพียง 3 คน คือ นายเรวัต นายกำพล และนายเกษม และในวันนั้น นายกำพล กับนายเกษม ไม่ได้ไปศาล แต่นายบุญช่วย ได้อ้างหนังสือที่สองคนได้ทำการยืนยันการทำประโยชน์ให้แก่นายบุญช่วย เมื่อ 12 ก.ย.50 มาอ้าง และศาลจึงให้มีหนังสือยืนยันแจ้งสำนักงานที่ดินจังหวัดจันทบุรี สาขา อ.มะขาม ให้ดำเนินการโอนที่ดินให้แก่โจทก์ คือ นายบุญช่วย อนึ่งเนื่องจากที่ดินบางส่วนอีก 16 แปลงอยู่ในเขตอำเภอท่าใหม่ ศาลจึงให้มีหนังสือถึงสำนักงานที่ดิน สาขาท่าใหม่ ให้ดำเนินการโอนที่ให้นายบุญช่วย เช่นกัน (ซึ่งความจริงนายสมพล มีทายาท 6 คน คือ นางภาพร อุดมโพธิพร (โกศลานันท์) นายเรวัต โกศลานันท์ นายกำพล โกศลานันท์ นายเกษม โกศลานันท์ นางสาวดวงธิดา โกศลานันท์ และนางสาวสุกัญญา โกศลานันท์)
21 พ.ย.50 นี้เอง ศาลได้ ออกหนังสือที่ ศย.302.003(บ)/1128 ถึงเจ้าพนักงานที่ดินสาขา อ.มะขาม ยืนยันคดีแพ่ง 1420 /2550 ระหว่างนายบุญช่วย เจริญสถาพร กับนายเรวัต โกศลานันท์ ในฐานะทายาทผู้รับมรดกนายสมพล ศาลจันทบุรี ขอแจ้งยืนยันให้สำนักงานที่ดินจังหวัดจันทบุรี สาขามะขาม ให้ดำเนินการโอนที่ดินตามคำพิพากษาตามยอมให้กับโจทก์ต่อไป
ตั้งแต่นั้นนายบุญช่วย จึงได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวทั้งหมด ต่อจากนั้น เมื่อทายาทคนอื่นๆ ทราบเรื่องจึงแปลกใจว่า คุณตา คือ นายสมพล โกศลานันท์นั้น ได้ขายที่ดินดังกล่าวให้กับมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ หรือจิตตภาวัน โดยมีพระกิตติวุฒฺโฑเป็นผู้เจรจาซื้อขาย แต่ทำไมจึงกลายเป็นนายบุญช่วย เป็นคนซื้อและได้ที่ดินนั้นไป นางภาพร ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของนายสมพล จึงออกแสวงหาข้อเท็จจริง โดยไปยื่นเรื่องต่อมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ และจิตตภาวัน รวมทั้ง ดีเอสไอ และกองปราบด้วย เพื่อให้พิสูจน์ความจริงเรื่องนี้ หลังจากสืบเสาะหาอยู่นานจึงพบว่า หลักฐานต่าง ๆ ทางราชการล้วนระบุว่า มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ หรือ จิตตภาวัน หรือ พระกิตติวุฒฺโฑ เป็นเจ้าของที่ดิน จึงทราบแน่ชัดว่า ที่ดินถูกนายบุญช่วย เจริญสถาพร ยักยอกฉ้อโกงไปแน่นอน 20 พ.ค. 54 ทายาท 3 คน นางพรรณี โกศลานันท์ หรือ (ภาพร อุดมโพธิพร) น.ส.ดวงธิดา โกศลานันท์ นายเกษม โกศลานันท์ ร่วมกันเป็นผู้มอบอำนาจให้ น.ส.นันจา บัณฑูรนิพิท(หรือ เขมจิรา ) ให้ติดตามที่ดินของนายสมพล โกศลานันท์กลับคืนให้แก่ทายาทต่อไป โดยมีน.ส.ปลิดา บัณฑูรนิพิท และน.ส.ณัฐกานต์ โกศลานันท์ เป็นพยาน 25 ก.ย.54 นางภาพร อุดมโพธิพร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายบุญช่วย เป็นคดีแพ่ง 630/2554 ฐานฟ้องทายาทเท็จจาก 6 คนเหลือ 3 คน และฉ้อโกงทรัพย์ และศาลฏีกายืนยันตามสัญญาประนีประนอมตัดสินให้ฝ่ายตระกูลโกศลานันท์แพ้คดี จากนั้นทำให้นายบุญช่วย ฟ้องกลับ และทั้งสองฝ่ายก็ฟ้องกันไปมา รวมคดีแล้ว 13 คดี
นอกจากนี้ นายบุญช่วย ยังได้ฟ้องกรรมการมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุด้วย และมีพระผู้ใหญ่ของมูลนิธิโดนฟ้องรวม 8 รูป และยังมีตำรวจที่กองปราบปราม ก็ถูกนายบุญช่วย ร้องเรียน 4 ครั้งหาว่า ทำคดีล่าช้า ทำให้ไม่สามารถขายที่ดินได้ เป็นต้น
ภาคสาม : บุคคลที่เกี่ยวข้องในคดี ในคดีที่มีการยิงกันนี้ ฝ่ายโจทก์ คือ นายบุญช่วย เจริญสถาพร โดยมีนายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ เป็นโจทก์ด้วย เป็นทนายความด้วย และนายวิจัย สุขรมณ์ เป็นทนายความ นางสุภาพร ปรมีศณาภรณ์ ภรรยานายบัญชา และ นายวิชัย อุดมธนภัทร ทนายผู้ช่วยนายบัญชา และนายธนากร ธีรวโรดม (ผู้ยิงพล.ต.ต.ธารินทร์) เสมียนทนายของนายวิจัย ฝ่ายจำเลย คือ นางภาพร อุดมโพธิพร นางเขมจิรา บัณฑูรนิพิท พล.ต,ต,ธารินทร์ จันทราทิพย์ และนายอธิวัฒน์ ช่อผูก ทนายความ
สรุปคดี ความจริงแล้วคดีนี้ ผู้ที่ต้องออกมารับผิดชอบ และทวงถามที่ดินคืน ควรจะเป็นมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ร่วมมือกับทางทายาท เพื่อผดุงศรัทธาของชาวบ้านที่ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดังกล่าว และนำผลผลิตมาบำรุงพระพุทธศาสนาตามที่กล่าวอ้าง แต่มูลนิธิก็ไม่ทำอะไรเลย แถมยังไปเป็นพยานให้ฝ่ายนายบุญช่วยอีกต่างหาก
อีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่พระกิตติวุฒฺโฑจะเสียชีวิต ได้ทำพินัยกรรมไว้ตอนเดินทางไปประเทศเนปาล โดยในพินัยกรรมนั้นระบุว่า ที่ดิน 600 ไร่ ที่ อ.เทพา จ.สงขลา และ 1300 ไร่ที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยให้ น.ส.สมนึก เจริญสถาพร ซึ่งเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า จำหน่ายทรัพย์สินเหล่านี้มาบำเพ็ญประโยชน์แก่ประเทศชาติ พระศาสนา ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาและยังไม่สำเร็จอยู่หลายโครงการ ข้าพเจ้าเขียนพินัยกรรมนี้ ในขณะจะเดินทางไปประเทศเนปาล เพื่อวางแผนพัฒนาลุมพินี ข้าพเจ้ามีสติสัมปัญญะสมบูรณ์ทุกประการ พระเทพกิตติปัญญาคุณ (กิตติวุฑโฒภิกขุ) ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ ข้อเป็นที่น่าสังเกต คือ ที่ดินจังหวัดจันทบุรี จำนวน 3,800 ไร่มิได้ระบุไว้ด้วย น่าจะเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ เพราะยังชำระค่าที่ดินไม่หมด และเพราะซื้อในนามมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ
ซึ่งที่ดินทั้งที่ อ.เทพา และบางละมุง ไม่ได้มีการจำหน่ายเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตามพินัยกรรมแต่อย่างใด แต่ถูกโอนชื่อเป็นโฉนด ในนาม นายบุญช่วย เจริญสถาพร ไปหมดแล้ว
จากมูลเหตุคดีนี้ จึงอยากขอขอบพระคุณ พล.ต.ต.ธารินทร์ จันทราทิพย์ไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง ที่ได้สืบเสาะหาหลักฐานต่าง ๆ ทำให้คดีกระจ่าง และจะเป็นการทวงถาม และกอบกู้ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อไป หวังว่า ความเป็นธรรมจะยังคงมีอยู่ในโลกนี้
ด้วยรักและอาลัยอย่างยิ่ง ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ 14 พ.ย. 62 ขอขอบคุณเจ้าของบทความไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #249 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2019, 10:14:51 PM » |
|
Karnlada บันทึกสุดท้ายจาก ศัลยเเพทย์เศรษฐีร้อยล้าน ในจุดสูงสุดของชีวิต กลับพบว่า "เงินไม่ได้มีความหมาย"
บันทึกสุดท้าย ที่อยากเเบ่งปันให้ทุกคนอ่าน...
"เมื่อเราเรียนรู้ที่จะ ต า ย อย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร"
"นพ.ริชาร์ด เตียว" (Dr. Richard Teo) ศัลยแพทย์เสริมความงามชื่อดัง ชาวสิงคโปร์ มหาเศรษฐีร้อยล้าน ผู้ ป่ ว ย ด้วย โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ป อ ด ร ะ ย ะ สุ ด ท้ า ย ท่านได้บรรยายประวัติชีวิตของตนเอง นับจากจุดเริ่มต้น จนถึงก้าวสุดท้าย ที่หลุดออกมาจากวงจรของการใช้ชีวิตที่ อั น ต ร า ย ได้ ก่อนที่เขาจะ จ า ก ไ ป ด้วยวัยเพียง 40 ปี ขอนำข้อความที่ประทับใจมาเตือนสติทุกคน
"...สวัสดีครับทุกท่าน ได้โปรดอดทนกับเสียงแหบๆ ของผมซึ่งเป็นผลมาจากการให้ ย า คี โ ม รักษา โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ของผมนะครับ ผมอยากเริ่มต้นด้วยคำพูดที่ว่า ผมเป็นแบบฉบับของผลผลิตของสังคมทุกวันนี้ ซึ่งถูกครอบงำด้วยอิทธิพลจากสื่อ ที่สร้างอิทธิพลและความประทับใจให้แก่ผมตั้งแต่เด็กว่า “การมีความสุข คือการเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ และการที่จะประสบความสำเร็จได้ หมายถึงการเป็นคนที่ร่ำรวยมั่งคั่ง”
ชีวิตของผมจึงดำเนินไปตามคติพจน์ที่ว่านี้มาตลอด สมัยเด็กๆ ผมเป็นคนที่ชอบการแข่งขันในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องกีฬา, เรื่องการเรียน หรือเรื่องการเป็นผู้นำ ผมได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้วทั้งหมด เหลือแต่เรื่องสุดท้าย ก็คือเรื่องของเงินทอง ดังนั้นผมทนเห็นเพื่อนๆ ของผมที่ทำงานเอกชน พากันร่ำรวย ทำเงินได้มากมายมหาศาลไม่ไหว ผมจึงพูดกับตัวเองว่า “พอกันที สำหรับการฝึกอบรมเป็นจักษุแพทย์ที่เสียเวลานานมากเกินไปแล้ว”
ในเวลานั้น เป็นยุคที่การแพทย์เวชกรรมเสริมความงามกำลังเฟื่องฟูสุดขีด และผมเห็นเป็นโอกาสทองที่จะทำเงินได้มาก มากจนผมคิดว่า จงลืมเรื่องการฝึกเป็นจักษุแพทย์ไปเสียเถอะ ผมจะเป็นหมอเสริมความงามดีกว่า ผมพบสัจธรรมที่ว่า ไม่มีใครร่ำรวยจากการหากินกับคนจน แต่เขาร่ำรวยจากการหากินกับพวกดารา, นักการเมือง, มหาเศรษฐี และคนดังที่มีชื่อเสียงต่างหาก เพราะคนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกแพง เมื่อต้องจ่ายเงินสัก 750 บาทเป็นค่ารักษา โ ร ค ทั่วไป แต่กลับเต็มใจที่จะควักเงิน 250,000 บาทสำหรับเป็นค่าดูดไขมันเสริมความงาม
ผมจึงมุ่งไปสู่ธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว เลิกรักษาคน ป่ ว ย ทั่วไป แล้วไปเป็นแพทย์เสริมความงามแทน และมันก็ทำเงินให้ผมมาก คลินิกของผมจึงเริ่มต้นโตขึ้น จนล้นแล้วล้นอีก ต้องจ้างแพทย์เพิ่มไม่เคยเพียงพอ เช่นเดียวกับความต้องการของผมก็ไม่เคยพอเพียงเช่นกัน ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี นี่เป็นโอกาสทองของผมจริงๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ผมจึงถอยรถเฟอรรารี่คันแรกของผมออกมา เนื่องจากผมมีเงินเหลือเก็บมากมาย ผมจึงหาลู่ทางลงทุนอย่างอื่นต่อ ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ทำเงินได้ปีละกว่า 125 ล้านบาท ผมมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว พร้อมที่จะใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์
ในเดือนมีนาคมปี 2011 โดยไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ผมยังสาละวนอยู่กับการออกกำลังกาย ผมเกิดมีอาการ เ จ็ บ สั น ห ลั ง ที่ไม่ยอมหาย หมอก็ตรวจพบว่า กระดูกไขสันหลังครึ่งหนึ่งของผม ถูกแทนที่ด้วยเ ซ ล ล์ ม ะ เ ร็ ง ไปหมดแล้ว วันต่อมา หมอก็ให้การวินิจฉัยว่า ผมเป็น ม ะ เ ร็ ง ป อ ด ขั้ น สุ ด ท้ า ย ม ะ เ ร็ ง ได้กระจายไปทั่ว ส ม อ ง, ไขสันหลังครึ่งหนึ่ง, ปอดทั้งสองข้าง, ตับ ,และต่อมหมวกไต, ฯลฯ ของผมแล้ว
ผมบอกกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนนี้ ผมยังออกกำลังกายอยู่ในห้องยิมเลย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นนี่ ผมเชื่อว่าคุณคงรู้ได้ว่าผมมีความรู้สึกอย่างไร ขณะหนึ่ง ชีวิตของผมกำลังก้าวไปถึงจุดสุดยอดแล้ว พอข้ามวัน กลับมีข่าวร้ายมาแทนที่ และทำให้ชีวิตของผมทั้งหมดพังทลายลง ผมยอมรับไม่ได้ ผมมีญาติทั้งฝ่ายพ่อและแม่ร่วมร้อยคน และไม่มีใครเลยสักคนที่เป็น โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ในความคิดของผมแล้ว ผมมีพันธุกรรมที่ดี ผมไม่สมควรจะได้รับสิ่งนี้ แล้วทำไมจะต้องเป็นผม เหตุการณ์ต่อมา
ผมได้รับการเตรียมตัวเพื่อรับคี โ ม รักษา ม ะ เ ร็ ง เริ่มต้นด้วยการฉายรังสีรักษาทั่วสมอง ผมถามหมอว่า ผมจะมีชีวิตไปได้อีกนานเท่าไร หมอบอกว่า “ไม่เกินหกเดือน” ผมก็ยังคงหวังว่า นี่เป็นเพียงแค่ฝันร้าย เมื่อผมตื่นขึ้น ทุกอย่างก็จะจบเอง วันแล้ววันเล่า ขณะที่ผมต้องดิ้นรนต่อสู้กับ โ ร ค ร้ า ย ผมเกิดอาการ ซึ ม เ ศ ร้ า ตามมา
เขาบอกว่ามันเป็น “เสียงภายใน” ที่กระตุ้นให้เขาคิดทบทวนเรื่องความสุขของเขาและก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป ดร.ริชาร์ดได้ปฏิรูปแนวคิดเรื่องความสุข “ทุกสิ่งเหล่านี้ที่ผมมี ความสำเร็จ ถ้วยรางวัล รถยนต์ บ้านและทุกๆ อย่าง ผมคิดว่าพวกเขาจะนำพาความสุขมาให้ แต่ด้วยความคิดทั้งหมดของการครอบครองพวกเขาไม่ได้ทำให้ผมไม่มีความสุข ฉันกอดเฟอร์รารีไปนอนด้วยไม่ได้ สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา คือการมีสัมพันธ์กับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ คนที่ดูแลผมอย่างแท้จริง พวกเขาหัวเราะและร้องไห้ไปกับผม และพวกเขาสามารถบอกความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานที่ผมกำลังประสบอยู่”
ผมกลายมาเป็นผู้ ป่ ว ย เสียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่าจะเปลี่ยนไปเป็นแพทย์อีกคนที่แตกต่างไปจากนี้หรือเปล่าถ้ากลับมีชีวิตอีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ ป่ ว ย เหล่านั้นรู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่งนี้จากของจริง สำหรับผมตอนนี้ใกล้จะถึงฉากสุดท้าย ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร คนที่เป็นห่วงเป็นใยผม ให้กำลังใจผม ได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในตัวผม
เป็นที่รู้กันว่า ม ะ เ ร็ ง ป อ ด เป็น ม ะ เ ร็ ง ที่มีอัตราการ เ สี ย ชี วิ ต สูงสุดเทียบกับ ม ะ เ ร็ ง อื่นๆ แต่ด้วยกำลังใจอย่างแรงกล้าโดยเพื่อนของผม และพี่น้องอีกหลายคนที่ผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน ผลการตรวจกลับมาขณะที่ผมกำลังรอการให้คีโมบำบัดอยู่ ว่า ผมมียีนส์ EGFR positive ซึ่งมันเป็นข่าวดี เพราะผมสามารถกินย า เม็ดรักษา โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ได้ จนเซลล์ ม ะ เ ร็ ง ยุบหายไปมากกว่า 90% ในอีกหลายเดือนต่อมา
การได้รับการยอมรับและสันติสุข
ตลอดหลายเดือนหลังๆ นี้ ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร ในอดีต ผมแสวงหาความสุขด้วยการไขว่คว้าหาความร่ำรวย เพราะคิดว่ามันจะทำให้ผมมีความสุข แต่เมื่อผมนอนรอความ ต า ย อยู่บนเตียงนั้น ผมกลับไม่พบความสุขเลยในบรรดาสิ่งของวัตถุทั้งหลายที่ผมครอบครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรถเฟอรรารี่, ที่ดินที่ผมกำลังซื้อเพื่อสร้างบ้านพักตากอากาศ หรือแม้แต่การประสบความสำเร็จในธุรกิจ ก็ไม่ได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้ผมเลยแม้แต่น้อย ความสุขที่แท้จริงกลับมาจากความสัมพันธ์กับผู้อื่น
บ่อยครั้งในอดีต ผมเคยคิดว่าการแสวงหาความมั่งคั่ง และการอวดร่ำอวดรวย โดยการขับรถเฟอรรารี่คันงามของผมไปให้ญาติๆ และเพื่อนของผมได้ชื่นชม จะนำความสุขมาให้ผมและคนอื่นๆ ที่จะได้ร่วมแสดงความยินดีร่วมกับผม แต่มันกลับเป็นความภาคภูมิใจชั่วครู่ที่ฉาบฉวย รังแต่จะสร้างความ อิ จ ฉ า ริ ษ ย า และทำให้ผู้อื่น ชิ ง ชั ง ในตัวผมมากยิ่งขึ้น นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
ผมยังได้พบอีกว่า การยื่นมือไปช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่เขาตกทุกข์ยาก เป็นสิ่งที่นำรอยยิ้มและความสุขที่แท้จริงมาสู่ผู้คน เพราะผมได้ผ่านประสบการณ์ความทุกข์ยากเช่นนี้มาแล้วด้วยตัวเอง และรู้ซึ้งว่ามันเป็นเช่นไร ไม่เหมือนคนอื่นที่ไม่เคยเป็น ม ะ เ ร็ ง แล้วคอยบอกผู้ ป่ ว ย ที่เป็น โ ร ค ม ะ เ ร็ ง ว่า “คุณต้องมีความคิดบวกเข้าไว้, ต้องมองโลกในแง่ที่ดีซิ” ถ้าลองคุณมาเป็น โ ร ค ม ะ เ ร็ ง เองบ้าง คุณจะยังมีความคิดในแง่บวกได้อีกไหม แต่สำหรับผม ผมสามารถพูดหนุนใจผู้อื่นได้อย่างเต็มปาก เพราะผมมีใบรับรองของการเป็นผู้ ป่ ว ย โ ร ค ม ะเ ร็ ง มาแล้ว
กล่าวโดยสรุป
ผมอยากพูดว่า ยิ่งคุณจัดลำดับความสำคัญของชีวิตคุณได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับชีวิตของคุณมากเท่านั้น อย่าเป็นอย่างผมที่ กว่าจะรู้ว่าสิ่งไหนสำคัญ ก็ต้องผ่านความทุกข์ยากแสนสาหัส แต่ก็รอด ต า ย มาได้ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ก็คือ
- จงรักเพื่อนบ้านและรับใช้ผู้อื่น มิใช่แต่ตัวเอง
- การเป็นคนร่ำรวย หรือมั่งคั่ง ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ปัญหาของมันก็คือ คนส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถควบคุมมันได้ ยิ่งเรามีมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นอีก ในฐานะที่เราทำวิชาชีพแพทย์ เรามักจะหลีกเลี่ยงการสร้างฐานะความมั่งคั่งให้กับตัวเองเมื่อมีโอกาสไม่ได้ แต่เราต้องจดจำไว้เสมอว่า ทุกสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติแท้จริงของเรา
เมื่อผมเผชิญหน้ากับความ ต า ย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะ ต า ย อย่างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร
อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่าให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่องนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชีวิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพาะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย (Dr. Richard Teo ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ขอให้ดวงวิญญาณของเขาจงไปสู่สุขคติ)
ขอแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อผู้ล่วงลับและขอขอบคุณบทความดีๆที่ได้นำมาแบ่งปันแนวทางในการดำเนินชีวิต ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 25, 2020, 10:18:09 PM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #250 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2019, 10:20:53 PM » |
|
ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ขอบคุณครับน้าหมูที่เตือนสติ เพื่อน ๆ อ่านให้จบเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตที่ดีมากจริงๆครับ
#เมื่อน้าหมู คุณพงษเทพ กระโดนชำนาญ ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้
“ผมนอนผ่าตัด ในโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ที่มีเครื่องมือ ที่ทันสมัย ที่สุดในเอเชีย แต่ต้องสิ้นเปลืองมาก 1 ผมขายบ้านไป 1 หลัง 2 ขายรถไป 2 คัน 3 ขายมอเตอร์ไซค์ ฮาเลย์ ไป 1 คัน 4 ขายม้าอีก 2 ตัว #ไม่พอ ยืมเพื่อนอีกก้อนหนึ่ง 5 มีทองอยู่ 20 บาท ก็ขายทุกอย่างหมด . #แล้วก็ผ่าตัด #ทำทุกอย่างให้มันกลับมาให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ราคาเท่าไหร่ไม่เกี่ยง”
“ตอนนั้นผมนึกถึงคำพูดของท่านดาไลลามะ บอกว่า . มนุษย์เราก็แปลกนะ ทุ่มเททำงานทั้งชีวิต ไม่กลัวเหน็ด ไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวป่วย ทำงานได้เงินมหาศาล ได้เงิน ได้ทรัพย์สินศฤงคาร ไม่เคยห่วงตัวเองเลย . #พอวันหนึ่งป่วย มนุษย์ก็แปลก ขายทรัพย์สินที่หามา ทุกอย่างหมด เพื่อมารักษาตัวเอง แล้วก็กลับมาอยู่อย่างนี้ . เออ เราก็เลยนอนยิ้่ม ท่านเป็นผู้รู้จริงๆ ผมก็เป็นอย่างที่ท่านบอก”
# วันนี้ ยังทัน จงทำ 1 ดูแลสุขภาพ 2 ซื้อประกัน 3 กินอาหารครบ 5 หมู่ 4 ไม่กินตามใจปาก 5 หวาน มัน เค็ม ไม่กิน
ก็คงไม่จ่าย หนักขนาดนี้นะครับ... . ขอบคุณน้าหมู คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ที่ออกมาแบ่งปัน
ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ขอบคุณครับน้าหมูที่เตือนสติ เพื่อน ๆ อ่านให้จบเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิตที่ดีมากจริงๆครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2019, 10:24:48 PM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #251 เมื่อ: มกราคม 17, 2020, 09:40:48 PM » |
|
NEWS: Photobook สุดเศร้า ภาพสุดท้ายของน้องหมาญี่ปุ่นที่เจ้าของทิ้ง ก่อนเข้าห้องรมแก๊ส .ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ “สะอาด” น่าจะเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งแน่นอนความสะอาดนี้ของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งก็มาจากวินัยของคนญี่ปุ่นเองที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับตรง ๆ อีกส่วนก็เกิดจากมาตรการของรัฐ และมาตรการหนึ่งที่ญี่ปุ่นทำเด็ดขาดมากก็คือการ “จัดการ” กับหมาจรจัด
.เราไปญี่ปุ่น เราไม่เคยเห็นหมาจรจัดใช่มั้ยครับ? เห็นแบบนี้เราอาจพาลคิดว่าคนญี่ปุ่นไม่ทิ้งหมา แต่ในความเป็นจริง ญี่ปุ่นทิ้งหมากันมากมายมหาศาล ซึ่ง “ทิ้ง” ในที่นี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทิ้งกันข้างถนน แต่เอาไปให้สถานพักพิงโดยตรงเลย (สมเป็นญี่ปุ่น จะทิ้งหมายังทำอย่างเป็นระเบียบ) หรือถึงแม้ว่าหมาบางส่วนก็ถูกทิ้งข้างถนนจริง แต่ไม่นานก็จะมีเจ้าหน้าที่ไปจับจากข้างถนนมาสถานพักพิงอย่างรวดเร็วอยู่ดี เราจึงไม่เห็นหมาจรจัดในญี่ปุ่นเลย และจากสถานพักพิงนั้นน้องหมาก็ต้องรอคนมาอุปการะหรือรับไปเลี้ยง
.คำถามคือ ถ้าไม่ได้รับการอุปการะชะตากรรมน้องหมาจะเป็นอย่างไร? คำตอบคือ ถ้าอยู่มานานแล้วไม่มีคนรับอุปการะ ปลายทางก็คือห้องรมแก๊ส หรือถูกสถานอุปการะเอาไปทำ “การุณยฆาต”
.เราอาจมองว่านี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายและป่าเถื่อน แต่ในความเป็นจริงนี่ก็เป็นมาตรฐานโลก เพราะประเทศเจริญแล้ว เขาจะจัดการเอาหมาข้างถนนไปเข้าสถานพักพิงรอคนอุปการะหมด แต่สถานพักพิงก็มีทั้งเนื้อที่และงบจำกัด พูดง่าย ๆ คือไม่สามารถรับหมาเข้ามาได้เรื่อย ๆ ดังนั้นหมาที่อยู่มาก่อน อยู่มานาน และไม่มีคนอุปการะไปสักที ก็ต้อง “เสียสละพื้นที่” ในสถานอุปการะให้น้องหมาตัวใหม่ ๆ ที่เข้ามาภายหลัง และการเสียสละที่ว่าก็คือต้องถูกสถานพักพิงจับไปทำ “การุณยฆาต” นั่นเอง
.ในแง่นี้ญี่ปุ่นก็ “จัดการ” หมาจรจัดตามมาตรฐานสากลอยู่ แต่สิ่งที่ต่างคือ โดยทั่วไปในโลกอัตราการอุปการะน้องหมาจากสถานพักพิงมักจะสูงเกิน 50% (ชาติตะวันตกอัตราอุปการะ 60- 70% เป็นปกติ ขนาดจีนยัง 40% เลย) แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่นโอกาสที่คนจะรับไปอุปการะมีแค่ราว ๆ 10% เท่านั้น ซึ่งต่ำมาก ๆ และนี่ทำให้น้องหมาที่เข้าสถานพักพิงมีโอกาสตายราว ๆ 9 ใน 10 และนั่นทำให้มีหมาที่ต้องถูกทำการุณยฆาตจำนวนมากในแต่ละวัน ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุให้ทางญี่ปุ่นเลือกใช้วีธีการ “รมแก๊ส” ทีละหลายๆ ตัว ซึ่งต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่ใช้วิธี “ฉีดยา” เพื่อทำการุณยฆาตเป็นตัว ๆ ไป
.ทำไมคนญี่ปุ่นถึงไม่นิยมอุปการะหมาคงเป็นเรื่องที่ต้องถกกันยาว แต่ผลที่เกิดขึ้นของการไม่อุปการะหมา ก็คือปี ๆ หนึ่งมีน้องหมาญี่ปุ่นต้องถูกทำการุณยฆาติในห้องรมแก๊สเป็นจำนวนหลายแสนตัว
.นี่เป็นตัวเลขที่สูงมาก ๆ และมันคือตัวเลขในมุมมืดของสังคมญี่ปุ่นที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ไม่ค่อยรู้ ซึ่งก็ไม่แปลกนัก เพราะคนญี่ปุ่นแม้แต่คนที่รักหมา ก็ไม่ได้แวะเวียนไปดูหมาตามสถานพักฟื้นเพื่อเอามาอุปการะอยู่แล้ว
.ทั้งหมดทำให้สถานพักพื้นเหมือนหลุมดำที่ดูดกลืนชีวิตน้องหมา เพราะโอกาสรอดเพียง 10% นั้นก็หมายถึงในทางปฏิบัติก็คือน้องหมาส่วนใหญ่เข้าไปก็เพื่อรอวันตายเท่านั้นเอง
.คนรู้เรื่องพวกนี้ทุกคนที่รักหมาก็คงสะเทือนใจ คนญี่ปุ่นก็เช่นกัน ทาง Sae Kodama ช่างภาพหญิงคนหนึ่งที่คลุกคลีกับสถานพักฟื้นหมาได้จัดทำนิทรรศการภาพถ่ายน้องหมาก่อนเข้าห้องรมแก๊ส มาตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดเธอได้รวมเอาภาพมาทำเป็น Photobook (ดูภาพบางส่วนได้ที่ http://bit.ly/2QTqV13)
.ซึ่งดูไปก็น่าจะยิ่งสะเทือนใจ เพราะน้องหมาในภาพนั้นแม้ว่าจะดูหน้าจ๋อย ๆ กัน แต่ทุกตัวก็ยังดูสุขภาพดี ไม่ได้เจ็บป่วยหรือพิการอะไรเลย หรือถ้าจะพูดให้มากกว่านั้น ส่วนใหญ่นี่อยู่เมืองไทยยังน่าจะเอามาขายแพง ๆ ได้เลย เพราะเป็นหมามีสายพันธุ์ดี ๆ ทั้งนั้น (ยังไม่นับว่า “นิสัย” ก็น่าจะดีมาก ๆ เพราะใครเคยเจอหมาที่ญี่ปุ่นตัวเป็น ๆ ก็คงเห็นว่าพวกน้อง ๆ เรียบร้อยกันมาก ไม่เห่าโวยวายเลย)
.ทั้งหมดมันชวนให้เราคิดว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น? คนญี่ปุ่นเลี้ยงหมากันง่ายเกินไปรึไง?
.คำตอบคือเปล่าเลย เลี้ยงยากกว่าบ้านเราอีก คนญี่ปุ่นจะเลี้ยงหมาต้องไปลงทะเบียนกับเขต เพื่อจะทำบันทึกว่าใครเป็นเจ้าของ และออกตราที่ติดปลอกคอซึ่งสถานะเหมือนบัตรประชาชนของหมา พร้อมกันนั้นก็ต้อง “ฝังชิป” เพื่อน้องหมาหายจะได้รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ น้องหมาที่ตายก็ต้องไปแจ้งเขต พูดง่าย ๆ คือมีการขึ้นทะเบียนคล้าย ๆ คนเลย หรือพูดอีกแบบ ในญี่ปุ่นเอาจริง ๆ ทางรัฐบาลรู้ว่าหมาทุกตัวเป็นของใคร
.แต่ในความเป็นจริง ในหลาย ๆ เงื่อนไขคนญี่ปุ่นก็ต้องทิ้งหมา ไม่ว่าจะเป็นการจากบ้านนอกเข้าเมืองมาทำงานแล้วอยู่ห้องเล็ก ๆ เลี้ยงหมาไม่ได้ จนถึงเหตุสุดวิสัยในกรณีที่คนแก่ ๆ เลี้ยงหมาแล้วดันป่วยเลี้ยงต่อไม่ไหว หรือกระทั่งตายแล้วไม่มีใครรับหมาไปเลี้ยงต่อ ซึ่งเข้าใจว่าเคสหลัง ๆ นี้เยอะด้วยเพราะญี่ปุ่นมีคนแก่มากมายมหาศาล และคนแก่ญี่ปุนจำนวนมากก็เลี้ยงหมาไว้เป็นเพื่อน และก็มักจะตายก่อนหมาตลอด และสถานพักพิงก็ต้องรับไป “ดูแล” ต่อ ซึ่งหมาแก่ ๆ เข้าสถานพักพิง โอกาสรอดแทบจะเป็น 0% เพราะคนอุปการะที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็ไม่มีใครอยากรับหมาแก่ ๆ ไปเลี้ยง
.กล่าวอีกแบบหนึ่ง ถึงตัวเลขจะเยอะแบบต้องการุณยฆาตปีละเป็นแสนตัว แต่สังคมญี่ปุ่นก็ “ทำดีที่สุดแล้ว” ในแง่ที่ว่าสร้างมาตรการให้คนพร้อมจริง ๆ ถึงจะเลี้ยงหมาได้ หมาข้างถนนที่แพร่พันธุ์ไปเรื่อยจนต้องจัดการก็ไม่มี และหมาแทบทั้งหมดที่อยู่ในสถานพักพิงก็คือหมาที่เจ้าของเลี้ยงไม่ไหวแล้วเอาไปส่งด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้าของจะรู้มั้ยว่านั่งคือการส่งน้องไปสู่ความตาย เพราะมันไม่มีใครรับอุปการะกันเท่าไรหรอกในสังคมญี่ปุ่น
.แล้วอะไรคือทางแก้ที่เป็นไปได้ที่มากกว่านี้? คำตอบพื้นฐานมีสองทางคือ หนึ่งหาทางเพิ่มงบให้สถานพักฟื้นเพื่อรองรับหมาได้มากกว่านี้ เพื่อจะได้ต้องทำการุณยฆาตน้อยลง สองคือหาทางทำให้คนญี่ปุ่นเปลี่ยนคติเรื่องการเลี้ยงหมาและรับหมาไปอุปการะมากกว่านี้
.ซึ่งสองทางนี้ในทางปฏิบัติแทบจะขัดกัน เพราะแนวทางแรก คนเสนอว่าควรจะเก็บภาษีคนเลี้ยงหมาเป็นรายปี (ซึ่งหลายประเทศทำกัน แต่ญี่ปุ่นไม่ทำ) เพื่อเอาเงินมาให้พวกสถานพักฟื้น แน่นอนว่าในทางเทคนิคทำได้แน่ ๆ เพราะญี่ปุ่นรู้ว่าหมาทุกตัวในประเทศอยู่บ้านไหน ใครเป็นเจ้าของ จะเก็บภาษีไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าจะเก็บ แต่การทำแบบนี้ก็เป็นการเพิ่มภาระต้นทุนในการเลี้ยงน้องหมา และผลก็คือก็ยิ่งน่าจะทำให้คนตัดสินใจรับน้องหมาจากสถานพักพิงไปอุปการะต่ำลงอีก จากที่ต่ำอยู่แล้ว
.กล่าวคือญี่ปุ่นก็คงต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเพื่อทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และไม่ต้องทำการุณยฆาตหมากันปีละเป็นแสน ๆ ตัวแบบที่เป็นอยู่นี้
.แต่ระหว่างนี้ เราก็คงต้องดู Photobook จากนิทรรศการสุดเศร้าต่อไปเรื่อย ๆ และก็น่าจะอีกนานกว่าอะไร ๆ จะเปลี่ยนไป.อ้างอิง: http://bit.ly/2url1wp.#Japan #Animal #BrandThink #แชร์สิ่งเล็กๆให้ยิ่งใหญ่ #sharingIsEmpowering อัปเดตและติดตามข่าวสารได้ที่ Line: @brandthink (มี @ ด้วยนะครับ)
Instagram: instagram.com/brandthink.me Website: www.brandthink.meTwitter: twitter.com/BrandThinkme
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #253 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2020, 12:31:39 PM » |
|
เครดิต ทนง ขันทอง วิกฤติ ปฏิกิริยา ทางออกโคโรนาไวรัส
มองในอีกแง่หนึ่ง วิกฤติการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ซึ่งคร่าชีวิตไปแล้ว132คน และมีผู้ติดเชื้อ6,000คนเป็นพรที่แฝงตัวมาในความเลวร้ายก็ว่าได้สำหรับจีน เพราะว่ามันเปิดโอกาสให้ทางการจีนได้ซ้อมรับมือกับภาวะฉุกเฉิน ซ้อมรับภัย หรือซ้อมรับมือกับภาวะสงคราม
เราได้เห็นความเด็ดขาดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการจัดการกับปัญหาโคโรนาไวรัส โดยยกระดับการสกัดการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสเป็นวาระแห่งชาติ มีการสั่งงานจากเบื้องบนสู่ล่างอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ มิเช่นนั้น จะไม่สามารถปิด15เมือง และจำกัดการเคลื่อนไหวของพลเมือง57ล้านคนได้
มีการระดมพล ทั้งหมอพยาบาลและบุคคลากรด้านต่างๆมาช่วยกันดูแลผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วย และป้องกันไม่ให้โคโรนาไวรัสแพร่ระบาดออกไป มีการเตรียมการสร้างเตียง100,000เพื่อรองรับผู้ป่วย คนจีนมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้กับวิกฤติโคโรนาไวรัสอย่างน่าชมเชย
ทางจีนรู้ดีว่าต้นตอของปัญหาโคโรนาไวรัสมาจากห้องแลป มีห้องแลปหลายแห่งในโลกตะวันตกที่มีการเพาะเชื้อไวรัสสายพันธุ์โคโรนา เพื่อที่จะค้นคว้าหาวัคซีนมาป้องกัน
แต่อย่างที่เราทราบกันดี เหรียญมีสองด้าน มีดที่ถืออยู่ในมือจะเอาไปหั่นเนื้อสเต็กกิน หรือจะเอาไปฆ่าคนให้ตายก็ได้ อยู่ที่ว่าจะใช้งานอย่างไร ฉันใดฉันนั้นกับโคโรนาไวรัสที่สามารถวิจัยเพื่อป้องกัน หรือวิจัยเพื่อสร้างเป็นอาวุธเชื้อโรคก็ได้
ข่าวที่ว่าโคโรนาไวรัสติดต่อมาจากคนจีนที่กินค้างขาว กินงู หรือกินหมูที่ถูกพิษงู พิษค้างคาวเป็นนิทานหลอกเด็ก ความจริงแล้วโคโรนาไวรัส2019เป็นไวรัสที่ถูกตัดต่อพันธุกรรมเพื่อทำให้มีอายุยาวขึ้น ติดต่อระหว่างคนกับคนได้ง่ายขึ้น และมีระยะฟักตัวประมาณ14วัน เนื่องจากมีระยะฟักตัวนาน จึงมีพิษสงเบาบางลงในเรื่องการทำอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ ถ้าจะว่าไปแล้ว ไวรัสSARSยังมีความร้ายกาจมากกว่ามากโคโรนาไวรัสเสียอีก
แล้วมีมือดีเอามาปล่อยในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และอุตสาหกรรมของจีนเพื่อให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสในหมู่คนจีนในช่วงจังหวะช่วงเวลาตรุษจีนพอดี เพื่อให้เกิดความโกลาหล (Chaos) และให้ผลความตื่นตระหนกระดับสูงสุด
เมื่อมีความตื่นตระหนกในระดับสูงสุด การสอดใส่เฟคนิวส์จะเป็นการง่าย เพื่อช่วยจะกระพือความแพนิกเพิ่มเป็นทวีคูณ เพราะว่าเวลาคนทั่้วไปมีความหวั่นกลัว จะเชื่อเฟคนิวส์ในสื่อโซเซี่ยลได้ง่าย
ทางองค์การอนามัยโลกยังระบุเลยว่า คนทั่วไปเมื่อติดเชื้อโรคโคโรนาไวรัสรัส จะมีอาการป่วยปานกลาง (mild symptoms) ประมาณ20%ของผู้รับเชื้อจะมีอาการรุนแรง แต่เอาเข้าจริงก็ยังด่วนสรุปอะไรไม่ได้ เพราะว่าตัวเลขคนตาย132คน จากที่ติดเชื้อทั้งหมด6,000กว่าคน ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า คนที่ตายจากไวรัสนี้โดยมากเป็นโรคอื่นที่รุนแรงมาก่อนหรือเปล่า พอมาเจอโคโรนาไวรัสเหมือนเป็นการถูกลงดาบซ้ำเติม ทำให้เสียชีวิต
ภูมิอากาศที่ร้อนอย่างบ้านเราทำให้การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสเป็นไปยากกว่า เพราะว่าไวรัสอยู่ในอากาศได้ไม่กี่วินาทีก็ตาย ผู้ที่มีร่างกายแข็งแร็งอยู่แล้ว ไม่น่าจะถึงกับเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้ แต่ทางที่ดี ต้องไม่ประมาท ต้องหาทางป้องกันไว้ก่อน สำหรับผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการคออักเสบ มีปัญหากับระบบทางเดินหายใจ เมื่ออาการรุนแรงมากยิ่งขึ้นจะลงปอดทำให้เป็นปอดบวม
บ้านเรามียาสมุนไพรสาระพัดที่ช่วยบรรเทาเรื่องคออักเสบได้ ยาฟ้าทะลายโจรก็ช่วยได้ระดับหนึ่ง ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวให้มากๆ แต่ทางที่ดี ต้องให้แพทย์ดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด
โคโรนาไวรัสที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความพยายามที่จะทำลายจีนเพื่อสกัดจีนไม่ให้เป็นมหาอำนาจของโลก ด้วยการทำลายจีนตามสูตรของวิภาษวิธีของเฮเกล (Hegelian Dialectic) ตามสูตรนี้ จะมีการสร้างวิกฤติ (Crisis)ที่รุนแรง ซึ่งจะทำให้เกิดมีปฏิกิริยา (Reaction) ตามมา อันจะนำไปสู่ทางออก (Solution) ที่มีการเตรียมการเอาไว้แล้ว
Hegelian Dialectic = Crisis -- Reaction -- Solution
วิกฤติหรือCrisisในที่นี่คือการตัดต่อพันธุกรรมของโคโรนาไวรัสเพื่อก่อสงครามชีวภาคกับจีน
เมื่อมีการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส สิ่งที่ตามมาทันทีคือปฏิกิริยาตอบสนอง (Reaction) ที่โกลาหลชุลมุนวุ่นวายแบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการปิดเมือง ห้ามคนเดินทาง ปิดสนามบิน กักคนในตึก พาผู้ป่วยไปรักษาพยาบาล ในช่วงนี้ ซึ่งเรากำลังอยู่ในช่วงนี้ จะมีข่าวเฟคนิวส์ออกมามากเพื่อสร้างแพนิกเพิ่มยิ่งขึ้น ข่าวจากสื่อตะวันตกจะแพร่ข่าวโคโรนาไวรัสที่กระทบจีนอย่างเมามัน คล้ายกับว่าโลกกำลังจะแตก เช่นห้ามอยู่ใกล้คนจีน ห้ามเดินทางไปจีน ห้ามคนจีนเข้าประเทศ จีดีพีกำลังได้รับผลกระทบ ต้องปิดโรงงานการผลิต ทำให้มีผลกระทบวงกว้างต่อเศรษฐกิจ ระบบการเงิน ตลาดหุ้นตลาดการเงิน การท่องเที่ยว การค้าขายฯลฯ
แล้วในที่สุดจะมีการเสนอทางออก (Solution) เพื่อแก้วิกฤติ แล้วทางออก (Solution) ของปัญหาคืออะไร ถ้าไม่ใช่วัคซีนที่มีการเตรียมการอยู่ในมือแล้ว
สร้างโคโรนาไวรัส2019ได้ ก็ต้องสร้างวัคซีนได้
เมื่อมีวัคซีนในมือ ก็จะออกกฎเกณฑ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมาภิบาลโลก(Global Governance) ให้ทุกประเทศต้องควักเงินมาซื้อวัคซีนชนิดเดียวกันนี้ ใครไม่ฉีดถือว่าไม่มีหลักธรรมภิบาล อาจจะถูกแซงชั่นก็ได้
ถามคำถามง่ายๆ ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ในวิกฤติครั้งนี้
อย่างที่เขียนข้างต้น จีนเองไม่ได้กังวลในเรื่องโคโรนาไวรัสมากนัก แต่ต้องการซ้อมรบในตัว และต้องการโชว้ให้โลกเห็นว่า จีนมีระบบในการป้องกันประเทศที่มีประสิทธิภาพอย่างไร และทีสำคัญมีความสามารถในการระดมพล (mass mobilization)) หรือการบริหารระบบโลจิสติกส์เพื่อแก้ปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในยามวิกฤติ
คำถามย้อนกลับ คือถ้าเกิดเหตุการณ์เดียวกันในประเทศฝรั่ง จะสามารถระดมพลมาช่วยแก้วิกฤติอย่างจีนได้หรือไม่ ประชาชนนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายจะยอมถูกกักตัว14วันเพื่อให้มั่นใจว่าไม่ติดโรค หรือแพร่เชื้อโรคหรือไม่
ตอนนี้จีนตั้งรับแบบสุดๆ ยังไม่ได้รุก ถอยร่นมาตลอด เมื่อจีนเดินเกมรุกบ้าง จะเกิดอะไรขึ้น?
30/1/2020
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #254 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2020, 12:39:55 PM » |
|
Ag 21) Interesting
ยิ่งทำงาน ยิ่งแก่ช้า อายุเกษียณกำลัง “ขยับขึ้น” รู้จักวัย Young Old 65+ กลุ่มที่จะมี “อิทธิพล” สูงสุดในโลก • • ปี 2563 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นทศวรรษของกลุ่ม “Young Old” กลุ่มผู้สูงอายุที่ยัง “เด็ก” หรือถูกเรียกอีกชื่อว่าเป็นกลุ่ม “Yold”
•Yold เป็นศัพท์ที่ถูกเรียกในญี่ปุ่น สำหรับเรียกผู้สูงอายุวัย 65 – 75 โดยหากเทียบกับเจเนอเรชัน “เบบี้บูม” ซึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 20 ปีแล้ว ปีที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุด จะอยู่ที่ปี 2498 – 2503 ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มนี้ จะมีอายุตั้งแต่ 60 – 65 ปี
• ปัจจุบัน ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การ “เกษียณอายุ” ของคนกลุ่มนี้ ใจะอยู่ที่ 65 ปี อย่างไรก็ตาม มีการประเมินว่า ตั้งแต่ปี 2563 – 2568 การเกษียณอายุของคนกลุ่มนี้จะ “ขยับขึ้น” ไปอยู่ที่ 65 ปี หรือมากกว่านั้น
• เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น? มีการสำรวจหลายชิ้น ระบุว่า ทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพทางการเงินของคนกลุ่มนี้ “ดูดี” กว่าผู้สูงอายุในเจเนอเรชันก่อนหน้า ในประเทศร่ำรวยพบว่ามีผู้สูงอายุวัย 65 – 74 ปี รวมกันสูงถึง 134 ล้านคน หรือคิดเป็น 11% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจาก 99 ล้านคน ใน 20 ปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่เติบโตเร็วที่สุด หากเทียบกับประชากรกลุ่มอื่น
• นอกจากนี้ ยังมีรายงานอีกว่าผู้สูงอายุวัย 65 – 74 ในปัจจุบันมีสุขภาพที่ “แข็งแรง” ขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ โดยอายุขัยเฉลี่ยใน “ประเทศที่พัฒนาแล้ว” สูงขึ้นกว่าเมื่อ 2 ทศวรรษก่อนถึง 3.7 ปี และในปีที่อายุขัยเพิ่มขึ้นนั้น พวกเขายังมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ได้ป่วยติดเตียง หรือป่วยด้วยโรคเรื้อรัง
• สุขภาพทางการเงินของคนกลุ่มนี้ก็ดีไม่แพ้กัน มีการสำรวจพบว่า ระหว่างปี 2532 – 2556 ครอบครัวของผู้ที่อายุ 62 ปีขึ้นไปมีทรัพย์สินเฉลี่ยมากขึ้นกว่า 40% อยู่ที่ 2.1 แสนเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 8 ล้านบาท) ขณะที่กลุ่มประชากรอื่น ๆ กลับมีทรัพย์สินเฉลี่ยลดลง
• นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่า คนกลุ่ม Yold ยัง “ยุ่ง” มากขึ้น ในปี 2559 มากกว่า 1 ใน 5 ของคนวัย 65 – 69 ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ยังคงทำงานอยู่ มีงานวิจัยพบว่า ยิ่งคนกลุ่มนี้ทำงานมากเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้พวกเขามีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และมีอายุยืนยาวขึ้น การศึกษาในเรื่องที่ใกล้เคียงกันจากเยอรมนี ยังพบด้วยว่า ยิ่งวัยเกษียณยังคงทำงานต่อเนื่องต่อไป ภาวะถดถอยของการ “รับรู้” ในวัยชราจะลดน้อยลง รวมถึงการรับรู้จะดีขึ้นกว่าอายุจริงถึง 1 ปีครึ่ง
• Yold ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงไม่ใช่กลุ่มคนวัยเกษียณธรรมดา ที่สวมรองเท้าแตะ นั่งเลี้ยงหลานอยู่บ้าน แต่จะกลายเป็นกลุ่มคนที่ “ดิสรัปท์” วงการการตลาด การบริการ และการเงิน ตราบใดที่คนกลุ่มนี้แก่ช้าลงเรื่อย ๆ
• สิ่งที่เริ่มสะท้อนให้เห็นแล้วก็คือ ในบรรดาธุรกิจสายการบินทั่วโลก “ลูกค้า” กลุ่มใหญ่ที่สุดคือผู้โดยสารวัย 60 ปี ในธุรกิจท่องเที่ยวก็เช่นกัน เจเนอเรชันเกษียณอายุ ถือเป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายต่อหัวสูงที่สุด เมื่อเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ
• ธุรกิจด้านการศึกษาก็เปลี่ยนเช่นกัน ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีนักศึกษาแผนกการศึกษาต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่ และวัยเกษียณอายุ สัดส่วนเพิ่มมากขึ้นกว่านักศึกษาปกติ ขณะเดียวกัน บริษัทประกันชีวิต บริษัทประกันสุขภาพ ก็เปลี่ยนตัวเองจากการจ่ายบำนาญด้วย “อัตราคงที่” ไปสู่การบริหารเงินบำนาญให้แอคทีฟมากขึ้น และให้ผลตอบแทนมากกว่าเดิม • นอกจากนี้ กลุ่ม Yold ยังเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริหาร และแผนกทรัพยากรบุคคลในองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง จากเดิมที่คิดว่ายิ่งอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานยิ่งเสื่อมถอยมากขึ้น ผลสำรวจจากบริษัทผลิตรถบรรทุก และบริษัทประกันชีวิตเยอรมัน พบว่า ยิ่งอายุการทำงานมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานเฉลี่ยกลับสูงขึ้น
•ขณะเดียวกัน การที่ทีมหนึ่งทีม มีกลุ่มอายุที่หลากหลาย โดยมีชาว Yold เข้าไปร่วมเป็น “มันสมอง” ด้วย จะทำให้ทีมมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น
• ที่สุดแล้ว เมื่อคนวัย 65 – 75 ปี ยังคงทำงานได้ ก็จะลดภาระของรัฐบาลในการอุดหนุนระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และระบบบำนาญลดลง เพราะในเมื่อคนกลุ่มนี้ยังทำงานได้ และมีสวัสดิการจากที่ทำงาน ก็ไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะจ่ายเงินช่วยเหลือเหมารวมแบบที่ผ่านมา
•แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าก็คือ “ทัศนคติ” ที่ต้องยอมรับก็คือเด็กรุ่นใหม่จำนวนมาก มองคนวัย 60+ ไม่ดีเท่าไหร่นัก โดยส่วนใหญ่มองคนวัยนี้ว่าเป็นพวก “กะโหลกกะลา” ที่ไม่ยอมทำงาน และรอวันเกษียณเพียงอย่างเดียว องค์กรขนาดใหญ่หลายแห่ง “เลือกปฏิบัติ” ด้วยการจัดอบรม พัฒนาความรู้ใหม่ ๆ ให้กับเด็กรุ่นใหม่เท่านั้น ส่วนคนวัยใกล้เกษียณ ให้นั่งอยู่กับออฟฟิศเฉย ๆ และองค์กรบางแห่ง ถึงขนาดเปลี่ยนสัญญาจ้าง ให้คนกลุ่มนี้เป็นพนักงาน“พาร์ทไทม์” หรือ “Job – Sharing” คือให้งานทำเป็นชิ้น ๆ ไปเท่านั้น
• สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ก็คือ กลุ่ม Yold จะเรียกร้องให้องค์กร “เป็นมิตร” ต่อวัยของพวกเขามากขึ้น และในเวลาเดียวกัน ก็ขอให้คนที่อายุน้อยกว่า มองเขาในแง่บวกมากขึ้นเช่นกัน
• นโยบายรัฐบาล ก็เป็นอีกอย่างที่ต้องเปลี่ยน ประเทศร่ำรวยอีกหลายประเทศทั่วโลก ยังคงมีอายุเกษียณที่ไม่สูงนัก แม้หลายคนที่เกษียณไปแล้ว จะอยากทำงานต่อก็ตาม
•การที่ตัวเลขของกลุ่ม Yold สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะเปลี่ยนการใช้จ่าย และภาระงบประมาณในเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน โรคภัยไข้เจ็บจำนวนมาก สามารถป้องกันได้ และจะดีขึ้นหากเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ แต่ในหลายประเทศทั่วโลก ลงทุนเพียง 2-3% เท่านั้น ในการส่งเสริมป้องกันโรค •หากกลุ่ม Yold มีจำนวนมากขึ้น ก็หมายความว่า รัฐบาลจะต้องลงทุนมากกว่านี้ในการส่งเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรค เพื่อลดงบประมาณการรักษา “โรคเรื้อรัง” ซึ่งจะสูงขึ้นมหาศาลตามไปด้วยในอนาคต โดยเฉพาะในวันที่กลุ่ม Yold อายุเกิน 75 ในอีก 10 ปีข้างหน้า
• คำถามสำคัญก็คือ กลุ่ม Yold นั้น มีประสิทธิภาพสูง เฉพาะในประเทศที่ร่ำรวย หรือประเทศที่พัฒนาแล้วหรือไม่ และในประเทศที่ “กำลังพัฒนา” อย่างไทยนั้น กลุ่ม Yold ยังกระฉับกระเฉง พร้อมที่จะทำงานต่อไหม เพราะเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาล จะขยายการเกษียณอายุจาก 60 เป็น 65 ปี สิ่งที่ได้รับดูจะเป็น “ก้อนอิฐ” มากกว่า “ดอกไม้”
•แต่ถ้ามีการศึกษาที่ชัดเจนมากกว่านี้ว่าคนวัยเกษียณในไทย ยังพร้อมที่จะทำงาน การขยายอายุเกษียณ ก็ดูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย... #ผู้สูงอายุ #วัยเกษียณ #YoungOld #Yold
อ้างอิงจากบทความ The decade of the yold, People turning 65 will not retire quietly into the backgroundโดย John Parkers นิตยสาร The Economist, The World in 2020https://www.economist.com/the-world-in/2019/11/26/the-decade-of-the-young-old-beginsthank you
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|