Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรจ้ะ  (อ่าน 19327 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #60 เมื่อ: มีนาคม 30, 2014, 08:34:46 PM »



๕ วิธี บำบัดไมเกรน...... ด้วยตัวเอง

ไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะตุบๆ อย่างรุนแรงโดยเริ่มจากบริเวณใกล้ดวงตาหรือบริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำๆ มักพบร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ อาจเป็นนานถึง 3 วัน จนผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ ค้นหาว่าปัจจัยใดที่กระตุ้นให้เกิดอาการ แล้วหลีกเลี่ยง

เป็นไมเกรนต้องเลี่ยงอะไร

ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ที่ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมีดังต่อไปนี้

อาหารที่มีสารกระตุ้นอาการเริ่มแรกของไมเกรน เช่น ไนไทรต์ ซึ่งพบในเบคอน ฮอตดอก และเนื้อหมัก ไทรามีน พบในไวน์แดง ตับไก่ อาหารที่ใช้ยีสต์ แทนนิน พบมากในถั่วเปลือกแข็ง น้ำแอปเปิล องุ่น เบอร์รี่ ชา กาแฟ และไวน์แดง ซัลไฟต์ ที่ใช้ในการหมักไวน์และผลไม้แห้ง โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส นอกจากนั้นแล้วยังมีช็อกโกแลต เนยแข็ง อาหารทอด และผลไม้จำพวกส้ม
น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากหิวหรือกินอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวมากเกินไป
อยู่ในภาวะขาดน้ำ
ความเครียด และความวิตกกังวล รวมถึงอาการช็อก
นอนหลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
อยู่ในที่ที่แสงจ้า หรือได้รับแสงจ้าเกินไป
อยู่ในสถานที่หรือได้รับฟังเสียงดัง
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือฤดูกาล อากาศแห้งหรือลมร้อนแห้ง
การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหรือการกินยาคุม
หากหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวแล้ว แต่ยังมีอาการ สามารถเลือกวิธีบำบัดด้วยตัวเองได้หลายวิธี

๑. อาหารต้านไมเกรน

เนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรนมักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการจึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียมจึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง (ยกเว้นถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งแม้จะมีแมกนีเซียมสูง แต่กลับมีสารแทนนินที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน) และฟักทอง

นอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำจึงต้องการ ไรโบฟลาวิน เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบฟลาวินสูง ได้แก่ เห็ดหอมสดและ ผักหวาน

๒. บำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยสูตรพิเศษ

น้ำมันหอมระเหยมีสรรพคุณช่วยให้การสื่อสารกันระหว่างระบบประสาทต่างๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถปรับสมดุลของอารมณ์และจิตใจให้อยู่ในภาวะดียิ่งขึ้นได้ วิธีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการเยียวยาอาการไมเกรนมีดังนี้ค่ะ

นวดน้ำมันหอมระเหย ลองหาน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) อย่าง เปปเปอร์มินต์ (peppermint) ที่มีสรรพคุณช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่า และลาเวนเดอร์ (lavender) ที่ช่วยคลายกังวล ลดความเครียด และอาการซึมเศร้า ติดบ้านไว้บ้าง เมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นไมเกรน หรือมีอาการปวด ให้ผสมน้ำมันหอมทั้งสองชนิดนี้อย่างละ 1 หยด ผสมกับน้ำมันอัลมอนด์หอม (sweet almond) 2 ช้อนชา นวดบริเวณขมับและต้นคอเบาๆ
ประคบด้วยน้ำมันหอม ช่วงที่รู้สึกว่ามีอาการเครียดจัดต่อเนื่อง ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์หรือมาร์จอแรม (marjoram) ประมาณ 2-3 หยด ผสมน้ำ จุ่มผ้าบิดหมาดๆ นำมาประคบบริเวณขมับและหน้าผากทุกวัน
นอกจากการประคบด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้วการประคบโดยใช้อุณหภูมิของน้ำที่แตกต่างกันก็ช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาเบาบางลงได้ (น้ำมันหอมระเหยหาซื้อได้จากห้างสรรพสินค้าทั่วไปและร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ)

๓. ประคบร้อนและเย็นบรรเทาอาการ

วิธีที่ 1 ประคบเย็นที่หน้าผากหรือคอ ถ้าอาการไม่บรรเทา ให้ประคบร้อนและเย็นพร้อมกัน โดยประคบเย็นที่หน้าผากและประคบร้อนที่ท้ายทอย ประคบสลับที่กันทุก 2 นาที ทำได้ถึง 6 รอบ

วิธีที่ 2 ใช้ผ้าอุ่นจัดวางที่ท้ายทอย แล้วนวดคอ ไหล่ และสะบัก แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคลึงเบาๆที่ขมับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด
นอกจากการประคบแล้วยังมีการนวดกดจุดที่ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

๔. คลายปวดกับนวดกดจุด

การกดจุดเพื่อบรรเทาอาการไมเกรนมีอยู่ 3 จุดด้วยกัน คือ

มือ ให้กดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ในแนวตรงสู่กระดูกนิ้วหัวแม่มือ
คอด้านบน ให้กดย้อนขึ้นไปทางใต้กะโหลกศีรษะข้างๆ กระดูกคอ
เท้า กดที่เนินเนื้อที่เชื่อมต่อหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ กดไปทางฝ่าเท้า
ท้ายสุดขอแถมด้วยชาสมุนไพรคลายอาการปวดให้ครบเครื่องเรื่องการเยียวยาไมเกรนกันไปเลยค่ะ

๕. ชาสมุนไพรแก้ปวด

ใช้รากบวบกลม หรือบวบเหลี่ยมสด หนัก 1 ขีด ต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มเป็นน้ำชา
น้ำขิงจากเหง้าขิงแก่ และน้ำต้มจากต้นกะเพราแดงอาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ที่มักเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะได้
ใช้ผล ต้น ใบ ดอก และรากของมะตูมนิ่มมาต้มรับประทานช่วยแก้ปวดศีรษะ ตาลาย

http://www.cheewajit.com/
รูปภาพจาก.... http://topicstock.pantip.com/

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #61 เมื่อ: เมษายน 05, 2014, 09:15:48 PM »




บางเรื่องก็สัมพันธิ์กันถ้า......นิยามโลกนี้คือธรรมชาติ
ถ้าเข้าใจวิธีคิดที่แยบคายของคนสมัยโบราณจะเข้าเรื่องโรคและทางเกิดโรคแบบแผนไทย โดยไม่ต้องใช้ตรรกแผนปัจจุบัน ลองอ่านแล้วจินตนาการตามไปทุกระบบที่ผ่านจักระแต่ละตัวค่ะ...

จักระทั้ง 7 จุด คือจุดที่รับและส่งพลังจักรวาล *

* มนุษย์ เราทุกคน เมื่อแรกเริ่มเกิดมา ทุกคนมีพลังจักรวาล พลังสมาธิ พลังจิต ติดตัวมาด้วยกันทุกคน เรียกกันเข้าใจอย่างง่าย ๆ คือ บุญเก่า และกรรมเก่า ในอดีตชาติของแต่ละคน ล้วนถูกสะสมไว้ด้วย กรรมดีและกรรมชั่ว หมุนเวียนติดตามกันไปทุกภพชาติ อยู่ที่ว่า กรรมใด ๆ มากกว่ากัน หากกรรดีมากก็ได้รับผลกรรมดีนั้นก่อนจนกว่าผลกรรมดีนั้นจะหมดก็จะได้รับผลกรรมชั่วที่เคยสะสมไว้ในอดีตชาติ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนให้มนุษย์ทำแต่กรรมดี (แต่ต้องทำอย่างผู้มีสติและใช้ปัญญาด้วย)

* ในบางคนเคยสร้างทานบารมีไว้มากในอดีต ผลทานนั้นก็ส่งผลให้ในปัจจุบันชาติได้รับความสุขสบายด้านความเป็นอยู่และทรัพย์สินเงินทอง แต่ในบางคนเคยสวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิมาก จนเกิดพลังจิตในอดีตชาติ พลังเหล่านั้นก็จะติดตามมาส่งผลถึงในปัจจุบันทำให้การฝึกสมาธิได้เร็วไม่เหมือนกัน

* ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า ทุกคนมีพลังจักรวาลติดตัวกันมาตั้งแต่เกิด อยู่ที่ว่าเราได้รับกรรมใดก่อน และหากเจอครูบาอาจารย์ที่ดี มีพลังจิตจริง มีเมตตาช่วยชี้แนะให้เราได้จริง เราก็สามารถเปิดหรือนำพลังจักรวาลหรือพลังจิตมาใช้ในปัจจุบันได้

* วิธีฝึกสมาธิด้วยพลังจักรวาลนั้นจะว่าง่าย ก็ง่าย จะว่ายากก็ยากขึ้นอยู่ที่ตัวเราและในอดีตชาติและจริตของเราด้วย บางคนฝึกสมาธิจิตมานานแต่ไม่ประสพผลอะไรเลย บางคนฝึกสมาธิจิตไม่นานก็สมารถรู้และเข้าใจในพลังนั้น สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นได้

* ข้อสำคัญในการฝึกสมาธิจิตจะเป็นวิชาด้านใด ควรหาผู้ที่รู้จริง ๆ และตัวเราเองต้องมีอิทธิบาท 4 ด้วย ทำจริงจัง แต่อย่าใจร้อน ไปเรื่อย ๆ ทำ สม่ำเสมอ (เดี๋ยวนี้ หาผู้ที่รู้จริงยาก ส่วนใหญ่อ่านตำรามาแล้วนำสอนกันเสียมาก ไม่เหมือนอย่างครูบาอาจารย์เก่า ๆ ท่านเรียนรู้ด้วยตนเอง ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง แล้วจึงนำความรู้จริงที่ได้มาเผยแพร่หรือสอนให้ผู้อื่นรู้ตามและปฏิบัติตามได้จริงเสมือนดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้

* ในร่างกายของมนุษย์มีจุด หรือ แหล่งที่สะสม หรือรับและสามารถส่งพลังจิต พลังจักรวาลออกมาได้ โดยจริง ๆ แล้วมีทั้งหมด 10 จุด หรือเรียกเป็นภาษาสันสกฤต ว่า “ จักระ” แต่ในที่นี้จะขอแนะนำ เพียง 7 จุดจักระ

*จักระ 1*
– อยู่ระหว่างอวัยวะเพศ และทวารหนัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของไฟศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงระดับสูงสุด จักระนี้จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ เป็นความระลึกรู้ร้อนเร็วจากจักระ 1 ผ่านจักระ 2, 3, 4, 5, 6 และทะลุจักระ 7
– เป็นรากฐานของระบบจักระ หรือระบบพลังงาน เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่ทำให้สืบทอดพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกทุกวันนี้
– โดยมากแล้วผู้ฝึกพลังจักรวาล มักถูกห้ามเรื่องกระตุ้นจักระ 1 เพราะมันอันตรายมาก เอาเป็นว่า ถ้ามีวาสนาทราบและเข้าใจถึงจุดจักระ 1 แล้ว จะรู้ในสิ่งที่น้อยคนนักจะรู้

*จักระ 2*
- อยู่ตรงปลายก้นกบ เป็นศูนย์กลางแห่งพลังทางเพศ และความเชื่อมั่นในตนเอง ทำหน้าที่ควบคุมพลังที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ และควบคุมสุขภาพ และพลังภายในกาย ถ้าผู้ใดหมกมุ่นลุ่มหลงในกามตัณหา จะสูญเสียพลังไปอย่างไม่สามารถทดแทนได้ แต่ถ้ารู้วิธีกักเก็บพลังจักระนี้ จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว และจะพัฒนาไปสู่แสงสว่างแห่งปัญญา
- ควบคุมระบบการสืบพันธุ์ , การขับกากอาหารและของเสียออกจากร่างกาย (ระบบการขับถ่าย) รวมทั้งการตั้งครรภ์และการคลอด
– ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับอัณฑะ, ท่อปัสสาวะ, อวัยวะสืบพันธุ์, มดลูก, รังไข่, ช่องคลอด, ทวารหนัก, กามโรค

*จักระ 3*
– อยู่ตรงแนวสะดือตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลางของการหยั่งรู้ ณ จุดนี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย
– ควบคุมระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสีย การผลิตเม็ดโลหิตใหม่ จักระนี้ควบคุมอวัยวะภายในให้ทำงานอย่างสมดุล
– ใช้รักษากระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, ลำไส้อ่อน, ลำไส้แก่, ไส้ติ่ง, ตับ, ม้าม, ดี, กระเพาะปัสสาวะ, ไต, โรคเบาหวาน, ถุงน้ำดี, ต่อมหมวกไต

*จักระ 4 *
- อยู่ตรงแนวหัวใจตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริง รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ด้วยความเมตตากรุณา และความเสียสละ จักระนี้เป็นจุดจักระแห่งหลักธรรม เมื่อจักระนี้ถูกพัฒนาอย่างเต็มที่ จะเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และสามารถช่วยปลดปล่อยมนุษย์ ให้บรรเทาจากกรรมต่าง ๆได้มาก(ขึ้นอยู่ว่ากรรนั้นหนักหรือเบา)
– ควบคุมระบบหมุนเวียนโลหิต, หัวใจและระดับไขมันในเส้นเลือด
– ใช้รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจโต, หัวใจเล็ก, หัวใจรั่ว, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเส้นเลือด, หัวใจเต้นอ่อนและเหนื่อยเร็ว

*จักระ 5 *
- อยู่ตรงบริเวณเส้นแนวไหล่ตัดกับกระดูกสันหลัง
– ควบคุมระบบทางเดินหายใจ จมูก ปอด และผิวหนัง อีกทั้งยังแสดงถึงกรรมเก่าในอดีตชาติ การแสวงหาจิตวิญญาณ การยอมรับและการชดใช้กรรม
– ใช้รักษาโรคปอด, หลอดลม, ลำคอ, ไซนัส, ต่อมผิวหนัง, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ไอ, จมูก, ผื่นคัน, โรคผิวหนัง

*จักระ 6 *
– อยู่ตรงกลางหน้าผาก เปรียบเสมือนนัยน์ตาของปัญญา ใช้เป็นตาที่ 3 (ญาณวิเศษ) สำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน
“ตาที่สาม” หรือ ประสาทสัมผัสที่ 6 หรือตาทิพย์ การจะใช้ตาที่สามได้ ต้องมีพลังภายในกายสูงมาก เพราะจักระนี้จะหมุนแรงเร็วและนิ่ง ต้องมีสมาธิมาก สามารถขจัดอวิชชา รู้ทุกสิ่งที่อยากรู้ มีความสามารถในการรู้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รู้ความลับของฟ้า เก่งโหราศาสตร์ สามารถเคลียร์สิ่งเลวร้าย ภัยพิบัติภูตผีปีศาจ ตาที่สามจึงเป็น อัญมณีล้ำค่าสำหรับผู้แสวงหาจิตวิญญาณ
– ควบคุมสติปัญญา, ความนึกคิด, ความเฉลียวฉลาด, และระบบประสาท

*จักระ 7 *
– อยู่ตรงกลางกระหม่อมหรือจุดตัดของเส้นที่ลากจากปลายจมูก ผ่านกลางหน้าผาก ตัดกับเส้นที่ลากจากหูซ้ายไปหูขวา เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว จักระนี้เป็นตัวรับพลังงานจากทุกสรรพสิ่งในเอกภพ ถ้าจักระนี้เปิดสมบูรณ์จะรู้สึกถึงการรับ
– ส่งและดึงดูดพลังต่าง ๆ ได้
- ควบคุม ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระ เป็นจุดรับพลังจักรวาล และทำการกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่ สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ที่จักระอื่นไม่สามารถรักษาได้โดยตรง
– ใช้รักษาเส้นประสาท, สมอง, ตา, หู, อวัยวะในช่องปาก, โรคเจ็บป่วยซึ่งเกี่ยวกับระบบประสาททั่วไป ที่อยู่นอกเครือข่ายของ จักระอื่น เช่น ระบบกล้ามเนื้อ, ไทรอยด์, ต่อมทอนซิล, กล่องเสียง
โดย ทางแพทย์สายพุทธ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 06, 2014, 10:40:32 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #62 เมื่อ: เมษายน 10, 2014, 01:39:06 PM »










บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #63 เมื่อ: เมษายน 16, 2014, 09:54:30 PM »




มะละกอสุก ต้านมะเร็ง บรรเทาอาการท้องผูกป้องกันริดสีดวงทวาร ป้องกันอาการตับโต บำรุงหัวใจ ตับ สมอง กระตุ้นน้ำนมในมารดาที่ให้นมบุตร ป้องกันโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อในลำไส้ พอกหน้าบำรุงผิวหน้าให้เนียนนุ่มได้

มะละกอสุกเนื้อหวานหอมสีส้มแดง จัดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูงสุดๆ รสชาติหวานอร่อย และมีประโยชน์มากมาย ผลการวิจัยพบว่า มะละกอช่วยต้านมะเร็ง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี บรรเทาอาการท้องผูกซึ่งเป็นที่มาของโรคริดสีดวงทวาร ป้องกันอาการตับโต เป็นยาบำรุงหัวใจ ตับ และสมอง

มารดาที่กำลังให้นมทารก ควรกินมะละกอสุก เพราะช่วยกระตุ้นให้แม่มีน้ำนมมากขึ้น มะละกอยังป้องกันโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อจากจุลินทรีที่อยู่ภายในลำไส้

มะละกอยังช่วยเรื่องความสวยงาม เพราะมีเอนไซม์ที่ช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี วิธีทำมะละกอสุกพอกหน้าให้ผิวหน้าเนียนขาวนุ่มชุ่มชื่น มีดังนี้คือ

มะละกอสุกครึ่งถ้วย
น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อน
นมสด 1 ช้อน
ปั่นเข้าด้วยกันเป็นครีมข้น ทาให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ 10 - 15 นาทีแล้วล้างออก จะเห็นผลทันตา

หมายเหตุ: มะละกอดิบ – ห่าม มีฤทธิ์เย็น มะละกอสุก มีฤทธิ์ร้อน
******* *******
 สรรพคุณผลไม้ไทย
ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #64 เมื่อ: เมษายน 16, 2014, 09:56:13 PM »

ส้มป่อย สุดยอดผักเพิ่มภูมิคุ้มกัน กำจัดพิษกาย พิษใจ
สมุนไพรกำจัดพิษแบบไทยๆ อย่างดี ใบของส้มป่อยถือเป็นผักที่มีวิตามินเอและบีตาแคโรทีนสูง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของยอดส้มป่อยพบว่ามีสูงมาก นอกจากนี้ยังพบว่าสารซาโพนินในฝักส้มป่อยทำให้ทีเซลล์ (T cells) ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น
http://bit.ly/1hzwWJO


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #65 เมื่อ: เมษายน 16, 2014, 09:57:52 PM »



ผักเสี้ยน : จากวัชพืชสู่แถวหน้าในบรรดาผักดองไทย
ผักเสี้ยนเป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากของธรรมดาสามัญที่มีอยู่ทั่วไป หาได้ง่าย ให้เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนธรรมดาหรือสามัญชน แนวทางดังกล่าวนี้ น่าจะเป็นทิศทางหลักของการพัฒนาทรัพยากรของประเทศ หรือปัจจัยสำหรับชีวิตด้านอื่นๆ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #66 เมื่อ: เมษายน 18, 2014, 10:33:39 AM »

ชวนทำขี้ผึ้งสมุนไพรแก้โรคผิวหนัง..
สมุนไพรที่นำมารักษาโรคเชื้อราตามผิวหนัง มีหลายตัว ใช้ทั้งแบบตำรับหรือแบบเดี่ยวก็ได้ เช่น ข่าแก่ เสลดพังพอน พญายอ กระเทียม ชุม เห็ดเทศ ทองพันชั่ง เปลือกมังคุด เปลือกทับทิม โดยนำเอาตัวยาสมุนไพรตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวก็ได้ สับ โขลก แล้วนำไปแช่เหล้าขาว ทิ้งไว้ 15วัน ให้กรองเอาน้ำยาออกมาใช้ทารักษาโรคผิวหนังได้ หรือนำมาทำเป็นขี้ผึ้ง

เตรียมเป็นส่วนที่ 1
ขี้ผึ้งสมุนไพร เลือกเอาสมุนไพรที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นหรือสมุนไพรดังที่กล่าวมา นำมาหุงหรือเคี่ยวเอาน้ำมัน โดยเลือกใช้น้ำมันงาหรือน้ำ มันมะพร้าว ตั้งไฟให้กระทะร้อนแล้วเอาไพลกับขมิ้นลงทอดก่อนจนเหลือง แล้วจึงเอากานพลูและอบเชยบุบพอแหลกใส่ลงไปทอดต่อจนยาสมุนไพรกรอบ จึงยกลงกรองเอาแต่น้ำมันพักไว้

สำหรับ ส่วนที่ 2
ให้เตรียมเมนทอล การบูร พิมเสน ในอัตราส่วนเท่ากัน แล้วเอาสารสกัดสมุนไพรที่แช่เหล้าไว้ข้างต้นใช้ 2ส่วน ผสมลงไปแล้วคนให้เข้ากัน พักไว้

ส่วนที่ 3
คือวาสลินและพาราฟิน ซึ่งจะช่วยให้ยาแข็งตัว หรือจะใช้เทียนไขที่มีตามบ้านก็ได้ ใช้วิธีละลายแบบหม้อนึ่ง 2ชั้น คือหม้อใบแรกใส่น้ำต้มให้เดือด หม้อใบที่ 2ตั้งในหม้อต้มน้ำ แล้วเอายาที่เตรียมไว้ใส่ลงไปคนจนละลายแล้วจึงนำส่วนผสมส่วนที่ 1และส่วนที่ 2เทลงไป ยกลงไปแล้วคนให้เข้ากัน เตรียมบรรจุลงภาชนะที่เตรียมไว้ ถ้าต้องการขี้ผึ้งที่นุ่มก็ใส่ตัวยาส่วนที่ 3น้อยลง ปรับความแข็งของขี้ผึ้งตามต้องการ

อีกสูตรค่ะ..
สูตรต่อมาเป็นยาตำรับของอาจารย์มนาวุธ ผุดผาด หมอแพทย์ไทยชั้นครู เรียกว่า ขี้ผึ้งโรคผิวหนัง สรรพคุณ รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน หิด น้ำกัดเท้า แผลสด แผลเปื่อย ทาหัวริดสีดวงทวาร
ตัวยาประกอบด้วย
ไพลแห้ง 40กรัม
สีเสียดเทศ ขมิ้นอ้อยจุนสี น้ำหนักยาอย่างละ 40กรัม
รากหนอนตายหยาก เมล็ดลำโพงอย่างละ 300กรัม
ใบสำมะงา ใบเตยหอม เปลือกต้นเลี่ยนอย่างละ 70กรัม
การบูร ยาฉุน อย่างละ 15กรัม
กำมะถันเหลือง 30กรัม
น้ำกะทิ 15กิโล กรัม

วิธีทำ
นำกะทิตั้งไฟปานกลาง ตัวยาทั้งหมดคัดเลือกเอาฝุ่นและสิ่งสกปรกออก ตัวยาที่เป็นเนื้อไม้ให้สับเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนกำมะถัน จุนสี การบูร เตรียมไว้ต่างหาก สำหรับใส่ทีหลัง
แล้วนำตัวยาลงกระทะทีละตัว คือ ยาฉุน ไพลแห้ง ขมิ้นอ้อย เมล็ดลำโพง รากหนอนตายหยาก เปลือกต้นเลี่ยนลงไป และใบเตยหอมสดเพื่อจะได้สีเขียวธรรมชาติ เมื่อกวนจะให้กลิ่นหอมเหมือนกาละแมร์ เคี่ยวด้วยไฟ ปานกลางประมาณ 6-8ชั่วโมง เคี่ยวไปเรื่อยๆ กระ ทั่งเกิดขี้โล้ เห็นแต่น้ำมัน เมื่อเริ่มเป็นน้ำมันก็ใส่สีเสียดเทศลงไป ตามด้วยกำมะถัน
ตำจุนสีให้เป็นผงละเอียด แล้วค่อยเติมลงไป
กรองเอาแต่น้ำมัน แล้วโรยการบูรที่เตรียมไว้ลงไปคนให้เข้ากัน
จะได้น้ำมันสีเขียว จากนั้นก็ทำเป็นขี้ผึ้ง โดยเอาวาสลีนหรือพาราฟิน หรือเทียนไขหลอมให้ละลายแล้วเติมตัวยาลงไป ก็จะได้ขี้ผึ้งเก็บไว้ใช้

ประโยชน์
ตัวยาต่างๆ ในตำรับนี้ มีสรรพคุณดังนี้
ไพล แก้เคล็ดขัดยอก ข้อเท้าแพลง แก้โรคผิวหนัง แก้ฝี ทาเคลือบแผล ป้องกันการติดเชื้อ ดูดหนองสมานแผล แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นยาชาเฉพาะที่
สีเสียดเทศ ทาสมานแผล ห้ามเลือดกำเดา ใส่แผลริดสีดวง แผลเน่าเปื่อย
ขมิ้นอ้อย แก้ฟกช้ำบวม อัก เสบ
จุนสี กัดล้างหัวแผล กัดหัวหูด
คุดทะราด รากหนอนตายหยาก แก้โรคผิวหนัง ประดงผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย ต้มเป็นยาฉุนรมหัวริดสีดวงให้ฝ่อ
เมล็ดลำโพง น้ำมันจากเมล็ด รสเมาเบื่อ ปรุงยาใส่แผล แก้กลากเกลื้อน หิดเหา
ใบสำมะงา ต้มน้ำอาบ แก้โรคผิวหนัง ประดง ผื่นคัน
เปลือกต้นเลี่ยนแก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน แก้พิษบาดแผล
การบูร แก้ปวดตามเส้น เกลื่อนฝี แก้เคล็ดขัดยอกบวม แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้โรคผิวหนังเรื้อรัง ขับน้ำเหลือง บำรุงหัวใจ
ยาฉุน ทาภายนอก แก้โรคผิวหนัง ทาป้องกันปลิงและทากเกาะฆ่าแมลง
กำมะถันเหลือง ขับลมในกระดูก ฆ่าแม่พยาธิทั้งภายในภายนอก แก้โรคผิวหนังพุพอง น้ำเหลืองเสีย ฆ่าเชื้อโรค ใช้หุงน้ำมันทาแก้หิด ขับลมในกระดูก น้ำมันมะพร้าว บำรุงกระดูกและเส้น

สูตรในคัมภีร์โอสถพระนารายณ์ น้ำมันมหาจักร
สรรพคุณ ใช้หยอดหูแก้ลมวิงเวียน แก้ริดสีดวง แก้เปื่อยคัน ทาแก้ปวดเมื่อย ใส่บาดแผลที่มีอาการปวดบวมเป็นหนอง
ตัวยาประกอบด้วย
มะกรูดสด 30ลูก
เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน อย่างละ 7.5กรัม
ดีปลี 15กรัม
การบูร 30กรัม
น้ำมันงา 15กิโลกรัม

วิธีทำ
นำน้ำมันงาตั้งไฟให้ร้อน
สมุนไพรตัวอื่นๆ ให้คัดแยกทำความสะอาดเอาฝุ่นและตัวยาที่เสียทิ้ง สำหรับมะกรูดล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง
เมื่อกระทะร้อนเอามะกรูดลงก่อน จากนั้นก็ทะยอยเติมยาตัวอื่นๆ ลงไป ยกเว้นการบูร เมื่อเคี่ยวทิ้งไว้ด้วยไฟปานกลางนาน 3-4ชั่วโมงก็ยกลง
กรองเอาน้ำมันแล้วเติมการบูร จะทำ เป็นขี้ผึ้งก็หลอมพาราฟินหรือวาสลีน หรือเทียน ไขแล้วเติมน้ำมันยาลงไป เทบรรจุใส่ภาชนะเก็บไว้ใช้

ตัวยาต่างๆ ในตำรับนี้
มะกรูดสด แก้คัน มีน้ำมันหอมระเหย ส่
วนเทียนทั้ง 5คือ เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน มีน้ำมันหอมระเหยช่วยฆ่าเชื้อและ กระจายลม แก้ลมขับผายลม ปลายมือปลายเท้าเย็น
ดีปลี แก้ปวดกล้ามเนื้อ แก้อักเสบ
เพียงเท่านี้ท่านก็ได้น้ำมันสมุนไพรเก็บไว้ใช้รับมือโรคผิวหนังต่างๆ ได้แล้ว

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 06, 2014, 10:42:50 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #67 เมื่อ: เมษายน 30, 2014, 11:03:23 AM »




หินปูนเกาะกระดูก ไม่แก่ก็เป็นได้

คนวัยทำงานอาจจะยังไม่คุ้นกับอาการมีหินปูนเกาะกระดูกเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่อาการนี้มักเกิดกับผู้สูงอายุ แต่หากคุณเป็นคนห่างเหินการออกกำลังกาย วันๆ เอาแต่นั่งนอนเฉย คุณอาจเป็นคนหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดหินปูนเกาะกระดูกได้

หินปูนเกาะกระดูกเกิดได้เมื่อร่างกายของเราเสื่อมสภาพ หรือเกิดความเสียหาย เช่น แตก หัก ซึ่งร่ายกายจะดึงแคลเซียมไปซ่อมแซมกระดูกส่วนที่เสื่อม จนอาจพอกพูนผิดธรรมชาติ ทำให้กระดูกบริเวณนั้นเสียรูปทรง ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า Bony Spur หรือ Osteophyte แปลว่า “กระดูกงอก” ซึ่งเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ กระดูกแขน ขา และข้อต่อต่างๆ เป็นต้น

อาการกระดูกงอกจะอันตรายก็ต่อเมื่อ หินปูนที่เกาะนั้นไปเบียดบังเนื้อเยื่อหรือทับเส้นประสาทที่สำคัญ ทำให้คนที่เป็นมีอาการเจ็บปวด ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ลำบาก และหากปล่อยไว้นานอาการเจ็บปวดนั้นจะเรื้อรังและรักษาไม่หาย

เมื่อพบว่ามีอาการปวดกระดูกส่วนใดก็ตามให้สังเกตการงอก ปูด โปนของกระดูกส่วนนั้นๆ ร่วมด้วย และหากสงสัยควรรีบปรึกษาแพทย์ ซึ่งวิธีรักษาหินปูนเกาะกระดูก ทำได้ 3 วิธี คือ 1.ผ่าตัด 2.ให้ยาต้านการอักเสบ และ 3.กายภาพบำบัด โดยจะรักษาตามอาการ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ผู้ทำการรักษา

อย่างไรก็ตาม วิธีลดความเสี่ยงของอาการหินปูนเกาะกระดูก คือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเก็บสะสมมวลกระดูกเอาไว้ป้องกันกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร

หินปูนเกาะล้างหินปูนด้วยสมุนไพร เดือย เตยหอม รางจืด

หินก็แข็ง ปูนก็แข็ง หินปูน ก็คงยิ่งแข็งนะคะ ที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช้หินปูนที่นำมาก่อสร้างนะคะ ปกติแล้วคำว่าหินปูนในร่างกายของเรานั้นจะคิดถึง ฟันก้นก่อน ที่เรามักได้ยินหรือพบด้วยตนเองในปากว่า คราบหินปูนที่ผิวฟันหรือที่โคนฟันหรือหร่องเหงือกที่ทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบได้ถ้าีมีมากสะสมจนแข็งเป็นหินปูน ซึ่งเกิดจากคราบแบคทีเรียสะสมจนแข็ง หรือบางที่ก็ได้ทราบว่าผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจมีปัญหาจาก มีหินปูนเกาะ ซึ่งหินปูนที่เกิดการสะสมในร่างกายนั้นเกาะตาม ข้อ กระดูก ฯ ได้เช่นกันและก็มีผู้ป่วยที่ ปวดข้อ ปวดกระดูก เกาต์ รูมาตอยด์ สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการมีหินปูนรวมอยู่ด้วย ซึ่งบางอวัยวะเมื่อมีหินปูนเกาะก็ทำให้ไม่ปกติแล้วเราจะทราบได้อย่างไร ทราบล่วงหน้าได้ไหม หรือทราบต่อเมื่อเราเป็นโรคแล้ว บางอย่างที่เกิดที่อวัยวะภายในเราไม่ทราบเลยเพราะมองไม่เห็นนอกเสียจากไปให้หมอตรวจหรือเอ็กซเรย์ จะมีที่ฟันที่พอจะมองเห็นได้ว่ามีหินปูนเกาะ ซึ่งก็รักษาได้เร็วเมื่อไปให้หมอรักษาฟันขัดหินปูนออกจากฟันให้ได้ในเวลาไม่นาน

นำเรื่องราวการบอกกล่าวโดยอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา เกี่ยวกับหินปูน ข้าวกล้องมีพิวรีน กรดยูริก ทำไมการต้มกระเจี๊ยบแดงจะต้องใส่พุทราจีน และการล้างหินปูนออกจากร่างกายมาฝาก ดังนี้

" หินปูน ถ้าท่านเคยมีประวัติกินสัตว์ปีก กินเครื่องในสัตว์ กินผักที่มีกลิ่นฉุนผมว่าโดนทุกคนนะ กินผักมีกลิ่นฉุน มีใครไม่กินบ้างล่ะ ผักขะแยง ผักแพ้ว ชะอม กระถิน กินกันทั้งนั้น แต่ท่านอาจจะเคยได้ยินว่า ผักพวกนี้จะทำให้เป็นเกาต์ เป็นรูมาตอยด์ แต่ที่ท่านนึกไม่ถึงเด็ดขาดว่า มันมีพิวรีนสูง และเป็นสาเหตุให้เกิดกรอดยูริกสูงก็คือ ข้าวกล้อง และน้ำข้าวกล้องงอก อันนี้อันดับหนึ่งเลยนะครับ คนมักจะกินข้าวกล้องโดยหวังว่าจะได้วิตามิน แต่สิ่งที่เป็นภัย ของเสียที่มากับข้าวกล้องไม่มีใครเขาบอก เขาจะบอกแต่ด้านดีว่า บำรุงสมอง มีสารกาบาอะไรอย่างนี้นะ

แต่ข้อเสียของข้าวกล้องก็คือ มีพิวรีนสูง กินแล้วจะเกิดกรดยูริก ท่านก็จะปวดเข่า ปวดข้อ กินข้าวกล้องนานๆ สมองแจ่มใสก็จริง แต่ทำไมเดินไม่ได้ ไปไหนก็กระย่องกระแย่ง ปวดเข่าปวดข้อใช่ไหม อากาศหนาวก็ปวด โอย โอยแล้ว ผมอาจจะขัดใจกับพวกที่เผยแพร่เรื่องต่างๆ ว่ามักจะบอกแต่ด้านดี ไม่บอกข้อเสียของมันไปด้วย แล้วจะแก้ยังไง

อย่างแต่ก่อนสอนให้คนกินกระเจี๊ยบแดงลดคอเลสเตอรอล ต้องกินอย่างนี้ กินหนักๆเข้าเป็นไง เดี๋ยวนี้ไม่มีใครกินแล้ว เบื่อ เพราะว่ามันทำให้ไตพัง และเลือดจางด้วย กระเจี๊ยบนี่ วิธีแก้ล่ะ ถ้าเราใส่พุทราแห้งเท่านั้นแหละแก้ได้แล้ว มันจะไปช่วยลดคอเลสเตอรอล แล้วทำให้เป็นไง เส้นเลือดไม่เปราะ แตกง่าย แล้วก็ช่วยให้ไตแข็งแรงด้วย เพียงเติมพุทราแห้งลงไปในกระเจี๊ยบแดง นี่จะต้องมีทางออกไง อย่าไปยอมจำนนนะ

ตัวนี้ก็เหมือนกัน สมมุติว่าเรากินข้าวกล้องเป็นประจำ ตกลงจะเลิกดีไหม ไม่จำเป็นต้องเลิกนะครับ แต่ก็หาตัวแก้ไป ตัวที่จะไปลดกรดยูริก ลดพิวรีน แก้อาการเกาต์ รูมาตอยด์ แล้วก็หินปูนเกาะในที่ต่างๆ ในทางการแพทย์จะสนใจหินปูนที่เกาะตามข้อ เราเรียกว่า เกาต์ รูมาตอยด์ใช่ไหม

แต่ถ้าลงมาอีก หินปูนไปเกาะที่ไหนบ้าง

หินปูนเกาะที่จอประสาทตา วันหนึ่งอยู่ดีๆเลือดไม่ไปเลี้ยงที่จอประสาทตา หมอก็จะบอกว่า จอประสาทตาเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ มันมีสาเหตุแต่หมอไม่ทราบเท่านั้น คือหินปูนไปเกาะไง ถ้าเราล้างหินปูนทางตา เราก็ไม่มีปัญหาเรื่องเป็นต้อเป็นอะไร สายตาสั้น- ยาว นี้ยังพอให้อภัย แต่ตาเป็นต้อนี้ไม่น่าให้อภัย อย่าเป็นกันนะ ท่านต้องล้างหินปูนนะครับ

หินปูนเกาะที่ขั้วปอด คราวนี้ก็เป็นหอบหืด ไอไม่เลิกอย่างนี้นะครับ แค่ล้างมันออกหอบหืดก็หาย

หินปูไปเกาะที่ไหนอีก

หินปูนเกาะที่เส้นเลือดฝอยในหัวใจ อยู่ๆทำให้หัวใจวายได้ เคยได้ยินไหม หินปูนไปเกาะขั้วหัวใจ

นี่ก็มีนะครับ

หินปูนเกาะที่กระดูกสันหลัง ก็กลายเป็นกระดูกทับเส้นประสาท จริงๆก็อย่าให้มันเกาะซะก็หมดเรื่องนะครับ

แล้วจะทำอย่างไรดี มี 2 สูตรนะครับ การล้างหินปูน

สูตรที่ 1 คือ น้ำต้มลูกเดือย ในสมัยก่อนท่านอาจจะอ่านนาฬิกาชีวิต เขาจะให้กินลูกเดือย เราพบว่าลูกเดือย ถ้าเราต้มกินแต่น้ำจะได้ประโยชน์เร็วกว่ากินเนื้อไปด้วย เพราะกากลูกเดือยจะไปดึงยาคืนมาเหมือนกากกระชาย ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ ควรต้มเป็นน้ำ แล้วกินแบบน้ำข้าว แล้วเราก็เติมน้ำลงไปใหม่ แล้วอุ่นไปเรื่อยๆจนหมดสีขาวพอมันใสแล้วเราก็ทิ้งกากไป เสร็จแล้วก็ไปต้มใหม่

สูตรที่ 2 คือ ต้มรางจืดกับใบเตย ใช้ใบรางจืดกับใบเตยมันจะไมไปล้างอะไรนอกจากล้างหินปูน กินรางจืดเดี๋ยวจะไปล้างอะไรไม่ต้องกังวล ถ้าต้มกับใบเตยมันจะไม่ล้างอย่างอื่นเลย นอกจาก ล้างหินปูนในตัวเราเท่านั้นนะครับ "

(ขอบคุณ บทความหินปูนและการล้างฯโดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา จากหนังสือนาฬิกาชีวิตเล่ม 3 ตอนจบ รวบรวมโดย อ.นวลฉวี
ทรรพนันทน์ และภาพอาจารย์ทั้ง 2 จากอินเทอร์เน็ต )

เมล็ดเดือย เราคงต้องซื้อปลูกเองไม่ได้ ซึ่งก็หาซื้อได้ไม่ยาก มีทั้งเดือยกล้องและเดือยที่ขัดผิวออกแล้ว

นำเมล็ดเดือยประมาณ 1 กำมือ แช่น้ำก่อนหรือซาวน้ำล้างให้สะอาด แล้วต้มเลยก็ได้จนเมล็ดเดือยนิ่ม

ดื่มแต่น้ำ น้ำหมดก็ใส่น้ำต้มต่อได้อีก

น้ำดื่มง่าย ไม่ควรเพิ่มความหวาน

เตยหอมปลูกได้ง่ายเป็นพืชแตกกอ รางจืดก็ปลูกง่ายใช้กิ่งชำก็ได้

ต้มต่อครั้งต่อวัน อย่างละ 5 ใบ หั่นซอยเล็กๆแล้วต้ม 30 นาที

ดื่มง่ายรางจืดจะรสจืดตามชื่อ จะมีกลิ่นหอมใบเตย

ไม่ว่าจะเมล็ดเดือยหรือ ใบเตย ใบรางจืด เมื่อต้มในน้ำเดือด ดื่มอุ่นๆก็เป็นชาเพื่อสุขภาพ ดื่มต่อวันต่อครั้งไม่มากพอดีๆ แต่ดื่มทุกๆวันติดต่อกัน ก็จะเห็นผล เรื่องที่นำมาฝากอาจจะมีบางท่านไม่เชื่อว่าดื่มแล้วล้างหินปูนได้ผลจริง ก็ไม่ว่ากันนะคะ ทราบมาจึงลองทำดื่มและนำมาฝาก ซึ่งเห็นว่าสมุนไพรที่ทำดื่มต่อครั้งไม่มีผลเสียต่อร่างกาย สรรพคุณสมุนไพรเดียวทั้ง 3 ชนิดดีต่อร่างกายเพียงแต่ใช้ต่อครั้งแต่พอดีร่างกายก็ได้ประโยชน์อยู่แล้ว



http://www.thaihealth.or.th/
http://www.gotoknow.org/



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #68 เมื่อ: เมษายน 30, 2014, 04:51:26 PM »



น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง
ทำให้กระชุ่มกระชวยอ่อนกว่าวัย แก้แฮ้งค์จากอาการเมาเหล้าได้ดีที่สุดในโลก!
ผสมน้ำผึ้งแท้ น้ำมะนาวสด อัตราส่วนเท่าๆ กัน เติมเกลือลงไปด้วย เติมน้ำเปล่า (อย่าใช้น้ำอุ่น-น้ำร้อน เพราะความร้อนจะสลายคุณค่าวิตามินซีในมะนาว) ดื่มทุกวัน ดื่มก่อนนอนยิ่งดี จะเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ นัยน์ตาไม่แดงสดสวยเป็นประกาย ร่างกายกระชุ่มกระชวยดูอ่อนกว่าวัย ช่วยแก้อาการแฮ้งค์เนื่องจากเมาเหล้า – นอนดึก ได้ดีที่สุด
และยังแก้อาการคันคอ ระคายคอ ไอ มีเสมหะ เสียงแหบแห้ง คอแห้งเป็นผง ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด มีน้ำมูก ช่วยบรรเทาได้ดีมาก ผู้ที่ใช้ยาแก้หวัดติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้เชื้อไวรัสหวัดดื้อยาได้ ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งแทนจะดีกว่า
น้ำผึ้งมีน้ำตาลธรรมชาติ เช่น Levulose 41% Dextrose 35% Sucruse 1.9% Dextrose 1.5% กรดอินทรีย์ชนิดต่างๆ 0.08% สารอื่นๆ 3.4%
น้ำมะนาวสดจากลูก มีกรดมะนาว Citric Acid ซึ่งร่างกายต้องการมากเวลาเป็นหวัด กรดมะนาวเมื่อเข้าสู่กระบวนการย่อยสลายในร่างกายจะกลายเป็นฤทธิ์ด่าง
เกลือช่วยลดความรุนแรงของเชื้อลง ทำให้ร่างกายมีพลังขึ้น
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #69 เมื่อ: เมษายน 30, 2014, 04:52:55 PM »




บุก สมุนไพรลดความอ้วน
บุก (Amorphophallus spp.) มีถิ่นกำเนิดตั้งแต่ทางตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยไปจนถึงประเทศจีน ญี่ปุ่น และทางใต้ไปถึงประเทศไทย อินโดจีน และฟิลิปปินส์ เป็นพืชที่พบในป่าซึ่งมีการระบายน้ำได้ดีและอุดมสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีหัวอยู่ใต้ดิน โดยปกติจะมีใบเพียงใบเดียวซึ่งมีลักษณะใหญ่มาก ก้านใบยาว ดอกแทงขึ้นมาจากใต้ดิน มีทั้งหมดประมาณ 90 ชนิด

บุกเป็นอาหารสมุนไพรที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่น โดยมีชื่อทั่วไปว่า Konjac เป็นพืชที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac C. Koch หรือ A. rivieri Durien ญี่ปุ่นใช้แป้งจากบุกทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยทำเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือขนม ซึ่งสามารถลดความอ้วนได้เพราะไม่ให้พลังงานเนื่องจากไม่ถูกย่อย จึงไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่จะขับถ่ายออกมาในรูปเดิม เพียงแต่ทำให้อิ่มเท่านั้น และมีความเชื่อว่าแป้งบุกช่วยทำความสะอาดลำไส้ด้วย มีการสั่งซื้อหัวบุกจากประเทศไทยไปทำวิจัยและทำเป็นอาหารสมุนไพรกันมาก

บุก เป็นพืชที่มิได้มีสรรพคุณทางสมุนไพรโดยตรง แต่เนื่องจากหัวของบุกจะให้แป้งกลูโคแมนแนน ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษเป็นใยอาหาร (dietary fiber) คือร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้จึงทำให้มีประโยชน์ในทางอ้อม โดยจะช่วยเป็นตัวทำให้พื้นที่ของกระเพาะอาหารเต็มโดยเร็ว และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้ บุกจึงใช้เป็นยาลดความอ้วน รักษาโรคเบาหวาน แก้โรคท้องผูก และลดคอเลสเตอรอลได้

สารสำคัญ
มีการศึกษาและค้นพบสารสำคัญในพืชสกุลบุก คือ กลูโคแมนแนน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 กลูโคแมนแนนเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยกลูโคส แมนโนส และฟรุคโตส

ประโยชน์ของกลูโคแมนแนน
กลูโคแมนแนนจากบุกมีพลังงานต่ำ จึงใช้เป็นอาหารของผู้ต้องการลดความอ้วน และยังมีประโยชน์ในการช่วยบำบัดรักษา และบรรเทาอาการของโรคบางชนิดด้วย เช่น โรคไขมันในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง และไขข้ออักเสบ เป็นต้น นอกจากประโยชน์ทางด้านอาหารและยาแล้ว กลูโคแมนแนนจากบุกยังถูกนำไปใช้ผลิตโลชั่นบำรุงผิว และยาเม็ดชนิด sustained release ด้วย

ปัจจุบันมีบุกแปรรูปจำหน่ายทั่วไป
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #70 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2014, 10:16:50 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #71 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2014, 10:19:34 PM »



สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน
ลดไขมันในเลือดได้ผล ร่างกายแข็งแรง เอวหายน้ำหนักลด ดื่มก่อนนอนทุกวัน 2 – 4 เดือนเห็นผล

1.มะนาว 1 ผล
2.น้ำตาลทรายแดง หรือ น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา (หรือไม่ใส่เลยจะดียิ่ง)
3.เกลือป่น ปลายช้อนชา
4.น้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิปรกติ 1 แก้ว หรือ 200 ซีซี.

ชงน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายแดงกับเกลือในน้ำอุ่นจนละลาย (หากไม่ใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งก็จะดียิ่งขึ้น) ทิ้งไว้สักครู่ให้น้ำอุณหภูมิปรกติ บีบน้ำมะนาว 1 ผล เพราะความร้อนทำลายวิตามินซีในมะนาว คนแล้วรีบดื่มได้เลยหรือจะใส่น้ำแข็งก็ได้ ควรดื่มก่อนนอนสัก 15-20 นาที จะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด

หมายเหตุ: น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลทรายแดงจะทำให้ความหวานกำลังดี และเป็นความหวานที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ควรใช้น้ำตาลทรายขาว เพราะผ่านการขัดสีมีสารเคมี

การดื่มน้ำมะนาวก่อนนอน ร่างกายจะได้วิตามินซี และสารอาหารในมะนาว แม้มะนาวจะมีกรดซิตริก กรดมาลิค แต่เมื่อผ่านกระบวนการย่อยของร่างกายจะแปรสภาพเป็นด่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำดื่มประจำทุกวัน 2-4 เดือนเห็นผล เอวจะลดลงทันตาเห็น ถ้าดื่มทุกวันเป็นประจำ ร่างกายจะแข็งแรงสุขภาพโดยรวมจะดีขึ้น ไม่เป็นหวัด กระดูกแข็งแรง ไขมันในเลือดจะหายไป กรดยูลิกจะลดลง ไตกรีนเซอร์ไลจะปกติ ไขมันเลวจะลดลง ไขมันดีจะเพิ่มขึ้น

มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย

สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน นำมาจาก อาจารย์กิติพงษ์ ปังศรีวินิจ อาจารย์หมอกดจุดปรับสมดุลร่างกาย ประจำสำนักแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข
ภาพ: ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #72 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2014, 10:34:09 PM »



ตอบข้อสงสัยเรื่องการล้างพิษตับ ล้างไปทำไม ทำไมต้องล้าง โดย รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ศิริราช บางคนพยายามต่อต้านด้วยการไปถามแพทย์แผนปัจจุบันบางท่าน ที่ไม่เคยมีความรู้เรื่องการล้างพิษตับมาก่อนเลย แพทย์ท่านก็ตอบแบบไม่มีประสบการณ์โดยใช้พื้นฐานความเป็นแพทย์แผนปัจจุบันมาตอบ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับการล้างพิษตับ ซึ่งความจริงแล้วมีที่มาจากโลกตะวันตก ไม่ใช่ภูมิปัญญาไทยหรือเอเชีย

การกินน้ำมันมะกอกผสมผลไม้ตระกูลส้มเพื่อรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี-ในตับ มีมาแต่สมัยโบราณ ในตำราอายุรเวทของอินเดียก็มีบันทึกไว้ นานกว่า 5,000 ปี ในจีนยุคโบราณก็มี ยุคโรมัน ตั้งแต่ 510 ปีก่อนคริสต์กาล หรือมากกว่า 2500 ปีมาแล้ว ยุคปัจจุบันชาวเยอรมันนำมาเผยแพร่ใหม่เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ชาวเอเซียทำตามยุโรป

ในไทย มีคนไทยคือ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง (อาชีพเดิมเป็นวิศวกร) และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ท่านทั้งสองเป็นชาวสันติอโศก ได้ทราบข่าวเรื่องนี้จึงศึกษา ทดลองทำกับตัวเองและผู้อื่นที่ ศีรษะอโศก จ.ศรีสะเกษ จนกระทั่งนำมาบุกเบิกในไทย และปรับปรุงพัฒนาสูตรจากการดูงานในต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย ไต้หวัน ที่มีการล้างพิษตับด้วยวิถีธรรมชาติ นำมาผสมผสานกับสมุนไพรและภูมิปัญญาไทยจนที่เป็นแพร่หลายในไทย ปัจจุบันมีผู้เปิดคอร์สล้างพิษตับหลายแห่ง และมีคนไทยผ่านการล้างพิษตับไปแล้วมากกว่า 30,000 คน (ข้อมูล กพ.2556 ยังไม่มีตัวเลขหลัง กพ.2556 – กพ.2557)



ส่วนหนึ่งของบทความจาก รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ศิริราช ผู้ที่เคยล้างพิษตับด้วยตนเองมาแล้วหลายครั้ง ท่านได้ผนวกประสบการณ์ความเป็นแพทย์แผนปัจจุบันมากรุณาเขียนอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ สั้นๆ เราจึงขอนำมาแบ่งปันให้อ่านเพื่อให้ทราบมุมมองของ “อาจารย์แพทย์” กับ “ข้อสงสัยว่าทำไมต้องล้างพิษตับ” ดังนี้คือ...
*************
ทำไมต้องล้าง (พิษ) ตับ
ตับของเรามีอายุเท่ากับเรา เราอายุ 50 ปี ตับของเราก็อายุ 50 ปี เราอายุ 60 ปี ตับของเราก็อายุ 60 ปี เช่นเดียวกัน

ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย มีน้ำหนักประมาณ 2% เช่น เราหนัก 60 ก.ก. ตับของเราจะหนักประมาณ 1,200 กรัม

ตับมีหน้าที่สำคัญมากกว่า 500 อย่าง ที่เรารู้กันเป็นอย่างดีก็คือหน้าที่กำจัดสารพิษต่างๆ อาหารทุกคำ ยาทุกเม็ด ที่เรากินล้วนมีสิ่งที่ตับต้องกำจัดทั้งสิ้น

ตับเป็นต่อมมีท่อใหญ่ที่สุด สิ่งที่ตับสร้างคือ น้ำดี (bile) เซลล์ตับปกติทุกเซลล์จะสร้างน้ำดี (bile) น้ำดีที่สร้างจะไหลไปตามท่อเล็กๆ ซึ่งมองด้วย กล้องจุลทรรศน์ธรรมดาไม่เห็น เรียกว่า “bile canaliculi” แล้วรวมกันถึงท่อน้ำดีที่ ใหญ่ขึ้นในตับ เรียก “bile duct” ตับมี 2 กลีบ (lobes) ท่อน้ำดีจากทั้ง 2 กลีบ จะรวมตัวกันเป็น “hepatic duct” จะไปเชื่อมต่อกับท่อน้ำดีที่ไหลไปยังถุงน้ำดี (gallbladder)

ตับปกติของผู้ใหญ่จะสร้างน้ำดีวันละหลายลิตร ส่วนใหญ่จะไหลเข้าสู่ลำไส้เล็ก ส่วนที่ 2 ของลำไส้เล็กช่วงแรก (second part of duodenum) มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี (ไม่เกิน 100 cc)

เมื่อตับกำจัดพิษจากสิ่งที่เรากินเข้าไป กากหรือขยะของสารพิษจะถูกขับออกจากตับได้ 2 วิธี

1.ถ้าเป็นสารละลายน้ำได้จะถูกกำจัดออกทางไต

2.ถ้าเป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ ตับจะอาศัยน้ำดีนำไปทิ้งที่ลำไส้เล็กกลายเป็น อุจจาระต่อไป และขยะที่กำจัดไม่ได้จะสะสมอยู่ในตับ

ตับทำงานตลอดเวลา และเป็นอวัยวะหนึ่งซึ่งไม่เคยพักเลย (เช่นเดียวกับ หัวใจ และปอด)

ตับเป็นทั้งโรงงานผลิต โรงกำจัดพิษ และโกดังสะสมทั้งสิ่งที่เป็นและไม่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย เช่น ไขมัน

เครื่องยนต์ของรถ เรือ หรือพาหนะใดๆ ต้องการการทำความสะอาดทั้งสิ้น ตับก็ต้องการเช่นกัน

ตับที่สะอาดจะทำงานได้ดีขึ้นกว่าตับที่สะสมกากขยะไว้ทั้งในตับเอง และในถุงน้ำดี

อ่านถึงจุดนี้ พวกเราคงไม่สงสัยว่า การล้าง(พิษ)ตับ น่าจะเป็นประโยชน์นะ

หลักการ และเหตุผล
การที่ตับต้องทำงานตลอดเวลาเพราะเรากิน
ถ้าเราหยุดกิน ตับก็จะได้พัก ระบบย่อยอาหารทั้งหมดก็จะได้พักด้วย
สังเกตไหมว่าเวลาเราป่วย ความอยากอาหารจะหมดไป ร่างกายเราบอกว่าขอหยุดทำงานก่อน หลักการนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในวิธีล้าง(พิษ)ตับได้

ตับที่พักการทำงานไประยะหนึ่งเมื่อถูกกระตุ้น จะสร้างน้ำดี (ซึ่งหยุดทำไประยะหนึ่งแล้ว) อย่างมากมาย น้ำดีที่ตับสร้างขึ้นนี้มีปริมาณมาก และสามารถนำสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาจากระบบท่อน้ำดี และถุงน้ำดี ออกมาทางอุจจาระได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวกระตุ้นปฏิกิริยานี้ได้รับการพิสูจน์จากนานาประเทศที่เรียนรู้วิธีนี้มานานแล้ว ก็คือ “น้ำมันมะกอก” ชนิด extra vergin olive oil


******* *******เรียบเรียงจาก ส่วนหนึ่งของบทความจาก รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ศิริราช ได้เขียนบทความนี้ส่งมาเผยแพร่ใน www.manager.co.th
อ้างอิง: โปรไฟล์ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี www.si.mahidol.ac.th/th/person_detail.asp?ps_id=651
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #73 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 01:40:49 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #74 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 01:41:27 PM »



สมุนไพรที่รักษามะเร็ง
ข้าวเย็นเหนือ และข้าวเย็นใต้ ช่วยแก้เรื่องน้ำเหลือง มะเร็ง บำรุงร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้ฟื้นตัวเร็ว
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: