Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 9 10 [11]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน  (อ่าน 9296 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #150 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 09:42:48 AM »

อ่านกี่ครั้ง ก็รู้สึก"ดี" เตือนใจครับ

เศรษฐีนีจาก "กว่างโจว" ชื่อ"เจี๋ยเหงียหลี"(เจียงหย่าลี่) ขับรถอยู่บนถนน  เกิดอุบัติเหตุถูกเฉี่ยวชน , โชคดีไม่รุนแรงมาก , และเธอก็ได้รับบาดเจ็บแค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้น ,  หลังจากเอารถเข้าอู่เพื่อซ่อมสีแล้ว , เธอพลันนึกได้ว่า , บ้านพ่อแม่อยู่ใกล้ๆแถวๆนี้เอง ,  และเธอก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านนานแล้ว , 

      "เจียงหย่าลี่" กลับไปพักค้างคืนที่บ้านพ่อแม่ 1 คืน  รุ่งเช้าขณะที่เธอจะกลับไป"กว่างโจว" , คุณแม่ไดัส่งเสื้อผ้าคืนมาให้เธอ  , ปรากฎว่า รอยขาดที่เกิดจากอุบัติเหตุเมื่อวานนี้  ได้รับการปะชุนอย่างปรานีตจากมือของคุณแม่เรียบร้อยแล้ว ,  เธอรู้สึกประทับใจในความรักของคุณแม่  ที่เอาใจใส่เธออย่างดี   แม้เธอจะเติบโตจนเป็นนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จ   เป็นเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งของเมือง"กว่างโจว"แล้วก็ตาม  ,  แต่เธอก็มีความรู้สึกว่า , มันก็ประหยัดเกินไปหน่อยแล้ว , ตอนนี้เราก็มีเงินมากมาย ,  เดี๋ยวกลับไปถึงบริษัทเราคงต้องทิ้งไปดีกว่า...

       งานของ"เจียงหย่าลี่" ยุ่งมาก , พอกลับถึงบริษัทก็ลืมเรื่องนี้ไป...  เธอใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนของแม่  ติดต่องานหลายแห่ง  และยังเจรจางานธุรกิจชิ้นสำคัญสำเร็จด้วย ,  จนตกเย็นเธอกลับถึงบ้าน  เธอนึกขึ้นได้ว่า  วันนี้ติดต่อธุรกิจทั้งวัน  และนุ่งเสื้อผ้าขาดๆที่มีรอยปะชุน ,  พอนึกได้ดังนี้  เธอจึงถอดออกมาแล้วทิ้งใส่ถังขยะทันที , ... วันต่อมา   ธุรกิจล๊อกใหญ่ที่เธอเจรจาสำเร็จเมื่อวานนี้  กำลังจะทำการเซ็นสัญญา ,  คู่ค้าคู่สัญญาพลันถามขึ้นว่า " เสื้อผ้าชุดที่มีรอยขาดปะเมื่อวานนี้  ทำไมวันนี้คุณไม่ใส่มาอีก ?  ...  เธอรู้สึกเขินที่ถูกถามเช่นนั้น  จึงตอบไปว่า " ถอดไปซักแล้วค่ะ"  ....

       คู่ค้าสำคัญรายนี้บอกว่า  "คุณคงไม่รู้นะครับว่า" ที่ผมเซ็นสัญญากับคุณวันนี้ได้เพราะ   คุณใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะ   แม้จะเป็นรอยที่ปะชุนอย่างปรานีต  ผมก็ดูออกครับ ,  คุณคือคนที่มีความประหยัดมัธยัตไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ ,  การร่วมทำธุรกิจกับคนอย่างคุณ ,  ทำให้ผมมั่นใจที่ได้ร่วมทำธุรกิจเป็นหุ้นส่วนกับคุณจริงๆครับ....  "เจียงหย่าลี่"กลับมาถึงบ้าน ,  เธอรีบไปรื้อถังขยะ  หยิบเสื้อผ้าที่แม่ปะชุนอย่างดีกลับขึ้นมาซัก  เธอซักแล้วซักอีก ,  ตากแห้งแล้วเก็บใว้ในที่ลับตา  คิดว่าวันหลัง  หากมีการติดต่อธุรกิจสำคัญ  คงต้องพึ่งเจ้าชุดเก่งนี้อีกครั้งหนึ่งแน่.......

       หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป  ,  เช้าวันหนึ่ง  ก่อนที่เธอจะไปบริษัท , ที่บ้านของ"เจียงหย่าลี่" ปรากฎมีตำรวจมาหาเธอ2คน , ...... ที่แท้เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนค่ำ  มีเศรษฐีนีอีกคนหนึ่งถูกคนร้ายจับมัดตัวเรียกค่าไถ่  แถมฉีกเสื้อผ้าลวนลามเธออีก ,  ขณะเดียวกันโจรคนนั้นก็ถูกจับได้ในคืนนั้นเอง ,  จากการสอบสวนของตำรวจ  คนร้ายได้สารภาพว่า   ความจริงคนที่เขาต้องการปล้น คือ"เจียงหย่าลี่"  เพราะฉะนั้น" วันนี้ตำรวจจึงมาเตือนให้เธอระวังตัว  , "เจียงหย่าลี่" รู้สึกตกใจกลัวอย่างมาก แต่ได้ถามตำรวจว่า , แล้วทำไมคนร้ายถึงเปลี่ยนใจไม่จับฉันเรียกค่าไถ่ ?   ตำรวจตอบว่า  เพราะวันนั้นเสื้อผ้าที่เธอใส่มีรอยปะชุน   คนร้ายเลยไม่ลงมือ   เพราะคิดว่า เธอคงไม่รวยจริงดังคำร่ำลือ ,  เพราะคนรวย ต้องไม่ใส่เสื้อผ้าปะชุนเด็ดขาด......

    " เจียงหย่าลี่"กลืนน้ำลายเอื๊อก , คิดไม่ถึงว่าการใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุน  กลับส่งผลดีกับเธออย่างไม่คาดคิด ,  เท่ากับช่วยชีวิตเธอได้ครั้งหนึ่ง ,  หลังตำรวจกลับไปแล้ว  "เจียงหย่าลี่" เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดขาดที่แม่ปะชุนออกมา , เธอบรรจงลูบรอยปะชุนที่ปรานีตบรรจงของแม่ , เธอค่อยๆลูบไปทีละฝีเข็ม , ทีละฝีเข็ม,  ตอนนี้เธอ.....เศรษฐีนีผู้ประสพความสำเร็จในชีวิต  จนได้รับการขนานนามว่า "ปู๊พั้ว"(เศรษฐีนี) กลับร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆแล้ว......

     ....ชีวิตหนึ่งของคนเรา   ไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน  สถานะในสังคมสูงส่งเพียงใด , ขอให้จดจำใว้ให้ดีว่า  " ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ " ต้องรู้บุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือ ,  อย่าได้หลงลืมจุดเริ่มต้นของชีวิต , ความรักของแม่เปรียบเช่นน้ำทิพย์ชโลมใจ , แม้จะไม่มีเสียง , แต่สามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจที่แห้งผาก;  แม้ฝีเข็มที่ปะชุน  จะเป็นเรื่องธรรมดาที่แสนธรรมดา ,  แต่มันได้สร้างเรื่องที่ยิ่งใหญ่ใว้ในใจเธอ ตลอดกาล....... 

แปล  และเรียบเรียงโดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง 黄振炎  29/12/2017

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #151 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 09:54:35 AM »

‘คังซีฮ่องเต้’ ป่วยด้วยโรคประหลาด หมอมีชื่อทุกคนรักษาไม่หาย จนต้องเลิกให้ยา วันหนึ่งจึงเดินเล่นยามค่ำตามลำพังไปถึงตรอกแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงคนอ่านหนังสือ ทรงคิดว่าในวังกลับไม่มีคนจริง คนจริงกลับมาอยู่ท่ามกลางผู้คนทั่วไป

จึงเคาะประตู คนเปิดประตูอายุสี่สิบกว่าปี คาดว่าเป็นคนขายยา จึงแจ้งอาการว่าเป็นโรคประหลาด ขึ้นจุดสีแดงตามลำตัว เชิญหมอมารักษาก็ไม่หาย ช่วยดูให้หน่อย คนขายยาจึงขอให้ถอดเสื้อออกดู และกล่าวว่า ท่านไม่ต้องกังวล ไม่ใช่โรคร้ายอะไร เพียงแต่ปกติท่านกินอาหารดีๆ ทั้งจากป่าเขาและท้องทะเลมากเกินไป แถมกินโสมมาเป็นเวลานาน ความร้อนจู่โจมจึงผุดเป็นจุดแดงคันขึ้นมา คังซีถามว่าโรคนี้รักษาได้ไหม คนขายยาบอกว่า ไม่ยาก ใช้ยาเล็กน้อยก็หายแล้ว ว่าแล้วก็เทยาออกมาประมาณ 7-8 จิน (หน่วยน้ำหนัก ประมาณ 0.5kg)

คังซีตกใจถามว่าต้องกินเยอะขนาดนี้เลยหรือ คนขายยาบอกนี่คือต้าหวาง
(ตั่วอึ๊ง ยาระบาย) ไม่ได้ให้กิน แต่ให้นำกลับไปต้มกับน้ำ 100 จิน (ประมาณ 50 ลิตร) รอให้เย็นลง พออุ่นก็ลงไปอาบแช่ อย่างน้อย 3 ครั้งอย่างมาก 5 ครั้งก็หายแล้ว

คังซีคิดในใจว่า ในวังหมอเก่งใช้ยาพิเศษตั้งมากมายยังไม่หาย แล้วต้าหวางแสนธรรมดานี้จะรักษาเราหายหรือ คนขายยาดูสีหน้าออก จึงกล่าวว่าท่านจงวางใจ ไม่ต้องจ่ายค่ายา ให้นำไปใช้ก่อน หากไม่หาย ไม่ขอรับค่ายา คังซีจึงบอกว่าหากหาย ย่อมต้องตอบแทนอย่างหนัก

คังซีกลับถึงวัง ทำตามที่คนขายยาบอก ชั่วขณะที่ลงแช่ในถังยารู้สึกร่างกายสะอาดกระจ่าง สบายอย่างยิ่งเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ภายหลัง 3 ครั้งก็ไม่มีอาการคันแล้ว จุดแดงบนร่างกายก็หายไปหมด คังซีดีใจยิ่ง วันที่ 4 จึงกลับไปที่ร้านขายยา คนขายยาเห็นอาการแล้ว เลยกล่าวว่าท่านจะมาชำระค่ายาใช่ไหม คังซีตอบว่า แน่นอน ท่านหมอคิดเงินเท่าไหร่

คนขายยาก็หัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า น่าละอายแล้ว วันนั้นเห็นท่านเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงกล่าวเช่นนั้น ต่อให้วันนี้หายดีก็ยังไม่รับค่ายา แต่เห็นท่านราศีไม่ธรรมดา ก็เพียงแต่คิดคบเป็นเพื่อนไว้ก็พอแล้ว ขอทราบนามอันสูงส่งของท่าน คังซียิ้มน้อยๆ กล่าวว่า นักศึกษา(ถ่อมตัว) สกุลหวาง (อึ๊ง) นามว่า เทียนชิง เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง คนขายยาได้ยินก็กล่าวตอบอย่างยินดีว่า ข้าพเจ้าเรียกว่า จ้าวกุ้ยถัง เป็นนักศึกษายากไร้คนหนึ่ง บิดามีปณิทานอยากให้ข้าพเจ้าได้ดีมีลาภยศ แต่ ‘คนคาดหวังหรือจะสู้ฟ้าลิขิต’ สอบบัณฑิตหลายครั้งก็ไม่ผ่าน ได้แต่เปิดร้านยาเล็กๆ ฝึกจ่ายยาไปด้วยคร่ำเคร่งเล่าเรียนไปด้วย หวังว่าจะมีสักวันจะผ่านการสอบได้

คังซีกล่าวว่าพี่จ้าว คำโบราณว่า ‘แม้บนกำแพงยังไม่มีชื่อเรา แต่ใต้เท้าเราก็ยังมีทางเดินอยู่’ อาศัยความสามารถทางการแพทย์ที่สูงส่งของท่าน ข้าพเจ้าสามารถฝากท่านเป็นหมอในวังได้ นี่มิใช่เหมือนสอบผ่านรึ

แต่จ้าวกุ้ยถังกลับหัวเราะพูดว่า ผิดแล้ว ข้าพเจ้าต้องการอาศัยการแพทย์เพื่ออำนวยประโยชน์แก่มวลชนช่วยพวกเขาพ้นทุกข์ยาก หากเข้าวังเป็นหมอหลวงรับโชควาสนาแต่ไม่อาจช่วยรักษาโรคให้เหล่าราษฎร ไม่บรรลุปณิธานของข้าพเจ้า จะมีประโยชน์อะไรในการเป็นหมอ

คังซีฟังแล้วกล่าวว่า คุณธรรมของพี่จ้าวทำให้ข้าพเจ้านับถือนัก เพื่อนรัก ขอพูดตรงๆ ท่านจะโกรธข้าพเจ้าก็ได้ ในเมื่อสอบไม่ติด ทำไมไม่ปล่อยวางเสียล่ะ จ้าวกุ้ยถังก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้น แต่การขายยาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะข้าพเจ้าไม่มีทุนมากพอ ‘ปณิธานแม้กว้างใหญ่ แต่ก็เบิกทางไปได้ไม่เท่าไหร่’ พี่ชาย หากวันหน้าท่านได้ลาภใหญ่ ก็ช่วยข้าพเจ้าสักครั้ง ให้ข้าพเจ้าได้ก่อตั้งร้านขายยาขนาดใหญ่ ก็เท่ากับข้าพเจ้ารักษาท่านไม่เสียเปล่าแล้ว

คังซีก็กล่าวโดยไม่ลังเลเลยว่า หากต้องการตั้งร้านยาใหญ่จริงๆ จะตั้งชื่อว่าอะไรดี ชื่อว่า ‘ถงเหรินถัง’ ท่านว่าชื่อนี้เป็นไง จ้าวกุ้ยถังเห็นเขาเอาจริงเอาจังก็พูดพลางหัวเราะพลางว่า ข้าพเจ้าแค่พูดเล่น ท่านอย่าได้จริงจังไปเลย ว่าไปแล้วการก่อตั้งร้านขายยาขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมากมาย ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่ท่านจึงจะได้ลาภก้อนโต นี่ก็แค่ฝันกลางวัน พอทีๆ คังซีกล่าวว่า ลองดูทีรึ

กล่าวพลางนำปากกาจากโต๊ะมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างคล่องมือ ปิดผนึกแล้วกล่าวว่า พี่จ้าว พรุ่งนี้ท่านไปที่กรมวัง ที่นั่นเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งอาจช่วยเป็นธุระเรื่องนี้ได้ กล่าวจบก็ลากลับ จ้าวกุ้ยถังเห็นท่านหวรงผลุนผลันกลับไปในใจคิดว่าคนผู้นี้ประหลาดจริง

วันต่อมา จ้าวกุ้ยถังก็อดไม่ได้ที่จะนำจดหมายไปที่กรมวัง ส่งจดหมายไปเพียงครู่หนึ่งก็มีขันทีท่านหนึ่งออกมา พาจ้าวกุ้ยถังเข้าข้างใน ผ่านส่วนงานต่างๆ มาจนถึงหน้าห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ขันทีเปิดประตูห้อง ชี้ไปภายในกล่าวว่า ท่านจ้าว เงินปริมาณนี้พอต่อค่ายาของท่านหรือไม่ จ้าวกุ้ยถังเพ่งมองแล้วอดแปลกใจไม่ได้ เห็นแต่เงินขาวปลั่งเต็มห้อง ยืนนิ่ง ณ ที่นั้นไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินขันทีกล่าวว่า ท่านจ้าว ฮ่องเต้ทรงรับสั่งว่า ท่านรักษาเจ้าอยู่หัวจนหาย ไม่เก็บเงินแม้สลึงเฟื้อง จึงอยากให้ร้าน ‘ถงเหรินถัง’ เป็นของขวัญ ให้สมปณิธานของท่านเถิด

ถึงตอนนี้จ้าวกุ้ยถังจึงเหมือนตื่นจากฝันมา ที่แท้พี่หวางที่คบกันโดยไม่คาดหวังใด กลับเป็นเจ้าอยู่หัวปัจจุบัน สำนึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่งต่อการกระทำมิบังควร ทำไมไม่ระแคะระคายสักนิด

ต่อจากนั้นไม่กี่วันร้านขายยาขนาดใหญ่ก็ผุดขึ้นมา ขนานนาม “ถงเหรินถัง” เมื่อวันที่จ้าวกุ้ยถังเปิดกิจการ ฮ่องเต้คังซีถึงกับมาร่วมยินดี ทำเอาจ้าวกุ้ยถังเงอะงะทำอะไรไม่ถูก คังซีจึงยิ้มพลางกล่าวว่า ท่านอย่าวุ่นวายใจไปเลย ค่ายาของท่าน ข้าพเจ้าก็คืนให้แล้ว ตรวจรักษาครั้งหน้าก็ยังไม่เก็บแม้สลึงเฟื้องต่อไปเถิด

นับจากนั้นปักกิ่งเมืองหลวงจึงมีร้านขายยาขนาดใหญ่ชื่อเสียงเลื่องลือ ชื่อว่า “ถงเหรินถัง”

เรื่องนี่เป็นเรื่องจริง การได้อ่านเรื่องนี้สอนแก่เราว่า คนซื่อตรง ใจซื่อตรง คนใจดี จิตใจงาม ประกอบกรรมใดย่อมได้ผลอย่างนั้น

Cr: Friend of
Nucharintr Uthaisangchai
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #152 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2022, 08:49:32 AM »

ฝากไปถึงลูกชาย ลูกสาว ทุกคน อ่านไว้เตือนสตินะ

Posted on 20 มกราคม 2022 by น่าอ่าน

1. เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการ เตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

2. เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

3. เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัด ที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

4. เวลาเจอเจ้านายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ

5. เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

6. เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่า เรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

7. เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

8. เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่า ของการรักษาสุขภาพให้ดี

9. เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักยืนหยัดด้วยตัวเอง

10. เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

11. เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

12. เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยาน ไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

13. เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

14. เวลาเจอคนกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิต ที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

15. เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

16. เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือน จงอย่าประมาทเป็นอันขาด

17. เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบ “มารไม่มี บารมีไม่เกิด”

18. เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม “ในวิกฤตย่อมมีโอกาส”

19. เวลาเจอความยากจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

20. เวลาเจอความตา ย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ ชีวิตจบลงอย่างสมบูรณ์

ที่มา Bitcoretech
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #153 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2022, 08:51:16 AM »

จากไลน์เพื่อนครับ

เคล็ดลับของความสุข
………”ขจรศักดิ์”

ในปี 1984  ฮาวเวิร์ด  ดิกคินสัน  อายุ 24 ปี  กำลังเรียนระดับดุษฎีบัณฑิตภาควิชาปรัชญา  ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  สหรัฐอเมริกา  วิทยานิพนธ์ที่เขากำลังตระเตรียมเพื่อจบการศึกษามีหัวข้อว่า 
"ความสุขของคนได้มาจากไหน"

เขาได้เตรียมแบบสอบถามทั้งหมด 10,000 ชุด  แจกจ่ายไปยังผู้คนต่างๆในเมืองนั้น  แบบสอบถามของเขาได้สอบถามถึงข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคน  ความคิดเห็นและมุมมองต่างๆในทัศนคติของพวกเขาในแต่ละคำถาม  และหนึ่งในคำถามของแบบสอบถามต้องการทราบว่า  "คุณมีความสุขระดับไหน"  โดยมีคำตอบให้เลือกอยู่ 5 ระดับ

A. มีความสุขมาก
B. มีความสุข
C. พอใช้ได้
D. เจ็บปวด
E. เจ็บปวดมาก

เขาใช้เวลาสองเดือนในการแจกจ่ายและรวบรวมคำตอบ  สุดท้ายได้แบบสอบถามกลับมา 5,200 ชุด  หลังจากการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้ว  เขาพบว่ามีเพียง 121 คนเท่านั้นที่บ่งบอกว่า  ตน "มีความสุขมาก"

ลำดับถัดมา  เขาได้ทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทั้ง 121 คนอย่างละเอียด

เขาพบว่า  ใน 121 คนนี้   มีอยู่ 50 คนที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จในเมืองนี้  ความสุขที่เขารู้สึกนั้นล้วนมาจากอาชีพหรือธุรกิจที่กำลังประสบความสำเร็จ

ในขณะที่ผู้คนอีก 71 คนนั้น  บางคนเป็นแค่แม่บ้านธรรมดา  ชาวไร่ชาวนาก็มีไม่น้อย  เป็นพนักงานในบริษัททั่วไปก็มี  และบางคนยังเป็นพวกเร่ร่อนที่ต้องรับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลอยู่เป็นประจำ

ผู้คนที่แสนธรรมดาพวกนี้  ทำไมจึงมีความรู้สึกว่า  เขา "มีความสุขมาก"

หลังจากที่ ฮาวเวิร์ด  ดิกคินสัน ได้ติดต่อสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัวเพิ่มเติมแล้ว  เขาพบว่า  แม้พวกเขาจะมีอาชีพและอุปนิสัยที่แตกต่างกันไป  แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต่างมีเหมือนกันทุกคน

นั่นคือพวกเขาล้วนไม่ใช่พวกวัตถุนิยมเลย

พวกเขามีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย  พยายามไม่ทุกข์ไม่ร้อน  มีทั้งฐานะดีหน่อยหรือจนหน่อยปะปนกันไป  แต่ล้วนมีความสุขกับชีวิตที่แสนธรรมดาในแต่ละวัน 

บทวิเคราะห์ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เขาอย่างมาก  อันทำให้เขามีบทสรุปของการสำรวจดังต่อไปนี้

“บนโลกใบนี้  มีผู้คนที่มีความสุขมากอยู่ 2 ประเภท

ประเภทที่หนึ่งคือ  ผู้คนที่เป็นคนธรรมดาๆ  แต่พอใจกับความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของเขา

อีกประเภทหนึ่งก็คือ  ผู้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเส้นทางอาชีพของเขา”

ฮาวเวิร์ด  ดิกคินสัน แนะนำไว้ว่า 
“หากคุณที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป  ก็สามารถฝึกฝนจิตใจคุณ  ให้ลดทอนความอยากได้ต่อวัตถุต่างๆให้น้อยลง  ความสุขก็จะเกิดขึ้นกับคุณ

แต่หากคุณเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายอาชีพ  คุณสามารถมุ่งมั่นต่อยอดก้าวเดินต่อไป  ความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นก็จะนำพาความสุขมาเพิ่มให้คุณเช่นกัน”

หลังจากคณะกรรมการผู้ตัดสินได้อ่านและศึกษาวิทยานิพนธ์ของเขาแล้ว  ต่างให้ผ่านด้วยเกรดคะแนน A+

หลังจบการศึกษา  เขาอยู่ต่อในฐานะอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย

ชั่วพริบตาเดียว  เวลาผ่านไป 20 ปี  บัดนี้เขากลายเป็นนักวิชาการทีมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอเมริกา

เขาได้หยิบเอาข้อมูลของทั้ง 121 คนออกมาปัดฝุ่นอีกครั้ง  ใช้เวลาสามเดือนติดต่อและส่งแบบสอบถามให้พวกเขาทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากได้รับแบบสอบถามคืนกลับมาแล้ว  เขาพบว่าบุคคลธรรมดาๆทั้ง 71 คนที่เคยระบุว่า  ตนเป็นคนที่ "มีความสุขมาก"  ได้เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน  ที่เหลืออีก 69 คนนั้น  มีความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร  บางคนในพวกเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจในสายงานอาชีพของเขา  บางคนยังมีความเป็นอยู่แบบเดิมๆ  บางคนเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ  ชีวิตความเป็นอยู่ทุกวันนี้ยากลำบาก

แต่การเลือกคำตอบของพวกเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน  ทุกคนยังรู้สึกว่า  ตนเอง "มีความสุขมาก"

ส่วนอีก 50 คนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในสายอาชีพเขา  การเลือกคำตอบในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าจับตามอง

มีอยู่แค่ 9 คนในหมู่พวกเขา  ที่ทุกอย่างยังดำเนินไปได้อย่างราบรื่น  และยังคงยืนกรานคำตอบเดิมคือ "มีความสุขมาก"

มี 23 คนเปลี่ยนคำตอบเป็น  "พอใช้ได้”

มีอยู่ 16 คนที่ประสบความขรุขระบนเส้น
ทางอาขีพ  บางคนถึงกับล้มละลาย  บางคนถูกลดตำแหน่งในหน้าที่การงาน  กลุ่มนี้เปลี่ยนคำตอบเป็น  "เจ็บปวด"

เหลือ 2 คนสุดท้าย  เลือกคำตอบเป็น "เจ็บปวดมาก"

เมื่อผลสำรวจออกมาเป็นแบบนี้  ทำให้เขาต้องครุ่นคิดและวิเคราะห์อยู่เป็นนานสองนาน

หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์  ฮาวเวิร์ด ดิกคินสัน ได้เขียนบทความในเชิงวิเคราะห์ออกมาบทหนึ่ง  ในหัวข้อที่ชื่อว่า 
"เคล็ดลับของความสุข" 
และบทความฉบับนี้  ได้ถูกหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ วอชิงตัน โพสต์ นำไปตีพิมพ์ทันที

ในบทความของเขา  เขาได้บรรยายอีกครั้งถึงความเป็นมาของแบบสอบถามทั้ง 2 ครั้งอย่างละเอียด  และเขาได้ให้บทสรุปในตอนท้ายบทความไว้ว่า

"ความสุขที่มาจากวัตถุนิยม  มักอยู่กับเราไม่ได้ยั่งยืน  เมื่อวัตถุจางหาย  ความสุขก็จะอันตรธานหายไปด้วย

ส่วนจิตใจที่มีแต่ความสงบสุขนั้น  จะทำให้กายใจเป็นสุขได้เสมอ  นั่นคือแหล่งที่มาของความสุขที่แท้จริง"

บทความในเชิงวิเคราะห์นี้  ได้สร้างความฮือฮาและได้รับความสนใจจากผู้อ่านเป็นอย่างมาก  จนทำให้หนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ในฉบับเช้าวันนั้น  ขายหมดเกลี้ยงตลาดภายในเวลาอันรวดเร็ว  จนต้องพิมพ์เพิ่มอีกถึง 6 ครั้งในวันเดียวกัน

แม้วันเวลาจะผ่านไปนานพอสมควร  แต่บทสรุปนี้ก็ยังเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

Facebook:ห้องสมุดฟลิ้นท์
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
Credit: Social forward
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #154 เมื่อ: กันยายน 07, 2022, 08:13:46 AM »

อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :
(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)


ลูกหลานเราเขาเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว     

อาการเบาๆ เขาอาจฟังคำเราไม่เถียงแต่เขาไม่เชื่อที่แสบกว่านั้นเขาตอบว่า ~

"รู้แล้ว รู้แล้ว"   

ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาวเมื่อผู้ใหญ่เตือนโดยทั่วไป เราตอบท่านว่า

 "ครับ" หรือ "ค่ะ"

คือ ถ้ารู้แล้ว ก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้ ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้ ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ

ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ได้ยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ" ผมว่าไม่มีสักครอบครัว   

ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว ยกเว้นคนที่เขาบูชาซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว

ผมไม่มีลูกมีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆๆ" อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลยกว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค ต้องกรองแล้วกรองอีกว่าเราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง? คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่าได้เสียใจ

ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่าเด็กสมัยนี้เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิดก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก

ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว

ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมากตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก

เช่น สอนว่าถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง :

"ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว"

เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิตและบอกผมว่าเขารอดปลอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอนของผม

ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิตเขาคิดว่าโตๆกันแล้วไม่ต้องสอนแล้ว     

ความจริงแล้วตรงข้ามเลยเป็นความเชื่อที่ผิด

วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟังอยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือไม่ เช่น

ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว  รู้แล้ว”  ไม่ฟังเราแล้วคิดในใจว่า "โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"

ผมไม่ได้ยืนยันว่าคนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้ 

ผมเห็นว่าความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมากเป็นดังกล่าวนี้คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่งไม่เป็นอย่างนี้แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร? 

เขาก็เป็นอย่างนี้

1.คิดตื้นชั้นเดียว

ได้ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้าใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจก็เชื่อทันที
     

2.ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี
 
เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า  ควรหรือไม่ควร? คิดเพียงว่าทำเพราะว่าอยากทำและทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมายไม่สำคัญเท่าความคิดของตน

3. ผลปัจจุบันสำคัญกว่าผลในอนาคต

คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืนเลือกอาชีพที่รายได้มากไม่ต้องมั่นคงก็ได้ มีคู่ครองก็คิดอยู่กันชั่วคราวถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่าจะใช้ได้ทนหรือไม่เอาสวยไว้ก่อน เมื่อเสียแล้วจะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด

4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา   มีตัวเองคนเดียวก็พอ   ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง

โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย

ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่าจะฝากอนาคตประเทศชาติไว้กับพวกเขา

เพราะว่าเขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา  ไม่ต้องการกฎหมาย ไม่ต้องการประเพณีมีแต่เขาคนเดียวในโลกของเขา

ท่านผู้ใดมีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าวจงดีใจเถิดว่า "เทวดามาเกิด" ในตระกูลของท่าน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”

การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ   

"โรครู้แล้ว รู้แล้ว"
ก็เกิดจากหลายสาเหตุ  สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามามีดังนี้

สื่อโซเชียล

ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริงไม่มีตัวตนให้เห็นแต่ติดต่อสื่อสารกันได้ทำให้เขาไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร 

เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้วเขาจึงอยู่กับโทรศัพท์ได้นานโดยไม่สนใจผู้ใด 

บุคลิกกลายเป็นคนเฉย  หน้าเงียบหน้างอ ไม่สนใจใคร ไม่อยากพูดกับใคร นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ก็เป็นการพูดคุยแล้ว   

ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา  เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที  เพราะว่าทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลกโซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า
                                                                                                   ประการสำคัญ
เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก  ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์   ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามากถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขาๆ จึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่

 การเคลื่อนตัวของจักรวาล 

คือ โลก ดวงดาว ที่อยู่รอบๆ ทั่วจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทั้งหลายเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆในอวกาศที่ว่างทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ 

พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์ นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป     

 ศาสนา

โดยเฉพาะพุทธศาสนา  มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบายมนุษย์มีใจบาป  ทำลายคนและสัตว์มากมายมาเป็นเวลานานโดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และกินสัตว์เป็นอาหาร

ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์หรือห้ามกินเนื้อสัตว์ก็อะลุ่มอล่วยให้กินเนื้อสัตว์ได้แต่อย่าฆ่าหรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร   

การก่อเวรเช่นนี้ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุขและสัตว์ที่มนุษย์ฆ่าหรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้ โดยทำให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

 สังคม

มีแต่ความรีบเร่งไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่ ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใครเพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน   

การพูดจาไม่ต้องสุภาพ  ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ    ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี ไม่มีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร  เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว ฯลฯ
                                 
4 สาเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”   

ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา เราก็ต้องทำใจว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”

ท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” 

ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

"ขอให้ท่านโชคดี"
ที่ผมเขียนมานี้ท่านคง
"รู้แล้ว  รู้แล้ว” 
เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม?

บุญ ไท

ขออนุญาติเจ้าของบทความนี้นำมาส่งต่อเพื่อแบ่งปันและให้กำลังใจกับผู้สูงวัย ผู้อาวุโส ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ครูอาจารย์ ฯลฯ

ที่ต้องปรับตัวให้เท่าทันความนึกคิดของคนรุ่นใหม่ทั้งที่ใช่ลูกหลานคนใกล้ตัวและคนไกลตัวที่อาจจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เข้าใจและยอมรับได้ทั้ง 2 ส่วนคือ

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีงามทำให้จิตใจมนุษย์พัฒนาคุณธรรมความดีสูงขึ้นเหนือจากสัตว์เดรัจฉาน

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ตกต่ำทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนาคุณธรรมความดีไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

เรียนรู้ที่จะยอมรับและปล่อยวางได้อย่างเหมาะสมแต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นความทุกข์ใจของคนต่างวัยในชายคาเดียวกัน

"รู้แล้ว รู้แล้ว" น่า
อย่าพูดเยอะ วัยรุ่น เบื่อ
28.08.2565
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #155 เมื่อ: กันยายน 07, 2022, 08:17:58 AM »

มีทรัพย์​บางประเภทที่ไม่อาจประเมินเป็น 'มูลค่า'​ ได้ แต่มีคุณค่ากับชีวิตอย่างยิ่ง

ทรัพย์​ที่ว่านี้คือ 'ความสัมพันธ์'

ในชีวิตเรามิได้ได้สิ่งที่อยากได้จากการซื้อหาเท่านั้น บางอย่างต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้

-พื้นที่รองรับเรื่องอึดอัดใจ
-ผู้ให้คำปรึกษาเวลาสับสน
-คนที่คอยช่วยเหลือเวลามีปัญหา
-คนที่เติมพลังในยามท้อแท้
-คนที่เป็นเหมือนผนังมั่นคงให้เอนพิง
-ฯลฯ

บางทีผู้คนเหล่านี้ถูกประเมินค่าต่ำเกินไป หรืออาจลืมว่าเป็น 'ทรัพย์'​ ของชีวิต

ในบางวันที่ได้รับคำแนะนำที่มีค่า เราย่อมรู้สึกว่าชีวิตได้รับการเติมเต็ม บางทีแค่ได้พูดคุยกับบางคนแล้วรู้สึกมีความสุข เต็มอิ่ม ราวกับได้กินอาหารอร่อยหรือขนมรสเลิศ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้รู้สึกดีกับชีวิต

การสะสม 'ทรัพย์'​ เช่นนี้ไว้นับเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้ทรัพย์สินเงินทอง

บางคนเป็นเหมือนบ้านของหัวใจ บางคนเป็นปั๊มน้ำมัน บางคนเป็นกระจกส่องสะท้อนตัวตน บางคนเป็นเหมือนสถานบำบัดเยียวยาจิตใจ

ยิ่งเติบโตขึ้นยิ่งพบว่าการมีคนที่เป็นดัง 'ทรัพย์'​ ของชีวิตเป็นโชคดี ควรมองเห็น ให้ความสำคัญ และรักษาไว้

คนมีค่าเหล่านี้คือความรุ่มรวยของชีวิต ทำให้ชีวิตอบอุ่น เบาสบาย คลี่คลาย มั่นคง

ทำอย่างไรจึงมี 'ทรัพย์ของชีวิต'

คงต้องสะสมและรักษา

ที่สำคัญคือ ต้องมองเห็นว่ามิตรภาพคือ 'ทรัพย์


ขอขอบคุณบทความดี ๆไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #156 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2022, 07:48:48 AM »

หมอหนุ่มเป็นมะเร็งปอด เปิดเพจ เล่าเรื่องราว ทั้งที่แข็งแรง เริ่มไอไปตรวจ ปอดขวาเหลือครึ่งเดียว



หมอหนุ่มเป็นมะเร็งปอด วัย 28 เปิดเพจ เล่าเรื่องราว ทั้งที่ร่างกายแข็งแรง กินอาหารคลีน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เผยเริ่มไอ ตรวจดูพบปอดขวาเหลือครึ่งเดียว

เพจ สู้ดิวะ ที่เขียนโดย หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี เล่าเรื่องราวเมื่อชีวิตต้องเจอโรคร้ายทั้งที่อายุยังน้อย โดยใจความระบุว่า สวัสดีครับ ผมเป็นมะเร็งปอดครับ

มันจะเรียกว่า ระยะสุดท้ายก็ได้ครับ ระยะลุกลาม ระยะที่เรียกได้ว่าไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนออกแล้วก็หายขาดได้อย่างแน่นอนครับ บรรจุเป็นอาจารย์แพทย์ได้ 2 เดือน ก็ได้ตั๋วเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ใหญ่เฉยเลย สงสัยใช่ไหมครับ เพราะผมก็สงสัยเหมือนกัน

ผมมั่นใจในสุขภาพร่างกายตัวเองมากๆนะ ทั้งเข้ายิมสม่ำเสมอ เล่นกีฬา กินอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็น้อยมากๆ ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด นอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้ามาอ่านหนังสือ ทำวิจัย สอนนักศึกษา ไม่ได้เข้าเวรอดนอนอะไรเลย การงานอาชีพที่เรียกได้ว่ากำลังไปได้สวย เพิ่งจะอดทนเรียนแพทย์เฉพาะทางจบ พร้อมกับปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบ เพื่อมาทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ตามที่ฝันไว้
แล้วผมก็เริ่มไอครับ ไอมีเสมหะบ้าง ไอแห้งบ้าง ตรวจโควิดแล้วก็ไม่เจอ ตอนนั้นไปรักษาไปทางกรดไหลย้อนก่อน ผ่านไป 2 เดือน

 ระหว่างนี้ผมสามารถเล่นกีฬาได้ตามปกติ ทำงาน ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยจริงๆ มีแค่เรื่องไอที่ไม่หายสักที จึงตัดสินใจไปตรวจจริงๆจัง เอาจริงๆคือเพิ่งจะมีเวลาว่างจากงานด้วยครับ 3 ตุลาคม 2565 เป็นวันที่ไม่มีตารางงานเลย จึงถือโอกาสไปตรวจสุขภาพหน่อย

Chest X-ray บอกผมว่า ชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นฟิล์มที่ปอดข้างขวาผมเหลืออยู่ครึ่งเดียว ลักษณะเหมือนมีก้อนกับน้ำอยู่ในปอดด้านขวา และปอดด้านซ้ายก็มีก้อนเล็กๆเต็มไปหมด

ถึงจะคิดว่า อายุเราน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอะไรเลย สุขภาพโคตรแข็งแรง แล้วเอาจริงก็คิดว่าผมไม่ใช่คนทำบาปเยอะอะไรนะ

แต่หลังจากผ่านการตรวจทุกอย่างมาแล้ว ทั้งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผ่าตัดเข้าไปเพื่อไปเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สมอง ผลมันก็คือผมเป็นมะเร็งปอดจริงๆ แถมเป็นระยะสุดท้ายด้วย ตัวก้อนหลักขนาดเกือบ 8 cm ที่ปอดด้านขวา นอกจากนี้ตัวมะเร็งยังมีการกระจายไปที่เยื่อหุ้มปอด และปอดข้างซ้ายอีกหลายจุด ที่สำคัญคือ มันกระจายไปที่สมองถึง 6 ก้อนด้วยกัน แต่ละก้อนก็ใหญ่ซะด้วย โชคดีที่ผมไม่มีอาการทางสมองอะไร ทั้งที่ตำแหน่งที่มันกระจายไป สามารถทำให้ผม แขนขาอ่อนแรง ชา เดินไม่ตรง ทรงตัวไม่ได้ หรือแม้แต่เสียการมองเห็นไปเลย

อย่างไรก็ตามผมได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้แล้วครับ ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านจากใจจริงครับที่ให้ความช่วยเหลือผมมากขนาดนี้ ทั้งการผ่าตัด การได้รับ chemotherapy Immunotherapy และได้รับการฉายแสงที่ศรีษะทันทีที่เจอก้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ยอดเยี่ยมและรวดเร็วแบบนี้ผมอาจจะไม่สามารถมานั่งเขียนสเตตัสนี้แล้วก็ได้ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเป็นคนที่เชื่อสุดหัวใจว่า ถ้าเรามีเป้าหมายและวางแผน พยายามทุ่มเท อดทน มันจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการได้ ผมเชื่อว่าเราสามารถควบคุมชีวิตเราได้ พัฒนาตัวเอง ดูแลสุขภาพ อ่านหนังสือ ลงทุน ใช้ชีวิตให้ยอดเยี่ยมมาเสมอ มันเลยทำให้ในมือผมมีการ์ดดีๆมากมายเลยครับ

ผมมีสุขภาพที่โคตรแข็งแรง มีการงานที่โคตรมั่นคงและมีอนาคตสดใส ผมมีสังคมและความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมากๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนที่สุดยอดและน่ารัก ผมกล้าพูดว่าผมมีแต่คนรักมากกว่าคนเกลียด อาจเพราะผมใช้ชีวิตด้วยคติคือว่า ทุกคนที่ได้มาเจอและรู้จักผม เขาจะต้องรู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้รู้จักกับผม ผมทำแบบนั้นมาตลอด และตอนนี้ผมมีการ์ดเหล่านั้น ผมลงทุนมาตลอดเดินไปตามแผนเกษียณได้อย่างสบายๆ ผมกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ผมกำลังจะสร้างบ้านในฝันของเรา

แล้วผมก็จั่วได้การ์ด ที่ชื่อว่า มะเร็งระยะสุดท้าย การ์ดที่ถึงผมจะไม่อยากได้ แต่ผมก็มีมันอยู่ในมือ

เป็นวันที่ตระหนักว่าจริงๆแล้ว มนุษย์เรามันโคตรเปราะบางเลยครับ

มันเหมือนโลกทั้งใบของเราแตกสลายลงไปต่อหน้าเลยนะครับ แผนชีวิตที่วางมาทั้งหมด พังลง ต่อหน้าต่อตาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่ได้ chemo หรือได้ยาอะไรเข้าไปแล้วร่างกายจะเป็นยังไง ฉายแสงที่หัวด้วยรังสีเข้มข้น จะเกิดผลข้างเคียงอะไรไหม จะเดินได้อยู่ไหม จะมองเห็นอยู่ไหม จะกินข้าวได้อยู่ไหม จะยังจำทุกคนได้ไหม จะยังเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน

ผมก็ได้กลายเป็นคนที่มีเวลาชีวิตจำกัดขึ้นมาทันที ไม่ว่าผมจะตอบสนองกับยาดีแค่ไหน หรือผมจะแข็งแรงแค่ไหน ผมคงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ เวลาจำกัดแค่ไหนเหรอครับ ก็อาจจะหลักเดือน หกเดือน หนึ่งปี สองปี ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะห้าปี

ผมไม่รู้จริงๆว่าโลกจะให้เวลากับผมเท่าไร ผมไม่สามารถพยายามอะไรได้เลย ทำได้แค่ภาวนาให้ยาตอบสนอง ให้โรคสงบ ให้ไม่มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้น ภาวนา ให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติไปได้อีกสักวัน หรืออีกสักเดือน

แต่คุณเชื่อไหม ผมไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมาเลยนะ ผมมีช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่โคตรดี ดีแบบไม่มีอะไรเสียใจ ไม่มีอะไรที่อยากย้อนกลับไปทำเลย แปลว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตมาได้น่าพอใจมากๆเลยแหละ คือ ไม่ได้รู้สึกว่า รู้งี้ทำแบบนั้นตอนนั้นดีกว่า หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนทางเดินชีวิตอะไรเลย ไม่ได้อยากไปเที่ยวรอบโลก ไม่ได้อยากขับ supercar ไม่ได้อยากมีอะไรที่มากไปกว่าที่ชีวิตตอนนี้มีอยู่เลย ผมมีชีวิตที่ดีมากแล้วจริงๆ 28 ปีที่ผ่านมาของผม มันยอดเยี่ยมและมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกว่าชีวิตที่มีความหมายแล้ว

ผมได้รับโอกาสที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้ตกตะกอนมาตลอดชีวิตผม สิ่งที่ได้เรียนรู้ มุมมองการใช้ชีวิต ความเชื่อ ความฝัน ความประทับใจ รวมถึงเรื่องราวที่ผมอยากจะฝากไว้กับโลกนี้ ทั้งช่วงอารมณ์อ่อนไหว และเข้มแข็ง เผื่อถ้าวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่แล้ว ตัวตนของผม จะยังอยู่ตลอดไป

ผมจะยังได้เป็นอาจารย์ จะยังได้มีลูกศิษย์ ที่เติบโต ที่ได้เรียนรู้จากผมอยู่ มันคงจะดีมากๆถ้าการที่ชีวิตที่สั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ


ที่มา
https://www.msn.com/th-th/news/national

https://www.facebook.com/ktlivethelife/?__cft__
  • =AZWVkWIQDsVmvL6ec2FJ5-lIIWD0eX3-LkvC1XCBfMFJWkCScxmzEjq4K8Lx3B22BfDzMJis2L0VuOZIjBme4yJMcwlEa5xXWX20eC82DEybxM6olopUoxHMKlevOXbZpYS5dAAiLfqq4wGsp7PlI000BRhoJ9n9dczx9XPNALynxounOsfCiULhoUYWWG1Gm5U&__tn__=kC%2CP-R
เป็นกำลังใจให้กันค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 11, 2022, 07:51:10 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #157 เมื่อ: มีนาคม 06, 2023, 10:59:49 AM »

ข้อคิดล้ำค่าจากคุณวิกรม กรมดิษฐ์

1. 'เงินเดือนเสี่ยงสุด' พอเกษียณแล้วไม่มีเงินเดือน แถมเดี๋ยวนี้เงินก้อนหลังเกษียณแทบไม่มี เพราะมันเป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องตัดเป็นอย่างแรกเมื่อต้องการลดต้นทุน ธุรกิจ

2. 'ยุคนี้อายุเราโคตรยืน' ด้วยการแพทย์ปัจจุบัน คุณจะอยู่กันเป็น 100 ลองคำนวณซิว่าเมื่อไหร่เงินเก็บที่คุณมีจะ 'สลดเพราะใช้เงินหมดก่อนตาย'

3. 'ลูกหลานเลี้ยงดูเราไม่ได้' ไม่ใช่ลูกหลานไม่กตัญญู แต่ตัวมันเองยังเอาตัวไม่รอด จะเอาปัญญาที่
ไหนมาดูแลคนเกษียณอย่างเรา ภาระคือสิ่งแรกที่คนทิ้งเมื่อเกิดวิกฤต  อย่าทำตัวเราให้เป็นภาระ
เพราะวิกฤตเกิดประจำ

4. 'ไม่รู้จักคำว่า Passive Income' คำนี้สวรรค์ชัดๆ สำหรับคนที่มี Passive Income คือเงินที่ไหลเข้ามาหาเราเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะหยุดทำงาน หรือ แม้กระทั่งป่วย เงินนี้ก็ยังไหลเข้ามา ..การสร้าง Passive Income มันเกิดจากการลงทุนแบบซื้อของที่มูลค่าสร้างรายได้แบบไม่ขายสิ่งนั้นชั่ว ชีวิต เช่น ออมในหุ้น ออมในอสังหาให้เช่า

5. 'เงินก้อนที่คุณเก็บ รักษายากที่สุด' จะมีวิกฤตเศรษฐกิจ เกิดขึ้นอีกหลายครั้งหลังเกษียณ .เศรษฐกิจยุคปัจจุบันผันผวนน่ากลัว และเกิดวิกฤตแรงและเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ .การที่คนส่วนใหญ่ลงทุนแต่ระยะสั้น หรือ มุ่งแต่เก็บเงินก้อน คุณซวย!! เพราะเงินก้อนรักษายากที่สุด . ต้องเงินไหล หรือ Passive Income ต่างหากที่ดูแลเราจนตาย

6. 'เราไร้ค่าหลังเกษียณ เพราะงานคือการอธิบายตัวตนของเรา' .คนเกษียณที่ไม่ได้เตรียมตัวจะจิตตกเจียนตาย เพราะรู้สึกว่าตัวเองหมดคุณค่า หมดความสำคัญ .เขาลืมไปว่า งานคือการอธิบายตัวตนของเรา เมื่อคุณหยุดอธิบายตัวเอง คนก็จะค่อยๆ ไม่เห็นคุณ

7. 'เงินไม่ได้จำเป็น แต่หลังเกษียณโคตรจำเป็น' คนแก่ที่มีลูกหลานรายล้อม ผลัดกันดูแล เพราะคนแก่คนนี้เตรียมมรดกก้อนใหญ่ไว้ให้ลูกหลาน เช่น พ่อเตรียม Port ออมในหุ้น กับอสังหาไว้ให้ลูกหลัง
จากที่พ่อตายนะ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ใช้ได้เสมอครับ

8. 'เจ้าของธุรกิจ เขาไม่ต้องเกษียณ' ..เหมือนไม่แฟร์ที่เราเห็นคนรวย เจ้าของธุรกิจเขาทำงานจนตายไม่มีเกษียณ ..เขาไม่ได้ต้องทำครับ เขาแค่ชอบที่จะทำ ..ที่เขาทำเพราะเขาต้องการอธิบายตัวตนของเขา เพื่อที่คนอื่นจะได้เห็นคุณค่าและให้เกียรติเขาตลอดชีวิต

9. 'เกษียณแล้วฉันจะสบาย ไม่เป็นความจริง' ใครที่เกษียณแล้วสบาย คือมันสบายตั้งแต่ก่อนเกษียณ พวกที่พูดว่าเดี๋ยวเกษียณแล้วจะสบาย ซวยหนักทุกคนครับ

10. 'ทุกอย่างในโลกนี้ มันก็แค่ประสบการณ์' ยิ่งคุณแก่คุณก็จะพบว่า ชีวิตมันก็แค่การเดินทาง และทุกอย่างมันก็คือประสบการณ์ ความสุขมาก ความทุกข์มาก ล้มเหลวมาก ชนะเยอะ โดนหักหลัง โดนโกง โดนแกล้ง เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ก็จะเปลี่ยนเป็นแค่ประสบการณ์เหมือนๆ กันหมด ครั้งนึง พ่อเคยเป็น

คำแนะนำของผมคือ 'งานคือการอธิบายตัวตน' ให้เปลี่ยนงานอดิเรกที่คุณรักให้เป็นเงินตั้งแต่คุณยังมีแรง แล้วชีวิตคุณจะ 'เล่นเป็นเงิน' ทั้งชีวิต เพราะเราดูแลตัวเองได้ และได้ทำสิ่งที่รัก ที่อธิบายตัวเราชั่วชีวิต
นั่นแหละ การเดินทาง

-- Cr: Vikrom Kromadit
บันทึกการเข้า

finghting!!!
paul711
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4406


Gold is value because it's value!


« ตอบ #158 เมื่อ: กรกฎาคม 08, 2023, 08:13:35 PM »

สวัสดีครับคุณหนูใจ
ตอนนี้เว็บไซต์กำลังจะเปลี่ยน hostผู้ให้เช่า เพราะผู้ให้เช่า Host เดิม เขาเปลี่ยนระบบใหม่ ไม่รองรับ gold2gold.com  เดิม
ถ้าผมเข้าเว็บไซต์ไม่ได้ ให้ติดต่อผมได้ที่ โทร 081-605-7478 หรือ line id.  Paul7111 ครับ ผมยังมีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบเรื่องเงินที่เหลือของเพื่อนสมาชิกที่ช่วยสร้างเว็บไซต์ ผมจะได้บอกรายละเอียดว่าส่วนหนึ่งได้ไปทำบุญ ที่โรงพยาบาลจุฬาและโรงพยาบาลศิริราช แห่งละ 4,000 บาท มีใบเสร็จรับเงิน และใบอนุโมทนาเรียบร้อยครับผมจะได้ลงให้ดูหลังจาก มีการเปลี่ยน host  ของเว็บไซต. gold2gold.com แล้ว ให้จดเบอร์โทรผมและ ID LINE ของผมไว้ครับ จะได้ติดต่อผมได้ ถ้าติดต่อผ่านทางเว็บไซต์นี้ไม่ได้ ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า

ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 
จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน 
ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้


http://ichpp.egat.co.th/

Gold2Gold.com
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: