Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 72019 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 30 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
paul711
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4406


Gold is value because it's value!


« ตอบ #270 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2011, 04:07:23 PM »

Cheesy  ขอบคุณมากครับคุณหนูใจ ได้ความรู้มากมายเลย ผมจะจดจําไว้ครับ
เรื่องที่สนใจทั้งนั้นเลย
บันทึกการเข้า

ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 
จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน 
ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้


http://ichpp.egat.co.th/

Gold2Gold.com
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #271 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2011, 09:55:04 PM »

Cheesy  ขอบคุณมากครับคุณหนูใจ ได้ความรู้มากมายเลย ผมจะจดจําไว้ครับ
เรื่องที่สนใจทั้งนั้นเลย


 ด้วยความยินดีค่ะ พี่พอล Cheesy พอดีคนที่บ้าน เข้าไปนอนที่โรงพยาบาลเกือบเดือน หมดไปหลายหมื่นๆๆๆ+ๆๆ มีประกันน้ะจ่ะ Huh?พิเศษม้ากมาก Blueหาสาเหตุไม่เจอ Embarrassed เสียเงินไม่เท่าไหร่แต่ตายเนี่ยคง Cry น่าดู หรือเสียทั้งสองอย่าง เสียเงินด้วยเสียชีวิตด้วย Angry หรือ เสียเงิน และ อาจจะถึงตายตอนที่หาเงินมาใช้หนี้ Cry ทางที่ดีควรทำประกันค่ะ คนข้างหลังจะได้สบาย  Grin  โอ้ะ!!! โอย! ปู้ดผิดค่ะ Tongue ทางที่ดีคือหาวิธีป้องกันค่ะ  Cool เทวดา

                                                

ปล.กระเป๋าของทั่นก็จงทำให้มันเป็นของทั่นไม่ใช่ the hospital อิ อิ  Kiss                                                 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 02, 2011, 09:59:44 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #272 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2011, 02:45:36 PM »

เชื้อรา

         

รา หรือ เชื้อรา เป็นจุลินทรีย์ เป็นเซลล์ยูแคริโอตที่อยู่ในอาณาจักรเห็ดรา มีโครโมโซมเพียงชุดเดียว (haploid)มีผนังเซลล์ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไคติน (chitin)ไม่มีคลอโรฟิล ดำรงชีพแบบ saprophyte คือ หลั่งเอนไซม์ออกนอกเซลล์ เพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่และซับซ้อนให้ได้เป็นโมเลกุลที่เล็กที่สุดแล้วจึงดูดซับเข้าไปภายในเซลล์ เชื้อรามีความหลากหลายมาก พบทั้งที่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ เส้นใย (hypha) และ ดอกเห็ด (mushroom) เส้นใยหรือไฮฟา(hypha)เมื่อรวมกลุ่มจำนวนมาก เรียกว่า mycelium [3] เส้นใยแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ

-เส้นใยแบบมีผนังกั้น (septate hypha) สามารถเห็นนิวเคลียสและไซโตพลาสซึมเป็นช่องๆได้อย่างชัดเจน

-เส้นใยแบบไม่มีผนังกั้น (nonseptate hypha หรือ coenocytic hypha) นิวเคลียสและไซโตพลาสซึมจะอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย


      เชื้อราส่วนใหญ่มีการดำรงชีพทั้งที่เป็นอิสระหรือ saprophyte และก่อให้เกิดโรคกับพืชและสัตว์ เชื้อราแบ่งตามแหล่งกำเนิด อาจมีทั้งที่เป็นเชื้อราบกพบทั่วไปในดิน (terrestrial fungi) เชื้อราน้ำ (aquatic fungi) ทั้งเชื้อราน้ำจืด (fresh water fungi) และเชื้อราน้ำเค็ม (marine fungi) ในบรรดาเชื้อราที่เจริญอยู่ตามแหล่งธรรมชาติเหล่านี้มีเชื้อราจำนวนมาก ที่สามารถนำมาเลี้ยงให้เจริญบนอาหารที่เจริญอยู่ตามแหล่งธรรมชาติเหล่านี้มีเชื้อราจำนวนมากที่สามาถนำมาเลี้ยงให้เจริญบนอาหารเลี้ยงเชื้อในห้องปฏิบัติการได้

แบบไม่อาศัยเพศโดยอาจจะเกิดจาก

-การสร้างสปอร์ ซึ่งจะไปงอกเป็นไมซีเลียมที่มีนิวเคลียสเป็น n

-เส้นใยแตกหักออกไปแล้วเจริญเป็นไมซีเลียมอันใหม่

-การแบ่งออกเป็นสองส่วนหรือการแตกหน่อ

แบบอาศัยเพศได้โดยเส้นใยที่เป็น n หลอมรวมกันแล้วรวมนิวเคลียสเป็น 2n เกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียส (nucleus) จากสองเซลล์ที่อยู่ใกล้กัน หรืออยู่คนละ hypha แล้วมีการแบ่งเซลล์แบบ meiosis เจริญเป็น sexual spore ซึ่งมีรูปร่างต่างๆ กัน โดยมีจำนวนสปอร์ภายในเครื่องห่อหุ้มหรืออยู่บนโครงสร้างพิเศษจำนวนจำกัด

-Zygospore

-Ascospore

-Basidiospore



เชื้อรา


เชื้อราเป็นเชื้อที่พบในธรรมชาติสามารถพบได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน หน้าที่สำคัญของเชื้อรานอกบ้านคือการสลายของเสีย เช่นใบไม้ ต้นไม่ หรือขยะ ส่วนเชื้อราที่อยู่ในบ้านเราไม่อยากให้มันเกิดเพราะว่าเชื้อราสามารถสร้างสารพิษ Toxin หรือตัวเชื้อราสร้างสปอร์ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด ไวนัสอักเสบเป็นต้น



เชื้อราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

เชื้อราที่อยู่ในบ้านมักจะไม่อันตราย แต่สปอร์ Spore ของมันจะทำให้เกิดผลเสีต่อสุขภาพเช่น

•ปฏิกิริยาภูมิแพ้ Allergic Reactions เมื่อได้รับสปอร์ได้แก่อาการ ไข้ บางคนมีอาการจาม น้ำมูกไหล หากสัมผัสบ่อยๆก็อาจจะเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้หนักถึงกับเสียชีวิต

•โรคหอบหืด

•ปอดอักเสบจากภูมิแพ้ Hypersensitivity Pneumonitis

•ก่อให้เกิดระคายเคืองต่อตา จมูก หลอดลม ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน

•ก่อให้เกิดสารพิษ

สำหรับผู้ที่แพ้ราเมื่อได้สัมผัสเชื้อราทั้งทางสัมผัส การสูดดมอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ เช่น แพ้หญ้า Hay fever หอบหืด ผื่นแพ้ ตาอักเสบ เจ็บคอ น้ำมูกไหล


เพิ่มเติม
คนติดเชื้อรากันเยอะ อันตรายมาก เชื้อราจะเข้าไปดูดน้ำตาลในตัว ทำให้คนนั้นกระหายน้ำตาล อยากกินของหวาน ยิ่งกินของหวาน เชื้อราก็ยิ่งเติบโต
เชื้อราจะไปขวางระบบดูดซึมทั้งหมด และทำให้อวัยวะเสื่อมไปเรื่อย ๆ และ เกิดเนื้องอก หรือ ซี๊ด หมอส่วนใหญ่จะวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หรือ ให้ตัดเนื้องอก ซึ่งตัดไปแล้วก็งอกใหม่ เพราะเชื้อรายังอยู่ กินยา ยาก็ไม่เข้าตัว ปัสสาวะออกหมด เพราะเชื้อราคลุมมิด

                         เมื่อไม่รีบกำจัด เชื้อราก็จะแพร่พันธ์ไปกินอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ม้าม ปอด หัวใจ

เชื้อราเกิดจาก

1. การทานอาหารแห้งที่มีเชื้อรา (alpha toxin) เช่น ถั่วง, งา, แป้งต่าง ๆ (ขนมปัง ,Pizza ที่มีเชื้อรา)

2. การทานอาหารหมักดอง ที่มีเชื้อรา

3. การทานผลไม้ที่มีเชื้อรา

4. มีพยาธิในระบบลำไส้ พยาธิจะถ่ายออกมาเป็นเชื้อรา

เชื้อราจะก่อโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น ADHD(Attention Deficit Hyperactivity Disorder) หรือโรคสมาธิสั้น, Alzheimer's, Schizophrenia (โรคจิตเภท)

สมุนไพรที่ฆ่าเชื้อรา คือ ผักบุ้ง กระเจี๊ยบเขียว ผักปรัง เม็ดแมงลัก บวบใบมะรุม น้ำใบย่านางคั้น หรือ ปั่น ผักกุ๊ยช่าย สมุนไพรสกัดบางตัวก็สามารถกำจัดเชื้อราได้ เช่น Alpha 20c เป็นต้น

อาหารที่ต้องงด ระหว่างมีเชื้อรา : ของหวานทุกชนิด รวมทั้งผลไม้ (ยกเว้นแอ๊ปเปิ้ลเขียว), เนื้อสัตว์, นม, ไข่

วิธีหนึ่งก็คือ การใช้สารสกัดจากธรรมชาติ พวกเครื่องเทศและสมุนไพรในการยับยั้งเชื้อรา ซึ่งเป็นเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้กันในครัวเรือนทั่ว ๆ ไป เช่น หอม กระเทียม พริก ขิง ผักชี โหระพา อบเชย ฯลฯ พบว่าสารจากกระเทียมจะมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราได้ดีแต่สารนี้จะทนความร้อนในการปรุงอาหารได้ไม่ดี ทำให้ฤทธิ์ในการยับยั้งลดลงเมื่อผ่านความร้อน ส่วนเกลือและกรดที่เติมลงไปในอาหารจะไม่มีผลต่อความสามารถในการยับยั้งของกระเทียม ความสามารถในการยับยั้งจุลินทรีย์ของกระเทียมเป็นผลมาจากสารแอลลิซิน, อโจอีน และสารประกอบซัลไฟต์อื่นๆ สารแอลลิซีนจะเข้าไปจับกับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการหายใจของเชื้อราตรงกลุ่มซัลไฟดิล ทำให้เอนไซม์เสียสภาพทำงานไม่ได้ ส่วนสารอโจอีนจะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ ทำให้เชื้อราถูกยับยั้งในที่สุด



เราจะกำจัดเชื้อรานี้ได้อย่างไร

เนื่องจากเชื้อราเราพบได้ตามธรรมชาติเราไม่สามารถกำจัดได้หมด แต่เราสามารถป้องกันมิให้เชื้อเจริญเติบโตโดยการควบคุมความชื้นในบ้าน เมื่อคุณพบเชื้อราในบ้าน คุณต้องรีบกำจัดและหาสาเหตุโดยเฉพาะความชื้น หากคุณไม่แก้ก็จะเกิดเชื้อราขึ้นใหม่

ใครจะเป็นกำจัดเชื้อรา

เนื่องจากเชื้อราอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพดังได้กล่าวข้างต้น และการหาสาก็อาจจะมีความยุ่งยาก ดังนั้นหากพื้นที่ที่เป็นเชื้อราไม่มากก็อาจจะกำจัดเองได้ แต่หากเป็นพื้นที่กว้างก็อาจจะต้องอาศัยผู้ที่เชี่ยวชาญในการกำจัด ข้อแนะนำเกี่ยวกับการกำจัดเชื้อรา

•หากบริเวณที่เป็นเชื้อราไม่มากขนาด 10 ตารางฟุตเราสามารถกำจัดเองได้

•หากมีเชื้อราเป็นบริเวณกว้างและอาคารนั้นเป็นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ก็ควรจะใช้บริการของมืออาชีพ

•หากคุณใช้ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพต้องให้แน่ใจว่ามีความรู้และทักษะเพียงพอ และสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้

•หากคุณพบว่ามีเชื้อราที่ระบบทำความเย็น ต้องหยุดใช้เครื่องปรับอากาศและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจจะต้องทำความสะอาดระบบท่อส่ง รวมทั้งหารอยรั่วที่ทำให้เกิดความชื้น

•หากคุณคิดว่าเชื้อราเกิดจากความชื้นที่เกิดจากรอยรั่ว ควรจะปรึกษาช่างเพื่อจัดการรอยรั่วนั้น

•หากคุณมีปัญหาสุขภาพ คุณควรจะอยู่ห่างๆในระหว่างที่มีการกำจัดเชื้อรา


วิธีกำจัดเชื้อรา

วิธีที่นำเสนอนี้เป็นวิธีง่ายๆที่ทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นกับอุปกรณ์นั้นอาจจะทำให้เกิดรอยด่างบนอุปกรณ์นั้น

•เมื่อเกิดรอยรั่วหรือชื้น รีบแก้ไขและรักษาอุกรณ์หรือบริเวณนั้นให้แห้งทันที

•สำหรับวัสดุผิวแข็งให้ล้างบริเวณที่เป็นเชื้อราด้วยน้ำสบู่ และทำให้แห้ง

•สำหรับพรม หรือฝ้า หรือวัสดุที่มีรู เมื่อเกิดเชื้อราให้โยนทิ้ง เพราะเราไม่สามารถทำความสะอาดเชื้อราที่อยู่ในรู

•เมื่อมีเชื้อราที่ฝ้าต้องรีบกำจัด และอย่าอยู่ใกล้หรือสัมผัส

•ไม่ควรทาสีบนอุปกรณ์ที่มีเชื้อรา เพราะไม่ใช่วิธีกำจัด ต้องทำความสะอาดเชื้อราก่อนและทำให้แห้ง แล้วจึงทาสีทับ

•หากอุปกรณืที่มีเชื้อรามีราคาแพง หรือมีคุณค่าและไม่อยากทิ้ง ท่านสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อซ่อมหรือกำจัดเชื้อราให้หมดไป

การป้องกันตัวเองระหว่างทำกำจัดเชื้อรา



•สวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 เพื่อป้องกันการหายใจเอาเชื้อราเข้าไป หรืออาจจะใช้หน้ากากที่มีคุณภาพสูงกว่า

•ใสถุงมือยาวเป็ถุงมือยางเพื่อป้องกันเชื้อมาสัมผัส

•ใส่แว่นตาป้องกันเชื้อกระเด็นเข้าตา


รู้ได้อย่างไรว่ากำจัดเชื้อราหมดไปแล้ว

ปัจจัยที่สำคัญคือต้องกำจัดแหล่งที่จะทำให้เกิดความชื้นเสียก่อน หากยังมีความชื้นอยู่ก็จะเกิดเชื้อราขึ้นใหม่

•ดูด้วยตาไม่พบเชื้อราในบริเวณดังกล่าว หรือไม่มีกลิ่น

•หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้หมั่นตรวจสอบว่ามีความชื้นหรือเชื้อราเกิดขึ้นหรือไม่

•คนสามารถทำงานหรืออยู่บริเวณนั้นโดยที่ไม่เกิดปัญหาต่อสุขภาพ

การป้องกันความชื้น
เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันเชื้อราในบ้าน หรือที่ทำงาน

•เมื่อเกิดความชื้นขึ้นในบ้านหรือที่ทำงานจะต้องแก้ไขรอยรั่วหรือซึมทันที และจะต้องจัดล้างหรือทำให้บริเวณที่เปียกชื้นให้แห้งโดยทันที หากปล่อยทิ้งเกิด 24 ชั่วโมงอาจจะทำให้เกิดเชื้อรา

•จะต้องดูแลรางน้ำบริเวณหลังคามิให้มีสิ่งแปลอกปลอมที่จะขวางทางเดินของน้ำ

•ตรวจสอบสนามหญ้าในบ้านว่ามีความลาดเอียงถูกต้องหรือไม่ เพื่มมิให้เกิดน้ำขังบริเวณบ้าน

•ตรวจสอบเครื่องปรับอากาศว่าถาดรองน้ำมีสิ่งที่จะทำให้เกิดน้ำขังหรือไม่ และตรวจสอบสายระบายว่าอุดตันหรือไม่

•รักษาความชื้นภายในบ้านให้ต่ำกว่า 60% อาจจะซื้อเครื่องมือตรวจความชื้น

•หากคุณพบว่ามีคราบน้ำจับที่กระจก และรีบเช็ดให้แห้งพร้อมทั้งหาว่ามีน้ำรั่วที่ใดและให้รีบแก้ไข

วิธีการลดความชื้นภายในบ้าน

•อุกรณ์ที่จะทำให้เกิดความชื้นให้เอาออกนอกบ้าน เช่น อย่าตากผ้าไว้ในบ้าน เตาต้มน้ำ ทำกับข้าว

•ใช้เครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องลดความชื้น

•ใช้พัดลมดูดอากาศในห้องน้ำ หรือในห้องครัวเพื่อลดความชื้น

การป้องกันน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ

•ลดความชื้นภายในบ้าน

•ให้อากาศภายในห้องถ่ายเทโดยการเปิดหน้าต่างหรือใช้พัดลมดูดอากาศ

•เพิ่มอุณหภูมิห้อง

•ใช้ผ้าพันวัสดุที่มีผิวเย็นเช่นโลหะ

การตรวจสอบเชื้อรา

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีการนำไปตรวจสอบเชื้อ เพราะเราเห็นด้วยตา และกรรมวิธีตรวจสอบก็มีขั้นตอนมากมาย


การค้นเชื้อราในที่ลับ


ห้องที่มีความชื้นแต่คุณไม่สามารถตรวจสอบว่ามีเชื้อรา ผู้ที่อยู่อาศัยมีปัญหาเกี่ยวกับภูมิแพ้ แต่ไม่สามารถตรวจสอบหาเชื้อราให้ถึงถึงเชื้อราในที่ลับในที่นี้หมายถึงบริเวณที่เรามิได้นึกถึงเช่น ใต้พรม ด้านบนของฝ้าเพดาน ใต้ wall paper ผนังด้านในของท่อแอร์ ฝาผนังเป็นต้น

เมื่อคุณสงสัยว่าจะมีเชื้อราซ่อนเร้นให้ปรึกษาผู้เชียวชาญเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

การน้ำยาฆ่าเชื้อรา

โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรา เพราะเราไม่สามารถห่าเชื้อได้หมด เราเพียงแต่แก้ไขเรื่องความชื้นเชื้อราก็ไม่สามารถเจริญเติบโต จะพิจารณาในกรณีที่ผู้อยู่อาศัยเป็นโรคที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี

การแก้ไขเมื่อมีการเปียกน้ำของวัสดุในบ้าน
วัสดุ การแก้ไข
 
•หนังสือหรือกระดาษไม่มีค่าก็ให้ทิ้ง

•ทำสำเนาเก็บไว้ ส่วนที่เปียกทิ้งไป

•แช่แข็ง
 
พรม

•ให้เอาน้ำออกโดยใช้เครื่องดูดน้ำจากพรม

•ลดความชื้นของห้อง

•ใช้พัดลมช่วย
 
ฝ้า

•ให้เปลี่ยนใหม่
 
ฉนวนหุ้มท่อแอร์

•ให้เปลี่ยนใหม่
 
คอนกรีต ถ่าน
 
•ให้เอาน้ำออกโดยใช้เครื่องดูดน้ำ

•ใช้พัดลมหรือเครื่องทำความร้อนช่วย
 
ปลอกไฟเบอร์

•ทิ้งและเปลี่ยนใหม่
 
เสื่อน้ำมัน กระเบื้อง กระเบื้องยาง

•ใช้เครื่องดูดน้ำ หรือเช็ดให้แห้ง

•ให้ตรวจใต้เสื่อว่าเปียกหรือไม่
 
ผนังยิบซัม

•ถ้าไม่บวมก็ไม่ต้องเปลี่ยน

•ใช้พัดลมช่วย
 
ผ้าม่าน

 •ถอดไปซักและทำให้แห้ง


               
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2011, 04:28:21 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #273 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 08:34:18 PM »


ทำไมจึงไม่ควรดื่มน้ำที่ต้มเดือดแล้วหลายๆ ครั้ง


ส่เป็นเพราะน้ำเป็นจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ วนที่เหลือจึงมีแร่ธาตุเข้มข้นมากเกินที่จะบริโภค  นอกจากนี้น้ำที่ต้มเดือดนานๆ ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทจะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งให้โทษแก่ร่างกาย และแร่ธาตุที่มีโทษต่อร่างกายซึ่งเดิมมีปริมาณไม่มากก็จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงไม่ควรนำมาดื่ม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #274 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 08:37:06 PM »

ทำไมหน้าหนาวมืดเร็ว หน้าร้อนมืดช้า


แกนโลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ในขณะที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ โดยในรอบ 1 ปี จะมีการแบ่งโซนการหันเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์เป็น 12 โซน ก็คือ 12 เดือน

โดยเริ่มจากเดือน มกราคม จะหันเอียงโซนใต้ของโลกเข้าหาดวงอาทิตย์ บรรยากาศในโซนนั้น เช่นทวีป อันทากติก ก็จะอุ่น คือหน้าร้อน จะเห็นพระอาทิตย์เกือบ 24 ชั่วโมง ส่วนทางเหนือของโลก ที่เรียวว่าขั้วโลกเหนือ จะไม่เห็นพระอาทิตย์เลย เพราะความกลมของโลกระดับเส้นศูนย์สูตร บดบัง แต่ยังพอเห็นความสว่างเพีงแค่รำไร แต่ไม่เห็นดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกับประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ก็จะเห็นพระอาทิตย์น้อยลง ขึ้นอยู่ว่าไกลใกล้กับเส้นศูนย์สูตรเท่าใด เช่น ประเทศในแถบเอเซีย เช่นประเทศไทย จะเริ่มเห็นพระอาทิตย์ประมาณ 6 โมงครึ่ง พระอาทิตย์ตก 6 โมง

ประเทศทางแถบยุโรป พระอาทิตย์จะขึ้น ก็ 10 โมงเช้า พอ 3 โมงเย็นก็หายไปแล้วเดือนกุมภาพันธ์ พระอาทิตย์ก็จะมาอยู่แถวๆ ออสเตรเลีย มีนาคม ก็จะมาอยู่เหนือประเทศฟิลิปินส์ เมษายน ก็จะมาอยู่เหนือประเทศไทย พฤษภาคม ก็จะไปอยู่เหนืออินเดีย มิถุนายน ก็จะอยู่เหนือเมืองจีน ทางโน้นก็ร้อนตับแตก ตี 3 พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กว่าจะลับฟ้าก็ 4 ทุ่ม ส่วนที่ขั้วโลกเหนือ ก็จะเห็นพระอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เหมือนขั้วโลกใต้ เพราะแกนโลกเอียง 11 เปอร์เซ็นต์ แล้วแนวพระอาทิตย์ก็จะไล่ลงใต้อีก ผ่านประเทศไทยอีกครั้งก็เดือนสิงหาคม แต่ตอนนั้นมันไม่ร้อนบ้าเลือดอย่างเดือนเมษาเพราะเป็นหน้าฝน ยังพอมีน้ำฝนและเมฆบดบังแสงอาทิตย์ได้บ้าง ลองเอาส้มหรือลูกบอล มาทดลองกับหลอดไฟดู เอาแกนใต้หันเข้าหา และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแกนเหนือ ในขณะที่หมุนลูกทรงกลมนี้ไปเรื่อยๆ จะได้คำตอบว่าทำไมหน้าหนาว กลางคืนสั้นกว่ากลางวันและหน้าร้อนกลางวันยาวกว่ากลางคืน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : new.kanzuksa.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #275 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2011, 06:06:47 PM »

 SmileyA ถึง Z กับอาหารเพื่อสุขภาพ


อาหารเพื่อสุขภาพ A - Z (Twenty-four Seven)

          วันนี้ Twenty-four Seven มีเคล็ดลับการรับประทานอาหาร และอาหารเพื่อสุขภาพ 26 ชนิดตามตัวอักษร A-Z มาบอกกันค่ะ ถ้าอยากมีสุขภาพดีแล้ว ตามมาดูกันเลย

A : Apple

          ฝรั่งยกย่องแอปเปิ้ลให้เป็นยอดผลไม้ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย และมีรสชาติอร่อย แถมยังแนะนำให้กินทุกวันอย่างน้อย วันละ 1 ผล


B : Banana

          เมืองนอกเขานิยมแอปเปิ้ล (เพราะปลูกได้ดีในเขตอากาศหนาว) ก็เหมือนกับบ้านเราที่นิยมกล้วย เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่มีแทบทุกบ้าน เด็กไทยได้กินทุกคน และก็ได้รับการวิจัยออกมาแล้วเช่นกัน ว่าเป็นผลไม้ที่ประโยชน์สูง ไม่แพ้ผลไม้ชนิดใด

C : Carrot

          พืชหัวสีส้ม รสชาติหวาน เป็นที่ถูกใจของเด็ก ๆ ลองนำไปต้มให้นิ่ม ๆ หรือนำไปตุ๋นน้ำแกง ผัดข้าวผัด กินสดกับสลัด หรือประยุกต์กินกับน้ำพริกก็อร่อย และแครอทยังเป็นผักที่มีวิตามินเอสูงด้วย

D : Drink water

          ประโยชน์ของน้ำเปล่า คงไม่ต้องบอก แต่ที่อยากจะบอกคือ ต้องดื่มให้เพียงพอ และควรดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง ดีกว่าน้ำเย็น ใส่น้ำแข็งเยอะเลย


E : Egg

          อาหารยอดฮิต ดัดแปลงเป็นเมนูต่าง ๆ ได้หลากหลาย ทั้งอาหารคาว อาหารหวาน เด็ก ๆ  กินได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่เมื่อไหร่ ควรกินแต่พอเหมาะนะคะ


F : Fruit

ผลไม้สดช่วยในการขับถ่าย และทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุ วิตามิน ที่ร่างกายต้องการ และการกินผลไม้ที่ถูกต้อง คือ กินผลไม้ตามฤดูกาล ใครที่น้ำหนักเกินก็ต้องเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวาน และที่สำคัญต้องล้างให้สะอาดก่อนกินเสมอ

G : Garlic

          อีกหนึ่งเครื่องปรุงอาหารของไทยที่มีสรรพคุณเป็นยา ถ้าเป็นยาแผนโบราณ ใช้บำบัดอาการไอ ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ แก้ท้องเสีย ขับลม ขับเหงื่อ และเมื่อมีการวิจัยออกมาก็พบว่า กระเทียมช่วยลดคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันและกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน ยังช่วย ลดน้ำตาลในเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ป้องกันการ เกิดเซลล์มะเร็งอย่างดีเยี่ยม ฉะนั้นทำอาหารมื้อต่อไป อย่าลืมใส่กระเทียมลงไปด้วย ที่สำคัญต้องทุบให้แตกก่อนนะคะ สารต่าง ๆ จึงจะออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น


H : Honey

          น้ำตาลทรายฟอกขาวไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากนัก อาจหันมาใช้น้ำผึ้งแทนกันในบางเมนู ก็ให้รสชาติอร่อย ไปอีกแบบ

I : Iron

          ธาตุเหล็กมีมากในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ป้องกันโรคโลหิตจาง เป็นองค์ประกอบของการสร้างเม็ดเลือดแดง ที่สำคัญควรกินผักผลไม้ในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อไปช่วยการทำงานของธาตุเหล็กได้ดีขึ้น



J : Juice

ขอย้ำให้เป็นน้ำผลไม้คั้นสด คั้นเองได้ยิ่งดี เพราะได้ทั้งวิตามิน และวางใจเรื่องความสะอาด ส่วนน้ำผลไม้กล่องส่วนใหญ่มีน้ำตาลมาก หากดื่มมาก ๆ อาจทำให้อ้วน เกินพอดีได้เหมือนกัน


K : Kale

          พืชหัวจำพวกกะหล่ำ บร็อคโคลี เป็นผักอีกชนิดที่มีรสชาติดี มีแร่ธาตุจำเป็นอยู่หลายชนิด แต่มีข้อแม้ว่าก่อนนำมาปรุงจะต้องล้างให้สะอาด เด็ดใบออกมาล้างทีละใบ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ล้างสารเคมีตกค้างออกได้มากที่สุด

L : Low fat

          อาหารจำกัดปริมาณไขมัน เหมาะกับคนที่มีน้ำหนักเกิน หรือคนที่ต้องการรักษารูปร่าง แต่ยังไม่เหมาะสำหรับเด็กนะคะ แต่ถ้าเด็กมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินก็เลือกนม low fat ได้เช่นกันค่ะ


M : Milk

          นม หรือผลิตภัณฑ์จากนม มีประโยชนถ้ากินให้ถูก และรู้จักเลือกกิน หากเด็ก ๆ ดื่มนมจะเป็นการสะสมแคลเซียมในร่างกาย (แต่ต้องควบคู่กับการออกกำลังกาย) ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน แต่ควรเลือกนมให้เหมาะกับตัวเองเช่นกัน ถ้าดื่มไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน เพราะยังมีนมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ หรือแคลเซียมชนิดอื่น ๆ ทดแทนกันได้

N : No sugar

          อาหารที่มีรสชาติหวาน ทำให้คนเรามีความรู้สึกอยากอาหาร และกินได้มากขึ้น จึงเป็นผลทำให้มีโรคอ้วนตามมา ถ้าไม่อยากให้ลูกกินหวาน คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมลดน้ำตาลในอาหารประจำวัน ลดอาหารหวาน ขนมหวาน และน้ำอัดลมให้ได้นะคะ


O : Oat

          ข้าวโอ๊ต มีโปรตีนและไขมันสูง แถมยังมีเส้นใยอยู่มาก ชาวตะวันตกนิยมนำมาเป็นอาหารเช้า โดยการใส่ผลไม้แห้งผสมลงไปด้วย เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง จึงเหมาะกับมื้อเช้าที่เร่งรีบ แต่ไม่ควรเก็บข้าวโอ๊ตไว้นาน เพราะเหม็นหืนง่าย

P : Pea

          ถั่วต่าง ๆ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่ทดแทนเนื้อสัตว์ได้ แต่ก็ควรระมัดระวังในการกิน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ ถ้าเป็นถั่วเมล็ดแห้งก็ควรปรุงให้นิ่ม ไม่เช่นนั้นอาจจะติดคอได้ง่าย และควรระวังในเรื่องเชื้อราที่มักอยู่ในถั่วด้วยเช่นกัน

Q : Quality

          คือการกินอย่างมีคุณภาพ รู้จักเลือกกินอาหาร ที่มีประโยชน์ กินแต่พอดี เพราะการกินมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมเกิดผลเสียขึ้นได้ทั้งนั้น


R : Rice

          อาหารหลักของคนไทย คือข้าว วันไหนไม่กินข้าวเราจะรู้สึกเหมือนไม่ค่อยได้กินอะไร ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีมีประโยชน์มากกว่าข้าวที่ผ่านการขัดสีมาก จะให้ดีคุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกกินข้าวกล้องตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อให้คุ้นชินกับกลิ่น หรือลักษณะของข้าว


S : Seafood

          อาหารทะเล มีแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิดทั้งวิตามิน เกลือแร่ และที่สำคัญคือไอโอดีน ที่ช่วยป้องกันโรคคอหอยพอก รวมทั้งกรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า 3 6 9 มีโปรตีนสูง ย่อยง่าย แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังเรื่องการแพ้อาหารมากเช่นกัน โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ๆ สำหรับผู้ใหญ่ ก็ต้องเลือกอาหารทะเลจำพวกเนื้อปลาเป็นหลัก ถ้าเป็นชนิดอื่น ๆ ต้องระวังเรื่องคอเลสเตอรอล

T : Tofu

          เต้าหู้ อาหารที่ทรงคุณค่ามากอย่างหนึ่ง กินได้ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ จนถึงผู้สูงอายุ มีคุณค่าจากโปรตีนถั่ว ปรุงอาหารได้หลากหลาย

U : Utensil

          คำนี้แปลว่า เครื่องครัว อุปกรณ์ทำครัวต่าง ๆ เพราะกว่าอาหารจะออกมาพร้อมน่ากิน ก็ต้องมาจากในครัว และการทำออกมาอย่างพิถีพิถันนั่นเองค่ะ


V : Vegetable

ในหนึ่งมื้ออาหารควรกินให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผัก หลายคนละเลยที่จะมีผักในมื้ออาหาร แต่ไม่เน้นโปรตีนมากกว่า ดังนั้นควรฝึกให้ลูกกินผักตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อให้คุ้นชินและไม่เลือกกินเมื่อโตขึ้น

W : Whole grain

          คือธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ฉะนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยใยอาหาร วิตามินบีชนิดต่าง ๆ และเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน เช่น ข้าวกล้อง ถึงแม้ว่าข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีจะเก็บได้ไม่ยาวนานเท่าข้าวที่ขัดสีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับคุณค่าอาหารแล้วธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีดีกว่ามากมาย

X : XL

          เราใช้ XL แทนขนาดเสื้อผ้าว่าเป็นขนาดใหญ่พิเศษ (อาจจมี X เพิ่มเข้าไปข้างหน้าอีก) แต่ในที่นี้จะขอพูดถึงคนอ้วนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ก็มักถูกเปรียบเปรยให้ใช้คำนี้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรระวังอย่างมาก เพราะภาวะโภชนาเกินนี้เป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ


Y : Yogurt

          เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากนม และให้ประโยชน์มาก เพราะในโยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไปช่วยการทำงานของลำไส้ มีแคลเซียมสูง ถ้าจะกินให้ได้ประโยชน์ควรกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ เพราะโยเกิร์ตรสชาติต่าง ๆ มักจะมีการเติมน้ำตาลลงไปเพื่อให้รสชาติดีขึ้น

Z : Zinc

          ถึงแม้แร่ธาตุสังกะสี จะเป็นแร่ธาตุที่คนเราต้องการให้ปริมาณไม่มากนัก แต่บทบาทและหน้าที่ของแร่ธาตุตัวนี้ก็สำคัญทีเดียว เพราะสังกะสีทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการสร้างโปรตีนย่อยอาหาร มีความสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็ก ถ้าสังกะสีจะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก การเจริญพันธุ์ทางเพศช้า และยังมีส่วนสำคัญใน การส่งเสริมวิตามินเอให้ทำงานได้ดีขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก












บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #276 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2011, 06:18:25 PM »

ร้อนสลับเย็น กับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง


หลังน้ำลด ลมหนาว เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องเตรียมรับมือ การบรรเทาลมหนาวโดยการอาบน้ำอุ่นก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าเทคนิคการอาบน้ำอย่างง่าย ๆ กลับส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง  นั่นคือวารีบำบัดแบบการอาบน้ำร้อนสลับเย็น หรือที่เรียกว่า Contrast Hydro Therapy   

          วารีบำบัดมีประวัติมายาวนาน แต่เริ่มมีแพร่หลายอย่างจริงจังเมื่อพระชาวเยอรมันชื่อ เซบาสเตียน คไนพ์ (1821–1897) ติดเชื้อป่วยเป็นวัณโรค ท่านรักษาตัวเองโดยการไปแช่ตัวในธารน้ำเย็นละแวกที่พำนัก แช่ทุกวันแม้ในวันที่อากาศหนาว จนชาวบ้านนินทาว่าท่านคงเพี้ยนและคงตายในเวลาอันสั้น แต่นอกจากไม่ตายท่านกลับดูแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เลยใช้วิชาแช่น้ำรักษาผู้ป่วยอื่น ๆ และต่อมาท่านพัฒนาเทคนิคการใช้น้ำในการรักษาแบบต่าง ๆ เช่น อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็น เป็นต้น


          นอกจากทางยุโรปที่พบความมหัศจรรย์ของการอาบน้ำร้อนสลับเย็นแล้ว ศาสตร์ของวารีบำบัดก็เป็นที่แพร่หลายในประเทศตะวันออกเช่นกัน โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นประเทศที่ถือว่าประชากรมีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก

          โดยผลการวิจัยยืนยันจาก Brain Functions Laboratory Inc. ประเทศญี่ปุ่น เมื่อทดลองจากการอาบน้ำร้อนสลับเย็น และทดสอบกับคลื่นไฟฟ้าสมอง และระดับการเต้นของหัวใจ พบว่าเมื่ออาบน้ำร้อนสลับเย็นระดับความโกรธและความเครียดลดลง  ความผ่อนคลายเพิ่มขึ้น และการเต้นของหัวใจที่ลดลง

          เนื่องจากว่าน้ำร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และทำให้เกิดเหงื่อรวมถึงการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น ส่วนน้ำเย็นจะทำให้หลอดเลือดหดตัวและลดการไหลเวียนของโลหิต รวมถึงการเต้นของหัวใจที่ลดลง และเมื่อมีการอาบน้ำร้อน-เย็นสลับกันจะทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นเป็นรอบ ๆ โดยเริ่มจากระบบประสาทส่วนปลาย ระบบประสาทอัตโนมัติ / ระบบประสาทส่วนกลาง  ปฏิกิริยาส่วนปลาย ซึ่งจะช่วยให้เกิดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง การกระตุ้นปฏิกิริยาของร่างกายนี้จะทำให้เซลล์ประสาทมีความนิ่งและส่งผลให้สภาพจิตใจมีการพัฒนาผ่อนคลาย


          ซึ่งการอาบน้ำร้อนสลับเย็นเพื่อการผ่อนคลายให้ได้ผลต้องมีการสลับอย่างน้อย 10 รอบ โดยน้ำร้อน 30 วินาที และน้ำเย็น 30 วินาที  โดยเริ่มจากการอาบน้ำร้อนก่อน  การทำวารีบำบัดลักษณะนี้สามารถทำได้ง่าย และทำได้เองที่บ้าน  เพียงแค่ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มี function การอาบน้ำร้อนสลับเย็นเท่านั้น


          1.สุดสายชล หอมทอง. "วารีบำบัด". สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา., มีนาคม 2006.
          2.Brain Functions Laboratory Inc. "Shower Sensibility Evaluation Test" , August 2010.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #277 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2011, 04:36:32 PM »

คุณประโยชน์ของ เห็ด และ คะน้า


คุณประโยชน์ของ เห็ด และ คะน้า (Woman Plus)

          สำหรับใครที่ชอบเขี่ยผักไปไว้ข้างจานในทุก ๆ มื้ออาหาร หรือเมินเชิดใส่อาหารที่มีผักเป็นวัตถุดิบหลัก แต่วันนี้เป็นต้นไปคุณอาจวิ่งเข้าใส่หรือสนใจแต่อาหารจานผักก็เป็นได้ หลังจากที่คุณได้รู้ถึงคุณประโยชน์ของผักที่เรานำมาเสนอในวันนี้



เริ่มจากผักชนิดแรกที่จะนำเสนอคือ "เห็ด" ซึ่งเป็นผักที่มีคุณสมบัติช่วยในการป้องกันไม่ให้กระดูกพรุน โดยมีนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดง เช่น เห็ด ปลา ปู  หอยนางรม เป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและทำให้กระดูกของเราแข็งแรง


  ต่อมาเป็น "ผักคะน้า" ซึ่งเป็นผักที่หลาย ๆ คนเห็นแล้วอาจต้องเบือนหน้าหนี แต่จะมีใครรู้บ้างว่า คะน้านั้นเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินอี โฟเลต และลูทีนซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา มีงานวิจัยพบว่า การกินผักที่มีลูทีนสูง จำพวกผักคะน้าจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้มากถึง 20% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กินหรือไม่ได้รับสารชนิดนี้

          เมื่อได้รู้ถึงคุณประโยชน์ของทั้งเห็ดและคะน้าแล้ว คุณ ๆ ทั้งหลายก็อย่าแอบเขี่ยทิ้งให้เสียดายประโยชน์ แต่ให้ค่อย ๆ ลองกินเพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคตนะจ๊ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #278 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 07:57:21 PM »

เคล็ดลับเพื่อ สาวออฟฟิศ เลี่ยงโรคฤดูหนาว

แนะนำ 'คุณสาวๆออฟฟิศ' ดูแลสุขภาพตัวเองเพื่อเลี่ยงโรคที่มาพร้อมกับฤดูหนาว

หน้าหนาวแบบนี้ ยิ่งต้องรักษาสุขภาพให้ดี โดยเฉพาะวันนี้ เรามีเคล็ดลับดีๆมาฝาก สาวๆที่ทำงานอยู่ออฟฟิศ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและป้องกันตัวเองจากโรคที่อาจจะเสี่ยงเป็นได้ในฤดูหนาวมาฝากกันจ้า



สาวๆ ออฟฟิศอาจเน้นความสำคัญกับผิวพรรณที่เริ่มแห้ง ซึ่งเป็นที่มาของริ้วรอย แต่ที่น่าห่วงไม่แพ้กันคือคนที่ทำงานอยู่ในห้องที่อากาศแห้ง จะเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเมื่อเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส และประตูหน้าต่างปิดมิดชิด ไม่มีอากาศถ่ายเท

และที่สำคัญ อากาศเย็นและแห้ง ทำให้เซลล์ในโพรงจมูกแห้งลง สังเกตได้ง่ายๆ จากน้ำมูกแห้งติดอยู่ในโพรงจมูก ในหน้าหนาว เซลล์ต่างๆ เช่น เซลล์เยื่อบุโพรงจมูก คอ หลอดลม ฯลฯ จะแห้งลงกว่าเดิม ทำให้ไม่มีเมือกมาป้องกันเซลล์จากเชื้อโรค เชื้อโรคจึงสัมผัสกับเซลล์โดยตรง

และในขณะที่อากาศเย็นๆ แบบนี้ เชื้อไวรัสเจริญเติบโตได้ดี แต่เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ดักจับเชื้อโรคในร่างกายทำงานได้ลดลง ส่งผลให้หน้าหนาวมีผู้ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ เช่น หวัด ภูมิแพ้ ฯลฯ มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้าใช้นิ้วแหย่เข้าไปในรูจมูก หรือถูแรงๆ ก็อาจมีเลือดออก และถ้ามีอาการแสบคอร่วมด้วยอาจเป็นแผลและติดเชื้อได้

โรคทางเดินหายใจที่ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่มักมีอาการมากขึ้น อากาศที่เย็นส่งผลให้ฝุ่น ควัน เกสรดอกไม้ ควันพิษจากท่อไอเสีย ฯลฯ ที่ลอยอยู่ในอากาศอยู่ในระดับต่ำกว่าฤดูกาลอื่น ทำให้เราหายใจสิ่งเหล่านี้เข้าไปในปอด ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบมักมีอาการบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้นในหน้าหนาว

วิธีป้องกัน สาวๆก็ทำได้ดังนี้เลยจ้า

1.ระวังไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
ล้างมือให้สะอาดสม่ำเสมอ ไม่แคะ แกะ จับบริเวณหน้า จมูก ปากของเราโดยที่ยังไม่ได้ล้างมือ อยู่ในที่อากาศถ่ายเท อยู่ห่างจากผู้เป็นหวัด

2.รักษาความอบอุ่นของร่างกาย

3.สร้างภูมิต้านทาน
ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที นอนให้เต็มอิ่ม กินอาหารครบ 5 หมู่ เน้นกินผัก ผลไม้สด

4.ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ควรหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้

5.ระวังไม่ให้ทางเดินหายใจแห้ง
ใส่ผ้าปิดปาก ผ้าปิดปากจะช่วยเก็บความชื้นและความอุ่นของลมหายใจ ทำให้ทางเดินหายใจชื้นและชุ่ม ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ใช้วาสลีนทาเล็กน้อยบริเวณโพรงจมูก

หากคุณสาวๆ เริ่มรู้สึกป่วย อย่าลืมนอนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ล้างจมูกเมื่อจามบ่อยๆ หรือเมื่อคัดจมูกเพื่อล้างสารคัดหลั่งออกจากจมูก หากอาการยังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์นะคะ หนาวๆแบบนี้ต้องหมั่นดูแลรักษาสุขภาพกันหน่อยนะคะ จะได้เก็บพลังไว้ไปวี๊ดวิ๊ว! ช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลปลายปีนี้ ดีกว่าใช้เวลาวันหยุดยาวมานอนซมรักษาอาการป่วย แบบนี้จะไม่สนุกเอานะคะ ..


Source : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ / npc-se.co.th (Image)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #279 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:01:12 PM »

6 ความเชื่อ จริง vs เท็จ เรื่องสุขภาพ

6 ความเชื่อ จริง vs เท็จ เรื่องสุขภาพ (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

          ความเชื่อที่เกี่ยวกับสุขภาพเหล่านี้ หลายคนอาจจะเคยเข้าใจผิดก็เป็นได้ มาตรวจสอบความเข้าใจของคุณกันเลย

 ความเชื่อที่ 1 "วิตามินซีช่วยต้านหวัด"

          ไม่จริง เพราะวิตามินซีไม่ใช่สารอาหารเสริมเพื่อต้านหวัด แต่ปัจจัยหลักคือ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ จากผลการวิจัยของออสเตรเลียพบว่า กลุ่มคนที่บริโภควิตามินซีเป็นประจำยังคงมีอาการหวัดและความอ่อนเพลียอื่น ๆ ซึ่งไม่ต่างจากกลุ่มคนที่ไม่เคยบริโภควิตามินซีเลย และมีเพียงวิธีเดียวที่จะช่วยให้อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มหายจากหวัดคือ การล้างมือก่อนการรับประทานอาหารทุกครั้ง

 ความเชื่อที่ 2 "การเป่ามือให้แห้ง ช่วยให้มือสะอาด กว่าการเช็ดด้วยกระดาษชำระ"

          ไม่จริง เพราะเครื่องเป่ามือที่อยู่ในห้องน้ำสาธารณะเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดี ซึ่งลมร้อนที่ถูกกักเก็บไว้ในตัวเครื่องเมื่อพ่นออกมานั้น มันจะดูดแบคทีเรียจากอากาศแวดล้อมกลับเข้าไปในตัวเครื่องด้วย แม้ว่าเราจะไม่ได้เอามือจ่อชิดกับตัวเครื่องก็ตาม แต่เชื้อโรคก็ยังแพร่กระจายมาสู่มือเราได้ในระยะที่ไกลถึง 1.8 เมตร ดังนั้นหลังล้างมือเสร็จแล้วควรเช็ดให้แห้งด้วยกระดาษชำระ มือเราจะสะอาดมากกว่า

ความเชื่อที่ 3 "ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอนช่วยให้หลับสบาย"

          จริง เพราะในนมมีกรดอะมิโนทริปโตเฟน (1 ใน 8 กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองเรื่องนมที่มีผลต่ออาการง่วงนอน ผลออกมาพบว่าทริปโตเฟนมีฤทธิ์ต่ออาการง่วงนอนในระดับต่ำมาก แต่สิ่งที่ทำให้ร่างกายหลับสบายเมื่อดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอนนั้นคือแลคเทียม (Lactium) หรือโปรตีนที่ได้จากการย่อยสลายของนม แลคเทียมจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย จึงส่งผลให้นอนหลับสบายขึ้นนั่นเอง

 ความเชื่อที่ 4 "น้ำมูกมีสีเขียวเป็นเพราะร่างกายติดเชื้อ ควรกินยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ"

          ไม่จริง เพราะเมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย หรือไวรัส กลไกในร่างกาย จะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวออกมาเพื่อดักจับเชื้อโรคไว้ในทันที และจะระบายออกมาในรูปของน้ำมูก หากมีเชื้อแบคทีเรียปนออกมาด้วย น้ำมูกจะเป็นสีเขียว ดังนั้นแล้วหากร่างกายสามารถยับยั้งเชื้อโรคได้เองอยู่แล้วจึงไม่จึงเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะเข้าไปเสริมอีก เพราะร่างกายอาจติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้หากร่างกายดื้อยา

 ความเชื่อที่ 5 "เหงื่อช่วยขับพิษออกจากร่างกาย"

          ไม่จริง เพราะเหงื่อคือของเหลวเย็นที่ร่างกายขับออกมาทางผิวหนังเพื่อระบายความร้อน เหงื่อจะประกอบด้วยน้ำและแร่ธาตุที่อยู่ในร่างกายเรา แต่ไม่ใช่พิษตกค้าง หรือเชื้อโรคใด ๆ มันเป็นเพียงน้ำเสียที่มีกลิ่นเหม็นเท่านั้น แต่อวัยวะสำคัญที่ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกายนั่นคือตับและไต หากมีสารพิษหรือโลหะหนักสะสมในร่างกาย ตับและไตต้องทำงานหนักมากเพื่อขับพิษที่สะสมออกมาทางปัสสาวะ

ความเชื่อที่ 6 "ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว"

          ไม่จริง เพราะตามข้อกำหนดของสภาโภชนาการในสหรัฐ ได้แนะนำผู้บริโภคว่า "ในหนึ่งวันควรบริโภคของเหลวโดยเฉลี่ยให้ได้ประมาณ 8 แก้ว (หรือ 64 ออนซ์)" ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าต้องดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว เพราะอันที่จริงในอาหารจำพวกผักและผลไม้ก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักอยู่แล้ว และเมื่อคำนวณปริมาณน้ำจากผักและผลไม้ที่ได้ในแต่ละมื้อ ก็นับว่ามีปริมาณน้ำโดยรวมเทียบเท่ากับการดื่มน้ำเปล่ารวม 64 ออนซ์ได้เช่นกัน หรืออาจจะมากกว่าด้วย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #280 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:04:23 PM »

เลือกจัดกระเช้าปีใหม่ ให้ดีต่อสุขภาพ



รับปี สิ้นโรค ด้วยกระเช้า 10 บำบัด

          เสียงเพลงแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้ว่าบรรยากาศยามนี้อาจจะไม่รื่นเริงสุด ๆ เหมือนปีที่กำลังจะผ่านไป เพราะมหาอุทกภัยที่ยังทิ้งร่องรอยของความเสียหายและความทรงจำอันน่าหดหู่ก็ตาม

          แต่เพื่อให้เข้ากับห้วงเวลาแห่งการฉลอง โดยการใช้สอยเงินอย่างมีคุณค่าไปพร้อม ๆ กัน ข้อแนะนำจากเว็บไซต์ women40plus.com ในเครือรักลูกกรุ๊ป ดูเหมือนเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจ เพราะเป็นคำแนะนำเด็ด ๆ จาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เกี่ยวกับการเลือกซื้อหากระเช้ารับปีใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อความมีสุขภาพดี และยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าให้กับผู้ซื้ออีกด้วย เรียกว่าได้สองต่อ สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ 

          คุณหมอกล่าวถึงหลักการในคำแนะนำว่า ปันรักด้วยกระเช้า เอาหัวใจอายุรวัฒน์ใส่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องหอบของแพงระดมใส่ในกระเช้า แต่ให้เลือกสิ่งมีคุณค่าแทนใจดังต่อไปนี้

           ฝรั่งสด แทนแอปเปิลเขียว เพราะว่าฝรั่งสดมีเส้นใย "เพคติน" แบบเดียวกับในแอปเปิล และที่สำคัญมีคลอโรฟิลล์มากในเปลือกสีเขียว อีกทั้งกลุ่มของวิตามินซี, ไบโอฟลาโวนอยด์และวิตามินเอด้วย

           มะเขือเทศ แทนส้มฝรั่งเปลือกหนา ทานมะเขือได้ทั้ง "ไลโคปีน" และวิตามินซีเช่นเดียวกัน ท่านที่เลือดน้อยควรทานให้มากเพราะมีกรดโฟลิกบำรุงเลือด และสารกลุ่มไบโอฟลาโวนอยด์จะช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง

           ฝรั่งขี้นกลูกย่อม แทนองุ่นช่อโต เพราะฝรั่งลูกหนึ่งมีวิตามินซีเข้มข้นมาก ถ้าเลือกเป็นฝรั่งขี้นกที่แกนสีแดงจะมีซูเปอร์แอนติออกซิแดนต์ "โอพีซี (OPCs)" แบบเดียวกับที่มีในองุ่นแดง

           เสาวรส แทนองุ่นแดงและลูกพีช เพราะมีเนื้อวุ้นเป็นเส้นใยช่วยล้างพิษลำไส้ ส่วนแอนติออกซิแดนต์ก็มี "เรสเวอราทรอล (Resveratrol)" เป็นตัวชูโรง ถ้าเกรงเปรี้ยวจัดจะให้เป็นแบบน้ำผลไม้กล่องก็ได้

           มะเฟือง, ลูกยอ, สับปะรด, มะม่วงน้ำดอกไม้ แทนลูกไม้ฝรั่ง ทั้งสี่ซูเปอร์สตาร์นี้เป็นตัวให้วิตามินอย่างดี ในลูกยอมีเคมีต้านความเสื่อมชราของเซลล์ร่างกายอยู่มาก ส่วนสับปะรดมีน้ำย่อยช่วยล้างคราบโปรตีนในลำไส้ ให้มะม่วงน้ำดอกไม้หมายถึงให้สุขภาพผิวที่ดีและดวงตาที่แจ่มใส เพราะมีเบต้าแคโรทีนเป็นอันดับต้น

           กระยาสารท, ถั่วกระป๋องใส่ปลาเล็กปลาน้อย แทนคุกกี้หวานมันชุ่มเนย ได้ขนมถั่ว ๆ งา ๆ แบบไทย ๆ หรือถั่วตัดไปไม่เพิ่มพุงเท่าคุกกี้นมเนยแบบฝรั่ง เพราะในถั่วมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมาก อีกทั้งเส้นใยที่ช่วยให้อิ่มได้แบบไม่อ้วน นอกจากนั้นการให้ปลาเล็กปลาน้อยยังช่วยเติมแคลเซียมให้ได้สมดุลเกลือแร่ด้วย




น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันรำข้าว แทนน้ำสลัดข้นใส่ขวดแบบฝรั่ง เพราะน้ำมันมะพร้าวมีไขมันสายสั้นกำลังดี (Medium chain triglycerides, MCT) ส่วนน้ำมันรำข้าวก็มี "โอเรซานอล (Oryzanol)" เป็นแอนติออกซิแดนต์แทนน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ที่ลิตรละเกือบพัน

           น้ำข้าวกล้องงอก, จมูกข้าว, ข้าวเหนียวดำ แทนน้ำผลไม้รสหวานเวิ่นเว้อ น้ำข้าวกล้องงอกช่วยบำรุงสมองให้เบิกบานจากสาร "กาบา (GABA)" ที่มีอยู่อย่างอุดมถมถืดในเมล็ดข้าวอ่อนกำลังงอก ส่วนข้าวเหนียวดำทำให้สุขภาพดีจากมีสารม่วงโอพีซีอยู่มาก

           น้ำมันปลา แทนการให้ขวดเหล้าฝรั่งราคาแพง เพราะน้ำมันปลาช่วยให้สมองแจ่มใส ลดอาการไขข้อและช่วยแทนปลาสดที่เราไม่อาจกินได้ทุกวันด้วย

           ชาเขียว, ชาขาว แทนน้ำอัดลม เพราะในใบชามี "แทนนิน" เป็นเคมีช่วยฝาดสมาน ป้องกันท้องไส้ไม่ดีช่วงปีใหม่ อีกทั้งสารกลุ่ม "คาเทชิน" ที่ช่วยป้องกันมะเร็งและปกป้องหัวใจก็มีอยู่มากในชา ส่วนเรสเวอราทรอลก็มีเช่นเดียวกับผลองุ่นสด

           มะตูมแห้ง, มะม่วงกวน, กล้วยตาก แทนให้แยมผลไม้ เพราะมะตูมช่วยลดความดันโลหิตได้ เอามาชงดื่มช่วยให้หลับสบายไม่เพิ่มน้ำตาลในเลือด ส่วนมะม่วงกวนกล้วยตากแบบไม่ใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาล  เป็นแหล่งสำราญของ "พรีไบโอติกส์ (Prebiotics)" หรืออาหารเลี้ยงเชื้อดีให้ลำไส้ ใช้ชงน้ำดื่มได้ให้พลังงานสูงในผู้ใหญ่ที่ทานข้าวได้น้อย

          แค่นี้ก็เสร็จสรรพสำหรับกระเช้าสุขภาพที่ทำด้วยใจ ข้างในอุดมไปด้วยวิตามินธรรมชาติที่ปราศจากสารสังเคราะห์ให้ลำบากแก่ตับไตของผู้รับ สำหรับกระเช้าทำมือแบบนี้มีข้อดีไม่เหมือนใคร คือผู้ให้มีความสุขที่ได้ให้ของดีกับคนที่รัก และผู้รับก็รับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของคนให้ และถ้าให้ดีพร้อมเพิ่มขึ้นไปก็ขอให้คุณพิมพ์รายชื่ออาหารสุขภาพแต่ละอย่างพร้อมประโยชน์สั้น ๆ แนบไว้กับบัตรอวยพรปีใหม่ด้วยก็จะยิ่งดี เท่านี้ก็ได้กระเช้าเก๋รับปี "สิ้นโรค" แล้ว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 27, 2011, 09:29:58 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #281 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:12:17 PM »

ความอบอุ่นในหน้าหนาว ป้องกันก่อนความเจ็บป่วยจะมาถึง    




ดังคำกล่าวที่ว่า ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ  เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงคนเรามีโรคเข้ามารุมเร้าทุที หลายๆคนคงเคยประสบปัญหาเช่นนี้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวการดูแลสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง การมองข้ามปัญหาสุขภาพเพียงเล็กน้อยอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

           น.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เมื่อสภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น ประชาชนควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย ประเภทแป้งและไขมัน เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เนื้อสัตว์ติดมัน ซึ่งจะช่วยสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกาย เพราะเมื่ออากาศเริ่มเย็นอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน และเกิดการเจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ หอบหืด หรือหลอดลมอักเสบ รวมถึงปอดบวมด้วย

อาการเบื้องต้นของโรค

          คอจะแห้ง เจ็บคอ เพราะฤดูหนาวอากาศแห้ง ฝุ่นละอองมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หากสวมเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายไม่เพียงพอ อาจจะมีผลทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี เนื่องจากความเย็นจะทำให้เลือดมีความหนืด หัวใจต้องทำงานสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ในร่างกายหนักขึ้น ทำให้ช็อกและเสียชีวิตได้



อากาศหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

             สิ่งที่น่าเป็นห่วง   คือเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ที่อยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ควรดูแลอย่างใกล้ชิดซึ่งมีอากาศหนาวเย็นมากกว่าภาคอื่นๆ จึงเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตสูงที่สุด เนื่องจากศูนย์ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายของเด็กยังทำงานไม่เต็มที่ อุณหภูมิร่างกายของเด็กจึงเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามสภาพอากาศ โดยในปีที่ผ่านมีรายงานเสียชีวิตแล้ว 1 ราย


 

         น.พ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสวุพลา อธิดีกรมอนามัย ได้ กล่าวว่า ทารกอยู่วัยที่ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษจากพ่อ แม่ ผู้ปกครอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เพราะเด็กในวัยทารกไม่สามารถพูดความรู้สึก หรือบอกความผิดปกติของตนเองได้ ควรสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆให้เด็ก ใส่ถุงเท้า หมวกไหมพรม รวมไปถึงเวลานอนต้องห่มผ้าให้หนามากกว่าปกติเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการนอนใกล้หน้าต่างหรือประตูที่มีลมหนาวโกรก แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรนำเด็กไปอยู่ในบริเวณที่มีการก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่น เพราะควันไฟจะระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจของเด็ก ทำให้ป่วยได้ง่าย

การอาบน้ำในหน้าหนาว

        น.พ.สมศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ได้ออกมาเปิดเผยว่า ความเปียกชื้นโดยเฉพาะการอาบน้ำหรือชำระล้างตัวเด็กก็เป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องเช่นกันโดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเย็น จึงต้องใช้น้ำอุ่น ๆ และอาบน้ำในบริเวณที่ไม่มีลมโกรก และต้องเลือกเวลาที่อากาศไม่เย็นมาก เช่น ตอนบ่าย ในส่วนของเด็กเล็กให้หมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อม เมื่อเด็กปัสสาวะ หรืออุจจาระเปียกแฉะ

       นอกจากนี้ การกินนมแม่ในเด็กทารก นอกจากเด็กจะได้รับภูมิต้านทานโรคจากนมแม่แล้ว การโอบกอดของแม่ ขณะที่ลูกกินนม ยังสามารถสร้างความอบอุ่นให้แก่เด็กด้วย



การออกกำลังกาย

          ข้อแนะนำ วิธีการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ดีที่สุด คือการออกกำลังกาย ซึ่งควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที เพราะนอกจากสุขภาพจะดีแล้ว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย วัฏจักรแห่งชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่ง เติบโต ไม่มีใครที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับความเจ็บป่วย แต่ใครเล่าที่จะป้องกัน ดูแล และรักษาตนเองให้พ้นจากการเจ็บป่วยได้มากที่สุด หนาวนี้คุณดูแลสุขภาพตัวเองแล้วหรือยัง?



thanks
Ladytips
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #282 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:18:52 PM »

31 ความสุขใจที่หาได้ฟรี


31 ความสุขใจที่หาได้ฟรี (สุขกายสบายใจ)

        เป็นที่รู้กันดีว่า "ของฟรีไม่มีในโลก" แต่เชื่อเถอะว่า "มี" เพียงแค่เราใส่ใจในรายละเอียดของชีวิตมากพอ ความสุขใจหาได้ฟรีและไม่มีวันหมดอายุก็อยู่ใกล้ตัวและใจของเราแล้วค่ะ

10 ความสุขใจที่หาได้ด้วย "ตัวคุณเอง"

        1. เสียงเพลง เปิดฟังเพลงโปรดและร้องตามเสียงดัง ๆ ไปเลย

        2. ฮัมเพลง ใช้เวลาอาบน้ำ ตอนเข้าครัว หรือทำความสะอาดบ้านให้เป็นประโยชน์ด้วยการฮัมเพลงเบาๆ กล่อมเกลาอารมณ์ให้เอ็นจอย

        3. เปิดดูหนังตลก การหัวเราะแล้วหัวเราะอีกจะช่วยสลัดอารมณ์บูด ๆ ของคุณให้หายไปพลัน

        4. นั่งอ่านนิตยสารในมุมโปรด นี่คือช่วงเวลาผ่อนคลายดีๆ ที่คุณได้อยู่กับตัวเอง อย่างเต็มที่ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าหน้านิตยสารที่คุณกำลังเปิดอ่านอยู่นั้นอาจทำให้คุณค้นพบแรงบันดาลใจหรือปิ๊งไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาก็ได้

        5. ร้านหนังสือตามห้างใหญ่ ๆ มีมุมให้นั่งอ่านฟรี ถ้าคุณจะลองใช้บริการนั้นดูเสียบ้าง มันไม่น่าอายหรอก

        6. ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น พาสุนัขไปวิ่งด้วยกัน หรือยักย้ายส่ายสะโพกตามจังหวะเพลง

        7. สำรวจวัตถุดิบในตู้เย็น เผื่อได้อาหารหรือเบเกอรีสูตรใหม่ๆ แต่ถ้าหากคุณไม่ได้เมนูใหม่ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณอาจค้นพบว่ามีของอีกเพียบที่หมดอายุแล้วแต่ยังแช่อยู่ในตู้เย็น

        8. ลองพัฒนาฝีมือทำเครื่องดื่ม หรือคิดค้นเป็นสูตรของตัวเอง เช่น เลมอน วัอดก้า โกโก้ปั่นกล้วย เป็นต้น

        9. ทำความสะอาดบ้าน หรือจัดมุมเฟอร์นิเจอร์ใหม่ ซึ่งคุณจะสุขใจเพราะบ้านดูสะอาดตา และสุขกายตามมาเพราะน้ำหนักคุณอาจจะลดลงไปด้วย

        10. ศิลปศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ ระบายสี ประดิษฐ์ประคอย กระเป๋า หมวก เสื้อผ้า รองเท้า หรือของใช้ต่างๆ ก็ล้วนแต่เป็นความสุขใจที่อาจแปลงเป็นเงินให้คุณได้ในภายหลัง



5 ความสุขใจที่หาได้กับ "คนที่คุณรัก"

        1. เล่นไพ่ ไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องพนันเงินกันแบบหมดหน้าตัก เอาแค่พนันพอสนุกๆ ก็ได้ เช่น ใครแพ้ต้องไปทำท่าตลกที่หน้าบ้านเป็นเวลา 5 นาที หรือใครชนะไม่ต้องทำความสะอาดบ้านตลอด 1 อาทิตย์ เป็นต้น

        2. ต่อจิ๊กซอว์รูปภาพ ใครว่าต่อจิ๊กซอว์คนเดียวสนุกกว่า ไม่จริงหรอก เพราะอย่างน้อยก็มีคนช่วยบอกคุณว่า "นั่นเธอกำลังต่อผิดแล้ว"

        3. เล่นปริศนาทายคำ เช่น ครอสเวิร์ด (crossword) แสครปเบิล (scrabble) บอร์ดเกม (Board game) หรือโดมิโน (Domino) กิจกรรมนี้สร้างสรรค์ทีเดียว ช่วยพัฒนาทักษะและกระบวนความคิดให้ฉับไว ที่สำคัญคือ คุณจะรู้ว่างานนี้ใครเก่งอังกฤษ หรือใครเก่งเลขที่สุดในบ้าน

        4. กิจกรรมออกกำลัง ไม่ต้องชวนไปรวมตัวกันที่ยิมก็ได้ แค่วิ่งเล่นกันหน้าบ้านก็สนุกได้แล้ว ถ้าคุณนึกไม่ออก คุณก็ลองนึกถึงเด็กๆ วิ่งเล่นไล่จับกินซิ น่าสนุกจะตาย

        5. วางแผนบางอย่างร่วมกัน นี่เป็นอีกหนึ่งความสุขใจที่สร้างสีสันได้ทีเดียว เพราะทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างออกรส เช่น วางแผนไปเที่ยว วางแผนซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้าบ้าน วางแผนกิจกรรมสุดสัปดาห์ เป็นต้น



ความสุขใจที่หาได้จาก "คนรอบข้าง"

        1. ส่งยิ้มทักทาย เช้าๆ ตอนรอลิฟท์ ถ้าเจอคนรู้จักก็ส่งยิ้มทักทายเลย ไม่ต้องหลบสายตาหรอก เพราะนี่จะทำให้ผู้อื่นเห็นว่าคุณมีอัธยาศัยดีน่าคบหา

        2. คำพูดพื้นฐาน "ขอบคุณ" หรือ "ขอโทษ" มารยาทพื้น ๆ ที่คุณไม่ควรอายหากต้องพูดออกมา

        3. ทำตัวร่าเริงแจ่มใส คุณต้องไม่ลืมนะว่าคนอื่นไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังมีปัญหาอะไร ดังนั้นต่อให้คุณเศร้าแค่ไหน ก็ต้องร่าเริงแจ่มใสเข้าไว้เพื่อบรรยากาศที่ดีในการทำงาน

        4. ลองทำ E-card แล้วส่งให้กับคนที่คุณรู้จักในเทศกาลหรือวันพิเศษ นี่เป็นวิธีการน่ารัก ๆ ที่บ่งบอกกับใครๆ ได้อย่างชัดเจนว่าคุณมีความคิดสร้างสรรค์แค่ไหน

        5. กล่าวชื่นชมผู้อื่นบ้างตามโอกาส ความสุขใจจะอยู่ตรงที่คุณจะได้รอยยิ้มกระชับมิตรกลับคืนมา

        6. ลองเป็นอาสาสมัครโรงการเพื่อสังคม เช่น การอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง เป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น นี่เป็นวิธีสุขใจที่ได้บุญด้วย



10 ความสุขใจที่หาได้จาก "ธรรมชาติ"

        1. หาโอกาสเงยหน้ามองท้องฟ้าและดวงดาวสักคืน

        2. เดินเล่นในสวนสาธารณะ

        3. ปั่นจักรยานเล่นพลางชมนกชมไม้เรื่อยเปื่อยดูบ้าง

        4. เล่นกับธรรมชาติแบบเด็กๆ เช่น หาน้ำหวานจากเกสรดอกเข็ม หาเมล็ดต้อยติ่งมาลอยน้ำเล่น เป็นต้น

        5. จัดระเบียบสวน จัดมุมสวนใหม่

        6. นั่งชมพระอาทิตย์ยามเย็น

        7. ออกมานั่งทานของว่างในสวน หรือเปลี่ยนมากินข้าวเย็นในสวน ใครอยู่อพาร์ทเม้นท์หรือคอนโดก็ออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ นี้ที่ระเบียงแทนได้

        8. นั่งดูนก ดูปลา ชื่นชมดอกไม้และต้นไม้

        9. เก็บภาพธรรมชาติที่คุณคิดว่าสวย

        10. ลองปลูกดอกไม้หรือต้นไม้ของตัวเอง สักต้น แล้วตั้งชื่อให้กับต้นไม้นั้น การได้มองดูต้นไม้เติบโตแตกกิ่งใบออกดอกออกผลมอบความสุขให้กับคุณได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 27, 2011, 09:28:31 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #283 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 08:31:44 PM »

อาหารต้านลมหนาว    

อากาศหนาวและความชื้นด้วยอาหารประจำวัน เช่น การดื่มไวน์แดงหนึ่งแก้ว รับประทานกะหล่ำปลีม่วง หรือเนื้อแกะก็จะช่วยให้ภายในร่างกายอบอุ่น นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารอื่น ๆ สู้ลมหนาวอีก เช่น กระเทียม ฟักทอง เนื้อสัตว์ ถั่ววอลนัต และผลไม้แห้ง

อาหารเช้า  

            การรับประทานอาหารดิบ ๆ เช่น ผักดิบ ผลไม้ หรือผลไม้รสเปรี้ยว จะส่งผลให้ร่างกายเกิดความเย็น ซึ่งย่อมไม่ดีต่อสุขภาพในฤดูหนาวเป็นแน่ โดยเฉพาะเมื่อมือเท้าเย็นในตอนเช้า คุณก็ควรเริ่มต้นอาหารเช้าด้วยการรับประทานอาหารอุ่น ๆ เช่น ข้าวกล้อง หรือข้าวต้มธัญพืชร้อน ๆ หรือโจ๊กข้าวโอ๊ต โดยการเติมถั่วและผลไม้ลงไปต้มด้วย ก็จะเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีในฤดูนี้

อาหารกลางวัน

          ควรเป็นอาหารที่ผ่านการหุงต้มร้อน ๆ เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารอบอุ่น และป้องกันหวัดได้ด้วย นอกจากนี้ ก็ควรเดิมวิตามินและเกลือแร่ให้ร่างกายด้วยผักชนิดต่าง ๆ เช่น  ฟักทอง กะหล่ำขาว กะหล่ำม่วง แครอท มันฝรั่ง หรือมันเทศ และปรุงด้วยน้ำมันพืชกลั่นเย็น เช่น น้ำมันงา น้ำมันถั่ววอลนัต นอกจากนี้ ก็ควรรับประทานถั่วและเมล็ดพืช เช่น เมล็ดงา เป็นต้น
อาหารเย็น

            ควรเป็นอาหารร้อน ๆ เช่น จับฉ่ายจากผักหัวต่าง ๆ รับประทานกับข้าวกล้องหรือข้าวต้มก็ได้ เครื่องดื่มก็ควรเป็นเครื่องดื่มร้อน ๆ โดยเฉพาะเครื่องดื่มสมุนไพร เช่น น้ำตะไคร้ น้ำขิง หรือดื่มไวน์แดงสักหนึ่งแก้ว

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 27, 2011, 09:25:01 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #284 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 09:20:25 PM »

ปรับอาหารตามอากาศ วิถีสุขภาพดีพึงรู้เท่าทัน


ปรับอาหารตามอากาศ วิถีสุขภาพดีพึงรู้เท่าทัน

          สำหรับฤดูหนาวที่มาเยือน เราควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นของฤดูกาลดังกล่าว ซึ่งความรู้สึกอยากบริโภคอาหารเหล่านั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความรู้สึก หากแต่มีเหตุผลเชิงชีววิทยาสนับสนุนอยู่ด้วย เพราะเมื่ออุณหภูมิลดลง ความอยากบริโภคจะพุ่งสูงขึ้น

          ซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด กล่าวว่า หลายคนคงเคยสังเกตเห็นว่า ช่วงที่อากาศหนาวเย็นเราจะรู้สึกหิวมากขึ้นกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ ของปี นั่นเป็นเพราะระบบการทำงานภายในร่างกายของเราจะขับเคลื่อนให้เราบริโภคอาหารเพื่อให้ได้แคลอรีมากขึ้น เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายทำให้เรารู้สึกอบอุ่น และยังเป็นการเก็บสะสมแคลอรีเพิ่มขึ้นไว้สำหรับใช้ในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจขาดแคลนอาหาร

          อาหารโปรตีนสูงที่ผ่านการเคี่ยวหรือตุ๋นเหมาะสำหรับบริโภคในช่วงฤดูหนาว เพราะจะทำให้ร่างกายของเราอบอุ่นขึ้น ส่วนอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน รวมถึงยาจีนแผนโบราณที่ประกอบด้วยน้ำอุ่นและส่วนผสมที่มีรสเผ็ดร้อน อาทิ ขิง พริก พริกไทย และกระเทียม เหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่จำเป็นในช่วงฤดูหนาว เพราะจะช่วยให้ร่างกายของเราอบอุ่นจากภายใน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ภูมิปัญญาแผนโบราณดังกล่าวผนวกกับวิทยาศาสตร์แผนใหม่ ทำให้อาหารและเครื่องดื่มอุ่น ๆ สามารถเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย ขณะที่อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนจะช่วยทำให้เลือดมีการไหลเวียนดีขึ้น

          เมื่ออากาศร้อนเราจะรู้สึกกระหายและดื่มน้ำมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในช่วงฤดูหนาวร่างกายของเราก็ต้องการน้ำมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากร่างกายต้องปรับอากาศที่หนาวเย็นและแห้งที่เราหายใจเข้าไปให้อบอุ่นและชุ่มชื้น แต่เราก็ไม่รู้สึกอยากดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ในสภาพอากาศหนาวเหน็บ ดังนั้น เราควรพยายามดื่มชาร้อนและซุปร้อนเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ





"ซุปไก่" ที่ปรุงแบบดั้งเดิมจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นอาหารที่ทำให้ร่างกายได้รับน้ำแล้ว ในสมัยโบราณซุปไก่ยังนำมาใช้ดื่มเพื่อฟื้นฟูอาการจากโรคหวัดอีกด้วย ฟังดูออกจะไม่น่าเชื่อ แต่เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนข้อสรุปนี้มาจากคำอธิบายที่ว่า เครื่องดื่มหรืออาหารจำพวกน้ำร้อน ๆ จะทำให้จมูกโล่งและลดอาการคัดจมูก

          นอกจากนี้ ซุปไก่ร้อน ๆ ยังช่วยเร่งการไหลระบายออกของเมือกภายในจมูกได้เป็นอย่างดี เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมในน้ำซุป อาทิ หัวหอมและพริกไทย จะกระจายเป็นไอที่เราหายใจเข้า และทำให้จมูกโล่งมากขึ้น" โภชนาการซูซานกล่าว และยืนยันว่า 

          ไม่เฉพาะซุปไก่เท่านั้น โปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น ปลาและสัตว์ปีก ก็เหมาะสำหรับนำมาใช้ปรุงเป็นเมนูอาหารที่เคี่ยวหรือตุ๋นสำหรับฤดูหนาวด้วยเช่นกัน หรือเราอาจใช้ผงโปรตีนผสมในซุปหรือข้าวโอ๊ตแล้วคนให้เข้ากัน เลือกเติมเครื่องปรุงรสเล็กน้อยในอาหารและดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ เพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกายจากภายใน และสวมเสื้อโค้ตเพื่อป้องกันความหนาวเย็นจากภายนอก เพียงเท่านี้ เราก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงพร้อมรับกับความหนาวที่มาเยือนในฤดูกาลนี้ได้อย่างสบาย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 27, 2011, 09:26:06 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: