Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 75532 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #180 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2011, 08:50:20 PM »

ผักผลไม้ 7 ชนิดที่มีผลต่อสุขภาพของผู้หญิงโดยตรง

คนส่วนใหญ่ต่างรู้ประโยชน์ของผลไม้หรือผักว่ามีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แต่เชื่อไหมว่า ผลไม้บางชนิด มีแร่วิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป..มีพืชผักผลไม้อยู่ 7 ชนิด ที่มีผล ‘โดยตรง’ กับสุขภาพของ ‘ผู้หญิง’.



 ลูกพรุน : เป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

ถั่ว : อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินบี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งมีในถั่วมาก) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง แต่ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยุ่มากด้วยจึงไม่เหมือนไฟเบอร์อื่นๆ ที่ไม่ให้สารอาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย นั่นทำให้ผู้หญิงรุปร่างดีโดยที่ไม่ขาดสารอาหารด้วย

บรอคโคลี : เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

กล้วย : ในกล้วยไข่มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อเราอายุเลย 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมของร่างกายเริ่มมาเยือนช้าๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระก็ลดลงอย่างตกใจ ดังนั้นสาวๆ ควรสนใจรับประทานกล้วย โดยเฉพาะกล้วยไข่ให้มากขึ้นก็จะยอดมาก!

ฝรั่ง : เชื่อหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง ‘คอลลาเจน’ ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนยานก่อนวัย

แอปเปิ้ล : มีสารอาหารที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ ‘เพคติน’ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ยามใดก็ตามที่หินจนกินช้างหมดตัวได้ กินแอปเปิ้ลสักลูกจะดีกว่ามากๆ เลย (จริงๆ นะ)

ส้ม : แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติอันอุดม รู้ไหมว่า การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้อิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #181 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2011, 08:53:50 PM »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ นะคะ Smiley


 Cheesy
ปล.อย่ากินเพลินน้ะจ๊ะ เทวดานู๋ใจเป็น ไปแย้วววว อิ อิ Wink
บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #182 เมื่อ: มิถุนายน 06, 2011, 11:18:10 AM »

หมูน้อยน่ารักดีออก Cheesy
บันทึกการเข้า
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #183 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 11:22:24 AM »

ไม่รู้ตอนนี้ทุกคนหายไปไหนกันหมดเลยนู๋จัย...
ปล่อยให้เราเดินเล่นคนเดียวอยู่ได้ทุกวัน Cry Cry Cry
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #184 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 03:20:16 PM »

ไม่รู้ตอนนี้ทุกคนหายไปไหนกันหมดเลยนู๋จัย...
ปล่อยให้เราเดินเล่นคนเดียวอยู่ได้ทุกวัน Cry Cry Cry

อย่าร้องน้ะ นิ่งแตะ นิง แตะ แตะ Tongue

อิ อิ

ไปเก็บตังค์มั่งค่ะ Shocked
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #185 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 03:59:22 PM »

"ดร.สาทิส"แนะคนไทยอย่าแบกความเครียด ใช้"ชีวจิต" ดูแลสุขภาพกาย-ใจ


[ชีวจิตคืออะไร "ชีว" ก็คือ "กาย" และจิต ก็คือ "ใจ" ชีวจิตจึงมีองค์ประกอบหลักๆ 2 ส่วน คือ ฝ่ายกายกับฝ่ายใจ แต่"ชีวจิต"ถือว่าทั้งร่างกายและจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายมีผลต่อจิตใจ จิตใจก็มีผลต่อร่างกาย.. นี่คือความหมายคำว่าชีวจิตของ ดร.สาทิส อินทรกำแหง ผู้ได้รับรางวัล"ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์" ครั้งที่ 7

ดร.สาทิส เล่าว่าได้ทำนิตยสารชีวจิตเป็นปีที่ 12 ย่างเข้าปีที่ 13 แล้ว ที่ริเริ่มในการนำชีวจิตเข้ามา เพราะคิดว่ามันจะช่วยคนได้ จึงนำเอาเรื่องชีวิต จิต มารวมกับเรื่องของการแพทย์และสุขภาพ วิถีชีวิต หลายอย่างเอามารวมกัน มองว่าน่าจะเกิดประโยชน์ หลายคนที่มาลองปฏิบัติแล้วได้ผล ก็รู้สึกดีใจ เลยคิดว่าถ้ามันเป็นของที่ดีที่ถูกต้องก็น่าจะอยู่ต่อไปได้ ขณะนี้ก็ยังคงทำงานต่อไป จะทำเท่าที่อยากทำ เป็นห่วงแค่ว่าในระยะเวลาอีก 4-5 ปี จะมีผู้สนับสนุนหรือไม่ ถ้ามีก็คงสบายใจ

"ผมคิดว่างานที่ทำมา ถ้าอยู่ตัวแล้วก็คงไปได้ด้วยตัวของมันเอง เพราะว่าผมให้ความรู้ ผู้ปฏิบัติถ้าทำได้ดีก็น่าจะทำได้ ชีวจิต ในช่วงแรก ผมเป็นคนที่เอาเข้ามา โดยนำการแพทย์ทางเลือกมาใช้ จนถึงอีกขั้นที่การแพทย์ทางเลือกเท่านั้น ยังไม่พอ เราต้องช่วยให้ได้ในวงกว้าง โรคหลายอย่างต้องช่วยได้ ไม่ใช่แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง ผมก็เลยทำเป็นการแพทย์ผสม นำทุกอย่างมาผสมเพื่อให้คนไข้มีทางเลือกมากขึ้น"


ส่วนเรื่องการใช้ชีวิตในโลกที่มีมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น ดร.สาทิส บอกว่า ตัวต้นเหตุที่จะทำให้อาหารดีหรือไม่ดี เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของโลก เป็นเรื่องของชีวิตคนทั้งโลก ถ้าจะแก้คนในโลกก็ต้องช่วยกัน แต่หากเขาป่วย สุขภาพไม่ดีก็นำชีวจิตเข้าไปแก้ เพราะชีวจิตไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมที่ดี ชีวจิตถึงจะไปดีได้


ทั้งนี้ เป้าหมายชีวจิตทั้งเรื่องสุขภาพ การแพทย์ การเจ็บไข้นั้น เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือภูมิชีวิต (Immune System) ถ้าอยากเป็นชีวจิตก็ต้องเข้าใจหลักการก่อน การทำความเข้าใจถ้าไม่มีความรู้หรือพื้นฐานก็คงเป็นเรื่องที่ยาก เราจึงต้องทำให้เป็นเรื่องง่าย โดยที่ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องภูมิชีวิต แต่ทำของง่ายๆ 5 อย่าง คือ "หลักปัญจกิจ" 1.กินให้ถูก 2.นอนให้ถูก 3.พักผ่อนให้ถูก 4.ออกกำลังกายให้ถูก 5.ทำงานให้ถูก แล้วเราก็นำสูตรเหล่านี้มาให้

"ชีวจิต เป็นเรื่องของตัวเอง ค่อนข้างเป็นเรื่องทางวิชาการ หากทำแบบนี้เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ สิ่งที่ควรปฏิบัติในแนวทางการเริ่มต้น คือทำตาม"หลักปัญจกิจ"ก่อน แล้วหากเจ็บป่วยค่อยแก้ไป เช่น ทานยาหรือการปฏิบัติตัว แต่หากบอกทั่วๆ ไป อย่างคุณปวดหลังให้กินอย่างนี้ แค่นั้นไม่พอ ต้องมาดูเป็นตัวคน ต้องดูว่าต้นเหตุเป็นเพราะอะไร"

ดร.สาทิส ยังฝากข้อคิดถึงคนไทยที่กำลังเคร่งเครียดจากผลกระทบทางการเมืองว่า ถ้าเรื่องที่ยุ่งเหยิงอยู่ขณะนี้เป็นต้นเหตุ คนก็เครียด ถ้าจะแก้ความเครียด จริงๆ ต้องแก้ที่ต้นเหตุก่อน ถ้าไม่มี เราก็ไม่เครียด แต่ขณะเดียวกัน ถ้าต้นเหตุมันมี แล้วเราไปแบกจนกระทั่งเครียด และความเครียดเป็นตัวทำลายตัวเรา อันนี้ต้องคิดแล้วว่าเราจะแก้ไขตัวเองอย่างไร ถ้ามันมีแล้วเราแก้ไม่ได้ แต่เราต้องแบกมันไว้ ก็ต้องดูว่า เราจะแก้อย่างไรต้องคิดดูให้ดี ถ้าจะถามว่าชีวจิตช่วยได้หรือไม่ ก็ช่วยได้ถ้ารู้วิธีแก้แล้วทำตามนั้น

ภูมิชีวิต แรกเริ่มเป็นที่รู้จักกันในรูปของภูมิต้านทานหมายถึง ระบบป้องกันทั้งหมดของร่างกาย โดยมีหน้าที่ 1.ป้องกันไม่ให้สารหรือสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตรายและอยู่นอกร่างกายเข้าไปในร่างกายได้ 2.ทำลายหรือไล่สิ่งที่มีอันตรายต่อร่างกายให้หมดไป แต่แท้ที่จริงแล้วต้องประกอบด้วย ภูมิต้านทาน+ระบบต่างๆ+จิตใจและฮอร์โมน จึงเท่ากับภูมิชีวิตที่สมบูรณ์ ถ้าเรียกตามภาษาชาวบ้านคือ "พลังที่มีอยู่ในตัวตั้งแต่เราเริ่มเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา"

ปกติแล้วเราจะป่วยหรือไม่ป่วย ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับภูมิชีวิต หลักการที่ว่า "เราแข็งแรง สุขภาพดี ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับภูมิชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต" ที่แต่ละคนมีวิถีชีวิตที่ต่างกัน ดังนั้น คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวตามแนวทางชีวจิตจึงเป็นคำแนะนำเพื่อการปรับปรุงวิถีชีวิต ซึ่งหมายถึงปรับปรุงภูมิชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ ทั้งการกินอาหาร ออกกำลังกาย ผ่อนคลายความตึงเครียด ล้างพิษ การมองโลกในทางสร้างสรรค์ การมีความรักต่อกัน และการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สอดคล้องกับธรรมชาติ เมื่อแต่ละคน "เข้าใจความเป็นตัวเอง" จะสามารถนำหลักการและข้อปฏิบัติไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคน

อาหารชีวจิต เป็นแนวทางการกินอาหารที่ดร.สาทิส ศึกษาและปรับปรุงจากหลักการของแมคโครไบโอติกส์ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยห้ามหรืองด เนื้อสัตว์ย่อยยาก (เนื้อ หมู ไก่) ไข่และนม แป้งขัดขาวและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลฟอกขาวทุกชนิด ไขมันเลว (ไขมันอิ่มตัว) ได้แก่ ไขมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม และกะทิ

แนะนำให้กินอาหารให้สมดุล 1.อาหารประเภทแป้งไม่ขัดขาว 50 เปอร์เซ็นต์ หรือครึ่งหนึ่งของอาหารแต่ละมื้อ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ถ้าเป็นข้าวโพดจะเป็นข้าวโพดทั้งเมล็ดหรือทั้งฝัก ถ้าเป็นแป้งขนมปังจะเป็นโฮลวีต หรือแป้งกลุ่มคอมเพล็กซ์คาร์โบไฮเดรต (คือแป้งหลายชั้นที่มีโปรตีนปนอยู่) ก็ควรเติมมันเทศ มันฝรั่ง เผือก หรือฟักทองลงไป 2.ผักหนึ่งในสี่หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ ใช้ผักดิบและผักปรุงสุกอย่างละครึ่ง ถ้าปลูกเองไม่ใช้สารเคมีจะดีที่สุด หรือเลือกผักปลอดสารพิษล้างผ่านน้ำและแช่น้ำด่างทับทิมหรือน้ำส้มสายชูเจือจางสัก 1-2 ชั่วโมง

3.ถั่วต่างๆ อยู่ในประเภทโปรตีน 15 เปอร์เซ็นต์ เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร หรือใช้โปรตีนจากสัตว์ คือ ไข่ ปลา และอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1-2 มื้อ 4.เบ็ดเตล็ด 10 เปอร์เซ็นต์ ประเภทแกง เช่น แกงจืด แกงเลียง ประเภทซุป เช่น ซุปมิโซะ ประเภทของขบเคี้ยว เช่น งาสดและงาคั่ว (ใช้ปรุงอาหารต่างๆ) ถั่วคั่ว เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม เมล็ดทานตะวัน ผลไม้สด ต้องเป็นผลไม้ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ มะม่วงดิบ หรือพุทรา

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีการดีท็อกซ์ ออกกำลังกายแบบรำกระบอง การผ่อนคลายการและใจ รวมทั้งการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำอาร์ซี เรื่องต่างๆ เหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้ แต่ต้องหมั่นทำเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายและจิตใจสมดุลกันตามแนวทางของ"ชีวจิต"


โดย ตุลยย์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 16, 2011, 04:01:04 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #186 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2011, 10:35:41 PM »

สกัดนิสัยพาอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดี
คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่ารูปร่างที่เปลี่ยนไป ดูสมบรูณ์ บางทีมันอาจเกิดจากนิสัยการกินเล็กๆน้อยๆ ในตัวคุณที่ถูกมองข้ามไป



ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม สถาบันการเรียนรู้และฝึกอบรม อาวียองซ์ อะคาเดมี เปิดประเด็นชวนคิด กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม ต้องกินให้หมด

ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม สถาบันการเรียนรู้และฝึกอบรม อาวียองซ์ อะคาเดมี กล่าวว่า คนอ้วนส่วนใหญ่เกิดจากนิสัยการกิน กินทั้งที ต้องกินให้คุ้ม กินให้หมด เสียดายของ และผลสุดท้ายก็เป็นอันตรายต่อการดูแลรูปร่างและสุขภาพอย่างมาก เพราะจากที่ร่างกายต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน แต่การกินทั้งทีต้องคุ้มอย่างบุฟเฟ่ต์ คุณจะได้รับพลังงานโดยเฉลี่ยต่อมื้อถึง 3,000 กิโลแคลอรี่ อีกนัยหนึ่งคือ น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้นมื้อละ 1.4 ขีด เชียวนะ ถ้าคุณเผลออ้วนแล้วล่ะก็ การที่จะกลับมาทำให้หุ่นดีได้ดังเดิมนั้นมันยาก และอาจใช้เงินมากกว่าค่าอาหารในวันนั้นเป็นไหนๆ แต่ถ้าคุณพลาดไปแล้วล่ะ ให้ลองทำวิธีนี้คือให้ลดปริมาณแคลอรี่ที่จะได้รับในวันต่อๆไปวันละ 500 กิโลแคลอรี่ สัก 4 วัน ก็น่าจะพอช่วยได้ หรือจะออกกำลังกายว่ายน้ำ ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือไม่ก็นัดก๊วนแก๊งที่ไปกินบุฟเฟต์ด้วยกันนี่แหละ ไปตีแบตสัก 2-3ชั่วโมง จะได้ไม่อ้วนและก็สุขภาพแข็งแรงกันทั้งกลุ่ม



ส่วนนิสัยเสียดายของ ก็ขอให้ห่อกลับบ้านไปรับประทานในมื้อต่อไป เป็นการช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า พร้อมรักษารูปร่างและสุขภาพให้อยู่กับเรายาวนานออกไปอีก จงอย่าพยายามกินให้หมด เพราะมันจะกลายเป็นไขมันที่หน้าท้อง
สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานฟาสต์ฟู้ดจำพวกแฮมเบอร์เกอร์ โดนัท ไก่ทอด ฯลฯ คุณรู้ไหม? องค์การอนามัยโลกเรียกอาหารเหล่านี้ว่า อาหารขยะ เพราะเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการที่ไม่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ให้แต่เฉพาะพลังงานมากกว่าอื่นๆ และยังมีโซเดียมสูง ไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งหากคุณกิน อาหารขยะ ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อเส้นรอบเอวแล้ว ยังนำมาซึ่งโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วหันมากิน

อาหารที่มีประโยชน์ อย่างอาหารไทยทั่วไปนี่แหละ เช่น ข้าวน้ำพริกกะปิทานคู่ผักสดหรือผักต้ม อร่อยแสนอร่อย อุดมด้วยวิตามินแถมยังให้แคลอรี่น้อยกว่าแฮมเบอร์เกอร์เพียงครึ่งชิ้นอีกต่างหาก

นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหล้า เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานสูงพอๆ กับการกินอาหารมื้อใหญ่เลยทีเดียว แล้วยิ่งสาวๆ ทั้งหลายที่มักนิยมดื่มเหล้าจางๆ ผสมน้ำอัดลมด้วยแล้วล่ะก็ คุณก็จะได้ของแถมเป็นน้ำตาลปริมาณพอๆ กับที่ร่างกายต้องการทั้งสัปดาห์ ยิ่งคนที่ดื่มเหล้าหรือเบียร์ทุกวัน จะมีพลังงานส่วนเกินจากเครื่องดื่มเหล่านี้สะสมในร่างกายวันละ50-200 กิโลแคลอรี่ เหมือนกินไขมัน1-4ช้อนชา ทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอาจเดือนละ 1 กิโลกรัม ซึ่งความอ้วนจะมาพร้อมกับความเมาเสมอ

ฉะนั้นโดยส่วนใหญ่กลุ่มที่เสี่ยงกับโรคอ้วน เพราะขี้เกียจออกกำลังกาย จึงควรปรับเปลี่ยนนิสัยหรือหันมาพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สามารถสกัดกั้นการดูดซึมแป้งและไขมัน และช่วยเผาผลาญพลังงานที่เหลือใช้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ สรุปปิดท้าย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #187 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 06:36:46 PM »

สมองดีด้วย 5 วิธีง่าย ๆ


เมื่อ “สมอง” ล้า ย่อมต้องการออกกำลังกายเหมือนกัน “เดลินิวส์แคมปัส” มีวิธีล็อกความแข็งแรง เติมประสิทธิภาพการทำงานของสมองมาฝาก ทำไม่ยาก!!

ใช้หน่วยความจำให้บ่อย เริ่มจากจำเส้นทาง เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อน ๆ หรือญาติ แทนการเปิดหาจากสมุด รวมถึงเรียนรู้คำศัพท์ภาษาต่างประเทศทุกสัปดาห์ จากนั้น ลองท่องในสิ่งที่จำนั้นออกมา เท่านี้ก็สามารถประเมินศักยภาพสมองได้ในเบื้องต้น

สนทนา และหมั่นคิดวิเคราะห์ เนื่องจากการพูดคุย และร่วมแสดงความเห็นในประเด็นต่าง ๆ จะกระตุ้นกระบวนการคิด นอกจากนั้น การอ่านหนังสือพิมพ์ติดตามข่าวสาร หรือดูรายการที่ให้ความรู้แล้ววิเคราะห์ตาม ก็จัดเป็นอาหารดีสำหรับสมองเช่นกัน

ลับสมองด้วยงานอดิเรก และปริศนาปัญหา อย่างในวันว่างกับงานศิลปะ เช่น วาดภาพ วาดการ์ตูน ออกแบบเสื้อผ้า นอกจากกระตุ้นการฝึกคิดแล้ว ยังช่วยพัฒนาอารมณ์ด้วย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ระหว่างวัน เพียงคิดบวก พยายามแก้ไขหาทางออก ก็ถือเป็นความท้าทายของสมองรูปแบบหนึ่ง ดังนั้น ไม่ต้องกลัวปัญหา

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในต่างประเทศพบว่า การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นให้สารเอ็นดอร์ฟินในสมอง ถูกปล่อย ทำให้สดชื่น ลดเครียด พร้อมเริ่มต้นเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พักผ่อนให้พอเหมาะ โดยไม่นอนน้อย หรือมากจนเกินไป นอกจากนี้ การทำสมาธิ ยังเปรียบเหมือนยาชูกำลัง และยารักษาโรคที่ดีสำหรับจิตใจด้วย ทั้งยังส่งผลต่อสมองพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่

ทันทีที่วัยเรียนเริ่มต้นพัฒนาสมอง นอกจากจะส่งผลดีต่อทักษะการคิดแล้ว น้อง ๆ จะสังเกตถึงความเชื่อมั่นที่พร้อมเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงเติมพลังสม่ำเสมอ โดยเริ่มง่าย ๆ ด้วยวิธีข้างต้นนั่นเอง.


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #188 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 06:44:53 PM »

สี “อึ” บอกสุขภาพ

ในกระบวนการดูแลสุขภาพร่าง กายให้สมบูรณ์แข็งแรงและเป็นปกตินั้น นอกจากจะต้องเอาใจใส่อาหารการกินว่าสิ่งที่จะกินเข้า ไปนั้นมีประโยชน์ต่อ ร่างกายหรือไม่ และมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน รวมถึงการวางตารางชีวิตให้ออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อ ยสัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อความฟิตเฟิร์มแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้ามไป ทั้งที่ตัวมันเองอีกหนึ่ง “ลายแทงสุขภาพ” ที่เราสามารถสังเกตมันเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตร วจสอบสุขภาพของตนเองได้ อีกทางหนึ่ง นั่นก็คือ “อึ” นั่นเอง

การเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายหนัก หรืออุจจาระ ถือเป็นกิจวัตรชีวิตในยามเช้าของมนุษย์แทบทุกคน แต่เชื่อแน่ยังคงมีอีกหลายๆ คนที่ละเลยการใส่ใจสิ่งที่ร่างกายของเราขับออกมา ทั้งที่มันก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการวัดสภาพปกติ ของระบบทางเดินอาหารและ ระบบขับถ่ายของเราเอง
 
 

นพ.รัชวิชญ์ เจริญกุล อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหาร และตับ โรงพยาบาลเวชธานี ให้ความรู้เกี่ยวกับการเช็คสุขภาพภายในของตัวเองง่าย ๆ โดยการสังเกตอุจจาระที่เราขับถ่ายออกมาในแต่ละวัน ว่า อุจจาระของคนที่มีสุขภาพปกติส่วนใหญ่จะเป็นสีเหลืองอ มเขียว ซึ่งเป็นสีของกากอาหารและน้ำดี แต่อย่างไรก็ตาม สีของอุจจาระ ก็อาจจะเปลี่ยนไปตามอาหารที่กินเข้าไปได้เช่นกัน

“เช่น หากกินอะไรที่มีสีดำ เช่น โคล่า เป๊ปซี่ หรือแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ รวมถึงเลือดสัตว์ที่อยู่ในเนื้อสัตว์ มักจะส่งผลให้สีของอุจจาระคล้ำขึ้นได้เช่นกัน ส่วนหากเริ่มมีภาวะท้องเสีย ถ่ายท้อง อุจจาระจะมีสีเขียวกว่าปกติ ซึ่งนั่นเป็นเพราะเมื่อคนเราท้องเสีย ลำไส้จะบีบตัวมากกว่าปกติ อาหารจะไหลลงสู่ลำไส้ใหญ่เร็ว น้ำดีผลิตไม่ทัน อาหารเหล่านั้นไหลเร็วกว่าน้ำดี ทำให้การย่อยไม่สมบูรณ์ อาหารจำพวกไฟเบอร์ เส้นใย ที่ไหลผ่านลำไส้อย่างรวดเร็วโดยไม่ผ่านการย่อยจากน้ำ ดี จะทำให้อุจจาระมีสีเขียวกว่าปกติ”



นอกจากนี้ อายุรแพทย์ทางเดินและตับ รายนี้ ยังให้รายละเอียดต่อไปอีกว่า ในกรณีที่ไม่ได้กินอาหารที่มีสีดำ หรืออาหารประเภทเนื้อสัตว์ แต่ปรากฏว่า เมื่อถ่ายอุจจาระออกมา พบว่า มีสีดำ เหลว และมีกลิ่นคาว มีลักษณะคล้ายยางมะตอย สันนิษฐานได้ว่าอาจมีแผลในกระเพาะอาหารส่วนต้น และอาจพบได้ในกรณีผู้ที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก และมีภาวะเลือดไปออกที่กระเพาะอาหาร รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารก็มีโอกาสที่จะถ่ายอ อกมาเป็นอุจจาระใน ลักษณะนี้ได้

“สีดำของอุจจาระประเภทนี้มักเกิดจาก ความผิดปกติที่เลือดออกและเลือดดังกล่าวถูกย่อยก่อนท ี่จะถ่ายออกมา ทำให้มีสีดำ แต่ถ้าถ่ายออกมาแล้วอุจจาระเป็นสีดำแดง สันนิษฐานว่า มีบาดแผลหรือมีเลือดออกที่บริเวณทางเดินอาหารส่วนล่า ง เลือดจึงยังไม่ถูกย่อยและมีสีแดงปนมาในอุจจาระ”

นพ.รัชวิชญ์ ยังได้กล่าวถึงสีที่ผิดปกติของอุจจาระอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ “สีซีด” ซึ่งเกิดจากภาวะการอุดตันของท่อน้ำดี มักเจอในผู้ที่เป็นมะเร็งตับอ่อนหรือมะเร็งท่อน้ำดี วิธีสังเกตความซีดนั้นคือต้องซีดจนสีคล้ายสีของ “เผือก”

“เราสามารถสังเกตสุขภาพร่างกายของเรา ได้อย่างคร่าวๆ อีกทางผ่านการสังเกตอุจจาระ ซึ่งหากพบความผิดปกติ เช่น มีสีดำเหลวเหมือนยางมะตอย หรือซีดเหมือนเผือก แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัย หากพบอาการผิดปกติจะได้รักษาได้ทันท่วงทีครับ”



นพ.รัชวิชญ์ ทิ้งท้ายด้วยว่า ในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้ 1-1.5 ลิตร จะช่วยให้ท้องไม่ผูก ถ่ายอุจจาระได้ง่าย หากดื่มน้ำไม่พอ ร่างกายจะดึงน้ำในอุจจาระกลับเข้าสู่ร่างกาย ทำให้อุจจาระแข็ง และควรกินอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ควรฝึกร่างกายให้ถ่ายอุจจาระเป็นประจำทุกเช้า
“แนะนำว่าควรหาอะไรรับประทาน สักนิดหนึ่งในตอนเช้า จากนั้นลองไปนั่งห้องน้ำดู เพราะช่วงเวลาที่ลำไส้บีบตัวได้ดีที่สุดของวันคือช่ว งเช้าหลังจากรับประทาน อาหารเช้าเข้าไป การรับประทานอาหารเช้าหรืออาหารรองท้องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนเข้าห้องน้ำสัก 5-10 นาที จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้การบีบตัวของลำไส้มีประสิทธิภา พดียิ่งขึ้น” อายุรแพทย์หนุ่ม กล่าวสรุป
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #189 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 10:08:06 PM »

"เครื่องดื่มน้ำนางเอก"



                  หลายคนต้องนึกถึงเครื่องดื่มของนางเอกหนัง ที่จินตนาการว่าผู้ดื่มเป็นคนดี ซื่อใส เมตตา ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร เครื่องดื่มที่ว่านี้ จะไม่มีแอลกอฮอล์ รสนุ่มนวล ไม่จัดจ้าน เป็นประเภทน้ำผลไม้ยอดนิยม นั่นคือ น้ำส้ม เราลองมาพิจารณาน้ำส้มมีผลดีและเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างไร

     น้ำส้ม สด 1 แก้ว ต้องใช้ผลส้มประมาณ 3-10 ผล ขึ้นอยู่กับขนาดของผลส้มและประเภทของเครื่องคั้น ผลส้มเขียวหวานขนาดกลาง (ขนาด 10 ผลมีน้ำหนักประมาณ 1 กิโล) คั้นด้วยมือ จะใช้ผลส้ม 4 ผล ให้ได้น้ำส้มสด 1 แก้ว น้ำส้มสด 1 แก้วจึงมีคุณค่ามาก มีสารอาหารมากเป็น 4 เท่าของส้ม 1 ผล มีวิตามินซีในปริมาณเพียงพอต่อร่างกายในหนึ่งวันเลยทีเดียว ซึ่งจะช่วยในการดูดซึมของธาตุเหล็ก และกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย ได้แคลเซียมประมาณร้อยละ 20 ของความต้องการต่อวัน มีเบตา-คาโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายได้ มีกรดอินทรีย์ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมเกลือแร ่ในอาหาร

ประโยชน์ที่ร่างกายได้รับ

 คุณค่าทางอาหาร : มีวิตามินเอมากช่วยบำรุงสายตา นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ฟอสฟอรัสและวิตามินซี ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

คุณค่าทางยา : ป้องกันโรคโลหิตจาง ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน

กลุ่มนักวิจัยเชื่อว่าการที่น้ำส้มคั้นมีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำมะนาวในการยับยั้งการเกิดโรคนิ่วในไต ทั้งๆ ที่เครื่องดื่มทั้ง 2 นั้น มีปริมาณของสารซิเตรตใกล้เคียงกัน อาจเป็นผลมาจากส่วนประกอบอื่นที่แตกต่างกันในน้ำผลไม้ทั้ง 2 ชนิด โดยการดื่มน้ำมะนาวนั้น จะได้รับทั้งสารซิเตรตและไฮโดรเจน (hydrogen ion) ที่สามารถขัดขวางการทำงานของสารซิเตรตในการที่จะลดภาวะความเป็นกรดของปัสสาวะ ขณะที่การดื่มน้ำส้มคั้นจะได้ทั้งสารซิเตรต และโพแทสเซียม (potassium ion) ที่ไม่มีผลต่อการทำงานของสารซิเตรต ทำให้น้ำส้มคั้นอาจกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต

     แต่สิ่งที่พบในผลส้ม แต่ในน้ำส้มคั้นมีน้อยกว่า ก็คือ เส้นใยอาหาร และที่น่าสนใจคือ น้ำส้ม สด1 แก้ว มีความหวานของน้ำตาลเท่ากับ 32 กรัม หรือเทียบประมาณ 6 ช้อนชา (ปริมาณที่แนะนำ ควรได้น้ำตาลในปริมาณไม่เกิน 20-30 กรัมในหนึ่งวัน หรือ 4-6 ช้อนชา) และให้พลังงานประมาณ 150 กิโลแคลอรี ในขณะที่ผลส้มสด 1 ผลขนาดกลางให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี

     ทราบอย่างนี้แล้ว ดื่มน้ำส้ม สดจะได้คุณค่ามากดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่พึงระวังน้ำตาลและพลังงาน ถ้าท่านมีอายุ 35 ปีขึ้นไป มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานต้องพิจารณาปริมาณน้ำส้มที่ดื่ม และต้องรับประทานอาหารอื่นให้ได้สมดุล พลังงานและน้ำตาล ที่ได้รับต่อวันด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 18, 2011, 10:11:43 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #190 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 10:30:05 PM »

เทคนิคคลายเครียด

ปัจจัยทางจิตวิทยา ได้รับการยอมรับว่า มีความสำคัญต่อการแพทย์ ตั้งแต่สมัย Hippocrates ดังได้มีประมาณการว่า 60% ของผู้ป่วยที่พบแพทย์ มีสาหตุเบื้องต้นทางอารมณ์ มากกว่าทางกายจริงๆ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้ ก็ใกล้เคียงกับประมาณการในปัจจุบัน ที่พบ ประมาณ 50-80% ดังนั้น ไม่ว่าผู้ป่วยจะมาด้วยโรคอะไร การให้การดูแลทางด้านจิตใจ ก็จะช่วยให้ผลการรักษา เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

การรักษาด้านจิตใจ มีวิธีการหลายแบบ ทั้งแบบเรียบง่าย เช่น การให้กำลังใจ และแบบที่มีขั้นตอนซับซ้อน และต้องระมัดระวัง เช่น การรักษาทางยา หรือช๊อกไฟฟ้า นอกจากนั้น ยังมีการรักษาอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องใช้ทั้งยา และการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า แต่จะให้ความสำคัญกับการฝึก ให้ผู้ป่วยแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ไม่พึงปรารถนา ให้กลับมาดำเนินชีวิตได้ อย่างมีความสุขด้วยตนเอง ซึ่งเรียกว่าพฤติกรรมบำบัด การทำพฤติกรรมบำบัด จะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วย 2-3 เรื่อง คือ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และการทำ biofeedback ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

หลักการทั่วๆ ไปในการสร้างความผ่อนคลายด้วยตนเอง

คุณสามารถทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้ ด้วยวิธีมุ่งความสนใจไปที่กล้ามเนื้อแต่ละกลุ่ม ให้เกร็งให้แน่น แล้วค้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วจึงค่อยๆ คลายออก การเกร็งเต็มที่แล้วคลายออก จะทำให้คุณรู้สึกหนักและอบอุ่น เพราะคลื่นบางๆ ของกระแสเลือด จะเคลื่อนไหวไปยังอวัยวะส่วนนั้นๆ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว คุณก็รู้สึกผ่อนคลายสบาย ข้อสำคัญ ต้องไม่เร่งการเกร็งกล้ามเนื้อ ส่วนที่กำลังมีความเครียดให้แน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เป็นตะคริวได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเกร็ง ปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อส่วนคอ วิธีการแก้ไขก่อนจะทำการผ่อนคลาย คือ นวดเบาๆ ให้กล้ามเนื้อคลายตัวลงก่อน

การเริ่มต้นทำที่ง่ายที่สุด มักจะนิยมให้เกร็งนิ้ว ไม่ใช่ฝ่ามือ เกร็งทั้ง 2 ข้างพร้อมๆ กัน นับในใจ ช้าๆ ถึง 10 แล้วค่อยๆ คลายมือออก ให้ดูเหมือนกลีบดอกไม้ค่อยๆ บาน ให้อยู่กับความรู้สึกอบอุ่น สบาย เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว หลังจากเกร็งมาระยะหนึ่งแล้ว ต่อไปจึงทำที่กล้ามเนื้อกลุ่มอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน เช่น ที่แขน ให้เกร็งแขนค้างไว้ 10-20 วินาทีแล้วคลายออก

ตัวอย่างวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อวัยวะต่างๆ

ไหล่
 - จินตนาการว่ามีเชือกผูก ที่ไหล่ทั้งสองของคุณ เชือกนั้นๆ ค่อยๆ ดึงไหล่ของคุณให้ยกสูงขึ้นๆ ทีละน้อย จนกระทั่งใกล้ติ่งหูมากที่สุด  
 - เอาละปล่อยเชือกลง ให้ไหล่ลงมาอยู่ตามปกติ แล้วจึงดึงเชือกให้ดึงรั้งไปข้างหลัง จนคุณรู้สึกเกร็งที่ส่วนหลังค้างไว้ แล้วค่อยๆ ผ่อนเชือก จนกระทั่งไหล่ทั้ง 2 ของคุณกลับคืนสู่สภาพปกติ  
 - ต่อไปให้ห่อไหลทั้ง 2 ไปข้างหน้า โดยแขนทั้ง 2 เหยียดเกร็ง ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วจึงปล่อยลง
ขาอ่อน
 - ให้เท้าทั้ง 2 กดลงกับพื้นให้แน่นที่สุด จนรู้สึกเกร็งตลอดขา  
 - ยกขาทั้ง 2 ขึ้นจากพื้น ยืดตรงเข่าไม่งอ กระดกนิ้วเท้าให้ชี้ขึ้นสูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ เกร็งค้างไว้....ปล่อยลง  
เท้า - น่อง
 - เอาปลายเท้าทั้ง 2 กดพื้นไว้ แล้วยกส้นเท้าให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้เกร็งค้างไว้...ปล่อยลง
 - กดส้นเท้าไว้กับพื้น กระดกเท้าขึ้นให้มากที่สุด เกร็งค้างไว้ ......ปล่อยลง  
ก้น  
 - ขมิบเกร็งก้น จนรู้สึกเหมือนนั่งสูงขึ้น ค้างไว้....ปล่อยลง  
หลัง
 - แอ่นตัวไปข้างหน้ามากที่สุด จนตัวโค้งเหมือนคันศร เกร็งค้างไว้....ปล่อย  
กระเพาะลำไส้  
 - แขม่วหน้าท้องให้มากที่สุด จินตนาการว่ากระเพาะลำไส้ เข้าไปใกล้กระดูกสันหลัง มากที่สุดเกร็งไว้.....ปล่อยลงตามปกติ  
หน้าอก
 - เอาฝ่ามือทั้ง 2 ประกบกันข้างหน้าอก แล้วดันเข้าหากันช้าๆ จนแน่นที่สุดเกร็งค้างไว้....ปล่อย  
ใบหน้า - ศีรษะ
 - เลิกคิ้วให้สูงสุด เหมือนคุณประหลาดใจเต็มที่ ค้างไว้......ปล่อย  
 - ยิ้มกว้างๆ ที่สุดจนเห็นฟันมากที่สุด เท่าที่คุณไม่เคยเป็นมาก่อน ค้างไว้...ปล่อย..กดคางลงให้เข้าใกล้หน้าอก ให้มากที่สุด ค้างไว้....ปล่อยคืนที่  
คอ  
 - เกร็งกล้ามเนื้อคอ ยื่นส่วนใบหน้าไปข้างหน้า ค่อยๆ หมุนศีรษะช้าๆ ตามเข็มนาฬิกา 1 รอบ ทวนเข็มนาฬิกา 1 รอบ

การนำไปใช้

เมื่อเกิดภาวะสงบหรือผ่อนคลาย คุณจะพร้อมที่จะรับคำแนะนำต่างๆ ดังนั้น ช่วงนี้จึงควรพูดกับตัวเอง ถึงสิ่งที่ต้องการให้ตัวเองเป็น หรือจดจำ เพราะมันจะค่อยๆ แทรกตัว เข้าไปสู่จิตใจใต้สำนึกของคุณในที่สุด

ตัวอย่างคำพูด

  1.   จิตใจฉันสงบเยือกเย็นขึ้นทุกวัน
  2.   ฉันยอมรับสภาพของตัวเอง ทั้งในด้านร่างกาย และอารมณ์ความรู้สึก  
  3.   เมื่อเกิดความเครียด ฉะนั้น สามารถผ่อนคลายลงได้ด้วยตนเอง  
  4.   ฉันสามารถพูดคุยกับเจ้านาย หรือคนแปลกหน้าได้เหมือนปกติ  
  5.   ฉันเป็นคนดี และสามารถให้ความรักกับคนอื่นๆ ได้  
  6.   ฉันสามารถเลิกคิดเรื่องไร้สาระ หรือสิ่งไม่ดีต่างๆ ได้  
  7.   ฉันเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ  
  8.   สมาธิและความจำของฉันดีขึ้นทุกวัน  
  9.   ฉันมีความอดทนต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ดี  
  10.   ฉันไม่กลัวสิ่งที่คนอื่นๆ ส่วนมากไม่กลัวกัน  

ทำไมวิธีการผ่อนคลายจึงได้ผล

จากที่กล่าวมาแล้วว่า ความคิดมีผลต่ออารมณ์ และปฏิกิริยาทางร่างกาย ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนการคิดกังวล กับเรื่องที่ทำให้ไม่สบายไปสู่สิ่งดีๆ หรือทำการผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกาย ก็จะช่วยให้เกิดภาวะสมดุลขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องของการรับรู้ความคิด การได้ยิน ตลอดจนการทำงานของต่อมไร้ท่อ เมื่อหลอดเลือดขยายตัว ปริมาณโลหิตที่ไหลเวียนไปยังอวยวะต่างๆ ก็มีมากขึ้น มีอ๊อกซิเจนมากขึ้น ขจัดกรดแลคติกไปได้มากขึ้น ความตึงตัวของกล้ามเนื้อก็ลดลงไป ความผ่อนคลาย สงบ สบาย ก็เข้ามาแทนที่ นอกจานั้นการผ่อนคลาย ยังมีประโยชน์ ดังต่อไปนี้ คือ

  1. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ยังช่วยลดการเร้าอารมณ์ ในระบบประสานส่วนกลาง ทำให้ระบบสมองส่วนลิมปิค (limbic) ถูกกระตุ้นน้อยลง ความเครียดทางอารมณ์ จึงลดลงไป และก็จะรู้สึกดีขึ้น ทั้งจิตใจและร่างกาย  
  2. ภาวะผ่อนคลาย จะทำให้คุณกลับสู่ปกติ ทั้งร่างกายและจิตใจ รู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งแจ่มใส สามารถรู้เท่าทัน กับปฏิกิริยาของตัวเอง เมื่อเกิดความเครียด และคิดแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหานั้นๆ ได้อย่างมีเหตุผล และมีประสิทธิภาพต่อไป  
  3. จะเห็นได้ว่า การจัดการกับความเครียด ด้วยการใช้เทคนิคผ่อนคลายนี้ จึงเป็นบันไดขั้นแรก ที่จะเตรียมตัวให้พร้อม กับการที่จะเริ่มต้นติดแก้ปัญหาที่มีอยู่ อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง นอกจากนั้น ยังเป็นวิธีการที่จะช่วยเหลือขจัดโรค อันเนื่องมาจากความเครียดต่างๆ ด้วย ข้อสำคัญที่สุด วิธีผ่อนคลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกผ่อนคลายคล้ามเนื้อ การสร้างจินตนาการถึงสถานที่พิเศษ การทำสมาธิ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทำได้สะดวก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ประกอบ ดังนั้น ใครๆ ก็ทำได้ไม่ว่าจะมีฐานะ หรือยากจน สิ่งสำคัญมีอยู่เพียงว่าวิธีการต่างๆ ที่จะใช้ ควรเลือกให้เหมาะกับตัวเอง ทั้งนี้ เนื่องจากบางวิธีอาจจะไม่เหมาะ กับคนที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างอยู่ก่อนแล้วก็ได้ ถ้าจะได้ดี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่า ตนเองจะทำวิธีที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ก็จะได้ประโยชน์สูงสุด
 

รศ. พญ. กนกรัตน์ สุขะตุงคะ
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
 
        
    แหล่งข้อมูล : Siriraj E-Public Library - www.si.mahidol.ac.th
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #191 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 10:34:40 PM »

ัอารมณ์ขันบำบัด

ในเวลาในแต่ละวันที่ผ่านไป หลายคนมีความสุขจนล้นเหลือ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ดูจะไม่ค่อยมีความสุขเลย สาเหตุที่ทำให้ไม่มีความสุขนั้น มาจากหลายสาเหตุ แต่ก็มีอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เป็นอย่างนั้นได้นั่น คือ "ความเครียด" และวิธีคลายเครียดอีกวิธีหนึ่งก็คือ กรมีอารมณ์ขัน ถ้าวันๆ คุณไม่ได้หัวเราะกับใครเขาเลย นั่นแหละค่ะคุณกำลังป่วยอยู่นะคะ และจงเปลี่ยนเถอะค่ะ เพราะอารมณ์ขันถูกพิสูจน์แล้วว่า เป็นยาวิเศษที่ช่วยบกบัดโรคได้

นายแพทย์ Normal Cousins เป็นคนแรกที่เขียน เกี่ยวกับการอาการป่วย ankylosing spondlitis ของเขา ซึ่งทำให้เขาเจ็บปวด เนื่องจากเนื้อเยื่อกระดูกสันหลัง ที่เชื่อมโยงกันผิดปกติไป โรคนี้พบได้น้อยมาก และเขาได้ทดลองใช้ อารมณ์ขันในการบำบัดตัวเอง เขาพบว่า หลังจากหัวเราะงอหายอยู่สัก 15 นาที จะช่วยให้เขาลดความเจ็บปวดลงได้ ถึง 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ ตัวอย่างเลือดยังแสดงผลว่า การอักเสบลดลงด้วย แล้วในที่สุดเขาก็หายป่วย จนกระทั่งเขา เผยแพร่เรื่องนี้ในบทความอันโด่งดังชื่อ "Anatomy of an illness"

หลังจากนั้น มีการศึกษาเรื่องอารมณ์ขัน ช่วยบำบัดอาการป่วยอย่างกว้างขวาง จนทุกวันนี้ ความสนใจเรื่องผลกระทบ จากอารมณ์ขันรุดหน้าไปมาก และจัดเป็นความรู้หนึ่งในสาขา Psychoneuro-immunology ซึ่งศึกษาเรื่องปัจจัยทาง จิตวิทยา สมอง และระบบภูมิชีวิตที่ตอบสนองต่อสุขภาพ

ในอินเดียถึงขนาดมีการตั้ง "ชมรมหัวเราะ" ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคน จะมาพูดคุยและหัวเราะกันในตอนเช้า ข่าวว่ากิจการ ของชมรมได้ผลดีมาก จนกระทั่งดังพอๆ กับชมรมโรตารี่ของอเมริกาเชียวละ

การหัวเราะเป็นภาษาสากล และเป็นการติดต่อทางอารมณ์ด้วย (สังเกตดูว่าเวลาเห็นคนอื่นหัวเราะ คุณมักจะ หัวเราะตาม) การหัวเราะเป็นความสนุกสนานโดยธรรมชาติ ทำให้ผู้คนหันหน้าเข้าหากันพูดคุยกัน ทำลายกำแพงเฉพาะตัว และที่ดีที่สุดคือ การหัวเราะไม่มีผลข้างเคียง ที่ทำความเสียหายใดๆ ต่อร่างกายเลย

มาดูว่าอารมณ์ขันและการหัวเราะ มีผลอย่างไนต่อร่างกายเรา (จากหลักฐานที่มีการพิสูจน์แล้ว)

  • ความดันโลหิตลดลง 
  • ฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดลดลง ขณะเดียวกันการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ก็เป็นปกติ 
  • กระตุ้นระบบภูมิชีวิต (Immune system) ทำให้ T-celll ซึ่งเป็นทหารประจำตัว คอยกำจัดเชื้อโรคเพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงแอนติบอดีอื่นๆ ในร่างกายด้วย 
  • คลายความเจ็บปวด อารมณ์ขันทำให้ผู้ป่วยลืมความเจ็บปวด และยังกระตุ้นการสร้างเอนดอร์ฟินในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับปวดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว 
  • กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ขณะที่คุณหัวเราะ กล้ามเนื้ออื่นๆ ที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการหัวเราะ จะผ่อนคลาย และเมื่อ หยุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการหัวเราะ ก็จะผ่อนคลาย เป็นการทำงานสองขั้นตอนเชียวนะ 
  • หายใจดีขึ้น การหัวเราะบ่อยๆ ทำให้ปอดโล่ง หายใจได้ลึกขึ้นดีมากๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจ 

นอกจากนี้ การหัวเราะทำให้เรารู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่ คนที่สามารถสร้างอารมณ์ขัน และหัวเราะได้ ในยามที่ต้อง เผชิญสถานการณ์ที่เลวร้าย เช่น ป่วยด้วยโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ว เป็นต้น นับว่าเป็นความกล้าหาญ และจะทำให้ผู้นั้น รู้สึกถึงพลังในตัวเอง นอกจากให้ผลดีทางกาย อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น ผู้ป่วยยังคลายความเศร้าหมอง และช่วยเปิดทัศนคติในการมองโลก ด้วยแง่มุมที่กว้างขึ้น และเป็นไปในทางบวก

ทันทีที่คุณคิดถึงเรื่องโจ๊ก ตลกโปกฮา สมองซีกซ้ายจะเริ่มทำหน้าที่ คิดวิเคราะห์จัดสรรถ้อยคำ ต่อมาสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารมณ์ จะเริ่มตอบสนองโดยพลัน ชั่วครู่สมองซีกขวา จะร่วมปะติดปะต่อเรื่องราวพริบตาเดียว คลื่นสมองจะเพิ่มขึ้น และแพร่ขยายไปทั่วบริเวณของสมอง ก่อนที่จะเล่าเรื่องโจ๊กนั้นออกมาเสียอีก แล้วในที่สุด ก็ระเบิดเป็นการหัวเราะนั่นเอง

อารมณ์ขัน จึงทำให้สมองแทบทุกส่วน ได้ทำงานประสานกันยิ่งกว่ากิจกรรมหลายๆ อย่างที่ทำกันเสียอีก ฉะนั้น เวลาไปเยี่ยมคนไข้ครั้งต่อไป แทนที่จะมัวจับเจ่า พาให้คนไข้เศร้าไปด้วย โดยไม่ได้ประโยชน์อะไร จงเปลี่ยนมาหัวเราะ ร่วมกับเขาดีกว่า ถึงใครจะว่าผิดกาลเทศะ แต่คู้รู้นี่ว่า คนไข้กำลังได้รับยาวิเศษ
   
       


แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสารเกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 20
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #192 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2011, 10:43:11 PM »

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ที่มีค่าและเป็นสุข

บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน
ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี
ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต

บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ
ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้


บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ

โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ

  1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน
  2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน
  3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา
  4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น  
   
      
แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสารเกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 68
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #193 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2011, 08:48:29 PM »

ความงามกับการออกกำลังกาย (Beauty and Fitness)
จัดเวลาให้การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของคุณ




การเพิ่มการเผาผลาญพลังงานโดยการบริหารร่างกาย
ถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก คุณจะต้องรับประทานอาหารให้น้อยลงหรือไม่ก็ออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นในแต่ละวัน คุณไม่จำเป็นจะต้องจดตารางการออกกำลังกายลงในสมุดบันทึกของคุณ เพียงแค่คุณเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเพียงเล็กน้อย คุณก็จะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในครั้งต่อไปเวลาที่คุณอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีแต่กระจกอยู่รอบๆตัว

และนี่คือเคล็ดลับที่จะทำให้คุณมีรูปร่างที่ดีขึ้น
1. การใช้บันไดเป็นประจำ ถ้าคุณเปลี่ยนจากการใช้ลิฟท์เป็นการใช้บันไดเพียงสองสามเดือน หรือเพิ่มการใช้บันไดจากวันละห้าครั้งเป็นยี่สิบห้าครั้ง การใช้ออกซิเจนจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 8.6% และไขมันในร่างกายจะลดลง 2 %

2. หาวิธีที่จะทำให้คุณสนุกกับการเดินมากขึ้น คุณอาจจะเพิ่มเพลงใหม่ๆในไอพอต ไม่ว่าจะเป็นเพลงโอเปร่าที่เร้าใจหรือเพลงป็อบที่คุณชื่นชอบก็ล้วนแต่ทำให้ร่างกายของคุณสดชื่น การฟังเพลงจะทำให้คุณลืมไปว่ากำลังเดินอยู่และยังทำให้คุณเดินเร็วขึ้นตามจังหวะเพลงอีกด้วย

3. ทำความสะอาดบ้านให้บ่อยขึ้น คุณรู้ไหมว่าการดูดฝุ่นเพียง15นาทีร่างการจะเผาผลาญพลังงานได้58 แคลอรี่

4. อย่าอยู่นิ่ง ขึ้นไปบนฟลอร์เต้นรำแล้วก็เต้นให้สุดเหวี่ยงไปเลย

5. ยืนให้บ่อยขึ้น เวลายืนร่างกายจะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าตอนที่เรานั่งถึง36แคลอรี่ต่อชั่วโมง

6. ดื่มน้ำให้มากขึ้น เมื่อดื่มน้ำมากขึ้นคุณจะต้องเดินไปเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราต้องใช้พลังงานมากขึ้น ผลพลอยได้อีกอย่างหนึ่งคือน้ำจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวเวลาที่คุณอยู่ในห้องปรับอากาศอีกด้วย



ที่มาข้อมูล : วี สลิม บิวตี้ สปา (Vie Slim Beauty Spa)




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #194 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2011, 08:55:37 PM »

แตงโม-สตรอว์เบอร์รี่ ฟื้นผิวหลังซัมเมอร์
สัปดาห์นี้เตรียมสูตรเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากผลไม้ สรรพคุณช่วยฟื้นบำรุงผิวพรรณ เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งกลับจากทริปท่องเที่ยวช่วงวันหยุดฤดูฮอต ที่แม้จะสนุกแต่ผิวพรรณคงแห้งกร้านและเปลี่ยนสีไป


สูตรนี้ต้องใช้ แตงโม ผลฉ่ำหวาน เป็นแหล่งรวมเบตาแคโรทีน กับวิตามินเอที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ และทำความสะอาดผิว ให้ดูเปล่งปลั่ง ทั้งยังมีวิตามินซีกันโรคหวัด และโพแทสเซียมที่ช่วยคลายความเครียด

อีกอย่าง คือ สตรอว์เบอร์รี่ อุดมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก ไบโอติน แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส คลอรีน โซเดียม และกำมะถัน ที่มีสรรพคุณบำรุงผิวพรรณเช่นกัน




ส่วนผสมควรเตรียมตามส่วนต่อไปนี้...
แตงโม 2 ถ้วย
สตรอว์เบอร์รี่ 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ ล้างทำความสะอาดแตงโมและสตรอว์เบอร์รี่ จากนั้นหั่นผลไม้ทั้งสองชนิดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดพอประมาณ ไม่ต้องเลาะเอาเมล็ดออก จากนั้นปั่นพร้อมกันด้วยเครื่องปั่นพอแหลก แล้วจึงเติมน้ำแข็งป่นลงไป ไปต่อจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี เทใส่แก้วแล้วดื่มทันที

หากปั่นน้ำแตงโม-สตรอว์เบอร์รี่ ตามสูตรข้างต้นแล้วดื่มเป็นประจำ พร้อมทั้งไม่ลืมดื่มน้ำสะอาด นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และทาครีมบำรุงผิวอีกแรง ไม่นานผิวพรรณก็จะกลับมานุ่มเนียน ชุ่มชื่นอย่างเคย.


ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com


ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: