Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 75483 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #195 เมื่อ: มิถุนายน 22, 2011, 09:22:48 PM »

ยาที่ควรมีไว้ประจำบ้าน
ภญ. ศุภศิล สระเอี่ยม
ฝ่ายเภสัชกรรมโรงพยาบาลรามาธิบดี

 ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณ ซึ่งกำหนดชนิดของยา สรรพคุณ วิธีใช้ ขนาดบรรจุของยา และคำเตือนหรือข้อแนะนำ ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ให้ใช้สำหรับการบำบัดรักษาอาการของโรค ในกรณีที่มีการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ สำหรับตนเองหรือบุคคลในครอบครัว
 
การเก็บรักษายา

ตู้ยาประจำบ้าน ควรจัดเก็บยาให้เป็นระเบียบ เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้ และให้ยาคงมีสภาพดีอยู่เสมอ
1. แยกเก็บยาสำหรับรับประทาน และยาใช้ภายนอก
2. ยาที่เก็บต้องมีฉลากถูกต้อง ไม่เลอะเลือน
3. เก็บยาไว้ในตู้ให้พ้นมือเด็ก
4. ควรเก็บยาไว้ในที่แสงแดดส่องไม่ถึง ห่างไกลจากความร้อนชื้น ตลอดจนเปลวไฟ
5. อย่าเก็บยาฆ่าแมลง ยาเบื่อหนู หรือสารพิษอื่นๆไว้ในตู้ยา เพราะอาจมีใครหยิบผิด ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้น

   ข้อแนะนำในการใช้ยารักษาตนเอง

1. ถ้าต้องการใช้ยารักษาตนเอง ควรมีความรู้เรื่องยานั้นดีพอ และควรใช้เฉพาะในช่วงระยะเวลาอันสั้น หากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์
2. ในกรณีที่สงสัยว่าแพ้ยา ควรหยุดยาทันที และรีบไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร อย่าเปลี่ยนยาเอง
3. อย่าใช้ยาซึ่งไม่มีฉลากระบุตัวยา และวิธีการใช้ยา
4. อย่าหลงเชื่อคำแนะนำจากผู้ที่ไม่มีความรู้เรื่องยาดีพอเป็นอันขาด
5. ในกรณีต่อไปนี้ อย่ารักษาตนเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
 กำลังกินยาชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ก่อนหน้าเป็นประจำ เช่น ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขข้ออักเสบ ฯลฯ
 อาการของโรคนั้นรุนแรงหรือเรื้อรัง
 มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหืด เบาหวาน ฯลฯ
 กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมลูก
 ในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และในคนชราอายุเกิน 60 ปี
 
หวัด และแพ้อากาศ

 หวัด เกิดจากเชื้อไวรัส อาการต่างๆจะหายภายใน 3-4 วัน
 แพ้อากาศ เกิดจากการแพ้สารต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง  เกสรดอกไม้ เชื้อรา ฝ้าย ฯลฯ
การรักษาที่ดีที่สุด คือ การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และดื่มน้ำมากๆ  ควรเลือกใช้ยาที่เฉพาะต่ออาการที่เป็นเท่านั้น

ไม่ควรใช้ยารักษาอาการหวัดและแพ้อากาศด้วยตนเองในกรณีต่อไปนี้

 มีไข้สูง 39  ํC หรือมากกว่า
 มีไข้นานเกิน 3-4 วัน
 มีอาการเจ็บคอ คอแดงมาก
 มีอาการหอบ หายใจเร็ว
 มีผื่นหรือจุดแดงๆ ขึ้นตามตัว
 เป็นโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจ ฯลฯ
 กำลังตั้งครรภ์

แอนตี้ฮิสตามีน (Antihistamine)
คลอเฟนิรามีน (Chlopheniramine)  มีขายในชื่อการค้าว่า ไพริตอน (Piriton)

   วิธีใช้ ผู้ใหญ่ 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง
   เด็กอายุ 6-12 ปี 1/2 -1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง
ฮัยดร็อกซิซีน (Hydroxyzine)  มีขายในชื่อการค้าว่า Atarax ใช้บรรเทาอาการคันและลมพิษ

ข้อควรระวัง

1. ง่วงซึม ปากแห้ง คอแห้ง
2. ผู้ที่มีอาการท้องผูก ปัสสาวะลำบากอยู่แล้ว อาการอาจเป็นมากขึ้น
3. ถ้าให้ยานี้แก่เด็กเล็กๆ อาจทำให้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายได้

ยาแก้แพ้ที่ไม่ง่วง หรือง่วงน้อย

 Astemizol มีขายในชื่อการค้าว่า  ฮิสมานาล (Hismanal)
 Terfenadine มีขายในชื่อการค้าว่า เทลเดน (Teldane)
 
   ยาแก้ไอ

 อาการไอ เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่ไปทำให้เกิดความระคายเคืองต่อหลอดคอและหลอดลม
 ไอแบบแห้งๆ ไม่มีเสมหะ และไอบ่อยๆ
 ไอแบบมีเสมหะและรู้สึกคันคอ


 การใช้ยาระงับอาการไอ จำเป็นต้องรู้ว่า ไอแบบไหน
 ยาแก้ไอน้ำดำ (Brown Mixture)

   ข้อควรระวัง ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี และผู้สูงอายุ
 ยาแก้ไอขับเสมหะสำหรับเด็ก (Ammonium Carbonate and Glycyrrhyiza Mixture)
 เด็กอายุ 6-12 ปี ครั้งละ     2 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง
 เด็กอายุ   3-6 ปี ครั้งละ     1 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง
 เด็กอายุ   1-3 ปี ครั้งละ ครึ่ง ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง
 
  ท้องเดิน

 สิ่งสำคัญในการรักษาอาการท้องเดิน คือ ป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่
อาการขาดน้ำ  ตาโหล ผิวหนังเหี่ยว ปากแห้ง ชีพจรเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อย ลุกนั่งจะรู้สึกหน้ามืด ในเด็กเล็ก กระหม่อมจะบุ๋มและนอนซึม หรือหายใจหอบ ถ้าเป็นมากอาจไม่มีปัสสาวะเลย ชีพจรเบาและเร็ว ความดันต่ำ ตัวเย็น กระสับกระส่าย และช้อค (shock)

ไม่ควรใช้ยาแก้ท้องเดินรักษาตัวเอง ในกรณีต่อไปนี้

1.  อุจจาระมีมูกเลือดปน มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ (คล้ายกุ้งเน่า)
2.  มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง
3.  มีไข้สูงเกินกว่า 38 ํC อ่อนเพลียมาก
4.  มีอาการท้องเดินนานกว่า 48 ชั่วโมง
5.  เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี หรือผู้สูงอายุเกิน 60 ปี
6.  อยู่ในระยะตั้งครรภ์
7.  มีอาการท้องเดินเรื้อรัง
 ความผิดปกติของระบบขับถ่าย
 โรคติดเชื้อเรื้อรัง
 มะเร็งทางเดินอาหาร
 การย่อยอาหารผิดปกติ

ผงน้ำตาลเกลือแร่ชนิดกิน (Oral Rehydration Salts) หรือ โอ อาร์ เอส
น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ เกลือครึ่งช้อนชา ในน้ำสุก 1 ขวดแม่โขง

ข้อควรระวัง

1. ผู้เป็นโรคไต หรือโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
2. ถ้าผู้ป่วยยังมีอาการขาดน้ำมาก ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
3. เมื่อละลายน้ำแล้ว ไม่ควรเก็บไว้เกิน 24 ชั่วโมง

ยาที่มีคุณสมบัติในการดูดซึมน้ำและสารพิษ
เป็นยาที่เข้าสารบิสธ์มัส (Bisthmus) สารเคาลินและเป็คติน (Kaolin Pectin)
ยาพวกนี้จะไปเคลือบเยื่อบุกระเพาะ ไม่ให้สารพิษต่างๆ ไปกระตุ้นให้เกิดอาการท้องเดิน และดูดซึมน้ำที่ออกจากลำไส้ให้น้อยลง
 ใช้ได้ผลในกรณีที่อาการท้องเดินไม่รุนแรง
ไม่ควรใช้ยานานเกินกว่า 2 วัน

 ห้ามใช้ ในผู้ที่มีกระเพาะอาหารและลำไส้อุดตัน

วิธีใช้    รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ทุก 4-6 ชั่วโมง ตามความจำเป็น

ยาที่ทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยลง
เป็นยาประเภทฝิ่น หรือสารสังเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายฝิ่น มีขายในชื่อการค้าว่า โลโมติล (Lomotil) และอิโมเดียม (Imodium) ใช้ในการระงับอาการท้องเดินที่เป็นค่อนข้างมาก

ข้อควรระวัง

1. ยาประเภทนี้ หยุดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้เชื้อโรคและสารพิษที่อยู่ในทางเดินอาหาร อยู่ในร่างกายนานขึ้น ทำให้เกิดพิษได้
2. ถ้าใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ติดยาได้
3. ห้ามใช้ยานี้ในเด็กเล็ก เพราะอาจมีผลไปกดศูนย์การควบคุมการหายใจ ทำให้หยุดหายใจได้
 
 ยาแก้ปวด ลดไข้

แอสไพริน (Aspirin)
  วิธีใช้  ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง
   ให้รับประทานหลังอาหารทันที และดื่มน้ำตามมากๆ

ข้อควรระวัง

1. ห้ามใช้ใน เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และหญิงมีครรภ์ในระยะใกล้คลอด
2. ห้ามใช้ในผู้ป่วยไข้เลือดออก
3. ห้ามใช้ในผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคแผลในระบบทางเดินอาหาร และโรคหอบหืด
4. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเลือดไหลแล้วหยุดยาก
5. ในผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะแพ้ยา หรือมีอาการแทรกซ้อนจากยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และได้ยินเสียงในหู ให้หยุดใช้ยาทันที
พาราเซตามอล (Paracetamol)
ชนิดเม็ด ขนาดเม็ดละ 500 มก. และ 325 มก.
ชนิดน้ำเชื่อมสำหรับเด็ก ขนาดยา 120 มก. ต่อช้อนชา
 เด็กอายุ 3-6 ปี ครั้งละ    1 ช้อนชา ทุก 4-6 ชั่วโมง
 เด็กอายุ 1-3 ปี ครั้งละ ครึ่ง ช้อนชา ทุก 4-6 ชั่วโมง

ข้อควรระวัง

1.  ไม่ใช้ติดต่อกันนานเกิน 5 วัน เนื่องจากอาจมีพิษต่อตับได้
2.  ไม่ใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
 วิธีลดไข้
 เช็ดตัวบริเวณซอกคอ ซอกรักแร้ และขาหนีบบ่อยๆ ประมาณ 15-30 นาที จะช่วยลดไข้ได้เป็นอย่างดี
   ยาช่วยย่อยและยาขับลม

 การป้องกันอาการแน่นท้อง

 ไม่กินอาหารที่ย่อยยาก งดอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในลำไส้ เช่น เนื้อ นม ถั่วต่างๆ น้ำอัดลมทุกชนิด เหล้า เบียร์
 ออกกำลังกายเบาๆ หรือพยายามเคลื่อนไหวร่างกายประมาณ 15-30 นาทีหลังอาหาร
 งดอาหารที่มีรสเผ็ดจัด
 ไม่ควรใช้ยาช่วยย่อยและยาขับลมรักษาตนเองในกรณีต่อไปนี้
 มีอาการดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) หรือสงสัยว่าเป็นโรคถุงน้ำดี โรคตับ
 มีอาการแน่นท้อง เสียดท้อง ท้องอืดเรื้อรัง แม้ว่าได้พยายามป้องกันแล้ว
  1. ยาธาตุน้ำแดง (Mixt. Stomachica)
     คาร์มิเนทีฟ (Mixt. Carminative)
     ซาลอล-เทนทอล (Mixt. Salol Menthol)
     ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร
2. ยาเม็ดที่ดูดแก๊สในทางเดินอาหาร เช่น
           ยาเม็ดผงถ่าน อุลตราคาร์บอน (Ultracarbon)
           ยาเม็ดแฟลตูแลนซ์ (Flatulance)
     ครั้งละ 1-2 เม็ด หลังอาหาร
3. ยาลดกรด  เป็นยาที่ใช้แก้อาการปวดท้อง จุกเสียด แน่น เนื่องจากมีแก๊สหรือกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป หรือใช้รักษาผู้ป่วยด้วยโรคกระเพาะอาหาร หรือลำไส้อักเสบ

 เป็นส่วนประกอบของอะลูมิเนียม ไฮดร็อกไซด์ (Aluminium hydroxide) และแมกนีเซียม ไฮดร็อกไซด์ (Magnesium hydroxide) ผสมอยู่ เช่น แอนตาซิล (Antacil), อะลัมมิลค์ (Alum milk), เกลูซิล (Gelusil)
ยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยาลดกรดได้   เช่น
 ยาถ่ายดัลโคแลกซ์ (Dulcolax) ถ้าให้รับประทานร่วมกับยาลดกรด ทำให้ปวดท้องได้
 ยาเตตราซัยคลิน (Tetracycline) ถ้าให้รับประทานร่วมกับยาลดกรด ทำให้ยาเตตราซัยคลินไม่ออกฤทธิ์ ทำให้การรักษาอาการอักเสบหรือติดเชื้อไม่ได้ผล

ไม่ควรใช้ยาลดกรดรักษาตนเองในกรณีต่อไปนี้

1. อาการเสียดแน่นรุนแรง และมีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หอบแน่น หายใจลำบากร่วมด้วย
2. มีอาการอาเจียนร่วมด้วย หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
   ยาถ่าย ยาระบาย

การป้องกันอาการท้องผูก

1. กินอาหารที่มีกากมาก ประเภทผัก ผลไม้ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายพอสมควรสม่ำเสมอ และไม่กลั้นอุจจาระถ้าไม่จำเป็น
2. ยาบางชนิดมีส่วนทำให้ท้องผูกมากขึ้น เช่น ยาแก้ปวดที่ผสมสารโคเดอีน ยาแก้ปวดท้องบางชนิด เช่น ดอนนาตาล (Donnatal) ยาระงับประสาท เช่น เมลลารีล (Mellaril)

ไม่ควรใช้ยารักษาตนเองในกรณี

1. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องร่วมด้วย
2. กำลังเป็นริดสีดวงทวารหนักในระยะอักเสบรุนแรง
3. มีเลือดออกปนกับอุจจาระ
4. มีอาการท้องผูก สลับกับอาการท้องเดิน
   
อาการคลื่นไส้อาเจียน

ยาเม็ดไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate)  มีชื่อการค้าว่า ดรามามีน (Dramamine)
แผ่นยาแปะหลังหู สโคโปลามีน (Scopolamine)  มีชื่อการค้าว่า สโคโปเดิร์ม (Scopoderm TTS)
วิตามิน บี 6
ยาระบายพารัฟฟิน (Liquid Paraffin Emulsion) ซึมผ่านเข้าปอด ทำให้เกิดอาการปอดบวม
ยาระบายแมกนีเซีย (MOM) ไม่ใช้ในผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ
ยาระบายมะขามแขก (Senna) เซนโนกอต (Senokot) ห้ามใช้ในหญิงให้นมบุตร
ยาผงเมตามิวซิล (Metamucil)
 
ยาถ่ายพยาธิ

ตรวจหาไข่ หรือตัวพยาธิในอุจจาระ
มีเบนดาโซล (Mebendazole) พยาธิตัวกลม
ชื่อการค้า ฟูกาคาร์ (Fugacar) 1 X 2 X 3
 
   วิตามิน

 เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการดำรงชีพโดยปกติสุข
 วิตามิน = วิตา (Vita) + เอมีน (Amine)
1. ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน เอ ดี อี เค
2. ละลายในน้ำ เช่น  วิตามิน บี1 บี2 บี6 บี12 ซี ฯลฯ
ใครต้องการวิตามินเพิ่มเติมบ้าง
1. ขาดอาหาร
      ปลาร้า ขาดวิตามิน บี1
2. หญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร
3. ผู้ที่ได้รับยาบางชนิด
 ยาปฏิชีวนะ
 INH


วิตามิน บีรวม  บี1 บี6 บี12
บี2
ซี
โทษของวิตามิน
วิตามิน เอ มากไป
 ผมร่วง ปวดศีรษะ ตาพร่า ตับโต
 ทารกในครรภ์รูปร่างผิดปกติ
วิตามิน ดี มากไป
 แคลเซียมในเลือดสูง ไตล้มเหลว คลื่นไส้ อาเจียน
   ยาที่ใช้รักษาโรคทางผิวหนัง

หิด เหา โลน

 ขี้ผึ้งกำมะถัน (Sulphur Ointment)  รักษาหิด
อาจเกิดระคายเคืองต่อผิวหนัง ไม่ควรใช้ในเด็กเล็ก
อย่าทาบริเวณหน้า ห้ามถูกตา
ครีมแกมมา-เบนซีน เฮ็กซาคลอไรด์
(Gamma Benzene Hexachloride)
ชื่อการค้า ลอเร็กเซน (Lorexane)
 น้ำยาเบนซิลเบนโซเอท (Benzyl Benzoate)
เขย่าขวดก่อนใช้ยา
เด็กเล็ก ให้แบ่งยาผสมน้ำเท่าตัว
 รักษาหิด
อาบน้ำให้สะอาด ใช้ผ้าหรือแปรงอ่อนๆ ถูตรงบริเวณที่มีผื่นคัน แล้วทายาให้ทั่ว ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง แล้วจึงอาบน้ำ ทำติดต่อกัน 2 วัน
 รักษาเหา โลน
ใส่ยาให้ทั่วศีรษะหรือบริเวณที่มีโลน ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง สระให้สะอาด ทำติดต่อกัน 2 วัน เมื่อครบ 7 วัน ให้ตรวจดูอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังไม่หายให้ทำซ้ำวิธีเดิม
 กลาก เกลื้อน
ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ (Whitfield Ointment)
ทาวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หลังอาบน้ำ ติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์
น้ำยาโซเดียมไธโอซัลเฟท 20-25%
ใช้ภายใน 2 สัปดาห์หลังผสมแล้ว
ทาวันละ 2 ครั้ง จนกว่าจะหาย หลังจากนั้นทาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ประมาณ 2-3 สัปดาห์
ครีมทราโวเจน (Travogen) โทนาฟ (Tonaf)
ดาคทาริน (Dactarin) คาเนสเทน (Canesten)
   
ยาใส่แผล ยาล้างแผล

1. น้ำเกลือ (Normal Saline Solution)
 ล้างแผล ประคบแผล
2. ยาน้ำเยนเชียนไวโอเลต (Gential Violet)
 ฆ่าเชื้อ รักษากระพุ้งแก้มและลิ้นเป็นฝ้าขาว
 ใช้สำลีชุบยาทาวันละ 2-3 ครั้ง
 หยุดใช้ยาทันทีเมื่อเกิดการระคายเคืองหรือแพ้ยา
3. น้ำยาโพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-Iodine Solution)
 ไม่ควรใช้กับผิวหนังที่อ่อนนุ่ม
4. อัลกอฮอล์ 70%
Ethyl Alcohol หรือ Isopropyl Alcohol
 
  ยาหยอดตา ป้ายตา

 ยาหยอดตา ซัลฟาเซตามายด์ (Sulfacetamide Eye Drops)
เป็นยาฆ่าเชื้อโรค รักษาอาการอักเสบของเยื่อบุตาที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
 ยาป้ายตา เตตราซัยคลิน (Tetracycline Eye Ointment)
 ยาหยอดตาที่เป็นอันตราย
1. มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
 Prednisolone, Hydrocortisone, Dexamethasone
 โรคแทรกซ้อน
 เป็นต้อหิน
 สายตามัวลง เลนส์นัยน์ตาขุ่น
 ตาติดเชื้อได้ง่าย
2. มีส่วนผสมของตัวยาที่ทำให้ม่านตาขยาย
 ม่านตาอักเสบ
 รูม่านตาโตขึ้น ตาดำขึ้น
 กระตุ้นให้เกิดต้อหินเฉียบพลันได้




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #196 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2011, 10:15:50 PM »

สมุนไพรขับปัสสาวะ      

อาการขัดเบา

     อาการปัสสาวะลำบาก จำนวนปัสสาวะแต่ละครั้งน้อย ปัสสาวะบ่อยหรือปวดแต่ปัสสาวะไม่ออก ในบางโรคมีอาการปวดท้องน้อย เสียงหรือปัสสาวะขุ่นขาวขุ่นแดงร่วมด้วย สาเหตุของอาการขัดเบามีมาก เช่น หนองใน หนองในเทียม กระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่ว ต่อมลูกหมากโต หรือดื่มน้ำน้อย เป็นต้น
 
    
  นิ่ว

   ก้อนนิ่วแบ่งตามชนิดของสารเคมีที่มีหลายชนิด ที่พบมาก ได้แก่ นิ่งที่เกิดจากหินปูน นิ่วที่เกิดจากกรดยูริค ซึ่งพบว่า 75-85 % ของผู้ป่วยโรคนิ่วเป็นนิ่วหินปูน ขณะที่นิ่วกรดยูริคพบในผู้ป่วย 5-8 % เท่านั้น
   


นิ่วหินปูน
 
พบมากทางภาคเหนือและอีสาน ผู้ป่วยเป็นชายมากกว่าหญิง ช่วงอายุของผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 30-40 ปี สาเหตุเกิดจากน้ำที่ใช้ดื่มเป็นน้ำกระด้าง ทั้งปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันน้อย กินอาหารที่มีแคลเซียมหรือออกซาเลตสูงเป็นประจำ ขาดสารฟอสเฟตซึ่งมีมากในอาหารพวกโปรตีนหรือต่อมพาราทัยรอยด์ทำงานมากเกินไป
   
 
นิ่วกรดยูริค

    พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นกัน ประมาณ 50 % ของผู้ป่วย เป็นโรคเก๊าท์หรือมีประวัติว่าคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเก๊าท์
     ทั้งนิ่วหินปูนและนิ่วกรดยูริคเกิดขึ้นได้ทั้งในไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น
   
 
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
 
มีอาการขัดเบา ปัสสาวะกระปริดกระปรอย ปวดเบ่งเหมือนยังถ่ายปัสสาวะไม่หมด บางครั้งปัสสาวะสะดุด และออกมาเป็นหยด อาจมีปัสสาวะขุ่นแดงหรือขุ่นขาว หรือพบว่ามีก้อนนิ่วหลุดออกมาพร้อมปัสสาวะ ถ้าก้อนนิ่วอุดตันในท่อปัสสาวะ จะทำให้ปวดท้องน้อยมาก ปัสสาวะไม่ออก ถ้าไม่รักษาอาจลุกลามต่อไปเป็นโรคกรวยไตอักเสบและไตวายได้
   

 นิ่วในไต

ไม่มีอาการขัดเบา แต่จะปวดท้องด้านใดด้านหนึ่งอย่างรุนแรง ปวดบิดเป็นพักๆและปวดร้าวไปที่หลัง ต้นขาด้านในด้านเดียวกับท้องน้อยที่ปวด ปัสสาวะใสหรือบางครั้งขุ่นแดงในกรณีนิ่วก้อนโตหลุดเองไม่ได้ ต้องผ่าตัด แต่ถ้าทิ้งไว้ไม่รักษาอาจทำให้มีอาการอักเสบของทางเดินปัสสาวะและไตวายได้เช่นกัน
 

   ถ้าสงสัยว่าเป็นนิ่ว มีอาการปวดท้องดังกล่าว แต่ปวดไม่มาก ให้ดูแลตนเองก่อนดังนี้

1. ดื่มน้ำมากๆ
2. ให้ถ่ายปัสสาวะลงกระโถน สังเกตว่าก้อนนิ่วหลุดมาหรือไม่ โดยเฉพาะนิ่วในไต อาการปวดท้องจะหายทันทีเมื่อนิ่วหลุด แต่อาจมีก้อนใหม่ทำให้ปวดใหม่ได้อีก
3. กินยาแก้ปวดประเภทคลายกล้ามเนือ้เรียบ ซึ่งควรซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำ
4. ถ้าอาการปวดมีมาก หรือกินยาแล้วไม่ทุเลาภายใน 6 ชั่วโมง หรือปวดซ้ำอีกควรส่งโรงพยาบาลทันที


การป้องกันนิ่ว

 1. ดื่มน้ำวันละมากๆ ประมาณวันละ 3-4 ลิตร
2. กินอาหารประเภทโปรตีนในปริมาณพอควร ไม่น้อยจนเกินไป
3. สำหรับประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นที่มีอัตราในการเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะสูงหรือเคยเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ควรงดหรือลดการกินผักที่มีสารออกซาเลตสูง เช่น ผักแพว ผักโขม ช้าพลู ใบมันสำปะหลัง ผักเสม็ด หน่อไม้ ผักกระโดน


     กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

   เป็นภาวะที่มีการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ ส่วนมากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในลำไส้ อาการที่พบจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยและถ่ายออกครั้งละน้อย ขัดเบา แสบ และเจ็บเสียวช่วงใกล้ปัสสาวะเสร็จ ปัสสาวะอาจขุ่นและเหม็น ถ้าเป็นมากปัสสาวะจะเป็นเลือด โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะท่อปัสสาวะสั้น เชื้อผ่านเข้าง่าย สาเหตุเกิดจากการกลั้นปัสสาวะหรือเกิดหลังร่วมเพศ เป็นต้น โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ดี อาจลุกลามไปเป็นโรคกรวยไตอักเสบได้
   

 การรักษา

1. ดื่มน้ำมากๆ
2. ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร


 การป้องกัน

1. ดื่มน้ำมากๆ
2. ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ
3. การอาบน้ำหรือทำความสะอาดร่างกายทุกครั้ง ควรทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศก่อนทางทวารหนัก

  
 สมุนไพรขับปัสสาวะเป็นสมุนไพรที่ทำให้จำนวนน้ำที่ขับออกมาจากร่างกายเพิ่มขึ้นมักนำมาใช้กับอาหารที่ไม่รุนแรง ซึ่งเกิดจากสาเหตุดังนี้ คือ นิ่วขนาดเล็กในไตหรือท่อไต ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคจากแพทย์แผนปัจจุบันและไม่ต้องรักษาโดยวิธีผ่าตัด สมุนไพรขับปัสสาวะจะเพิ่มจำนวนปัสสาวะ ทำให้นิ่วขนาดเล็กหลุดออกมา อาจมีผลในการละลายก้อนนิ่วที่มีอยู่ได้บ้าง ฉะนั้นผู้ป่วยโรคนิ่วทางเดินปัสสาวะที่มีก้อนนิ่วขนาดใหญ่ โดยเฉพาะนิ่วที่อุดตันทางเดินปัสสาวะบริเวณใดบริเวณหนึ่งไว้ ไม่ควรใช้สมุนไพรขับปัสสาวะ เนื่องจากจำนวนปัสสาวะที่เพิ่มไม่สามารถผ่านส่วนที่อุดตันลงมาได้ ในทางตรงกันข้ามจะทำให้แรงดันในไตหรือทางเดินปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น อาการปวดจะเพิ่มขึ้นและอาจเกิดอันตรายได้ ส่วนอาการขัดเบาที่เกิดจากเนื้อไตอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อกามโรคบางชนิด เช่น หนองใน ไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรจำพวกนี้ ควรรักษาที่สาเหตุคือ ใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อ สมุนไพรขับปัสสาวะส่วนใหญ่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ ข้อควรระวังสำหรับการใช้สมุนไพรขับปัสสาวะ คือ สมุนไพรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักมีเกลือโปตัสเซียมหรือโซเดียมค่อนข้างสูง จึงไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและสตรีมีครรภ์

     สมุนไพรในกลุ่มนี้  
   ได้แก่กระเจี๊ยบ ใช้ผงกระเจี๊ยบครั้งละ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) รินเฉพาะส่วนใส ดื่มจนหมดวันละ 3 ครั้ง

     ข้อควรระวัง น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ระบาย อาจทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบมีอาการท้องเสียได้เล็กน้อย

ขลู่ ใช้ต้นสดหรือแห้งทั้งต้น วันละ 1 กำมือ (สด หนักประมาณ 40-50 กรัม ถ้าแห้งหนักประมาณ 15-20 กรัม) ต้มกับน้ำ แบ่งดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง

ชุมเห็ดไทย เมล็ดชุมเห็ดไทยมีสารกลุ่มแอนทราควิโนน ซึ่งมีฤทธิ์ระบาย แม้ขนาดที่ใช้เป็นยาขับปัสสาวะจะน้อยกว่าขนาดที่ใช้เป็นยาระบาย พบว่าบางคนอาจมีอาการท้องเสียร่วมกับฤทธิ์ขับปัสสาวะได้

ตะไคร้ ใช้ต้นสด วันละ 1 กำมือ หหรือหนัก 40-60 กรัม ต้มกับน้ำ 3-4 ถ้วยชา แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75มิลลิลิตร) ก่อนอาหาร หรือใช้เหง้า ฝ่าเป็นแว่นบางๆ คั่วไฟอ่อนพอเหลือง ครั้งละ 1 หยิบมือ ชงกับน้ำ 1 ถ้วยชา รินเฉพาะส่วนใสดื่มจนหมด วันละ 3 ครั้ง เมื่อปัสสาวะคล่องให้หยุดยา

หญ้าคา ใช้รากและเหง้าสดหรือแห้ง วันละ 1 กำมือ (พืชสดหนัก 40-50 กรัม พืชแห้งหนัก 10-15 กรัม) ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว (250 มิลลิลิตร) แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)

หญ้าหนวดแมว ใช้ใบและก้านแห้ง ครั้งละ 1 หยิบมือ (4-5 กรัม) ต้มกับน้ำ 1 ขวดน้ำปลา (750 มิลิลิตร) โดยต้มน้ำให้เดือด ใส้หญ้าหนวดแมวแล้วยกหม้อลงจากเตา ปิดฝาหม้อทิ้งไว้ 15-20 นาที รินเฉพาะส่วนใสดื่ม
   

 ข้อควรระวัง

1. ในการปรุงยา ไม่ควรต้มเคี่ยว จะทำให้กลิ่น รส ไม่ดี ถ้าต้มข้นเกินไปจะมีรสขม ทั้งยังทำให้ผุ้ดื่มได้รับยามากกว่าปกติ อาจมีอาการมึนงง คลื่นไส้ เหนื่อย หายใจผิดปกติ ชีพจรเต้นผิดปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจควรระวังให้มากกว่าเป็นพิเศษ

2. อาจใช้ใบหรือต้นสดต้มกินก็ได้ แต่รสชาติจะเหม็นเขียว จะมีรายงานว่าผู้ที่เคยใช้หญ้าหนวดแมวสดหลายราย รู้สึกคลื่นไส้และใจสั่น ฉะนั้นควรใช้ใบที่ตากแดดจนเป็นสีน้ำตาล ซึ่งนอกจากจะไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวแล้ว น้ำยาจะมีกลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย

3. ควรปลูกและเก็บไว้ใช้เอง เพราะหญ้าหนวดแมวแห้งที่ซื้อจากร้านขายยานั้นมักจะมีใบน้อยแต่มีต้นแก่ปนมามาก และส่วนใหญ่ใบแก่อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง

4. ภายหลังดื่มยาอาจเกิดอาหารระคายคอเล็กน้อยอ้อยแดง ใช้ลำต้นสดหรือแห้ง วันละ 1 กำมือ (ลำต้นสดหนัก 70-90 กรัม หรือใช้ลำต้นแห้งหนัก 30-40 กรัม) สับเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับน้ำจะได้ยารสขมๆหวานๆ แบ่งดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา ( 75 มิลลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2011, 07:46:08 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #197 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2011, 07:42:36 AM »

6 วิธีเพื่อการนอนหลับที่ดี
    


การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด แต่ถ้าคุณนอนไม่หลับอาจมีปัญหาหลายอย่างตามมาในวันรุ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการ อ่อนเพลีย เศร้าซึม ไม่สดชื่น และทำให้เป็นรอยย่นบนใบหน้าได้ ฉะนั้นเรามีวิธีแนะนำให้ท่านดังต่อไปนี้

1. พยายามเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกคืน และตื่นในเวลาเดียวกันทุกเช้า
2. เลือกกิจกรรมสบาย ๆ ที่สามารถทำซ้ำกันได้ในทุกคืน เช่น การอ่านหนังสือหรือการหวีผม เป็นกิจวัตรเพื่อพัฒนาการนอนหลับซึ่งเป็นหนทางให้คุณได้ปรับตัว
3. เลือกเตียงนอนที่ได้มาตรฐาน หมอนสวย ๆ ที่พอดีกับศีรษะ สร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่คุณชอบ จะช่วยให้คุณหลับได้นานและพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
4. ออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายความเครียดในแต่ละวัน เวลาออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือ ช่วงบ่ายอ่อน ๆ หรือก่อนหัวค่ำ แต่ไม่ควรออกกำลังกายก่อนเวลาเข้านอน
5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือเครื่องชูกำลังอื่น ๆ รวมทั้งอาหารมื้อใหญ่ ๆ ก่อนเข้านอน
6. ไม่นำปัญหาหรือเรื่องกลุ้มใจในระหว่างวันมาคิดก่อนเข้านอน แต่ควรนอนพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อให้สมองปลอดโปร่งและคิดแก้ไขปัญหาได้อย่างชาญฉลาดในวันรุ่งขึ้น
เมื่อคุณนอนหลับได้ดีขึ้นและพักผ่อนได้เพียงพอแล้ว ก็ผ่อนคลาดความเมื่อยล้า ทำให้คุณไม่เครียด และมีสุขภาพดีทั้งร่างการและจิตใจ สดใส มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น


ที่มาของแหล่งข้อมูล: http://www.camarcio.co.th

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2011, 07:44:17 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #198 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2011, 07:54:13 AM »

“สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”


Lifebook

๑.   ดื่มน้ำให้มาก

๒.   กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)

๓.  กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน

๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ

๕.  หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ

๖.   เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย

๗.  อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา

๘.  นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้

๙.   นอนวันละ 7 ชั่วโมง

๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะดวก, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน

๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม


นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้

วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้

แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ

๑.  อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

๒.   อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

๓.  อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

๔.  อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

๕.  อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

๖.  จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

๙.  ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น

๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?

๑.      อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ

๒.    จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน

๓.     จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง

๔.     จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ

๕.     พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน

๖.      คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก  หน่อย

๗.  งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด


และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑.   ทำสิ่งที่ควรทำ

๒.   อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
   ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?

๓.   เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้

๔.  ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน

๕.  ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก
    จากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน
    ด้วย...get up, dress up and show up.

๖.   สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง

๗.   ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า
    หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย

๘.  เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข
    เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?


post by สุทธิชัย หยุ่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 25, 2011, 08:03:24 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #199 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2011, 08:07:01 PM »

สารให้ความหวานในอาหาร

ความหวานช่วยให้อาหารและเครื่องดื่ม มีรสชาติอร่อยน่ารับประทานมากขึ้น และก็มีคนไม่น้อยที่ชอบอาหารรสชาติหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือขนมหวาน จริงๆ แล้วสารให้ความหวานมีอยู่ในอาหารธรรมชาติ เช่น ในผัก ผลไม้ ดังนั้น ถ้าคุณรับประทานผักผลไม้ร่างกาย ก็จะได้รับสารให้ความหวานเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

ในทางการแพทย์สารให้ความหวานแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nutritive sweetener) และสารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nonnutritive sweetener)

สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่รู้จักกันดีและใช้กันทั่วไป ได้แก่ น้ำตาล (sugar) ถ้าใช้คำว่า sugar หมายถึง น้ำตาลซูโครส ถ้า sugars หมายถึงน้ำตาลอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ซูโครส กลูโคส ฟรุคโตส และมอลโตส เป็นต้น น้ำตาลซูโครสคือน้ำตาลทรายที่ใช้ปรุงอาหาร ฟรุคโตสพบในผัก ผลไม้ มอลโตสมีมากในน้ำนม ซึ่งน้ำผึ้ง น้ำผลไม้ น้ำเชื่อม น้ำอ้อย ก็จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าปราศจากน้ำตาลส่วนใหญ่ จะหมายถึงไม่มีน้ำตาลซูโครส แต่อาจจะมีน้ำตาลชนิดอื่นๆ น้ำตาลจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดจะถูกแปลงเป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานของสมองและระบบต่างๆ ของร่างกาย

น้ำตาลยังเป็นตัวการสำคัญของโรคและมีผลกระทบกับสุขภาพร่างกายหลายด้านอีกด้วย เช่น ทำให้ฟันผุ เนื่องจากเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลเข้าไปเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก จะทำการย่อยสลายน้ำตาลในปากไปเป็นกรด ซึ่งสามารถทำลายสารเคลือบฟันของเราจนทำให้ฟันผุ นอกจากนี้ยังควรทำความเข้าใจด้วยว่า การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะพฤติกรรมการไม่อยู่เฉย (hyperactive) ในเด็ก รวมทั้งไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานโดยตรงในผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง แต่ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารหวานหรือขนมหวาน เนื่องจากจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ การรับประทานน้ำตาลปริมาณมากก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานขึ้นได้

นอกจากนี้คุณอาจจะเคยเห็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีการโฆษณาว่าปราศจากน้ำตาล แท้จริงแล้วปราศจากน้ำตาลซูโครส แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ฟรุคโตสแทน เนื่องจากการรับประทานน้ำตาลฟรุคโตส มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นน้อยกว่าการรับประทานแป้งและซูโครส ดังนั้นจึงนำมาเป็นส่วนผสมในอาหารขนม เช่น ลูกกวาด แยม เครื่องดื่มสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

แต่อย่างไรก็ตามถ้ารับประทานน้ำตาลต่างๆ มากกว่าร้อยละ 20 ของพลังงานจะมีผลเพิ่มระดับไขมันโคเลสเตอรอลรวม และโคเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ซึ่งถ้าโคเลสเตอรอลรวมและโคเลสเตอรอล LDL สูงก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดมากขึ้น

 ในส่วนของผู้ที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนักก็ไม่ควรรับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ได้พลังงานมาก น้ำตาลให้พลังงาน 4 แคลอรี/กรัม หรือน้ำตาล 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 16 กิโลแคลอรี ถ้าร่างกายได้รับพลังงานมากเกิน ก็จะสะสมในรูปไขมันและเกิดโรคอ้วนในที่สุด ผลตามมาจากความอ้วนมีมากมาย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงอาจก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ข้อเสื่อม นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งเต้านมในเพศหญิง มะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย การทำงานของปอดลดลง เนื่องจากชั้นไขมันหนารอบทรวงอกทำให้การขยายตัวของปอดทำได้ไม่ดีนัก และไขมันที่หนาบริเวณท้องก็ทำให้กระบังลมยืดหยุ่นตัวได้ไม่ดี ดังนั้นจึงสังเกตว่าในคนที่อ้วนมากจะมีอาการหายใจลำบาก หรือมีการหยุดหายใจเป็นระยะๆ ในขณะนอนหลับเรียกว่า sleep apnea ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดศีรษะในเวลาเช้า ง่วงนอน หายใจช้าในเวลากลางวัน เป็นต้น

สำหรับ สารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nonnutritive sweetener) ที่ใช้กันทั่วไปเป็นสารให้ความหวานที่องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริการับรองว่าปลอดภัย ได้แก่ Saccharine (sweet' N low) มีความหวาน 300 เท่าของน้ำตาล Aspartam (Nutrasweet, Equal) มีความหวาน 180 เท่า Acesulfame potassium นิยมใส่ในเครื่องดื่ม soft drink ความหวาน 200 เท่า sucralose ความหวาน 600 เท่าของน้ำตาล สารเหล่านี้มีค่าที่กำหนดปริมาณที่ใช้ผสมในอาหารที่คนสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยต่อวัน (Acceptable Daily Intake, ADI) แต่ก็มีการงานวิจัยบางชิ้นอ้างว่าน้ำตาลประเภทนี้บางชนิดก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน

ในทางปฏิบัติการเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย ร่างกายจะได้ทั้งน้ำตาล และสารอาหารครบเนื่องจากในผัก ผลไม้ มีทั้งน้ำตาล และคุณค่าสารอาหารอย่างอื่นด้วย ถ้าคุณไม่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก และห่างไกลจากความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานของหวานๆ เครื่องดื่มรสหวาน และอาหารที่มีน้ำตาลมากก็จะดีไม่น้อยทีเดียว
   
       
    แหล่งข้อมูล : นิตยสาร - HealthToday 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #200 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2011, 08:10:12 PM »


เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยง น้ำตาลทราย

คำกล่าวที่ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา ยังคงเป็นความจริง เพราะแม้น้ำตาล จะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไป

  1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
  2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับ ในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกาย ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง 
  3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้น อวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น 
  4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน
  5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวาร ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ เหล่านี้ล้วนสัมพันธ์ กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
  6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยุ่ ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร
  7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาล ในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่


แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine
บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #201 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2011, 12:20:41 PM »

เคล็ดไม่ลับเยอะจังเลยนะ...อ่านไม่ทันแว้ววววว Grin
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #202 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2011, 06:24:18 PM »

ความไม่โลภเป็นลาภที่ยั่งยืน


สว้สดีคะ

นู๋จัยอยากจะหายหน้า ป่ายยยยแต่ก้ออดห่วงกระทู้ไม่ได้ กลัวจะมีคนเข้ามาแต่ไม่มีอาร่ายยยยหั้ยอ่านคะ วันนี้จะมาเล่าเรื่องจริงผ่านกระทู้  เล่าเป็นประสบการณ์ น่ะคะ หนูใจได้ให้คนรู้จักกันยืมเงิน เป็นเวลาสองปีจำนวนเงินก็เพื่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีดอกเบี้ย หน่วย% เค้าไม่เคยผิดนัด เวลาส่งดอกถ้าผิดนัดจะโทรมาเสมอ และจะโทรมาบอกทุกๆๆครั้งที่จ่ายดอก

เหตุเกิดคือเค้าหายไป ติดต่อไม่ได้ สอบถามจากเพื่อนที่รู้จักเค้าก็บอกว่าติดต่อเค้าไม่ได้เหมือนกัน หลังจากโทรตามไปตามกันมาก็เลยรู้ว่าเค้า ก็ยืมเงินจากหลายๆๆๆๆคน และยังตั้งวงแชร์ อีกหลายๆๆๆๆๆวง เป็นเงินหลักสิบ+ล้าน นึกไม่ถึงคะ หนูใจเอาเช็คไปขึ้น ก็เด้งคะ และได้เข้า เเจ้งความเพื่อที่จะไม่ให้ไปทำกับคนอื่นได้อีก

กลับมาบ้านมาทำใจคะ ก็มีคนของลูกหนี้โทรมาขอเอกสารตัวจริง เค้าพูดสารพัด เพื่อจะเอาให้ได้ อ้างว่าเป็นคนสอบประวัติทางราชการ  [ ย้อนไปนิดพอดีแฟนเค้าเป็นราชการสังกัดใหญ่ ] ให้หนูใจใช้มือถือถ่ายส่ง เค้าจะเอาให้ได้ ประมาณนั้น หนูใจบอกให้ไปขอทางตำรวจเค้าบอกว่าไม่ถูกกับตำรวจ หนูใจถามว่าแล้วแฟนพี่เค้าถูกกรมเรียกไปสอบหรือยัง เค้าอึ้งไปสักพัก เค้าว่าเรียกแล้ว หนูก็ถามว่าเรียกไปทำอะไร สอบอะไรบ้าง เค้าไม่รู้เรื่องคะ แล้วเค้าก็พูดแก้ต่างว่าหนูเข้าใจพี่เค้าผิดหรือเปล่า ผิดได้อย่างไงคะเงินเกือบล้านแล้วหายหน้าไปเลยไม่บอกอะไรเลย

เค้าพูดว่าจ้างทนายทีก็ห้าพัน สามสี่ครั้งก็สามหมื่น ม ป ญ จ้างหรือเปล่า  หนูใจแค่ต้องการแจ้งความเพื่อจะได้ไม่ไปทำกับคนอื่นคงไม่มีปัญญาจ้างทนายอย่างที่เค้าว่าเพราะหมดเงินจริงๆๆและเป็นหนี้อีก  ครั้ง สอง โทรมาอีก เค้าหลุดว่า    หรือเปล่าที่ให้เค้ายืมเงิน แล้วถามเอกสารว่ามีใครลงชื่อค้ำประกันบ้าง บอกให้ไปถามที่อื่น  เสียทรัพย์ เสียเวลา เสียสุขภาพ   เสียใจที่เพื่อนสูญเงินเพื่อรักษาตัวไปด้วย


 รู้จัก+เวลา+ความน่าเชื่อถือ+ตำแหน่ง+ระชะกาน = ก็อย่าไว้ใจคะ
 เรือ่งนี้สอนให้รู้ว่าเงินเราก็ควรอยู่ในกระเป๋าเรา ขำ ขำ แต่ก็ขำไม่ออก

                                              ประสบการณ์ผ่านกระทู้
                                                             ออกมาจากใจ จริง จริง Cry
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 09, 2011, 06:40:39 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #203 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2011, 11:38:33 AM »

เสียใจด้วยนะจ๊ะหนูจัย... Cry

เอาน่า  กรรมใดใครก่อ  กรรมนั้นคืนสนองเขาเองแหละนะ >Cheesy >Cheesy >Cheesy
บันทึกการเข้า
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #204 เมื่อ: กรกฎาคม 11, 2011, 11:49:39 AM »

พี่อุ๊ขออนุญาต  ลาคลอด  สัก 2-3 เดือนนะจ๊ะ

ไปทำหน้าที่คุณแม่ลูกอ่อน  และคุณแม่ลูกสอง ก่อนนะ

กลับมาเมื่อไหร่  จะกลับมาอ่านนะคะ

หวังว่า  ไม่หนีหายกันไปไหน  เหมือนคนอื่น ๆ นะ

หายกันไปหมดเลย   Cry Cry Cry
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #205 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 08:52:19 AM »

พี่อุ๊ขออนุญาต  ลาคลอด  สัก 2-3 เดือนนะจ๊ะ

ไปทำหน้าที่คุณแม่ลูกอ่อน  และคุณแม่ลูกสอง ก่อนนะ

กลับมาเมื่อไหร่  จะกลับมาอ่านนะคะ

หวังว่า  ไม่หนีหายกันไปไหน  เหมือนคนอื่น ๆ นะ

หายกันไปหมดเลย   :'( :'( :'(


 Smiley Cheesyสวัสดีค่ะคุณแม่

           รักษาสุขภาพ ขอให้แข็งแรงทั้งแม่และลูกน่ะคะ ทานอาหารที่มีประโยนช์น่ะคะ

                                                   ขอบคุณมาก มากคะ คงไม่ไปไหนจะอยู่เฝ้าบ้านให้คุณพี่พอลคะ
           ยินดีด้วยน่ะคะ เทวดา สักทีมฟุตบอลกำลังดีน่ะคะ เทวดา สีเขียวฟันขาว
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #206 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 09:08:40 AM »

เสียใจด้วยนะจ๊ะหนูจัย... Cry

เอาน่า  กรรมใดใครก่อ  กรรมนั้นคืนสนองเขาเองแหละนะ >Cheesy >Cheesy >Cheesy

ขอบคุณคะ คงต้องใช้เวลาทำใจ นิดนึงค่ะ ครั้งแรกถูกโกงไปหลักแสนหายออกจากบ้านไปเลย ครั้งสองหลักหมื่นเกือบๆแสนต้องเฝ้าบ้านแถมต้องเห็นคนเอาตังค์ไปเดินไปเดินมาอีก ครั้งนี้ เกือบๆล้าน หัวก็เกือบล้านคะ อิ อิ เราไม่โกงอยู่ที่ไหนก็ได้ เขาโกงอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่นาน คาดว่าเค้ายอมติดคุกแล้วออกมาใช้ตังค์ที่ซ่อนเอาไว้ ไม่จองเวรจองกรรมคะ ถ้าเค้าได้ดีมีสุข หนูใจก็ได้ทำบุญไป

                          ขอบคุณค่ะคุณแม่ลูกสอง อิ อิ Azn
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #207 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 09:10:30 AM »

เริ่มวิ่งเพื่อสุขภาพ



เคยบ้างไหมที่เห็นวิ่ง คนหุ่นดีๆ วิ่งแล้วอยากทำตาม แต่ป๊าดโธ่วิ่งได้อยู่แค่ 2 วัน ก็ต้องเลิกรา เพราะไหนจะเหงื่อ แถมยังเหนื่อย โอ้ยย..ยย.ย.สารพัดปัญา จนหลายคนรู้สึกว่าการวิ่งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขา

สำหรับผู้ที่มีปัญหากับการวิ่ง หรือยังไม่รู้ว่าจะเริ่มวิ่งอย่างไงดี ขอให้หมดกังวลไปได้เลย เพราะเรามีตำราชั้นเยี่ยมที่จะทำให้การวิ่งเป็นเรื่องจิ๊บๆ

วิ่งแล้วได้อะไรถ้าอยากมีหุ่นสวยแบบงบประมาณต่ำ คงไม่วิธีไหนจะง่ายไปกว่าการวิ่ง ซึ่งคุณสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา แถมยังดีต่อหัวใจ ดีต่อผู้ที่เป็นความดันโลหิตต่ำ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และที่สำคัญการวิ่งเป็นวิธีเผาผลาญไขมันที่น่ามหัศจรรย์


แต่ละชั่วโมงที่วิ่ง ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้ราว 580 แคลอรี่ ซึ่งมากพอที่จะช่วยขจัดไขมันสะสมออกไป แถมยังจะทำให้รู้สึกอารมณ์ดี เนื่องจากร่างกายได้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟินส์ออกมา

เตรียมพร้อมกันก่อนบางครั้งการออกกำลังกายอย่างหักโหม ก็นำความเจ็บปวดเข้ามาแทนที่หุ่นเฟิร์มๆ แต่ถ้าเรารู้วิธีตั้งรับตามแบบฉบับมือโปรย ก็จะทำให้คุณวิ่งได้อย่างไร้กังวล

ยืดเส้นกันก่อน การยืดเส้นยืดสายก่อนและหลังออกกำลังกาย ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะกล้ามเนื้อที่ยังคงแข็งตัวอยู่จะได้รับบาดเจ็บได้ง่ายกว่ากล้ามเนื้อที่มีการวอร์มแล้ว

ก้าวข้ามความเจ็บปวด

ระหว่างที่วิ่ง ความเจ็บปวดอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่น เส้นเอ็นอักเสบ แต่คุณสามารถยุติอาการเหล่านั้น ไม่ให้ร้ายแรงขึ้นได้ด้วยการหยุดพักและอย่าหักโหมจนเกินไป

สภาพแวดล้อมต่างๆ อย่ามัวแต่หลับหูหลับตาวิ่ง จนไม่รู้ว่าทางข้างหน้าขรุขระ หรือลื่นง่าย และที่สำคัญผิวแข็งๆ อย่างพื้นคอนกรีต ถ้าเลี่ยงได้ก็ขอให้เลี่ยง แล้วลองหันไปวิ่งบนพื้นหญ้าหรือไม่ก็ผืนทรายแทน เพราะสามารถลดแรงกระแทกได้ดี แถมเวลาล้มก็ไม่ต้องกลัวหน้างามๆ จะเสียโฉมอีกด้วย

อย่าบ้าพลัง ประมาณ 90% ของคนรักการวิ่ง มักบาดเจ็บเพราะการฝึกซ้อมที่มากเกินไป โดยส่วนใหญ่จะตื่นเต้นกับผลลัพธ์ของการวิ่งได้ไกลขึ้นหรือนานขึ้น จนไม่ยอมหยุดเสียง่ายๆ และในที่สุด ตัวคุณนั่นแหละที่จะเจ็บ ดังนั้น เริ่มวิ่งทีละนิดแล้วรอจนกว่าร่างกายจะปรับตัวได้จึงค่อยปรับระยะทางและเวลา

เลือกอุปกรณ์ให้ดี นักวิ่งต้องการความแข็งแกร่งและเชิงกรานที่มั่นคง ดังนั้น จงยอมควักเงินเสียหน่อย เพื่อชุดอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น รองเท้า ชุดชั้นใน หรือหมวกคุณภาพดี เพื่อป้องกันการบาดเจ็บในเบื้องต้น
เริ่มออกสตาร์ทแอนนี่ ครอว์ฟอร์ด เทรนเนอร์แห่ง Can Too มูลนิธิเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่ช่วยฝึกฝนมือใหม่หัดออกกำลังกายให้สนุกกับการวิ่งและว่ายน้ำในมหาสมุทร กล่าวว่า "ไม่มีใครที่จะวิ่งได้ไกลและรวดเร็ว แต่ถ้าคุณสามารถเดินเร็วๆ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็เท่ากับว่า คุณได้เริ่มต้นแล้ว"

ลองมองหาเด็กใหม่อยากเริ่มวิ่ง มาเข้ากลุ่มแก็งค์รันนิ่ง เพื่อเป็นแรงหนุนให้กันและกัน จากนั้นก็เริ่มวิ่งหรือเดินเร็วๆ กับเดอะแก็งค์ เพื่อเพิ่มความสนุกกับการออกกำลังกาย

ลองเพิ่มระยะเวลาในการวิ่งแต่ละครั้ง อาจวิ่งนานขึ้น 20 นาที แล้วค่อยๆ ขยับเป้าหมายให้ไกลขึ้นอีกนิด ด้วยการวิ่งให้เร็วขึ้นในระยะทางที่ไกลเท่าเดิม เมื่อผ่าน 4 สัปดาห์แรกมาแล้ว ก็เปลี่ยนเป้าหมายให้หินยิ่งขึ้น
เมื่อเริ่มสนุกกับการวิ่ง ก็อย่าเพิ่งคลั่งการออกไปสับขาหลอกมากจนเกินไป เราขอแนะนำให้วิ่งเพียง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะถือเป็นสูตรที่ดีที่สุด สำหรับผู้เริ่มต้น
หัดเรียนรู้เทคนิคดีๆ จากผู้เชี่ยวชาญ เช่น การก้าวขายาวๆ ยกเข่าให้สูง หรือไม่ควรไขว้แขนกลางลำตัวขณะวิ่ง เพราะคำแนะนำเหล่านี้ จะช่วยให้การวิ่งของคุณมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีก
ทริคง่ายๆ ให้สนุกกับการวิ่งหลังจากวิ่งกันถูกวิธีแล้ว เรามาลองหาอุปกรณ์เสริมแบบเก๋าๆ ที่จะทำให้การวิ่งของคุณน่าสนุกมากขึ้นกันดีกว่า

มองวิวสวยๆ เวลาออกไปวิ่งในสวน ให้มองไปรอบตัว เพื่อชื่นชมกับดอกไม้ใบหญ้า หรือแม้แต่หนุ่มหุ่นล่ำของฝั่งตรงข้าม ก็สามารถทำให้คุณรู้สึกเพลิดเพลินใจได้ จนรู้สึกอยากออกกำลังกายทุกวัน แต่อย่าเพลินจนลืมที่จะคงระยะห่างของแต่ละก้าวให้เท่าๆ กันด้วยละย

เปลี่ยนบรรยากาศ

เปลี่ยนไปวิ่งขึ้นเขาหรือปรับจากสวนเป็นฟิตเนสบ้างก็น่าจะดี เพื่อที่คุณจะไม่ต้องทนเบื่อกับสถานที่เดิมๆ แต่อย่าลืมเหน็บขวดน้ำไปด้วยเป็นอันขาด หากต้องไปไกลๆ

วิ่งบนสายพาน ถ้าเพื่อนๆ ในแก็งค์วิ่งไม่มีเวลา อย่าซุ่มเงียบอยู่แต่ในบ้าน เพราะไม่อยากวิ่งคนเดียว ให้ลองหันไปหาเครื่องวิ่งแบบสายพานที่ยังคงฮอตฮิตในฟิตเนสก็ได้ เพราะนอกจากจะได้เพื่อนกลุ่มใหม่แล้ว เจ้าเครื่องที่ว่านี้ยัง ช่วยป้องกันการกระแทกได้ดี แถมวันใดอากาศไม่เป็นใจ คุณก็ยังวิ่งได้แบบหายห่วง

เทคโนโลยีช่วยได้ บรรดาเครื่องมือสุดไฮเทคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตัววัดการเผาผลาญ หรือเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ให้นำติดตัวไปวิ่งด้วยทุกครั้ง จะช่วยให้คุณได้เห็นตัวเลขของแคลอรี่ที่หายไป ซึ่งจะทำให้คุณฮึดสู้จนมีรูปร่างที่กระชับได้เร็วยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เสียงเพลงระหว่างออกกำลังกายยังช่วยให้การวิ่งของคุณไหลลื่น เพราะเพลงอาจช่วยให้คุณมองข้ามความเหน็ดเหนื่อยไปได้ โดยนักวิทยศาสตร์การกีฬา เผยว่า การฟังเพลงระหว่างวิ่งมีผลต่อร่างกายมาก และถ้าจะให้ดีดนตรีควรมีจังหวะระหว่าง 120-140 ต่อนาที ซึ่งควรเป็นเพลงแด๊นซ์มันๆ เพื่อให้หัวใจเต้นได้แรงขึ้น

เห็นไหมละว่า การวิ่งไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด ยังไงซะเช้านี้หรือไม่ก็ช่วงเย็น อย่าลืมหาเวลาหยิบรองเท้าผ้าใบออกไปวิ่งเพื่อสุขภาพกันด้วย


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.infoติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2011, 08:28:24 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #208 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 09:12:17 AM »

อ้อมกอดเล็กๆ เพื่อสุขภาพ

ภาพหลานสาวกอดคุณตา หลานชายนั่งตักกอดคุณย่า ช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่นผูกพันให้กับทั้งสองฝ่าย ช่วยให้คุณตาคุณยายมีสุขภาพและอารมณ์ดี





เมื่ออเจ้าตัวน้อยโผเข้ากอดคุณตาคุณยาย ไม่เพียงแค่สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนในครอบครัวเท่านั้น แต่ยังได้รับการพิสูจน์ในทางการแพทย์แล้วว่า เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้สูงอายุอายุยืนขึ้นอย่างมีความสุข

คุณเบ็ญจพร มงคลธง นักจิตวิทยา ประจำบริษัทโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท จำกัด (ผู้สูงอายุ) กล่าวว่า เมื่อหลานๆ กอดคุณตาคุณยายด้วยอ้อมกอดที่อบอุ่น พลังงานความร้อนของร่างกายที่ส่งผ่านถึงกัน จะทำให้ท่านรู้สึกดี, ปลอดภัย, เป็นที่ยอมรับ, ผ่อนคลาย, มีความสุข, มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่, มองเห็นคุณค่าในตัวของท่านเอง และทำให้เกิดความมั่นใจตามมา เนื่องจากการกอดเป็นการสัมผัสแบบ 3 มิติ ซึ่งถ่ายทอดความรักความห่วงใยได้ดีกว่าการสัมผัสแบบ 2 มิติ เช่น การดูรูป,อ่านจดหมาย ฯลฯ การแสดงออกแบบ 3 มิติ สามารถแสดงออกได้หลายทางเช่นการกอด, จับมือ, บีบ, จับ, นวด, พูดคุย ฯลฯ

นอกจากนี้ การกอดยังช่วยให้หลานๆ ได้รู้สึกดีต่อตัวเอง, มีจิตใจอ่อนโยนพร้อมที่จะรัก และยอมรับผู้อื่น ,รู้สึกมั่นคงปลอดภัย, เชื่อใจ, มีความสุข, เป็นที่ยอมรับ และช่วยพัฒนาไอคิว, ลดความหวาดกลัว, รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่, ลดความเครียดหงุดหงิด, ลดการต่อต้านผู้อื่น และความรู้สึกในทางลบต่อสิ่งรอบตัว

อ้อมกอดกับผู้สูงวัย

พญ. สิรนิสถ์ ประพันธ์ศิลป์ แพทย์สาขาอายุรกรรมทั่วไป กล่าวว่า กอด สามารถส่งผลดีได้โดยตรงต่อสุขภาพ

1.ความดันโลหิตลดลง

การกอดจะส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้หลอดเลือดขยายตัวส่งผลให้ความดันเลือดลดลง

2. ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

การกอดช่วยเพิ่มฮอร์โมนออกซิโทซิน (ฮอร์โมนที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อมีความรักความผูกพัน) ซึ่งจะช่วยลดโอกาสของการเป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกอดจะช่วยให้สารออกซิโทซินหลั่งในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

3.ส่งผลดีต่อสมอง

การสัมผัสโอบกอด ช่วยลดการหลั่งสารคอร์ติซอล ซึ่งเป็นสารที่หลั่งออกมาเมื่อเครียด และช่วยให้สมองหลั่งสารโดปามีน (Dopamine), เอ็นดอร์ฟีน (Endorphine) และเซเรโทนิน (Seretonin) ที่เป็นสารแห่งความสุขเบิกบานแจ่มใส ทำให้มีอารมณ์ดี ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ

4. กระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน

ฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบในเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดการลำเลียงของออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ส่งผลให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าแข็งแรงช่วยให้ภูมิต้านทานของร่างกายดีขึ้น

5. ทำให้มีความสุข

การกอด จับมือ และสัมผัส สามารถลดระดับฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า และทำให้อารมณ์ดีขึ้นอย่างชัดเจนยย รู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำสิ่งต่าง ๆยย อยากมีชีวิตอยู่, ลดอาการซึมเศร้า, รู้สึกเป็นที่รัก และต้องการของคนในครอบครัวยย ส่งผลให้ความเครียดลดลง ความรู้สึกอยากจะพูดอยากจะบ่นก็น้อยลง

กอดกันให้แข็งแรง

"กอด" ทำได้ง่ายๆ ทุกที่ทุกเวลาที่รู้สึกอยากกอด แต่ต้องเป็นอ้อมกอดที่สื่อถึงความรู้สึกอบอุ่นและแสดงความรักจากใจยย ด้วยความรู้สึกที่อยากกอดจริงๆ ไม่ใช่กอดด้วยการถูกบังคับ ซึ่งหลานๆ ควรสบตาคุณตาคุณยายทั้งก่อนและหลังกอด

คุณมีกอดแบบไหน?

-อ้อมกอดแบบหมี(Bear Hug)

การกอดด้วยการเบียดตัวอย่างเต็มที่ และรวดเร็ว เช่น หลานโผเข้ากอดคุณตาแบบเต็มตัว (ท่านี้เหมาะกับคุณตาคุณยายที่ยังแข็งแรงหรือกำลังอยู่ในท่านั่งแบบมั่นคงเท่านั้น) เป็นท่ากอดที่แสดงออกถึงความพิเศษของผู้ที่ถูกกอด บ่งบอกความรัก ความปลอดภัย และให้ความรู้สึกที่อบอุ่น

-โอบเอวด้านข้าง (Side to Side)

ท่านี้เป็นการโอบเอวจากด้านข้าง เหมาะที่คุณตาคุณยายจะแสดงความรักกับหลานด้วยท่านี้

-กอดแบบแซนด์วิช(Sandwich Hug)

เป็นการกอดกันแบบ 3 -4 คน โดยให้คุณตาหรือคุณยายอยู่ตรงกลางในท่านั่ง แล้วหลาน 2- 3 คน ยืนโอบกอดจากทั้งด้านหน้าด้านหลังและด้านข้าง เป็นการแสดงถึงความรักผูกพันให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

สำหรับสงกรานต์ปีนี้ อย่าลืมพาหลานๆ ไปเยี่ยมคุณตาคุณยายพร้อมกับกอดท่านวันละหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ท่านมีความสุขยิ้มสดใสและสุขภาพกายใจแข็งแรง


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.infoติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 14, 2011, 08:29:02 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #209 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 11:05:32 AM »

พี่อุ๊ขออนุญาต  ลาคลอด  สัก 2-3 เดือนนะจ๊ะ

ไปทำหน้าที่คุณแม่ลูกอ่อน  และคุณแม่ลูกสอง ก่อนนะ

กลับมาเมื่อไหร่  จะกลับมาอ่านนะคะ

หวังว่า  ไม่หนีหายกันไปไหน  เหมือนคนอื่น ๆ นะ

หายกันไปหมดเลย   :'( :'( :'(


 Smiley Cheesyสวัสดีค่ะคุณแม่

           รักษาสุขภาพ ขอให้แข็งแรงทั้งแม่และลูกน่ะคะ ทานอาหารที่มีประโยนช์น่ะคะ

                                                   ขอบคุณมาก มากคะ คงไม่ไปไหนจะอยู่เฝ้าบ้านให้คุณพี่พอลคะ
           ยินดีด้วยน่ะคะ เทวดา สักทีมฟุตบอลกำลังดีน่ะคะ เทวดา สีเขียวฟันขาว


2 คนก็พอแล้วจ้า   ตั้งทีมฟุตบอลคงไม่ไหวหรอก  นู๋จัยล่ะ   เมื่อไหร่จะมีกับเขาบ้าง  รอแสดงความยินดีอยู่นะ Azn
บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: