Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 75240 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #375 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2012, 12:14:14 PM »

5 เรื่องไม่ควรมองข้ามในการดูแล”ลูกคนพิเศษ”



ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระพีพร ศุภมหิธร

หากได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของ เด็กพิเศษ ทุกท่านคงหนีไม่พ้นการรับบทหนักในการดูแลลูกมากกว่าพ่อแม่คนอื่น ๆ เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้ไม่สามารถพัฒนาความสามารถได้เต็มตามศักยภาพที่มีอยู่ ได้ด้วยวิธีการปกติตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูตามปกติ หรือการเรียนการสอนตามปกติทั่วไป เนื่องจากข้อจำกัดบางประการที่มีอยู่ในตัวเด็ก ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา พฤติกรรม อารมณ์ หรือสัมพันธภาพทางสังคม ซึ่งการดูแลเด็กกลุ่มนี้ จำเป็นต้องได้รับความเอาใจใส่ และความใกล้ชิดเป็นพิเศษ และคนสำคัญที่จะช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด ไม่ใช่โรงเรียน หรือใครอื่นใด แต่คือครอบครัวนั่นเอง

ความสำคัญนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระพีพร ศุภมหิธร หัว หน้าศูนย์วิจัยการศึกษาเพื่อเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนเด็กพิเศษมากว่า 20 ปี ตอกย้ำผ่านทีมงาน Life & Family ว่า ครอบครัวคือหน่วยแรก และหน่วยสำคัญในการหล่อหลอมให้เด็กมีสุขภาพกาย และใจที่ดี ส่วนโรงเรียนคือหน่วยสนับสนุนเท่านั้น ซึ่งพ่อแม่หลาย ๆ ท่านมักมองข้ามในเรื่องนี้ไป

“พ่อแม่หลายคนชอบตั้งความหวังกับ โรงเรียน แต่กลับไม่เคยให้ความสำคัญกับลูกเวลาอยู่ที่บ้านเลย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพจากเด็กที่มาจาก 2 ครอบครัว เริ่มจากครอบครัวแรก เด็กได้รับการดูแลเอาใจใส่ทั้งเวลา ความรัก และความเข้าใจ รวมทั้งพ่อแม่ให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนเป็นอย่างดี ส่วนอีกครอบครัวหนึ่ง คุณพ่อทำกิจการใหญ่โต ไม่มีเวลาดูแลลูก คุณแม่มีงานสังคมอยู่เรื่อย ๆ ส่วนเด็กอยู่กับคนใช้เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งครูพิเศษที่พ่อแม่จ้างมาสอนที่บ้าน ทั้ง 2 ครอบครัวนี้ เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าพัฒนาการของเด็กทั้ง 2 คนมีความแตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่อาการเริ่มต้นมีความใกล้เคียงกัน ดังนั้น โรงเรียนไม่ใช่เบอร์ 1 ค่ะ ครอบครัวต่างหากที่เป็นเบอร์ 1″ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนเด็กพิเศษเผย

ดังนั้น คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ครอบครัวมีบทบาทสำคัญที่สุดในการดูแลเด็กพิเศษ แต่ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ บอกว่า การดูแลโดยการให้ความรักอย่างเต็มเปี่ยมอาจยังไม่เพียงพอ คุณพ่อคุณแม่ควรมีความรู้ ความเข้าใจ ประกอบกับมีเจตคติ และทัศนคติที่ถูกต้องด้วย และ 5 เรื่องต่อไปนี้คือสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้ามในการดูแลลูกคนพิเศษ เริ่มจาก

มีความมั่นคงทางอารมณ์

คุณพ่อคุณแม่ควรยอมรับให้ได้ก่อนว่า ลูกเป็นเด็กพิเศษ เมื่อยอมรับได้แล้ว สิ่งแรกที่พึงระลึกไว้เสมอก็คือ ความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่ทำอะไรผลีผลาม เช่น พยายามควบคุมอารมณ์เมื่อเห็นเด็กคนอื่นกำลังล้อเลียน หรือแกล้งลูก ด้วยการพาลูกเดินออกจากสถานการณ์ตรงนั้น และบอกให้เขาเข้าใจว่า ที่เพื่อนพูดแบบนั้น ถ้าเราไม่ได้เป็น ก็ไม่ควรไปสนใจ หรือถ้าเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นที่โรงเรียน ควรแจ้งคุณครูเพื่อให้ดำเนินการต่อไป ไม่ควรเข้าไปจัดการปัญหาด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้ปัญหาบานปลาย และตัวลูกเองอาจได้รับผลกระทบจากสังคมเพื่อนตามมาได้

ไม่ทิ้งการรักษา

ถ้าได้รับการรักษาจากแพทย์ ไม่ควรทิ้ง หรือขาดช่วงการรักษา ควรติดตามการรักษา และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง ซึ่งพ่อแม่หลายคนกังวลเรื่องผลข้างเคียงของการใช้ยาจนลืมมองถึงผลเสียจากการ ไม่รับประทานยาไป หากเด็กไม่ได้รับการรักษา และรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงวัยที่เด็กเข้าสู่สังคมโรงเรียน อาจเกิดปัญหาตามมาได้ โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนในชั้นเรียน แต่การใช้ยาควรใช้ร่วมกับการฝึกทักษะต่างๆ ที่จำเป็นไปพร้อม ๆ กันด้วย เช่น ฝึกวินัย ปรับพฤติกรรม เด็กจึงจะพัฒนาและมีความสามารถที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ดี

 
 
 


ฝึกเป็นผู้สังเกตการณ์แทนครู

คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยรายงานพฤติกรรม หรือความเป็นไปเกี่ยวกับตัวลูกกับคุณครูที่โรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ครูได้มีข้อมูลเพื่อใช้ในการพัฒนาเด็ก และเข้าใจเด็กมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ควรรู้จักรับฟัง พร้อมกับแลกเปลี่ยนกับคุณครูเพื่อนำองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปพัฒนาลูกให้ถูกทางต่อไป

อย่าเป็นพ่อแม่รังแกฉัน

เมื่อลูกเป็นเด็กพิเศษ คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านพยายามประคมประหงมลูกมากเกินไป หรือพูดง่าย ๆ คือ เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กพิเศษมากเกินไป เช่น ช่วยเหลือลูกทุกอย่างโดยที่เด็กไม่ได้รับการฝึกให้ช่วยเหลือตัวเอง หรือไม่ได้รับการฝึกที่จะยืนได้ด้วยตัวเองเลย เนื่องจากมีพ่อแม่คอยปกป้องอยู่ตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจทำให้เด็กมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมตามมาได้ ทางที่ดีควรเลี้ยงลูกให้เป็นไปตามธรรมชาติ ปล่อยให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองบ้างในบางเรื่อง อย่างน้อย ๆ เป็นการเพิ่มทักษะให้ลูกได้รู้จักพึ่งพาตัวเอง และยืนได้ด้วยตัวของเขาเอง

หากิจกรรมทำร่วมกัน

หลาย ๆ ครอบครัวมุ่งเน้นแต่กิจกรรมนอกบ้าน แต่ไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกันในบ้านเลย ดังนั้น วันหยุดเสาร์-อาทิตย์แทนที่จะพาลูกออกไปเรียนตามสถาบันต่าง ๆ ควรมีกิจกรรมในบ้านที่ทำร่วมกันบ้าง เช่น นั่งรับประทานอาหาร อ่านหนังสือ เล่านิทาน หรือพากันไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะใกล้บ้าน เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากจะช่วยสานสัมพันธ์รักในครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้ลูกมีการพัฒนาความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่ดีขึ้น

“ครอบครัวที่มีกิจกรรม และพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ หรือความรู้รอบตัวต่าง ๆ จะช่วยให้เด็กมีข้อมูล และมีความเข้าใจต่อสิ่งรอบตัว เมื่อเด็กมีเรื่องราว และมีความรู้สึกดี ๆ เวลาให้เด็กแต่งประโยค เด็กจะสามารถแต่ง และถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างดี ต่างกับเด็กที่ไม่มีพ่อแม่คอยคุย คอยแนะ หรือคอยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง เด็กกลุ่มนี้จะไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาได้ เวลาเด็กเข้าเรียนและต้องไปเรียนรวมกับเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนก็จะไม่สามารถสื่อสาร และถ่ายทอดคำพูดออกมาได้ดีเท่าที่ควร” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ระพีพรทิ้งท้าย

แน่นอนว่า การได้เห็นลูกมีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพที่เขามีอยู่ คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนปรารถนา แต่ระหว่างทางที่ไปสู่จุดหมายนั้น เด็กต้องการเวลา ความรัก และกำลังใจดี ๆ จากพ่อแม่ หากทำได้เช่นนั้น เชื่อเถอะครับว่า จุดหมายปลายทางที่วาดหวังไว้รอคุณอยู่ไม่ไกลนับจากนี้

 

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #376 เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 07:46:13 PM »

ไวรัสซี ภัยเงียบทำลายตับ


เมื่อพูดถึงโรคไวรัสตับอักเสบ หลายคนมักจะนึกถึงชนิดเอ ซึ่งติดต่อจากการรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยเป็นหลัก และอีกชนิดคือไวรัสตับอักเสบบี ที่ติดต่อได้หลายวิธีทั้งจากมารดาสู่ทารกขณะคลอด เพศสัมพันธ์ การใช้ของมีคมร่วมกันแล้วเกิดบาดแผล แต่ไวรัสทั้งสองชนิดนี้มีวัคซีนป้องกัน ส่งผลให้อุบัติการณ์ของโรคลดลงต่อเนื่อง

ทว่าที่น่าห่วงนั้น รองศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระ พิรัชวิสุทธิ์ นายกสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ชี้ว่าคือ ไวรัสตับอักเสบซี เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกัน จำนวนผู้ป่วยมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี แถมคนทั่วโลกป่วยแบบเรื้อรังหรือหกเดือนไม่หายราว 170 ล้านคน แต่ละปีจึงมีคนทั่วโลกต้องเสียชีวิตเพราะไวรัสตับซีประมาณ 3-3.5 แสนราย
เมื่อยังป้องกันไม่ได้ รศ.นพ.ธีระ จึงให้ความรู้เกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบซีว่า แบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์ ในประเทศไทยส่วนใหญ่พบสายพันธุ์ 2 และ 3 ซึ่งรักษาง่ายกว่าสายพันธุ์อื่น โดยติดต่อทางเลือด ไม่ว่าจะเป็นการใช้เข็มหรือของมีคมร่วมกัน เช่น การใช้เข็มฉีดยาของผู้ที่ติดยาเสพติด การใช้เข็มฉีดยาซ้ำของหมอเถื่อน การใช้เข็มสักหรือเจาะผิวหนัง การสักคิ้ว ทำเล็บ จากผู้ประกอบการที่ไม่ใส่ใจเรื่องความสะอาดปลอดภัย นอกจากนี้ยังอาจติดต่อได้จากการมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ การร่วมเพศทางทวารหนัก ขณะที่การติดเชื้อไวรัสจากการบริจาคเลือดนั้นไม่เกิดขึ้นแล้ว เนื่องจากตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 เป็นต้นมา มีการคัดกรองเลือดเป็นอย่างดี
ใครก็ตามที่ติดเชื้อไวรัสตับซีเข้าไปแล้ว มักไม่ค่อยรู้ตัว จนกระทั่งตับอักเสบหนัก อาการรุนแรง!? รศ.นพ.ธีระ ระบุว่า ที่เป็นเช่นนั้น เพราะการได้รับเชื้อส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ หรืออาจมีอาการแต่ผู้ป่วยก็จะไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ เนื่องจากอาการจะมีแค่ไข้ต่ำๆ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ขณะที่ผู้ติดเชื้อบางรายมีอาการรุนแรงแสดงออกมา เช่น ปวดท้อง ปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลือง ตาเหลือง ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ สมาธิสั้น เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ส่วนการจะตรวจว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีหรือไม่นั้น เบื้องต้นต้องตรวจเลือด ดังนั้น ผู้ที่ตรวจสุขภาพ ตรวจเลือดเป็นประจำทุกปี จะช่วยเฝ้าระวังโรคได้ดีวิธีหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องร้ายก็ยังมีสิ่งดีซ่อนอยู่ สำหรับโรคไวรัสตับซีนี้ รศ.นพ.ธีระ บอกว่า แม้ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่ก็เป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวที่สามารถรักษาให้หาขาดได้ ด้วยยาฉีดที่ต้องฉีดสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้ยังต้องใช้ยากินร่วมด้วย ระยะเวลาในการรักษาราว 24-48 สัปดาห์ โดยปริมาณยาที่ใช้จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ป่วยด้วย ทั้งนี้จุดประสงค์ของการรักษาคือ ลดการอักเสบของตับและให้ตับกลับคืนสู่สภาวะปกติ
ในบ้านเรามีคนดังคนหนึ่ง อย่าง คุณปิยะมาศ โมนยะกุล นักแสดงรุ่นเก๋า ก็เคยผ่านประสบการณ์การรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีและทำให้ผู้คนรู้จักโรคนี้ มากขึ้น โดยเจ้าตัวเล่าว่าไม่เคยรู้ตัวว่าเป็นไวรัสตับอักเสบซี จนกระทั่งอาการหนักมาก รู้สึกเพลียและไม่มีแรง ประกอบกับท้องอืด ท้องเฟ้อหนักขึ้นจนต้องไปพบแพทย์ตรวจจึงรู้
ช่วงที่รักษาตัว ชีวิตเปลี่ยนไปมาก เพราะผลข้างเคียงของการใช้ยารักษามีหลายอย่างที่ทำให้รู้สึกท้อแท้ กังวล เช่น จะมีไข้อยู่ที่อุณหภูมิ 38-39 องศาเซลเซียส ปวดเมื่อย เพลีย เบื่ออาหาร ซึมเศร้า หงุดหงิด ผิวหนังแห้ง ผมร่วง แต่เพราะอยากหายจึงต้องอดทน กระทั่งใช้เวลาเป็นปีจึงหาย จึงอยากแนะนำให้ทุกคนเฝ้าระวังโรคนี้ให้ดี เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง และผลข้างเคียงในช่วงที่ใช้ยาในการรักษาค่อนข้างหนักทีเดียว
นอกจากประสบการณ์ที่เคยผ่านความทุกข์ในช่วงการรักษาของคุณปิยะมาศ แล้ว รศ.นพ.ธีระ กล่าวเสริมถึงอาการข้างเคียงจากการใช้ยารักษาว่า อาจทำให้คนไข้บางรายมีอาการไอ ผื่นขึ้นตามตัว และตัวซีดเพราะเม็ดเลือดแดงแตก ยิ่งถ้าผู้ป่วยมีอาการตับแข็งร่วมด้วย อาการข้างเคียงจะยิ่งมากขึ้นอีก แต่อย่างไรก็ตาม แพทย์อาจพิจารณาให้ยากดผลข้างเคียงไว้ได้บ้าง
ถ้าป่วยแล้วรุนแรงถึงเพียงนี้ รู้รักษาตัวรอดจากโรคไวรัสตับอักเสบซีไว้ดีที่สุด.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #377 เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 07:54:12 PM »

โรคลมพิษ


หลายๆคนคงจะรู้จักคำว่า โรคลมพิษ กันเป็นอย่างดี โรคลมพิษเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และก็ทุกเพศทุกวัย เรามาทำความรู้จักกับโรคลมพิษกันดีกว่า…


[size=12]จากสถิติพบว่าคนไทยเคยเป็นโรคลมพิษมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์
นั่นก็แสดงว่าคนไทย 100 คน จะมีคนเคยเป็นโรคลมพิษอยู่ถึง 20 คน ซึ่งนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว (ที่มา : ผศ.นพ.นิยม ตันติคุณ)

ลมพิษเกิดจากหลอดเลือดในชั้นผิวหนังแท้ ถูกกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมต่างๆ จากทั้งภายนอกและภายในร่างกาย เช่น อาหาร ยา สภาวะทางกายภาพต่างๆ และเชื้อโรค เมื่อร่างกายได้รับหรือสัมผัสกับสิ่งที่ร่างกายแพ้ ก็ทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว มวลของน้ำในหลอดเลือดซึมออกมานอกหลอดเลือด ทำให้เกิดอาการบวมแดง คัน บ้างก็แสบร้อนหรือเจ็บก็เป็นได้ ถ้าการขยายตัวของหลอดเลือดเกิดในหนังแท้ส่วนบน อาการบวมแดงร้อนก็จะเห็นชัดเจนเรียกว่าโรคลมพิษชนิดตื้น (Urticaria) ถ้าหลอดเลือดขยายตัวเกิดในส่วนลึกของหนังแท้ มักเห็นอาการบวมแดงไม่ชัดเจน แต่จะมีอาการปวดและบวมมากกว่า เรียกว่า โรคลมพิษชนิดลึก (Angioedem)[/size]




ของโรคลมพิษ ก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน
บางคนอาจมีแค่ผื่นคันที่ผิว หนัง แต่อีกคนอาจมีปวดท้อง ท้องเสียร่วมด้วย แต่ที่รุนแรงอันตรายคือ เริ่มมีเสียงแหบ หายใจลำบาก อาการแบบนี้อันตรายมากถ้ารักษาไม่ทัน

การป้องกันโรคลมพิษ

1. ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเป็นการขับสารพิษออกจากร่างกาย และรับประทานผักผลไม้เยอะๆเพื่อป้องกันอาการท้องผูก เนื่องจากการขับถ่ายที่ดีก็เป็นการช่วยขบสารพิษออกจากร่างกายได้เช่นกัน





2. หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสาเหตุของลมพิษเช่น อาหารหมักดอง อาหารที่มีสารกันบูด อาหารกระป๋องที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงอาหารสด เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ตามท้องตลาดก็อาจมีสารตกค้างได้เช่นกัน ควรระวังเรื่องความสะอาดของอาหาร

สำหรับโรคลมพิษที่ไม่ทราบสาเหตุของผื่นจากโรคลมพิษ ก็สามารถใช้ยารักษาได้โดยการรับประทานยาแก้แพ้ ได้แก่ ยาต้านฮิสตามีน ซึ่งมี 2 ประเภทคือ
1. ยาต้านฮิสตามีนชนิดทำให้ง่วงน้อย ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กดอาการลมพิษได้ดี ทำให้ง่วงนอน แต่ราคาแพง ได้แก่ Astemizole, Loratadine เป็นต้น
2. ยาต้านฮิสตามีนชนิดที่ทำให้ง่วงซึม มีฤทธิ์กดอาการผื่นคันดีมาก ข้อจำกัดของยากลุ่มนี้คือ อาการง่วงนอน ซึ่งพบบ่อยกว่ายากลุ่มแรก ยากลุ่มนี้มีหลายชนิดเช่น Chlorpheniramine, Brompheniramine เป็นต้น (ที่มา : ผศ.นพ.นิยม ตันติคุณ)

 

เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคลมพิษ
นอกจากยาแก้แพ้แล้ว ยารักษาโรคกระเพาะพวก H2 antagonist เช่น cimetidine เมื่อใช้ร่วมกับยาแก้แพ้แล้วจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาลมพิษ ส่วนยาทาที่ผสม menthol, phenol หรือ camphor ก็จะทำให้เย็นผิวสบายตัว ลดอาการคันได้ รายที่เป็นลมพิษเรื้อรังอาจต้องรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ใจนะครับ


--------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลอ้างอิง : yourhealthyguide.com,ผศ.นพ.นิยม ตันติคุณ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #378 เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 07:59:06 PM »

ล้างพิษในหนึ่งวันที่คุณทำเองได้



ล้างพิษในหนึ่งวันที่คุณทำเองได้
คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก

                  หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

                1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

                2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด


               3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้


               4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป


               5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป


               วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว


     อุปกรณ์


   1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด


   2. มะนาว 4 ลูก


   3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน


     วิธีทำ


   1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน


   2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ


   3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น     
              คือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #379 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 07:33:20 PM »

สาเหตุของความดันโลหิตสูงที่คาดไม่ถึง



ปัจจุบันนี้เกือบทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่คงคุ้นเคยกับโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งประกอบด้วยการมีความดันโลหิตที่มีค่าสูงเกินปกติ และมีผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะหัวใจและหลอดเลือด

                  หัวใจจะทำงานหนักขึ้นเพราะต้องสูบฉีดแรงขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น หัวใจโตและหัวใจล้มเหลวตามมา หลอดเลือดแดงทั่วทั้งตัวจะมีผนังหนาขึ้น โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด จึงเกิดการเสื่อมของผนังหลอดเลือดเหล่านี้ ซึ่งจะนำไปสู่การตีบตันหรือแตก และอวัยวะที่เกี่ยวข้องเกิดความเสียหายและขาดเลือดหรือมีเลือดออก

                  ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงทั้งทางฟิสิกส์ คือ ความดันหรือแรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี คือ การที่เซลล์ของผนังหลอดเลือดมีความผิดปกติ เกิดการเสื่อมและมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดไขมันจับผนังหลอดเลือด และมีการดื้ออินซูลิน ทำให้เกิดโรคเบาหวาน หรือการควบคุมเบาหวานยากขึ้น เกิดภาวะแทรกซ้อนง่ายขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากและถูกมองข้ามไป แพทย์ส่วนใหญ่จึงให้ความสนใจเพียงแค่ค่าความดันโลหิตที่วัดได้ซึ่งไม่ถูกต้องนัก

                นอกจากการมองข้ามผลกระทบทางชีวเคมี ทั้งแพทย์และผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังละเลยการสืบค้นสาเหตุของความดันโลหิตสูง ถึงแม้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงเกือบทั้งหมดจะไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด โดยมากจะมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น อายุมาก กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ การบริโภคเกลือเป็นประจำ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความเครียด แต่มีผู้ป่วยทางรายที่มีสาเหตุและบางอย่างก็สามารถแก้ไขได้ ทำให้ไม่ต้องใช้ยาควบคุมความดันโลหิตไปตลอด ซึ่งสาเหตุต่าง ๆ มีดังนี้

                โรคไต ได้แก่ ไตพิการเรื้อรัง หรือหลอดเลือดแดงของไตตีบตัน ซึ่งการตรวจร่างกายจะต้องตรวจหาร่องรอยของไตพิการ และต้องฟังที่ท้องและเอวว่ามีเสียงฟู่ของหลอดเลือดตีบหรือไม่ ต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจไตด้วยวิธีพิเศษ เช่น อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือตรวจด้วยสนามแม่เหล็ก

                 โรคของต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะต่อมหมวกไต ซึ่งจะผลิตฮอร์โมนบางอย่างทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยมักจะมีความดันโลหิตสูงมากเป็นพัก ๆ หรือมีความดันโลหิตสูงร่วมกับภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนกำลังเป็น ๆ หาย ๆ การตรวจวินิจฉัย คือ การตรวจฮอร์โมนและการใช้อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการตรวจด้วยสนามแม่เหล็ก

                  นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคของต่อมหมวกไตอาจเกิดอาการผิดปกติที่มีลักษณะพิเศษ คือ ความดันโลหิตสูง อ้วนบางส่วน คือหน้ากลมคล้ายดวงจันทร์ ท้องโต หลังนูนเป็นหนอก แต่แขนขาลีบเล็กลงอ่อนกำลัง มีหนวดขึ้นหรือมีขนที่ใบหน้ามากขึ้น บวมทั้งตัวแต่ไม่มาก ท้องลายเป็นสีม่วงจาง ๆ ต่างจากคนตั้งครรภ์หรือคนอ้วนทั่วไปที่ลายซีด ๆ

                  โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ในอกตีบแคบมาแต่กำเนิด หรือหลอดเลือดขนาดใหญ่อักเสบเรื้อรังจนตีบตัน ตรวจร่างกายพบชีพจรแขนขาแรงไม่เท่ากัน หรือชีพจรบางแห่งเบาผิดปกติ การวัดความดันโลหิตจึงต้องวัดเทียบกันทั้งแขนขวากับแขนซ้ายและแขนกับขา

                   สาเหตุจากยา ได้แก่ ยากลุ่มสตีรอยด์ ยาต้านการอักเสบ (เช่น ยาแก้ปวดข้อ ข้ออักเสบ) ยาที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือด (เช่น ยาแก้คัดจมูก และยาที่กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติบางอย่าง) จึงต้องตรวจสอบการใช้ยาของผู้ป่วยด้วย แม้แต่ยาสมุนไพรบางอย่างก็มีสารสตีรอยด์ หรือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน (เช่น ชะเอม)

           ดังนั้น ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทุกคน ควรสอบถามแพทย์ที่ตรวจรักษาตนดังนี้

                   สาเหตุของความดันโลหิตสูงของตนคืออะไร จะเกิดจากโรคไต โรคต่อมหมวกไต โรคหลอดเลือด หรือเกิดจากยาได้หรือไม่

                  ผลกระทบที่เกิดจากความดันโลหิตสูงคืออะไร ต่อไปจะมีปัญหากับหัวใจและอวัยวะที่สำคัญอื่น ๆ หรือไม่ จะทราบได้อย่างไร รวมถึงจะป้องกันและแก้ไขอย่างไร

                  ผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นชายไทยวัยทำงาน มาพบผู้เขียนด้วยอาการปวดศีรษะรุนแรงเป็นพัก ๆ ตรวจพบว่าขณะปวดศีรษะผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูงขึ้นมาก และลดลงเป็นปกติพร้อม ๆ กับหายปวดศีรษะ ลักษณะเช่นนี้สงสัยว่าอาจจะเป็นเนื้องอกชนิดหนึ่งของต่อหมวกไต จึงได้ตรวจฮอร์โมนและทำอัลตราซาวนด์ท้อง ผลออกมาปกติ

                  แต่เนื่องจากยังข้องใจอยู่จึงส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ปรากฏว่า มีเนื้องอกของปมประสาทข้างต่อมหมวกไต (เป็นชนิดเดียวกับเนื้องอกของต่อมหมวกไต) ซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูงเป็นพัก ๆ หลังการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก อาการปวดศีรษะ จึงหายสนิทและความดันโลหิตปกติดี

                 ผู้ป่วยจึงกลับบ้านด้วยความรู้สึกทั้งดีใจที่หายสนิท โดยไม่ต้องกินยาความดันไปหลอด และอีกความรู้สึกหนึ่งคือความประหลาดใจที่ตนเองมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดที่ศีรษะ แต่กลับมีสาเหตุอยู่ในท้อง จนต้องผ่าตัดมีแผลที่หน้าท้องยาวมากกว่าคีบ


ขอบคุณข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #380 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 07:34:40 PM »

อาการชา...บอกอะไรได้บ้าง



เคยเป็นกันไหม? จู่ ๆ มือไม้ขาแข้งก็เกิดอาการชาขึ้นมาดื้อ ๆ ลองไปตรวจสอบอาการชาต่อไปนี้กัน เผื่อว่าคุณกำลังเป็นโรคอะไรอยู่
                 
        อาการชาที่นิ้วชี้ กลาง และนาง

             เพราะใช้หรือออกแรงมือมาก จนเกิดพังผืดข้อมือทับเส้นประสาท พบมากในผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อย คนที่เล่นกีฬาประเภทกอล์ฟ เทนนิส และแบดมินตัน

        อาการชาที่นิ้วก้อย

             เกิดจากเส้นประสาทบริเวณรักแร้ที่ยาวไปถึงนิ้วก้อย สาเหตุจากงอและเกร็งข้อศอกเพื่อถือหูโทรศัพท์เป็นเวลานาน

       อาการชาที่ต้นขาและรู้สึกปวดแสบปวดร้อน

            เป็นเพราะมีน้ำหนักตัวมาก หรือไม่ก็ชอบรัดเข็มขัดแน่นจนเกินพอดี ส่งผลให้เส้นประสาททำงานลำบาก เนื่องจากถูกอัดแน่นติดกับไขมัน


      อาการชาที่ขาและข้อพับ

            จากการนั่งพับเพียบหรือนั่งไขว้ขวานาน ทำให้เท้าตก ยกเท้าไม่ขึ้น เพราะเส้นประสาทถูกกดทับไว้กับพื้นและเข่า ชาที่ต้นขาและไปที่เข่า จะเกิดกับผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ทำให้ปลายเท้าและปลายนิ้วถูกกดทับจนเส้นประสาทอักเสบ

      อาการชาที่เริ่มเกิดขึ้นจากปลายเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้ว ลามขึ้นไปที่ข้อเท้า เข่า และลำตัว

             เป็นอาการที่เกิดกับนักดื่มคอทองแดง เนื่องจากฤทธิ์แอลกอฮอล์จะเข้าไปทำลายเส้นประสาทให้เสียหายหลายเส้น เพราะฉะนั้นหากไม่อยากให้ร่างกายเกิดอาการชา จนกระทบการใช้ชีวิตก็ควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่ เป็นต้นเหตุเหล่านี้เสีย



ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือเดินทาง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #381 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 07:37:55 PM »

ดูแลตัวเอง เมื่อหัวใจขาดเลือด



เดินช้อปที่จตุจักรอยู่ดี ๆ เพื่อนหนุ่มสุดหล่อก็ร้องโอดโอยว่า "เจ็บหน้าอก"

             ซึ่งแรก ๆ ก็นึกว่าอยากเล่นมุกขอความรัก แต่ไป ๆ มา ๆ ดูท่าแล้วคงจะเจ็บจริงแบบไม่ใช้สแตนอิน แล้วจะทำยังไงละเนี่ย

            เมื่อการซื้อของต้องล่ม แล้วตอนจบไปลงที่มือหมอ ซึ่งต้องตรวจร่างกายกันอยู่นานถึงได้รู้ว่า หนุ่มผู้โชคดีเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ดังนั้นเพื่อหนทางสู่คำว่าแฟน เรามาลองทำความรู้จักกับ "โรคหัวใจขาดเลือด" เพื่อเตรียมพร้อมกับการดูแลคนที่คุณรักกัน

    โรคหัวใจขาดเลือดเป็นอย่างไร

           หากคุณกำลังเป็นโรคหัวใจขาดเลือด อาการเหมือนรู้สึกบีบรัด แน่น อึดอัด ที่ส่วนบนของร่างกายหรือหน้าอก จะเป็นอาการของโรคที่คุณต้องเผชิญ ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่มักเป็นในคนวัยทำงาน ผู้สูงวัย และมักมีอาการเมื่อเริ่มออกกำลังกาย แต่ก็จะทุเลาลงได้หากได้พักผ่อน

          สาเหตุของโรคเกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัว หรือมีไขมันไปเกาะผนังของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง ปริมาณเลือดแดงผ่านได้น้อย เป็นผลทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหากหลอดเลือดแดงตีบแคบมากจนอุดตัน จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้

    ทำยังไงถึงหาย

         เมื่อเข้ารับการตรวจ และแพทย์พบว่า ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกเนื่องมาจากความปกติของหลอดเลือดหัวใจ แพทย์อาจใช้วิธีง่าย ๆ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจวัดความดันโลหิต และตรวจวัดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดเพื่อหาสาเหตุและวิธีแก้ไข

         เมื่อตรวจวินิจฉัยเสร็จเรียบร้อยผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์บางอย่าง เช่น ถ้าเป็นสิงห์อมควันก็ต้องเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะลดปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด และทำให้หลอดเลือดตีบลง ดังนั้นการสูบบุหรี่จึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาโรคหัวใจ โดยอัตราความเสี่ยงแก่การเสียชีวิตจากโรคหัวใจวายในคนสูบบุหรี่มีมากกว่าคนที่ไม่สูบถึง 2 เท่า ซึ่งหากงดสูบบุหรี่ตั้งแต่ปีแรก ๆ ภายใน 3-5 ปี อัตราการเสี่ยงที่ว่าก็จะลดลง

     ลดปริมาณไขมันในอาหาร

         เริ่มควบคุมน้ำหนักตัวโดยลดอาหารประเภทไขมันจากสัตว์ และอย่าลืมโดยเด็ดขาดว่าการลดอาหารลงอย่างรวดเร็วหรือไดเอทแบบหักโหมไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ซึ่งคุณควรค่อย ๆ ลดอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง โดยลดน้ำตาลจากขนมหวาน น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์ จากนั้นจึงหันมาบริโภคแป้ง และอาหารที่กากใย เช่น ผัก ผลไม้ คุมสติเมื่อเผชิญความเครียด

         นอกจากปรับพฤติกรรม การรับประทานยาตามที่หมอสั่งก็เป็นสิ่งที่ห้ามขาดตกบกพร่อง พกสเปรย์ หรือ ยาอมใต้ลิ้น เพื่อสามารถคว้ามาใช้ได้ทันท่วงทีเมื่อมีอาการ ทานยาทุกวัน ป้องกันการเกิดอาการ และควบคุมความดันโลหิต หากเป็นโรคเบาหวานก็ควรทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้เป็นปกติด้วย

         หากดูแลร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ ไม่ว่าโรคร้ายใด ๆ หรืออาการเจ็บอกแบบไหนก็ไม่กล้าแหยมให้คุณปวดใจอีกต่อไป แต่ถ้าต้องเจ็บตัวเพราะโดนหักอกอันนี้คงต้องบอกให้กลับไปบริหารเสน่ห์กันอีกยาว


ขอบคุณข้อมูลจาก e-magazine
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #382 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:37:45 PM »

ข้อแนะนำก่อนตรวจสุขภาพประจำปี



ข้อแนะนำก่อนการตรวจสุขภาพประจำปี

          การตรวจสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะบอกให้เราได้รู้ว่าร่างกายของเรานั้นขณะนี้มีสภาพเป็นอย่างไร คนส่วนมากไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพมากนักและมีนิสัยที่จะไปพบแพทย์ก็เมื่อยามที่ตนรู้สึกมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย ในบางครั้งการแสดงอาการของโรคก็หนักสำหรับการเยียวยารักษาไปแล้ว
         
          ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะบ่งบอกให้เราได้รับรู้ถึงสภาพที่แท้จริงของร่างกาย


        ก่อนตรวจสุขภาพ

           ไม่ควรอดนอน ดื่มสุราหรือกาแฟในคืนก่อนการตรวจสุขภาพ เนื่องจากจะทำให้ความดันโลหิตสูงกว่าที่เป็นจริง

            ควรสวมใส่เสื้อที่สามารถพับแขนขึ้นได้สะดวก ไม่รัดแน่น เพื่อความสะดวกในการเจาะเลือด

            ถ้าต้องการตรวจภายใน (เฉพาะสุภาพสตรี) ควรสวมใส่กระโปรง และควรตรวจก่อนหรือหลังการมีประจำเดือน 7 วัน

            ควรนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนตรวจวัดความดันโลหิต

         การอดอาหารก่อนตรวจสุขภาพ

         การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนการเจาะเลือด 8 ชม. และตรวจไขมันในเลือด (Cholesterol,Triglyceride, HDL, LDL)
ควรงดน้ำหรืออาหาร 12 ชม. หากกระหายน้ำมากให้จิบน้ำเปล่าได้เพียงเล็กน้อย
หลังจากการเจาะเลือดแล้วสามารถรับประทานน้ำและอาหารได้ทันที จากนั้นเข้ารับการตรวจรายการต่อไปได้

          ควรตรวจสุขภาพในช่วงเช้า เพื่อไม่ให้ร่างกายอิดโรยเกินไป

          เมื่อเจาะเลือดเสร็จแล้ว


          ควรพับแขนเสื้อข้างที่เจาะเลือดบริเวณข้อพับไว้อยางน้อย 5-10 นาที ไม่คลึงหรือนวดบริเวณที่เจาะเลือดเพราะอาจจะทำให้เส้นเลือดแตกได้

          ในกรณีที่มีรอยช้ำเขียวบริเวณที่เจาะเลือดแสดงว่าเส้นเลือดอาจจะแตก รอยช้ำดังกล่าวจะหายเองภายใน 1-2 สัปดาห์อาจทายาแก้ฟกช้ำ เช่น ฮีรูดอยด์ช่วยได้ แต่ไม่ควรคลึงบริเวณที่เส้นเลือดแตก

          การเก็บปัสสาวะ

         ให้ถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทิ้งไปก่อน แล้วค่อยเก็บตัวอย่างปัสสาวะช่วงกลาง และทิ้งปัสสาวะช่วงสุดท้ายไป

          สุภาพสตรีที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือนไม่ควรตรวจ หรือถ้าต้องการตรวจต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ

           เอ็กซเรย์ปอด

           ในวันตรวจงดใส่เครื่องประดับต่างๆ ที่เป็นโลหะ สุภาพสตรีงดใส่ชุดชั้นในที่เป็นโครงเหล็ก

            ไม่ควรเอกซเรย์ หากไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่ หากสงสัยว่าจะมีการตั้งครรภ์ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนการเอกซเรย์




 

 
 
http://www.nstda.or.th/nstda-knowledge/5104-recommendations-prior-health-check
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #383 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:39:26 PM »

ยาตีกันอันตราย


ยาตีกัน คืออะไร ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?

             รู้ไหมว่า ยิ่งใช้ยามากชนิด ก็จะยิ่งเพิ่มยาตีกัน เนื่องจากทุกวันนี้มียาให้เลือกใช้มากกว่าในอดีตเป็นอันมาก ชนิดของยานับวันจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีทางเลือกให้แพทย์ได้สั่งจ่ายยาที่มีความเฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับผู้ป่วยมากขึ้น ทั้งยังครอบคลุมการรักษาโรคให้กว้างยิ่งขึ้น

             ท่ามกลางการค้นพบยาใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ป่วยก็มีโอกาสใช้ยาจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง ยิ่งถ้าผู้ป่วยเป็นหลายโรค ก็ต้องใช้ยามากชนิดขึ้นตามอาการของโรคที่เป็นทำให้มีแนวโน้มว่าคนจะมีการใช้ยากันมากขึ้น

              การที่ต้องใช้ยาหลายชนิดในคราวเดียวกัน เพื่อรักษาโรคที่เป็นปัญหาอยู่นั้น อาจจะส่งผลให้ยาที่ใช้อยู่นั้นเกิด "ผลต่อกันได้" ซึ่งอาจจะเป็นคุณหรือโทษต่อผู้ใช้ยาก็ได้ และเราเรียกผลของยาชนิดที่หนึ่งที่ไปส่งผลต่อยาอีกชนิดหนึ่งนี้ว่า "ยาตีกัน"

               คำว่า "ยาตีกัน" มาจากภาษาอังกฤษว่า druginteraction ซึ่งถ้าแปลตรงตัวจะได้ความว่า ปฏิกิริยาระหว่างยา ในที่นี้ขอเรียกให้เข้าใจตรงกันง่าย ๆ ว่า "ยาตีกัน"

       ยาตีกัน มีทั้งคุณและโทษ

               เมื่อใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อกัน หรือยาตีกัน ซึ่งจะส่งผลบวกหรือลบต่อสุขภาพร่างกายได้ โดยด้านบวกหรือคุณ ก็จะช่วยเพิ่มคุณประโยชน์ของยา ช่วยให้ลดขนาดของยาที่ใช้ลงได้ หรือเมื่อเกิดยาตีกันแล้วทำให้ได้ผลการรักษาดีขึ้น

               ขอยกตัวอย่างเช่น การใช้ยาเพนิซิลลิน (ยาปฏิชีวนะ) ร่วมกับยาโพรเบเนซิด (ยารักษาโรคเกาต์) จะเกิด "ยาตีกัน" ขึ้น และทำให้ยาเพนิซิลลินถูกขับออกจากร่างกายได้ช้าลง เป็นผลให้ระดับยาเพนิซิลลินสูงขึ้น และอยู่ในร่างกายได้นาน เสมือนกับมีการยืดระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาให้นานยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องให้ยาในขนาดที่สูง ๆ และ/หรือไม่ต้องให้ยาบ่อย ๆ เป็นการเพิ่มความสะดวกในการใช้ยา และลดค่าใช้จ่ายของยา พร้อมกับคงประสิทธิภาพของยาได้เหมือนเดิมอีกด้วย

       "ยาตีกัน" มักจะทำให้เกิดโทษมากกว่า

              แต่ในทางตรงกันข้าม ยาตีกันชนิดที่ทำให้เกิดโทษ ซึ่งเป็นปัญหาจากการใช้ยาหลายชนิดร่วมกัน เป็นปัญหาที่พบบ่อย ก่อให้เกิดความสูญเสีย และเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เป็นอันมาก ฉบับนี้ขอยกตัวอย่างยาตีกันที่พบบ่อยและทำให้เกิดโทษหรืออันตรายต่อผู้ใช้ยา ดังนี้

          1.การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ร่วมกับยาอะม็อกซีซิลลิน อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้

          2.การใช้ยาลดไขมันในเลือด กลุ่มสแตตินกับยาอีริโทรไมซิน อาจพาลให้ไตวาย

          3.การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือด ในโรคเบาหวานกับยาแก้ปวดข้อกลุ่มเอ็นเสด ทำให้ช็อกได้



ขอบคุณข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #384 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:53:19 PM »

เรื่องน่ารู้ 'ต้อกระจก'


ต้อกระจก คือ สภาวะการขุ่นมัวและแข็งตัว ของเลนส์ตา ทำให้แสงผ่านไปยังประสาทตาได้น้อยลง สายตาจะมัวลงเรื่อยๆ ตามความขุ่นทึบของเลนส์ตา


อาการของโรคต้อกระจก คือ มองเห็นภายในลักษณะคล้ายควันหรือหมอกบัง ซึ่งหากปล่อยต้อกระจกทิ้งไว้นาน เลนส์จะสุกเห็นตาดำตรงกลางมีสีขาว ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอาการปวดตาอย่างรุนแรงและลุกลามเป็นต้อหินหรือม่านตาอักเสบถ้ารักษาไม่ทัน อาจสูญเสียการมองเห็นในที่สุด



สาเหตุของโรค เกิดจากการเสื่อมสภาพตามอายุขัย (มักเกิดระหว่าง 50-60 ปี) อุบัติเหตุ, พิษจากสารเคมี, กรรมพันธุ์ เกิดจากยาบางชนิด เช่น คอติโดสเตอรอยด์  เกิดจากโรคตาบางชนิด เช่น ม่านตาอักเสบ, เบาหวานขึ้นตา, เบาหวาน, ต้อหิน, ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัดตา และเกิดจากแสงแดด แสง X-rays, เกิดตามหลัง ภาวะที่มีท้องร่วงรุนแรง, ภาวะขาดน้ำ, ขาดอาหาร การรักษาโรคต้อกระจก



กรณีไม่ผ่าตัด ส่วนใหญ่ต้อกระจกในระยะเริ่มแรก อาจแก้สายตาให้มองเห็นดีขึ้นโดยการใส่แว่น หรือแว่นขยาย ยังไม่พบว่ามียาที่ทำให้เลนส์ตาขุ่นกลับมาใสได้ ในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงปกติจะสามารถช่วยชะลอเลนส์ให้ขุ่นช้าลงได้



กรณีผ่าตัด จักษุแพทย์จะพิจารณาจากระยะของเลนส์ตา ที่ขุ่นว่ามากน้อยเพียงใด และพิจารณาจาก อาการตามัว ถ้าเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน หรือกิจวัตรประจำวันก็ควรได้รับการผ่าตัดรักษา

 

การชะลอการเกิดต้อกระจก ควบคุมอาหารให้สมดุล หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด โดยสวมแว่นกันแดด หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่ตา



การผ่าตัดต้อกระจกมี 2 วิธี คือ การผ่าตัดแบบเปิดแผลกว้างและเย็บแผล  และการผ่าตัดโดยการสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (การผ่าตัดทั้ง 2 วิธี ใช้หยอดยาชา และฉีดยาชาก่อนผ่าตัด) ก่อนการผ่าตัดควรปฏิบัติอย่างไร 1.ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวให้กินยาตามปกติ ยกเว้นบางรายที่แพทย์แจ้งให้งดก่อนผ่าตัด เช่น ยาละลายลิ่มเลือด 2. หนึ่งวันก่อนผ่าตัดควรสระผมให้สะอาด งดแต่งหน้า และ 3.ไม่ต้องงดอาหาร (กรณีแพทย์สั่ง)

 
 


ขอบคุณ : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง คอลัมน์ชีวิตและสุขภาพ โดย นพ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์

 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #385 เมื่อ: กันยายน 23, 2012, 02:25:22 PM »

ดูแลสุขภาพดวงตาง่ายๆ ด้วยโยคะสายตา



ชีวิตยุคไอที การใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัยเพื่อทำงาน หรือติดตามข่าวสาร จำเป็นต้องใช้สายตาจ้องมองเป็นเวลานาน การดูแลสุขภาพดวงตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

          เทคนิคเพื่อบริหารดวงตาให้มีสุขภาพดีนั้นมีหลากหลาย โยคะมีการบริหารดวงตาโดยต้องถอดแว่นหรือคอนแทคเลนส์ออกก่อน แล้วทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 หลับตาแล้วถูฝ่ามือสองข้างเข้าหากันไปมาอย่างเร็วจนรู้สึกร้อน


ขั้นตอนที่ 2 ประคบฝ่ามือทั้งสองข้างนาบกับหนังตานานประมาณ 1 นาที
ให้รู้สึกถึงความร้อนที่แผ่จากฝ่ามือสู่ดวงตา


ขั้นตอนที่ 3 ผ่อนคลายความเคร่งเครียดทั้งมวลลงพร้อมทั้งหายใจลึกๆ
นำมือออก ลืมตาขึ้น


ขั้นตอนที่ 4 เคลื่อนสายตาจากซ้ายไปขวา โดยมองไปยังที่ไกลๆ จากมุมซ้ายสุด
แล้วกวาดสายตาไปยังมุมขวาสุด ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง


ขั้นตอนที่ 5 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาจากมุมขวาบนไปยัง
มุมซ้ายล่างเป็นเส้นทแยงมุม ทำซ้ำๆ กัน 4 ครั้ง


ขั้นตอนที่ 6 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว เคลื่อนสายตาโดยกวาดสายตาเป็นวง
(ทิศทางตามเข็มนาฬิกา) ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง


ขั้นตอนที่ 7 ทำซ้ำขั้นตอนที่ 1-3 แล้ว
เคลื่อนสายตาจากบนสุดลงมายังจุดล่างสุด
โดยมองไปยังจุดไกลๆ ที่สุดด้านบน
แล้วกวาดสายตาลงมายังจุดด้านล่างอย่างช้าๆ
ทำซ้ำกัน 4 ครั้ง

ขั้นตอนง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตนเองเพียงแค่นี้ ก็สามารถดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดี 


 
 
http://www.lib.ru.ac.th/miscell/eye-yoga.html

 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #386 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2012, 10:47:09 AM »

ขอบคุณสาระดี ๆ จ้า Grin
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #387 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:17:21 PM »

ขอบคุณสาระดี ๆ จ้า Grin

มาอ่านบ่อยๆๆน่ะจ้ะ Wink
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #388 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:19:20 PM »

ตามไปดู เรื่อง กิน อยู่ หลับ นอน ของหนู



ตามไปดู เรื่อง กิน อยู่ หลับ นอน ของหนู (Mother&Care)

แรกเกิด : เรื่อง เด่นเห็นจะไม่เกินเรื่องนอน ก็ตอนเกิดหนูเสียพลังมาก เหลือพลัง ไว้กินไว้ย่อยน้อยนิด ขอนอนเอาแรงทั้งวัน ทั้งคืนให้ได้สัก 17-18 ชม. ก่อนเถอะ ถึงปลุกก็ไม่ตื่นขึ้นมาดูดนมหรอก บอกแล้วไม่สนเรื่องกิน

1 เดือน : กิจวัตรประจำวันของหนูก็คือ ร้องไห้เก่งเป็นที่หนึ่ง ก็หนูบอกความต้องการไม่ได้นี่ ถ้าพูดได้คงบ่นให้ฟังแล้วว่าหนูรู้สึกไม่สบายตัวอย่างไร ส่วนเรื่องกินก็เริ่มเด่นชัดขึ้น หนูดูดนมบ่อย แต่ยังไม่ค่อยเป็นเวลาหรอก

2 เดือน : หนูมีชั่วโมงแห่งความหงุดหงิด ช่วงเย็นๆ ค่ำๆ จะตะเบ็งเสียงร้อง บางทีถึงกับกลั้นหายใจหรือร้องอั้น จนหน้าเปลี่ยนสีก็มี ทำไงได้ก็หนูคับข้องใจ บอกความรู้สึกตั้งมากมายก็ไม่ได้นี่นา ช่วยปลอบใจหนูหน่อย

3 เดือน : หนูไม่ขี้เซาเอาแต่นอน เวลานอนจึงลดลงเหลือ 15 ชม. ต่อวัน วันหนึ่งก็ตื่นขึ้นมากินนมหลายครั้ง ถ้าจะนอนก็ได้ครั้งละ 3-4 ชม. ก็เต็มอิ่ม ขอบอกช่วงที่สุขใจสุด คือ ช่วงที่ได้กินนม หนูจะขี้เล่น ยิ้ม อารมณ์ดี

4 เดือน : พัฒนาการ หนูเพิ่มขึ้น คอและมือก็เริ่มแข็งแรง หนูกำลังเริ่มพัฒนากล้ามเนื้อลำตัวเตรียมตัวนั่งต่อไป อ้อ…ถ้าเห็นหนูเริ่มติดของก็อย่าว่ากันเลย ของนุ่มๆ นี่ช๊อบชอบ กอดแล้วทำให้สบายใจ หลับได้หลับดีล่ะ

5 เดือน : ขอ เป็นนาฬิกาปลุกให้นะ เพราะหนูตื่นเป็นเวลา 6 โมงเช้าตรงเป๊ะ ตื่นแล้วก็ไม่ใช่จะอยู่เฉยมองโน่นนี่นั่นแค่นั้น แต่จะเริ่มยุกๆ ยิกๆ ถีบแข้งขา พลิกไปมา แล้วก็ส่งเสียงเรียก เชื่อสิใครได้ยินคงนอนต่อไม่ลงหรอก

6 เดือน : หนูนอนกลางวันได้ตั้ง 3 ครั้ง จะตื่นทุก 2-3 ชม. ถ้าฝึกดีๆ ก็หลับได้ตลอดคืนนะ หนูเห็นใจแม่จังเวลาให้นมแล้วหนูเผลอกัด ก็มันเขี้ยว คันเหงือก ฟันกำลังขึ้นนี่ มองหาของเล่นยาง ผลไม้ชิ้นให้หนูกัดบ้างนะ

7 เดือน : ไม่รู้ทำไมหนูร่ำรวยอารมณ์ขันจัง  แค่ได้ยินเสียง เห็นหน้า ท่าทางคนที่มาเล่นหนูก็ขำ บางที ขำล่วงหน้าก็มี แล้วหนูก็ชอบสำรวจอาหาร อย่าว่ากันเลย ถ้าหนูจะขยำ ละเลง ป้าย ก็หนูจะได้รู้สึกดีกับการกินนะสิ

8 เดือน : สิ่งแวดล้อมรอบตัวน่าเรียนรู้ไปหมด หนูหมายตาโต๊ะที่มีภาชนะตั้ง ตอนตีให้เกิดเสียง มีเสียงทึบ ๆของโต๊ะแล้วยังมีเสียงภาชนะที่กระทบกันกรุ๊งกริ๊งน่าฟังด้วย ส่วนเรื่องนอน หนูก็หลับตลอดคืนนานขึ้นนะ

9 เดือน : วัยนี้หนูนอนได้ราว 14 ชม. ก็พอกับเวลาที่ต้องการแล้ว ตอนกลางคืนก็นอนได้ยาวราวๆ 7 ชม. มีตื่นขึ้นมาร้องบ้าง แต่ก็นอนต่อได้นะ ถ้าแม่มาตบก้นเบาๆ ร้องเพลงกล่อม หนูก็อบอุ่นใจ ยิ่งหลับได้เร็วขึ้นด้วย

10 เดือน : หนูยังเก็บอารมณ์ไม่เป็น ชอบแสดงความรู้สึกแท้จริงออกมาตรงๆ ไม่พอใจก็ร้องไห้ ส่งเสียงกรี๊ด หรือเอะอะ พอใจก็จะยิ้ม หัวเราะกิ๊กกั๊ก ตบมือ ชอบโชว์ด้วย ถ้ายังทำเฉยไม่ปรบมือชมหนู หนูจะโวยให้น่าดู

11 เดือน : ชอบเลียนแบบสีหน้า ท่าทาง จังหวะการออกเสียงพ่อแม่จัง ชอบดูตอนเขาแต่งตัวด้วย ทำให้หนูสวมเสื้อผ้าได้ดีขึ้น ส่วนเรื่องนอนกลางวัน ก็นอนได้ 2 ครั้งต่อวัน ว้า… พูดถึงเรื่องนี้ทีไร ง่วงอีกแล้ว หาววววว

12 เดือน : เรื่องกินอยู่หลับนอนเป็นเวลามากขึ้น หนูรู้ว่าแม่จะอาบน้ำ แต่งตัว หม่ำข้าว ให้นม ร้องเพลงกล่อมตอนไหน วัยนี้หนูต้องการเวลานอนลดลงเหลือ 10-12 ชั่วโมง กลางวันนอน 1-2 ชม. ต่อครั้ง ก็พอแล้วล่ะ

พัฒนาสมอง น้องหนู

การนอนเต็มอิ่มช่วยให้ Growth Hormone เพื่อการเติบโตหลั่งดี โดยเฉพาะช่วง 3-4 ทุ่ม เพราะเป็นจังหวะที่มีการซ่อมแซมเซลล์สมอง แต่ฮอร์โมนจะหลั่งน้อยลงเมื่อเลยเที่ยงคืนแล้ว ดังนั้นเพื่อช่วยให้ลูกเติบโตดี มีน้ำหนักส่วนสูงขึ้นได้ตามมาตรฐาน สมองเรียนรู้ได้เร็ว อย่าปล่อยให้ลูกนอนดึกนักนะคะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #389 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:28:39 PM »

"ท้องอืดท้องเฟ้อ" ต้นตอโรคระบบทางเดินอาหาร [/size


อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มคนวัยเรียนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เนื่องมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะปัจจัยเรื่องความเครียด พฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือรับประทานอาหารด้วยความเร่งรีบ เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ อาทิ แอลกอฮอล์ บุหรี่ กาแฟ น้ำอัดลม อาหารไขมันสูง รับประทานอาหารอิ่มแล้วนอนในทันที รับประทานอิ่มเกินไป หรือแม้แต่พูดคุยขณะรับประทานอาหาร เพราะเป็นการกลืนอากาศเข้าไปพร้อมอาหาร จนส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เหล่านี้ขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่น่าวิตกในการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพ




สาเหตุและอาการ
ส่วนใหญ่ คือ อาการอึดอัด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ บริเวณลิ้นปี่หรือเหนือสะดือ อาการเหล่านี้ทางการแพทย์ใช้คำแทนว่า อาการดิสเปปเซีย (Dyspepsia) จากการสำรวจข้อมูลประชากรจำนวน 23,676 คน ใน 5 ประเทศของยุโรป พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีอาการเหล่านี้ถึงร้อยละ 32% (7,576 คน) ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบร้อยละ 25 และสำหรับประเทศไทยนั้น มีข้อมูลจากสมาคมโรคทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย ว่าคนไทยประสบกับอาการนี้ถึงร้อยละ 20-25 และเป็นอาการที่พบบ่อยเป็นอันดับหนึ่งในคลินิกทางเดินอาหาร โดยพบได้ทุกช่วงอายุตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงอายุ ช่วงที่พบบ่อยมากคือ อายุตั้งแต่ 40-45 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นอาการที่เกิดจากระบบการย่อยอาหารที่เสื่อมลงตามวัย


แบ่งกลุ่มโรคออกเป็น 2 ชนิด
1.กลุ่มผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพชัดเจนในกระเพราะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือ "ออแกนิก ดิสเปปเซีย" (organic dyspepsia) เช่น กระเพาะอาหารอักเสบรุนแรง มีแผล มีเชื้อโรคซ่อนอยู่ เนื้องอกในกระเพราะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น


2.กลุ่มผู้ป่วยที่ตรวจไม่พบโรคดังกล่าวด้วยวิธีส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน หรือ "ฟังชันนอล ดิสเปปเซีย - เอฟดี" (Functional dyspepsia - FD) โดยอาการชนิดนี้ เกิดจากการที่กระเพราะอาหารหรือลำไส้เล็กทำหน้าที่ผิดปกติไปจากเดิม ซึ่งพบเป็นส่วนมากในผู้ป่วยที่มีอาการดิสเปปเซีย


ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ อาทิ กระเพาะบีบตัวไม่ได้ บีบตัวช้า กระเพาะไวต่ออาหารบางชนิดเช่น อาหารรสจัด ล้วนส่งผลให้การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร และการเคลื่อนตัวของอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กเป็นไปด้วยความลำบาก เกิดการสะสมของฟองอากาศหรอแก๊สในกระเพาะอาหารและ ลำไส้ ทำให้อึดอัด แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ


อาการในกลุ่มฟังชันนอล ดิสเปปเซียนั้นไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่จะรบกวนคุณภาพชีวิตได้ ซึ่งผู้ที่มีอาการ จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการนี้ ควบคู่ไปกับการรับประทานยารักษาอาการ ซึ่งยารักษาอาการในกลุ่มฟังชันนอล ดิสเปปเซียมีอยู่หลายชนิด อาทิยาลดแก๊สหรือฟองอากาศที่อยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ ที่มีตัวยา "ไวเมทิโคน" (Simethicone) เช่น ยาแอร์เอ็กซ์ ที่สามารถช่วยลดแรงตึงผิวของฟองอากาศหรือแก๊สในทางเดินอาหาร ทำให้ฟองอากาศเล็กๆ รวมตัวกันง่าย และถูกขับออกจากร่างกายทางปากหรือทางทวารหนักได้ดีขึ้น ทำให้ทางเดินอาหารทำงานได้อย่างเต็มที่ อาการอึดอัดแน่นท้อง ท้องอืดเฟ้อ ก็จะดีขึ้นตามลำดับ โดยที่ตัวยาจะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไม่มีปฏิกิริยาต่อยาอื่นๆ ที่รับประทานร่วมกัน อย่างเช่น ยาลดกรดที่กระตุ้นการบีบตัวกระเพาะอาหาร เป็นต้น


อาการท้องอืดนั้น เกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย เพื่อให้ห่างไกลจากอาการเหล่านี้ ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่รับประทานอิ่มจนเกินไป ไม่พูดคุยขณะรับประทานอาหาร หลังจากรับประทานอาหารก็ไม่คารนอนทันที และควรรักษาสมดุลการทำงานไม่ให้ตนเองตกอยู่ในภาวะเครียด พร้อมออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างพอดี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: