Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 35 36 [37] 38 39 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71770 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ไม่สามารถโหลดไฟล์ภาษา 'Aeva.thai-utf8' ได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #540 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2018, 10:42:33 AM »

น้ำผึ้ง เพื่อสุขภาพและความงาม
โพสโดย Anonymous



น้ำผึ้งคือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้ โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะน้ำหวาน ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆบ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า "น้ำผึ้งสุก" เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน คือมีน้ำอยู่ไม่เกินร้อยละ 20-21 แต่ถ้าหากเก็บน้ำผึ้งในหน้าที่มีน้ำมากไม่มีการระเหยน้ำออกมาให้อยู่ในมาตรฐานอาจทำให้เกิดกระบวนการหมัก ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวและเกิดแก๊สขึ้น อาจมีการระเบิดได้ถ้าเก็บไว้ในขวดแก้วที่ปิดสนิท ดังนั้นคนโบราณจึงนิยมให้ใช้น้ำผึ้งเดือนห้า เพราะปริมาณน้ำน้อยและมีดอกไม้หลายชนิดบานในช่วงเวลาดังกล่าว
 
คุณภาพของน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ หรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้นๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสร ดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน

น้ำผึ้งยาอายุวัฒนะของทุกชนชาติ
ทุกชนชาติทั้งจีน ยุโรป เอเชีย แอฟริกา อินเดียต่างมีความเชื่อร่วมกันว่า น้ำผึ้งมีสรรพคุณบำรุงสุขภาพและเป็นยาอายุวัฒนะ

หมออายุรเวทถือว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะและไม่เพียงมีคุณค่าทางยาเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอีกด้วย เช่น ใช้ประกอบในพิธีกรรมต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องสักการะบูชาเทพเจ้า

ทางยาหมออายุรเวทเชื่อว่าน้ำผึ้งมีสรรพคุณชำระล้างบาดแผล รักษาแผล สมานเนื้อเยื่อ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้ตรีโทษ ลดไขมัน บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล เสริมสร้างสติปัญญา และบำรุงกำหนัด นิยมใช้ในการแก้ไอ แก้หอบหืด ร่างกายซูบโทรม รักษาอาการบาดเจ็บ หมายถึงถูกกระทบกระแทกแล้วร่างกายบอบช้ำ ทั้งยังใช้แก้อาเจียน แก้สะอึก วิงเวียน มึนงง แก้ท้องเสีย (ใช้น้ำผึ้งเก่า) แก้อาการเลือดออกง่าย แก้กระหาย เป็นลม รักษาโรคเกี่ยวกับตา แก้พิษ และรักษาโรคพยาธิ เป็นต้น เวลาใช้จริงส่วนใหญ่มักไม่ใช้น้ำผึ้งอย่างเดียวล้วนๆ แต่จะผสมในยากวนบ้าง ผสมในยาดอง หรือไม่ก็ใช้เป็นกระสายยา และยังใช้น้ำผึ้งผสมเพื่อให้กินง่ายขึ้น
น้ำผึ้งในตำรับยาไทย
ส่วนน้ำผึ้งในตำรับยาไทยนั้นมีการใช้คล้ายกันกับการใช้ของทางอายุรเวทคือใช้เป็นน้ำกระสายยา ใช้แต่งรสยาและใช้เป็นยา โดย หมอบุญยืน ผ่องแผ้ว แพทย์แผนไทยประจำคลินิกหนองบง จังหวัดลพบุรี ก็กรุณาเล่าให้ฟังดังนี้

- น้ำผึ้งช่วยแต่งรสยา
น้ำผึ้งมีรสหวานฝาด ร้อนเล็กน้อย มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ปวดหลัง ปวดเอว ทำให้แห้ง ใช้ทำยาอายุวัฒนะ เราใช้น้ำผึ้งแต่งรสยาบางชนิด เช่น ยาแก้ไข้ที่มีรสขมมาก จนผู้ป่วยกินไม่ได้ เราต้องใช้น้ำผึ้งผสมให้มีรสหวานนิดหนึ่ง รสยาก็จะอร่อยขึ้น และช่วยชูกำลัง ซึ่งน้ำผึ้งเข้าได้กับตำรับยาทุกชนิด

- น้ำผึ้งหนึ่งในน้ำกระสายยา
น้ำกระสายยาคือส่วนผสมหนึ่งของตำรับยาไทย ที่ช่วยให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีหลายชนิด เช่น จากพืช (น้ำมะนาว) จากธาตุ (เปลือกหอยนำมาฝนกับน้ำ) จากสัตว์ (งาช้าง)

น้ำผึ้งที่ถือเป็นน้ำกระสายยาตัวหนึ่งที่มีฤทธิ์แรงทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต และกระจายเลือด ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีกำลังมากขึ้น หรือบางครั้งนำน้ำผึ้งมาผสมกับยาปั้นเป็นลูกกลอน แต่ผู้ปรุงยาควรนำน้ำผึ้งไปเคี่ยวให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค มิฉะนั้น ยาลูกกลอนจะขึ้นราภายหลัง

ผู้ป่วยที่ไม่ควรกินน้ำผึ้ง
ตามหลักการแพทย์แผนไทยแล้ว น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายก็จริง แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แนะนำว่าไม่ควรกินน้ำผึ้งแบบเข้มข้นโดยไม่ผสมอะไรเลยและไม่ควรกินน้ำผึ้งในปริมาณมากเกินไป ประเภทครั้งละครึ่งแก้วไม่ดีแน่ อย่างเก่งแค่ครั้งละ 1 - 2 ช้อนชา

สารสำคัญในน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 20 น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น กลูโคส ฟรักโทส และลีวูโลส ประมาณร้อยละ 79 โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส" มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ
กรดชนิดต่างๆ ประมาณร้อยละ 0.5 ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน (ไรโบฟลาวิน ไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส) ประมาณร้อยละ 0.5 โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 303 แคลอรี

น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยาคือ สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ

เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ และแก้อาการท้องผูกในเด็กและผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนน้ำผึ้งเป็นอาหารและยา
1. รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลและลดการอักเสบ
น้ำผึ้งถือว่าเป็นยารักษาแผลชั้นเลิศ โดยสามารถใช้แก้ไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ผลชะงัดนัก โดยให้ใช้น้ำผึ้งทาบริเวณที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก ยิ่งทาบ่อยยิ่งดี หรือถ้าเกิดถูกมีดบาดหรือมีบาดแผล หลังจากล้างทำความสะอาดแผลให้สะอาดแล้ว ให้น้ำผึ้งทาหรือจะใช้น้ำผึ้งผสมกับผงขมิ้นชัน คลุกเคล้าให้เข้ากันดี แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นแผล จะช่วยลดการอักเสบและช่วยให้แผลหายเร็ว เพราะทั้งน้ำผึ้งและขมิ้นชันนั้น มีสรรพคุณรักษาบาดแผล สมานเนื้อเยื่อและบำรุงผิวอีกด้วย

2. รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อรา
ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งทาบริเวณกลากเกลื้อน วันละ 2 ครั้ง

3. ต้านข้ออักเสบ
ผสมน้ำส้มแอปเปิ้ลไซเดอร์ 2 ช้อนชาลงในน้ำร้อน เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงดื่มวันละ 2 ครั้ง
4. แก้อาการท้องผูกและแก้ท้องเสีย
น้ำผึ้งเป็นทั้งยาระบายและแก้ท้องเสีย กล่าวคือถ้าเป็นน้ำผึ้งเก่าคือน้ำผึ้งที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไปจะช่วยแก้ท้องเสีย แต่ถ้าเป็นน้ำผึ้งใหม่ประเภทเพิ่งเก็บจากรังไม่นานจะมีสรรพคุณเป็นยาระบาย โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ ก่อน 6 เดือน ชาจะเป็นยาระบายในเด็กอ่อนที่ปลอดภัยยิ่ง การใช้น้ำผึ้งแท้สักประมาณ 1 ช้อนชา ผสมน้ำต้มสุกสัก 3 ช้อนหรืออาจกินร่วมกับผักผลไม้ เช่น การกินกล้วยน้ำว้าสุกจิ้มน้ำผึ้งหรือมันต้มสุกจิ้มน้ำผึ้ง ช่วยลดอาการท้องผูกได้เช่นกัน

5. แก้นอนไม่หลับ
น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ ชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นหรืออาจใส่ในชาดอกไม้ เช่น ชาดอกคาโมมายล์ ดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับสบายขึ้น

6. บำรุงเลือด
เทน้ำผึ้งครึ่งช้อนโต๊ะใส่แก้ว บีบน้ำมะนาว 1 ซีก ใส่เกลือนิดหน่อยเติมน้ำร้อน ดื่มเป็นยาบำรุงเลือด

7. บรรเทาอาการไอ
ถ้าเป็นหวัดก็ให้ใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำคั้นจากขิงแก่ ดังตำรับตัวอย่างคือ
ส่วนผสม : น้ำผึ้ง 500 กรัม ขิงสด 1.2 กิโลกรัม (1 ชั่ง)
วิธีทำ : คั้นขิงสดเอาแต่น้ำ แล้วนำมาผสมกับน้ำผึ้งต้มจนแห้ง
วิธีกิน : กินครั้งละขนาดเท่าลูกอมจะช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง หรือบีบมะนาวฝานสดๆ 1 เสี้ยวเข้าปากให้ลงลำคอ และจิบน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ อมไว้ หายไอดีมาก
นอกจากนี้การใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำคั้นจากใบกะเพราแดงและน้ำคั้นจากใบเสนียด แก้ไอ และบรรเทาอาการหอบหืด ได้ผลชะงัดนักกับอาการไอที่ไม่ค่อยมีเสมหะ แต่ถ้าไอมีเสมหะ ก็จะใช้น้ำผึ้งผสมกับผงดีปลีแทน

8. เป็นอาหารสุขภาพสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
ส่วนผสม : น้ำผึ้งและงาดำ อย่างละ 50 กรัม
วิธีทำ : ตำงาดำให้ละเอียดแล้วคลุกกับน้ำผึ้ง
วิธีกิน : ชงกับน้ำร้อนดื่มรักษาโรคความดันโลหิตสูงและบรรเทาอาการท้องผูกเรื้อรัง
สำหรับผิวหน้าสดใส
น้ำผึ้งเป็นผลิตผลจากธรรมชาติที่ใช้ในการดูแลผิวพรรณคู่กับน้ำนมมาอย่างยาวนาน นับแต่สมัยพระนางคลีโอพัตราอันเลอโฉมแห่งอียิปต์ คือน้ำผึ้ง ในน้ำผึ้งมีสารเพิ่มความชุ่มชื้น มีฮอร์โมนมีสารที่มีฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถผสมในสมุนไพรอื่นที่มีสรรพคุณในการบำรุงผิวเช่น นม กล้วย มะละกอ ขมิ้น บัวบก มะม่วง เป็นต้น โดยพอกหน้า ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออก

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่ายๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออก
ให้ใช้น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอนไซม์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม
หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใดๆ
อ้างอิงจาก http://www.th.wikipedia.org

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 360-008
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 360
เดือน/ปี: เมษายน 2552
คอลัมน์: เรื่องเด่นจากปก
นักเขียนหมอชาวบ้าน: ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #541 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2018, 09:19:05 AM »

สร้างจิตใจที่แจ่มใสให้ผู้สูงอายุด้วยกิจกรรมทางสังคม

ความชราคือธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ในสังคมผู้สูงอายุมักจะถูกมองว่าเป็นคนแก่เลอะเลือน ทำอะไรไม่ค่อยได้ ความคิดอ่านโบราณ เหมือนเป็นดอกไม้ที่ใกล้โรยราเต็มที อย่างไรก็ตามหากดอกไม้ต้องการน้ำหล่อเลี้ยงฉันใด ผู้สูงอายุก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่ฉันนั้น เนื่องจากเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งสุขภาพร่างกายเสื่อมลงและจิตใจแปรปรวน

ผลกระทบด้านจิตใจของผู้สูงอายุ

ปัญหาด้านสภาพจิตใจของผู้สูงอายุเกิดจากความรู้สึกสูญเสีย ทั้งคนใกล้ชิดอย่างบุตรหลานที่ค่อยๆ เติบโตแยกย้ายไปมีครอบครัว รวมถึงเพื่อนสนิทหรือคู่ชีวิตที่ล้มหายตายจากไป สูญเสียความสามารถการเป็นที่พึ่ง ภาวะผู้นำ การยอมรับจากผู้อื่น อีกทั้งโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สภาพสังคมแบบในอดีตเริ่มเลือนหายไป การแข่งขันสูงขึ้น จากครอบครัวใหญ่กลายเป็นครอบครัวเล็ก เป็นต้น
ด้วยการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มจะกลับไปเป็นเหมือนเด็กที่ต้องการการพึ่งพาอาศัยจากผู้อื่น สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าผู้สูงอายุจำเป็นต้องได้รับการดูแลสุขภาพจิตอย่างใกล้ชิดมีดังนี้
มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ เกิดความรู้สึกเหงา ว้าเหว่ เบื่อหน่าย
ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ค่อยๆ แยกตัวออกมาจากสังคม
ไม่อยากทำอะไร
มีความเกี่ยวข้องกับโรคทางกาย เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ขาดกำลังใจ
จากสัญญาณเตือนเหล่านี้ สามารถพัฒนาจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ ซึ่งปัจจุบันพบว่า 10-20% ของผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีมีภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะผู้หญิง และยิ่งมีอายุมากความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้อัตราฆ่าตัวตายยังพบในผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่นๆ สะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงของคนสูงวัย
การดูแลผู้สูงอายุจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากคนใกล้ชิด แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเห็นผู้ใหญ่ที่เคารพรักต้องเผชิญกับภาวะซึมเศร้า ด้วยวัยที่ห่างกันอาจจะทำให้การสื่อสารแตกต่างกันบ้าง ลูกหลานควรพยายามปรับตัวเพื่อที่จะเข้าใจคนวัยนี้มากขึ้น สิ่งแรกที่แนะนำให้ทำคือทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนรวมกับครอบครัว โดยการใช้เวลาอยู่กับผู้สูงอายุพูดคุยและรับฟัง รวมถึงดูแลใส่ใจด้านสุขภาพ พาผู้สูงอายุในบ้านไปพบแพทย์
นอกจากการสนับสนุนภายในครอบครัวแล้ว สังคมภายนอกเองก็มีผลอย่างมาก ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่แต่ในบ้านมีแนวโน้มเกิด “ภาวะเนือยนิ่ง” คือมีความรู้สึกห่อเหี่ยว หดหู่ ดังนั้นการทำกิจกรรมต่างๆ ตามความสนใจจะสามารถช่วยเยียวยาจิตใจผู้สูงวัยได้มากทีเดียว


กิจกรรมทางสังคมจะช่วยส่งเสริมผู้สูงอายุอย่างไร?

กิจกรรมทางสังคมจะทำให้ผู้สูงอายุได้พบปะกับผู้อื่นในวัยใกล้เคียงกัน จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ปรับตัวและยอมรับตัวเองได้ง่ายขึ้น สนับสนุนให้พวกเขามีความนับถือในตัวเอง ป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้า แนวทางการจัดกิจกรรมสังคมควรจะมีความหลากหลายและสามารถแก้ปัญหาของผู้สูงอายุได้ เช่น ช่วยดูแลสุขภาพ ทำให้จิตใจสดชื่น มีความภูมิใจในชีวิต จัดการกับสภาวะอารมณ์ เป็นต้น

กิจกรรมทางสังคมที่แนะนำสำหรับผู้สูงอายุ

กิจกรรมรูปแบบออกกำลังกาย

ผู้สูงอายุควรมีกิจกรรมทางกายหรือออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน ครั้งละ 30 นาที หรือมีกิจกรรมทางกายสะสมรวม 150 นาที/สัปดาห์ คนใกล้ชิดอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยเมื่อผู้สูงอายุทำกิจกรรมทางกาย แต่กิจกรรมนี้มีประโยชน์อย่างมากเพราะทำให้ได้เคลื่อนไหวร่างกาย เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน เพราะสุขภาพกายมีผลต่อสุขภาพจิตโดยตรง นอกจากนี้การออกกำลังกายยังกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมา ช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลได้
การออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับผู้สูงอายุ ได้แก่ เดินเร็วหรือเดินแกว่งแขนเร็วๆ ว่ายน้ำ รำมวยจีน ไทเก๊ก เต้นลีลาศ ถีบจักรยานอยู่กับที่ ยกน้ำหนักเบาๆ เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขน ขา บีบลูกบอลยางเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งมือ โยคะ หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
สามารถผสมผสานกิจกรรมการออกกำลังกายเข้ากับเกมเพื่อเพิ่มความสนุกสนาน ผู้สูงอายุจะได้มีอารมณ์ขัน สุขภาพจิตดีขึ้น แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เพื่อความปลอดภัยด้วยเช่นกัน



กิจกรรมเผยแพร่ความรู้

“อาบน้ำร้อนมาก่อน” ข้อดีของผู้สูงอายุคือมีวุฒิภาวะและประสบการณ์อย่างมาก จึงสามารถเป็นที่ปรึกษา แบ่งปันความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ได้ กิจกรรมรูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุได้ตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองมากขึ้น ผู้สูงอายุบางท่านมีความสามารถในงานวิชาชีพ เช่น งานฝีมือ แกะสลัก ทำอาหาร ทำขนมสูตรโบราณ เย็บปักถักร้อย เป็นต้น การแบ่งปันความรู้เช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสืบทอดวิชาชีพให้คงอยู่ แต่ยังทำให้ผู้สูงอายุเกิดความภาคภูมิใจได้อีกด้วย

กิจกรรมส่งเสริมความรู้ให้ผู้สูงอายุ

ในทางกลับกันการให้ความรู้ใหม่ๆ กับผู้สูงอายุก็สามารถพัฒนาด้านจิตใจได้ ผู้สูงอายุจะได้มีงานอดิเรกทำในยามว่าง เช่น จัด Workshop สอนทักษะการถ่ายภาพ หรือสอนการใช้งานสื่อออนไลน์ เป็นต้น


กิจกรรมการท่องเที่ยว


การท่องเที่ยวไม่ใช่กิจกรรมสำหรับวัยรุ่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถให้ผู้สูงอายุได้เปิดหูเปิดตา พบเจออะไรใหม่ๆ มีความผ่อนคลาย ลดความเบื่อหน่ายได้อย่างมาก รูปแบบการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุควรเน้นที่คุณภาพดี มีความคุ้มค่า คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ผสมผสานกับกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ เช่น เรียนรู้วิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ทัวร์ย้อนวันวาน ทัวร์อาหารอร่อย เป็นต้น 


กิจกรรมตามประเพณีและศาสนา

เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเนื่องในเทศกาลสำคัญต่างๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ หลังจากลูกหลานต้องแยกย้ายกันทำงาน ในโอกาสนี้ควรกลับบ้านเพื่อเยี่ยมเยียนญาติผู้ใหญ่ นี่เป็นช่วงเวลาที่จะได้พบปะกับครอบครัว ใช้เวลาพร้อมหน้าพร้อมตาทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันอย่างรดน้ำดำหัว

กิจกรรมพัฒนาสังคม

เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคม เช่น ทำบุญตักบาตร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ช่วยเหลือเด็กยากไร้ บริจาคทรัพย์ ผู้สูงอายุสามารถใช้เวลาว่างเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ในขณะเดียวกันก็ส่งผลดีต่อผู้ให้ในแง่ทำให้จิตใจเบิกบาน มีความสุขกลับมาด้วย

กิจกรรมธรรมปฏิบัติ

การปฏิบัติธรรม เช่น สวดมนต์เพื่อระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ การถือศีล 5 หรือศีล 8 เป็นกิจกรรมที่ผู้สูงอายุมักจะปฏิบัติอยู่เป็นประจำ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้สำรวมกาย วาจา ใจ ฝึกกำหนดรู้ในทุกๆ อิริยาบทและลมหายใจ ธรรมะจึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้ผู้สูงอายุเข้าใจความเป็นไปของโลก ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเกิดความสุขสงบอย่างแท้จริง


สรุป

วัยชราไม่ใช่วัยที่ไร้ประโยชน์เพียงเพราะร่างกายเสื่อมถอยลง มีหลายคนสร้างคุณงามความดีให้กับโลกมากมายแม้อายุจะล่วงเลยมาถึงช่วงบั้นปลายชีวิต เช่น เซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมิง ศาสตราจารย์นายแพทย์ชาวอังกฤษ ค้นพบยาเพนิซิลลินเมื่ออายุ 70 ปี และอับเบิร์ต ชไวท์เซอร์ ได้รับรางวัลโนเบลเมื่ออายุ 80 ปี
ผู้สูงอายุจึงเป็นวัยที่มีคุณค่า เพราะเต็มไปด้วยประสบการณ์ชีวิตและความรู้ ดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ยิ่งอายุมากก็ยิ่งแผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มเย็น ด้วยการเปลี่ยนแปลงของวัยและสภาพสังคมอาจจะทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง คนรอบตัวจึงควรให้การดูแลใส่ใจ กิจกรรมทางสังคมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกผ่อนคลาย เพิ่มความนับถือตัวเอง กลายเป็นต้นไม้ที่หยั่งรากลึกให้แก่ลูกหลานต่อไป


thank you
http://multimedia.anamai.moph.go.th/help-knowledgs/social-activities-for-elders/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #542 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2018, 09:21:39 AM »

กรมอนามัยแนะวิธีล้างผัก-ผลไม้ ก่อนนำไปประกอบอาหาร

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลกินเจ ส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญ จะประกอบไปด้วย ผักและผลไม้ เพื่อความปลอดภัยก่อนนำผักและผลไม้มาปรุงอาหาร จึงควรล้างให้สะอาดทุกครั้งเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างหรือการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีตั้งแต่ให้ล้างด้วยน้ำไหล แช่ในน้ำนาน 15 นาที หรือแช่ในน้ำผสมน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์ แช่นาน 15 นาที หรือใช้โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบคกิ้งโซดา) ครึ่งช้อนโต๊ะผสมน้ำ 10 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ซึ่งทั้ง 3 วิธีนี้จะช่วยลดสารเคมีตกค้างได้

ส่วนอาหารประเภทธัญพืช ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ก่อนที่จะนำมาปรุงประกอบอาหารควรล้างให้สะอาดเพื่อขจัดสิ่งปนเปื้อนและควรปรุงสุกทุกครั้งก่อนนำมาบริโภค รวมทั้งเลือกถั่วเมล็ดแห้งที่ใหม่และเก็บไว้ในภาชนะที่แห้งพอ เพื่อป้องกันสารอะฟลาท็อกซิน หากมีการบริโภคเข้าไปและมีการสะสมในปริมาณมากก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งได้

ส่วนการเลือกซื้ออาหารเจให้ได้คุณค่าทางโภชนาการนั้น ผู้บริโภคควรเลือกรับประทานอาหารที่มีถั่วหรือผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ฟองเต้าหู้ โปรตีนเกษตร งา และเห็ดต่างๆเพื่อเสริมโปรตีน เน้นข้าวกล้อง อาหารที่ปรุงประกอบด้วยผักต่างๆ เลี่ยงอาหารประเภทผัดน้ำมันเยิ้ม ทอด เพราะมีไขมันสูง หากได้รับมากเกินความจำเป็นของร่างกายจะทำให้น้ำหนักเกินและอ้วนได้


ติดตามข่าววันนี้ได้ที่นี่ >>> https://www.pptvhd36.com/special/ข่าววันนี้







บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #543 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2018, 06:39:28 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=fKCk6Mk-_dw

หมอออนแอร์ | ดื่มน้ำผิดวิธี...จากประโยชน์กลายเป็นโทษได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #544 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2018, 10:09:49 PM »

10 อิริยาบถที่อันตราย 
สำหรับ สว. สูงวัย. ไม่ ควรทำ เด็ดขาด!

1.เอียงคอ หนีบโทรศัพท์ อาจทำให้หมดสติ ถ้ามีลิ่มเลือดไปอุดตัน ก็ถึงขั้น เป็นอัมพาตได้

2.นั่งยองๆนานๆ ทำให้ข้อเข่าพัง

3.เอี้ยวตัวไปหยิบของเบาะหลัง ทำให้กล้ามเนื้อ และหลัง ที่ไม่ได้ตั้งตัว บิดเบี้ยว อย่างรุนแรง ทำให้ บาดเจ็บ ที่ข้อไหล่ ปวดต้นคอ ปวดหลัง ร้าวรุนแรง จากหมอน รองกระดูก ปลิ้นไป ทับเส้นประสาท  ขอให้หยุดรถ แล้วหันไปทั้งตัว จะดีต่อสุขภาพ มากกว่า
 
4.ยืนโดย ไม่มี ที่เกาะ

5.ก้มศีรษะออกกำลังกาย ทำให้ความดัน เปลี่ยนปุบปั๊บได้ โดยเฉพาะ "ความดันลูกตา" และ ความดัน ในสมอง

6. เดินนานๆใส่ส้นสูง กล้ามเท้า และน่อง จะต้องทำงานหนัก กล้ามเนื้อหลัง จะไม่ได้พักเลย

7.นั่งแช่น้ำร้อน ในอ่าง อาจทำให้ ความดันตกได้เพราะ เส้นเลือดขยายตัว เพื่อคายความร้อน

8.นั่งคุกเข่านานๆทำให้ ข้อเข่าเสีย

9.ลุก จากที่นอน เร็ว ความดันโลหิต จะเปลี่ยนปุบปั๊บเร็ว

10.ก้มและเงยเร็ว จะทำให้เกิด อาการเวียนศีรษะ ถึงขั้นคลื่นไส้อาเจียนได้ ยิ่งถ้ามีอาการ น้ำในหูไม่เท่ากัน บ้านหมุนบ่อยๆ

นพ.กฤษดา ศิรามพุช
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #545 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2018, 10:19:06 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=uoaatBaBAPg

ไข่กับคอเลสเตอรอล

กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าไม่พบความสัมพันธ์ในการกินไข่ระหว่างคอเลสเตอร์รอลในไข่แดงกับคอเลสเตอรอลในเลือด...
 อายุไม่เกิน 50 กินได้วันละ 6 ฟอง อายุ 80 ขึ้นไปกินวันละ 2 ฟอง

 มาฟัง อ.ณัฐวัฒน์ คุยเรื่องประโยชน์ของไข่ 10 ประการ
 อ.ณัฐวัฒน์ 081-3410494 ID Line: @mz99
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #546 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2018, 09:59:27 AM »

นึกไม่ถึงเหมือนกัน
พึ่งรู้เหมือนกัน
ใบมะกรูด ใบไม้มหัศจรรย์ บำรุงสมองช่วยเด็กฉลาด ต้านโรคหลายชนิด



ใบมะกรูด ใบไม้มหัศจรรย์ ช่วยเด็กฉลาด ต้านโรคหลายชนิด

ใบมะกรูด เป็นใบไม้มหัศจรรย์ มีกรดอมิโนครบทุกชนิด ร่างกายคนเราต้องการกรดอมิโนครบ 23 ชนิด ถ้าไม่ได้ครบ 23 ชนิด สมองจะเสื่อม ตัวจะบวมน้ำ ดูเหมือนอ้วน แต่จริงๆๆ บวมน้ำ

ใบมะกรูดมีครบ จะไม่อ้วนและตัวจะเล็กลง สมองจะดีขึ้น มีวิตะมินครบทุกตัว ไม่เป็นโรคลักกระปิดลักกระเปิด เป็นตัวขับลม ไม่มีลมในท้อง


ใบมะกรูดดีมากสำหรับบำรุงสมอง เด็กจะเรียนหนังสือเก่ง คนเป็นอัลไซเมอร์เพราะขาดสารสื่อประสาท ในใบมะกรูดมีสารสื่อประสาท ไม่มีใครบอกเรา

ใบมะกรูดช่วยลดความดัน ใบมะกรูดสดเอามาเคี้ยวๆๆ ช่วยให้ ฟัน และ เหงือกแข็งแรง เอามาปั่นกับน้ำผลไม้ กินไปด้วยกัน หรือหั่นฝอยๆๆ ช่วยให้เคี้ยวง่ายขึ้น เอาไปต้มดื่มน้ำความดันลดลงน่าพอใจ

ถั่วครกมีกรดอมิโนครบแต่ก็มีสารพิษปนเปื้อน ผลิตไม่ดี คนกินชักตายได้ พบว่าในใบมะกรูดมีกรดอมิโนครบ 23 ชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย

คนกินนมถั่วเหลืองๆๆ มีกรดอมิโนเพียง 17 หายไป 6 ยังไงก็ไม่ครบ 23 ชนิดอยู่ดี

#วิธีกิน#

เอามาซอยๆๆ และใส่ในข้าวผัด ราดบนข้าวแกง ใส่ในยำปลากระป๋อง ส้มตำ โรยใบมะกรูดก็หอมไปอีกแบบ ใส่ในลาบ ใส่ในปลาร้าก็หอม หาเรื่องใส่ในอาหารอะไรก็ได้ เราก็ได้กรดอมิโนครบ ตัวก็จะเล็กลง เราก็จะไม่อ้วนกัน ตัวจะเล็กลงแล้วกล้ามเนื้อจะ fit & firm สมองจะดีขึ้นแน่นอน

ใบมะกรูดเป็นใบไม้ที่มีวิตะมินครบทุกชนิด เช่น A B C D วิตะมินเค B1 B3 B6 B12

มีวิตะมินครบทุกตัว ขาดวิตะมินซีจะเป็นหวัดง่าย ไม่เป็นโรคลักกระปิด ลักกระเปิด ไม่เป็นหวัด ใบมะกรูดป้องกันหวัดได้ถ้ากินประจำและยังขับลมอีก ไม่มีลมในท้อง ไม่ต้องไปซื้อตัวขับลมแพงๆๆ มากิน มีกรดอมิโน (โปรตีน) มีแร่ธาตุครบ เสียอย่างเดียวขาดคาร์โบไฮเดรทกับไขมัน ไม่อย่างนั้นครบ 5 หมู่แล้ว แต่จำเป็นสำหรับเรามั้ย คาร์โบไฮเดรท เราไปกินก๋วยเตี๋ยว กินข้าวก็ครบแล้ว

ใบมะกรูดเป็นอาหารเสริมที่ดีเพราะมันมีสิ่งที่เราขาด คือ วิตะมิน แร่ธาตุ แล้วก็กรดอมิโน กินใบมะกรูดอย่างเดียวไม่ต้องไปกินเนื้อสัตว์ก็ได้แล้ว #กรดอมิโน คือ โปรตีนที่ครบทุกรูปแบบที่เราต้องการใช้# แค่ขาดไขมันกับคาร์โบไฮเดรท กินข้าวขาหมูโรยใบมะกรูดก็ครบ 5 หมู่แล้ว (ขาหมูมีไขมัน ข้าวมีคาร์โบไฮเดรท ซอยใบมะกรูดใส่ก็ครบแล้ว)

ใบมะกรูดทำกินยังไงก็ได้ ใส่ปากเคี้ยวๆๆ กลืนๆๆเข้าไปก็ไม่ขมอะไร มีคนเอาใบมาสกัดเป็นน้ำมัน ได้อะไรครบถ้วน แต่วิตะมินซีจะหายไปเพราะโดนความร้อน สามารถไปกินส้มชดเชยได้

ส่วนผิวมะกรูดก็มาสกัดน้ำมันได้แต่ใช้ภายนอก อย่าเอาผิวมะกรูดมาสกัดน้ำมันแล้วกิน ตัวที่สกัดจากใบมะกรูดได้อะไรครบถ้วนแล้ว

ใบมะกรูดกินประจำเหงือกแข็งแรง พอเหงือกแข็งแรง ฟันก็แข็งแรง

และจะไม่มีโอกาสเป็นไซนัส ภูมิแพ้ที่โพรงจมูกและยังดีมากสำหรับสมอง สมองช้า เป็นตัวบำรุงสมอง สมองเป็นอัลไซเมอร์ หลายบ้านอย่าให้เป็นอัลไซเมอร์ เด็กกินบ่อยๆๆ จะเรียนเก่ง คนเป็นอัลไซเม่อร์เพราะขาดสารสื่อประสาทๆๆ

เป็นกรดอมิโนที่วิ่งอยู่ตามเส้นประสาท เราไม่ใช่เส้นลวด รอบๆๆ เส้นประสาทสำคัญกว่าเซลล์ประสาทเพราะเป็นกรดอมิโน เราเรียกมันว่า “สารสื่อประสาท” เวลาเราโดนตรงนี้ปุ๊ปมันก็วิ่งไปฟ้องที่สมองๆๆ จะรายงานว่าเจ็บ ที่จริงโดนตั้งนานแล้ว เราพึ่งเจ็บ หรือบางทีโดนแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะสารสื่อประสาทขาดหายไป มันก็ไม่รายงาน

บางคนจับแก้วน้ำร้อนๆๆ ตั้งนานแล้วไม่รู้สึกร้อนเพราะสารสื่อประสาทหายไปพอรู้อีกทีมือพองแล้ว เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ บางทีรินน้ำร้อนๆๆ ให้ เค้าจับอยู่ตั้งนานไม่รู้สึกร้อน กว่าจะรู้ตัวมือพองไปแล้ว ในใบมะกรูดมีสารสื่อประสาทช่วยเรื่องนี้ได้ ช่วยเรื่องอัลไซเมอร์จับแก้วร้อนๆๆ บางทีแปรสภาพตรงข้าม จับแก้วร้อนๆๆ แล้วรู้สึกเย็น รายงานผิดพลาดเพราะสารสื่อประสาทไม่ครบถ้วน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก อ.สุทธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดและสอนวิปัสสนากรรมฐาน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #547 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2018, 10:02:19 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=hno05SNYMew&feature=youtu.be&fbclid=IwAR0mFlWOHe5lMMjI2idgif_yA8P9ZHVeMg1ehwKFR8R1R-AMbd-Ki-VBPcA


Long Breath ออกกำลังกาย "2 นาทีต่อวัน" ให้ได้ผลแบบคนญี่ปุ่น | JapanSalarymanTV
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #548 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2018, 10:06:31 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=KSwhpF9iJSs



หมอระบบประสาทบอกว่า ผลไม่ต่างจากระบบฝังเข็ม มือซ้ายจับหูขวา มือขวาจับหูซ้าย กระตุ้นการทำงานสมองซีกซ้ายและซีกขวา

ดีสำหรับคนปกติทุกเพศ ทุกวัย คนขี้หลงขี้ลืม Alzheimer แม้แต่ Autistic ก็จะค่อยๆดีขึ้น
มือซ้ายจับติ่งหูขวา
มือขวาจับติ่งหูซ้าย
ย่อตัวลงหายใจเข้า
ยืดตัวขึ้นหายใจออก
หมอเรียกวิธีนี้ว่า Superbrain Yoga
ทำวันละ 3 นาที
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #549 เมื่อ: มกราคม 29, 2019, 07:53:52 PM »

อาหาร Detox ปอด ของคนเมือง
...ต้านฝุ่นมลพิษ !!

มลภาวะที่เป็นพิษและฝุ่นมากมายในบรรยากาศปัจจุบัน    ส่งผลให้เราอาจได้รับสารพิษเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจอย่างไม่รู้ตัว   

ทำให้เกิดภูมิแพ้และความเสี่ยงมะเร็งปอดได้…

กลไกหนึ่งที่สำคัญคือการอักเสบเพราะเมื่อปอดได้รับสารแปลกปลอม   
เม็ดเลือดขาวชื่อ macrophage บริเวณปอดจะทำงานอย่างหนักทำให้เกิดการอักเสบ

อาหารที่ช่วยลดการอักเสบสามารถช่วย detox   และลดสารพิษจากปอดได้  เช่น
ขมิ้นชัน !!............  สาร “curcumin” ในขมิ้นสามารถลดสารพิษหรือลดการอักเสบในปอดได้เป็นอย่างดี………

ใบ oregano ที่ปกติเวลาสั่งพิซซ่าเรามักจะทิ้งซองเศษใบไม้แห้งๆ เครื่องเทศนั้นทิ้ง แต่จริงๆ แล้วเครื่องเทศนั้นมีสาร  “ carvacrol “ เป็นสารช่วยลดการอักเสบและช่วย detox ระบบทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี       
บางคนอาจนำมาชงกับน้ำอุ่นในรูปแบบชาดื่ม เพื่อ detox  ระบบทางเดินหายใจได้

นอกจากสมุนไพรดังกล่าวควรรับประทาน
อาหารพวกผักผลไม้ที่มีสีส้มเหลือง   เพราะสาร “carotenoid” เป็นสารสำคัญที่ช่วยในการป้องกันการเกิดการก่อกลายพันธุ์บริเวณปอด     และเป็นสารสำคัญที่ช่วยป้องกันมะเร็งปอดด้วย.
สารดังกล่าวหาได้จาก ฟักทอง แครอท มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะละกอสุก เป็นต้น โดยการสลับการรับประทาน อาจทานฟักทองครึ่งถ้วย   วันถัดมาแครอท 1 หัวขนาดกลาง   วันถัดมาทานมะม่วงสุกครึ่งผล เป็นต้น
และ
ที่สำคัญที่สุดคือการทานบร็อคโคลีวันละ 200 กรัมขึ้นไปเพราะในบร็อคโคลีมี“sulforaphane” ที่ช่วยในการล้างพิษฝุ่น PM 2.5  ออกจากปอดของเราได้   

ดังนั้นอย่าลืมเพิ่มบร็อคโคลีในอาหารเพื่อเพิ่มประโยชน์ต่อการปกป้องปอดเราจากฝุ่นสารพิษในปัจจุบันนี้
.
ด้วยความห่วงใย
วิวัฏฏะสหคลินิก
ขอขอบคุณ : บทความโดย ดร.กมล ไชยสิทธิ์   
#LungDetox #SmogPollution #ดีท็อกซ์ปอด
บันทึกการเข้า

finghting!!!