Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 [2]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: news จ้ะ  (อ่าน 2871 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #15 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2012, 09:56:27 AM »

23 ตุลาคม วันปิยมหาราช



เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าโศกให้กับประเทศไทยครั้งใหญ่หลวง เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เป็นที่เคารพรักของทวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมือง และพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ชนทุกหมู่เหล่า


 พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล วันปิยมหาราช ครั้งแรกเกิดขึ้นถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้วเสด็จฯ ไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่ราชานุสาวรีย์




พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ (สมเด็จพระเทพศิรินทรา ราชินี) เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรลังกาศ" ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น "กรมขุนพินิตประชานาถ" บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"


พระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช"
ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า มีทาสในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก และลูกทาสในเรือนเบี้ยจะสืบต่อการเป็นทาสไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต พระองค์จึงทรงมีพระทัยแน่วแน่ว่า จะต้องเลิกทาสให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะทาสมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งเจ้านายที่เป็นใหญ่ในสมัยนั้นมักมีข้ารับใช้ เมื่อไม่มีทาส บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่พอใจและก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศมาแล้ว

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ มีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี และพอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง จากนั้นใน พ.ศ.2448 จึงได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า "พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124" (พ.ศ.2448) เลิกลูกทาสในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่ต้องเป็นทาสอีกต่อไป และการซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด

          ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ในเวลาเพียง 30 ปีเศษ ทาสในเมืองไทยก็หมดไปโดยไม่เกิดการนองเลือดเหมือนกับประเทศอื่นๆ



การประปา ทรงให้กักเก็บน้ำจากแม่น้ำเชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี และขุดคลองเพื่อส่งน้ำเข้ามายังสามเสน พร้อมทั้งฝังท่อเอกติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการทำน้ำประปาขึ้นในเดือน กรกฎาคม พ.ศ.2452

           การคมนาคม วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เพื่อประเดิมการสร้างทางรถไฟไปนครราชสีมา แต่ทรงเปิดทางรถไฟกรุงเทพฯ-พระนครศรีอยุธยาก่อน จึงนับว่าเส้นทางรถไฟสายนี้เป็นทางรถไฟแห่งแรกของไทย

การสาธารณสุขเนื่องจากการรักษาแบบยากลางบ้านไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที จึงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 200 ชั่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" เปิดทำการรักษาประชาชนเป็นครั้งแรกเมื่อ 26 เมษายน พ.ศ.2431

           การไฟฟ้า พระองค์ทรงมอบหมายให้กรมหมื่นไวยวรนาถ เป็นแม่งานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับประชาชนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2433

           การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ.2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2412 โดยโทรเลขสายแรกคือ ระหว่างจังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร) กับจังหวัดสมุทรปราการ



ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่างๆ เป็นการตรวจตราสารทุกข์สุขดิบของราษฎรได้เป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ โดยเสด็จฯ ทางเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่างๆ เพื่อแวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า "ประพาสต้น" ซึ่งได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2447 และในปี พ.ศ.2449 อีกครั้งหนึ่ง



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษา จึงโปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงขึ้นในมหาราชวัง คือ "โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ" ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่งแรก คือ "โรงเรียนวัดมหรรณพาราม" และในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2435 (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา



 พ.ศ.2411 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ

           พ.ศ.2412 ทรงโปรดเกล้าให้สร้างวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์

           พ.ศ.2413 เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา, โปรดฯ ให้ยกเลิกการไว้ผมทรงมหาดไทย

           พ.ศ.2415 ทรงปรับปรุงการทหารครั้งใหญ่, โปรดให้ใช้เสื้อราชปะแตน, โปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษแห่งแรกขึ้นในหาราชวัง

           พ.ศ.2416 ทรงออกผนวชตามโบราณราชประเพณี, โปรดให้เลิกประเพณีหมอบคลานในเวลาเข้าเฝ้า

           พ.ศ.2417 โปรดให้สร้างสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน, ตั้งโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง (ปัจจุบันคือ โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย) และให้ใช้อัฐกระดาษแทนเหรียญทองแดง

           พ.ศ.2424 เริ่มทดลองใช้โทรศัพท์ครั้งแรก เป็นสายระหว่างกรุงเทพฯ–สมุทรปราการ, สมโภชพระนครครบ 100 ปี มีการฉลอง 7 คืน 7 วัน

           พ.ศ.2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์ เริ่มบริการไปรษณีย์ในพระนคร, ตั้งกรมโทรเลข และเกิดสงครามปราบฮ่อครั้งที่ 2

           พ.ศ.2427 โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนราษฎร์ทั่วไปตามวัด โรงเรียนแห่งแรกคือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม

           พ.ศ.2429 โปรดฯ ให้เลิกตำแหน่งมหาอุปราช ทรงประกาศตั้งตำแหน่งมกุฏราชกุมารขึ้นแทน

           พ.ศ.2431 เสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทให้แก่ฝรั่งเศส, เริ่มการทดลองปกครองส่วนกลางใหม่, เปิดโรงพยาบาลศิริราช, โปรดฯให้เลิกรัตนโกสินทร์ศก โดยใช้พุทธศักราชแทน

           พ.ศ.2434 ตั้งกระทรวงยุติธรรม, ตั้งกรมรถไฟ เริ่มก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพ-นครราชสีมา

           พ.ศ.2436 ทรงเปิดเดินรถไฟสายเอกชน ระหว่างกรุงเทพฯ-ปากน้ำ, กำเนิดสภาอุนาโลมแดง (สภากาชาดไทย)

           พ.ศ.2440 ทรงเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งแรก

           พ.ศ.2445 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส

           พ.ศ.2448 ตราพระราชบัญญัติยกเลิกการมีทาสโดยสิ้นเชิง

           พ.ศ.2451 เปิดรูปทรงม้า

           พ.ศ.2453 เสด็จสวรรคต





 สำหรับแบบรูปของราชานุสาวรีย์ฯ ได้จ้างช่างหล่อชาวฝรั่งเศส แห่งบริษัทซูซ เซอร์เฟรส ฟองเดอร์เป็นผู้หล่อ ณ กรุงปารีส เลียนแบบรูปทรงม้าของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ประดิษฐานอยู่หน้าพระราชวังแวร์ซายส์ ในประเทศฝรั่งเศส เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2450 พระองค์ได้เสด็จประทับให้ช่างปั้นรูป เมื่อวันที่ 22 สิงหคม ศกนั้น รูปเสร็จเรียบร้อย และส่งเข้ามายังกรุงรัตนโกสินทร์ในทางเรือ

          เมื่อ พ.ศ.2451 โปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ พระลานหน้าพระราชวังดุสิต ระหว่างพระราชวังสวนอัมพรกับบสนามเสือป่า ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งอนันตสมาคม ทรงประกอบพระราชพิธีเปิดรูปนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451 ตรงกับวันพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกครองราชสมบัติได้ 40 ปี




 ในวันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี หน่วยงานต่างๆ ทั้งราชการและภาคเอกชน นักเรียน-นิสิตนักศึกษา รวมทั้งประชาชนจะมาวางพวงมาลาดอกไม้สักการะ และถวายบังคมที่รูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทำบุญตักบาตอุทิศเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนี้ในหน่วยงาน และโรงเรียน มหาวิทยาลัย จะจัดนิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นการประกาศเกียรติคุณให้ไพศาลสืบไป


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #16 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2012, 04:36:35 PM »

สิ้นแล้ว!'ดร.สาทิส'ผู้ก่อตั้งชมรมชีวจิต

สิ้นแล้ว!'ดร.สาทิส อินทรกำแหง' ผู้ก่อตั้งชมรมชีวจิต และเจ้าของงานเขียนชื่อดัง เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 86 ปี



                               29 ต.ค.55 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.สาทิส อินทรกำแหง ผู้ก่อตั้งชมรมชีวจิต และเจ้าของงานเขียนชื่อดัง เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 86 ปี
สำหรับ ดร.สาทิส อินทรกำแหงเป็นนักเขียน และบรรณาธิการหนังสือ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชีวจิต ผู้นำการแพทย์แบบผสมผสาน (Integrated และ Alternative Medicine) และการรักษาสุขภาพในแนวธรรมชาติ มาแนะนำใช้ในประเทศไทย ได้รับการเชิดชูเกียรติ รางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2549

                                ทั้งนี้ เกิดเมื่อวันที่  14 มีนาคม พ.ศ. 2469 ที่อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เป็นบุตรของพันเอก พระศรีพิชัยบริบูรณ์ (เหมือน อินทรกำแหง) อดีตเจ้ากรมมณฑลทหารบกที่ 3 และคุณแม่เชย อินทรกำแหง ข้าหลวงในราชสำนัก  สมรสกับนางฉินโฉม ภรรยาชาวสิงคโปร์ มีบุตร-ธิดา 2 คน คือ ปิยะและภาสินี

                                หลังจากบิดาเกษียณอายุราชการ ได้อพยพครอบครัวกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมที่จังหวัดนครราชสีมา ที่กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติและภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนโบราณ โดยทำหน้าที่เป็นลูกมือของบิดาซึ่งมีความรู้ด้านยาแผนโบราณ ด้วยการเข้าป่าเก็บพืชสมุนไพรแล้วนำมาเคี่ยว บด และปั้นยา ควบคู่กับการเป็นลูกมือของมารดาซึ่งมีความรู้เรื่องยาพื้นบ้านและการนวดแผนไทย ซึ่งนอกจากเพื่อบำบัดรักษาอาการป่วยไข้ของสมาชิกในครอบครัวแล้ว ยังเพื่อสาธารณกุศลแก่พระสงฆ์ที่อาพาธและชาวบ้านในละแวกเดียวกันที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วย

                               อย่างไรก็ตาม ดร.สาทิส มีผลงานเขียนที่สร้างชื่อเสียงจำนวนมาก อาทิ ชีวจิต การใช้ชีวิตอย่างเข้าใจธรรมชาติ, ชีวิตเริ่มต้นเมื่อ 70, มะเร็งแห่งชีวิต และ กูแน่

 



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2012, 04:35:40 PM »

โอบามาชนะเลือกตั้ง303ต่อ203
ปิดฉากเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของคนอเมริกัน หลังการต่อสู้เป็นไปอย่างสูสึตลอดช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง โอบามาสามารถชนะเลือกตั้ง ด้วยเสียง Electoral Votes 303 ต่อ 203 แต่แพ้เสียงป๊อบปูล่าโหวต 44 ล้านเสียงหรือ 49.1% และมิตต์ รอมนีย์ได้ 45 ล้านเสียง หรือ 49.4% ท่ามกลางการวิเคราะห์ต่อเนื่องของ "สุทธิชัย หยุ่น" ซึ่งเชื่อว่า โอบามา จะเขียนคำแถลงการณ์ประกาศชัยชนะในเย็นวันนี้ โดยหยิบยื่นไมตรีต่อรอมนีย์ในการที่จะร่วมมือทำงานในสภาล่างต่อไป ซึ่งน่าจะแตกต่างจากท่าทีเมื่อสี่ก่อรน ที่โอบามาจะใช้ความแข็งกร้าว

โดยหลังจากผลการเลือกตั้งบารัค โอบามา กลับมาอีก 4 ปี โดยชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง ได้มีคาดจะส่งผลดีต่อการแก้ไขวิกฤติการคลัง สามารถเริ่มงานได้ทันที เพื่อฝ่าวิกฤติทางการคลัง หรือภาวะที่เรียกว่า Fiscal Cliff ให้ผ่านพ้นไปได้

แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยหากประธานาธิบดีบารัค โอบามาชนะการเลือกตั้งวันนี้ จะส่งผลดีต่อการ แก้ไขวิกฤติการคลัง เพราะเขาจะสามารถเริ่มงานได้เลยเพื่อหาทางหลีกเลี่ยงภาวะที่จะมีการปรับขึ้นภาษีและปรับลดรายจ่ายของรัฐบาลครั้งใหญ่พร้อมกันต้นปีหน้า ที่เสี่ยงทำให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอย

เมื่อโอบามาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย เขาคงจะเริ่มทำงานได้ทันทีในวันรุ่งขึ้นด้วยการเจรจากับพรรครีพับลิกัน เพื่อหาจุดยืนร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการปรับลดภาษีสมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชที่จะหมดอายุในต้นปีหน้า บวกกับมาตรการตัดลดรายจ่ายภาครัฐที่จะเริ่มบังคับใช้อัตโนมัติต้นปีหน้าเช่นกัน โดยหวังว่าจะหาข้อสรุปร่วมกันได้
เสร็จทันก่อนสภาคองเกรสปิดสมัยประชุมปัจจุบันในเดือนธ.ค.

ในขณะที่หากมิตต์ รอมนีย์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันชนะเลือกตั้ง อาจจะต้องรอจนกว่ารอมนีย์สาบานตน รับตำแหน่งใน 20 ม.ค. จึงจะสามารถเริ่มดำเนินงานได้ และคาดว่าพรรครีพับลิกันจะพยายามชะลอการตัดลดรายจ่ายภาครัฐ และยังไม่ปรับขึ้นภาษีอีกอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปีเพื่อซื้อเวลาในการเจรจาเกี่ยวกับรายละเอียดการปฏิรูปการจัดเก็บภาษี

ทั้งเดโมแครตและรีพับลิกันต่างต้องการลดการขาดดุลงบประมาณให้ได้เกือบ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในเวลา 10 ปี หลังประเทศประสบภาวะหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นจนแตะเพดานหนี้ที่กฎหมายอนุญาต และเดโมแครตอาจยอมตัดลดรายจ่ายในโครงการสังคม เช่น เมดิเคดและเมดิแคร์ เพื่อหวังให้รีพับลิกันยอมปรับขึ้นภาษี แต่ที่ผ่านมารีพับลิกันคัดค้านการขึ้นภาษี ทำให้การเจรจาประเด็นนี้ยืดเยื้อมานานสองปีแล้ว

แม้ยังไม่มีความชัดเจนว่า โอบามาหรือรอมนีย์จะชนะเลือกตั้ง แต่โพลล์คาดว่าพรรครีพับลิกันจะยังครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และพรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากในวุฒิสภา ทำให้ทั้งสองพรรคจะต้องเจรจารอมชอมกันเพื่อแก้ไขวิกฤติการคลังครั้งนี้ แต่หากตกลงกันไม่ได้แล้วปล่อยให้มีการขึ้นภาษี บวกกับการตัดลดรายจ่าย 1 ล้าน 2 แสนล้านดอลลลาร์ อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย ซี่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกกำลังวิตกและไม่อยากให้เกิดขึ้น

http://www.suthichai....php?NewsID=244


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #18 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 09:32:57 AM »

ปชช.รอเฝ้ารับเสด็จฯในหลวงแน่นลานพระรูป-ศิริราช
ข่าวสังคม วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2555 7:12น.

ประชาชน ทยอยเดินทาง เฝ้ารอรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเต็มลานพระราชวังดุสิต แล้ว ต่างพร้อมใจกัน ร้องเพลงสดุดีมหาราชา ถวาย
ประชาชนจำนวนมาก จากทั่วทุกสารทิศทยอยเดินทางมา ยังลานพระราชวังดุสิต โดยต่างพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อสีเหลืองเพื่อ เฝ้ารอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออกมหาสมาคม งานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2555 ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในวันนี้ ซึ่งบางครอบครัวเดินทางมาจากต่างจังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงภาคใต้ตอนล่างสุดของประเทศ ทั้งสตูล ปัตตานี นราธิวาส ที่มาจับจองพื้นที่บริเวณ ด้านหน้า ลานพระราชวังดุสิต ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ มีประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาจนเต็มลานพระราชวังดุสิต แล้ว

ซึ่งบรรยากาศขณะนี้ หลายคนได้มีกิจกรรมสันทนาการ เพื่อรอเวลาเฝ้ารอรับเสด็จฯ ด้วยการเล่นดนตรีบทเพลงพระราชนิพนธ์ บางคนจับกลุ่มคุยกัน ทั้งที่มาจากต่างถิ่น และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งนี้ เมื่อช่วง เที่ยงคืนที่ผ่านมา ประชาชนทุกคน ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืน โบกธง และร่วมกันร้องเพลงสดุดีมหาราชา ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

สำหรับการเข้ามาในลานพระราชวังดุสิต ตำรวจได้นำรั้วเหล็กมากั้นและเปิดช่องทางให้เดินเข้า ขณะที่บริเวณฟุตบาธของถนนโดยรอบ มีการติดตั้งจอภาพแอลซีดีขนาดใหญ่ไว้โดยตลอด เพื่อให้ประชาชนที่มาร่วมงานพระราชพิธีในครั้งนี้ได้ชมการถ่ายทอดสดด้วย

พสกนิกรสวมเสื้อเหลือง ล้นลานพระรูปฯ

บรรยากาศบริเวณลานรูปทรงม้า ก่อนเข้าสู่พระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2555 ขณะนี้ประชาชนต่างทยอยเดินทางมาจับจองพื้นที่เฝ้ารอรับเสด็จฯ เป็นจำนวนมาก เต็มลานรูปทรงม้าแล้ว คาดว่าจะทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้ทุกคนพร้อมใจใส่เสื้อสีเหลือง นำรูปพระฉายาลักษณ์ของของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชูไว้เหนือศีรษะ เพื่อแสดงความจงรักภักดี ขณะที่บริเวณโดยรอบมีการตกแต่งไม้ดอกไม้ประดับเน้นดอกไม้สีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวันราชสมภพ มีการรประดับธงชาติและธงพระปรมาภิไธยย่อ ภปร.

ทั้งนี้ จากการสอบถามประชาชนที่เดินทางมาจากจังหวัดชุมพร โดยนางสุรีวัน แซ่ลิ้ม หรือ พี่เก๋ กล่าวว่า ตนเองได้เดินทางมาตั้งแต่งเมื่อวันที่ 3 ธค. เพื่อมาจับจองที่นั่งให้อยู่บริเวณด้านหน้าสุด เพื่อได้รอรับเสด็จพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด และขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ปชช.รอเฝ้าฯรับเสด็จ ในหลวงแน่นร.พ.ศิริราช

บรรยากาศที่โรงพยาบาลศิริราช มีประชาชนเดินทางมาจับจองพื้นที่ตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา บริเวณใต้อาคารเฉลิมพระเกียรติไปจนถึงถนนพรานนกด้านข้างกำแพงโรงพยาบาลศิริราช เรื่อยไปตลอด 2 ข้างทางจนถึงแยกศิริราชเพื่อรอเฝ้าฯรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและวงศานุวงศ์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินออกจากที่ประทับไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม ในเวลาประมาณ 09.40 น. โดยใช้ความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนได้ชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด

ปิดการจราจรรอบลานพระรูปแล้ว

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บังคับการตำรวจจราจร กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการจัดการจราจร ให้ประชาชน
ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออกมหาสมาคม งานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช 2555 ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ว่า ได้รับรายงานว่า ประชาชนได้ทยอยเดินทางมาจับจองพื้นที่บริเวณลานพระราชวังดุสิต ตั้งแต่ช่วง 21.00 น. ที่ผ่านมา มีขบวนรถมาจากราชพฤกษ์ 100 คัน วนมาส่งประชาชน และขณะนี้ มีขบวนรถของประชาชนอีก 100 คัน จากอนุสรณ์สถาน กำลังจะเดินทางเข้ามาในพื้นที่การจัดงาน ซึ่งตำรวจจราจรได้ปิดการจราจรใน 5 เส้นทาง ประกอบด้วย ถนนราชดำเนินนอก ตั้งแต่แยกมัฆวาน ถึง แยกสวนมิสกวัน / ถนนอู่ทองใน ตั้งแต่ แยกราชวิถี ถึงบริเวณลานพระราชวังดุสิต / ถนนศรีอยุธยา แยกวัดเบญจมบพิตร ถึงแยกพล.1 / ถนนพิษณุโลก แยกพาณิชยการ ถึงแยกวังแดง และถนนกรุงเกษม แยกประชาเกษม ถึงแยกมัฆวาน ตั้งแต่ช่วง 18.00 น. ที่ผ่านมา จนเสร็จสิ้นพระราชพิธีในวันนี้

ส่วนประชาชนที่จะเดินทางเข้ามานั้น จะมีตำรวจจราจร นำขบวนรถบัสเข้ามาที่จุดรับส่งที่จัดเตรียมไว้ จากนั้น จะให้ตำรวจนำขบวนรถวนไปจอดในพื้นที่ที่กำหนดไว้ ทั้งถนนกำแพงเพชร 2 และถนนราชพฤกษ์ และหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธี ก็จะให้รถบัสวนเข้ามารับประชาชน กลับสู่ภูมิลำเนา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังคงมีประชาชนทยอยเดินทางเข้าพื้นที่ลานพระราชวังดุสิต อย่างต่อเนื่อง

บขส.คึกปชช.เดินทางเข้ากทม.ร่วมถวายพระพร

บรรยากาศการเดินทางของประชาชนที่สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต เพื่อเดินทางเข้ามาร่วมถวายพระพรในหลวงในขณะนี้ พบว่า ประชาชนจากต่างจังหวัด เริ่มทยอยเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประชาชนบางส่วนได้เดินทางมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้เพื่อที่จะได้เข้าเฝ้าฯในหลวงอย่างใกล้ชิด จึงส่งผลให้เช้าวันนี้ประชาชนที่เดินทางเข้ามากรุงเทพมหานครค่อนข้างบางตา นอกจากนี้มีประชาชนสวมเสื้อสีเหลืองซึ่งเป็นสัญลักษณ์วันพระราชสมภพของในหลวงด้วย และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก รวมทั้งการประสัมพันธ์รถเมล์ที่ให้บริการสำหรับประชาชนที่ต้องการเดินทางไปร่วมถวายพระพรในหลวงบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม ทางบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส.ได้จัดจุดประชาสัมพันธ์ที่ด้านผู้โดยสารขาเข้า และสำหรับรถแท็กซี่นั้นยังคงมีเพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้บริการ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #19 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 12:14:55 PM »



ทรงมีราโชวาทและพระราชดำรัสตอบวงศ์และปวงชนชาวไทย ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕

มีพระราชดำรัส ว่า ขอขอบใจท่านทั้งหลาย ที่พรั่งพร้อมกันมาด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต ความปรารถนาดีและความพร้อมเพรียงกันของทุกท่าน เพื่อจะได้เห็นในวันนี้ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจ มีกำลังใจมากขึ้น มีความเชื่อเสมอว่า ความเมตตาปราถนาดีของท่าน ต่อกันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ความพร้อมเพรียงให้เกิดขึ้น ดีขึ้น ทั้งในหมู่คณะและในชาติบ้านเมือง แต่ถ้าคนไทยเรายังมีคุณธรรมข้อนี้ประจำในจิตใจ ก็จะมีความหวังแต่ว่าบ้านเมืองไทย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดๆก็จะอยู่รอดปลอดภัยและดำรงมั่นคงต่อไป ได้ตลอดรอดฝั่งอย่างแน่นอน ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านและชาติไทย ให้มีแต่ความผาสุกตลอดไป
.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #20 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 05:21:55 PM »

'ในหลวง'พระราชทานส.ค.ส.ปี2556




ในหลวงพระราชทาน ส.ค.ส.แก่พสกนิกรชาวไทย


ทรงพิมพ์ข้อความ ขอจงมีความสุขความเจริญ HAPPY NEW YEAR พร้อมข้อความว่า เมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข


เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2555 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ปีพุทธศักราช 2556 แก่ประชาชนชาวไทย โดยส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปีพุทธศักราช 2556 นี้ เป็นฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์เชิ้ตลำลองสีฟ้า มีลายเส้นสีชมพูและสีฟ้าเข้มพาดตัดกัน พระสนับเพลาสีดำ และฉลองพระบาทสีดำ ประทับบนพระเก้าอี้ ด้านขวาของพระเก้าอี้ที่ประทับ มีโต๊ะกลม วางฉายาลักษณ์ครอบครัว และเชิงเทียนแก้ว ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา และคุณมะลิ แม่เลี้ยงคุณทองแดง สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านซ้าย


ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับ ตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้หลากสี ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้ายมีผอบทองประดับ ด้านล่างของผอบทองมีตัวอักษรสีทอง ข้อความว่า


 ส.ค.ส. พ.ศ. ๒๕๕๖ สวัสดีปีใหม่


และตัวอักษรสีขาว ข้อความว่า


ขอจงมีความสุขความเจริญ HAPPY NEW YEAR 


ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า


 “ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย”


ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีม่วงเข้ม มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 181122 ธค.55  พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad, D Bramaputra, Publisher


 กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันด้านละ 3 แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้า มีแต่รอยยิ้ม 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: