jainu
|
|
« ตอบ #255 เมื่อ: มกราคม 30, 2013, 07:48:52 PM » |
|
10 สุดยอดเมนูสุขภาพ คุณค่าอาหารล้น-ต้านชรา ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ โดยศูนย์เวช ศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แนะนำ 10 เมนูสุขภาพรับปี 2556 สไตล์อายุรวัฒน์
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า อาหาร 10 เมนู มีผลต้านชราและบำรุงสุขภาพ ได้แก่
1.ส้มตำไก่ย่าง ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง "มะเขือเทศ" ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม ส่วนมะละกอนั้นช่วย "ล้างพิษ" ให้กับลำไส้ทั้งน้อยและใหญ่ ในมะละกอยังมีน้ำย่อย "ปาเปน" ช่วยเป็นน้ำยาล้างห้องน้ำทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับไก่ย่างมีข้อดีทำให้ไม่ขาดโปรตีน
2.แกงเขียวหวานไก่ ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ, ดี, อี และเค ที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่ก็มีวิตามินบีที่ช่วยบำรุงสมอง อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงก็มี "กรดแคปไซซิน" กับ "เบต้าแคโรทีน" ที่ช่วยบำรุงสายตา
3.เมี่ยงปลาทู หยิบกินง่ายๆ ได้ทั้ง "ซัลโฟราเฟน" เป็นกลุ่มสารต้านมะเร็งจากใบคะน้าห่อเมี่ยง ยิ่งหั่น "มะเขือเทศราชินี" ใส่เข้าไปด้วยจะช่วยให้ผิวพรรณสวย ส่วนในเนื้อปลาทูทอดมีทั้งกรดไขมันดีและ "แอสตาแซน ทิน" ที่กินเข้ากัน
4.ผัดไทย มีทั้งถั่วงอก อุดมด้วย "วิตามินซี" อยู่มากด้วย นอกจากนั้นถั่วและเต้าหู้ในผัดไทยยังอุดมไปด้วยวิตามินอี, แคลเซียม และสาร "พฤกษฮอร์โมน" ที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน 5.ข้าวหอมนิล อุดมด้วยสาร "พฤกษเคมี" มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกัน
6.ข้าวตอกน้ำกะทิ มีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกเองที่มี "เส้นใย" ช่วยในเรื่อง ไขมันและน้ำตาลได้ ส่วนวิตามินข้างในเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์
7.ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้ ได้วิตามินทั้งเอ, บี, ซี ในกล้วยยังมีเส้นใยกับ สารกลุ่มฟีนอล "กรดเอลลาจิก" ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้ด้วย
8.ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ ใส่เครื่องเคราทั้งเผือก, ลำไย, ลูกเดือย และธัญพืชอื่นๆ เป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูงเพราะช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองก็มี "วิตามินอี" และ "ธาตุเหล็ก" สูงมาก รวมถึง "ธาตุม่วงต้านร่วงโรย (OPCs)"
9.ข้าวโพดม่วง มีทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง "ลูทีน" กับ "ซีแซนทิน"
10.น้ำสมุนไพร เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก เป็นน้ำวิตามินชั้นดี เริ่มตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ ส่วนน้ำกระเจี๊ยบมีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไต น้ำใบย่านางกับใบบัวบก ประกอบด้วย "คลอโรฟิลล์" และยังมี "กลูต้าไทโอน" ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #256 เมื่อ: มกราคม 30, 2013, 08:03:22 PM » |
|
เป็นนิ่วเพราะภาชนะใส่อาหาร!? ผลวิจัยชี้การใช้ภาชนะยอดฮิตใส่อาหาร 2 แบบ เพิ่มความเสี่ยงป่วยนิ่วในไต
หลายครอบครัวนิยมใช้ภาชนะเมลามีนซึ่งเป็นพลาสติกอย่างหนึ่งมาใส่อาหาร เนื่องจากน้ำหนักเบาและไม่แตกง่ายๆ ยิ่งถ้าจะออกไปปิกนิกนอกบ้าน จานชามเมลามีนยิ่งใช้งานสะดวกถูกใจเข้าไปใหญ่ ทว่าล่าสุด มีงานวิจัยชี้ว่า การกินของร้อนที่บรรจุในภาชนะเมลามีนอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การศึกษาดังกล่าวเกิดขึ้นที่ไต้หวัน โดยทีมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์เกาสง เผยว่า พวกเขาได้ทำวิจัยกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกให้รับประทานก๋วยเตี๋ยวน้ำซุปร้อนๆ ใส่ในชามเมลามีน ส่วนอีกกลุ่มให้รับประทานอาหารเมนูเดียวกันแต่บรรจุในชามเซรามิก
ทีมวิจัยให้กลุ่มตัวอย่างทำเช่นนั้นนาน 3 สัปดาห์ ก่อนจะมาสลับภาชนะกันแล้วทำต่อไปอีก 3 สัปดาห์ แต่ระหว่างนั้นจะมีการเก็บตัวอย่างปัสสาวะมาวิเคราะห์ปริมาณเมลามีนที่ปนออกมา โดยการเก็บตัวอย่างปัสสาวะนั้น จะเก็บก่อนรับประทานอาหาร และหลังอาหารทุกๆ 2 ชั่วโมง ต่อเนื่อง 12 ชั่วโมง
และผลที่ได้คือ สารเมลามีนที่ถูกขับออกมากับปัสสาวะของผู้ที่รับประทานอาหารจากชามเมลามีน มี 8.35 ไมโครกรัม ส่วนคนที่รับประทานจากชามเซรามิกมี 1.3 ไมโครกรัม
สำหรับสาเหตุที่ปัสสาวะของผู้ที่รับประทานอาหารจากภาชนะเมลามีนมีปริมาณเมลามีนมากกว่า ทางทีมวิจัยชี้ว่า เป็นเพราะความร้อนของอาหารทำให้เมลามีนปนเปื้อนออกมาในปริมาณมาก นอกจากนี้ อาหารที่เป็นกรดก็กระตุ้นให้เกิดการปนเปื้อนเมลามีนในอาหารได้สูงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การศึกษานี้ ทีมวิจัยชี้ว่า ผลที่ได้เชื่อมโยงกับงานวิจัยชิ้นเก่า ซึ่งระบุไว้ว่า ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากได้รับเมลามีนไม่มาก แต่ยังได้รับอย่างต่อเนื่องและสะสมไปนานๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดนิ่วในไตได้
เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ก่อนเลือกภาชนะมาใส่อาหาร อย่าลืมศึกษาคำแนะนำการใช้ภาชนะให้เหมาะสมกับชนิดอาหารกันด้วย.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #257 เมื่อ: มกราคม 30, 2013, 08:05:04 PM » |
|
อยากของหวาน..เอาชนะยังไงดี? ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในระหว่าง Diet อย่างหนัก นั่นก็หมายความว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงต้องตัดลดปริมาณการรับประทานรสหวานและรสเค็มลงให้ได้ ซึ่งการลดความอยากกินรสชาติอันยั่วยวนทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นายแพทย์ Mehmet Oz หรือที่รู้จักกันในนาม Dr. Oz ผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในวงการแพทย์รวมถึงยังเป็นนักแต่งหนังสือ ก็ได้มาให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ ที่จะช่วยให้คุณสามารถลดความอยากทานทั้งสองรสชาตินี้ลงได้ ซึ่งก็จะนำไปสู่หุ่นอันผอมเพรียวที่หวังไว้ในที่สุด!
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือเรามักจะมีความอยากทานเค้กช็อกโกแลตหรือวัฟเฟิ่ล มากกว่าที่จะไปโหยหาผักนี่น่ะสิ Dr. Oz ถึงได้บอกว่า คุณจะต้องมีการวางแผนที่ดี
1. รู้จักความปรารถนาของตัวเอง ทุกคนมีความอยากอาหารที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นก็ให้คอยดูว่าอะไรที่จะกระตุ้นต่อมอยากอาหารของคุณ?และก็พยายามอยู่ห่างมันให้มากที่สุด สำหรับ Dr. Oz แล้ว ของโปรดของเขาก็คือถั่วเคลือบช็อกโกแลต ที่เขาบอกว่าเขากินมันได้ครั้งละเป็นแกลลอนๆ เลย แถมยังกินได้ไม่หยุดอีกด้วย เพราะฉะนั้นเขาก็เลยพยายามไม่ไปอยู่ใกล้ๆ มัน และหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุดถ้าทำได้
2. เก็บอาหารประเภท ‘junk food' ออกจากบ้านให้หมด แนะนำว่าให้เก็บเอาอาหารขยะทั้งหลายออกจากบ้าน ออกจากสายตา และออกจากความคิดให้หมดเกลี้ยง อย่าไปคิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้ามันยากเกินจะทำและเกิดเผลอคิดถึงมันขึ้นมาสักครั้งล่ะก็ ก็ให้ไปที่ร้านและซื้อมาปลอบประโลมความอยากของตัวเองแค่ชุดเดียวก็พอ!
3. ลองหาของทดแทนที่ดีต่อสุขภาพ นั่นก็หมายถึงทดแทนความอยากทานของหวาน ด้วยการทานผลไม้อย่าง อินทผลัม องุ่น หรือผลมะเดื่อแทน หรือถ้าอยากจะทานอะไรที่เป็นครีมข้นๆ ก็ลองเลือกโยเกิร์ตแบบไขมันต่ำ
4. ตั้งข้อแม้กับตัวเอง ลองทำใจเย็นๆ และอดทนกับความรู้สึกอยากทานอะไรสักอย่างให้ได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าความปรารถนานั้นยังแรงกล้ายากที่จะดับได้ ก็ให้ทานสิ่งที่อยากทานเข้าไปได้เล็กน้อย
5. หาอะไรล้างปาก ด้วยการแปรงฟันหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะว่าหลังจากทำสองสิ่งนี้แล้ว อาหารชนิดไหนก็ไร้รสชาติทั้งนั้นถ้าคุณยังมีรสมินท์หลงเหลืออยู่ในปาก
6. โทร.หาเพื่อน บางครั้งความอยากอาหารของคุณจะเกิดจากความเครียดหรืออารมณ์ประเภทอื่นๆ ลองคุยกับเพื่อนสนิทสักคนที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะคุยด้วย แทนที่จะหันไปแก้ปัญหาด้วยการตักไอศกรีมใส่ปาก
ควรจะรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณด้วยการรับประทานอาหารเช้า และอยู่ห่างจากคาร์โบไฮเดรต เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว และพาสต้าต่างๆ เช่นเดียวกับการหลีกให้ไกลจากวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ที่จะยิ่งทำให้ความอยากอาหารรุนแรงขึ้นไปอีก
ขอบคุณ : VoiceTV
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #258 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:40:43 PM » |
|
อันตรายจาก...มันฝรั่ง ทราบกันหรือเปล่าค่ะว่า มันฝรั่ง ที่เรากินนั้นมีอัตรายอยู่ไม่น้อย แล้วอันตรายของมันฝรั่งนั้นมันจะมีอะไรอยู่บ้าง และควรหลีกเลี่ยงอย่างไร ?
เรื่องของมันฝรั่งเป็นที่นิยมกันมากและได้นำไปเล่าสู่กันฟังใน Food News เพราะเนื่องจากว่ามันฝรั่งเป็นอาหารที่คนไทยเราชอบกินกันเป็นอย่างมากในสมัยนี้ที่ชอบกินมากๆ คือเด็กและกลุ่มวัยรุ่น จะชอบบริโภคอาหารฟาสต์ฟู๊ดและขนมต่างๆ ที่ได้ทำมาจากมันฝรั่งแล้วรู้หรือเปล่าว่ามันฝรั่งที่เรากำลังกินอยู่นั้นมีอันตรายอะไรซ่อนอยู่
ได้มีการค้นพบว่ามันฝรั่งนั้นมีสารพิษร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งสารพิษที่พบในหัวมันฝรั่งนั้นได้แก่ สารไกลโคแอลคาลอยด์ (glycoalkaloids) นั้นจะไปยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์คอลีนเอสเทอเรส (Cholinesterase) ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการ ปวดหัว อาเจียน ท้องเสีย หรือทำให้ไข้ขึ้นเลยก็เป็นได้ สารในมันฝรั่งนั้นจะมีอยู่ประมาณ 0.01 – 0.1% มีน้ำหนักแห้ง ที่สำคัญเลยก็คือ ความร้อนนั้นจะไม่สามารถทำลายสารนี้ได้ งั้นก็แสดงว่าหากมันฝรั่งได้ผ่านความร้อนจากการทอด การต้ม แล้วก็จะไม่ส่งผลกระทบอันตรายใดๆ ต่อเราได้เลย แต่การกินมันฝรั่งปกติในชีวิตประจำวันนั้นจะไม่เกิดโทษจากสารชนิดนี้
และนอกจากนี้แล้วมันฝรั่งยังมีการยับยั้งและมีโปรตีนอยู่ซึ่งได้แก่ สารที่ยับยั้งการทำงานของทริปซิน และการทำงานของไคโมทริปซิน เป็นต้น ซึ่งสารดังกล่าวนี้จะถูกทำลายเมื่อได้พบกับความร้อน จึงทำให้ไม่เป็นอันตรายใดๆ
ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เรารับประทานมันฝรั่งนั้นเราควรจะต้ม ทอด ให้สุกก่อนเพื่อเป็นการละลายสารพิษ และเรายังสารมารถกินได้โดยไม่ต้องกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
ขอบคุณ : kappticer
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #259 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:43:28 PM » |
|
อวัยวะในร่างกายมนุษย์ มีอายุไม่เท่ากัน เราคิดกันว่าถ้าเราแก่มากขึ้น บรรดาอวัยวะต่างๆภายในร่างกายคงต้องมีสภาพอายุที่ใกล้เคียงกับอายุของเราที่เป็นเจ้าของร่างกาย
แต่การวิจัยที่พบมากขึ้นเรื่อยๆบอกว่า จริงๆแล้วร่างกายเรา อวัยวะแต่ละส่วนล้วนมีการสร้างเซลล์ใหม่เป็นระยะๆ เพื่อทดแทนซ่อมแซมอยู่เสมอ มีเพียงบางอย่างเท่านั้นที่ไม่มีการสร้างใหม่ เรียกว่าอายุจริงเท่าไหร่ อวัยวะชิ้นนั้นก็แก่เท่าๆกัน
• “สมอง” อายุเท่าอายุเจ้าของ
เกิดมาโง่หรือฉลาดแค่ไหน ตั้งแต่เกิดเซลล์สมองมีแค่ไหนก็จะมีอายุเท่ากับอายุของคนนั้น จอห์น วาดลี่ย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมเส้นประสาทสมอง มหาวิทยาลัยลอนดอน บอกว่า เซลล์ที่พบว่ามีอายุยืนยาวนานในร่างกายเราส่วนมากเป็นเซลล์สมอง
เราเกิดมาพร้อมกับเซลล์สมองประมาณแสนล้านเซลล์ และเมื่อแก่หรืออายุมากขึ้นก็มีเท่าเดิม ไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่ และที่น่าตกใจ เซลล์เหล่านี้นอกจากไม่มีใหม่แล้ว ของเก่าก็ค่อยๆหมดไปอีกด้วย ฉะนั้น การบาดเจ็บที่สมองทำไมจึงเป็นเรื่องที่อันตรายต่อชีวิตมนุษย์มาก
แต่ก็มีบางส่วนของเซลล์สมองที่มีการพัฒนา คือเซลล์ที่มีส่วนสัมพันธ์กับการได้รับกลิ่นและสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้
• “เส้นผม” อายุ 3-6 ปี
อายุเส้นผมของผู้หญิงผู้ชายไม่เท่ากัน ผมของผู้หญิงมีอายุเฉลี่ยอยู่ได้ถึง 6 ปี แต่ผู้ชายเพียงแค่ 3 ปี ส่วนขนตาและขนคิ้วจะงอกใหม่ทุก 6-8 สัปดาห์ (ขอเตือนคนที่ชอบถอนขนคิ้วหรือกันคิ้ว จะทำให้มันไม่งอกออกมาเพราะว่าถูกรบกวน)
เส้นผมที่ยาวหรือสั้นแสดงถึงอายุของผมเส้นนั้นเช่นกัน ค่าเฉลี่ยความยาวของผมเดือนหนึ่งจะยาวประมาณหนึ่งเซนติเมตร
• “ดวงตา” อายุเท่าเจ้าของ
ดวงตาเป็นอวัยวะอีกไม่กี่อย่างที่มีอายุยาวนานเท่ากับเจ้าของร่างกาย แต่ก็มีแค่ส่วนเดียวที่จะมีการสร้างใหม่อยู่สม่ำเสมอ คือบริเวณด้านนอกของเลนส์ตา ที่เรียกว่าคอร์เนีย เป็นฟิล์มบางๆที่อยู่ชั้นบนสุดของนัยน์ตา มันช่วยให้การโฟกัสภาพเป็นไปอย่างปกติ และสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ภายใน 24 ชั่วโมง
แต่ความเสื่อมของตาก็จะมีปัญหาเมื่ออายุมากขึ้น เพราะว่าความยืดหยุ่นของเลนส์ในตาทำให้เรามองเห็นไม่ชัดมากขึ้น
• เซลล์ “เม็ดเลือดแดง” มีอายุ 4 เดือน
เซลล์เม็ดเลือดแดง เป็นตัวสำคัญในการพาเอาออกซิเจนเข้าไปสู่ทุกๆเนื้อเยื่อทุกๆอวัยวะในร่างกายของเรา พร้อมกับขนของเสียออกจากเซลล์ด้วย
เซลล์เม็ดเลือดแดงจะหมดสภาพ หมดประสิทธิภาพทุกๆ 4 เดือน ซึ่งตับจะดึงเอาเฉพาะธาตุเหล็กที่อยู่ในเม็ดเลือดเก็บไว้ แล้วส่งต่อเพื่อให้เซลล์เม็ดเลือดแดงที่ยังดีอยู่ได้ใช้
ส่วนที่ใช้การไม่ได้ก็ส่งไปทำลายทิ้งที่ม้าม แต่ถ้าเราประสบอุบัติเหตุหรือสุภาพสตรีที่อยู่ในช่วงมีรอบเดือน ร่างกายก็จะเร่งสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่ม
• อวัยวะ “หัวใจ” มีอายุ 20 ปี
แต่เดิมเราเข้าใจว่าหัวใจไม่ได้มีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ แต่การศึกษาที่มีมาต่อเนื่องจากมหาวิทยาลัยแพทย์นิวยอร์ก พบว่าเซลล์ในกล้ามเนื้อหัวใจจะมีการสร้างใหม่ขึ้นมาทดแทนของเก่าอยู่ประมาณ 3-4 ครั้งในตลอดช่วงอายุของแต่ละคน เฉลี่ยออกมาก็อาจพูดได้ว่าเรามีหัวใจใหม่ทุกๆ 20 ปี
• “ปอด” ที่หายใจ มีอายุ 2-3 สัปดาห์
ดร.คีท เพราส์ รองประธานสถาบันปอดแห่งสหราชอาณาจักร บอกว่า ปอดคนเราจะสามารถสร้างเซลล์ใหม่ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เซลล์แต่ละส่วนที่มีการทำงานไม่เหมือนกัน จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน ในส่วนเซลล์ของถุงลมปอดที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนระหว่างออกซิเจนกับแก๊สตัวอื่น เซลล์ส่วนนี้จะมีการสร้างใหม่ประมาณปีละครั้ง
ส่วนเซลล์ที่เป็นด่านหน้าด้านนอกของปอดนั้นจะมีการเปลี่ยนใหม่ทุกๆสองสามสัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ ดร.เพราส์ บอกว่าด้านนอกของเนื้อเยื่อปอดถือเป็นส่วนสำคัญในการเจอกับสารแปลกปลอมจากอากาศ ตัวมันเองจึงต้องมีการเปลี่ยนใหม่สร้างเพิ่มอย่างรวดเร็ว
คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับปอดจะทำให้ขัดขวางการสร้างเซลล์ใหม่ด้านนอก แถมไปทำลายเซลล์ในถุงลมปอดข้างในอีกด้วย
• “ตับ” อายุ 5 เดือน
ตับถือเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีหน้าที่ขับของเสีย ถือเป็นโรงงานกำจัดสารพิษชั้นยอดของมนุษย์ แต่ละวันมีเลือดผ่านตับเป็นจำนวนมหาศาล และตัวตับเองสามารถซ่อมตัวเองสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ได้
ลองดูจากพวกนักดื่มคอทองแดงที่ดื่มเหล้าเป็นน้ำ สภาพตับถูกทำลายไปมาก แต่เมื่อมีการลดลงหรือหยุดดื่ม ตับของพวกเขาก็สามารถฟื้นฟูกลับมาดีได้ภายใน 150 วัน หรือราว ๆ 5 เดือน
เดวิด ลอยด์ ที่ปรึกษาด้านการศัลยกรรมตับ บอกว่า เขาสามารถผ่าตัดเอาเนื้อตับคนไข้ออกมา70% แต่ภายในสองเดือนเนื้อตับสามารถกลับมาได้ถึง 90%
แต่ก็ไม่ใช่ข่าวดีของพวกดื่มเหล้า เพราะแม้ตับสามารถฟื้นฟูสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาได้ใหม่ แต่เซลล์ตับที่เสียหายไปจะเหมือนเป็นรอยแผลเป็นทำให้การฟื้นฟูกลับมาได้ยากลำบาก และอาจไม่สมบูรณ์เหมือนเดิม แถมอาจเป็นอันตรายต่อไปในภายภาคหน้า
• “ลำไส้” กี่ขดก็อายุราว 2-3 วัน
หลังจากที่เรากินอาหารเข้าไป ฟันบดเคี้ยวอาหารให้ฉีกขาด กระเพาะอาหารใส่น้ำย่อยลงไปคลุกเคล้าอาหารให้ละเอียดเหลว แล้วจึงส่งผ่านไปยังลำไส้เล็กให้ดูดซึมอาหารเข้าสู่ร่างกาย
ลำไส้ดูดซึมอาหารด้วยการใช้ วิลไล(Villi) เส้นขนเล็กๆ ที่มีอยู่ตลอดตามผนังลำไส้ ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด วิลไลเป็นตัวหลักในการจับสารอาหารที่ผ่านเข้ามา ตัวมันต้องเจอกับน้ำย่อยที่ย่อยอาหาร มันทำงานหนัก จึงต้องมีการสร้างใหม่อยู่ทุก ๆ 2-3 วัน
ภายในลำไส้ยังมีเมือกเคลือบลำไส้ เพื่อให้การไหลเวียนของสารอาหารเป็นไปอย่างสมบูรณ์ เมือกลื่นเหล่านี้ก็หนีไม่พ้นกรดอันรุนแรงของน้ำย่อยในร่างกาย มันทำหน้าที่ป้องกันลำไส้ ตัวมันเองจึงต้องสร้างใหม่ทุกๆ 3-5 วัน
• “ลิ้น” ตุ่มรับรส อายุ 10 วัน
อาหารอร่อยไม่อร่อยก็อยู่ที่เจ้าตุ่มในลิ้นรับรสที่ส่งข้อมูลไปให้สมอง ว่าสิ่งที่ใส่เข้าไปในปากรสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไร เพราะเจ้าตุ่มพวกนี้มีมากกว่า 9,000 ตุ่มที่อยู่ติดลิ้นของเรา คอยรับรสต่างๆ
สิ่งที่ต้องระมัดระวังให้มากคือ ตุ่มรับรสพวกนี้จะอักเสบได้ง่าย คนที่ชอบสูบบุหรี่ การติดเชื้อจะทำลายตุ่มรับรสเหล่านี้ และทำให้การสร้างใหม่มาทดแทนทำได้ยากขึ้น หรือทำให้ลิ้นเรามีการรับรสที่ไม่ดี กินไม่อร่อย
• “กระดูก” แข็งไม่แข็ง อายุเฉลี่ย 10 ปี
ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกออกมาอธิบายว่า ปกติกระดูกในร่างกายเราจะมีการสร้างทดแทนอยู่เสมอ กระบวนการสร้างทดแทนตัวเองนี้จะสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์จะใช้เวลาประมาณ 10 ปี
เนื้อกระดูกเก่าในร่างกายจะมีการสูญเสียไปเป็นระยะ แต่ร่างกายก็สามารถสร้างกลับมาทดแทนได้ดีเหมือนเก่า ในร่างกายเราจะมีกระดูกใหม่กับกระดูกเก่าประกอบอยู่ด้วยกันเสมอ
แต่เมื่อถึงวัยกลางคน การสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาทดแทนจะทำไม่ทันเท่ากับความเสื่อมของกระดูกเก่า เนื้อกระดูกเราก็จะบางลง และเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุน ที่ชาววัยทองเป็นกันแทบทุกคน
• “ผิวหนัง” ไม่ว่าดำหรือขาว อายุเฉลี่ย 2-4 สัปดาห์
ผิวชั้นนอกหรือที่เรียกว่าอิพิเดอร์มิส เป็นส่วนที่ปกป้องอวัยวะภายในร่างกายของเรา ซึ่งต้องเจอกับแสงแดด แสงยูวีที่ทำลายผิว มลภาวะที่แย่ลงทุกวัน ผิวชั้นนอกจึงต้องมีการสร้างใหม่ทดแทนอยู่ทุก ๆ 2- 4 สัปดาห์ แต่การที่ผิวสร้างใหม่ไม่ได้ทำให้ผิวเราสดใสหรือเต่งตึงตลอดไป เพราะร่างกายเราเมื่อมีอายุมากขึ้น จะสูญเสียคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ขาดความยืดหยุ่นที่ดี และขาดอีลาสตินทำให้ผิวเหี่ยวย่นเมื่อแก่
• “เล็บ” มีอายุ 6-10 สัปดาห์
เล็บเท้าเล็บมืองอกช้าเร็วไม่เท่ากัน ค่าเฉลี่ยความยาวของเล็บมือ เดือนละ 3.4 มิลลิเมตร เร็วกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับเล็บเท้า ไม่น่าแปลกใจเมื่อเราตัดเล็บอยู่บ่อยๆ เพราะเล็บมือต้องตัดบ่อยกว่าเป็นประจำ
ใครหลายคนคงเคยได้มีประสบการณ์อุบัติเหตุนิ้วเท้านิ้วมือช้ำจนต้องถอดเล็บหรือว่าเล็บหลุด ค่าเฉลี่ยที่เล็บเท้าที่หลุดจะงอกออกมาปิดนิ้วเท้าได้เหมือนเดิม ต้องใช้เวลาประมาณ 10 เดือน ส่วนนิ้วมือถ้าเล็บหลุดก็ต้องใช้เวลา 6 เดือน
สาเหตุที่การงอกยาวของเล็บมือเล็บเท้าช้าเร็วไม่เท่ากัน เป็นเพราะว่าการไหลเวียนของเลือดในบริเวณนั้นแตกต่างกัน การไหลเวียนที่ดีของเลือดทำให้เล็บงอกได้เร็ว
คนหนุ่มสาวหรือเด็กเล็ก เล็บก็จะยาวเร็วกว่าคนสูงอายุ เพราะสาเหตุของการไหลเวียนของเลือดมาสู่บริเวณนั้น
แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่า ทำไมเล็บนิ้วมือที่ยาวกว่างอกได้เร็วกว่าเล็บนิ้วเท้าที่เล็กหรือสั้นกว่า
อะไรที่เป็นตัวเรา เราคิดว่ามันจะอยู่กับเราไปตลอด ทุกๆวันมันมีการเสื่อม มีการสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลา อย่าได้ละเลยกับการดูแลร่างกายให้ดี เพราะถ้าของเก่าก็ไม่ดูแล ของใหม่ที่สร้างก็ไม่มีคุณภาพเท่าเก่า อายุจริงกับอายุเครื่องใน อาจจะต่างกันลิบจากข้อมูลทางวิชาการที่ว่านี้
(ข้อมูลจาก Never-Age.com)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #260 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:48:16 PM » |
|
ภัยเงียบจากกล่องโฟม... กินสบายแต่ตายเร็ว รู้ไหม? กินอาหารจากกล่องโฟมภัยร้ายที่ทำเราอายุสั้น
หลายคนคงเคยชินกับการ รับประทานอาหารแบบกล่องโฟม กันใช่ไหมล่ะ เพราะสะดวก รวดเร็ว กินที่ไหนก็ได้ ประหยัดเวลาทำอาหาร และที่สำคัญทานเสร็จก็ไม่ต้องล้างอีกด้วย แต่เพื่อน ๆ เชื่อหรือไม่คะว่า ท่ามกลางความสะดวกสบาย กล่องโฟมก็แฝงไปด้วยผลร้ายต่อสุขภาพแบบร้ายกาจมาก เพราะในกล่องโฟมมีสารบางอย่างที่อาจทำให้เราตายเร็วขึ้น
โดย นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ บริษัทบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความรู้ว่า กล่องโฟมที่ใช้ตามท้องตลาดทั่วไป (Styrofoam) เป็นของเสียเหลือทิ้งสีดำ ๆ จากกระบวนการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ประกอบด้วยสารสไตรีน (Styrene) มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในเพศหญิง
อาหารตามสั่งที่บรรจุกล่องโฟม จึงเป็นแหล่งสะสมสารสไตรีน ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ทำให้สมองมึนงง สมองเสื่อมง่ายหงุดหงิดง่าย มีผลทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และเป็นสารก่อมะเร็งอีก 3 ชนิด ถ้าเป็นผู้ชายรับประทานเข้าไปมาก ๆ มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ขณะที่ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม และทั้งสองเพศมีโอกาสสูงต่อการเป็นมะเร็งตับ แม้จะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำก็ตาม
สำหรับสไตรีน ถือเป็นสารอันตรายที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นบัญชีสารก่อมะเร็ง หญิงมีครรภ์ที่รับประทานอาหารบรรจุในกล่องโฟม ลูกมีโอกาสสมองเสื่อมเป็นเอ๋อ อวัยวะบางส่วนพิการ ส่วนคนทั่วไปถ้ารับประทานอาหารกล่องโฟมทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งสูงกว่าคนปกติถึง 6 เท่า
ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับสารสไตรีนในกล่องโฟมได้ง่ายถึง 5 ปัจจัยได้แก่
1. อุณหภูมิที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง ทำให้สไตรีนซึมเข้าสู่อาหารได้สูง
2. ถ้าปรุงอาหารโดยใส่น้ำมัน น้ำส้มสายชูแอลกอฮอล์ จะดูดสารสไตรีนจากกล่องโฟมได้มากกว่าปกติ
3. ถ้าซื้ออาหารใส่กล่องทิ้งไว้นาน ๆ ไม่ได้รับประทาน อาหารจะดูดสารสไตรีนได้มาก
4. ถ้านำอาหารที่บรรจุโฟมเข้าไมโครเวฟ สไตรีนจะไหลออกมาในปริมาณมาก
5. ถ้าอาหารสัมผัสพื้นที่ผิวกล่องโฟมมาก ๆ รวมถึงร้านไหนตัดถุงพลาสติกใสรองอาหาร ขอบอกว่าได้รับสารก่อมะเร็ง 2 เด้ง ทั้งสไตรีนและไดออกซินจากถุงพลาสติกเลยทีเดียว
นพ.วีรฉัตร กล่าวเตือนด้วยว่า อาหารตามสั่งหรือข้าวราดแกงกับไข่ดาวหรือไข่เจียวร้อน ๆ อาจจะไปละลายผนังกล่องโฟม เสมือนรับประทานอาหารคลุกสไตรีนไปด้วย ถึงกระนั้นไข่ดิบที่วางขายในแผงไข่พลาสติก สารสไตรีนมีโอกาสวิ่งเข้าในเปลือกไข่ได้เช่นกัน ถ้าเลือกไข่ดิบควรเลือกซื้อจากแผงไข่กระดาษจะปลอดภัยที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #261 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:50:23 PM » |
|
ความโกรธ จาก กรุ๊ปเลือด บอกนิสัย ความโกรธ จาก กรุ๊ปเลือด
กรุ๊ป A : เจ้าคิดเจ้าแค้น ถ้าลองได้โกรธขึ้นมาเมื่อไรละก็หายยากเลยล่ะ ถือเป็นแบบฉบับระดับ ความโกรธ ของชาวกรุ๊ป A ก็ว่าได้ เพราะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ดังนั้นอย่าพยายามยับยั้งเขา ปล่อยให้เวลาช่วยคลายอารมณ์จะดีกว่า
กรุ๊ป B : โกรธง่ายหายเร็ว โกรธได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นถ้าคนชาวกรุ๊ป B เกิดโมโหขึ้นมา ก็ไม่ต้องไปใส่ใจมากนักนะ เพราะจะยิ่งไปกันใหญ่ สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ แกล้งๆ ลืมไปซะ ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี
กรุ๊ป AB : จัดการยาก แบบนี้ต้องยอมก้มหัวให้เขาหน่อย เป็นคนชอบความมีเหตุผลแต่ค่อนข้างเข้าข้างตัวเองสักหน่อย ดังนั้นทุกครั้งที่โกรธแสดงว่าเขาคงมีเหตุผลจริงๆ แต่ไม่ต้องเครียด เพราะเพียงแค่ยอมขอโทษเท่านั้น ความรุนแรงก็จะลดลงเอง
กรุ๊ป O : คุยกันรู้เรื่อง หรือคุยง่ายนั่นเอง เพียงอธิบายด้วยเหตุผล เป็นคนน่ากลัวเมื่อถูกทำให้โกรธ แต่ถ้ารู้ว่าสาเหตุคืออะไรก็หายทันที การอธิบายถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนกรุ๊ปนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก Forward Mail
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #262 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:52:10 PM » |
|
5 อาหารแย่ๆแต่ควรกิน!! ไข่ไก่ การกินไข่ทุกวันไม่ดีเพราะมีคอเลส-เตอรอล และไข่แดงยิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ที่ดูแลสุขภาพ
ความจริงแล้ว: ไขมันและไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุใหญ่ในการเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือดมากกว่าคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ และไข่แดงยังมี Lutein และ Zeaxanthin ที่การวิจัยพบว่าสามารถลดความเสี่ยงภาวะจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุของการตาบอดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
เนื้อวัว เนื้อวัวอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอ-รอล เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
ความจริงแล้ว: เนื้อแดงของเนื้อวัวนั้นเป็นแหล่งของโปรตีนและธาตุเหล็ก แร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่สูญเสียธาตุเหล็กจากคลอดบุตร ลองเลือกเนื้อที่มีสีแดงเข้ม มีลายหินอ่อนเล็กน้อยก็จะเป็นเนื้อส่วนดีที่มีไขมันน้อย
ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตขึ้นชื่อเรื่องน้ำตาลสูง ไขมันก็สูง และรสชาติหวานมันย่อมไม่ดีกับคุณแน่ๆ
ความจริงแล้ว: ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันเส้นเลือดตีบ และเมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยในสวิตเซอร์แลนด์รายงานว่าการกินดาร์กช็อกโกแลต 40 ออนซ์ ทุกวันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ช่วยทำให้ฮอร์โมนความเครียดลดลง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงกินมากแล้วจะเครียดน้อยลง ยังไงก็ควรกินแต่น้อยไม่งั้นจะพานเครียดกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแทน
มันฝรั่ง มันฝรั่งมีค่าดัชนีน้ำตาลค่อนข้างสูง จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยังเข้าไปขัดขวางการทำงานของอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลด้วย
ความจริงแล้ว: มันฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีชั้นดี ต่อให้กินมันฝรั่งทั้งผลก็ไม่มีผลต่อค่าดัชนีน้ำตาลมากนัก ถ้าคุณเพิ่มน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพราะไขมันจะช่วยชะลอการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรตในมันฝรั่ง
ขนมปังขาว ขนมปังแป้งแผ่นที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต
ความจริงแล้ว: ขนมปังขัดขาวไม่ได้แย่เสมอไป แนวทางใหม่ในการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันแนะนำให้กินขนมปังขัดขาวอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของธัญพืชที่กิน สลับกับขนมปังโฮลวีต 100% หรือขนมปังธัญพืชไม่ขัดสีอื่นๆซึ่งเป็นวิธีในการกินขนมปังให้ดีต่อสุขภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #263 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2013, 08:02:24 AM » |
|
ประเทศไทยคนแก่เยอะสุดในอาเซียนก่อนจะถึงเวลา เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในอีก 2 ปีข้างหน้า ยังมีอีกหลายเรื่องที่คนไทยยังไม่รู้ถึงข้อมลูของประเทศตนเองรวมถึงของประเทศเพื่่อนบ้าน เช่น เรื่องของผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของสังคม แต่หลายคนกลับมองข้ามไป องค์การสหประชาชาตินิยามว่า ประเทศใดที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปในสัดส่วนร้อยละ 10 หรืออายุ 65 ปีขึ้นไป เกินร้อยละ 7 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ถือว่าประเทศนั้นได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์เมื่อมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20 หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็นร้อยละ 14
จากข้อมูลสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในปี 2555 พบว่า โลกมีประชากรจำนวน 7,058 ล้านคน มีผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 565 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 8 ในขณะที่ ผู้สูงอายุของประเทศไทยมีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีมากถึง ร้อยละ 12.59 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประเทศอาเซียน โดยสิงคโปร์อยู่ที่ ร้อยละ 12.25 เวียดนาม ร้อยละ 8.53 นอกจากนี้ ยังพบว่าความก้าวหน้าด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยทำให้อัตราการ เกิดน้อยลง ประชากรมีอายุยืนยาวมากขึ้น โดยสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจาก 7 ล้านคน ในปี 2550 เป็น 7.5 ล้านคน ในปี 2553 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 14.5 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ในปี 2568 เมื่อประเมินแล้วพบว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และถัดไปอีก 10 ปีจะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด
โดยจากรายงานการประเมินแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2545-2565 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ.2552 ระยะที่ 2 พ.ศ.2550-2554 โดยวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) พบว่าประชากรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพเพียง ร้อยละ 34.2 จากเป้าหมาย ร้อยละ 50 ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์เพียง ร้อยละ 18.7 จากเป้าหมาย ร้อยละ 30 เป็นสมาชิกชมรมและร่วมกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุเพียง ร้อยละ 23.7 จากเป้าหมาย ร้อยละ 25 ผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะทุพพลภาพได้รับการเยี่ยมบ้านร้อยละ 29.9 จากเป้าหมายร้อยละ 80 ผู้สูงอายุได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพประจำปีเพียงร้อยละ 56.7 จากเป้าหมายร้อยละ 50 ซึ่งยังไม่ผ่านการประเมินตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ
นับเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่คนไทยควรรู้และพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังมาถึง เพราะสุขภาพของผู้สูงอายุรวมถึงสวัสดิการทางสังคมต่างๆของเขาเหล่านั้นเป็นสิ่งจำเป็น การจะขับเคลื่อนประเทศชาติไปข้างหน้าไม่ใช่หน้าที่ของคนรุ่นใหม่วัยทำงานหรือวัยเรียนแล้วเท่านั้น คนสูงอายุที่เกษียญไปแล้วก็เป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่จะทำให้ประเทศพัฒนาอย่างรอบด้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #264 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2013, 08:07:31 AM » |
|
28 ข้อคิดในการใช้ชีวิต 1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ
3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น
4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่
5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ
9.ใครจะวิจารณ์เรายังงัยก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง
10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”
11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า
12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก
13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด
14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน
15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ
16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่
17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก
18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”
21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน
22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น
24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง
26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”
27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #265 เมื่อ: มีนาคม 04, 2013, 08:14:00 PM » |
|
สุขภาพดี...ด้วยสารพัดเห็ด ขอแนะนำอาหารดีๆ อีกชนิด เป็นพืชที่ชอบขึ้นตามขอนไม้ที่ชื้นแฉะอย่าง "เห็ด" หาทานได้ง่าย แถมยังมีประโยชน์มากมายเลยล่ะคะ
โดยปัจจุบันเห็ดหลากชนิด อาทิ เห็ดฟาง เห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดแชมปิญอง เห็ดเข็มทอง เห็ดออรินจิ เห็ดสกุลนางรมต่างๆ เห็ดโคน เห็ดหูหนู ถูกนำมาทำเป็นอาหารสุขภาพหลากเมนู นิยมทานทั้งแบบเห็ดสด แบบบรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่ตากแห้ง นอกจากนี้วงการยาก็นำไปศึกษาวิจัยเรื่องสรรพคุณทางยา
ที่น่าสนใจคือเคยมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า เห็ดหลายชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีโปรตีนสูง สามารถทดแทนโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ อาหารมังสวิรัติจึงนิยมใช้เห็ดเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้เห็ดบางชนิดยังนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้อีกด้วย
เห็ดส่วนใหญ่มีแคลอรีต่ำ ไขมันต่ำ ปราศจากคลอเลสเตอรอล มีธาตุโปแตสเซียมสูง จึงมีคุณสมบัติช่วยลดความดัน และยังมีสารซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง แถมยังอุดมด้วยวิตามินบี เฉพาะในเห็ดหอมสดจะมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เพื่อเสริมกระดูกและฟัน อย่างไรก็ตาม การทานเห็ดสดหรือเห็ดที่ปรุงโดยความร้อนที่ไม่สูง โดยใช้เวลาไม่นานนัก จะให้คุณค่าของสารอาหารมากกว่าเห็ดที่ปรุงสุกหรือผ่านความร้อนนานๆ นะคะ เว้นแต่ในส่วนดอกสดของเห็ดจะมีวิตามินซีมากจึงไม่ควรกินสด ควรทำให้สุกเสียก่อน เนื่องจากมีสารบางอย่างจะไปยับยั้งการดูดซึมของอาหารในระบบย่อยอาหาร
คุณสมบัติของเห็ดจะเหมือนกับถั่ว ซึ่งมีโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนรสชาติเมื่อทำให้สุกจะคล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์ แต่จะย่อยง่ายกว่า นอกจากนี้เห็ดยังให้พลังงาน คาร์โบไฮเดรต และเส้นใยซึ่งช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย เห็ดบางชนิดอย่างเช่นเห็ดหอมแห้งที่แช่น้ำก่อนนำมาปรุงอาหารจะมีปริมาณเส้นใยสูงเทียบเท่าผักที่มีเส้นใยมาก และยังมีปริมาณไขมันที่ต่ำ
เห็ดยังถือเป็นทั้งอาหารและยาในเวลาเดียวกัน เพราะมีซีลีเนียม เป็นสารต้านอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ลดเสี่ยงเกิดมะเร็ง และโรคสำหรับผู้สูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ มีโพแทสเซียม เป็นสารที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ มีวิตามินบีรวม ไรโบฟลาวิน ช่วยบำรุงผิวพรรณและการมองเห็น ไนอะซิน ควบคุมการทำงานระบบย่อยอาหารและระบบประสาท แต่เห็ดมีโซเดียมต่ำ
เรามาดูสรรพคุณของเห็ดแต่ละชนิดกันบ้างดีกว่าค่ะ
เห็ดหอม ลดไขมันในเส้นเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็ง ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน โซเดียมต่ำเหมาะสำหรับคนป่วยโรคไต ลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร
เห็ดหูหนู เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต เพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวส่งผลให้ภูมิต้านทานดี ช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงสมอง หัวใจ ปอด กระเพาะ ตับ แพทย์แผนจีนใช้บำรุงไต ลดไข้ กระตุ้นการทำงานของลำไส้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ต้มกับน้ำตาลกรวดจิบแก้ไอ
เห็ดเข็มทอง ถ้าทานเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะและลำไส้อักเสบเรื้อรัง ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่เยื่อบุช่องท้อง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
เห็ดหลินจือ มีสารสำคัญเบต้ากลูแคน ช่วยต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้เสริมการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังสามารถรักษาโรคในระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ อย่างระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร ระบบทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ แก้ปอดอักเสบ ภูมิแพ้ และระบบการไหลเวียนของเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ลดคลอเลสเตอรอล
ส่วนเห็ดนางฟ้า เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดนางรม เห็ดภูฎาน ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดน้ำตาลในเลือด ปรับสภาพความดันโลหิต ลดการอักเสบ ยังยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย เห็ดหูหนูขาว ช่วยบำรุงปอดและไต เห็ดฟาง ลดความดันโลหิต เร่งการสมานแผล บำรุงกำลัง บำรุงตับ แก้ช้ำใน เห็ดเผาะ หรือเห็ดถอบ บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ช้ำใน และเห็ดโคนบำรุงร่างกาย ทำให้แช่มชื่น กระจายโลหิต ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้
ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาสารสำคัญในเห็ด โดยเฉพาะสารจำพวกโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharide) ผู้วิจัยพบมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญของเอชไอวี ไวรัส เพิ่มการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยืดอายุผู้ป่วยโรคมะเร็ง ยังยั้งการเจริญของก้อนเนื้องอก และลดระดับคอเลสเตอรอลในสัตว์ทดลองอีกด้วยค่ะ
อย่างไรก็ดี ยังมีเห็ดบางประเภทที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย หรือที่เรียกว่า เห็ดพิษ ซึ่งสวนใหญ่เจริญในป่า ดังนั้นวิธีการง่ายๆ ที่เราจะหลีกเลี่ยงอันตรายจากเห็ดพิษ คือ ไม่นำเห็ดที่ไม่รู้จัก เห็ดที่ถูกเก็บมาจากป่า มาปรุงอาหารทานเด็ดขาด
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วท่านผู้อ่านที่รักสุขภาพคงได้ทำความรู้จักกับเห็ดกันมากขึ้นจนอยากจะหาเมนูเห็ดมาทานกันในมื้อถัดๆ ไปกันแล้วใช่ไหมค่ะ อย่าลืมนะคะว่า เลือกทานเฉพาะเห็ดที่เราคุ้นเคย แค่นี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีจากสารอาหารที่มีอยู่ในเห็ดกันแล้วล่ะคะ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #266 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:45:19 PM » |
|
8 ตำรับใช้ข้าวเป็นยารักษาโรค ประโยชน์ของข้าว อาหารหลักของชาวไทยมีมากมาย ซึ่งข้าวไม่ได้มีแค่คาร์โบไฮเดรต แต่ยังมีสารอื่นที่เป็นประโยชน์ อาทิ โปรตีน วิตามิน เส้นใยอาหาร และเกลือแร่ต่าง ๆ รวมแล้วมากกว่า 20 ชนิดโดย คุณประเสริฐ ภูมิสิงห์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวเป็นยารักษาโรค ชมรมการแพทย์พื้นบ้านจังหวัดอุบลราชธานี ได้แนะนำองค์ความรู้ใหม่ที่ได้จากการนำข้าวมาเป็นยารักษาโรค ป่วยเมื่อไหร่ หยิบ 8 ตำรับยาง่าย ๆ จากข้าวนี้ลองใช้เพื่อการบำบัดอาการกันดู
1. น้ำซาวข้าว รักษาโรคพิษงูสวัด ส่วนผสม น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย ใบเสลดพังพอน 10 ใบ วิธีทำ ล้างใบเสลดพังพอนให้สะอาด นำมาตำให้ละเอียด จากนั้นนำไปผสมกับน้ำซาวข้าวที่เตรียมไว้ เมื่อผสมยาจนเข้ากันแล้วจะมีลักษณะเป็นน้ำข้นเหนียวสีเขียว ทิ้งไว้ให้แห้งก็นำไปทาได้เรื่อย ๆ สรรพคุณ ดูดพิษงูสวัด ถอนพิษจากสัตว์มีพิษ เช่น งู แมงมุม แมงป่อง ตะขาบ หรือแมงกัดต่อย นอกจากนี้ยังช่วยดูดพิษจากแผลอักเสบและพิษจากเห็ดได้อีกด้วย
2. ข้าวจี่ รักษาฝีหนอง ส่วนผสม ข้าวสุด 1 ปั้น น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย ใบลำโพง 10 ใบ วิธีทำ ล้างใบลำโพงให้สะอาด นำมาตำให้ละเอียด จากนั้นนำข้าวสุกไปจี่ไฟให้ดำ นำมาตำพร้อมกับใส่ใบลำโพงที่เตรียมไว้ ผสมกับน้ำซาวข้าว เมื่อผสมยาจนเข้ากันแล้ว ทิ้งไว้ให้แห้งก็นำไปใช้ได้เลย สรรพคุณ ใช้พอกบริเวณที่เป็นฝี ช่วยดูดพิษฝีหนอง นอกจากนี้ยังช่วยดูดพิษจากอีสุกอีใสได้อีกด้วย
3. น้ำซาวข้าวผสมขิงรักษาผด ผื่นแดง และอาการคัน ส่วนผสม ขิงแก่สด 2 ถ้วย น้ำซาวข้าว 1 ถ้วย วิธีทำ ล้างขิงให้สะอาด นำมาตำให้ละเอียดโดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง จากนั้นนำไปผสมกับน้ำซาวข้าวที่เตรียมไว้ เมื่อผสมยาจนเข้ากันแล้ว แล้วจะมีลักษณะเป็นน้ำข้นสีเหลือง ทิ้งไว้สักครู่ก็นำไปทาได้เรื่อย ๆ สรรพคุณ ใช้ทาบริเวณที่เป็นผด ผื่นแดง ช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี
4. น้ำข้าวตังก้นหม้อ แก้ปัญหาอาหารไม่ย่อย ส่วนผสม ข้าวตังก้นหม้อ 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ หุงข้าวแบบเช็ดน้ำ นำข้าวตรงก้นหม้อที่สุกจนเกือบไหม้ติดก้นหม้อไปต้มให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 3 นาที เติมน้ำมะนาวลงไป ได้เป็นน้ำข้าวตังเทน้ำข้าวตังที่ได้ใส่หม้อหรือเหยือกน้ำ รินดื่มได้ตลอดวัน สรรพคุณ ใช้ดื่มแก้หิวกระหาย บำรุงกำลังและช่วยกระตุ้นน้ำย่อย แก้ปัญหาอาหารไม่ย่อยได้ดี
5. น้ำนมข้าว ช่วยฟื้นไข้ แก้อาการอ่อนเพลีย ส่วนผสม รวงข้าวอ่อน 1 กำมือ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ล้างรวงข้าวอ่อนให้สะอาด นำมาทุบให้บุบแล้วตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ประมาณ 1 นิ้ว ต้มรวงข้าวกับน้ำให้เดือดแล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 10 นาที ค่อย ๆ เติมน้ำผึ้งลงไป ต้มต่ออีกสักครู่ แล้วเทน้ำนมข้าวใส่เหยือกน้ำ รินดื่มได้ตลอดวัน สรรพคุณ ดื่มแก้อ่อนเพลีย เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งฟื้นไข้ ดื่มแล้วจะหายเร็ว หรือนำน้ำนมข้าวผสมกับนมวัว เป็นยาบำรุงกำลังได้เช่นกัน
6. น้ำรากข้าวเหนียว แก้ไอ ละลายเสมหะ ส่วนผสม รากข้าวเหนียวแห้ง 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ล้างรากข้าวเหนียวให้สะอาด นำไปตากแดดให้แห้งตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ประมาณ 1 นิ้ว ต้มรากข้าวเหนียวแห้งกับน้ำให้เดือด แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 5 นาที ค่อย ๆ เติมน้ำผึ้งลงไป ต้มต่ออีกสักครู่ จะได้น้ำรากข้าวเหนียวที่มีรสชุ่มคอ จากนั้นเทน้ำรากข้าวเหนียวใส่เหยือกน้ำ รินดื่มเวลาที่มีเสมหะ สรรพคุณ ดื่มแก้ไอ ละลายเสมหะ บรรเทาอาการเจ็บคอและช่วยกระตุ้นน้ำลาย นอกจากนี้ยังช่วยแก้เหงื่อออกมากได้อีกด้วย
7. น้ำข้าวกล้องกับใบฝรั่งรวมพลังแก้ท้องเสีย ท้องร่วง ส่วนผสม ข้าวกล้อง 1 ถ้วย ใบฝรั่ง 7 ใบ เกลือป่น 1 ช้อนชา น้ำ 1 ลิตร วิธีทำ ล้างรากข้าวเหนียวให้สะอาด นำมาต้มรวมกับข้าวกล้องพอน้ำเดือดให้ลดไฟลง เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง เติมเกลือลงไป กรองเอากากออก เก็บไว้แบ่งดื่ม เช้า กลางวัน เย็น จนกว่าจะหายท้องเสีย สรรพคุณ ดื่มแก้ท้องเสีย ท้องร่วง นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ได้อีกด้วย
8. ข้าวดอกมะขาม ขับเลือดลม แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ส่วนผสม ข้าวดอกมะขาม 1 ถ้วย น้ำ 1 ลิตร วิธีทำ นำข้าวดอกมะขามมาทั้งรวง (มีสีเหลืองนวลคล้ายดอกมะขามและมีลายในเมล็ดข้าว) ทุบให้บุบแล้วตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ประมาณ 1 นิ้ว ต้มข้าวดอกมะขามกับน้ำให้เดือดเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ 20 นาที กรองเอากากออกจากนั้นเทน้ำข้าวดอกมะขามใส่แก้ว ดื่มให้หมดในครั้งเดียว สรรพคุณ ช่วยบำรุงเลือด ขับเลือดลมในผู้หญิงและแก้อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ หมายเหตุ : 1 ถ้วย = 240 ซีซี, 1 ช้อนโต๊ะ = 15 ซีซี
อาหารคือยารักษาโรคที่ดีที่สุดของคนเรา คำกล่าวของ ฮิปโปเครติล (Hippocrates) บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่มีคนจำนวนมากให้สมญานามว่าเป็นบิดแห่งการแพทย์ มีแนวคิดทางการแพทย์ที่คนในยุคปัจจุบันมักเรียกว่า "ธรรมชาติบำบัด" อยากให้คุณลองเริ่มต้มกินอาหารให้เป็นยา จะได้มีสุขภาพดี ๆ ไว้เป็นเพื่อนคู่กายตลอดไป
คุณรู้หรือไม่! "ข้าวกล้องงอก" สุดยอดข้าวเพื่อสุขภาพ
ข้าวกล้องงอก ถือเป็นนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นข่าวกล้องที่ต้องผ่านกระบวนการงอกตามปกติ โดยการนำเมล็ดข้าวกล้องไปแช่น้ำทิ้งไว้จนเกิดการงอก เมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว จะกระตุ้นให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าวทำงาน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมี จนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กลงและน้ำตาลรีดิวซ์ นอกจากนี้โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็นกรดอะมิโนและสารเปปไทด์
จากงานวิจัยยังพบว่าส่วนที่งอกออกมา เรียกว่า "คัพภะ" จะมีสาร GABA ซึ่งสารชนิดนี้คือ กรดอะมิโนบิวไทริก (Aminobutyricacid) ซึ่งข้ากล้องงอกจะได้ GABA มากกว่าข้าวกล้องตามปกติถึง 15 เท่า GABA ถือเป็นสารสื่อประสาทที่ปกติร่างกายมนุษย์ เราก็มีการสร้างขึ้นมาอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจจะไม่พอ ฉะนั้นถ้าเราทานข้าวที่มีสาร GABA อยู่ก็จะช่วยเสริมให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสมดุล ชะลอความเสื่อมของสมอง กระตุ้นต่อมที่ทำหน้าที่ผลิตโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) ที่ช่วยสร้างเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อกระซับและป้องกันริ้วรอยได้
เกร็ดความรู้
การทานเฉพาะถั่วต่าง ๆ หรือลูกเดือยเป็นอาหารหลักอย่างเดียว ไม่ทานข้าวเลย ถือเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะคนที่ต้องใช้แรงใช้สมองมากต้องทานข้าว ไม่เช่นนั้นร่างกายก็จะมีปัญหา อาหารไทยมีการเพิ่มเนื้อหรือผักจะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารไม่ทำงานหนัก ทำให้สุขภาพดีร่างกายปรับตัวได้ดี หากทุก ๆ เช้าเราไม่ทานข้าว ต่อไปร่างกายก็จะปรับตัวทำให้ไม่หิว ทว่าวันหนึ่งเรากลับมาทาน ร่างกายอาจจะไม่กลับมาทำงานตามปกติ จะเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมหันต์
ที่มา ... สุขภาพดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #267 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:49:04 PM » |
|
8 อาหารย่อยยากสุดๆ 1. น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง กระตุ้นเซลล์ประสาทให้รู้สึกอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น จนรู้สึกคล้ายกรดไหลย้อน (แต่ความจริงก็แค่ระคายเคือง) แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น สมมติว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร แต่ดื่มน้ำส้มไปแก้วใหญ่ๆ ตอนเช้ากระเพาะอาหารที่เต็มไปด้วยกรดอยู่แล้วก็จะได้รับกรดเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะทำให้คุณปวดกระเพาะได้ ส่วนคนที่ชอบน้ำมะนาวแต่ใส่น้ำเชื่อมข้าวโพดเยอะๆ ก็ต้องระวังท้องร่วงด้วยนะ
2. ช็อกโกแลต ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก อย่างราวนี่หนึ่งชิ้นอาจเป็นของว่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ดี แต่บราวนี่สามชิ้นหรือช็อกโกแลต ฟองดูนั้นอาจมากไปนิดนึง หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้
3. บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหารสารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมากๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว
4. มันบดและไอศกรีม หน้าตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่นๆ ไงคะ
5. นักเก็ตไก่ ทุกครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา ยิ่งถ้าคุณมีโรคลำไส้อักเสบร่วมด้วย ของทอดมันๆ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คุณคลื่นเหียน อาเจียน ดังนั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบนักเก็ตจริงๆ ลองหันมาอบนักเก็ตจะดีกว่าทอด แต่ถ้าจะให้ดีก็ใช้เนื้ออกไก่คลุกแป้งทำดีกว่าซื้อนักเก็ตแช่แข็งมาทอดค่ะ
6. หัวหอมดิบ หัวหอมและเพื่อนร่วมก๊วนอย่างกระเทียม ต้นหอม และ Shallot นั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง จริงอยู่ที่หัวหอมที่ผ่านความร้อน แล้วอาจมีสารดังกล่าวน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันความร้อนก็จะสลายสารอาหาร ทำให้คุณค่าของหัวหอมลดลง ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า
7. ถั่ว เป็นที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด ดังนั้น ก่อนกินถั่วก็ให้ผ่านความร้อนนานๆ หรือไม่ก็กินบ่อยๆ จะได้มีเอนไซม์เตรียมไว้ย่อยถั่วค่ะ
8. หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #268 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:50:24 PM » |
|
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน
ร้อนในหรือแผลในปาก เชื่อว่าทุกคนคงเคยเป็นกันเวลาเป็นแล้วจะเจ็บและรับประทานอะไรก็ลำบาก วันนี้เรามีวิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนในมาฝากกัน
วิธีป้องกันไม่ให้เป็นร้อนใน มีดังนี้
1. ระวังอย่าให้ท้องผูก เพราะร้อนในมักจะเป็นร่วมกับท้องผูก 2. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ร้อนใน เช่น ของทอด ของมันๆ ขนม น้ำตาล ทุเรียน ลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ฯลฯ อาหารพวกนี้กินแต่เพียงน้อยๆ อย่ากินมาก 3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น กระเทียม หอม ขิง ฯลฯ แต่พริกกินได้ 4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยลดอารมณ์เครียด ความเครียดส่วนมากทำให้เป็นโรคนี้ 5. รักษาความสะอาดในช่องปากอย่างเข้มงวด คือ แปรงฟันทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารแล้ว(ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ไหมขัดฟันทุก ครั้งหลังอาหาร) 6. ดื่มน้ำมากๆ วันหนึ่ง ๆ ให้ได้ 10 แก้วขึ้นไป 7. อย่าอดนอน 8. กินผักและผลไม้มากๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #269 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:52:05 PM » |
|
ขจัดปัญหาแก๊สแน่นท้อง กับ 10 อาหารควรเลี่ยง ไม่ว่าใครคงเคยประสบอาการแน่นท้องเพราะแก๊สในกระเพาะอาหาร ซึ่งปัญหาดังกล่าวสร้างความอึดอัด ชวนรำคาญใจ แถมยังทำให้ต้องอายหากลมในท้องระบายออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสมอีกต่างหาก
เป็นที่ทราบกันดีว่าถั่วเป็นหนึ่งในอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ อาหาร แต่ทราบหรือไม่ว่ายังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ก่อให้เกิดอาการแน่นท้องได้ วันนี้เรานำอาหารและการปฎิบัติตนที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวมา ฝากกันค่ะ
1. อย่าดื่มน้ำพร้อมอาหาร
การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารนับเป็นเรื่องที่ฟังดูปกติ แต่กลับทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ เพราะโดยปกติแล้วเราจะกลืนอากาศเข้าไประหว่างดื่มน้ำและรับประทานอาหารอยู่ แล้ว แต่หากยิ่งรับประทานและดื่มสลับกันระหว่างมื้ออาหารจะยิ่งทำให้เกิดแก๊สใน กระเพาะมากขึ้น ฉะนั้นควรเก็บน้ำไว้เป็นรายการสุดท้ายหลังรับประทานอาหารอิ่มแล้ว
2. เคี้ยวอาหารให้ช้า ๆ
การรับประทานที่เร็วเกินไปก็ยังทำให้เรากลืนอากาศเข้าไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้นควรเคี้ยวให้ละเอียด แต่ละมื้อควรมีเวลารับประทานอย่างน้อย 20 นาที และควรเลี่ยงการรับประทานระหว่างยืน เดิน และดูโทรทัศน์
3. การออกกำลังการอย่างหนัก
มีผลศึกษาเปิดเผยว่า 71% ของนักวิ่งมีปัญหาเรื่องการย่อย แก๊สในกระเพาะ และท้องอืด เพราะระหว่างการออกกำลังกายเรามีแนวโน้มจะหายใจทางปาก ซึ่งทำให้ได้รับอากาศเข้าท้องมากเกินไป
4. รับประทานผักบางประเภท
เชอรี่ หัวหอม ผักกาดขาว แอปเปิ้ล เห็ด และข้าวโพด เหล่านี้เป็นผักผลไม้ที่ก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้คือถั่วทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กขนาดใหญ่ หรือถั่วที่ขึ้นชื่อว่าดีต่อสุขภาพอย่างถั่วเหลือง ซึ่งลำไส้เล็กย่อยไม่หมดจึงเหลือไปถึงลำไส้ใหญ่ ทำให้แบคทีเรียสร้างแก๊สขึ้นได้
5. ความเครียดและความตื่นเต้น
นอกจากจะสร้างปัญหาสุขภาพหลายอย่างแล้ว ความเครียดและความตื่นเต้นยังทำให้เรากลืนอากาศเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
6. ชีส
ในอาหารจำพวกนม หรือชีส จะมีน้ำตาลแล็คโตส ซึ่งจะถูกย่อยโดยเอนไซม์ชื่อแลคเตส แต่หากกระบวนการย่อยทำงานไม่ดีก็จะเกิดแก๊สและอาการท้องอืดได้
7. อาหารอุ่นซ้ำ
อาหารจำพวกแป้งที่ย่อยยาก อย่างแป้งพาสต้า เมื่อเย็นลง แล้วอุ่นซ้ำจะย่อยยากขึ้น เมื่อย่อยไม่หมดและหลงเหลือไปถึงลำไส้เล็ก จะทำให้แบคทีเรียย่อยอาหาร และนำไปสู่อาการท้องอืดได้
8. เบียร์และไวน์แดง
ไม่เพียงแต่จะมีแก๊สเท่านั้น เบียร์ยังหมักจากยีสต์ที่อาจทำให้สมดุลย์ของแบคทีเรียในกระเพาะเสียไป และก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหารได้ ส่วนไวน์มีสารที่ทำให้ไวน์เป็นสีแดงที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในระบบย่อย
9. หมากฝรั่ง
การเคี้ยวหมากฝรั่งทำให้เรากลืนลมเข้าไปมากเกินไปได้ นอกจากนี้สารไซลิทอลในหมากฝรั่งหลายชนิดยังก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้
10. น้ำอัดลม
ไม่ต้องบอกคงทราบกันดีว่าคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดไว้ในน้ำอัดลมให้มีความซ่าจะก่อให้เกิดแก๊สได้โดยตรง
สำหรับท่านที่มีแก๊สเยอะ การหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มเสี่ยงก็อาจช่วยให้ไม่ต้องหงุดหงิดใจอีกต่อไปก็เป็นได้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|