Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 39 40 [41] 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75118 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #600 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2020, 10:48:24 AM »

จ๊ะเอ๋ อันตราย!

       ปาถ่องโก๋ หรือ           อิ่วจาก๊วย ที่อร่อยมาก ต้องมีสีเหลืองงามภายนอก ขาวหนืดนุ่มภายใน คุณสมบัติที่ชวนกินอย่างนี้ ได้มาจาก ส่วนประกอบที่เรียกว่า “เช้าก่า” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสีขาวคล้ายน้ำตาลทราย มีกลิ่นฉุนกึกของแอมโมเนีย ภาษานักเคมีเรียกผงนี้ว่า เกลือแอมโมเนียม ไบคาร์บอเนต สูตรเคมีเขียนหยาบๆ บน Line เป็น NH4.HCO3

     คนทำเขาจะเอาผงชนิดนี้ละลายน้ำผสมลงไปในแป้ง จากนั้นนวด ให้โปรตีนจากแป้งสาลีรัดเกลือแอมโมเนียเข้าไว้ จนกระทั่งเอาไปทอด จะเกิดก๊าซแอมโมเนีย กับก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์ ดันตัวหนีออกจากเนื้อแป้ง ทิ้งแป้งลอยบนน้ำมันและฟองก๊าซ อย่างเดิอดพล่าน

    คนทอดปาถ่องโกที่เก่งเขาจะสังเกตสีเหลืองพองาม กับฟองก๊าซรอบๆเปลือกเหลืองๆนั้นหายไปจนหมดจึงตักขึ้นมา พักไล่น้ำมันจนหมด แล้วจึงหยิบขายลำพังเช้าก่า หรือเกลือแอมโมเนีย หากไล่ออกหมดตั้งแต่ตอนทอดก็ไม่มีอะไรจะเป็นพิษเป็นภัยอะไรเลย แต่ถ้าหากพ่อค้าเขาทอดด้วยไฟไม่แรงพอจะขับไล่ก๊าซแอมโมเนียไม่หมด จะทำให้ก๊าซนี้เหลืออยู่ คนกินจะได้กลิ่นแอมโมเนีย ซึ่งเป็นก๊าซที่โชยออกจากโถปัสสาวะชำระไม่สะอาดนั้นแหละ

   อันที่จริง ก๊าสแอมโมเนียเพียงเล็กน้อยในปาถ่องโก๋ ไม่เป็นอันตรายอะไรเลย ถ้าคนกินยังไม่อยู่ในวัยชรา เพราะก๊าซนี้ ร่างกายคนทั่วไปเขาไม่ชอบ ได้หากสูดดมก๊าซนี้ แม้จะไม่มากก็เร่งขับปัสสาวะแล้ว ส่วนคนชรา ซึ่งตามปกติ ค่า gfr หรือ  glomerular filtration rate อัตราการกรองของหน่วยกรองของเซลล์ไต จะลดลงไปตามอายุขัยอยู่แล้ว การกินปาถ่องโก๋บ่อยๆ ของคนชราย่อมทำให้ค่า egfr ลดลง หมอเขาจะดุเอาว่า เราใช้ไตทำงานหนักเกินไป ด้งนั้น คนชราจึงต้องงดละ!

   คนจีนเขาฉลาดนัก ในเรื่องรู้หลบเหมือนมีปีก รู้หลีกเหมือนมีหาง ดังนั้น ในประเทศจีน และฮ่องกง  ถ้าไปกินปาถ่องโก๋ จะเห็นว่า มันยาวเท่าศอก เขามักไม่ใช่เช้าก่า แต่จะใช้ สารส้ม สูตรเคมีเป็น KAl(SO4) 2.12H2O  นั่นหมายความว่า ไม่มีก๊าซแอมโมเนีย HN3 แต่จะมีน้ำระเหยออกมาจากแป้งที่ทอด มิหนำซ้ำ อะลูมิเนียมที่เป็นส่วนประกอบของสารส้ม ยังทำให้เนื้อแป้งกรุบกรอบชวนเคี้ยว และคงความกรอบของปาท่องโก๋ไว้ได้นาน ซื้อมาตอนเช้ากรอบอย่างไร ตอนเย็นก็ยังกรอบอย่างนั้น

  อ้าวก็ดีซิ!
ใช่! มันน่าจะดี แต่มันขัดกับความรู้สมัยปัจจุบันที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า อะลูมิเนียมนั้นแหละ เป็นสารมีพิษ อะตอมของมันเล็กมากจนซึมผ่านไปสู่เซลล์ประสามและสมองได้ ทำให้เป็นอัลไซเมอร์ หลงๆลืมก่อนวัยชรา

  เท่านี้ ยังไม่พอนะ !
ใครที่ชอบกินโจ๊ก ข้าวต้ม หรือแม้แต่เต้าส่วน หรือเต้าฮวยร้อนๆ นั้น ตามร้านเขามักมีปาถ่องโก๋ ทำพิเศษ แต่ขนาดตัวเล็กกว่า ขนาดประมาณนิ้วก้อยเด็กอนุบาล มันกรอบ เคี้ยวกลุบ มันเค็ม  ผมไม่รู้เขาเรียกว่า อะไร แต่รู้แน่เลยว่า ความกรุบกรอบของแป้งปาถ่องโก๋จิ๋วนี้ เกิดมาจาก ธาตุโบรอน Boron ได้มาจากเกลือบอแรกซ์ Borax ที่พบได้มากตามชายหาดของทะเลสาบซึ่งเกิดจากปล่องภูเขาไฟ หรือน้ำพุร้อนในอดีตกาล

   ผงบอแรกซ์ นี่มีคุณสมบัติมหัศจรรย์ มันสามารถใช้ทำให้โลหะ แม้แต่ทองคำหลอมเหลวได้ง่าย เขาจึงนำมาใช้เป็น “น้ำประสานทอง”
แต่ถ้านำมาใส่ในแป้ง หรือเนื้อสัตว์ ที่ทำอาไม้ มันจะทำให้แป้งหรือเนื้อสัตว์นั้น เมื่อนำไปทอด หรือดอง จะกรอบ น่ากิน
แต่กินเข้าไปแล้ว อันตรายมาก หมอเขาดูที่ค่า egfr เขาก็บอกได้ว่า ควรฟอกไตได้หรือยัง

ไม่เป็นไรน่า นานๆกินที!
ผมก็นึกอย่างนี้เสมอ เมื่อเผชิญหน้ากับปาถ่องโก๋ แต่พอนึกถึงหมอที่เขาต้องเยียวยารักษาเรา ผมก็ติดเบรค กินไม่ถึงคู่ ขอข้างเดียวก็พอ


*ข้อความนี้ได้อ่านมาจากไลน์ มีประโยชน์ดี ขอบคุณค่ะ ท่านที่เขียนหรือส่งมาเผยแพร่ ไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #601 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2020, 11:06:35 AM »

ภัยจากน้ำมันทอดซ้ำ


ด้วยยุคที่สังคมและวิถีชีวิตตกเป็นทาสของเวลาและความเร่งรีบ ทำให้คนต้องพึ่งพาอาหารปรุงสำเร็จนอกบ้านเพราะสะดวกรวดเร็วกว่า โดยเฉพาะอาหารประเภททอดน้ำมันที่เข้าคู่กันดีมื้อเช้า อย่างเช่น ปาท่องโก๋-น้ำเต้าหู้  ข้าวเหนียวหมูทอด หรืออย่างอาหารทานเล่นจำพวก นักเก็ตไก่ทอด ไส้กรอก อาหารมื้อเย็น เช่น ปลาทอด กุ้งชุบแป้งทอด เป็นต้น

อาหารทอดเหล่านี้เอร็ดอร่อยน่าทานกว่าการปรุงเอง แต่ส่วนใหญ่ก็มีพิษภัยแอบแฝงจากการใช้น้ำมันที่ทอดซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ใส่ใจสุขภาพต้องรู้เท่าทันเพื่อป้องกันเอาไว้

ช่อลัดดา เที่ยงพุก นักวิจัยจากสถาบัน ค้นคว้า และพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ม.เกษตรศาสตร์ ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำมันทอดอาหารว่า อาหารแต่ละชนิดทอดในอุณหภูมิที่เหมาะสมแตกต่างกัน หลายชนิดต้องทอดให้น้ำมันท่วมทั้งชิ้นอาหาร ซึ่งในอดีตนักวิชาการสนับสนุนให้ใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง โดยเฉพาะน้ำมันพืชที่มีกรดไลโนเลอิกสูง แต่ในปัจจุบันข้อแนะนำได้เปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากพบว่า น้ำมันประกอบอาหารยิ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงมาก ยิ่งไวต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศและเกิดอนุมูลอิสระทำลายสุขภาพได้ ในการทอดอาหารจึงควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง โดยน้ำมันที่เหมาะสำหรับทอดอาหารที่ต้องใช้อุณหภูมิสูง ควรเป็นน้ำมันปาล์มที่ผลิตจากเนื้อปาล์ม (palm oil) เพราะมีจุดเกิดควันสูง จึงทำให้น้ำมันมีความอยู่ตัวในขณะทอดได้ดี

สำหรับน้ำมันทอดซ้ำ ซึ่งเป็นน้ำมันที่ผ่านความร้อนสูงนำกลับมาใช้ซ้ำหลายครั้งจนเสื่อมสภาพเป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะเป็นน้ำมันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและเคมี ซึ่งเกิดจากความชื้นที่อยู่ในอาหาร ออกซิเจนจากอากาศ รวมทั้งอุณหภูมิที่สูงในการทอดอาหาร ก่อให้เกิดสารประกอบมากมาย เช่น สารโพลาร์ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ สารประกอบคาร์บอนิล สารคีโตน เป็นต้น โดยสารประกอบบางตัวถ้าสะสมในร่างกายอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

ทั้งนี้ จากข้อมูลการศึกษาในสัตว์ทดลองซึ่งได้รับอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำในระยะเวลาหนึ่ง พบว่าการเจริญเติบโตลดลง เซลล์ตับและไตถูกทำลาย การแบ่งเซลล์ของหลอดอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ กระบวนการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ จากงานศึกษา วิจัยยังพบว่า ไขมันทรานส์ ที่เกิดขึ้นยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด ส่วนหนึ่งไปเพิ่มไลโพโปรตีนความหนาแน่นต่ำ ลดระดับไลโพโปรตีนความหนาแน่น สูง เพิ่มไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดและเพิ่ม


ที่มา : http://www.thaihealth.or.th
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #602 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2020, 11:30:36 AM »

ฟัง! Dr. Perter Gotzche ชาวเดนมาร์ก หมอที่เรียนวิทยาศาสตร์ เคมี และสถิติ จากนั้น ไปเรียนหมอ

            เขาค้นคว้าพบว่า ทุกวันนี้ ยารักษาโรค เป็นสิ่งที่คร่าชีวิตคนมาเป็นอันดับที่ 3 รองมาจากโรคหัวใจ และมะเร็ง

           เขารณรงค์ ให้ใช้ยาให้น้อยลง เขาบอกเลยว่า สังเกตไหม ไปหาหมอแล้ว อาการไม่ดีขึ้น แต่ก็ยังคงกินยาอยู่ ตามที่หมอสั่ง เขาน่าจะรู้ว่า ที่อาการเขาไม่ดีขึ้น แต่กลับแย่ลง เป็นเพราะผลข้างเคียงของยา  เขาพบว่า เมื่อมีผู้สูงอายุเข้ามาที่โรงพยาบาล พอหยุดยา กลับดูดีขึ้น เพราะยาส่วนมามีผลต่อสมอง คนชราทนต่อฤทธิยาไม่ค่อยได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาประเภทต้าอาการซึมเศร้า กินเข้าไปจะหกล้ม ทรมาน และ 3% จะเสียชีวิตเพราะยา ยาหลายอย่าง คนชรากินพร้อมๆกันโดยที่มนุษย์ยังไม่รู้มันมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง 

           ฟัง หมอ Peter Gotzshe บ่นว่า มีคนกล่าวว่า ทำไมจึงหาแต่เรื่องมาทำให้คนหวาดกลัว แกบอกว่า ไม่เลย แกไม่ชอบเรื่องเหล่านี้ แต่เป็นความจริงที่แกต้องพูด เพราะทั้งหมอ เภสัช และสื่อมวลชน ไม่มีความรู้ทางสถิติ และไม่รู้จักอ่าน

ฟัง


 https://www.youtube.com/watch?v=dozpAshvtsA
*thank you
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #603 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2020, 06:28:26 PM »

https://today.line.me/th/v2/article/oRBK96?utm_source=lineshare
แนะ 6 วิธีดูแลสุขภาพตาในฤดูหนาว
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #604 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2020, 08:39:55 AM »

https://www.msn.com/th-th/news/autos/%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87/ar-BB1cfXlz?ocid=msedgntp
เดลินิวส์
กว่าจะเป็นมือถือรู้ใช้แล้วต้องรู้จักทิ้ง

เมื่อเรารู้จักใช้และรู้จักทิ้ง ผลกระทบที่เกิดจากขยะมือถือก็จะลดน้อยลง!!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์

ภาพ pixabay.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #605 เมื่อ: มกราคม 26, 2021, 11:08:01 PM »

คดีหมา หมา ที่ ไม่ หมา อีกต่อไป
ถ้าหมาจรจัดกัดคนใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ระหว่าง คนที่ให้อาหาร เป็นครั้งคราวด้วยความเมตตา คนที่ให้อาหารหมา เป็นประจำ หรือเทศบาล / อบต / กรมปศุสัตว์

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
หมาจรจัด ที่คนให้อาหารเป็นครั้งคราว เป็นบางครั้งบางโอกาส ด้วยความเมตตา รวมถึงคนที่ให้อาหารประจำ แต่ไม่ใช่ผู้รับเลี้ยงรับผิดชอบชีวิต ของสุนัขจรจัด ไม่ถือว่าเป็นเจ้าของสุนัขจรจัด

มี คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 764/2556  ที่อธิบายในเรื่องนี้ว่า
       การให้คำนิยามความหมายของคำว่า "เจ้าของสุนัข" หมายความรวมถึง "ผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย" นั้น
       "มีผลทำให้ประชาชนที่เพียงแต่ให้อาหารแก่สุนัขจรจัดเป็นประจำด้วยความเมตตา ต้องมีภาระหน้าที่ในการพาสุนัขจรจัดไปฝังไมโครชิปและจดทะเบียนสุนัข มิเช่นนั้น อาจทำให้บุคคลนั้นกระทำผิดกฎหมาย ทั้งที่หน้าที่ในการจัดการ ควบคุม ดูแลสุนัขจรจัด เป็นหน้าที่ของท้องถิ่น แต่ท้องถิ่นกลับผลักภาระดังกล่าวมาให้กับประชาชน

       ดังนั้น การให้บทนิยามดังกล่าว ที่ให้หมายความรวมถึง "ผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย" จึงเป็นข้อบัญญัติที่
1. สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น
2. สร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
3. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาให้เพิกถอนข้อบัญญัติ ฯ ข้อ 5 เฉพาะที่ให้ความหมาย "เจ้าของสุนัข" ว่า ผู้ให้อาหารสุนัขเป็นประจำด้วย"
แต่ถ้าหมาไม่มีเจ้าของกัดคน ใครต้องรับผิดชอบ

       เมื่อหมาจรจัดไม่มีเจ้าของ และจะไปบังคับคนที่เลี้ยงประจำมารับผิดชอบก็ไม่ได้ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล  หรือกรมปศุสัตว์ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดคดีที่
อ.1751/2559
ได้วินิจฉัยไว้ว่า เป็นหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนตำบล หรือกรมปศุสัตว์ ที่จะต้องรับผิดชอบในการจัดการดูแลสุนัขจรจัดซึ่งสุนัขเป็นสัตว์ควบคุมตามพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 เมื่อสุนัขจรจัดไปทำลายทรัพย์สิน หรือรุมกัดผู้อื่น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
องค์การบริหารส่วนตำบล หรือกรมปศุสัตว์จึงต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้น ตามมาตรา 67 และ มาตรา 68 แห่ง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ให้ราชการผู้ถูกฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้กับเอกชนผู้ฟ้องคดีนั้น
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #606 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 09:13:54 AM »

เตือนกันอีกที ให้เลิกกินนม low fat !!!

มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ Nueruology ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปีที่แล้วว่า ผลิตภัณฑ์จากนม low fat มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคพาร์กินสัน

เมื่อการกินผลิตภัณฑ์จากนม low fat ในระยะยาว เกิดผลกับระบบประสาท ก็แสดงว่ามีผลข้างเคียงทั้งต่อระบบประสาทและสมอง

ศาสตราจารย์ อาจารย์หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ซึ่งท่านเป็นหมอด้านสมองเคยโพสต์เรื่องนี้ และน่าจะเขียนเรื่องนี้ลงไทยรัฐไปแล้ว ในนามปากกา "หมอดื้อ"

ฝรั่งนั้นเถียงกันเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วว่า นม low fat ในระยะยาวมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ เพราะเทรนด์สุขภาพทำให้ฝรั่งหันมากินนม low fat กัน

แต่ตอนนี้ไม่มีใครเถียงกันแล้ว เพราะผลจากการวิจัยระยะยาวออกมาแล้ว

ผู้หญิงกับผู้ใหญ่ที่กลัวไขมันในนม มักจะนิยมกินนม low fat กัน ควรเลิกกินโดยเด็ดขาด

ที่ร้านขายอาหารเช้าเจ้าดังของอุดร ก็เห็นวางนมตราหมี low fat ไว้เป็นแถว แสดงว่าคนนิยมสั่งกินกัน

ต้องอย่าลืมว่า ข้อมูลทางการแพทย์ที่รู้กันในวงการ ข้อมูลเหล่านี้กว่าจะรู้ถึงคนข้างนอกทั่วไป ก็ใช้เวลาเป็น 10 ปี

เรารู้เรื่องนี้ก่อนได้เปรียบ ไม่ใช่กินผลิตภัณฑ์จากนม low fat ไปอีก 10 ปี ถึงรู้ว่ามันมีปัญหา

ขอเตือน และขอแนะนำว่า ถ้าผู้หญิงหรือผู้ใหญ่กลัวไขมันในนม ควรเลิกกินนมไปเลย หรือกินในปริมาณน้อย ไม่ใช่เลี่ยงบาลีโดยการกินนม low fat แทน

เนื่องจากงานวิจัยทำโดยนักวิจัยของ Harvard ลองอ่านข่าวจาก School of Public Heath ของ Harvard ดูเอาเองก็ได้


‭https://www.hsph.harvard.edu/news/hsph-in-the-news/parkinsons-disease-dairy/‬
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #607 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 09:17:37 AM »

สถิติที่น่าสนใจของคนไทยกับ Digital
https://techsauce.co/tech-and-biz/digital-2021-overview-report

1. คนไทยมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต 69.5% ของจำนวนประชากร
2. คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันเป็นอันดับ 9 ของโลก
3. คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือต่อวันเป็นอันดับ 3 ของโลก
4. ความเร็วเฉลี่ยอินเทอร์เน็ต บนมือถือไทย แรงเป็นอันดับ 21 ของโลก
5. ความเร็วเฉลี่ยเน็ตบ้านของไทยแรงอันดับ 1 ของโลก มีค่าเฉลี่ย download speed ที่ 308.35 Mpbs
6. คนไทยค้นหาผ่านเสียงเป็นอันดับ 6 ของโลก
7. ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตคนไทยดู Streaming Content 60.8% ต่อเดือน
8. ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตคนไทยชอบเล่นวีดีโอเกมเป็นอันดับ 1 ของโลก
9. คนไทยใช้เวลาเล่น Game Console 1.38 ชั่วโมงต่อวัน
10. คนไทยยังมีอุปกรณ์ Smart Home น้อย เพียง 5%
11. คนไทย 26.2% มีความกังวล เรื่องข้อมูลส่วนตัว
12. คนไทยใช้เครื่องมือ block โฆษณาออนไลน์ 40% ต่อเดือน
13. คนไทยมีผู้ใช้ Social Media 78.7% ของจำนวนประชากร
14. คนไทยใช้ Social Media 2.48 ชั่วโมงต่อวัน
15. คนไทยใช้ Social Media ค้นหาข้อมูลของแบรนด์ต่างๆ 55.5%
16. คนไทยคลิกโฆษณาบน Facebook เฉลี่ย 17 ครั้งต่อเดือน
17. คนไทยใช้ QR Codes 60.4% ต่อเดือน
18. คนไทยใช้ E-Commerce 83.6% เป็นอันดับ 3 ของโลก
19. คนไทยซื้อสินค้น E-Commerce ผ่านมือถือ 74% เป็นอันดับ 2 ของโลก
20. คนไทยทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking 68.1% ต่อเดือน เป็นอันดับ 1 ของโลก
21. คนไทย 70.3% จ่ายเพื่อ Digital Content (เช่น เพลง หนัง แอป Dating เป็นต้น)
22. คนไทย 31.9% ใช้ Ride - Hailing Apps
23. คนไทย 61% สั่งอาหารผ่านบริการ Delivery โดยจัดอยู่อันดับ 10 ของโลก


ขอขอบคุณข่าวสารดี ๆ จาก
https://techsauce.co/tech-and-biz/digital-2021-overview-report
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #608 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 09:35:05 AM »

โปรดสละเวลา 2 นาทีอ่านข้อมูลนี้:

1. สมมุติว่าเป็นเวลา 19.25 น. คุณกำลังกลับบ้านตามลำพังคนเดียวหลังจากทำงานหนักเป็นพิเศษมาแล้วทั้งวัน

2. คุณอ่อนล้า อารมณ์ก็ไม่ดี

3. คุณรู้สึกปวดอย่างรุนแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เริ่มที่น่าอก ลามลงไปที่แขน แล้วย้อนกลับขึ้นไปที่ขากรรไกร
คุณอยู่ห่างจากโรงพยาบาลใกล้บ้านที่สุดประมาณ 5 ก.ม.

4. โชคร้ายที่คุณไม่รู้ว่าจะไปถึงหรือไม่

5. คุณผ่านการฝึกให้เป็นนักปั้มหัวใจกู้ชีพ (CPR) แต่ครูไม่ได้สอนวิธีทำกับตัวเอง

6. คุณจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรถ้าอยู่คนเดียว  เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่เผชิญภาวะหัวใจล้มเหลวขณะที่อยู่ตามลำพังโดยไม่มีคนช่วย  คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและเริ่มรู้สึกจะเป็นลมมีเวลาเพียง 10 วินาทีเท่านั้นก่อนที่จะหมดสติ

7. อย่างไรก็ตาม ผู้ตกเป็นเหยื่ออาการดังกล่าวสามารถช่วยตัวเองได้โดยไอแรงๆและถี่ๆ  ก่อนไอให้หายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ แบบเดียวกับเวลาจะขากเสมหะหรือเสลด การหายใจเข้าแรงๆ สลับขากเสมหะต้องทำอย่างต่อเนื่องทุกสองวินาทีจนกว่าจะมีคนมาช่วยหรือเมื่อรู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นปกติ

8. การหายใจเข้าแรงและลึกทำให้อ็อกซิเจนเข้าไปในปอด อาการไอบีบหัวใจและช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนของโลหิต การนวดห้วใจช่วยให้จังหวะเต้นของหัวใจเป็นปกติเพื่อผู้ป่วยจะได้ไปถึงโรงพยาบาลทันท่วงที

9. โปรดบอกต่อให้ทราบทั่วกัน คุณอาจช่วยชีวิตพวกเขาได้

10. แพทย์โรคหัวใจบอกว่า ใครก็ตามที่ได้รับเมล์นี้ โปรดส่งต่อให้เพื่อน 10 คน รับรองได้ว่าคุณจะช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างน้อย 1 ชีวิต

11. แทนที่จะส่งเรื่องขำขัน โปรดส่งข้อมูลนี้ซึ่งสามารถช่วยชีวิตคนได้

12. ถ้าข้อมูลนี้มาถึงคุณมากกว่า 1 ครั้ง โปรดอย่าเสียอารมณ์ คุณควรมีความสุขที่คุณมีเพื่อนผู้หวังดีที่คอยพร่ำเตือนคุณว่าต้องทำอย่างไรถ้าหัวใจเกิดล้มเหลว

เพื่อนๆช่วยกันหน่อยรู้แล้วก็ช่วยแชร์ต่อ เราสามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้เป็นกุศล ตาแฉะขอร้อง !!!
ขอขอบคุณบทความดี ๆ ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #609 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 09:40:26 AM »

ตอนเรียนกฎหมายพื้นฐาน  มีคำถามหนึ่ง ถามว่า ...
.
พระรามใช้หนุมานไปฆ่าทศกัณฐ์  หนุมานก็ไปฆ่าทศกัณฐ์ตาย ตามคำสั่ง แต่ไม่ฆ่าเปล่า ...
.
หนุมานฉุดเอาเมียทศกัณฐ์ไปข่มขืนด้วย !! ถามว่า พระรามกับหนุมานกระทำผิดข้อหาใดบ้าง ?
เกือบทุกคนตอบตามหลักกฎหมายหมดว่า พระรามผิด  ข้อหาใช้ให้ไปฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  แต่ไม่ผิดฐานใช้ให้ไปข่มขืนเพราะหนุมานทำเกินคำสั่ง
.
ส่วนหนุมานผิดทั้งสองข้อหา
.
ผลสอบออกมา ตกยกห้อง !!
.
คำตอบคือไม่ผิด เพราะหนุมานเป็นลิง ทศกัณฐ์เป็นยักษ์ .. ไม่ใช่คน จึงไม่มีความผิดตามกฎหมาย
.
(แค่นี้แหละครับ มีสาระอยู่นะ)

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #610 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 10:00:40 AM »

น่าสนใจมาก !
โรคของผู้สูงอายุที่คาดไม่ถึง  มีอาการ เช่น เดินช้าลง  ก้าวสั้นๆ  พูดช้า เสียงแหบ สำลักอาหาร  ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้  ชอบเอาแต่นอน  ง่วงบ่อย  นั่งตัวเอียง  นั่งหลังงอ หกล้ม ฯลฯ รักษาได้ไม่ยาก 7 วัน เห็นผลดีเกินคาด ผู้สูงอายุไทยเป็นแล้วเกือบ 2 แสนคน แต่ หมอปัจจุบันอาจให้การรักษาผิดทาง มาฟัง รศ.นพ. ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รพ.ศิริราช และ รพ .ธนบุรี อธิบายจะได้เข้าใจและให้การรักษาได้ถูกต้องมากขึ้น แม้หมอทั่วไปก็ยังเข้าใจแลรักษาโรคผิดทางมานักแล้ว ดูไว้ดูแลคนข้างเคียง


https://www.youtube.com/watch?v=DuOXtAF66KU&feature=youtu.be
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #611 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 10:04:15 AM »

https://www.youtube.com/watch?t=50&v=pUAZg_TOu5A&feature=youtu.be

สูตรไล่ปลวกปลอดสาร ไม่ต้องพึ่งเคมี แต่ปลวกหนีถาวร
384,838 views•Jan 27, 2021

สูตรไล่ปลวกแบบปลอดสาร ไม่ต้องพึ่งเคมี รับรองปลวกย้ายรังหรือหนีไปถาวร เป็นวิธีการไล่ปลวกไม่ให้เข้ามากัดกินเสาบ้านหรือเสาเรืือนไม้ของเรา เพียงแค่นำเกลือละลายน้ำมาเทราดโคนเสา หรือนำเกลือมาโรยรอบโคนเสาปลวกก็ไม่กล้าเข้ามาไกล้แล้วครับ

#สูตรไล่ปลวก​
ติดตามสาระเรื่องราวดีๆจากช่องของเราได้ที่ https://www.youtube.com/channel/UCyVs...
ทุกเรื่องราวการทำเกษตรอินทรีย์ ตามวิถีพอเพียง https://www.youtube.com/playlist?list...
รวมสูตรไล่แมลง ฮอร์โมนพืช และสูตรน้ำหมักชีวภาพ
https://www.youtube.com/watch?v=rcKMP
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #612 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 08:07:28 PM »

คีโม คือธุรกิจเลือดเย็นของโรงพยาบาลแบบเจ้ามือหวย คนเล่นเสีย เจ้ามือรวย

มะเร็งไม่ได้พรากใครไป คีโมต่างหาก

โปรดอ่าน สำคัญมาก

(Doctor)ดร. รุ่ง จาก รพ. จุฬา
บทความนี้ น่าสนใจมาก

Shafin de Zane presents: What is Cancer?

นี่คือ สิ่งที่คุณ ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดกล่าวว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ(Cancer is Natural)

        มะเร็ง คือ ธรรมชาติ ของการปรับตัว ของเซลล์ อันเนื่องมาจาก การที่เลือดของเรา กลายเป็นพิษ เกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิต ต่อไปได้ ถ้าหาก เซลล์เหล่านั้น ไม่ปรับตัว เซลล์เหล่านั้น จะป่วย และตาย เซลล์เหล่านั้น จึงตอบสนอง อย่างเป็น ธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถ ที่จะปรับตัว เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ของเซลล์ จึงเป็นสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติ
        เป็นที่ น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่า ตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม- เมื่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมาก ก็จะผ่าเหล่า- ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็น ผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก จากมุมมอง ของเซลล์ หากมัน ไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่า ของเซลล์ จึงเป็นธรรมชาติ

มะเร็งแท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตาย จากสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการ- ฆ่าร่างกาย แต่นั้น ไม่ใช่ประเด็น ที่แท้จริง

มะเร็ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายาม จะรอดตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น -โดย ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม เอาขยะออกไป

เอาละ คุณจะลงมือ อย่างฉับพลัน- เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อม ของคุณ อย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร
มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ:

 วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจน ต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโต ได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการ จะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ

  วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจน ให้กับเลือด
 เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ

      หายใจเข้า 4ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง4
      หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน

ทำอย่างนี้ครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<

ทำอีกครั้งครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<

ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>>
กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4
หายใจออกทางปาก <<<<

หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับ การออกกำลัง ของเราทุกวิธี

 วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน -กรด
สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนอง ที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่า จะตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นด่าง และเติบโต ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด คุณจะทำ ให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ ก็ด้วยการ รับประทาน อาหารที่เป็นด่าง มากขึ้น

  - น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก
  - งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
  - รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว

หากคุณ ต้องการเห็น การเปลี่ยนแปลง ของสุขภาพ อย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทาน อะไรอีกเลย จนกว่าจะถึง มื้อเที่ยง -นำผักใบเขียว หลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาด แล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณ คุ้นเคยกับมัน

  วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค -ทุกโรค ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่งผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้อง ทำจิตใจ ให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ
คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ?
  - ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดู ข่าวร้าย
และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิด แรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว

(ประกาศ)แชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุด ที่คุณจะทำได้
ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการ บำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่าง เหนือคำบรรยาย
ช่วยให้ผู้อื่น ตื่นจากฝันร้าย ที่เกิดจาก โฆษณาชวนเชื่อ ของผู้ผลิตยา กันเสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดาย เสียจนแทบ จะเป็นเรื่องตลก อย่างเหลือเชื่อ ใช้ความคิด ให้ถูกต้อง จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออก ที่ถูกต้อง มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้- น่าอยู่ขึ้น

 (หมอ)ดร.ชนิสา อรรถจินดา Chanisa Arthachinda, Ph.D., ดร.รุ่ง รพ.จุฬา

ขอบคุณสาระดี ๆ ที่นำมาแบ่งปันค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #613 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 08:10:53 PM »

ชื่น​ชมที่เขาจาระไนความร้ายกาจของน้ำตาลได้ถึง​78อย่าง​ ทีผ่านมาผู้เขียนบทความระมัดระวัง​ต้องออกความเห็นแบบมีเงื่อนไขว่า​ "หากบริโภคน้ำตาล​'มากเกินไป'​ " ไม่ว่าจะเป็นบทความไทยหรืออังกฤษ​@SHim1010TH:

<<<#ความน่ากลัวเกิน 100% จริงๆนะ
78 ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากน้ำตาล

1.น้ำตาล...ทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System Deficiency) ในร่างกายไม่ทำงาน

2.น้ำตาล...ทำให้สูญเสียความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ จึงทำให้กล้ามเนื้อแข็งตึง

3.น้ำตาล...ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะและปวดไมเกรน (Migraines)

4.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคไขข้ออักเสบ (Arthritis)

5.น้ำตาล...ทำให้ผนังเส้นเลือดฝอยในร่างกายบอบบางและแตกได้ง่าย เป็นอัมพาตได้

6.น้ำตาล...ทำให้กระดูกผุ (Osteoporosis)

7.น้ำตาล...ทำให้ฟันผุ (Tooth Decay)

8.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคหัวใจ (Cardiovascular Disease)

9.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคเบาหวาน (Diabetes)

10.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคหืดหอบ (Asthma)

11.น้ำตาล...ทำให้แก่เร็วเกินวัย เพราะทำให้ผิวย่นและผมหงอกเร็วขึ้น

12.น้ำตาล...ทำให้สายตาแย่ลง

13.น้ำตาล...ทำให้สายตาสั้น (Myopia)

14.น้ำตาล...ทำให้เป็นต้อตากระจก (Cataract)

15.น้ำตาล...ทำให้อ้วนและน้ำหนักมากเกินไป

16.น้ำตาล...ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง

17.น้ำตาล...ทำให้ลดความสามารถในการทำงานของน้ำย่อย

18.น้ำตาล...ทำให้เด็กมีผิวหนังอักเสบ คัน ผื่นแดง เป็นตุ่ม คัน (Eczema)

19.น้ำตาล...ทำให้เกิดกรดในกระเพาะมากผิดปกติ (An Acidic Stomach)

20.น้ำตาล...ทำให้ท้องผูก

21.น้ำตาล...ทำให้เกิดการหมักของแบคทีเรีย (Bacterial Fermentation) ในลำไส้ใหญ่ เป็นเหตุทำให้มีแก๊ซในลำไส้ใหญ่มากผิดปกติ จึงผายลมบ่อย

22.น้ำตาล...ทำให้สมองไม่ปลอดโปร่ง

23.น้ำตาล...ทำให้เกิดความเศร้าหดหู่ใจ (Depression)

24.น้ำตาล...ทำให้ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่อักเสบ

25.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids)

26.น้ำตาล...ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด (Varicose Veins)

27.น้ำตาล...ทำให้ลดระดับฮอร์โมนที่ช่วยการเติบโต (Growth Hormones) ทำให้ตัวเตี้ย

28.น้ำตาล...ทำให้เด็กไฮเปอร์ กังวลง่าย ไม่มีสมาธิ และกระจองอแง

29.น้ำตาล...ทำให้เด็กมึนงงและเชื่องช้า

30.น้ำตาล...ทำให้เด็กนักเรียนมีผลการเรียนตกต่ำ

31.น้ำตาล...ทำให้ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)

32.น้ำตาล...ทำให้เกิดการแพ้สารอาหาร (Food Allergies)

33.น้ำตาล...ทำให้เลือดเป็นพิษในระหว่างตั้งท้อง (Toxemia)

34.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคถุงลมในปอดพอง (Emphysema)

35.น้ำตาล...ทำให้เส้นเลือดตีบตัน (Atherosclerosis)

36.น้ำตาล...ทำให้ระบบป้องกันการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียไม่ทำงาน

37.น้ำตาล...ทำให้ไตถูกทำลายได้

38.น้ำตาล...ทำให้ลดการผลิตคลอเรสเตอรอลที่ดีในร่างกาย

39.น้ำตาล...ทำให้เพิ่มการผลิตคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกาย

40.น้ำตาล...ทำให้มีคลอเรสเตอรอลสูง(HighTotal Cholesterol)ในร่างกาย

41.น้ำตาล...ทำให้ร่างกายขาดธาตุโครเมียมทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายไม่ปกติ

42.น้ำตาล...ทำให้ร่างกายขาดธาตุทองแดงเป็นเหตุทำให้กระดูกผุ

43.น้ำตาล...ทำให้รบกวนการดูดซึมของธาตุแคลเซียมและแม็คเนเซียม

44.น้ำตาล...ทำให้ระบบควบคุมความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายทำงานไม่ปกติ

45.น้ำตาล...ทำให้เกิดโรคมะเร็งที่เต้านม รังไข่ ลูกอัณฑะ และทวารหนัก

46.น้ำตาล...ทำให้เกิดโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะในผู้หญิง

47.น้ำตาล...ทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็งที่ถุงน้ำดี

48.น้ำตาล...ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูง

49.น้ำตาล...ทำให้เส้นเลือดตีบอุดตัน

50.น้ำตาล...ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำผิดปกติ (Hypoglycemia)

51.น้ำตาล...ทำให้ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตผลิตมากเกิน (Adrenaline) ทำให้ไฮเปอร์

52.น้ำตาล...ทำให้เกิดเส้นเลือดตีบในหัวใจ (Coronary Heart Disease)

53.น้ำตาล...ทำให้เกิดความดันโลหิตตัวบนสูง (Increased Systolic Blood Pressure)

54.น้ำตาล...ทำให้นำไปสู่การติดเหล้า (Alcoholism)

55.น้ำตาล...ทำให้เกิดการอักเสบในลำไส้มากขึ้นในคนที่เป็นโรคลำไส้และโรคกระเพาะ

56.น้ำตาล...ทำให้เกิดการติดเชื้อจากเชื้อรา"แคนดิด้า" (Candida)

57.น้ำตาล...ทำให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones)

58.น้ำตาล...ทำให้เกิดนิ่วในไต (Kidney Stones)

59.น้ำตาล...ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Ischemic Heart Disease)

60.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคกล้ามเนื้อไม่ทำงาน (Multiple Sclerosis)

61.น้ำตาล...ทำให้ระดับน้ำตาลและอินซูลินสูงขึ้นโดยเฉพาะในคนที่กินยาคุมกำเนิด

62.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคเหงือกหุ้มฟัน (Periodontal Disease)

63.น้ำตาล...ทำให้ลดประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาล (Glucose Tolerance)

64.น้ำตาล...ทำให้ลดประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลิน (Insulin Toterance)

65.น้ำตาล...ทำให้เพิ่มการผลิตคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดี (Triglycerides)

66.น้ำตาล...ทำให้เปลี่ยนโครงสร้างของโปรตีน จึงทำให้การดูดซึมโปรตีนไม่ปกติ

67.น้ำตาล...ทำให้น้ำลายเปลี่ยนเป็นกรด (Saliva Acidity) จึงเกิดการอักเสบในร่างกาย

68.น้ำตาล...ทำให้โครงสร้างของยีนส์ผิดปกติ ( Abnormal Structure of DNA)

69.น้ำตาล...ทำให้เกิดอนุสารอิสระในระบบเลือด (Free Radical Formation)

70.น้ำตาล...ทำให้ตับโต (Liver Hypertrophy)

71.น้ำตาล...ทำให้เพิ่มไขมันในตับ
72.น้ำตาล...ทำให้ไตโต (Kidney Hypertrophy)

73.น้ำตาล...ทำให้ตับอ่อนทำงานหนักและอาจถูกทำลายได้

74.น้ำตาล...ทำให้เกิดการกักขังน้ำในเซลล์ (Body's Fluid Retention) ทำให้ตัวบวม

75.น้ำตาล...ทำให้สารอินซูลินสูงผิดปกติ (Increased Insulin Responses)

76.น้ำตาล...ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล (Hormonal Imbalance)

77.น้ำตาล...ทำให้เลือดแข็งตัวง่ายจนเป็นสาเหตุทำให้เส้นเลือดอุดตัน (Blood Clots)

78.น้ำตาล...ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อ (Alzheimer Disease)

78เหตุผลที่เขียนมาทั้งหมดนี้ คงจะเพียงพอที่จะช่วยให้คุณผู้อ่าน
เห็นถึงปัญหาสุขภาทต่างๆมากมาย
ที่เกิดจากการกินน้ำตาล

การมีสุขภาพที่ดี
เกิดจากความรู้ความเข้าใจที่ดีและถูกต้อง
โดยเฉพาะในการโภชนาการ
รวมทั้งนำไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

การมีสุขภาพที่ดีเป็นลาภอันประเสริฐ มีคนไม่น้อยที่ได้เริ่มเรียนรู้ถึงเคล็ดลับ ในการมีสุขภาพดีโดยการเลี่ยงน้ำตาล
รวมทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลผสม เจือปนอยู่

คุณผู้อ่านก็สามารถมีสุขภาพดีได้นะครับ เพียงแต่คุณเลือกที่จะเลี่ยงน้ำตาล
มันอาจจะดูเหมือนไม่ง่ายที่จะทำ
แต่ถ้าคุณทำแล้ว
คุณจะทราบว่ามันไม่ยากอย่างที่คุณคิด
ตอนเริ่มใหม่ๆ
คุณไม่จำเป็นต้องเลี่ยงน้ำตาล100%
จนคุณต้องรู้สึกเครียด
ให้ทำเท่าที่ทำได้
ถ้าทำไม่ได้วันนี้
ก็เริ่มต้นใหม่วันหน้า ขอแต่ให้มีใจที่อยากจะเลี่ยงน้ำตาล

แล้วอีกไม่นาน
คุณจะเป็นอีกคนหนึ่ง
ที่หลุดจากการเป็นทาสของการกินน้ำตาล
และเมื่อนั้นคุณจะไม่โหยหาน้ำตาลในอาหารที่คุณกินอีกต่อไป
อย่าลืมที่จะเตือนลูกหลานของคุณด้วยนะคะ
เพื่อสุขภาพที่ดีจะเป็นของคุณ
และคนที่คุณรักตลอดไป>>>


ขอขอบคุณบทความที่มีสาระค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #614 เมื่อ: มีนาคม 06, 2021, 09:17:02 PM »

น้ำคั้นจากกัญชาสดๆนั้นมีคุณค่าทางยามากกว่าสารสกัดกัญชาแบบเดิมๆถึง 200-400 เท่า โดยไม่มีการเมา
ในคลิปนี้เขาบอกว่าในปีหนึ่งๆมีคนอเมริกันตายเพราะพิษของยาเคมีที่หมอให้คนไข้เป็นจำนวนแสนกว่าคน แต่ยังมีทางเลือกอื่นสำหรับการรักษาสมดุลย์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันโรคต่างๆ การจัดการความเจ็บปวด การอักเสบ ต่อต้านมะเร็ง ต่อต้านความเสื่อมต่างๆ ต่อต้านเบาหวาน ต่อต้านโรคลมชัก ต่อต้านโรคซึมเศร้าและอื่นๆอีกมาก

มีงานวิจัยว่าน้ำคั้นจากใบสดกัญชาช่วยป้องกันโรค และรักษาโรคได้ดีที่สุดเพราะการ ดื่มน้ำคั้นกัญชาสดไม่ทำให้ไม่เมา และเวลาป่วยสามารถดื่มในปริมาณที่มากพอเพื่อรักษาโรคได้โดยใช้ชีวิตปกติคือขับรถได้ ทำงานได้ เพราะไม่มึนเมาเหมือนกับกินสารสกัดกัญชาที่ผ่านความร้อนมาแล้ว

หมอเปรียบเทียบว่า คนเราสามารถดื่มน้ำคั้นสดจาก กัญชาที่มีตัวยา TCHa ได้มากถึง 600 mg แต่ถ้าเป็นกัญชาที่ผ่านการให้ความร้อนมาแล้วเช่นการสกัดหรือการสูบร่างกายสามารถรับ THCได้มากสุดแค่ 10 mg ก็จะเมาหัวทิ่มแล้ว การดื่มน้ำคั้นใบกัญชาสดๆ เป็นยารักษาโรคได้ดีที่สุด

ผู้หญิงคนนี้ ตอนอายุ 16 เป็นป่วยโรคร้ายแรงทั้งโรคกระดูกเสื่อมโรคลูปัส ยิ่งกินยาเคมีโรคยิ่งเพิ่มมาเรื่อยๆหลายโรคสารพัด จนถึงต้องกินยาเคมีวันละ 40 เม็ด จนหน้ากลมเป็นผลข้างเคียงของยาเสตียรอยด์ ตับไตพัง เกือบตาย หมอสี่คนบอกเธอว่าบอกว่ามีลูกไม่ได้เพราะกินยามากเกินไป ต่อมาเธอปรึกษาหมอด้านกัญชา จึงเปลี่ยนไปใช้ดื่มน้ำคั้นสดๆ จากใบและดอกกัญชาทุกวัน ปรากฏว่าโรคหายหมดทุกโรค แข็งแรงขึ้นทุกวัน แต่งงานมีลูกน่ารัก

อีกกรณีเจ้าหน้าที่ประสานงานบ้านเด็กป่วยระยะสุดท้ายเปิดเผยว่ามี เด็กอายุ 2 ขวบ เป็นเนื้องอกในสมองระยะสุดท้ายผ่านการผ่าตัดการให้คีโมฉายแสงแล้วยังไม่หาย แต่เนื้องอกกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้น โรงพยาบาลบอกให้แม่พาไปอยู่บ้านพักระยะสุดท้ายเพื่อเตรียมตัวตาย แม่เด็กจึงทดลองคั้นน้ำกัญชาสดให้กินทุกวัน ต่อมาเนื้องอกในสมองหดตัวลง เด็กหายเป็นปกติ หมอบอกว่างานวิจัยพบว่ากัญชาสดมีสารต่างๆที่ประโยชน์มากกว่าวิตามินต่างๆมากมาย และมันช่วยให้ระบบภูมืคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีมากขึ้น การเอากัญชาไปผ่านความร้อนจะทำลายสารต่างๆที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ ดังนั้นจึงควรบริโภคแบบสดๆมากกว่า

ส่วนอัยการมาเปิดเผยว่ารัฐบาลอเมริกาบอกว่ากัญชาไม่มีประโยชน์มีแต่โทษและออกกฏหมายห้ามใช้บอกว่ากัญชาเป็นยาเสพติดตั้งแต่ปี 1972 คือ42 ปีที่แล้ว แต่ดันแอบไปสนับสนุนให้เงินวิจัยกัญชาและไปจดลิขสิทธิ์กัญชาเพื่อการรักษาโรคต่างๆมากมาย ทุกวันนี้ตำรวจก็ได้ข้อมูลผิดๆให้ไปจับไปยึดกัญชาแล้วจะได้ส่วนแบ่งเป็นเงิน

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลกลางไม่ได้ให้ข้อมูลที่แท้จริงแก่ประชาชนแล้วยังให้ข้อมูลผิดๆแก่ประชาชน ต่อมาประชาชนในรัฐต่างๆของอเมริการู้ความจริงจากงานวิจัยและจากประสบการณ์จริงของผู้ป่วยมากมายจึงพากันลงคะแนนเสียงให้รัฐของตนสามารถใช้กัญชารักษาโรคได้
"จงคืนกัญชาซื่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการป้องกันและรักษาโรคให้กับประชาชนทุกคน"
https://youtu.be/qa0nLdVJiIg
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 39 40 [41] 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: