Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 40 41 [42]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75128 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #615 เมื่อ: มีนาคม 06, 2021, 09:24:43 PM »

ทั้งผักและผลไม้ ในประเทศไทย มีสารเคมีตกค้างเกือบ 100% บางชนิดมีสารเคมีที่ตกค้างถึง 20 ชนิด จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล ไม่ว่าราคาถูก ราคาแพง ทั้งที่มีป้ายบอก ผักปลอดสารพิษ ผักอินทรีย์…ล้วนพบยาฆ่าแมลงบนผัก/ผลไม้…แทบทุกชนิด

ข้อแนะนำ : วิธีล้างผักและผลไม้ โดยวิธีต่างๆ และวิธีที่ดีที่สุด: ตามคำแนะนำของ ม. มหิดล
https://youtu.be/pAYoYXjo87o



วิธีล้างผักและผลไม้ที่ดีที่สุด
https://www.youtube.com/watch?v=pAYoYXjo87o
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #616 เมื่อ: มีนาคม 06, 2021, 09:28:11 PM »

สรรพคุณของถั่วเหลือง

หากเป็นถั่วเหลืองอินทรีย์ ไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม

มีสรรพคุณ ดังนี้

1.ใช้เป็นยาบำรุงโลหิต ด้วยการใช้เปลือกเมล็ดแห้งประมาณ 10-15 กรัมมาต้มกับน้ำดื่ม (เปลือกเมล็ด)

2.กากถั่วเหลืองช่วยป้องกันการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด (กากเมล็ด)

3.ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และมีบางการศึกษาระบุว่า การบริโภคถั่วเหลืองเป็นประจำ อาจช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย และมะเร็งเต้านม

ในเพศหญิงวัยที่ยังมีประจำเดือน

แต่อาจเพิ่มโอกาสของการเกิดโรคมะเร็งเต้านม

ในเพศหญิงวัยที่หมดประจำเดือนแล้วได้ ซึ่งเป็นผลมาจากสารไฟโตเอสโตรเจน

แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจน และยังไม่สามารถระบุได้ว่า ถั่วเหลืองสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้

4.ช่วยป้องกันโรคมะเร็งของเนื้อเยื่อระบบสืบพันธุ์ (สารไฟโตเอสโตรเจน)[11] ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งช่องคลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

และจากงานศึกษาในประเทศญี่ปุ่นและจีนพบว่า

ผู้ที่กินซุปเต้าเจี้ยวมากจะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่ำกว่า

ผู้ที่ชอบรับประทานซุปที่ทำจากถั่วเหลือง จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่ไม่ได้รับประทาน

ผู้ที่รับประทานเต้าหู้มากจะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารต่ำ

ผู้ที่กินถั่วเหลืองมากกว่า 5 กิโลกรัมต่อปี จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารลดลง 40%

ผู้ชายที่กินเต้าหู้มากกว่า 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะมีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่กินเต้าหู้น้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์

ผู้ที่รับประทานอาหารที่ประกอบด้วยถั่วเหลืองน้อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์

จะมีความเสี่ยงต่อการเกิด
โรคมะเร็งเต้านม 2 เท่า
และมะเร็งปอดเป็น 3.5 เท่า

ของผู้ที่กินอาหารที่ประกอบด้วยถั่วเหลืองทุกวัน

สำหรับมะเร็งปอด สารไอโซฟลาโวนจะช่วยถ่วงการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไว้

(แต่ต้องไม่ใช้ถั่วเหลืองที่ผ่านการหมัก และจะได้ประโยชน์เฉพาะกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่)

การบริโภคอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลืองจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ถึง 30% (ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ)

จากการศึกษาทดลองพบว่า Isoflavones สามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนมะเร็งในสัตว์ทดลองได้

ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง

กรดไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วเหลืองสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #617 เมื่อ: มีนาคม 06, 2021, 09:29:44 PM »

เกลือดำ และเกลือชมพู
เป็นเกลือที่มีโซเดียมต่ำ กว่าเกลือทะเล เนื่องจาก ในเกลือดำ และเกลือชมพู จะมีแร่ธาตุต่างๆ มากกว่าเกลือทะเล เมื่อเทียบกับ นน ที่เท่ากัน

เกลือดำ

1. มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
2. มีธาตุ บางอย่างที่สูงเกินไป เช่น ทองแดง และตะกั่ว ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นพิษต่อร่างกาย

ธาตุเหล่านั้น อาจสูงขึ้น ระหว่างกระบวนการ เผา
เกลือชมพู ให้เป็นเกลือดำ

ซึ่งตะกั่วและทองแดง ที่สูงเกินไปในเกลือดำ นั้น หากรับประทาน ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะมีผลเสีย ต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะ ตับ

ในผู้ป่วยที่ระบบการขับสารพิษของร่างกาย ได้ไม่ดี ตับไม่แข็งแรง
เมื่อรับประทานเกลือดำ ในปริมาณที่สูง จะ มีผลให้เกิดอาการ ท้องเสีย หรืออาเจียน อย่างรุนแรงได้

ดังนั้น จึงไม่แนะนำให้นำเกลือดำไปใช้ในการ รับประทาน ในปริมาณสูง ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน

หากจะรับประทาน ควรใช้ชั่วคราว ระยะเวลาหนึ่ง ได้ตามสมควร
และควรเว้นระยะ ในการรับประทาน เพื่อให้ ร่างกายได้พัก และขับพิษ จากเกลือดำ


ส่วนในเกลือชมพูนั้น เป็นเกลือธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการใดๆ มีธาตุต่างๆ จำนวน เท่ากัน แต่ปริมาณ โลหะหนักที่เป็นพิษ มีน้อยกว่า ทั้งนี้ยัง ไม่พบว่า มีตะกั่ว ในเกลือชมพู

เกลือชมพู ยังมี  มี แมกนีเซียม สูงกว่าเกลือดำ

ซึ่ง แมกนีเซียม” มีความจำเป็นต่อระบบการเผาผลาญของแคลเซียม และวิตามินซี เช่นเดียวกับฟอสฟอรัส โซเดียม และโพแทสเซียม มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม มก. มีความจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาท และกล้ามเนื้อ มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน และช่วยคลายความเครียดได้ด้วย ส่วนคนที่ดื่มสุราเป็นประจำมักจะขาดแมกนีเซียม


เมื่อทราบข้อมูล เบื้องต้นดังนี้แล้ว
ผู้บริโภค ควรพิจารณา โดยใช้วิจารณญาณ ในการเลือกใช้ เกลือดำ หรือ เกลือ ชมพู ให้เหมาะสม กับตนเอง
ขอขอบคุณบทความดี ๆ ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #618 เมื่อ: มีนาคม 13, 2021, 07:36:01 AM »

"กางเกงลิง" และ "ผ้าขาวม้า"

ทำไมคนไทยเรียกกางเกงในว่า "กางเกงลิง"?

  สมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์เสด็จประพาสประเทศฝรั่งเศสเมื่อไปถึงฝรั่งเศส ข้าราชบริพารผู้ตามเสด็จเห็นชาวฝรั่งเศส ซักเสื้อผ้าตาก และเห็นมีกางเกงในด้วย ซึ่งในสมัยนั้น "สยาม" ยังไม่มีกางเกงในใช้ด้วยความสงสัยเลยถามว่ามันคืออะไร ด้วยความที่สื่อสารกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
ชาวฝรั่งเศสเลยเขียนในกระดาษว่าข้าราชบริพารเลยพากันซื้อกางเกงในจากฝรั่งเศสกลับมาใช้แล้วเรียกมันว่า "กางเกงลิงเกอรรี่"
ต่อมาก็พากันเรียกสั้นๆว่า "กางเกงลิง"

  ส่วนคำว่า "ผ้าขาวม้า" มาจากคำว่า "ผ้าคามาร์" (Kamar) ซึ่งเป็นผ้าที่ชาวอิหร่าน (เปอร์เซีย) ทอขึ้นมาใช้เป็น "ผ้าคลุมไหล่"
กระทั่งผ้าชนิดนี้แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย คนไทยก็ใช้ และเรียกผ้าชนิดนี้เพี๊ยนจาก"ผ้าคามาร์" เป็น "ผ้าขาวม้า"มาจนถึงปัจจุบัน.

ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก : คุณพวงผกา คุโรวาท คู่มือประวัติเครื่องแต่งกาย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #619 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 05:41:41 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=TnsdPApzlZ8&feature=youtu.be

วิธีรักษาหมอนรองกระดูกแบบพื่นบ้านที่หายจริง แน่นอน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #620 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 05:42:10 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=Oeca7DZ44YY

7 ท่า สมาธิบำบัด SKT ทางเลือกใหม่ไร้โรค
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #621 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 05:43:41 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=mw8kaJM0vU4

610131.5_การสวนล้างลำไส้ใหญ่

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #622 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 05:56:25 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=ylEAxgfjQHg

#แพทย์ผู้รอดจากมะเร็ง​#นพ​.สำราญ อาบสุวรรณ#absolute​-health#
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #623 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 06:02:35 PM »

# ต้นพญาสัตตบรรณหรือต้นตีนเป็ด
เป็นไม้พิษที่ถูกอุปโลกขึ้นมาว่าเป็นไม้มงคล ใครมีไว้ ใครปลูกที่บ้านจะมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นไม้ที่มีพิษเหมือนกับดอกลั่นทม(โบราณตั้งชื่อนี้มีเหตุผลดีว่า ลั่นทม..)

แต่มาถูกสร้างวาทกรรมใหม่ว่าเป็น ลีลาวดี โดยแอบอ้างว่า เป็นชื่อพระราชทานจึงทำให้คนไทย(ที่ขาดสติหลงเชื่อ) นิยมนำมาปลูกที่บ้าน ทั้งๆที่คนไทยโบราณจะห้ามปลูกในบ้านเพราะเป็นต้นไม้พิษ(คือมียางเหนียว)

 เวลากลางคืนเขาจะคายพิษออกมามาก ยิ่งฤดูออกดอกพวกนี้ (ทั้งพญาสัตตบรรณและลั่นทม)ก็จะอยู่ช่วงฤดูที่อากาศปิดคือไม่ไหลเวียน   เขาถึงเอาไปปลูกใกล้ๆที่เก็บศพเพื่อดับกลื่นศพ หรือในสุสานต่างๆพันธ์ไม้เหล่านนี้จะคายพิษชนิดไซด์ยาไนท์ออกมาในเวลากลางคืน เพราะยางไม้นี้ ที่ กทม.นิยมเพราะ ปลูกง่าย ตายยาก และโตเร็ว และกรมทางหลวงก็เอาอย่างมาปลูกตามกลางถนนเพื่อเอาไว้กันแนวรถมิให้วิ่งข้ามถนนมาอีกฝั่ง ก็ไม่ได้ผลเพราะ เป็นไม้เปราะหักง่าย.

 ผิดกับวิธีการคนโบราณ อย่างสมัยคุณเฉลียว วัชรพุกธ์ เขาใช้ต้นสะเดา เป็นแนวขอบถนน และกลางถนน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุมิให้รถวิ่งข้ามเกาะกลางถนนข้ามมาอีกฝั่งหนึ่ง เพราะสะเดาเป็นไม้ที่เหนียวแน่น

มีเพื่อนชาวต่างชาติอยู่ที่ UN เขาปลูกดอกลั่นทมขายส่งสปาทั่วกรุงเทพฯและเมืองใหญ่ โดยปลูกแถวๆชัยบาดาล เขามาปรึกษาผมว่า คุณพิเชษฐฯ ลองช่วยไปดูที่สวนของโรซ่าฯ (ชื่อจริงคือโรซ่า แมรี่ฯ) ที่ปลูกลีลาวดี(ลั่นทม) ให้หน่อย ว่าทำไม คนสวนตายบ่อยมาก หลายคนแล้วล่ะ จนคนไม่กล้ามาเฝ้าสวนลีลาวดีกัน พอไปดูก็ตกใจมาก ว่าตายกี่คนแล้วได้ความว่า 3-4 คนแล้วก็บอกว่าสมควรตายอยู่หรอก   

เขาก็ตกใจว่าเกิดจากสาเหตุใด ผมก็บอกว่า  สร้างบ้านกลางสวนลั่นทมนี้ ก็โดนอากาศพิษเต็มๆ ขอให้ย้ายไปอยู่ต้นลมโดยเร็ว เขาก็รีบทำ ก็รอดตายมาจนทุกวันนี้

พญาสัตตบรรณก็เช่นกัน ตอนนี้ กทม.ทยอยถอนทิ้ง หากตัด ไม่หมด รากก็ยังแตกได้อีก อย่างที่น้อยได้กลิ่นดอกนั้นล่ะ คือ สูดเอาพิษเข้าไปเต็มๆ
https://youtu.be/yUY5fKcXEb8


-ขอบคุณบทความที่มีสาระค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
paul711
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4406


Gold is value because it's value!


« ตอบ #624 เมื่อ: เมษายน 10, 2021, 11:34:56 PM »

Smiley ขอบคุณคระบคุณ หนูใจ

ช่วงนี้ covid ระบาด ผมยังไม่มีเวลาไปบริจาดเงินที่เหลือ 28,000 บาท รออีกสักพักใหญ่ๆ จะไปบริจาคแล้วมาแจ้งให้ทุกคนทราบครับ
บันทึกการเข้า

ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 
จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน 
ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้


http://ichpp.egat.co.th/

Gold2Gold.com
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #625 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 12:26:43 PM »

การมีชีวิตยืนยาว 10 ปีจาก 70 ถึง 79 ปีมีความสำคัญมาก

 นักวิชาการพบว่ามีปัญหาสุขภาพประมาณสองครั้งต่อเดือนสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 70 ถึง 79 ปีที่น่าแปลกใจคือภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีอายุ 80-89 คงที่เท่ากับกลุ่มอายุ 60-69 ปี

 70-79 ปีเป็นช่วงอันตราย  ในช่วงนี้อวัยวะต่างๆลดลงอย่างรวดเร็ว  เป็นช่วงที่มักเกิดโรคผู้สูงอายุหลาย ๆ โรคและมักมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไขมันในเลือดสูง เส้นเลือดอุดตัน ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน

 หลังจากเข้าสู่อายุ 80 ปีโรคเหล่านี้จะลดลงและสุขภาพจิตและร่างกายอาจกลับมาอยู่ในระดับ 60-69 ปี

 ดังนั้นช่วงอายุ 70 ​​ถึง 79 ปีจึงถูกเรียกว่า“ กลุ่มวัยอันตราย”  ในขณะที่คนเราอายุมากขึ้นหลาย ๆ คนก็ต้องการที่จะมีสุขภาพที่ดี  พวกเขาตระหนักดีว่า“ สุขภาพคือความมั่งคั่ง”

 การดูแลสุขภาพ 10 ปีของผู้สูงอายุ 70 ​​ถึง 79 ปีเป็นสิ่งสำคัญ

 นี่คือขั้นตอนง่ายๆที่เรียกว่า
 “ ทำ * สิบอย่าง* ทุกวัน”

 วิธีนี้จะช่วยให้คุณนำทางผ่านช่วง "กลุ่มวัยอันตราย" ในชีวิตได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

 เมื่อผู้สูงอายุอายุ 70 ​​ถึง 79 ปีพวกเขาอาจต้องการทำ "สิบอย่าง" เหล่านี้ทุกวัน  เคล็ดลับ 10 ข้อมีดังนี้

  1. หม้อใส่น้ำ

 น้ำเปล่าคือ "เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดและถูกที่สุด"
 คุณต้องดื่มน้ำหนึ่งแก้วในสามครั้ง / ครั้งต่อไปนี้ในแต่ละวัน:

 ถ้วยแรก: หลังจากลุกจากเตียงคุณสามารถดื่มน้ำสักแก้วในขณะท้องว่าง

 เนื่องจากการขับเหงื่อและการหลั่งปัสสาวะที่มองไม่เห็นระหว่างการนอนหลับทำให้เราสูญเสียน้ำไปมาก  แม้ว่าเราจะไม่รู้สึกกระหายน้ำหลังจากตื่นนอน แต่ของเหลวในร่างกายก็ยังคงข้นเนื่องจากขาดน้ำ  ดังนั้นหลังจากลุกจากเตียงคุณต้องค่อยๆเติมน้ำให้เร็วที่สุด

 ถ้วยที่สอง: น้ำหนึ่งแก้วหลังออกกำลังกาย

        การออกกำลังกายในปริมาณที่เหมาะสมถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของการมีชีวิตที่ยืนยาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุและควรให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพและสมเหตุสมผล

        อย่างไรก็ตามหลังออกกำลังกายควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการเติมน้ำ  ในระหว่างการออกกำลังกายเหงื่อจะดึงอิเล็กโทรไลต์ออกไปและใช้พลังงานมากขึ้น 

        หากคุณไม่ใส่ใจก็มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังออกกำลังกายและอาจทำให้เป็นลมหมดสติได้  ดังนั้นหลังออกกำลังกายขอแนะนำให้คนชราดื่มน้ำที่สามารถเติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อยได้หากต้องการ

 ถ้วยที่สาม: น้ำสักแก้วก่อนนอน

        เมื่อคนเราหลับต่อมเหงื่อยังคงระบายน้ำออก  เมื่อน้ำในร่างกายลดลงมากเกินไปความหนืดของเลือดก็เพิ่มขึ้น  น้ำหนึ่งแก้วก่อนเข้านอนสามารถลดความหนืดของเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพและอาจชะลอการเกิดริ้วรอยได้  ช่วยต่อต้านอาการแน่นหน้าอกกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคอื่น ๆ

  2.  ชามโจ๊ก

 ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายให้ดื่มโจ๊กสักชาม  Wang Shixiong นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่มีชื่อเสียงในชิงเรียกโจ๊กว่า "ส่วนประกอบแรกของโลก" ในหนังสือของเขา

      China Daily Online เผยแพร่ผลการศึกษา 14 ปีที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกับผู้คน 100,000 คน  พบว่าโจ๊กธัญพืชเต็มเมล็ดประมาณ 28 กรัมต่อวันสามารถลดอัตราการตายได้ 9% และลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

      อาสาสมัครแต่ละคนมีสภาพร่างกายที่ดีเมื่อเข้าร่วมการศึกษาในปี 1984 แต่ในการสำรวจความคิดเห็นในปี 2010 อาสาสมัครมากกว่า 26,000 คนเสียชีวิต พบว่าอาสาสมัครที่รับประทานเมล็ดธัญพืชเป็นประจำเช่นโจ๊กข้าวกล้องข้าวโพดและบัควีทดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงโรคส่วนใหญ่โดยเฉพาะโรคหัวใจ

   3. นม 1 ถ้วย

 นมเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "เลือดขาว" และมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์  คุณค่าทางโภชนาการเป็นที่รู้จักกันดีมีแคลเซียมไขมันและโปรตีนจำนวนมาก ปริมาณนมและผลิตภัณฑ์นมที่แนะนำต่อวันคือ 300 กรัม

  4.  ไข่

 ไข่อาจกล่าวได้ว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบริโภคของมนุษย์  ร่างกายดูดซึมโปรตีนจากไข่ได้สูงถึง 98% !!

 5.  แอปเปิ้ล

 งานวิจัยสมัยใหม่เชื่อว่าแอปเปิ้ลมีผลในการลดคอเลสเตอรอลลดน้ำหนักป้องกันมะเร็งป้องกันความชราเพิ่มความจำและทำให้ผิวเนียนนุ่ม

 ประโยชน์ต่อสุขภาพของแอปเปิ้ลหลากสีแตกต่างกัน:

 แอปเปิ้ลแดงมีฤทธิ์ในการลดไขมันในเลือดและทำให้หลอดเลือดอ่อนตัว

 แอปเปิ้ลเขียวมีฤทธิ์ในการบำรุงตับและขับสารพิษและสามารถต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าได้ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่จะรับประทาน

 แอปเปิ้ลสีเหลืองมีผลดีในการปกป้องการมองเห็น

  6.  หัวหอม

 หัวหอมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากและมีหน้าที่มากมายเช่นช่วยลดน้ำตาลในเลือดลดคอเลสเตอรอลป้องกันมะเร็งป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองและยังต่อต้านแบคทีเรียป้องกันหวัดและเสริมแคลเซียมและกระดูก  กินหัวหอมอย่างน้อยสัปดาห์ละสามหรือสี่ครั้ง

  7. ปลาชิ้นหนึ่ง

 นักโภชนาการจีนเตือนว่า "การกิน" สี่ขา "แย่กว่าการกิน" สองขา "การกิน" สองขา "แย่กว่าการกิน" ไม่มีขา "

 "สี่ขา" ส่วนใหญ่หมายถึงหมูวัวควายและเนื้อแกะ  การกินเนื้อสัตว์เหล่านี้มากเกินไปไม่เอื้อต่อการลดน้ำหนักและลดไขมันในเลือด

 "สองขา" ส่วนใหญ่หมายถึงสัตว์ปีกเช่นไก่เป็ดห่านเป็นต้นซึ่งเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่ดี

 "ไม่มีขา" ส่วนใหญ่หมายถึงปลาและผักต่างๆ  โปรตีนที่มีอยู่ในเนื้อปลาย่อยและดูดซึมได้ง่าย  ปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวในไขมันโดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนค่อนข้างดีต่อร่างกาย

 8.  เดินเบา ๆ

 สิ่งนี้มีฤทธิ์ต่อต้านริ้วรอยอย่างมหัศจรรย์  เมื่อผู้ใหญ่เดิน (ประมาณ 1 กิโลเมตรหรือน้อยกว่า) เป็นประจำนานกว่า 12 สัปดาห์พวกเขาจะบรรลุผลของท่าทางและรอบเอวที่ถูกต้องและร่างกายจะแข็งแรงและไม่เหนื่อยง่าย นอกจากนี้การออกกำลังกายด้วยการเดินยังมีประโยชน์ในการรักษาอาการปวดศีรษะปวดหลังปวดไหล่ ฯลฯ และสามารถส่งเสริมการนอนหลับ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการเดิน 30 นาทีต่อวันสามารถกำจัดอันตรายของ“ โรคในผู้ใหญ่” ได้  คนที่ทำ 10,000 ก้าวต่อวันจะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองลดลง

 9. งานอดิเรก

 การมีงานอดิเรกไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดอกไม้เลี้ยงนกสะสมแสตมป์ตกปลาหรือวาดภาพร้องเพลงเล่นหมากรุกและท่องเที่ยวสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถติดต่อกับสังคมและธรรมชาติได้อย่างกว้างขวาง  สิ่งนี้จะขยายขอบเขตความสนใจของผู้สูงอายุ  พวกเขาจะรักและหวงแหนชีวิต

 10.  อารมณ์ดี

 ผู้สูงอายุควรรักษาอารมณ์ให้ดีเนื่องจากสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพของพวกเขา  โรคเรื้อรังทั่วไปที่ส่งผลกระทบต่อผู้สูงอายุมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอารมณ์เชิงลบของผู้สูงอายุ:

 ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจจำนวนมากมีอาการแน่นหน้าอกและกล้ามเนื้อหัวใจตายเนื่องจากการกระตุ้นของอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ส่งผลให้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน

 อารมณ์ "ไม่ดี" นำไปสู่ความดันโลหิตสูง  ในกรณีที่เป็นเวลานานและรุนแรงอาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ฯลฯ

 อารมณ์เชิงลบเช่นความโกรธความวิตกกังวลและความเศร้าโศกอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นทำให้เกิดความผิดปกติของการเผาผลาญในร่างกาย

 นี่แสดงให้เห็นว่าการมีอารมณ์ดีนั้นสำคัญเพียงใด ความชราภาพทางร่างกายเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดในการอุทิศชีวิตให้เต็มที่และใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในทุกๆวัน

  หากคุณรู้สึกว่าบทความนี้มีประโยชน์โปรดแบ่งปันให้เพื่อน ๆ มากขึ้น


ขอขอบคุณสาระดี ๆที่ได้แบ่งปันกันไว้ ณ. ที่นี้ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #626 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 12:31:13 PM »

คำบอกเล่าจากนักดับเพลิง

นั่ง Grab คุยไปคุยมา คนขับเป็นครูสอนดับเพลิง มาขับ Grab เป็นอาชีพเสริม เลยได้โอกาสขอความรู้เขา แล้วนำมาแชร์ต่อ

1. ไฟไหม้ที่เจอบ่อยสุด คือไฟฟ้าลัดวงจร

2. ใช้ระบบตัดไฟในบ้านที่ได้มาตรฐาน จะช่วยได้

3. ใช้ปลั๊กไฟ ใช้ปลั๊กพ่วงดี ๆ มันอาจจะดูแพง แต่ของแพง ใช้ได้นานหลายปี จ่ายแล้วคุ้มค่า

4. รองลงมาจากไฟฟ้าลัดวงจร คือ
การจุดธูปเทียนไหว้พระทิ้งไว้

5. ถัดมา คือทำอาหาร

6. หมั่นทำความสะอาดท่อดูดควัน การมีน้ำมันสะสม อาจเกิดไฟลุกในท่อดูดควัน ดับยากมาก

7. สายไฟตามบ้าน ถ้าเอาปลอดภัยมาก ๆ ทุก 10 ปี ควรเปลี่ยนสายไฟในบ้าน

8. อย่ามีลังกระดาษอะไรเยอะ ๆ ที่บ้าน

9. คนติดเหล็กดัดแล้วออกไม่ได้ เสียชีวิตเยอะมาก

10. ตามกฎหมาย นักดับเพลิงควรจะต้องเข้าถึงตัวบ้านให้ได้ใน 12 นาที แต่โดยมาก มักจะรถติด และติดเหล็กดัด เข้าไปช่วยไม่ทัน

11. ปล่อยให้ไฟไหม้แค่ 5 นาที ก็ถือว่ากองใหญ่มากแล้ว และเข้าไปช่วยเหลือยากแล้ว ทำใจได้เลย ว่าได้สร้างบ้านใหม่

12. ประกันอัคคีภัย ต้องทำ ห้ามละเลยเด็ดขาด

13. เวลาทำกับข้าว แล้วไฟไหม้ในกระทะ ห้ามเอาน้ำไปสาด เพราะน้ำจะไปขยายน้ำมันให้กระจาย ขยายวงไฟให้ใหญ่เพิ่มอีก 1,200 เท่า
ให้ปิดแก๊สหรือเอาฝาหม้อมาปิด

14. อย่าเล่นโทรศัพท์ตอนทำอาหาร

15. ถังแก๊ส เปิดเยอะเปิดน้อย ออกพอกัน ไม่ต้องเปิดสุด เวลาจะรีบปิด บิดไม่เสร็จซะที

16. แก๊สใช้เสร็จ ให้ปิดถังแก๊สก่อน แล้วค่อยปิดเตา เพื่อไล่แก๊สออกจากสายให้หมด

17. สายแก๊สควรยาว 1.5-2 เมตร ไม่ควรนำไปไว้ในที่เข้าถึงยาก ห้ามเอาอะไรไปวางทับ วางสุมบนหัวแก๊ส จะยากต่อการปิด

18. ถ้าเผลอแก๊สรั่ว ให้ระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติ เช่น เปิดหน้าต่างระบาย ห้ามเปิดหรือปิดสวิตซ์ใด ๆ (ห้ามทำให้มันสปาร์ค และเกิดไฟลุกไหม้ได้)

19. เจลแอลกอฮอล์ อันตรายมาก ห้ามเอาไปไว้ใกล้ไฟ

20. ถ้าล้างมือด้วยเจลแล้วยังไม่แห้งแล้วไปทำอาหาร จุดไฟ มีหลายคนไฟลุกติดมือ มันไวไฟมาก มือแห้งก่อนแล้วค่อยไปทำ

21. การใช้เตาแก๊สไม่ได้อันตราย สายแก๊สก็ไม่อันตราย แต่ก็ควรเปลี่ยนสายทุก 1-2 ปี

22. ถังดับเพลิง ไม่มีวันหมดอายุ นอกจากแรงดันตก

23. ควรตรวจเช็คอย่างน้อยทุก 6 เดือน ให้อยู่ในช่องที่พร้อมใช้

24. ถ้าแรงดันตก ก็นำไปอัดเพิ่ม (เช็คกับผู้ผลิต) ราคาประมาณ 500 บาท

25. ตามบ้าน แนะนำให้ซื้อถังใหญ่ ขนาด 10 ปอนด์ขึ้นไป แต่ 10 ปอนด์กำลังดี เกินกว่านั้นจะหนัก ยกไม่ไหว ถังเล็ก ๆ ไม่มีประโยชน์

26. เลือกที่เขียนว่า fire rating 6A20B ขึ้นไป (ถังเล็ก ๆ มันใส่สาร 6A20B ไม่ได้) ต้องมีสารนี้ 6A20B, 10A20B ยิ่งเลขเยอะยิ่งแพง แต่ประสิทธิภาพก็จะยิ่งครอบคลุม

27. ถังเล็กไม่ค่อยดี ตามกฎหมายกำหนดว่าในรถบัส จะต้องมีถังดับเพลิง แต่ไม่ได้กำหนด fire rating บางคันก็ใช้ถังเล็ก ๆ มันดับไม่ได้

28. 6A20B ใช้ตามบ้าน กำลังดี ในรถก็ได้

A คือ เพลิงที่ไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิงของแข็ง เช่น ไม้ ผ้า กระดาษ ปอ นุ่น ยาง พลาสติก
B คือ เพลิงที่ไหม้ในของเหลวติดไฟและก๊าซติดไฟ เช่น น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม จาระบี

29. ฉีดแล้ว ต้องนำไปเติมใหม่ทันที แม้จะใช้ไปนิดเดียว เพราะแรงดันจะตก เก็บไว้จะใช้ไม่ได้

30. บอลดับเพลิง ใช้ดี แต่มีข้อเสียอย่างเดียว คือ มันอาจจะโยนไม่เข้ากองไฟ 31. จากประสบการณ์ คนโยนไม่เข้าเยอะมาก ๆ

32. ถังดับเพลิง ฉีดระยะไกลได้ จากประสบการณ์ ถังดับเพลิง ช่วยชีวิตคนได้เยอะกว่า

33. ถังดับเพลิง เลือกยี่ห้อไหนก็ได้ ขอแค่มี มอก. ตัวไม่มี มอก.ห้ามใช้ มันดับไม่ค่อยได้จริง


ขอขอบคุณสาระดี ๆไว้ ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #627 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 12:33:58 PM »

https://www.rama.mahidol.ac.th/th/news/announcements/03182015-0850-th

 กล้วยหอม ลดซึมเศร้า

มีงานวิจัย พบว่า “กล้วยหอม” สามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ เนื่องจากในกล้วยหอมมีสารทริปโตแฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนให้เป็นสารเซโรโทนิน (Serotonin) ที่จะทำให้ผ่อนคลาย มีความสุข หายจากความกังวล

นอกจากนี้ กล้วยหอม ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง และป้องกันการเป็นโรคเกี่ยวกับสมองได้ เพราะเป็นแหล่งรวมวิตามินบีที่สูงมาก ซึ่งวิตามินบีนี้ จะช่วยในการทำงานของระบบประสาท และทำให้การทำงานของสมองสมดุลได้


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #628 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2022, 10:28:23 AM »

ถ้าเราอยากจะปรับระบบเผาผลาญของเราให้ดีขึ้น เราจะต้องกลับไปตั้งต้นใหม่ และทำความเข้าใจกับคำศัพท์พื้นฐานกันก่อน

พลังงานที่ร่างกายเราใช้ในการเผาผลาญในหนึ่งวัน เรียกว่า total daily energy expenditure (TDEE)
 ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ปัจจัย คือ

-การเผาผลาญขณะพัก  (resting metabolic rate) ,
-พลังงานความร้อนที่ใช้ในระบบทางเดินอาหาร (Thermic Effect of Food - TEF) และ 
-พลังงานในการออกแรง (activity energy expenditure)

ทีนี้มาดูรายละเอียดทีละปัจจัยกัน

1. Resting metabolic rate (RMR) หรือ การเผาผลาญขณะพัก 

ตามศัพท์เทคนิคทั่วไป คำว่าการเผาผลาญ จะหมายความรวมถึง กระบวนการทางเคมีที่ทำให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ หรือเป็นพลังงานที่ใช้ในขณะที่ไม่ออกแรง ซึ่งคิดเป็นพลังงานประมาณ 70% ของ TDEE ของพลังงานที่เราต้องการทั้งหมด

ผิดกับความเชื่อที่มีมา ที่ว่าคนผอมมีการเผาผลาญที่ดีกว่า จริงๆแล้วคนที่มีน้ำหนักตัวมาก จะมีการเผาผลาญที่สูงกว่าคนทั่วไป ยิ่งมีน้ำหนักมากเท่าไหร่ ร่างกายก็ต้องใช้พลังงานมาก ในการดำเนินชีวิต แม้กระทั่งการหายใจก็ยังต้องใช้พลังงานมาก

ดังนั้นถ้าเราลดความอ้วนโดยการตัดแคลอรี่อย่างฉับพลัน ก็จะเสี่ยงต่อการที่ร่างกายเราชะลอการเผาผลาญจนต่ำกว่าระดับที่ปกติ แล้วก็จะรู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากร่างกายกำลังต่อสู้เพื่อปกป้องแหล่งพลังงาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือไขมัน ไม่ให้สูญเสียไปเร็วเกินไปนัก เพื่อให้เรามีพลังงานสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินอยู่เสมอ

RMR จะชะลอลงตามอายุ ยิ่งอายุเยอะมากเท่าไหร่ เราก็จะมี  FFM (Fat Free Mass) หรือ มวลน้ำหนักตัวโดยไม่รวมไขมัน ซึ่งจะเป็นกล้ามเนื้อ น้ำ กระดูก และอื่น ๆ น้อยลงเท่านั้น เนื่องจากว่า ไมโทคอนเดรียที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์มีน้อยลง แหล่งสร้างพลังงาน หรือไมโทคอนเดรียนี้จะลดลงจากหลายปัจจัย เช่น ลดลงตามอายุ และลดลงเมื่อไม่ได้ออกแรง ออกกำลังกายแบบหนัก

อีกประการหนึ่งคือ น้ำหนักของ FFM จะแตกต่างกันไปในแต่ละเพศ เพศชายจะมีสัดส่วนน้ำหนักของ FFM ต่อมวลไขมันสะสมสูงกว่าเพศหญิง ในขณะที่อวัยวะภายในเพศชายจะใช้พลังงานมากกว่าในการทำงาน จึงทำให้ RMR ของผู้ชายสูงกว่าผู้หญิง โดยไม่ขึ้นกับกิจกรรม

ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่มีผลต่อ RMR หรือ การเผาผลาญขณะพัก ก็คืออุณหภูมิทั้งภายในและภายนอก เพราะถึงแม้ว่าอากาศจะดีเย็นสบาย เราก็จะยังต้องใช้พลังงานประมาณ ⅔ ของพลังงานเผาผลาญขณะพักในการรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายให้ปกติ

ดังนั้นการที่เราเพิ่มอุณหภูมิช่วงตัวของเราเพียงแค่ 1 องศาเซลเซียส เราก็จะต้องใช้พลังงานเผาผลาญขณะพักเพิ่มขึ้นถึง 10–13 % นี่คือสาเหตุที่ว่าการออกกำลังกายในห้องที่มีอุณหภูมิเย็น หรือภูมิอากาศที่หนาวเย็นจึงมีผลต่อการลดไขมัน

2. Thermic effect of food (TEF) หรือพลังงานความร้อนที่ใช้ในระบบทางเดินอาหาร

TEF คือพลังงาน ที่เราต้องใช้ในการย่อย ดูดซึม และสะสมอาหาร ซึ่งเราจะใช้พลังงานนี้ประมาณ 10% ของ TDEE (พลังงานที่ร่างกายเราเผาผลาญในหนึ่งวัน) ทั้งนี้ประเภทของอาหารก็มีส่วนสำคัญในการใช้พลังงาน 3 สารอาหารหลัก (micronutrients) มีการใช้พลังงานในการย่อย ดูดซึมและสะสมที่แตกต่างกันดังนี้

- คาร์โบไฮเดรต: 5–10%
- ไขมัน: 0–3%
- โปรตีน: 20–30%

นี่คือหนึ่งในหลายสาเหตุที่ว่า การเพิ่มปริมาณโปรตีนในแต่ละมื้อจะช่วยในการลดไขมัน นอกเหนือจากช่วยในการซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อแล้ว เพราะโปรตีนจะใช้พลังงานในการเผาผลาญ ย่อย และดูดซึมมากที่สุดในอาหารหลักทั้ง 3 ประเภท

3. Activity energy expenditure (AEE) หรือพลังงานในการออกแรง

พลังงานในการออกแรงจะเป็นปัจจัยที่แปรปรวนที่สุดของการใช้พลังงานในร่างกายในแต่ละวัน เพราะแต่ละคนจะมีกิจกรรมระหว่างวันที่แตกต่างกันไป คนที่ไม่ค่อยขยับเขยื้อนออกกำลังกาย ก็จะใช้พลังงาน 15% ของพลังงานที่ใช้ทั้งหมดในแต่ละวัน ในขณะที่คนที่กระฉับกระเฉง หรือมีหน้าที่การงานที่ต้องเดิน หรือใช้แรงงานตลอดเวลา  จะใช้พลังงาน 50% ของ TDEE

พลังงานที่หมายถึงนี้จะรวมทั้งกิจกรรมการออกกำลังกายแบบจริงจัง หรือ physical activity (PA) เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ยกน้ำหนัก และกิจกรรมการขยับเขยื้อนแบบเล็กน้อย หรือ spontaneous physical activity (SPA) เช่น การเคี้ยว การเดินไปเดินมา การนั่งสั่นขา ขยุกขยิก การรักษา posture หรือการทรงท่าให้สมดุล
การขยับเขยื้อน หรือ  SPA จะใช้พลังงานประมาณ 4–17% ของพลังงานการเผาผลาญทั้งหมดในแต่ละวัน หรือถ้าเทียบเป็นแคลอรี ก็จะอยู่ที่ 100–700 กิโลแคลอรี ต่อวัน ขึ้นอยู่กับว่าเราขยับมากแค่ไหน

ส่วนพลังงานที่ถูกเผาผลาญในขณะออกกำลังกายนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทและความหนักของการออกกำลังกายดังนั้น ถ้าเราต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงหรือเร่งการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย เราก็ควรที่จะดูที่ปัจจัยที่ตรงกับเป้าหมายของเราคือ

1. ปัจจัยที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญขณะพัก (RMR)

นั่นคือการออกกำลังกาย ซึ่งจะทำให้การเผาผลาญขณะพักของเราถูกเพิ่มขึ้นไปด้วย เนื่องจากเมื่อเราออกกำลังกายหนักขึ้น เราก็จะเกิดการเป็นหนี้ออกซิเจน นั่นคือ  post-exercise oxygen consumption (EPOC) หรือการเผาผลาญหลังออกกำลังกายเราก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย และ EPOC สามารถเพิ่มการเผาผลาญได้เกิน 24 ชั่วโมง หลังออกกำลังกาย ขึ้นอยู่กับระยะเวลา และความหนักของการออกกำลังกาย 

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค และแบบ anaerobic ก็จะส่งผลให้กับการเผาผลาญพลังงานขณะพักแตกต่างกัน การออกกำลังกายแบบแอโรบิคมักจะเผาผลาญพลังงานในขณะออกกำลังกายมาก แต่มักจะมีการเผาผลาญพลังงานหลังออกกำลังกายน้อย (low EPOC)

ในขณะที่ การออกกำลังกายแบบ anaerobic ซึ่งก็คือออกกำลังกายที่หนัก จนกล้ามเนื้อดึงออกซิเจนมาใช้ไม่ทัน เพราะเป็นกิจกรรมที่หนัก เหนื่อย ใช้กำลังอย่างเต็มที่ สุดแรงเกิด เช่น การยกน้ำหนักแบบใช้แรงระเบิด การวิ่งเร็วๆ  การทำ interval training   การกระโดดเชือก จะทำให้การเผาผลาญพลังงานหลังออกกำลังกายสูงขึ้นไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว (high EPOC) นอกเหนือจากนี้แล้ว การออกกำลังกายแบบ anaerobic จะช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อมากกว่าด้วย เพราะใช้หมวดพลังงานที่ต่างกัน

แต่ถ้าเผื่อเกิดการ hit plateau หรือน้ำหนักหยุดลด กล้ามเนื้อหยุดเจริญเติบโต เราจะทำอย่างไร

เราต้องเข้าใจกันก่อนว่า ทุกครั้งที่เราออกกำลังกาย เราจะไปฉีกใยกล้ามเนื้อ และเราก็ต้องอาศัยพลังงานในการซ่อมแซม นี่คือการรักษากล้ามเนื้อหรือ “muscle maintenance” เพราะแม้แต่คนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อก็จะมีการซ่อมแซมกันอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ในระดับที่แตกต่างกัน

ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยในการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานขณะพัก นอกเหนือจากการปรับตารางออกกำลังกายแล้ว ก็คือการเพิ่มอุณหภูมิของช่วงตัว (core) ของเรา อย่างที่เราเห็นหลายคนเร่งแอร์ในขณะออกกำลังกายให้หนาวจัด ก็เพื่อที่จะเพิ่มอัตราการเผาผลาญขณะพัก (RMR) แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก

วิธีที่ดีกว่าที่นอกเหนือจากการออกกำลังกายแล้ว ก็คือการเพิ่มอัตราการเผาผลาญระหว่างวัน ในการขยับตัว หรือ spontaneous physical activity (SPA) เพราะแม้กระทั่งการยืนทำงานครึ่งวัน ก็สามารถที่จะเผาผลาญพลังงานได้ 200 กิโลแคลอรีเพิ่มขึ้นจากปกติ ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและยั่งยืนกว่า สร้างความตื่นตัวให้กับกล้ามเนื้อได้ดีกว่าด้วย

2. ปัจจัยที่ลดการเผาผลาญขณะพัก (RMR)

การที่ตัวเราเบาลง แปลว่าการเผาผลาญขณะพัก (RMR) ของเราลดลงด้วย หรือการรับประทานอาหาร ในปริมาณแคลอรี่ที่ต่ำกว่าปริมาณแคลอรี่ที่เราต้องการระหว่างวันในการมีชีวิตอยู่ (maintenance) ก็สามารถที่จะทำให้ RMR ต่ำลง 5–15% เนื่องจากร่างกายของเราเริ่มเข้าโหมดระวังตัวและอ่อนไหวต่อการหลั่งลดของฮอร์โมน และระแวงระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย ปฏิกิริยานี้เรียกว่า adaptive thermogenesis

Adaptive thermogenesis จะเกิดขึ้นในขณะที่เรากินอาหารน้อยกว่าความต้องการของร่างกายหรือ hypocaloric diet ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เราหิวเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เซลล์ต่างๆในร่างกายของเราออกมาใช้พลังงานอย่างเต็มที่ นั่นคือถ้าเราเป็นนักกีฬา เราจะสังเกตได้ว่าประสิทธิภาพการกีฬาของเราจะตกลง

แต่ถ้าเรากินอาหารอย่างเพียงพอตามความต้องการของร่างกาย RMR ของเราก็จะกลับสู่สภาวะปกติ หรืออีกวิธีหนึ่งถ้าเรามีความจำเป็นที่จะต้องลดอาหาร เราก็สามารถที่จะชดเชยให้พลังงานการเผาผลาญของเราไม่ตกลงไปมากนัก ด้วยการมีวันที่เรียกว่า วัน “refeeding” นั่นคือวันที่เราเพิ่มไกลโคเจนในตับ และส่งสัญญาณให้ร่างกายเราเข้าใจว่า เราไม่ได้อยู่ในสภาวะขาดอาหาร ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ร่างกายเราจะต้องสงวนไขมันเอาไว้ หรือลดอัตราการเผาผลาญพลังงานลงเพื่อให้อยู่รอด

แต่ในกรณีของคนที่เกิดมามีระบบการเผาผลาญที่สูงกว่าคนทั่วไป คนเหล่านี้ก็จะมีอัตราการเผาผลาญขณะพักที่สูงไปด้วย จึงสามารถที่จะรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องระวังมากนัก แต่ประสิทธิภาพของการเผาผลาญสูงนี้จะลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น และถึงแม้ว่าอัตราการเผาผลาญจะสูงกว่าคนทั่วไปอยู่ แต่ก็จะไม่มากเกินกว่า 200 ถึง 300 กิโลแคลอรีต่อวัน

ข่าวดีคือ คนที่มีอัตราการเผาผลาญพลังงานแบบปกติ เมื่อมาออกกำลังกายแบบใช้แรงระเบิดหรือ anaerobic ก็จะสามารถเพิ่ม RMR และมวลกล้ามเนื้อได้ เท่ากันกับคนที่เกิดมามีระบบเผาผลาญสูง

ดังนั้นการที่เรารับประทานอาหารอย่างพอเพียงนั้น ในระยะยาวจึงเป็นวิธีป้องกันไม่ให้ร่างกายเราต่อสู้กลับด้วยการลดการเผาผลาญขณะพักลง จนเกิดปรากฎการณ์โยโย่ขึ้น
โค้ชเอิน


ขอบคุณบทความดีๆค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #629 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2022, 10:53:23 AM »

พวกเราอย่าลืมที่ต้องใส่ใจการกินมื้อเย็น งดได้ควรงด จริงจริง ไม่ก็ ลองอ่านคลิปต่อไปนี้แล้วพิจารณาดูเพื่อชีวิตที่ดี และ สุขภาพแข็งแรง


เหตุใดคนวัยเกษียณจึงควรนัดกินข้าวมื้อเที่ยง แทนที่จะเป็นมื้อเย็น
 
อาหารมื้อเย็นและความเจ็บป่วย เกี่ยวข้องกันอย่างไร
 
หากคุณอายุเกิน 60 ปี คุณควรที่จะสนใจอ่านบทความนี้
 
แค่หนึ่งในสี่ของปริมาณอาหารเย็นที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้นก็เพียงพอสำหรับการประทังชีวิต  อีกสามส่วน          ที่เหลือนั้น อาจเป็นที่มาของรายได้ในการดำรงชีพของหมอ

เมื่ออ่านบทความนี้จบ คุณอาจรู้สึกตื่นตะหนกและไม่กล้าที่จะตะกละตะกลามกับอาหารมื้อเย็นอีก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานเลี้ยงอาหารค่ำ!

ในชีวิตปกติ หากคุณไม่ได้รู้สึกหิวเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า นั่นหมายถึงว่า คุณสามารถดลดปริมาณอาหารเย็นลงได้ครึ่งหนึ่ง
 
อย่าคิดว่าการกินอาหารเย็นอย่างไม่ถูกสุขลักษณะ จะไม่สร้างปัญหาให้คุณ ผู้เชี่ยวชาญทั้งในไต้หวัน และประเทศอื่นๆ พบว่า สาเหตุหนึ่งของโรคต่างๆ เกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสมในตอนกลางคืน นั่นหมายถึงว่า หากคุณกินอาหารเย็นไม่ถูกหลัก โรคภัยก็จะเริ่มคืบคลานมาหาคุณ

 อาหารเย็นและโรคอ้วน

90% ของคนอ้วนกินอาหารดีเกินไปและมากเกินไป ประกอบกับช่วงกลางคืนไม่มีกิจกรรมให้ทำมากนัก                ทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้น้อย แคลอรี่ส่วนเกินจะถูกสังเคราะห์เป็นไขมันโดยการทำงานของอินซูลิน                โรคอ้วนจึงถามหา

 อาหารเย็นและโรคเบาหวาน

การรับประทานอาหารเย็นมากเกินพอดี มักจะกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ทำให้แก่เร็ว และกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานได้ง่าย และการรับประทานอาหารมื้อเย็นเลิศรสที่มากเกินพอดี จะทำให้คุณอ้วน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานได้

 อาหารเย็นและโรคมะเร็งลำไส้

หากรับประทานอาหารเย็นมากเกินไป โปรตีนย่อยสลายได้ไม่หมด การทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ จะก่อให้เกิดสารพิษขึ้น  ประกอบกับการเคลื่อนไหวของร่างกายในช่วงค่ำมีไม่มาก และเป็นช่วงเวลานอน การบีบตัวของผนังลำไส้ช้ากว่าปกติ จึงทำให้สารพิษตกค้างในลำไส้นานขึ้น เป็นเหตุให้เพิ่มอุบัติการณ์ของมะเร็งลำไส้ใหญ่


 อาหารเย็นและโรคนิ่วทางเดินปัสสาวะ

การขับแคลเซียมออกจากร่างกายจะทำได้ดีที่สุดช่วงประมาณ 4 - 5 ชั่วโมงหลังอาหาร หากรับประทานอาหารเย็นใกล้เวลาเข้านอน เมื่อถึงช่วงเวลาที่มีการขับแคลเซียมออกมา เราอาจจะเข้านอนแล้ว ดังนั้นปัสสาวะจึงอยู่ในท่อไต กระเพาะปัสสาวะ  ท่อปัสสาวะ และทางเดินปัสสาวะอื่น ๆ  ไม่สามารถขับออกได้ ส่งผลให้แคลเซียมในปัสสาวะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งง่ายต่อการตกตะกอนและก่อตัวเป็นผลึกขนาดเล็ก ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ก่อตัวเป็นนิ่วได้


 อาหารเย็นและภาวะไขมันในเลือดสูง

หากมื้อเย็นของคุณเป็นอาหารที่มีโปรตีนและไขมันสูง แคลอรี่ก็สูง จะกระตุ้นให้ตับผลิตไลโปโปรตีน ทั้งที่มีความหนาแน่นต่ำและต่ำมากออกมา ไตรกลีเซอไรด์ก็มีแนวโน้มจะสูงขึ้น จึงทำให้ไขมันในเลือดสูง


 อาหารเย็นและโรคความดันโลหิตสูง

หากคุณเน้นกินอาหารเย็นที่เป็นเนื้อสัตว์ โดยไม่สนใจว่าขณะนอนหลับ การไหลเวียนของเลือดจะช้าลง ไขมันในเลือดจำนวนมากจึงสะสมบนผนังหลอดเลือด ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงเล็กหดตัว ความดันของหลอดเลือดส่วนปลายจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน และเร่งให้เกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง


 อาหารเย็นและโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ

หากอาหารมื้อเย็นของคุณเป็นอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่สูง อาจทำให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น ซึ่งจะสะสมในผนังหลอดเลือด เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจ

นอกจากนี้ สาเหตุหลักอีกประการหนึ่งของภาวะหลอดเลือดแข็งตัวคือ แคลเซียมที่ตกตะกอนในเส้นเลือด ดังนั้น การรับประทานอาหารเลิศรสอิ่มเกินไป และการรับประทานมื้อเย็นดึกเกินไป จึงเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือด

 อาหารเย็นและภาวะไขมันพอกตับ

หากคุณเพลิดเพลินกับความเอร็ดอร่อยของอาหารเย็นมากเกินไป น้ำตาลในเลือดและกรดไขมันจะเร่งการสังเคราะห์ไขมัน ขณะที่กิจวัตรหรือกิจกรรมในช่วงค่ำและช่วงกลางคืนมีไม่มาก ก็จะทำให้ร่างกายเร่งสร้างไขมัน ส่งผลให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ


 อาหารเย็นและโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน

หากมื้อเย็นของคุณมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและบ่อยครั้งเกินไป จะทำให้                    เกิดภาวะตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันได้ง่าย และอาจรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้คุณช็อกและเสียชีวิตขณะ                  นอนหลับ


มื้อเย็นและโรคสมองเสื่อม

หากคุณรับประทานอาหารเย็นมากเกินไปและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ระบบทางเดินอาหารและอวัยวะใกล้เคียง เช่น ตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อน ยังคงทำงานอยู่ในระหว่างการนอนหลับ ทำให้สมองไม่สามารถพักผ่อนได้ เลือดไปเลี้ยงสมองก็ไม่เพียงพอ ซึ่งจะส่งผลต่อการซ่อมแซมของเซลล์สมอง เป็นเหตุให้สมองเสื่อมไวขึ้น  และนี่เป็นที่มาของข้อสรุปที่ว่า 1 ใน 5 ของนักชิมที่รับประทานอาหารเย็นมากเกินไปในช่วง               วัยหนุ่มสาวและวัยกลางคน มีโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมเมื่อมีอายุมาก


 อาหารเย็นและคุณภาพการนอนหลับ

มื้อเย็นที่รับประทานจนอิ่มเกินไป ย่อมทำให้อวัยวะต่างๆ เช่นระบบทางเดินอาหาร ตับ ถุงน้ำดี และตับอ่อน ฯลฯ ทำงานในระหว่างการนอนหลับ และส่งข้อมูลไปยังสมอง ทำให้สมองอยู่ในภาวะตื่นอยู่เสมอ ทำให้นอนฝัน หรือนอนไม่หลับเป็นต้น ซึ่งในระยะยาว อาจทำให้เป็นโรคประสาทแบบ neurasthenia (เป็นโรคประสาทอย่างหนึ่งที่มีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ และขาดความสามารถที่จะสนุกสนานรื่นเริง)


 ข้อแนะนำห้าประการ  เพื่อการรับประทานอาหารเย็นที่ถูกสุขลักษณะ

1.  รับประทานอาหารเย็นให้น้อยลง

2.  รับประทานอาหารเย็นก่อน 4 หรือ 5 โมงเย็น เป็นผลดีต่อสุขภาพที่สุด

3.  เน้นรับประทานอาหารมังสวิรัติให้มากขึ้น และรับประทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง

4.  ลด ละ เลิกอาหารเย็นที่มีไขมันสูง แคลอรี่สูง แคลเซียมสูง และอาหารที่ทำให้ท้องอืดง่าย (เกิดแก๊สง่าย)


ขอขอบคุณบทความดีๆ ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 40 41 [42]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: