Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะกับการลงทุน (เอามาช่วยแจมหน่อย)  (อ่าน 1749 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
zyme
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: สิงหาคม 31, 2009, 11:19:28 PM »

ธรรมะกับการลงทุน

Value Way
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ 14 มีนาคม 2551


ผู้คนส่วนใหญ่มักมองว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเก่าล้าสมัย และไม่คิดใส่ใจที่จะศึกษาถึงแก่นแท้ของศาสนา ถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติชาวไทยส่วนใหญ่จะนับถือศานาพุทธ ไหว้พระ และนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ในความเป็นจริงคนที่เข้าใจในความจริงของพระพุทธศานานั้นหาได้ไม่ง่ายนัก



สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นนั้นคงไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ทั่วไปมากนักในเรื่องนี้ ถ้าเราศึกษาในเรื่องของศาสนาจริงๆแล้วจะพบว่ามีหลายเรื่องสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี รวมถึงในเรื่องการลงทุนด้วยเช่นเดียวกัน

ธรรมะหัวข้อหนึ่งซึ่งนำมาใช้ในการลงทุนได้ดีมากคือเรื่องของ?โลภ โกรธ หลง? ซึ่งชาวไทยเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนประถมศึกษา แต่ไม่ได้สนใจนำมาประยุกต์ใช้จริงๆ ดังนั้นจึงไม่สายที่จะนำหลักธรรมอายุมากกว่า 2,500 ปีมาใช้ในการลงทุน


ความโลภเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของนักลงทุน คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นนักลงทุนคนอื่นทำกำไรได้มากๆจากการเก็งกำไร จึงเกิด?ความโลภ?อยากได้เงินเยอะๆบ้าง แล้วหันไปเก็งกำไรโดยที่ไม่มีประสบการณ์มากเพียงพอ สุดท้ายก็?ขาดทุน?เพราะหุ้นเก็งกำไรส่วนใหญ่มีราคาเปลี่ยนแปลงหวือหวา เมื่อราคาหุ้นซื้อไว้ตกอย่างมากและขายไม่ทันเจ้ามือ จะทิ้งก็เสียดาย จะถือไว้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เงินต้นคืนหรือเปล่า


อีกตัวอย่างหนึ่งของ?ความโลภ?คือนักลงทุนส่วนใหญ่เมื่อได้กำไรจากการลงทุนในช่วงแรกๆ มักคิดว่าตนเองเริ่มเข้าขั้น?เซียน? พอลงทุนไปได้ไม่นานก็ทุ่มเงินสุดตัว เพราะ?ความโลภ?ที่อยากได้เงินมากๆ แต่แล้วทุกอย่างหลับตาลปัตร หุ้นที่ซื้อไว้มีราคาลดลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องขายขาดทุน หรือ Cut Loss ไป เพราะไม่ได้เผื่อสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คิดไม่ถึง


ความโกรธเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ นักลงทุนส่วนใหญ่เมื่อขาดทุนมักเกิด?ความโกรธ?และเสียใจที่ขาดทุน และเมื่อมีความโกรธเกิดขึ้นจึงอยากจะ?เอาคืน? จึงลงทุนโดยขาด?สติ?หรือมีความรอบคอบน้อยลง สังเกตได้จากเมื่อขาดทุน นักลงทุนมักจะทุ่มเงินซื้อหุ้นเข้าไปอีก เพื่อจะได้กำไรกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริง ตลาดหุ้นอาจปรับตัวลง ทำให้ราคาหุ้นที่ซื้อไว้ลดลงต่ำกว่าเิดิมก็ได้ หุ้นที่ซื้อไว้อาจทำให้?ขาดทุน?มากกว่าเดิม


นักเก็งกำไรมืออาชีพมักให้คำแนะนำว่า เมื่อเล่นเสียควรจะ?หยุด?มากกว่าที่จะเล่นต่อเพื่อเอาทุนคืน เพราะในช่วงเวลานั้นจิตใจของเราจะพวักพวงและเสียสมาธิไปแล้ว


สุดท้ายคือความหลง นักลงทุนจำนวนมากมักมีทิฐิคิดว่า?ความคิด?ของตนถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เมื่อซื้อหุ้นตัวใดแล้วอาจเกิดอาการ?หลง?ในหุ้นนั้น และคิดว่าเป็นหุ้นที่ดี ไม่ยอมขาย ถึงแม้ในความเป็นจริงพื้นฐานของหุ้นนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว และราคาหุ้นอาจไม่กลับมาที่เดิมอีก เช่น หุ้นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บริษัทหนึ่ง ในช่วง 4-5 ปีก่อนถือว่าเป็นดาวรุ่งของธุรกิจ มีการซื้อกิจการเพิ่มยอดขายผ่านทางบริษััทลูกจำนวนมาก ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปหุ้นละกว่า 10 บาท แต่ปัจจุบันกลับพบว่าบริษัทดังกล่าวเต็มไปด้วยหนี้สินและยอดขายที่ลดลงจากสภาพเศรษฐกิจ ถ้านักลงทุนยังถือหุ้นบริษัทนี้อยู่จะพบว่าราคาหุ้นลดลงเหลือไม่ถึงหุ้นละ 1 บาท


ดังนั้นธรรมะในพระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องล้าสมัยแต่อย่างใด นักลงทุนสามารถนำหลักธรรมมาใช้ในการลงทุนได้ ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนประสบความสำเร็จมากขึน และนักลงทุนเองมีจิตใจที่สงบเยือกเย็นมากขึ้นด้วยเช่นกัน
บันทึกการเข้า
zyme
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2009, 11:20:07 PM »

ธรรมะกับการลงทุน (2)

Value Way
วิบูลย์ พึงประเสริฐ 4 มีนาคม 2551


คนรุ่นใหม่มักมองว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องล้าสมัยและไม่เหมาะกับยุคปัจจุบัน จึงไม่สนใจที่จะศึกษาในเรื่องนี้ แต่ในความเป็นจริงการนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะปัจจุบันที่เป็นยุคของ?วัตถุนิยม?ที่ทำให้ผู้คนเริ่มห่างเหินจากธรรมชาติและความเข้าใจในชีวิตและจิตใจของตนเอง ตัวอย่างล่าสุดเช่นเรื่องของอาจารย์สาวมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตาย เนื่องจากผิดหวังในความรัก ทั้งๆที่เป็นคนสวยที่เรียนเก่ง มีฐานะทางบ้านระดับเศรษฐี ชีวิตแทบจะสมบูรณ์แบบ แต่ต้องมาจบชีวิตกับเรื่องที่สามารถแก้ไขง่ายๆได้ด้วยหลักธรรมทางศาสนา ถ้าอาจารย์สาวศึกษาในเรื่องของธรรมะสักเล็กน้อย คงไม่ตัดสินใจฆ่าตัวตาย

ในเรื่องของการลงทุนเช่นเดียวกัน นักลงทุนจำนวนมากไม่สนใจในเรื่องของธรรมะ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องล้าหลังไกลตัว ความจริงแล้วธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่มีล้าสมัย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ักับทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ธรรมะเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของ?อิทธิบาท 4? ซึ่งสามารถช่วยให้นักลงทุนประสบความสำเร็จจากการลงทุนมากขึ้น

?อิทธิบาท 4? เป็นธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในการทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ การทำตามขั้นตอนอิทธิบาท 4 จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงสิ่งที่ต้องการในที่สุด ?อิทธิบาท 4? ประกอบไปด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องรักในการลงทุน คนที่ถูกบังคับให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมักทำได้ไม่นานต้องเลิกล้มไปในที่สุด ถ้านักลงทุนรักในการลงทุน เขาจะมองว่าการลงทุนเป็นสิ่งที่น่าสนใจและไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย นักลงทุนระดับโลกอย่างวอร์เรน บัฟเฟตเคยกล่าวว่า การลงทุนคือชีวิตของเขาและทุกวันเขาเต้นแทปมาทำงาน ถ้าเรามี?ฉันทะ?กับการลงทุน เราคงรักและสนุกกับการลงทุนอย่างทุกเมื่อเชื่อวัน

วิริยะ ความพากเพียร นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องมีความมานะพากเพียร ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลในการลงทุน ศึกษาบริษัทที่น่าสนใจ ทั้งจากรายงานประจำปี หรือจากงบการเงินของบริษัท ศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของบริษัท รวมทั้งแนวโน้มและการแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นๆ นักลงทุนที่หาทางลัดโดยการถามง่ายๆจากคนอื่นว่า ?ช่วงนี้ซื้ออะไรดี? แล้วซื้อหุ้นนั้นๆโดยไม่ได้ทำการบ้านก่อน มีโอกาสเจ็บตัวจากการลงทุนมาก เพราะการวิเคราะห์ธุรกิจเป็นเรื่องของมุมมองของแต่ละบุคคล ถ้านักลงทุนไม่ได้้เข้าใจในบริษัทนั้นๆด้วยตนเอง เมื่อพื้นฐานธุรกิจเปลี่ยนไป อาจทำให้ขาดทุนจากการลงทุนได้

จิตตะ ความฝักใฝ่เอาใจใส่ นักลงทุนที่ดีควรติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งตรวจสอบพื้นฐานของธุรกิจอยู่ตลอดเวลาว่ามีสิ่งใดเปลียนแปลงไปหรือไม่ นักลงทุนส่วนใหญ่มักมองแค่ราคาของหุ้นเป็นหลัก ถ้าราคาลงถือว่าเป็นหุ้นไม่ดี หุ้นที่ดีคือหุ้นที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว บางช่วงที่ราคาหุ้นลดลงแต่พื้นฐานกิจการดีขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว ถือว่าเป็น?โอกาส?ในการลงทุนมากกว่า รวมทั้งมีนักลงทุนจำนวนมากซื้อหุ้นแล้วปล่อยไว้โดยไม่สนใจในกิจการของบริษัท อาจทำให้การลงทุนเสียหายได้ ถ้ากิจการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุและผลของสิ่งนั้น มีนักลงทุนจำนวนมากซื้อหุ้นมาแล้วไม่ทราบว่าจะขายหุ้นในช่วงไหนดี การที่เราตรวจสอบเหตุผลของการซื้อหุ้นจะช่วยให้เราตัดสินใจในการขายได้ไม่ยากนัก มีผู้รู้บอกว่าถ้าเราซื้อหุ้นด้วยเหตุผลอะไร เราก็ควรขายหุ้นด้วยเหตุผลนั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเราซื้อหุ้นเพราะคิดว่าราคาหุ้นจะขึ้น แต่ถ้าราคาหุ้นไม่ขึ้นหรือลดลง เราก็ควรจะขายออกไป หรือถ้าเราคิดว่าเราซื้อหุ้นเพราะเป็นกิจการที่ดี แต่มาตรวจสอบทีหลังพบว่าเป็นกิจการที่ไม่ดี เรา็ควรจะขายหุ้นออกไปเช่นเดียวกัน

จะเห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัวเราอย่างที่คิด สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการลงทุนในตลาดหุ้นได้ด้วย
บันทึกการเข้า
dada
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 140


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 10, 2009, 08:26:50 AM »

นักจิตวิทยา กะ นายปากสว่าง
posted on 13 Jul 2005 00:39 by fein  in My-Life-is-Real วันนี้คุยกันกับเพื่อน ก็ไม่มีอะไรมาก พอดีว่ามีเพื่อนคนนึง จบสายจิตวิทยามา คือปกติแล้วเค้าก็เป็นคนที่ดูเหมือนเก่งนะ ทำอะไรก็พยายามให้เพอร์เฟ็กไปทุกเรื่อง แต่เรื่องของเรื่องเนี่ย ยิ่งคบกันไปคบกันมา ก็ยิ่งรู้สึกว่าความที่จบสายจิตวิทยามาเนี่ย ทำให้ดูน่ากลัวอยู่หน่อย ๆ อย่างเช่น

จะคอยสังเกตสังกาคนอื่นเค้าไปทั่ว
สังเกตไม่พอ จะคอยวิเคราะห์ห่าง ๆ ว่าคนนี้เป็นยังไง คนนั้นเป็นยังไง (โดยเฉพาะผู้ชายที่แปลกไปจากเค้าเนี่ย จะโดนวิเคราะห์ว่าเป็นเกย์ หึหึ)
แล้วก็ตามด้วยบางทีหลอกถาม ต้องระวังตัวไว้ให้ดี ๆ บางทีจะตกหลุม
ถ้าข้อมูลไม่พอก็พยายามจะปะติดปะต่อภาพของสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ จากข้อมูลที่ได้เพียงน้อยนิด
เรื่องของเรื่องก็คือมีเพื่อนอีกคน ที่ดูเหมือนจะปากสว่างมาก ๆ คาบข่าวลือไปให้สะท้านทั่วทั้งหมู่เพื่อน จนทำให้ยายโมของเราหัวเสียมาแล้วแต่ยายเค้าก็ไม่รู้นะว่าเป็นนายคนนี้ แล้วพวกเราเองแหละที่วิเคราะห์ว่าต้องเป็นนายคนนี้แน่ ๆ เพราะหลายสถานการณ์มันบอก อิอิ แถมก่อนหน้านี้พวกเราก็เริ่มวิตกจริตกันนิดหน่อย ว่าต้นเหตุของการที่นักจิตวิทยารู้ไปทุกเรื่องเนี่ยมันมาจากพวกเราหรือเปล่า เนื่องจากวงไอศครีม และกาแฟของพวกเราช่วงนึง จะมีนักจิตวิทยามานั่งด้วยบ่อย ๆก็เลยสงสัยว่าอาจจะโดนหลอกถามไปบ้าง หรือว่าพวกเราเผลอพูดอะไรออกไป เพราะตอนนั้นยังไม่ระวังตัวกันส่วนนายปากสว่างบางทีก็จะมาร่วมสนทนาในวงกาแฟ วงไอศครีม และวงเบียร์ ของพวกเราบ้างเป็นบางครั้งอันนี้ก็ต้องระวังตัวเหมือนกัน

พอนายปากสว่างมีเรื่องได้รับรู้อะไรที่น่าสนใจ และเป็นความลับ ก็มักจะดูทีท่า และแล้วก็คายออกมาในที่สุด และแล้วข่าวที่มีเรื่อย ๆ(เอ่อ ไม่ได้มาจากพวกเรานะ ก็คนเจ้าของเรื่องนั่นแหละ ไม่รู้ทำไมแต่ละคนชอบไปเล่าให้นายปากสว่างฟัง)ก็ใส่พานไปถึงนักจิตวิทยา(โดยเฉพาะในวงเบียร์) แล้วที่จริงนักจิตวิทยาก็หลอกถามด้วยแหละ คิดว่านะ ..... จริง ๆ นักจิตวิทยาก็ค่อนข้างฉลาด ไม่ค่อยจะเชื่อนายปากสว่างซะ 100% จึงได้ทำการแอบถามผู้คนทั่วไปว่าจริงหรือเปล่า อันนี้เจ๊สุยืนยันได้ เพราะโดนหลอกถามมาไม่นานนี้แต่เจ๊เค้าก็ภูมิใจในความฉลาดและว่องไวของตัวเองเนื่องจากรู้ทันแล้วก็บอกปัดว่า ไม่รู้ ไปซะก่อน เพื่อไม่ให้ความลับ และการนินทาที่พวกเราชอบเป็นชีวิตจิตใจต้องจบลงด้วยความโกรธเคืองของผู้เป็นเป้าหมาย พวกเราจึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสองคนนี้

รู้สึกว่าเป็นการเข้ากันได้ดีสำหรับคนสองประเภท แต่นะสำหรับคนที่ไม่ค่อยจะไปยุ่งกะเค้าอย่างแม่กบ ยังโดนวิเคราะห์ว่าขี้อาย อืมม แต่อันนี้เจ๊สุ ยืนยันว่าเพราะแม่กบภาษาไม่แข็งแรง ก็เลยขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด เอ่อ แต่ยายโม ก็บอกว่า ไม่จริงดูอย่างฝ้ายสิ ภาษาไม่แข็งแรง ยังพูดมากเลย....อืมม.... ลงที่ตรูอีกจนได้แต่ก็อยากรู้เหมือนกันนะ ว่าเค้าจะวิจารณ์เราว่าไง แหะ แหะ

สรุปว่าตอนนี้ต้องระวังคนสองประเภท นักจิตวิทยา และ นายปากสว่าง เหอะ ๆ ๆ

จบดีกว่าเพราะวันนี้ไม่มีอะไรจะเขียน ก็เลยเอาเรื่องเม้าท์ ในหมู่เพื่อนมาเขียนเป็นที่ระลึก ไว้ปีหน้าจะได้มาอ่านใหม่แก้เซ็ง อิอิ บล็อคอย่าพังไปก่อนละกันนะ:)

Fein
บันทึกการเข้า

คนร้ายในคราบนักบุญ  น่าสะพึงกลัวกว่าสิ่งใด
soda
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 712


« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 10, 2009, 08:48:01 PM »

ขอบคุณคะ อ่านแล้วจะได้ไม่โลภ แค่มีกำไร ก็ปล่อย แล้วเข้าใหม่ ได้เงินมา แบ่งเป็นสี่ส่วน ให้่พ่อแม่ ใช้จ่าย เก็บ ทำบุญ
บันทึกการเข้า
มั่งมีศรีสุข
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 27



« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 27, 2009, 01:32:24 PM »

มีคนเคยบอกผมว่า "นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ต้องอยู่ให้ห่างจากความโลภ" เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ยังไม่ลึกซึ้ง ไม่รู้เกี่ยวกับกระทู้นี้ไหม แต่ว่าอ่านแล้วก็นึกถึงคำสอนอันนี้ขึ้นมาทันทีเลยครับ เลยเอามาบอกต่อ
บันทึกการเข้า

ชีวิตเหมือนข้อสอบอัตนัย ที่เราต้องตั้งคำถาม และ หาคำตอบด้วยตัวเราเอง-ดร.วรภัทร ภู่เจริญ
[-ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุข ความเจริญ ยิ่งๆขึ้นไปด้วยกันทั้งหมด-]
~สาธุ~
~ uma ~
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 98



« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 28, 2009, 08:29:41 AM »

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ Smiley
บันทึกการเข้า
isariya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 47


« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2009, 11:12:14 PM »

ไม่มีอะไรมาแจมเลยค่ะ มาขอบคุณแล้วกันกับข้อคิดดีๆ Grin
บันทึกการเข้า
~ uma ~
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 98



« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 01:08:59 PM »

 Smiley
บันทึกการเข้า
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 14, 2014, 08:09:47 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: