Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....  (อ่าน 27255 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #60 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2009, 07:19:29 PM »

ถึงพ่อแม่ที่มีลูกเรียนไม่เก่ง

ดร.แพง ชินพงศ์

   
       คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมมีความปรารถนาที่ จะให้ลูกของตนเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมในทุกสิ่ง ทั้งเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีจิตใจและอารมณ์ดี นอกจากนี้แล้ว ความปรารถนาอีกประการหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คืออยาก ให้ลูกของเราเป็นเด็กที่เรียนเก่ง เพราะเชื่อว่าเด็กที่เรียนเก่งมักจะประสบความสำเร็จในชีวิตทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นเอง
       
       โดยความเข้าใจของคนทั่วไปเข้าใจว่า ?เด็กเรียนเก่ง? หมายความถึงเด็กที่ทำข้อสอบในวิชาต่างๆของโรงเรียนได้คะแนนดี หรือสอบเรียนต่อเข้าในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของ จังหวัดหรือของประเทศได้ ซึ่งถ้าลูกสามารถทำได้เช่นนี้ก็ถือเป็นความโชคดีและเป็นที่ชื่นอกชื่นใจของ ผู้เป็นพ่อแม่ทุกรายไป แต่ในมุมกลับกัน หากลูกทำข้อสอบได้คะแนนต่ำหรือสอบไม่ผ่านตามเกณฑ์ของโรงเรียนหรือสอบเข้า เรียนต่อที่ดีๆไม่ได้ ลูกของเราก็จะขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง โง่ ไม่เอาไหน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมักจะถูกทำนายอนาคตไว้ล่วงหน้าต่อไปเลยว่าเด็กคนนี้คงจะมีชีวิตที่ไม่ ประสบความสำเร็จในเรื่องใดอย่างแน่นอน
       
       จริงๆ แล้วการที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นคนเรียนเก่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่การที่ลูกเรียนไม่เก่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน เพราะบางกรณีการที่เด็กเรียนไม่เก่งหรือมีปัญหาทางด้านการเรียนอาจไม่ได้ เกิดจากระดับสติปัญญาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีหลายปัจจัยแวดล้อมที่เป็นตัวแปรสำคัญทำให้เด็กเรียนไม่เก่งได้ เช่นนี้ ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กเรียนไม่เก่ง อีกทั้งวิธีที่จะให้พ่อแม่ช่วยเหลือลูกที่เรียนไม่เก่ง ดังนี้
       
       1. ปัญหาทางด้านร่างกาย เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กโดยตรง เช่น เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น สายตาสั้น สายตาเอียง ปัญหาการได้ยิน เช่น ได้ยินเสียงคุณครูไม่ชัดเจนหรือได้ยินเพียงเบาๆ หรือเด็กมีร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคต่างๆ ปัญหาพวกนี้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนมากและทำให้เด็กเรียนไม่รู้เรื่องได้
       
       - วิธีช่วยเหลือ โดยธรรมชาติของเด็กเล็กมักจะไม่บอกพ่อแม่ถึงปัญหาความผิดปกติทางร่างกายของ ตนเอง เพราะบางทีเขาไม่รู้และไม่เข้าใจว่านี่คือความผิดปกติ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องคอยพยายามสังเกตลูก เช่น เวลาลูกทำการบ้านหากลูกก้มหัวลงชิดสมุดการบ้านหรือหนังสือมาก อาจต้องพาลูกไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสายตา หรือหากพูดคุยกับลูกแล้วลูกเหมือนไม่ค่อยได้ยินอาจต้องพาลูกไปตรวจการได้ยิน ว่าเป็นปกติหรือไม่ นอกจากนี้ ปัญหาด้านร่างกายเล็กน้อย เช่น เหนื่อยง่าย เป็นหวัดบ่อย ก็ไม่ควรละเลย ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์และควรดูแลให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบ5หมู่และออกกำลัง กายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
       

       2. ปัญหาทางด้านอารมณ์ จิตใจและพฤติกรรม เด็กที่คิดมาก เครียดง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตนเอง มักขาดความสุขในการเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ ส่วนเด็กที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงอย่างตามใจเกินไปหรือถูกพ่อแม่ละเลยทิ้งขว้าง มักเป็นเด็กที่ขาดระเบียบวินัยในชีวิต ซึ่งเขาจะไม่ใส่ใจการเรียนเพราะเห็นว่าไม่ได้มีความสำคัญอย่างใด แต่จะแสวงหาสิ่งอื่นที่ท้าทายมากกว่า จึงมักมีพฤติกรรมเกเร หนีโรงเรียน ติดยาเสพติด
       
       - วิธีช่วยเหลือ มีเด็กเรียนเก่งมากมายที่กลายเป็นเรียนไม่เก่ง เพราะมีปัญหาทางด้านอารมณ์ จิตใจและพฤติกรรม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องให้เวลาและความอบอุ่นกับลูกให้มาก โดยการใกล้ชิด ดูแล พูดคุยกับลูกหรือทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น อ่านหนังสือด้วยกัน สอนการบ้านลูก ช่วยกันปลูกต้นไม้ พาลูกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้ลูกเกิดความมั่นใจในตัวเอง มองโลกในแง่ดีและมีความสุขมากขึ้น ซึ่งก็จะช่วยให้สมองพร้อมเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้อย่างดีต่อไป
       
       3. ปัญหาการขาดแรงจูงใจ เด็กบางคนรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องไม่สนุกเหมือนการเล่น และมักไม่เห็นประโยชน์หรือความสำคัญของการเรียนว่าดีกับตนเองอย่างไร หรืออาจเพราะเรียนวิชาหนึ่งแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง เรียนอ่อนในวิชาใดวิชาหนึ่งเลยพาลรู้สึกว่าไม่อยากเรียนอะไรเลยเพราะคงเรียน ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
       
       - วิธีช่วยเหลือ คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามกระตุ้นให้เด็กรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องสนุกโดย ใช้เทคนิคต่างๆเข้ามาช่วยเสริม เช่น การฝึกนับเลขโดยใช้ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ การท่องศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้บทเพลง การเรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้สิ่งแวดล้อม การทดลองด้วยตนเองหรือผ่านการดูสารคดี หรือการส่งเสริมให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบและถนัด เช่น หากลูกมีแววว่าชอบเรียนทางด้านภาษา ก็สนับสนุนให้เขาได้เรียนอย่างที่เขาพอใจ ไม่ควรบังคับให้ลูกเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อจะเป็นหมอ เพราะคนเรามีความสามารถและความฉลาดในแต่ละด้านที่ต่างกัน
       
       4. ปัญหาการขาดสมาธิ เด็กที่ขาดสมาธิหรือสมาธิสั้นจะขาดความอดทน อยู่ไม่สุข วอกแวกง่าย ไม่สามารถบังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับการเรียนได้นาน ซึ่งปัญหาการขาดสมาธิในการเรียนจะส่งผลให้เด็กเป็นคนมีความจำที่ไม่ดี ไม่สามารถเรียนได้อย่างปะติดปะต่อ จึงมักเป็นเรื่องยากมากที่เด็กขาดสมาธิจะเป็นเด็กที่เรียนเก่งได้
       
       - วิธีช่วยเหลือ อย่าให้ลูกอยู่ในสิ่งเร้ามากเกินไป เช่น ที่บ้านไม่ควรเปิดวิทยุโทรทัศน์เสียงดังตลอดวัน ควรให้ลูกได้มีเวลาอยู่กับความเงียบสงบบ้าง โดยอาจจัดมุมหนังสือนิทานในบ้านให้เขาได้ใช้เวลาที่จะอยู่ในมุมนั้นโดยเปิด เพลงจังหวะช้าๆเบาๆคลอไปด้วย ก็จะทำให้ลูกมีสมาธิดีขึ้น นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกทำกิจกรรมให้เสร็จไปทีละอย่าง เพราะการปล่อยให้ลูกทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะทำให้ลูกไม่มีสมาธิที่จะจดจ่อในการทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้สำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดีได้เลย เช่น ให้ลูกกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเล่นได้ ถ้าให้กินไปเล่นไปสองชั่วโมงก็ยังกินไม่เสร็จ แล้วจะเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่มีระเบียบวินัยให้กับลูกด้วย และควรให้เด็กๆมีกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน เช่น กลับมาจากโรงเรียนถึงบ้านแล้วทำการบ้าน เสร็จแล้วกินข้าว เสร็จแล้วอาบน้ำ เสร็จแล้วอ่านนิทาน แล้วเข้านอน ก็จะช่วยเรื่องการจัดระบบความคิดให้กับลูกได้
       

       จะ เห็นได้ว่าการเรียนไม่เก่งอาจเกิดได้จากปัญหาหลายอย่าง สำหรับผู้เขียนแล้วไม่อายที่จะเล่าว่า ตอนเด็กๆผู้เขียนก็จัดอยู่ในกลุ่มเด็กที่เรียนไม่เก่งเช่นกัน เพราะซุกซนขาดสมาธิและแรงจูงใจในการเรียน อ่อนวิชาเลขมากถึงขนาดเคยสอบซ่อมด้วยซ้ำ แต่ขอบคุณที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบังคับที่จะต้องเรียนเลขให้เก่งให้ได้ แต่กลับสนับสนุนในสิ่งที่ผู้เขียนถนัดคือการเรียนดนตรีและศิลปะจนสามารถนำมา ใช้ประกอบอาชีพจนประสบความสำเร็จได้ดีในทุกวันนี้
       
       ผู้ เขียนจึงอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ทุกคนว่าอย่าอายที่ลูกเรียนไม่เก่ง เพราะการเรียนไม่เก่งไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะล้มเหลว หากเราค้นพบปัญหาว่าลูกเรียนไม่เก่งเพราะอะไรแล้ว และเราพยายามช่วยแก้ไขให้ลูกอย่างดีที่สุดแล้วแต่เขาก็ยังคงเรียนไม่ เก่งอยู่นั่นเอง ลองช่วยกันค้นหาต่อไปเพราะว่าเขาอาจชอบทางสายวิชาชีพมากกว่าการเรียนทางสาย สามัญปกติก็ได้ ซึ่งจะแปลกอะไรถ้าลูกเราจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีกิจการที่มั่นคงเลี้ยงชีพตนเองได้ เพราะผู้เขียนเชื่อว่าความสุขและความสำเร็จที่ดีของลูก คือสุดยอดความปรารถนาของพ่อแม่ทุกคน

บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #61 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2009, 09:51:33 AM »



แพทย์เตือน ดื่มเหล้าช่วงอากาศหนาวเสี่ยงตายได้่

ข้อมูลข่าวจาก www.manager.co.th

เมื่อถึงช่วงหน้าหนาวทีไร หลาย ๆ คนจะมักจะสรรหาวิธีการคลายหนาวแตกต่างกันไปตามแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละคน แต่จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่นิยมคลายหนาวด้วยการดื่มเหล้า เพราะเชื่อว่าการดื่มเหล้าจะช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นและคลายหนาวได้ แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเหล้าไม่ได้ช่วยคลายหนาวเลยสักนิดเดียว ตรงข้ามกันหากดื่มมากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ล่าสุด โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนนักดื่มที่เชื่อว่าดื่มเหล้าแล้วจะคลายหนาวได้ว่าความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะความร้อนวูบวาบที่เกิดหลังจากดื่มไม่ใช่ความอบอุ่น แต่เป็นเพราะหลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังของเราขยายตัวเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์

น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า "จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อย ๆในช่วงนี้ ทำให้มีประชาชนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร นิยมดื่มเหล้ากันมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นร่างกาย แก้หนาวได้ นักดื่มบางรายเชื่อว่าหลังจากดื่มเหล้าแล้วไม่ต้องสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นก็ได้ เพราะเหล้าทำให้อบอุ่นอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ทางการแพทย์จัดว่า เป็นความเชื่อที่ผิดและเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก และที่ผ่านมาก็มีข่าวผู้เสียชีวิตจากความเชื่อดังกล่าวทุกปี

" สาเหตุการเสียชีวิตหลังดื่มเหล้าในหน้าหนาว เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการ ขยายตัว ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น ซึ่งจากการที่หลอดเลือดฝอยขยายตัว จะเป็นช่องทางให้ความร้อนในร่างกายถูกระบายออกได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ยิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นเท่าใด ความร้อนก็จะถูกระบายออกจากร่างกายมากขึ้นไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงกว่าปกติ หากเผลอนอนหลับไปและร่างกายสัมผัสอากาศเย็นเป็นเวลานานอาจทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้หากนั่งดื่มเหล้าขณะผิงไฟไปด้วย ก็อาจเกิดจะเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เสื้อผ้า ผิวหนังพุพองจากความร้อนของเปลวไฟ หรือไฟไหม้บ้านได้ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ด้วย"

สำหรับ การเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายนั้น น.พ.สุพรรณ แนะนำว่า "ขอให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละ 30 นาที กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นเพื่อป้องกันความหนาว สำหรับการผิงไฟก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายได้ เช่นกัน ซึ่งวัสดุเชื้อเพลิงที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นไม้ฟืนทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดควันไฟ และระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ หากมีควันมาก ๆ จะทำให้แสบตา ดังนั้น ผู้ที่กำลังเป็นหวัดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หรือผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ขอให้หลีกเลี่ยงการสูดควันเหล่านี้ โดยให้นั่งผิงไฟเหนือลม หากเสื้อผ้าที่ใส่มีความบาง ก็อาจจะต้องใส่หลายๆ ชั้น เพิ่มความอบอุ่นโดยเฉพาะเวลานอน"
อย่าง ไรก็ตามนอกเหนือจากวิธีการที่โฆษกแนะนำแล้ว
ยังมีวิธีการทางธรรมชาติบำบัดอีกหลายวิธีที่ เรานำมาดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงในช่วงที่อากาศหนาวได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช่น การกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างข้าวกล้อง ผักสด ผลไม้สดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายของเรา นอกจากนี้อาหารที่แนะนำให้กินเป็นพิเศษในช่วงอากาศเย็นอย่างนี้ก็ได้แก่ สมุนไพรไทยพื้นบ้านของเราที่มีฤทธิ์ร้อนทั้งหลายอย่าง ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หัวหอม นำมายำ ต้มยำ แกงส้ม หรือทำน้ำพริกกิน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายก็ยังได้
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #62 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2009, 09:37:40 PM »

ว่าด้วยเรื่อง ต้อหิน อีกครั้ง.....

glaucoma : ต้อหิน


ต้อหิน เกิดจากสภาพความดันของนัยน์ตา (Intra-ocular pressure : I.O.P.) สูงขึ้นกว่าระดับปกติ (15-20 มิลลิเมตรปรอท) หรือภาวะความดันภายในลูกตาสูงกว่าปกติ ต้อหินเป็นโรคที่ร้ายแรง พบได้ค่อนข้างบ่อย พบมากในคนสูงอายุ แต่จะพบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ชายและ ผู้หญิงมีโอกาสเป็นพอ ๆ กัน

                                          
ต้อหินเป็นโรคตาที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง หากได้รับการรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ก็มีทางรักษาให้หายขาดได้ ต้อหินจะทำให้ประสาทตาเสื่อม เกิดอาการตามัวตาบอดได้ คนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี หากมีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน ควรตรวจวัดความดันลูกตาเป็นประจำทุกปี สาเหตุเกิดจาก

   1. anterior chamber ช่องลูกตาหน้า/ ภายในลูกตามีการสร้างของเหลวหลายอย่างของเหลวที่สำคัญอันหนึ่งอยู่ตรงช่อง ว่างระหว่างกระจกตากับแก้วตาเรียกว่า ช่องลูกตาหน้า
   2. aqueous humor น้ำเลี้ยงลูกตา/ มีลักษณะใส ไหลเวียนจากด้านหลังของม่านตา (iris) ผ่านรูม่านตา (pupil) เข้าไปในช่องลูกตาหน้า แล้วระบายออกนอกลูกตาโดยผ่านมุมแคบ ๆ ระหว่างม่านตากับกระจกตาดำเข้าไปในตะแกรงระบายเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ท่อชเลมส์ (Schlemms canal)เข้าสู่หลอดเลือดดำที่อยู่นอกลูกตา
   3. ความดันภายในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ/ หากการระบายของน้ำเลี้ยงลูกตาดังกล่าวเกิดจากติดขัดด้วยสาเหตุใดก็ตาม จนในที่สุดจะทำลายประสาทตา เป็นผลให้เกิดโรคต้อหิน


ส่วนประกอบของนัยน์ตา/ ความดันของนัยน์ตา

   1. น้ำเอเควียส/ น้ำใส ซึ่งสร้างจากเส้นเลือด capillary บริเวณซิเลียรีบอดี โดยกระบวนการซึ่งประกอบด้วย dialysis,utrafiltration และ secretion
          * น้ำเอเควียส/ เข้าสู่ช่องหลังม่านตาก่อน แล้วเข้าสู่หน้าม่านตาทางรูม่านตา และมีบางส่วนซึ่งซึมเข้าสู่วิเทรียส
          * น้ำเอเควียส/ เกี่ยวกับ metabolism ของตาดำ และเลนซ์ตา ซึ่งเป็นส่วนของนัยน์ตาซึ่งไม่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงโดยตรง ทำหน้าที่ทำให้ความดันของนัยน์ตาคงที่ Refractive index ของน้ำเอเควียสประมาณ 1.336 มีโปรตีนประมาณ 0.02% (blood plasma มี 7%) ส่วนน้ำตาล urea และ bicarbonate ต่ำกว่าใน plasma
          * น้ำเอเควียส/ascorbic acid และ chloride สูงกว่าใน plasma จากช่องหน้าม่านตา มักถูกถ่ายเทจากนัยน์ตาทาง filtration angle และมีส่วนน้อยจะถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดของม่านตาใน stromal space ของม่านตา น้ำเอเควียสบางส่วน diffuse เข้าสู่วิเทรียสและผ่านออกทาง posterior ciliary veins
   2. ช่องหลังม่านตา (Posterior Chamber) ช่องแคบๆ อยู่ระหว่างด้านหน้าของเลนซ์ตาและด้านหลังของม่านตาทางด้านหลังจะยื่นไปตาม ด้านในของซิเลียรีบอดีไปจนถึงบริเวณออราเซอราตา
   3. ช่องหน้าม่านตา (Anterior Chamber) อยู่ระหว่างด้านหลังของตาดำ และด้านหน้าของม่านตาและเลนซ์ตา มี filtration angle อยู่โดยรอบ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องหน้าม่านตาอยู่ระหว่างด้านหลังของตาดำกับรอยนูนอัน สุดท้ายของม่านตา ส่วนลึกที่สุดของช่องหน้าม่านตาอยู่บริเวณรูม่านตา ซึ่งอาจแตกต่างกันระหว่าง 3-3.6 มิลลิเมตร มุมของช่องหน้าม่านตา (Chamber Angle) อยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างตาดำกับตาขาวกับโคนของม่านตา ถัดออกไปทางด้านข้างตรงส่วนที่ตาดำต่อกับตาขาว ซึ่งเรียกว่า canal of Schlemm -น้ำเอเควียสจากช่องหน้าม่านตา ซึมผ่าน trabecular meshwork เข้าสู่ Schlemm canal เส้นเลือดดำเล็ก ๆ เรียกว่า aqueous vein นำน้ำเอเควียสเข้าสู่ episcleral vein (anterior ciliary veins)

ต้อหินชนิดเฉียบพลัน (Acute angle-closure glaucoma)

    * เกิดเนื่องจากโครงสร้างของลูกตาผิดแปลงไปจากคนปกติ เกิดมากในคนที่สายตามีกระบอกตาสั้น และช่องลูกตาหน้าแคบ เกิดในคนสูงอายุเป็นส่วนมาก เพราะแก้วตาจะหนาขึ้นตามอายุทำให้ช่องลูกตาหน้า ที่แคบอยู่แล้วแคบมากขึ้นไปอีกจึงมีโอกาสเกิดต้อหินมากขึ้น -ภาวะที่มีลูกตาหน้าแคบและตื้น/ มีมุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตา (มุมระหว่างกล้ามเนื้อม่านตากับกระจกตา) แคบกว่าปกติ
    * ภาวะที่มีลูกตาหน้าแคบและตื้น/ ทำให้กล้ามเนื้อม่านตาหดตัว (รูม่านตาขยายตัว) เช่น อยู่ในที่มืดหรือโรงภาพยนต์ มีอารมณ์โกรธ ตกใจเสียใจ
    * ยาหยอดตาที่เข้ากลุ่มยาอะโทรพีน/ ทำให้รูม่านตาขยาย
    * ยาแอนติสปาสโมดิก/ ทำให้มุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตาถูกปิดกั้น น้ำเลี้ยงลูกตาเกิดคั่งอยู่ในลูกตา ทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงขึ้นฉับพลันเป็นผลให้เกิดอาการต้อหินเฉียบพลัน ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้รูม่านตาขยายตัว เช่น อะโทรพีน และกลุ่มยาแอนติสปาสโมดิก

ต้อหินชนิดเรื้อรัง (Chronic open-angle glaucoma)

    * ผู้ป่วยมีช่องลูกตาหน้าและมุมระบายน้ำเลี้ยงตากว้างตามปกติ ท่อชเลมส์ซึ่งเป็นตะเกรงระบายน้ำเลี้ยงลูกตาเกิดการอุดกั้น ซึ่งค่อย ๆ เกิดขึ้นเป็นเวลาแรมปีโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้น้ำเลี้ยงลูกตาคั่ง และความดันในลูกตาสูงขึ้น
    * เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ มักพบว่ามีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย
    * ภาวะแทรกซ้อนของโรคตาอื่น ๆ เช่น ม่านตาอักเสบ ต้อกระจก เนื้องอกในลูกตา เลือดออกในลูกตา ตาถูกกระแทกแรง ๆ เป็นต้น
    * เกิดจากการใช้ยาหยอดตาที่เข้าสเตอรอยด์นาน ๆ ยาสเตอรอยด์ทำให้ความดันในลูกตาสูง คนที่มีความดันในลูกตาสูงอยู่ก่อนแล้ว หากใช้ยานี้ก็จะเกิดโรคต้อหินได้โดยมากจะเกิดอาการหลังหยอดยานาน 6-8 สัปดาห์ หลังหยุดยาความดันในลูกตาจะลดลงสู่ระดับเดิม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยายาหยอดตาที่เข้าสเตอรอยด์นี้ นาน ๆ

อาการ

ต้อหินเฉียบพลัน


    * ผู้ป่วยมักจะมีอาการเพียงข้างเดียว แต่ตาอีกข้างหนึ่งก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินชนิดเฉียบพลันปวดลูกตาและ ศีรษะข้างหนึ่งรุนแรง และฉับพลันรุนแรงและนานเป็นวัน ๆ ร่วมกับอาการตาพร่ามัว มองเห็นแสงสีรุ้ง และคลื่นไส้อาเจียน มีอาการตาแดงเรื่อ ๆ ที่บริเวณ ตาดำมากกว่าบริเวณที่อยู่ห่างจากตาดำออกไป กระจกตา มีลักษณะขุ่นมัวไม่ใสเช่น ปกติ รูม่านตาข้างที่ปวดจะโตกว่าข้างปกติและเมื่อใช้ไฟฉายจะไม่หดลง หากใช้นิ้วกดลูกตา โดยผู้ป่วยมองต่ำ ใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างกดลงบนเปลือกตาบน จะรู้สึกว่าตาข้างที่ปวดมีความแข็งมากกว่าข้างที่ไม่ปวด

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ตาพร่า เห็นแสงสีรุ้งเป็นพัก ๆ นำมาก่อนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งมักจะเป็นตอนหัวค่ำ (เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด) และเป็นอยู่นานครั้งละ 1-2 ชั่วโมง ก็บรรเทาได้เองในรายที่เป็นต้อหินเรื้อรัง ผู้ป่วยมีอาการตามัวลงทีละน้อย ๆ เป็นแรมปี ซึ่งมักจะไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติแต่อย่างไร ในระยะแรก แต่ผู้ป่วยจะมีลานสายตาแคบลงกว่าเดิมมาก ในเวลาต่อมา มีอาการตามัวอย่างมาก อาจมีอาการปวดตาร่วมด้วย ประสาทตาก็มักจะเสียจนแก้ไขไม่ได้

    * ลานสายตาแคบลงกว่าเดิมมาก มองได้อาณาบริเวณไม่กว้าง อาจขับรถลำบาก เพราะมองไม่เห็นรถที่อยู่ทางซ้ายและขวาหรือรถแซงรถสวน หรือเวลาเดินอยู่ในบ้านอาจชนถูกขอบโต๊ะของเตียง ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย อาจรู้สึกอ่านหนังสือแล้วปวดเมื่อยตาเล็กน้อยหรือเพลียตา และตาพร่าเร็วกว่าธรรมดา
    * มักตรวจพบโดยบังเอิญขณะที่ไปตรวจรักษาด้วยโรคอื่น ส่วนใหญ่ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกว่าตามัวลงเรื่อย ๆ ต้องคอยเปลี่ยนแว่นอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่รู้สึกดีขึ้นในระยะสุดท้าย

การรักษา

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน


    * ตรวจตา และวัดความดันลุกตา ซึ่งจะพบว่าสูงกว่าปกติ (ค่าปกติประมาณ 15-20 มิลลิเมตรปรอท)
    * ยาลดความดันในลูกตา เช่น ไดอาม็อก (Diamox) ขนาด 250 มิลลิกรัม 2 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง (ถ้าไม่ได้ผลอาจใช้ชนิดฉีดในขนาด 500 มิลลิกรัมเข้าทางหลอดเลือดดำ) และหยอดตาด้วย ยาหยอดตาไพโลคาร์พีน (Pilocarpine) ชนิด 4% ทุก 15-20 นาทีเพื่อให้รูม่านตาหดตัว (กล้ามเนื้อ ม่านตาคลายตัว)
    * เมื่ออาการดีขึ้นอาจให้ยาห่างขึ้น
    * การผ่าตัด/ ถ้าสามารถทำใน 12-48 ชั่วโมง หลังมีอาการก็จะมีโอกาสหายได้ แต่ถ้าไม่ได้รักษาประสาทตาจะเสียและตาบอดได้ภายใน 2-5 วัน หลังมีอาการ ซึ่งการผ่าตัดปิดท่อระบายน้ำเลี้ยงตาที่ตาข้างที่ปกติให้ด้วย เพราะปล่อยไว้มีโอกาสกลายเป็นต้อหินเฉียบพลันในภายหลังได้

รายที่เป็นเรื้องรัง

    * ต้อหิน/ หากสงสัย เช่นมีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าวหรือมีอาการตามัวลงเรื่อย ๆ จนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ควรตรวจวัดความดันลูกตา และควรให้ยาหยอดตาไพโลคาร์พีน และให้กิน / ไดอาม็อก 1/ 2 - 1 เม็ด วันละ 4 ครั้งเพื่อลดความดันในลูกตาถ้าได้ผลอาจต้องกินยา
    * ตรวจวัดความดันลูกตาไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าไม่ได้ผลมักต้องรักษาด้วยการผ่าตัด -ยาหยอดตาที่เข้าอะโทรพีน หรือ ยาที่ทำให้รูม่านตาขยายตัว/ อาจกระตุ้นให้เกิดอาการต้อหิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีความดันลูกตาสูง (โดยไม่รู้ตัว) อยู่ก่อนแล้ว

นิตยสาร Medical Link ฉบับ 021

http://www.meedee.net/magazine/med/cover/3479
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 10, 2009, 09:52:26 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #63 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2009, 06:19:28 AM »

"ขนมคุ๊กกี้ห่อหนึ่ง..กับการตัดสินคน"...


ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ

เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง
ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น
เธอมองด้วยความโกรธ
แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา

ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....
ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"

ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น

เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ
ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม

ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน

เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง
เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท
เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง

มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย

นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น
หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี
แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
[/b]


" เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?

เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่ "


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 11, 2009, 11:54:17 AM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #64 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2009, 05:37:13 PM »

เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา


ปัญหาคือส่วนหนึ่งของชีวิต เตรียมใจพร้อมต้อนรับมันดีกว่า
 

      "ปัญหา" เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ


      การมองว่า "ปัญหา" เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน" แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร" กลับมาด้วย

      ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน

      ปัญหา สามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบคิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้

      คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ใน การศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่

      เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบเพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คืออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งนั่นเอง

โลก ก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา

      เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด

      ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดีในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่

       จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ"

      ความ ทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง

 

จาก: นิตยสาร Teens & Family
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #65 เมื่อ: ธันวาคม 13, 2009, 08:22:35 AM »









บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #66 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2009, 07:59:06 AM »

ต้นแอปเปื้ล กับ เด็กน้อย

      กาล ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (เพื่อไม่ให้เสีย concept การขึ้นต้นนิทาน)   มีต้นแอปเปื้ลใหญ่อยู่ต้นนึง  และก็มีเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และเล่นรอบๆ ต้นไม้นี้ทุกๆ วัน   เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม่ และก็กินผลแอปเปิ้ล แล้วก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปื้ล   เด็กน้อยรักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

        เวลาผ่านไป..... เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆ ต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว

วันหนึ่งเด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้  เด็กน้อยดูเศร้าๆ

"มาหาฉัน จะมาเล่นกับฉันเหรอ"  ต้นไม้ถาม

"ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆ ต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น"  เด็กน้อยตอบ

"ฉันไม่มีเงินหรอก...เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ  แล้วเอาเงินไปซื้อของเล่น"
ต้นไม้ตอบ

เด็กน้อยเก็บแอปเปิ้ลไปหมดต้น แล้วจากไปไม่กลับมาเล่นกับต้นไม้

ต้นไม้ดูเศร้า......

วันหนึ่งเด็กน้อยกลับมา  เขาดูโตขึ้น    ต้นไม้รู้สึกดีใจตื่นเต้นมากที่ได้เจอ

"มาเล่นกับฉันเหรอ"  ต้นไม้ถาม

"ฉันไม่มีเลามาเล่นหรอก  ฉันมีครอบครัวแล้ว และต้องทำงาน ตอนนี้เราต้องการบ้าน  ช่วยฉันได้ไหม"

"ฉันไม่มีบ้าน  แต่..ตัดกิ่งก้านฉันไปสิ...แล้วเอาไปสร้างบ้าน"

ดังนั้นเด็กน้อยคนนั้นจึงตัดกิ่งก้านทั้งหมดไป และจากไปอย่างมีความสุข

เป็นอีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....

และวันหนึ่งในฤดูร้อน  เด็กน้อยคนเดิมก็กลับมาอีก  ต้นไม้ดีใจมาก

"มาหาฉันเหรอ  มาเล่นกับฉันเหรอ"  ต้นไม้ถาม

"เปล่า  ฉันรู้สึกผิดหวังในชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น  ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"

"ใช้ลำต้นของฉันซิ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือมีความสุข"  ต้นไม้ตอบ


ดังนั้น เด็กน้อยจึงตัดลำต้นไม้ไป เขาล่องเรือไป และไม่กลับมาอีกนาน

จนกระทั่งหลายปีผ่านไป  ในที่สุดเด็กน้อยคนเดิมก็กลับมา

คราวนี้เขาดูแก่มากๆ

"ฉันเสียใจ  ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว  สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย" ต้นไม้พูด

"ฉัน ไม่มีฟันจะกินแล้ว  ฉันปีนไม่ไหว และฉันแก่แล้ว ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"  เด็กน้อยตอบ

 

"งั้นมานั่งลงข้างๆ ฉันสิ....แล้วหลับให้สบาย"


เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ  ยิ้ม... และน้ำตาไหล...

....end......

       นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆ คน  ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่  เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ  เรารักที่จะเล่นกับพ่อแม่... เมื่อเราโตขึ้น  บางคนทอดทิ้งพ่อแม่ให้เดียวดาย และกลับไปหาท่านเมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อมีปัญหา   ไม่ว่าอย่างไร..พ่อและแม่เราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำได้   หว้งเพียงให้เรามีความสุข..

....แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ...เด็กน้อย.....Huh?
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #67 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2009, 01:46:14 PM »

 ปุจฉา
ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว

.วชิรเมธี

 

                  หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว ?จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว? กันมาบ้างแล้ว คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต

                  ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า

                  ?เธอจงระวังความคิด             เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

                  เธอจงระวังการกระทำ            เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย

                  เธอจงระวังนิสัย                    เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก

                  เธอจงระวังบุคลิก                  เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ?


                  ชีวิต ของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี

                  วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก

                  วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ  แต่ พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก

                  คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ  แต่ สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า เพราะหากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม

                  คำด่ามีค่ามากอย่างไร ?

(๑)  คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ

(๒)  คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ

(๓)  คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นหากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่ เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง

(๔)  คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัวเหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระดาษทรายขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง

(๕)  คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลามทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป

(๖)  คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน

(๗)  คำ ด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ

(๘)  คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน  เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน หรือกิเลสกระเทือน  ถ้าธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้

(๙)  คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้ (ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ  นินทา,สุข  ทุกข์)

(๑๐)   คำ ด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อเราปล่อยวางตัวกูได้แล้ว คำด่านั่นเองคือบททดสอบที่ดีที่สุด

 

เพราะคำด่ามีคุณค่ามากกว่าคำชมดังกล่าวมานี้เอง  ทุกครั้งที่ถูกด่า ผู้เขียนก็บอกตัวเองว่า ไม่เลวเหมือนกัน  ได้พบอาจารย์ใหญ่ที่เข้มงวดอีกแล้ว เวลาเจอคำชม ผู้เขียนจะบอกตัวเองว่า ระวังเอาไว้หน่อย โบราณท่านเตือนว่า ?หวานเป็นลม ขมเป็นยา? ถ้าเราไม่หวั่นเกรงต่อคำด่า ไม่เสียท่าต่อคำชม ชีวิตก็สบายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ในทุกวันที่เราต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว เชื่อเหลือเกินว่า เราแต่ละคน คงจาริกอยู่ท่ามกลางคำด่าและคำชมกันทั้งนั้น  หลังอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมคำด่าดู แล้วเราจะพบว่า สิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างคำด่านั้น จริงๆ แล้ว  แฝงเพชรนิลจินดาแห่งสติปัญญาเอาไว้อย่างแวววาวพราวพรายไม่น้อยเลยทีเดียว

http://www.vimuttayalaya.net/DharmaDaily.aspx?id=49&page=9
     
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #68 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2009, 06:01:36 AM »

ทำอย่างไรดี..เมื่ออาการ "ปวดฟัน" ถามหา


                 


โอ๊ย ยย...ปวดฟัน อาการแบบนี้ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครอยากเป็น ไม่ว่าจะปวดเล็กน้อย ปวดจี๊ดขึ้นสมองล้วนแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการดูแลรักษาสุขภาพฟันที่ไม่ดี หรือ ไม่ดีพอแต่เมื่ออาการปวดฟันที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยง (ก็ต้องรับมือกับมันให้ได้) หลาย ๆ คำถามที่มักเกิดขึ้นเมื่ออาการปวดฟันถามหา...เวลาปวดฟัน ต้องไปพบทันตแพทย์ หรือควรใช้ยาอะไร?....

ปวดฟัน เนื่องจากฟันผุ อาการปวดฟันเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยๆ เกิดจากฟันผุ หรือการสึกกร่อนของฟัน หรือที่เรียกกันว่า แมงกินฟัน ซึ่งเกิดรวมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าเป็นติดต่อกันนานๆ ก็ลุกลามกินลึกลงไปในถึงรากฟัน ทำให้เกิดอาการอักเสบและปวดฟันอย่างรุนแรง ในบางรายอาจมีอาการเหงือกบวม เป็นหนอง หรือแก้มโย้บวมได้

ขณะปวดฟัน ควรรักษาอาการปวดฟันให้ทุเลาเสียก่อน เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดฟันมาพบเภสัชกรที่ร้านยา โดยเฉพาะในรายที่มีอาการปวดรุนแรง เภสัชกรบางรายอาจแนะนำให้ไปพบทันตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องฟันได้ ดูแลและแก้ปัญหาปวดฟันให้กับผู้ป่วยทันที แต่เมื่อผู้ป่วยไปพบทันตแพทย์แล้ว ส่วนใหญ่ทันตแพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยได้เข้าใจว่า ในขณะที่มีอาการปวดฟันอย่างรุนแรงนั้น ไม่ควรทำการอุดหรือถอนฟันทันที จะต้องให้ยาบรรเทาอาการเหล่านี้ให้ทุเลาลงก่อน แล้วจึงทำการรักษาดูแลทางทันตกรรมได้

ดังนั้นในขณะที่มีอาการปวดฟัน จึงควรได้รับการรักษาบรรเทาอาการปวดฟันให้เบาบางลงก่อนจึงไปพบทันตแพทย์ เพื่อให้การรักษาทางทันตกรรมต่อไป โดยจะใช้ยาอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ

   1. ยาแก้ปวด
   2. ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย

ยาแก้ปวด ในการใช้แก้ปวดฟัน มีระดับการปวดตั้งแต่ปวดเล็กๆ น้อยๆ จนถึงปวดมากขึ้นๆ จนถึงขั้นปวดรุนแรง รบกวนการดำเนินชีวิตและการทำงานตามปกติได้ ซึ่งการเลือกชนิดของยาแก้ปวดฟันขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ

ในกรณีที่เริ่มต้นปวดเล็กน้อยและไม่รุนแรง อาจ เริ่มต้นด้วยการใช้ยาพาราเซตามอล ในขนาด ๕๐๐ มิลลิกรัม/เม็ด ในผู้ใหญ่ใช้ครั้งละ ๒ เม็ด ทุก ๔-๖ ชั่วโมง เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดฟัน ถ้าอาการดีขึ้นหรือหายเป็นปกติแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้

ในบางครั้ง อาการปวดอาจเป็นรุนแรงมากขึ้น การใช้ยาพาราเซตามอลอาจได้ผลเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้ผลเลย ซึ่งแสดงว่าระดับการปวดฟันมีระดับรุนแรงมากขึ้น ซึ่งควรเปลี่ยนตัวยาจากพาราเซตามอลไปเป็นชนิดอื่นที่ระงับอาการปวดได้ดีกว่า เช่น แอสไพริน กรดมีเฟนนามิก ไอบูโพรเฟน เป็นต้น

นอกจากยาแก้ปวดที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมียาแก้ปวดอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่นซึ่งออกฤทธิ์แก้ปวดฟัน ชนิดรุนแรงหรือปวดมากๆ ยิ่ง ขึ้น แต่ยากลุ่มนี้ไม่มีฤทธิ์ลดไข้แก้ตัวร้อนเหมือนยากลุ่มแรก แต่เนื่อง จากยากลุ่มนี้เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น จึงมีฤทธิ์เสพติดถ้า มีการใช้ติดต่อกันนาน ในทางปฏิบัติจึงควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์หรือทันตแพทย์ในการสั่งจ่าย ยากลุ่มนี้

ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย (หรือแก้อักเสบในความ หมายของประชาชน) ยานี้เป็นยาที่อาจพิจารณาเลือกใช้ในกรณีที่คาดว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ ฟัน หรือในรายที่มีอาการเหงือกบวม เป็นหนองร่วมด้วย ยาที่นิยมใช้ต้านแบคทีเรียทางทันตกรรม คือ อะม็อกซีซิลลิน ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับยารักษาการ ติดเชื้อในลำคอ (แก้เจ็บคอ) ซึ่งในผู้ใหญ่ ควรใช้ในขนาด 500 มิลลิกรัม/แคปซูล ครั้งละ 1 เม็ด (หรือชนิดแคปซูล ขนาด 250 มิลลิกรัม จำนวน2 เม็ด) วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น และควรใช้ติดต่อกัน 5-7 วัน หรือเหงือกหายบวมแล้ว 3 วันเนื่องจากยานี้เป็นยาในกลุ่มเพนิซิลลินที่มีอุบัติ-การณ์ของการแพ้ยาได้ บ่อยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ในการใช้ยานี้จึงควรแน่ใจว่า ผู้ใช้ยาไม่เคยแพ้ยาหรือยาอื่นๆ ในกลุ่มเพนิซิลลินมาก่อน ถ้าผู้ป่วยมีประวัติการแพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน เราจะเลือกใช้ยากลุ่มอื่นที่ได้ผลดีทัดเทียมกัน เช่น อีริโทรไมซิน (erythromycin) หรือ ร็อกซีโทรไมซิน (roxythromycin) เป็นต้น

อีกอย่างหนึ่ง คือ ควร หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ปวดฟันมากขึ้น อย่าง น้ำแข็ง ไอศกรีม ของร้อน ๆ น้ำร้อน ชาร้อน กาแฟร้อน อาหารร้อน อาหารที่มีรสหวานจัด รสเปรี้ยว และลดการกระทบกระแทกกับฟันซี่ที่ปวด

ที่ สำคัญ เมื่อหายปวดฟันแล้วอย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบทันตแพทย์ทันที เพื่อสำรวจจุดบกพร่องและแก้ไขไม่ให้รุกรามใหญ่โต ห่างหายจากอาการปวดฟัน และสุขภาพฟันที่ดีก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม

ที่แน่ ๆควรตรวจสุขภาพฟันทุก ๆ 6 เดือน ฟันแข็งแรง..ยิ้มอย่างมั่นใจ ก็จะคงอยู่กับเราตลอดไป

นิตยสาร Medical Upgrade ฉบับ 020
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #69 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2009, 08:30:35 AM »

  ..เพื่อนนั้นสำคัญไฉน..
 


ผศ.พญ.สุทธิพร เจนณณวาสิน
จิตแพทย์
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

      คุณว่า ?เพื่อน? นั้น สำคัญมั้ย
      เหตุที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพราะเพื่อนมีบทบาทในชีวิตของคนเรามากทีเดียว บางคนยอมตายแทนเพื่อน บ้างก็ให้กำลังใจและให้ยืมเงินเมื่อธุรกิจล้ม เป็นคนที่ฟังเราคร่ำครวญยามอกหัก กอดคอไปไหนไปกัน เที่ยวด้วยกันได้ทุกที่ หรืออาจเป็นคนที่ช่วยเถียงแทนเรา แบ่งขนมให้เรากินในวันที่ลืมขอเงินจากแม่ก็เป็นได้ และอีกหลายสิ่งที่คุณได้จากเพื่อน ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับวัยและสภาพแวดล้อม

เพื่อนแต่ละวัย
      เมื่อยังเด็ก เพื่อนมีประโยชน์หลักคือ เอาไว้เล่นด้วย
      พอเข้าวัยรุ่น เพื่อนเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น จนอาจสำคัญกว่าคนในครอบครัว เพราะการมีเพื่อนหมายถึงว่าเรามีคนยอมรับ ซึ่งแปลได้ต่อว่าเราดีพอ การได้อยู่กลุ่มเพื่อนคนดังจะทำให้วัยรุ่นรู้สึก ?ยืด? เหมือนผู้ใหญ่ที่ขับรถหรูหรือถือกระเป๋าแบรนด์เนม แต่แม้จะไม่ได้อยู่กลุ่มคนดัง การมีกลุ่มเพื่อนก็ยังทำให้รู้สึกมีพรรคพวกที่ชอบสิ่งเดียวกัน ทำอะไรสนุก ๆ แผลง ๆ ด้วยกันได้ เข้าใจเราอย่างที่คนอื่นโดยเฉพาะผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ นอกจากนี้ครูมักให้ทำ รายงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มอยู่เสมอ ฉะนั้นคนในวัยนี้จะรู้สึกกดดันมาก หากไม่มีเพื่อน มิหนำซ้ำวัยรุ่นบางคนไม่สามารถทำอะไรตามลำพังได้ ต้องมีเพื่อนไปด้วยตลอด เช่น กินข้าว เข้าห้องน้ำ จนบางคนถึงขั้นยอมตามเพื่อนทุกอย่างหรือให้เพื่อนเอาเปรียบเพราะกลัวถูกทิ้ง ก็มี
      แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป รูปแบบการคบเพื่อนอาจเปลี่ยน แต่การให้ความสำคัญกับเพื่อนอย่างมากของวัยรุ่นยังคงอยู่ ซึ่ง ผู้ปกครองควรเข้าใจ ไม่ตำหนิว่าไร้สาระ แต่ควรหาโอกาสบอกพวกเขาอย่างสม่ำเสมอว่าการมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่การขาดเพื่อนในบางช่วงก็เป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้ และไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีพอ ที่สำคัญคือบางครั้งเราต้องกล้าปฏิเสธและหาเพื่อนใหม่ ถ้าเพื่อนที่มีอยู่กำลังชักนำเราไปในทางที่ผิด

      ในวัยผู้ใหญ่ เรา ควรจะเลิกยึดติดเพื่อนเหมือนสมัยวัยรุ่น รวมทั้งต้องเปลี่ยนความคาดหวังต่อเพื่อนด้วย เพราะเพื่อนที่เคยไปไหนไปกันได้ทุกเวลา อาจมีภาระการงานหรือครอบครัวมาทำให้ไม่สามารถไปได้ คนที่เคยฟังเราคร่ำครวญเป็นวันอาจต้องตัดบทในครึ่งชั่วโมง กลุ่มก๊วนที่เคยเหนียวแน่นก็มักต้องสลายลง แม้ฟังดูจะน่าเศร้าเสียดาย แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นเพียงกระบวนการธรรมชาติที่ทุกสิ่งย่อมต้องเปลี่ยนแปลง และถ้าเราสามารถปรับตัวตามได้ก็จะมีความสุข เพราะธรรมชาติของวัยผู้ใหญ่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีงานที่มั่นคง สามารถดูแลตัวเองและครอบครัว ซึ่งรวมตั้งแต่คู่สมรส ลูก จนถึงพ่อแม่ที่เริ่มชราลงได้ 
      แม้ว่าในวัยผู้ใหญ่ เพื่อนจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอันดับแรก แต่เพื่อนก็ยังมีความสำคัญในวัยนี้ เพื่อนอาจช่วยเปิดมุมมองใหม่ ให้แง่คิดที่แตกต่าง คำแนะนำในเรื่องงานหรือครอบครัว รวมถึงเป็นตัวเชื่อมไปถึงโอกาสในงานและธุรกิจ นอกเหนือไปจากเดิมที่ร่วมเฮฮา กิน เที่ยว แม้ว่าเราอาจโทรศัพท์คุยกันเพียงเดือนละครั้งจากที่เคยวันละ2ครั้งสมัยวัย รุ่น หรือพบกันเพียงปีละ2-3ครั้ง แต่คุณค่าของมิตรภาพไม่ได้วัดเพียงแค่ปริมาณ คุณภาพต่างหากที่สำคัญกว่า

ประเภทของเพื่อน
      เราอาจอยากได้เพื่อนที่มาหาเราทุกครั้งที่เรียกหาอย่างที่เห็นในละคร โทรทัศน์ หรือเพื่อนตายอย่างที่เห็นในนิยายกำลังภายใน แต่ในชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยาก แล้วถ้าได้เพื่อนกินล่ะไม่แย่หรือ ความจริงแล้วเพื่อนกินไม่ได้แย่เสมอไป เพราะบางครั้งเราก็อาจต้องการมีใครมากินกับเราในยามเหงา หรืออยากได้เพื่อนกินมาร่วมเฮฮาในวันที่เรามีความสุข อย่างไรก็ตามหากคุณคบใครเป็นเพื่อน ลองดูนะคะว่าเพื่อนคุณเข้าข่ายแบบไหน
      1.เพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งมีทั้งเพื่อนที่ร่วมสุข สนุกสนานเฮฮาผ่อนคลายด้วยกัน และเพื่อนที่ร่วมทุกข์ รับฟัง ให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือยามเรามีปัญหา อาจบ่นหรือดุว่ายามเราทำอะไรโง่ ๆ รวมถึงเพื่อนที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา ก็สามารถจัดอยู่ในกลุ่มนี้ถ้าไม่มากจนทำให้เราเดือดร้อน เพราะการที่เรามีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นกำลังใจ คำแนะนำ หรือทรัพย์สิน ทำให้เราภูมิใจในตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจอยู่ในเพื่อนคนเดียวหรือหลาย ๆ คนก็ได้ แต่โดยทั่วไปเพื่อนคนเดียวอาจไม่สามารถเป็นได้ทุกอย่าง
      2.เพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่แย่ลง เช่น เดียวกับเพื่อนกลุ่มแรก ในกลุ่มนี้มีทั้งเพื่อนที่ร่วมสนุกสนาน แต่ต่างกันตรงที่เพื่อนกลุ่มนี้จะทำให้เราสนุกโดยเสียสุขภาพ เงินทอง อิสรภาพ หรือแม้กระทั่งชีวิต เช่น ชักชวนเล่นการพนัน ใช้สารเสพติด ซิ่งรถ หรือทำร้ายผู้อื่น และเพื่อนกลุ่มนี้ก็ยังมีเพื่อนที่ร่วมทุกข์ในทางที่ผิด เช่น ชวนกินเหล้า ชกต่อย วิวาท สาดน้ำกรดเพื่อแก้แค้นหรือทวง ?ศักดิ์ศรี? นอกจากนี้พวกที่หลอกลวง ข่มขู่ เอาเปรียบหรือใช้ประโยชน์จากเราก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
      เราจึงควรทบทวนว่าเพื่อนที่เรามีอยู่จัดอยู่ในกลุ่มไหน เพราะแม้การมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้าต้องมีเพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่แย่ ลง การไม่มีน่าจะดีกว่า และการสลัดเพื่อนที่แย่ ๆ ออกไปก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนดี ๆ ได้เข้ามาคบกับเรา เพื่อนที่ดีควรจะเป็นได้ทั้งผู้ให้และผู้รับ ผู้นำและผู้ตาม นอกจากนี้อย่าลืมที่จะทบทวนดูด้วยว่า เราเองเป็นเพื่อนแบบไหน อย่าหลงลืมนึกว่าเพื่อนเป็นแม่ ลูก ธนาคาร จิตแพทย์ เจ้านาย หรือทาสเรา

      สุด ท้ายอย่าลืมว่าตัวเราเองก็นับเป็นเพื่อนที่เก่าแก่และใช้เวลาอยู่กับเราได้ มากที่สุด ฉะนั้นจริง ๆ แล้วไม่มีเวลาไหนหรอกที่เราไม่มีเพื่อนเลย เพราะตัวเรายังคงเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ และพร้อมจะตามใจเราทุกอย่างอยู่เสมอ

      "ฉะนั้นจึงควรใส่ใจดูแลสุขภาพกายและใจของเพื่อนคนนี้ด้วยนะคะ"


http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=782
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #70 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2009, 09:22:58 AM »

 เถาวัลย์เปรียง

นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่าก รมวิทยาศาสตร์การแพทย์และโรงพยาบาลวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ได้ร่วมกันดำเนินการวิจัยทางคลินิกเพื่อศึกษาประสิทธิผลและผลข้างเคียงของ สารสกัดเถาวัลย์เปรียงในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง จำนวน 70 ราย

โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม : คือผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงแคปซูล ขนาด 200 มิลลิกรัม วันละ3 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
                   :  และผู้ป่วยที่ได้รับยาแผนปัจจุบันไดโคลฟีแนค(Diclofenac)ขนาด 25 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน

ผล การศึกษาพบว่า  : ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมี อาการปวดลดลงอย่างชัดเจนในวันที่ 3 และวันที่ 7 โดยกลุ่มผู้ป่วย ที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงมีเม็ดเลือดขาวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 7 ของการรักษาแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติและไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีรวมทั้ง ผลข้างเคียงใดๆ
     
       ส่วนการศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในการรักษา อาการอักเสบจากข้อเข่าเสื่อมนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมดำเนินการ วิจัยทางคลินิกกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเข้าร่วมโครงการจำนวน 125คนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

                            : คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาแผนปัจจุบันนาโปรเซน(Naproxen) ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 4สัปดาห์
                            : และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 400 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์

ผล การศึกษาพบว่า : ยาแผนปัจจุบันนาโปรเซนและสารสกัดเถาวัลย์เปรียง  มีประสิทธิผลและความปลอดภัยไม่แตกต่างกันและผู้ป่วยที่ได้รับยาทั้ง สองกลุ่มมีความพึงพอใจต่อการรักษาร้อยละ 80     
     

ด้าน นางมาลี บรรจบ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิผลในการเพิ่มภูมิคุ้มกันของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 59 ราย

โดย ให้อาสาสมัครรับประทานแคปซูลสารสกัดเถาวัลย์เปรียง ครั้งละ 1 แคปซูล (200มิลลิกรัม/แคปซูล) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าอาสาสมัครทั้งหมด ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆระหว่างรับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียง

 ส่วน ค่าทางโลหิตวิทยาและค่าทางชีวเคมีบางค่ามีการเปลี่ยนแปลงแต่อยู่ในช่วงของ ค่าปกติและยังพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของปริมาณของ IL-2 และ ?-IFN ในซีรั่มเพิ่มขึ้น 

ดังนั้นการรับ ประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียง ขนาด 400มิลลิกรัม/วัน นาน 2เดือนมีความปลอดภัยและมีส่วนช่วยควบคุมหรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้ม กันของร่างกาย

               "กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสกัดสาระสำคัญและควบคุม คุณภาพให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อให้มีการผลิตเป็นยาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรมทำให้มีการใช้ อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะเพื่อให้โรงพยาบาลต่างๆได้นำไปใช้กับผู้ป่วยในกลุ่ม ผู้สูงอายุผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร. 02951- 0000 ต่อ 99386 และ 99486"นางมาลีกล่าว
 
 
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9520000151675

http://www.db.hitap.net/articles/381
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #71 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2009, 09:47:59 PM »

บทความพิเศษ : จัดของเข้าที่รับปีใหม่ ด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ
   

       
เคยรู้สึกมั้ยว่า ชีวิตของคุณช่างยุ่งเหยิง มีหลายสิ่งที่ต้องรีบทำให้เสร็จ แต่เวลารีบๆ กลับหาของที่ต้องการไม่เจอ ทำให้หัวเสีย หงุดหงิดฉุนเฉียว แถมบางครั้งเสียเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อค้นหาใบแจ้งหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อจะไปชำระเงิน อย่างนี้ไม่ดีกับชีวิตแน่ๆ
       ไหนๆเดือนสุดท้ายของปีก็มาถึงแล้ว ก็น่าจะถือเป็นช่วงเวลาทองในการจัดเก็บข้าวของที่วางระเกะระกะมาทั้งปี ไม่ว่าจะบนโต๊ะทำงาน ห้องครัว มุมห้อง หรือทุกๆที่ที่มีที่ให้วาง!!
       แม้ ว่าการจัดวางข้าวของเครื่องใช้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่แท้จริงแล้ว มันคือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด ที่ทำให้ใจเราสงบ และมีทัศนคติที่ดี ในการใช้ชีวิต เพราะอย่างน้อยการที่ข้าวของเป็นระเบียบ มองไปทางไหนก็สบายอกสบายใจ หาอะไรก็ง่าย ไม่ต้องอารมณ์เสียอีกต่อไป
       
      บางที 5 ขั้นตอนต่อไปนี้ อาจจะช่วยให้คุณจัดเก็บข้าวของที่วางเกลื่อนไว้ได้อย่างง่ายๆโดยไม่ต้องเหนื่อยจนลิ้นห้อย
     
 1. กำหนดวันดีเดย์
       อาจกำหนดเวลา 1 วันเต็ม หรือใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อลุยทำทีเดียวให้จบ แต่บางครั้ง เมื่อทำไปแค่ 2-3 ชม. ก็อาจเหนื่อยล้า ไม่อยากทำต่อ ดังนั้น ลองเปลี่ยนเป็นทำวันละครึ่งชม.โดยไม่หยุดพัก ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ คุณจะประหลาดใจที่เห็นตัวเองเก็บกวาดได้มากขึ้น
       
       2. เคลียร์ทีละจุด
       ข้อผิดพลาดใหญ่ที่มักเกิดขึ้นก็คือ คุณพยายามจัดเก็บทุกอย่างให้เสร็จในคราวเดียวกัน ที่ถูกก็คือ ทำทีละจุดให้เรียบร้อย วิธีนี้จะทำให้คุณมีกำลังใจที่จะเก็บกวาดบริเวณอื่นต่อไป จงเริ่มต้นที่โต๊ะทำงานของคุณก่อน เพราะโต๊ะที่รก จะทำให้คุณไม่อยากนั่งทำงาน โดยในเวลา 1 ชม.นั้น คุณสามารถ
       ? เคลียร์ลิ้นชักทุกชั้น
       - ทิ้งขยะหรือเอกสารที่ไม่ใช้แล้ว เช่น เศษกระดาษ ใบเสร็จเก่าๆ
       - เก็บสิ่งของที่ไม่ได้ใช้มานานกว่า 2 เดือนขึ้นไปใส่กล่อง ไปไว้ในห้องเก็บของ
       - จัดเก็บเอกสารสำคัญเข้าแฟ้ม เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบรับประกัน และใบเสร็จ
       ? เช็ดทำความสะอาดลิ้นชัก ก่อนนำสิ่งของที่ต้องใช้ประจำ เข้าวางอย่างเป็นระเบียบ
       ? เก็บของที่อยู่บนโต๊ะทำงานทุกอย่าง
       - แยกเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม โดยเฉพาะเอกสารที่วางกองอยู่หลายวันแล้ว
       - อย่าปล่อยให้ถาดเอกสารเข้าและออก กลายเป็นที่วางเอกสารปะปนกันไปหมด
       - ตรวจดูปากกาและเครื่องใช้ในสำนักงานอื่นๆ ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ เช่น เปลี่ยนไส้ปากกา หรือใส่ไส้ที่เย็บกระดาษ
       ? ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน
       - ล้างแก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ จานชาม
       - ถ้าเป็นไปได้ จงเก็บสิ่งของเครื่องใช้ในลิ้นชัก เพราะโต๊ะที่โล่ง จะดูน่าทำงานมากกว่าโต๊ะที่วางของเต็มไปหมด
       - มัดเก็บสายคอมพิวเตอร์ สายโทรศัพท์ ให้เป็น ระเบียบ
       นี่ดูเหมือนเป็นต์ยาว แต่ถ้าทำได้เร็ว จะกินเวลาไม่เกิน 30 นาที คุณก็จะได้โต๊ะทำงานที่ดูโล่ง น่านั่งทำงาน
       
      3. เคลียร์จุดอื่นๆ ทุกวัน
       เมื่อคุณเคลียร์โต๊ะทำงานเสร็จแล้ว จงย้ายไปยังจุดอื่น ซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม. ในการจัดเก็บ
       - ตู้และลิ้นชักเก็บเสื้อผ้า แยกเสื้อผ้าที่จะนำไปบริจาค หรือเสื้อผ้าตามฤดูกาล เช่น เสื้อกันหนาว ใส่กล่องไว้ ให้เหลือแต่เสื้อผ้าที่ต้องใช้ประจำวัน
       - ถ้าใต้เตียงมีที่เก็บของ โละของไม่ใช้แล้วให้หมด หรือนำไปเก็บในห้องเก็บของ
       - ตู้และชั้นเก็บของในครัว ทิ้งอาหารแห้งที่หมดอายุ จดว่ามีสิ่งใดขาดและต้องซื้อมาเติม
       - ห้องน้ำ วางเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในการอาบน้ำ ไว้ใกล้ๆ ที่เหลือเก็บเป็นที่ให้เรียบร้อย
       พยายามจัดเก็บข้าวของเข้าที่ทุกวัน แม้ว่าคุณจะไม่มีเวลาจริงๆ แค่ 10 นาที คุณก็สามารถจัดการลิ้นชักรก ให้เป็นระเบียบได้
       
       4. แอคทีฟอยู่เสมอ
       ถ้าคุณเคยชินกับการอยู่ท่ามกลางข้าวของระเกะระกะละก็ คุณอาจต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จงสร้างบรรยากาศที่ทำให้คุณอยากเก็บกวาดบ้าน โดย
       - ให้สมาชิกในครอบครัวมีส่วนร่วม เมื่อมีคนช่วย คุณจะเคลียร์ได้หลายจุด
       - ฟังเพลงไป ทำงานไป ลองเลือกเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ ถ้าคุณต้องการทำให้เสร็จเร็วๆ
       - ชื่นชมผลลัพธ์ที่ได้จากการจัดเก็บทำความสะอาด คุณไม่รู้สึกดีๆหรอกหรือที่ตอนนี้ โต๊ะทำงานดูเป็นระเบียบ และตู้เสื้อผ้าไม่รกรุงรัง มันทำให้ชีวิตประจำวันของคุณสะดวกมากขึ้น เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลาอันมีค่า มานั่งหาของที่คุณวางผิดที่
       - ถ้ายังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากโละของที่นานๆใช้ครั้ง หรือไม่เคยใช้เลยละก็ ลองลงประกาศขายในอินเตอร์เน็ต เพราะของบางอย่างอาจมีประโยชน์สำหรับผู้อื่น และคุณก็ได้เงินด้วย หรืออาจจะเอาไปบริจาคก็ได้บุญเหมือนกัน
       
       5. ทำให้เป็นนิสัย
       เมื่อคุณเคลียร์ข้าวของที่วางเกลื่อนเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ยากหรอกที่จะให้มันคงอยู่อย่างนั้นไปตลอด คือทำให้ เป็นนิสัย เมื่อใช้เสร็จ ต้องเก็บเข้าที่ทุกครั้ง และใช้เวลาเล็กน้อยในแต่ละสัปดาห์ ทำความสะอาดอีกครั้ง
       เพียงแค่นี้ บ้านของคุณก็จะดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมรับกับสิ่งดีๆที่กำลังจะมาถึงในปีใหม่แล้วค่ะ
       
       วิธีเล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้บ้านไม่รก
       1. ใช้เวลาวันละ 15 นาทีทุกวัน เก็บกวาดของเข้าที่
       2. เมื่อเคลียร์ที่ใดที่หนึ่งเรียบร้อย อย่าพยายามนำของชิ้นใหม่เข้ามาเพิ่มอีก
       3. ถ้าต้องนำเข้ามา อาจใช้กฎ ?เข้าหนึ่ง ออกสอง? คือ ถ้านำของใหม่เข้าบ้าน 1 ชิ้น ต้องทิ้งของเก่าออกไป 2 ชิ้น แต่ที่ดีที่สุดคือ ให้สำรวจดูก่อนว่าของที่ต้องการใช้นั้น มีอยู่แล้วหรือยัง
       4. แทนที่จะซื้อหาตู้หรือกล่องใส่ของมาเก็บสมบัติที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งจะทำให้บ้านมีของชิ้นใหญ่เกะกะเพิ่มขึ้น ก็ควรจะบริจาคออกไปให้หน่วยงาน เพื่อนๆ หรือบุคคลที่ต้องการ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า หนังสือ เชื่อว่าคุณจะมีความสุขเมื่อเห็นสิ่งเหล่านั้น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
       5. วางเป็นที่เป็นทาง (โดยเฉพาะกุญแจและเอกสารสำคัญ) จงทำให้เป็นนิสัยในการเก็บของเข้าที่เมื่อใช้งานเสร็จ ตัวอย่างเช่น เมื่อกลับถึงบ้าน นำกุญแจบ้านแขวนไว้ตรงที่แขวนกุญแจให้เรียบร้อย
       6. อย่าซื้อของมาตุนไว้จำนวนมาก เพราะของบางอย่างโดยเฉพาะของกินนั้น มีวันหมดอายุ หรือของใช้ที่ลดราคากระหน่ำ จนตาโต หลงซื้อมา แต่ว่าไม่ใช้เอามาเก็บไว้รกบ้านเปล่าๆ
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 109 ธันวาคม 2552 โดยเบญญา)

บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #72 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2009, 12:33:08 PM »

กล้ามเนื้อหลัง อักเสบ



แนวทางการวินิจฉัย

โดย ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดหลังมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่ร้ายแรง ซึ่งแพทย์สามารถให้การวินิจฉัยจากประวัติ และการตรวจร่างกาย เท่านั้น ก็สามารถให้การรักษาได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพรังสี (เอ๊กซเรย์) กระดูกสันหลัง

แต่ถ้าอาการปวดเป็นมากขึ้น หรือ หลังจากให้การรักษาแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจจำเป็นต้องถ่ายภาพรังสี (เอ๊กซเรย์) ซึ่งการถ่ายภาพรังสีแบบปกติจะเห็นเฉพาะกระดูกเท่านั้น ไม่เห็นเนื้อเยื่อ เช่น กล้ามเนื้อ หรือ หมอนรองกระดูก บางกรณีจึงอาจต้องเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ ( ซีที ) เอ๊กซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) หรือ ฉีดสีเข้าในไขสันหลัง



สาเหตุ

กล้ามเนื้ออักเสบ มักจะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อทำงานหนักมากเกินไปหรือเกิดจากท่าทางของร่าง กายที่ไม่ถูกต้อง เช่น ยกของหนักขึ้นจากพื้นในท่าก้มหลัง ดันของหนัก นั่งก้มหลังทำงานนาน ๆ นั่งขับรถเป็นเวลานาน อ้วนเกินไปหรือ ขาดการออกกำลังกาย มักจะมีอาการปวดเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ แต่ในบางครั้งอาจมีอาการปวดหลังมากขึ้นทันทีก็ได้

กล้ามเนื้อเคล็ด หรือ กล้ามเนื้อฉีกขาด (ซึ่ง ก็จะทำให้เกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อร่วมด้วย) มักเกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หรือ อุบัติเหตุ มักจะเกิดอาการปวดอย่างเฉียบพลัน ทันทีทันใด

เมื่อเกิดกล้ามเนื้อ หลังอักเสบ หรือ กล้ามเนื้อเคล็ด จะมีอาการ ปวดหลัง หลังแข็งเกร็ง ขยับเขยื้อนหลังไม่ได้ อาจมีอาการตัวเอียง หลังคด เดินลำบาก แต่มักจะไม่มีอาการปวดร้าวลงขา ชา หรือ อ่อนแรง (ไม่มีการกดทับเส้นประสาท)



แนวทางการรักษา

ลดน้ำหนัก งดเหล้า งดบุหรี่ ปรับเปลี่ยนท่าทางในการดำเนินชีวิตประจำวันให้เหมาะสม

ควร หยุดพักการใช้หลัง ในขณะที่มีอาการปวดมาก เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือ นอนพักในท่าที่สบาย แต่ไม่ควรนอนพักนานเกินกว่า 2?3 วัน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดพังผืด ทำให้กลายเป็นปวดหลังเรื้อรังได้มากขึ้น และหายช้ากว่าปกติ ยิ่งกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้เร็วเท่าไร อาการปวดหลังก็จะดีขึ้นเร็วเท่านั้น

ประคบบริเวณที่ปวดด้วยน้ำแข็ง หรือน้ำอุ่น โดยใช้น้ำแข็งใส่ในถุงพลาสติกแล้วห่อด้วยผ้า หรือ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ประคบประมาณ 10 - 15 นาที หรือ อาจจะประคบด้วยความร้อน 4 นาที สลับกับความเย็น 1 นาที ก็ได้

อาจใช้ครีมนวดแก้ปวด ร่วมด้วยได้แต่ต้องระวังอย่านวดแรงเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อฟกช้ำมากขึ้น

รับประทานยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ยาแก้ปวดลดอาการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ

ทำ กายภาพบำบัด เพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น ดึงหลัง อบหลังโดยใช้ความร้อนลึก(อัลตร้าซาวน์) หรือ ใส่เฝือกอ่อนพยุงหลัง (เครื่องรัดหลัง) การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง เป็นต้น


อาการปวดหลังที่ควรไปพบแพทย์


- มีอาการปวดรุนแรง ปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รับประทานยาแก้ปวดลดการอักเสบและนอนพัก แล้วอาการไม่ดีขึ้น

- มีการกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการ ชาขา ขาอ่อนแรง ปวดร้าวจากหลังหรือสะโพกลงไปที่ขา โดยเฉพาะถ้ามีอาการกลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ได้ (อุจจาระปัสสาวะราด) ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

- มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีก้อน มีไข้ มีปัสสาวะแสบขัด มีอาการคลื่นไส้อาเจียน



วิธีดูแลตนเอง วิธีบริหาร ..

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=13-06-2008&group=5&gblog=17


บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #73 เมื่อ: ธันวาคม 25, 2009, 05:28:43 PM »

"การจัดการกับอารมณ์โกรธ"


   เรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้งทำร้ายร่างกายทั้งผู้อื่นและตนเอง ไปจนถึงการมุ่งร้ายทำลายชีวิตกันในสังคมทุกวันนี้ มักจะมาจากสภาพอารมณ์ที่เรียกว่า " โทสะ" หรือ " อารมณ์โกรธ " ของมนุษย์เรานั่นเอง ความโกรธเป็นหนึ่งในอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับทุกคน คนธรรมดาเราสามรถรู้สึกได้เมื่อเกิดอารมณ์โกรธ จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะในร่างกายหลายๆ อย่าง เช่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว กล้ามเนื้อตึงเครียด เนื้อตัวสั่น ปั่นป่วนในท้อง ร่างกายเหมือนมีแรงส่งที่สูงขึ้น และพร้อมจะพุ่งพลังออกไป บางคนเปรียบว่า ความโกรธเสมือนหนึ่งเรากำไฟไว้ในมือ คนที่ " เจ้าโทสะ" มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกร้อนไม่อยากอยู่ใกล้

เมื่อมีเรื่องไม่ถูกใจ ความโกรธก็มักเผาลนคำพูดให้เชือดเฉือนผู้อื่น หรือแสดงการกระทำที่ก้าวร้าวรุกราน ทำให้มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะความรู้สึกไม่เป็นมิตร มักขาดความระมัดระวังและตัดสินใจผิดพลาดก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย ความโกรธที่เรื้อรังยังเป็นเหตุของปัญหาสุขภาพอาทิ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระเพาะ และอาการปวดศีรษะเป็นประจำ

สาเหตุของอารมณ์โกรธ ที่พบได้บ่อยได้แก่

    * ความคับข้องใจที่ไม่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ดังใจ
    * ความรำคาญ หงุดหงิด จากสิ่งแวดล้อมต่างๆ
    * ความรู้สึกไม่สะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน
    * การถูกรบกวนความเป็นส่วนตัว
    * ความเสียใจ ความกลัวที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความโกรธ
    * ความผิดหวัง ความรู้สึกว่าตนเองโชคร้าย ประสบเคราะห์กรรมหรือเผชิญความสูญเสีย
    * การถูกคุกคาม รู้สึกถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่น ความอิจฉาริษยาผู้อื่น ฯลฯ

ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็อาจก่อพฤติกรรมรุนแรง โดยความโกรธนั้นอาจพุ่งเข้าหาตนเองด้วย การทำร้ายตนเอง หรือพุ่งไปสู่คนอื่นก็ได้

วิธีหาทางออกให้กับอารมณ์โกรธ

    * ยอมรับว่ากำลังรู้สึกโกรธ พิจารณาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรือละอายที่รู้สึกโกรธ
    * พิจารณาสาเหตุของความโกรธ ที่เกิดขึ้นโดยไม่เข้าข้างหรือตำหนิตนเองเกินเหตุ
    * พยายามเปิดความคิดให้กว้างและยืดหยุ่น
    * ตัดสินใจทำการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์แล้วลองปฎิบัติ

      ขั้นตอนที่ควรใช้เพื่อควบคุมอารมณ์

      ตั้งสติให้มั่นคง ทำใจให้สงบ ระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านก่อนทำความตกลง หรือลงมือทำอะไร เพราะอาจตัดสินใจผิดพลาด หากเจรจาหรือแก้ปัญหาขณะที่กำลังมีอารมณ์ ถามตนเองว่า " กำลังต้องการเอาชนะ " หรือ " ต้องการแก้ปัญหา " ถ้าคำตอบคือ การเอาชนะ ให้หยุดการเจรจาไว้ แล้วหาทางระงับอารมณ์ และความคิดเอาชนะให้ได้ก่อน เพราะไม่มีทางที่คุณจะเอาชนะได้อย่างสันติ

      แสดงความรู้สึกและความต้องการของตนเองด้วยท่าทีไม่ก้าวร้าว ไม่ข่มขู่ หรือละเมิดสิทธิของคนอื่น

      หาทางระบายความโกรธออก ถ้าหากคุณไม่สามารถจัดการกับความโกรธของตนเองได้ อย่าอายที่จะพูดคุยความรู้สึกของคุณกับคนที่ใกล้ชิดและเข้าใจ

      หากทำใจเล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้ อาจใช้วิธีเขียนเรื่องที่คุณโกรธลงบนกระดาษ จะทำให้ความโกรธถูกระบายออกมาบ้าง

      อย่าเก็บความขุ่นมัวโกรธเคืองไว้เงียบๆ ตามลำพัง เพราะจะทำให้คุณเป็นคนเครียดง่าย และมีความอดทนกับเรื่องต่างๆ รอบตัวน้อยลงเรื่อยๆ

      กิจกรรมที่จะช่วยระงับอารมณ์เมื่อคุณโกรธ

      กีฬาที่ได้ออกแรง เช่น ตีแบดมินตัน เทนนิส เตะบอล วิ่ง ว่ายน้ำ และอย่าไปเน้นการแข่งขันกับคนอื่น เพราะจะยิ่งเครียดแทนที่จะสงบลง หาทางให้ได้มีการออกแรงที่อัดแน่นออกไปอย่างเหมาะสม การถอนหญ้า ขุดดิน ปลูกต้นไม้ ซ่อมแซมสิ่งของจะช่วยให้ได้ออกแรงระบายอารมณ์ พร้อมกับได้ผลงานที่น่าชื่นชมขึ้นมาแทน

      ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ที่เหมาะกับตนเอง เช่น นับตัวเลขในใจ กำหนดลมหายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรืออาจสวดมนต์ ท่องคาถาสั้นๆ ที่เป็นการช่วยคุณผ่อนคลายและ " ตั้งสติ "

By: สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #74 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2009, 06:24:07 PM »

น้ำตาเทียม..เลือกใช้อย่างไร/ เอมอร คชเสนี

                 

โดยปกติน้ำตาตามธรรมชาติของคนเราสามารถให้ ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาเพียงพออยู่แล้ว แต่ในบางกรณีที่ทำให้ความชุ่มชื้น ของดวงตาน้อยกว่าปกติ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมเพื่อช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวง ตา
       
       น้ำตาเทียมจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติในการสร้างน้ำตาตาม ธรรมชาติ ทำให้มีน้ำตาน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยบางรายที่ปิดตาได้ไม่สนิท ผู้ที่มีความผิดปกติของเยื่อบุตาหรือกระจกตา ผู้ที่มีอาการตาแห้ง อาจเนื่องมาจากความเครียด ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุ 50% ของผู้ป่วยที่มีตาแห้ง ในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้น้ำตาระเหยง่าย เช่น แสงแดดจัด ร้อนจัด ลมแรง ความชื้นต่ำเช่นในห้องปรับอากาศ หรือมีสิ่งระคายเคืองต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เขม่าควัน การใช้คอนแท็กเลนส์ รวมทั้งการใช้สายตาเป็นเวลานานๆ เช่น อ่านหนังสือหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
       
       น้ำตาเทียมจะช่วยหล่อลื่นดวงตาและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและ เยื่อบุตาขาว เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง ซึ่งจะมีอาการแสบตา เคืองตา รู้สึกว่าตาแห้งฝืด บางครั้งมีขี้ตาเป็นเส้นๆ เมือกๆ ทำให้ลืมตายาก อาการมักเป็นมากในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ หากมีอาการเรื้อรัง ขี้ตาเป็นเมือกติดแน่นที่กระจกตา ทำให้ผิวตาดำไม่เรียบ ติดเชื้อง่าย จะทำให้เกิดแผล หากไม่ได้รับการรักษาที่ดี จะทำให้แผลอักเสบถึงขั้นตาบอดได้
       

       น้ำตาเทียมเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นโดยให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด มีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้
       
       - ส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหนืดเพื่อให้ฉาบอยู่บนกระจกตาได้นานขึ้น แต่หากเป็นน้ำตาเทียมที่มีความหนืดมาก ระยะเวลาที่น้ำตาเทียมฉาบอยู่บนกระจกตานานๆ อาจทำให้มีอาการตามัว มองไม่ชัดหลังหยอดตาในระยะแรก
       
       - สารกันเสีย ช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพอยู่ได้นาน และป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะหยอด ทำให้สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด
       
       - ส่วนผสมที่ช่วยปรับสมดุลขององค์ประกอบอื่นในน้ำตาเทียม ปรับความเป็นกรดด่างให้พอเหมาะ ไม่แสบตาเวลาหยอด และช่วยคงสภาพของน้ำตาเทียม
       
       - ส่วนประกอบอื่นๆ เพื่อให้น้ำตาเทียมมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด เช่น ไกลซีน แมกนีเซียมคลอไรด์ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียมคลอไรด์ โซเดียมบอเรต และซิงค์
       
       น้ำตาเทียม มีอยู่ 2 ประเภท คือ
       
       - น้ำตาเทียมที่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในขวดใหญ่ ประมาณ 3 - 15 ซีซี สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด มีข้อเสียคือสารกันเสียอาจทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองต่อเยื่อบุตา หรือเกิดการปนเปื้อนในกรณีที่เก็บไว้นานๆ
       
       - น้ำตาเทียมที่ไม่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในหลอดเล็กๆ หลอดละ 0.3 - 0.9 ซีซี มีตั้งแต่ 20 - 60 หลอดต่อ 1 กล่อง แต่ละหลอดเมื่อเปิดใช้แล้ว ต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่จะมีราคาสูงกว่า
       
       ปัจจุบันมีการพัฒนาน้ำตาเทียมโดยใช้สารกันเสียที่สามารถสลายตัวได้ เองเมื่อถูกแสงแดด กลายเป็นเกลือที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อเยื่อบุตา
       
       ควรเก็บน้ำตาเทียมไว้ที่อุณหภูมิ 2 - 25 องศาเซลเซียส แต่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน หากเก็บไว้นอกห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำตาเทียม และไม่ควรใช้หลังจากหมดอายุที่ระบุไว้บนกล่อง
   
การเลือกใช้น้ำตาเทียม
       
       การเลือกใช้น้ำตาเทียมนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เป็น ผู้ที่มีอาการตาแห้งธรรมดาโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ สัมผัสกับแสงแดด ลมแรง หรือใช้สายตานานๆ ก็สามารถเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดขวดใหญ่ที่มีสารกันเสียก่อนได้ หรือในบางราย เพียงแค่ปรับสภาพแวดล้อมหรือปรับพฤติกรรมตัวเองให้ดี อาการตาแห้งที่เป็นอยู่ก็อาจดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียม
       
       แต่หากมีอาการตาแห้งรุนแรง ต้องหยอดน้ำตาเทียมมากกว่า 4 ครั้งต่อวันเป็นเวลานานๆ หรือผู้ที่มีโรคของผิวกระจกตา เซลล์ของผิวกระจกตาไม่สมบูรณ์ หรือมีประวัติแพ้สารกันเสีย ก็ควรใช้น้ำตาเทียมหลอดเล็กๆ ชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย
       
       เรา สามารถใช้น้ำตาเทียมได้บ่อยครั้งโดยไม่มีผลแทรกซ้อน ยกเว้นกรณีแพ้สารกันเสีย แต่การใช้น้ำตาเทียมก็ควรพิจารณาถึงความจำเป็นว่ามีปัญหาของน้ำตามากน้อย เพียงใด จะได้ไม่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น และหากมีอาการตาแห้ง ควรไปตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างละเอียด ไม่ควรซื้อน้ำตาเทียมมาใช้เองเป็นเวลานานๆ โดยไม่หาสาเหตุที่แท้จริง
       
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: