Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....  (อ่าน 28865 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #75 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2009, 08:29:33 PM »

บทบาทของการเป็นพ่อ        ผศ.นพ. พนม เกตุมาน (Assist. Prof. PANOM KATUMARN)     
 




นิยามและความหมายของคำว่า"พ่อ"
     
พ่อในแนวความคิดคือ บุคคลที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นที่เคารพ เป็นทั้งผู้อุปการะ รวมถึงคำที่เราจะกล่าวได้ว่า "พ่อคือผู้ให้" ให้แบบอย่าง บางคนก็บอกว่าพ่อเป็นผู้อุปถัมภ์ แต่พ่อจะเป็นมากกว่านั้น พ่อจะคอยสั่งสอนเราตั้งแต่เด็ก ๆ บางทีเราอาจจะไม่รู้ความหมายที่ท่านสั่งสอนเรา แต่พอเราโตขึ้นเราจะรู้ได้ว่าสิ่งที่ท่านสอนเรามาเราควรที่จะปฎิบัติอย่าง ยิ่ง และเราก็ควรทำตาม คำว่า"พ่อ" อาจจะเปรียบเหมือนกับเรือที่นำพาครอบรัวฟันฝ่ามรสุมให้ตลอดรอดฝั่ง พ่อคือ ผู้นำเป็นแบบอย่าง เป็นทุกอย่าง ในทางจิตวิทยาสังคม พ่อจะมีความหมายของบุคคลในการก่อสร้างครอบครัวขึ้นและก่อสร้างให้มีความสุข ได้ทุกคนทั้งพ่อแม่และตัวลูก

หน้าที่ของคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อ หรือได้เป็นพ่อนั่น ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงเหมาะสมกับคำว่าพ่อ
     

 พ่อจริงๆ ก็จะต้องมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ หน้าที่คงจะแบ่งเป็นหลายประการด้วยกัน เช่น หน้าที่ต่อแม่ หน้าที่ต่อลูก ทั้งทางด้านจิตใจร่างกายและสิ่งอื่นๆ อีก โดยทั่วไปพ่อกับแม่ก็ช่วยกันใน

สิ่งที่จะต้องปฏิบัติต่อลูก
     
    จะมีวิธีการอย่างไร ในฐานะที่เป็นผู้นำผู้ที่ปกป้องครอบครัว ที่จะให้ถึงเป้าหมายของแต่ละครอบครัวที่มุ่งหวังไว้
      พ่อต้องปรึกษาหารือกับแม่เพื่อแบ่งหน้าที่กิจกรรมต่างๆ ในครอบครัว ซึ่งอันนี้ก็เป็นบทบาทของพ่อ พ่อเป็นผู้ริเริ่มจัดแบ่งหน้าที่ต่างๆ อันนี้ก็คือหน้าที่ภาระขั้นแรกจริงๆ ก็เริ่มตั้งแต่แต่งงานยังไม่มีลูก สามีภรรยาก็ต้องรู้จักหน้าที่ของกันและกันเอง คือเริ่มมีการวางแผน และการวางแผนแบ่งเป็นหลายด้าน เป็นการแบ่งเวลา การดูแล การทำงาน และการดูแลในเรื่องการเงินว่าจะมี 2 กระเป๋า หรือ 1 กระเป๋า หรือกระเป๋ารวม เป็นผู้นำให้แม่หรือภรรยาดำเนินตามกิจกรรมที่เราตกลงกัน นอกจากนี้พ่อยังมีบทบาทในการเลี้ยงลูกด้วย แม่จะเป็นตัวเอกและจะดูแลในระยะแรกๆ พ่อควรจะต้องดูว่าบทบาทของตัวเองจะไปช่วยเสริมด้วย และเมื่อลูกโตขึ้นพ่อก็จะมีบทบาทมากกว่า แต่ก็ต้องตามวัยและเพศด้วยเหมือนกัน อันนี้ก็ต้องแยกว่าจะต้องใกล้ชิดกับลูกอย่างไรบ้าง
     
หลายๆ ครอบครัว คิดว่าการเลี้ยงลูกนั้นคงจะเป็นหน้าที่ของคุณแม่แต่คุณพ่อก็มีบทบาทที่จะฝึกฝนให้คำอบรมและสั่งสอนเลี้ยงดู
     
จริงๆ แล้วเด็กเขาจะดูและเรียนรู้จากพ่อและแม่ ซึ่งจะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกัน ก็น่าจะพูดคุยกันว่าจะได้เหมือนๆ กันแต่จะแบ่งหน้าที่ไป เพราะหน้าที่บางอย่างแม่จะทำได้เหมาะสมกว่าพ่อ ส่วนบางหน้าที่ พ่ออาจจะทำได้มากกว่าแม่ แต่พ่อและแม่ก็สามารถที่จะช่วยเสริมกันได้ ในบางเวลาที่คุณแม่เหนื่อยก็ได้พ่อช่วย พ่อควรจะมีส่วนช่วยเสริมคือ เรื่องของการมีกฎ ระเบียบวินัย เกณฑ์ กติกา หรือความสนุกสนาน หรือระเบียบให้ทุกคนปฏิบัติตาม

พฤติกรรมของคุณพ่อมีส่วนสำคัญกับลูกอย่างไรบ้าง
     

 เด็กเขาเรียนรู้ตลอดเวลาจากคนที่อยู่ใกล้ชิดและถ่ายทอดเอาแบบอย่างนั้นไปเลย เรื่องที่สำคัญคือ ทัศนคติและค่านิยมต่างๆ ซึ่งเด็กจะเรียนรู้ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นพ่อและแม่เป็นคนอย่างไรคิดอะไรเด็กก็ จะเรียนรู้ชีวิตประจำวันนี้ไปตลอด ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นแกนสำคัญต่อบุคลิกของเด็ก คือเขาโตขึ้นเขาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่เราเลี้ยงเขาขณะที่ยัง เล็กๆ อยู่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างคือ ภาพของคุณพ่อคุณแม่ที่ดำเนินชีวิตครอบครัวไปอย่างมีความสุขก็จะติดตาติดใจไป ถึงตอนนั้นด้วยแล้วก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เขาดำเนนชีวิตด้วย
      บางครอบครัวนั้นเด็กก็จะมีนิสัยพฤติกรรมไปทางแม่ ส่วนบางครอบครัวก็จะไปทางพ่อ นั้นก็ขึ้นกับพฤติกรรมที่เด็กได้จดจำมาจากคนใกล้ชิด
      ฝากไว้นิดหนึ่งสำหรับผู้ที่จ้างเลี้ยงหรืออยู่กับพี่เลี้ยงที่จ้างมา เด็กก็จะแตกต่างไปจากพ่อและแม่บ้าง ซึ่งนั้นเกิดจากเด็กเขาอยู่ใกล้ชิดใครเขาก็จะซึมซับนิสัยมาบ้าง เพราะฉะนั้นต้องมีเวลาเอาใจใส่บ้างและให้ความอบอุ่น อบรมสั่งสอนกับลูกบ้าง

ส่วนใหญ่ลูกเพศชายหรือหญิงที่จะสนิทกับพ่อมากที่สุด
     

ตามธรรมชาติลูกผู้หญิงจะสนิทกับคุณพ่อมากในช่วงแรกๆ หมายถึง 3-6 ปีแรกของชีวิตเด็กผู้หญิงจะใกล้ชิดกับคุณพ่อโดยธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กผู้ชายก็จะไปสนิทกับคุณแม่ แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าอนุบาลเด็กก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าเขาเป็นเพศใด และก็จะเริ่มถ่ายทอดแบบอย่างจากเพศเดียวกัน หมายถึงเด็กผู้หญิงก็จะเริ่มเปลี่ยนจากสนิทกับพ่อก็มาเป็นคุณแม่ ส่วนเด็กผู้ชายก็จะกลับไปสนิทกับคุณพ่อแทนเพื่อจะถ่ายทอดแบบอย่าง และการถ่ายทอดก็สำคัญเพราะจะทำให้เขามีเอกลักษณ์ทางเพศถูกต้อง พฤติกรรมทางเพศ บทบาททางเพศเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศตอนเขาโตขึ้นมา และคุณพ่อก็ต้องมีเวลามากๆ ให้กับลูก แม่ควรมีเวลาให้กับลูกผู้หญิง พ่อก็ควรมีเวลาให้กับลูกผู้ชาย
     
 คำแนะนำสำหรับคุณพ่อทุกๆ คนว่าการที่จะเป็นผู้นำสร้างครอบครัวของแต่ละท่านให้อบอุ่นนั้นเราจะมีวิธีปฎิบัติอย่างไร
   

  หัวใจที่สำคัญที่สุดเลยคือ ความสัมพันธ์ที่ดีสำหรับพ่อและแม่ ถ้าพ่อกับแม่ความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันมีปัญหากัน โอกาสที่จะเผื่อแผ่ให้ความรักความอบอุ่นนั้นก็จะมีน้อย ฉะนั้นพ่อแม่จะต้องมีพื้นฐานที่ดีก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรก็หาทางแก้ไขคลี่คลายเข้าใจกันให้มากที่สุด แต่พ่อต้องรู้หน้าที่บทบาทว่าจะทำอย่างไร ช่วยเสริมการดูแลในส่วนของ อาหาร การกินอยู่หลับนอน และระเบียบ แต่ทุกๆ เรื่องพ่อและแม่สามารถที่จะช่วยกันได้ในการดูแลลูก

 http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=279
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
Neung99k
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



« ตอบ #76 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2009, 12:22:36 PM »

ปีใหม่นี้ขอให้คุณมดแดงและครอบครัวประสบแต่ความสุขและสมหวังร่ำรวย ๆ นะครับ Grin
บันทึกการเข้า

http://www.smart90days.com/neung999kk/  ธุรกิจท่องเที่ยวรับเงินแสน
http://www.azpaypoint.com/chitdech  รายจ่ายจะกลับมาเป็นรายได้
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #77 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2009, 08:33:39 PM »

                           
ส.ค.ส พระราชทานค่ะ

             วันที่ 29 ธันวาคม 2552 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่ 2553 พร้อมลายพระหัตถ์คำอำนวยพรว่า "ส.ค.ส.2553 ปีขาล ถึงปีขาลเสือตัวใหญ่แต่ไม่ดุ มันกินจุทั้งข้าวปลามังสาหาร เกิดดินดำน้ำชุ่มชลประทาน ล้วนเบิกบานมีกินใช้ไปด้วยกัน ต้องทำงานเหนื่อยหน่อยไม่ถอยหนี ก็จะมีโชคช่วยอำนวยขวัญ อย่ากลัวเสือตัวนี้มันดีดีครัน ดีทุกวันทุกเดือนเหมือนคิดเอย" ตอนท้ายลงพระนามาภิไธย สิรินธร
       
             สำหรับ ส.ค.ส.พระราชทานนี้พิมพ์บนการ์ด 2 สี คือ สีชมพูอมเนื้อ และสีฟ้า มีจำหน่ายที่ร้านภูฟ้า ส่วนด้านหน้าเป็นภาพวาดฝีพระหัตรูปเสือและค้างคาว
       
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #78 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2009, 10:50:07 PM »

สำหรับทุกๆท่านค่ะ
     


เนื่องดิถี วาระดี ขึ้นปีใหม่
อวยพรให้ ใจผ่องแผ้ว ดังแก้วกล้า
ให้สิ่งดี ศิริศรี เยือนทุกครา
ชื่นชีวา ประสบสุข ทุกยามยล


คิดหวังหวาน ให้แช่มชื่น ระรื่นสุข
ครั้งเคยทุกข์ จงมลาย กลายสดชื่น
เริ่มการใหม่ ให้สำเร็จ อย่างยั่งยืน
ทุกวันคืน เป็นที่รัก ยิ่งทุกคน


คำเคยท้อ ในปีนี้ ไม่มีแล้ว
คำกล้าแกล้ว มอบให้ ไว้ยึดมั่น
ทำสิ่งดี ได้ดีตอบ รับชอบพลัน
ทำสิ่งฝัน ให้มีวัน สำเร็จจริง


ให้สุขล้ำ ล้นเผื่อแผ่ ผู้ยากไร้
ให้สดใส มีน้ำใจ รู้ช่วยเหลือ
ให้สมหวัง สำเร็จดี มีจุนเจือ
ให้มีเหลือ ไว้แบ่งเบา คราวลำเค็ญ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 2010, 07:44:42 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #79 เมื่อ: มกราคม 01, 2010, 08:07:10 PM »

                   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส.ปีพุทธศักราช 2553 แก่ประชาชนชาวไทย
.

                           
    
   ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ในปีพุทธศักราช 2553 นี้ เป็นฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์แจ็กเกตสีชมพูเข้ม ปักรูปคุณทองแดงที่ด้านซ้ายของพระอุระ ทับฉลองพระองค์ชั้นในสีขาว พระสนับเพลาสีกากี ฉลองพระบาทกีฬาสีเทาดำ ประทับบนเก้าอี้หวาย ที่ตั้งอยู่กลางสนามหญ้าและสวนดอกไม้ ทรงฉายกับคุณทองแดงและคุณทองหลาง สุนัขทรงเลี้ยง ที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างพระเก้าอี้ทั้งสองด้าน ใต้ภาพคุณทองแดงและคุณทองหลางมีชื่อกำกับอยู่ทั้งสองสุนัข
      
       มุมด้านบนซ้ายมีตราพระมหาชัยพิชัยมงกุฎ และตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า ส.ค.ส. ๒๕๕๓ (สอ คอ สอ สองพันห้าร้อยห้าสิบสาม) ส่วนมุมบนด้านขวามีตราผอบทอง ถัดเข้ามามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2010 (แฮปปี้ นิวเยียร์ ทูเทาว์ซันต์แอนด์เท็น)
      
       ด้านล่าง ส.ค.ส.มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสีชมพู ระบุวันเดือนปีว่า 2009 12 27 / 15:25 (สองพันเก้า สิบสองยี่สิบเจ็ด / สิบห้า ยี่สิบห้า)
      
       กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละสองแถว ด้านข้าง ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันละ 3 แถว นับรวมกันได้ 418 หน้า ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
      
       บนกรอบ ส.ค.ส. ด้านล่างมีแถบสีชมพู บนแถบมีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 152527 ธ.ค. 52 (กอ สอ เก้า สิบห้า ยี่สิบเจ็ด ทอ คอ ห้าสอง) พิมพ์ที่โรงพิมพ์ สุวรรณชาด ท.พรหมบุรษ. ผู้พิมพ์โฆษณา) Printed at the Suvarnnachad publishing , D Bramapulra , Publisher
       (พริ้นเทด แอ้ท เดอะ สุวรรณชาด พับบลิชชิ่ง ดี. พรหมบุตร.พัลลิชเชอร์)
  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 01, 2010, 08:27:31 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #80 เมื่อ: มกราคม 01, 2010, 08:31:53 PM »

                             New Year Card 2010  from His Majesty the King


                     
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #81 เมื่อ: มกราคม 02, 2010, 07:59:22 PM »


      "100 คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด"

      ในระยะนี้มีข่าวคราวที่เกี่ยวกับเยาวชนไม่เว้นแต่ละวัน และที่มีอยู่เสมอเป็นระยะคือข่าวนักเรียนนักเลง ที่ตีกันจนมีนักเรียนต้องมาเสียชีวิตไป 1 รายจากการทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้ นอกนั้นก็ยังมีข่าวเด็กนักเรียนชั้น ป3-ป6 ทำการสัก เรียนแบบภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่ง
ผมไม่ทราบว่าสมัยนี้ สถาบันครอบครัว ซึ่งเสมือนสถาบันหลักของทุกคน ค่อนข้างอ่อนแอสวนทางกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ คนในครอบครัวได้พูดคุยกันมากน้อยเพียงไร? หรือที่พูดนั้นมีความจริงใจแค่ไหน อาจจะมีแต่เพียงคำโกหกหลอกลวงกันที่ได้ถูกนำมาพูดให้กันฟังหรือมีเพียงความ เงียบและการหลบหน้ากันเพราะคนพูดไม่อยากจะพูดในขณะที่คนฟังก็ไม่อยากจะฟัง

     ผมอยากจะบอกว่าคนเราที่เรียกว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงมีอารยธรรมก็ตรงที่มีภาษา พูด ภาษาเขียน แต่หากไม่ได้ใช้ภาษาไม่ว่าจะพูดหรือเขียนกันแล้วคนเราจะอยู่ด้วยกันด้วย ความเข้าใจกันได้อย่างไร? หรือหากพูดโดยใช้อารมณ์มากว่าเหตุผล การพูดก็ไรประโยชน์ และที่แย่กว่านั้นก็คือ คนพูดเอาแต่พูดแต่คนฟังไม่อยากจะฝังเพราะเบื่อที่จะฟัง หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในครอบครัวแล้ว อนาคตครอบครัวจะเป็นเช่นไร?

     ผมได้ เคยได้อ่านบทความเรื่อง 100 คำพูดที่พ่อแม่ควรพูด และที่ลูกไม่อยากฟัง จึงอยากจะเอามาให้ได้อ่านกัน โดยหวังเพียงให้การพูดคุยกันในระหว่างครอบครัวได้เป็นไปด้วยดี เรียกว่าคนพูดรู้วิธีพูดคนฟังก็อยากจะฝัง อะไรๆก็คงจะดีขึ้นครับ

งาน วิจัยนี้เป็นของรศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ และคณะจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานศึกษาชิ้นนี้บอกทางออกสำหรับการแก้ปัญหา ของครอบครัวอย่างหนึ่ง ซึ่งยุคนี้พ่อแม่ลูกมักคุยกันไม่รู้เรื่อง ด้วยมีปัญหาในการ "สื่อสาร" ให้เข้าใจ มันกลายเป็นว่ามีช่องว่างของวัย และอคติของความรู้ และไม่รู้แฝงอยู่ ทำให้เด็กรุ่นนี้ไม่ค่อยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ยุคปัจจุบัน และพ่อแม่ก็ไม่สามารถเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของเด็กในยุคนี้ เรียกว่าไปด้วยกันไม่ได้ และผลที่ปรากฎออกมาพบว่า เด็ก เยาวชนที่มีปัญหานั้น ล้วนเป็นปัญหาสังคมที่มีแนวโน้มความเข้มข้นที่รุนแรงขึ้น

ดัง นั้น เพื่อเป็นวิธีป้องกันปัญหาสังคมด้วยการสร้างสายสัมพันธ์อันดีให้ครอบครัวและ สังคม ดร.สมพงษ์ จิตระดับ-พร้อมคณะ ก็ได้สำรวจความคิดเห็นของวัยรุ่นว่า เขาอยากฟังอะไรจากพ่อแม่บ้าง

100 คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด 3 อันดับแรกสูงสุดที่เด็กๆ อยากได้ยิน เริ่มตั้งแต่?

      1. พูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ อ่อนหวานน่าฟัง
      2. พูดให้กำลังใจ, ไม่เป็นไรทำใหม่ได้ และ
      3. ให้คำปรึกษาหารือ เช่น ปรึกษาพ่อแม่ได้นะลูก ทำดีแล้วลูก ดีมากจ้ะ


นอกจากนั้นเป็นการแบ่งให้เห็นประเภทกลุ่มคำ

ความสัมพันธ์ในครอบครัว

ยอม รับในสิ่งที่เราเป็น, ให้ความรัก, พ่อแม่ดีใจที่หนูเป็นลูก, ดูแลตัวเองดีๆนะ, มีอะไรให้แม่ช่วยไหม, จำไว้ว่าพ่อเป็นห่วง, รักและหวังดี

การให้กำลังใจชมเชย

พูด ในสิ่งที่ดีกับตัวเรา, หนักแน่น มันจะช่วยให้เข้มแข็งในเวลาที่อ่อนแอ, พยายามเรียนอย่างเต็มที่, ไม่เป็นไรยินดีช่วยเสมอ, ลูกเล่นกีฬาเก่งมาก, ดูแลน้องให้ดี ไม่รังแกน้อง, สู้ต่อไป, จงทำดีเถิด, ค่อยเป็นค่อยไปทำดีที่สุด, ไม่ผิดหรอก, แก้ไขได้, ดีใจด้วย, เรียนเก่งๆนะ, ไม่ดีไม่เป็นไรเริ่มใหม่, อย่าท้อ, เราช่วยกันแก้ปัญหาได้, เวลาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น, ทำสิ่งที่อยากทำก่อนถูกผิดไม่เป็นไร ลองทำก่อน, ทำอะไรก็ขอให้สำเร็จ, ลูกสาวพ่อไม่ใช่คนโง่ย่อมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร, เก่งมากลูก, เก่งจริง, มีพรสวรรค์จริงๆ, คนเก่งไม่ต้องไปกลัว กลัวคนขยันเข้าไว้, แค่นี้ก็ดีแล้ว, คะแนนมากน้อยไม่สำคัญขอแค่อย่าตกก็พอแล้ว

การอบรมสั่งสอน

อย่า เพิ่งกลับนะมันดึกแล้ว, ไม่เป็นเด็กขโมย, ไม่ไปมั่วสุมยาเสพติด, บอกอะไรควรเชื่อฟัง, ไปไหนระวังตัวด้วยนะลูก, วันนี้รีบกลับนะ, ผิดเป็นครู, ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว, ช่วยทำงานเสร็จแล้วค่อยไปเล่น, พ่อและแม่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ขยันเข้าไว้นะ, ที่พ่อแม่ทำโทษเพราะรักลูกนะ อยากทำให้คิด ไม่อยากทำให้โกรธ ไม่ใช่ไม่รัก, ไหนลองยกเหตุผลมาซิ, ตั้งใจเรียนให้เก่ง อย่ามัวแต่เล่นเดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน, เพื่ออนาคตลูกต้องตั้งใจเรียน, ลำบากก่อนสบายทีหลัง, การทำสิ่งใดต้องรู้คุณค่าของคน คือความกตัญญู, พ่อแม่ลำบากเพื่อลูก, ลูกต้องลบคำดูถูกของคนทางบ้านเราให้ได้, เพื่อแบบนี้ต้องมีมั่ง อย่าทำอย่างเขาแล้วกัน

การแก้ปัญหา การให้คำปรึกษา

มี อะไรคุยกันได้ทุกเมื่อ, เงินทองของนอกกายแต่เก็บไว้บ้างก็ดีนะ, ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจอย่างไร พ่อแม่หาทางช่วยเหลือหาทางออกให้, ใจเย็นๆทุกอย่างมีทางแก้

การถามถึงสารทุกข์
ชวน มากินข้าว, ไปไหนมาลูก, อยากกินอะไรไหม, ทำข้อสอบได้ไหม, ที่ไปเอ็นทรานซ์มาน่ะ ไม่ต้องเครียด, การบ้านทำเสร็จหรือยังลูก ทำให้เสร็จจะได้พัก, ทำไมเหรอ (พ่อ/แม่) อะไร ยังไงคะ

การแจ้งให้ทราบ
แม่ ซื้อของมาฝาก, แม่จะไปธุระข้างนอก, เดี๋ยวแม่พาไปเที่ยว, พ่อจะเก็บเงินที่ไหนมาไว้ให้, พ่อจะพาพวกเรากลับบ้าน, วันนี้พ่อจะไม่กินเหล้าและเลิก, พ่อจะไปทำงาน (พ่อมีงานทำ), จะพาไปหาหมอ, จะพาไปโรงเรียน, จะหางานทำให้, จะพาไปต่อบัตรประชาชน, จะพาไปเข้าค่าย, ช่วยแม่ทำงานนี้หน่อยสิจ๊ะ

ลักษณะการพูดที่ดี
พูด เป็นกันเองไม่ถือตัว, ไม่พูดเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่, เป็นผู้อ่อนน้อม, ไม่ตี ,พูดจริงทำจริง, สั้นๆง่ายๆได้ใจความ, คำพูดที่เข้าใจเราให้ความรู้สึกที่ดี, คำพูดที่ยอมรับไม่ซ้ำเติม, แม่พูดจาดีกับเด็ก, ตั้งใจสนทนา, รับฟังทุกเรื่องราว, ไม่ทำให้หงุดหงิด, ทำให้ความคิดไม่ถูกปิดกั้น, คำพูดมีสาระเนื้อน่าฟัง, ฟังความคิดผู้อื่น, การพูดที่ไม่โต้แย้งกัน, ลงท้ายคำพูด คะ ขา ข่ะ ออ?จ๋า

ผมขอฝากคำพูดที่น่าฟังเหล่านี้ไปถึงคุณพ่อ-แม่ทุกคนพูดกับลูกหลาน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ครอบครัวของทุกๆคน นะครับ

คำพูดที่ลูกไม่อยากฟังจากพ่อแม่........

   เมื่อได้พูดถึงคำพูดที่น่าฟังแล้วและเพื่อสร้างความตระหนักแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งหลายว่า คำพูด หรือการสื่อสารในสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก่อน มีผลต่อผู้ฟังอย่างมาก
โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยที่แข็งกร้าว ชอบการท้าทาย ซึ่ง ดร.สมพงษ์กล่าวว่า คนเป็นพ่อแม่นั้นอย่าใช้คำว่า "ห้าม" กับลูกวัยรุ่น เพราะผลการศึกษา
เราพบเด็กสารภาพว่า ถ้าการขออนุญาตกระทำสิ่งใดแล้ว พ่อแม่ห้าม เขาจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะอยากท้าทาย และอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
ดังนั้น พ่อแม่ยุคนี้จึงต้องฟังลูกให้มาก บ่นให้น้อยลง อยู่กับเขาอย่างใจเย็น พูดคุยด้วยการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม

    เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่า คำพูดรุนแรง ที่จะสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับลูก 3 อันดับแรกคือ พูดคำหยาบ คำไม่สุภาพ ตามมาด้วย การด่าทอ พูดเสียงดังโหวกเหวก พูดจาทานดัน ไม่ยอมรับฟังเหตุผล เมื่อจำแยกเป็นประเภท จะได้ดังนี้


ลักษณะคำพูดที่รุนแรง
พูด บ่อยเกินไปซ้ำๆ ไม่มีสาระ, พูดมะนาวไม่มีน้ำ, รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็ก, ไม่มีความเกรงใจ, ผลาญเงินเท่าไรผลาญไปเลย, ไม่รู้ว่าลับหลังเรามันจะขนาดไหน, อยู่เฉยๆไม่ตอบไม่พูดไม่จา, น้ำเสียงน่ากลัว, คะแนนห่วยแตก, คำพูดที่ทำให้ผู้อื่นเสียใจ

พูดดุด่า ด้วยอารมณ์ที่รุนแรง
โต เป็นควาย หมาเลียตูดไม่ถึง ยังทำแบบนี้อีก, ไม่ได้เรื่อง, มีปัญหากับกูรึเปล่า, โง่อวดฉลาด, ลูกนอกคอก, เถียงคำไม่ตกฟาก, กลับดึกดื่น ค่ำมืด, เลี้ยงเสียข้าวสุก, เกิดมาทำไมเรื่องมาก วุ่นวาย, ฉันยังเป็นแม่แกอยู่นะ

พูดตักเตือน ว่ากล่าว
อะไร เนี่ย อะไรถึงเป็นแบบนี้, หยุดพูดได้แล้ว, ว่ากล่าวตักเตือน, คำสั่งงานต่างๆ, เป็นลูกผู้หญิงไม่เคยช่วยงานพ่อแม่เลย, อย่าเสียมารยาทสิ, คุยอะไร โทรศัพท์บอกให้วาง, ทำไมไม่ระมัดระวังเลย ซุ่มซ่าม

พูดห้าม ออกคำสั่ง
อย่า เพิ่งมากวน, นี่อย่าส่งเสียงดังได้ไหม, ขอออกไปข้างนอกบ้าน แต่พ่อแม่ปฏิเสธ "ไม่ต้องไป", จะไปหรือไม่ไป, เป็นเด็กเป็นเล็ก เรื่องผู้ใหญ่อย่ายุ่ง, อย่าทำอย่างนั้นสิ, อย่าออกไปไหนนะ, อย่าทำอีก

คำพูดขับไสไล่ส่ง
เอา เงินกับเพื่อนแกโน่น, ตัดลูกตัดแม่กันไปเลย, เดี๋ยวตัดหางปล่อยวัด คำพูดดูถูกประณาม เหยียดหยาม สอนอะไรไม่จำ พูดจนปากเปียกปากแฉะ, ฉันจะดูว่าน้ำหน้าอย่างแกจะไปรอดไหม

พูดประชดประชัน
ให้แต่เพื่อน, จะเอาเพื่อนมาเป็นพ่อแม่

ลักษณะคำพูดอื่นๆ
อยากอยู่ใกล้ๆเพื่อน, อยากอยู่คนเดียว,พอเราแก่ลงลูกคงไม่เลี้ยงดูเราหรอก

คำพูดหลักๆข้างต้นเมื่อพูดไปแล้วส่งผลต่อจิตใจ กระทบความรู้สึกกับผู้ฟัง โดยเฉพาะคนเป็นลูกที่พ่อแม่ควรระวังอย่างยิ่ง

By: จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน 17/3/46 คอลัมน์ โลกวัยใส
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #82 เมื่อ: มกราคม 04, 2010, 08:07:02 AM »

@ เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา @


รายงานโดย :หนูดี - วนิษา เรซ:

บทความดีๆนำมาฝากจาก http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=32148


   รู้ไหมคะว่า เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา

เป็นที่ยอมรับว่า ฮอร์โมนชนิดต่างๆ ที่หลั่งออกมาในสมอง มีผลโดยตรงกับพฤติกรรมของเรา และเราฝึกพฤติกรรมใดบ่อย...

สิ่งนั้นก็สะสมเป็นนิสัย ถ้าเราอยากมีสมองดี เราก็ฝึกพฤติกรรมดีๆ จนติดเป็นนิสัยดีๆ ก็จะช่วยดูแลสมองของเรา...

เทคนิคการดูแลสมองมีง่ายๆ เท่านี้เอง


     นักวิจัยทางสมองก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า ฮอร์โมน ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น คอร์ติซอล เมื่อหลั่งออกมาบ่อยๆ เป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานแล้ว มีผลทำให้เซลล์และเส้นใยสมองถูกทำลายจนเสื่อมคุณภาพ และยิ่งเกิดขึ้นยาวนานเท่าไร การทำลายล้างก็กินวงกว้างและมีผลถาวรมากขึ้นเท่านั้น และที่ควรกังวลก็คือ ส่วนของเซลล์สมองที่ถูกพุ่งเป้าไปทำร้ายโดยฮอร์โมนนี้ มีส่วนของ ?ฮิปโปแคมพัส? อยู่ด้วย


    ทำไมเราต้องกังวลกับฮิปโปแคมพัสกันด้วยเล่า...

ตอบได้แบบง่ายๆ เลยก็คือ ส่วนนี้ของสมองเป็น ?เครื่องบันทึกความจำ? ของเราค่ะ

ฮิปโปแคมพัสทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้ในระหว่างวันลงสู่ ?ความทรงจำระยะยาว? ให้เราในเวลาที่เรานอนหลับ

ดัง นั้น หาก เซลล์ในนี้ถูกทำลาย ก็หมายได้เลยว่าเราจะเป็นคนจำไม่แม่น เลอะๆ เลือนๆ ลืมนั่น ลืมนี่ เรียนอะไรก็จำไม่ค่อยได้ หรือได้หน้าลืมหลัง

ถ้าทำงานก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ทำกุญแจรถหายเป็นประจำ และอีกสารพัดเรื่องน่าอึดอัดขัดใจที่เป็นคุณสมบัติประจำตัวของ ?คนความจำไม่ดี?

ใครๆ ก็อยากเป็นคนจำเก่ง จำแม่น เรียนอะไรฟังอะไรครั้งเดียวก็จำได้...

และไม่แปลกที่เด็กเรียนเก่ง และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนมีความจำดีเลิศทีเดียว...

เรื่องการฝึกความจำนั้น เป็นเรื่องที่เราทำได้ และสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ

ด้วยการเห็นภัยของการมีความทุกข์สะสม ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน

เห็นภัยของการกอดทุกข์ ภัยของความเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมให้อภัยใคร

เรามักคิดว่า ?ถ้าเราให้อภัยเขาง่ายๆ เขาก็ไม่ต้องชดใช้ความผิดสิ?

แต่ขอให้มองในมุมกลับกันว่า...

ยิ่งเราคิดแค้นเขานานเท่าไร เท่ากับเราไปสร้างโรงงานปล่อยสารพิษ (สารคอร์ติซอล) ออกมาในสมองเรื่อยๆ เพื่อทำลายสมองของตัวเอง...

ส่วนอีกคนที่เราโกรธนอนสบายอยู่ที่ไหนไม่รู้ มีแต่เราที่นอนปล่อยสารเคมีพิษออกมาทำลายเซลล์สมองอันมีค่าไป ทีละเซลล์ ทีละเซลล์



   ดังนั้น การให้อภัยจึงไม่ใช่เรื่องของการ ?ทำดีให้คนอื่น? แต่เป็นการเมตตาสมองก้อนน้อยๆ ของเราเต็มๆ ด้วยการรู้เท่าทันกระบวนการหลั่งสารเคมีตามธรรมชาติของสมอง

และไม่ยอมให้ใครในโลกมาเป็นเหตุให้เราทำลายสมอง ที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา

เพราะ ?ทุกครั้งที่เรายอมให้ทุกข์เกาะกินใจ นั่นคือเราให้ใบอนุญาตร่างกายให้ทำลายสมองทุกๆ นาที?


          แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ความเครียดและความทุกข์ในระยะสั้นๆอาจให้ผลตรงกันข้ามเลยทีเดียว คือ....

ยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีด้วยซ้ำ เช่น ความเครียดอ่อนๆ ในระยะก่อนสอบ ยิ่งทำให้เราอ่านหนังสือได้ดีขึ้น จำได้แม่นขึ้น

เพราะสารเคมีที่หลั่งออกมาสำหรับความเครียดในระยะสั้นนั้น ชื่อว่า ?อะดรีนาลิน? ซึ่งเป็นคนละตัวกับฮอร์โมนความเครียดระยะยาว

แม้ ?อะดรีนาลิน? จะไม่ใช่สารบำรุง แต่ในระยะสั้นก็ช่วยกระตุ้นให้เราทำงานได้เสร็จเร็วขึ้นทันเวลาเส้นตายนะคะ ไม่ดีแต่ก็ไม่ร้าย...มีใช้ชั่วคราวเวลาฉุกเฉินได้ค่ะ

เมื่อความทุกข์ทำให้เราฉลาดน้อยลง แต่เมื่อความสุขบำรุงสมอง...ก็ทำให้เราฉลาดขึ้น



อีกด้านหนึ่งของเหรียญอารมณ์ คือ ความสุข ก็สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงให้เราฉลาดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

คนที่มีความสุขมากๆ นอกจากหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณดี ดวงตาใสแจ๋วแล้ว...

ลึกเข้าไปในสมองของเขา หากเรามีตาทิพย์เห็นได้เหมือนเครื่องสแกนสมองของโรงพยาบาล

เราก็จะเห็นว่าภายในนั้นกำลังมีสารเคมีดีๆ หลั่งออกมาบำรุงสมองอยู่เป็นจำนวนมาก

โครงสร้างของเส้นใยสมองก็วางรูปแบบทางเดินใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เรา ?อารมณ์ดี?

ยิ่งเราอารมณ์ดีมีสุขนานเท่าไร เราก็ยิ่งมีเส้นใยดีที่ช่วยส่งผ่าน ?ข้อมูลความสุข? มากขึ้นเท่านั้น

สารอารมณ์ดีเหล่านี้ ทำให้สมองโล่ง ตื่นตัว พร้อมทำงาน...

ใครที่ตื่นมาสดชื่น แจ่มใสก็รู้ตัวว่าวันนั้นเขาสามารถทำงานได้ดีกว่าวันที่อารมณ์ขุ่นมัว

ยิ่งเราอารมณ์ดีบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์ดีง่าย และยิ่งเราอารมณ์เสียบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์เสียง่าย...

        เหตุผล ที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ไม่ยากก็คือ ยิ่งเราทำพฤติกรรมใดบ่อย สมองเราก็ยิ่งสร้างเส้นใยสมองในเรื่องนั้นๆ ออกมาเยอะ ทำให้เราทำเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆ ไป

สังเกตไหมคะว่า คนอารมณ์เสีย ยิ่งนานวันเข้า ยิ่งอารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น      ในขณะที่คนอารมณ์ดียิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งดูอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น

นั่น เป็นเพราะยิ่งเรามีพฤติกรรมใดบ่อยจนติดเป็นนิสัย ก็ยิ่งทำให้เส้นใยสมองสร้างออกมาเยอะในเรื่องนั้น...และเราก็เป็นคนแบบนั้นในที่สุด

        แล้ววันนี้ ผู้อ่านของหนูดีฝึกพฤติกรรมอะไรจนติดเป็นนิสัยบ้างคะ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 05, 2010, 04:17:41 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #83 เมื่อ: มกราคม 05, 2010, 04:14:37 PM »

12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง พ่อแม่สร้างได้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

   
       จะว่าไปแล้ว ระดับของสติปัญญาจะดีหรือด้อย ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับพันธุกรรม หรือ ยีน ค่อนข้างมาก พูดง่ายๆ ว่า ถ้าพ่อแม่เฉลียวฉลาด ย่อมมีโอกาสสูง ที่ลูกจะเฉลียวฉลาดได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องของพันธุกรรมที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบเสริมด้วย เช่น การได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และตลอดช่วงวัยของเด็ก บวกกับได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม
      
       แต่ ในขณะที่อีกหนึ่งความฉลาด นอกจาก I.Q. แล้ว ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ E.Q. ก็เป็นส่วนสำคัญต่อตัวเด็กเองไม่ใช่น้อย เป็นสิ่งที่พ่อแม่สร้างให้ลูกได้เอง ซึ่งเด็กจะมีพฤติกรรม หรือนิสัยอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นหลักใหญ่ ดังนั้น การให้ความสำคัญในเรื่องของอีคิวกับลูกตั้งแต่เล็ก จะช่วยให้เด็กอยู่ในสังคมข้างหน้าอย่างมีความสุขทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่น
      
       วันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ 'นพ.กมล แสงทองศรีกมล' กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น รพ.กรุงเทพ ได้ให้เคล็ดลับ การสร้างลูกรักให้ดี และมีอีคิว หรือความฉลาดทางอารมณ์ที่สูง ไว้ 12 ข้อ ทั้งนี้เพื่อนำมาให้คุณพ่อ คุณแม่ นำไปปรับใช้เป็นคู่มือในการเลี้ยงลูกกันครับ
      
      *** 12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง
      
       1. ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมาก และไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย กระนั้น การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายที่บ่งบอกถึงความรักของพ่อแม่ต่อลูกได้เป็นอย่างดี
      
       2. ครอบครัวมีสุข การที่คุณพ่อ คุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมถึงมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้าง ก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกัน
      
       อย่าง ไรก็ดี คุณหมอ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดแย้งกันเองในการวางกฎเกณฑ์ โดยครอบครัวหนึ่ง มีลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบ ร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่ กับเรื่องนี้ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่า ที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่น เพราะลิปสติกจะหักเสียหายได้ แต่หากเวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาตให้ลูกเล่นได้ หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" ส่งผลให้เด็กสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่า เรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกันได้
      
       3. รู้-เข้าใจพัฒนาการของลูก จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติตัวต่อลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งพัฒนาการไม่ได้หยุด หรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่จะต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย แต่ส่วนใหญ่ คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าช่วงวัยรุ่นแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าลูกมีพัฒนาการเหมือน 2-3 ปีก่อน

       ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อ คุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศัพท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อย เมื่อลูกรู้ คงต้องโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญ นั่นคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรมีความรู้ และความเข้าใจพัฒนาการของลูกด้วย จะช่วยให้ปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม
      
       4. พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุด ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ อย่างน้อย ตกกลางคืน ก็ควรให้เวลากับลูกบ้าง เพราะจะได้มีประสบการณ์ และได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาให้นมลูก เวลาลูกร้องหิวตอนกลางคืน หรือได้โอบกอด และปลอบให้ลูกหลับต่อ นั่นจะยิ่งทำให้พ่อแม่รัก และเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น
      
       5. ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อลูกทำดี หรือประสบความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อลูกท้อแท้ ก็ควรให้กำลังใจ ซึ่งบางคนบอกว่า ชมมากเดี๋ยวลูกจะเหลิง แต่การชมไม่ให้เหลิง คือการชมอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล นั่นจะช่วยให้เด็กมีความภาคใจในตัวเอง เป็นเรื่องที่มีค่าต่อความรู้สึกของลูกมาก
      
       6. ให้อิสระ-โอกาสในการตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย)
      
       7. สอนลูกให้รักตัวเอง-รักคนอื่น พ่อแม่สอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่น พาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
      
       8. ให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุ-เป็นผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกอยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักการและเหตุผลว่าควรซื้อ หรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร เป็นต้น

   
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       9. สอนลูกรู้จักหาความสุขให้ตัวเอง ข้อนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จในการเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่งของตัวเองไว้ให้ได้ตลอด ไป หรือให้เก่งมากขึ้นเพื่อเอาชนะคนอื่น
      
       10. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆ แล้วลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ในแบบที่ไม่ต้องพูด หรือสอนเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่น เวลาอยู่บ้านว่างๆ ก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ก็มักจะแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่านหนังสือไปโดยไม่รู้ตัว
      
       อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบ เช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่บ้าน ก็ควรให้ลูกยกจานที่ทานเสร็จ ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะ แล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร
      
       11. กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้านต้องพอดี กับเรื่องนี้ พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะทางสายกลางตามหลักพระพุทธ ศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และมีรายละเอียดมาก
      
       12. ระบบการศึกษาก็มีส่วนเอี่ยวกับอีคิว คง เคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน ดังนั้น การศึกษาย่อมส่งผลต่อ E.Q. ของลูกด้วย ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรทำความเข้าใจกับระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ของเด็กด้วย
      
        เห็นได้ว่า ทุกวันนี้ พ่อแม่จะให้ลูกฉลาดอย่างเดียว คงไม่พอ แต่ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตด้วย เพื่อที่เด็กจะได้มีพื้นฐานในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเข้าใจตัวเอง และคนอื่นได้เป็นอย่างดี

      
       /// ข้อมูลประกอบข่าว ///
      
       E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คนที่มีอีคิวดี คือ คนที่รู้จักและเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้ รู้จักแยกแยะควบคุมอารมณ์ได้ และสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะและปรับตัวให้เข้ากับ สังคมอย่างเหมาะสม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแสอีคิวกำลังมาแรง อาจเป็นด้วยว่าภาพสะท้อนของผู้คนในสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม ระบบของอีคิวจะเริ่มเสีย รัฐจึงควรหาปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะ 10 ปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตของคนเราเสื่อมลงมาก มีปริมาณคนไข้ทางจิตสูงขึ้น

บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #84 เมื่อ: มกราคม 07, 2010, 03:13:02 PM »

สมาธิภาวนา
โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท


วัดหนองป่าพง
ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


ผู้แสวงบุญทั้งหลาย ที่มารวมกันแล้ว เพื่อจะได้ฟังธรรมะต่อไปให้ฟังธรรมะอยู่ในความสงบ การฟังธรรมะในความสงบนั้น คือทำจิตให้เป็นหนึ่ง หูเรารับฟัง สัมผัสถูกต้อง แล้วก็ปล่อยไปอย่างนี้ เรียกว่า ทำจิตให้สงบ

การฟังธรรมะนี้ก็เป็นประโยชน์มาก ส่วนหนึ่งเกี่ยวแก่การปฏิบัติธรรมะ ดังนั้นการฟังธรรมะ ท่านจึงให้ตั้งกายตั้งใจให้เป็นสมาธิ ในครั้งพุทธกาลนั้น ฟังธรรมะให้เป็นสมาธิเพื่อรู้ธรรมะ สาวกบางองค์ได้ตรัสรู้ธรรมะในอาสนะที่นั่งนั้นก็มีอยู่มาก

สถานที่นี้เป็นที่สมควรที่จะทำกรรมฐานมาก อาตมามาพักอยู่ที่นี่คืนสองคืนมาแล้ว รู้ว่าสถานที่นี้เป็นที่สำคัญมาก สถานที่ข้างนอกสงบแล้ว ยังแต่สถานที่ข้างในคือจิตใจของเราเท่านั้น ดังนั้นพวกเรา ทั้งหลายที่มานี้ ขอให้ตั้งใจทุกคน ถึงแม้ว่ามันจะสงบบ้างไม่สงบบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา

ทำไมเราจึงได้มารวมทำความสงบอยู่ที่นี่ เพราะจิตใจของเรายังไม่รู้สิ่งที่ควรรู้ คือยังไม่รู้ตาม ความเป็นจริงว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันผิด อะไรมันถูก อะไรมันทำความทุกข์ให้เรา อะไรมันทำความสงสัยให้เราอยู่ เราจึงมาทำความสงบกันก่อน เหตุที่เราต้องมาทำความสงบระงับในที่นี้ เพราะว่า จิตใจไม่สบาย จิตใจไม่สงบ จิตใจไม่ระงับ วุ่นวาย สงสัย จึงนัดมา ณ ที่นี่ เพราะฉะนั้นวันนี้ตั้งใจฟังธรรมะ

การฟังธรรมะของอาตมานั้นอยากให้ตั้งใจฟังให้ดี อาตมาชอบพูดแรงหน่อยชอบพูดรุนแรงหน่อย เพราะนิสัยเป็นอย่างนี้ แต่จะพูดรุนแรงอย่างไรก็ตามเถอะ อาตมาก็ยังมีความเมตตาอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาอยู่นั่นเอง การพูดบางสิ่งบางอย่างนั้นขออภัยด้วยทุกๆ คน เพราะว่าประเพณีเมืองไทยกับชาวตะวันตกนี้มันไม่คล้ายกัน มันคนละอย่าง บางทีมันอาจทำให้ไม่ค่อยสบายใจก็ได้ พูดรุนแรงหน่อยก็ดีนะ มันตื่นเต้น ไม่งั้นมันหลับเฉย ไม่รู้ว่าอะไรมันนอนใจอยู่อย่างนั้น มันนิ่งเฉยอยู่ไม่ลุกขึ้นมาฟังธรรม

การปฏิบัตินี้ก็มีหลายอย่าง แต่มันก็มีอย่างเดียว เช่นว่าการปลูกต้นไม้ที่ได้รับผลนั้น บางทีก็ได้กินเร็วๆ คือเอาทาบกิ่งมันเลย อันนี้เรียกว่ามันไม่ทนทาน อีกอย่างหนึ่ง เอาเมล็ดมันมาเพาะปลูกจากเมล็ดมันเลย อันนี้มีความแน่นหนาถาวรดีมาก ตามความจริงเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดาทุกคน

ตัวอาตมาเองก็เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรนั้น ก็ไปนั่งทำกรรมฐานลำบากมาก จนร้องไห้ตั้งหลายเวลาหลายครั้งเหมือนกัน บางอย่างมันคิดสูงไป บางอย่างมันคิดต่ำไป ไม่ถึงความพอดีของมัน เพราะว่าการปฏิบัติที่สงบนี้ ไม่สูง แล้วก็ไม่ต่ำ คือความพอดี แล้วก็มาเห็นญาติโยมทั้งหลายที่นี้ มันยุ่งมาก คือต่างคนต่างฝึกมา ต่างคนต่างมีครูบาอาจารย์เหลือเกินแล้ว ก็มารวมทำนี่ เกิดความสงสัยมาก อย่างอาจารย์นั้นต้องทำอย่างนั้น อาจารย์นี้ต้องทำอย่างนี้ ครูนั่นต้องทำอย่างนั้น มานั่งเถียงกันเลยวุ่น ไม่รู้จักว่าจะเอาอันไหน ไม่รู้จักเนื้อจักตัว มันเลยวุ่น มันหลายเกินไป มากเกินไป ไม่รู้ว่าจะเอาอะไร ให้มันเป็นที่หนึ่งได้ สงสัยตลอดมา

ฉะนั้น พวกเราอย่าคิดให้มันมาก ถ้าจะคิดให้มันรู้จักอย่างนี้ไม่รู้หรอก ต้องทำจิตเราให้สงบเสียก่อน ที่มันรู้ไม่ต้องคิด ความรู้สึกมันจะเกิดมาในที่นี่เอง มันจึงเป็นปัญญา คิดนั้นไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ตัวปัญญา มันติดเรื่อยไปไม่รู้เรื่อง ยิ่งคิดยิ่งวุ่นวาย

ฉะนั้น มาถึงที่นี่ก็ต้องพยายามอย่าให้คิด อยู่ในบ้านเราเคยคิดมากๆ แล้วไม่ใช่เหรอ มันกวนใจ ให้รู้อย่างนั้น คิดมากๆ ไปน้ำตามันไหลออกด้วย ละเมอหลงติดไปน่ะ ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ปัญญา พระพุทธองค์ท่านมีปัญญามาก ท่านจึงหยุดคิด อย่างนี้เรามาฝึกก็เพื่อให้มันหยุดคิด นั่งให้สงบ ให้มีความสงบ ถ้าคิดปัญญาไม่เกิด ธรรมะไม่เกิด เกิดแต่สังขารปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ถ้าสงบแล้วไม่ต้องคิด แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นตรงนั้น เมื่อเราคิดอยู่ปัญญาไม่เกิด เมื่อเรามีความสงบแล้ว ความรู้สึกจะเกิดขึ้นมาในความสงบนั้น มีพร้อมกันทั้งความคิด มีพร้อมกันทั้งปัญญา เป็นคู่กันเลย ถ้าจิตใจเราไม่สงบ ปัญญาไม่มี มีแต่จะคิดอย่างเดียวเท่านั้น มันถึงยุ่ง

การนั่งสงบจิตนี่ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย บัดนี้เราจะต้องทำจิตอันนี้อย่างเดียว ไม่ปล่อยจิตของเราให้มันพุ่งไปข้างขวาข้างซ้าย ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างบน ข้างล่าง จะทำอะไร จะทำอันนี้ จะทำจิตคืออานาปานสตินี่ กำหนดจากศีรษะลงไปหาปลายเท้า กำหนดปลายเท้าขึ้นมาศีรษะ กำหนดจากศีรษะลงไป ดูด้วยปัญญาของเราอันนี้ เพื่อให้เป็นเหตุ ให้รู้จักร่างกายของเราก่อน แล้วก็นั่งกำหนดว่า บัดนี้ ธุระก็เดินต่อ หน้าที่ของเรานั้นก็คือให้ดูลมหายใจเข้าออก อย่าไปบังคับให้มันสั้น หรือบังคับให้มันยาว ปล่อยตามสบาย ไม่ให้กดดันมัน ให้มีความปล่อยวาง อยู่ในช่วงลมหายใจเข้าออกเสมออย่างนี้

การกระทำนี้ให้เข้าใจว่า เป็นการกระทำด้วยการปล่อยวาง แต่มีความรู้สึกอยู่ ให้มีความรู้สึกอยู่ ในการปล่อยวาง ลมหายใจเข้าออกสบาย ไม่ให้กดดัน ปล่อยตามธรรมชาติ ให้มันสบาย ให้คิดว่าธุระหน้าที่อย่างอื่นของเราไม่มี ความคิดที่ว่าการนั่งอย่างนี้มันจะเป็นอะไร แล้วมันจะเห็นอะไรอย่างนี้จะเกิดขึ้นมา ก็ให้หยุด หยุดไม่เอา มันจะเป็นอะไร จะรู้อะไร มันจะเห็นอะไรไหม แม้ความคิดเช่นนี้มันจะเกิดขึ้นมาในเวลานั้นก็ตามที

เมื่อเรานั่งอยู่นั่น ไม่ต้องรับรู้อารมณ์ เมื่ออารมณ์ที่มากระทบกระทั่งเมื่อไร รู้สึกในจิตของเรา แล้วปล่อยมันไป มันจะดีจะชั่วก็ช่างมัน ในเวลานั้นไม่ใช่ธุระหน้าที่ของเราจะไปจัดแจงในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ปล่อยมันออกไปเสียก่อน แล้วกำหนดลม เอาคืนมาให้มีความรู้สึกแต่ลมอย่างเดียว เข้าออก แล้วให้มันสบาย อย่าให้มันทุกข์เพราะมันสั้น ทุกข์เพราะมันยาว อย่าให้มันทุกข์ ดูลมหายใจ อย่าให้มีความกดดัน คืออย่ายึดมั่น รู้แล้วให้ปล่อยตามสภาวะของมันอย่างนั้นให้ถึงความสงบ ต่อไปจิตมันก็จะวางลมหายใจ มันก็จะเบา เบาไป ผลที่สุดลมหายใจมันจะน้อยไปน้อยไป จนกระทั่งปรากฏว่ามันไม่มีลม ในเวลานั้นจิตมันก็จะเบา กายมันก็จะเบา การเหน็ดเหนื่อยเลิกหมดแล้ว มีเหลือความรู้อันเดียวอยู่อย่างนั้น นั่นเรียกว่าจิตมันเปลี่ยนไปหาความสงบ แล้วนี่พูดถึงการกระทำในเวลาเรานั่งสมาธิอย่างเดียว

ถ้าหากว่าจิตใจมันวุ่นวายมากก็ตั้งสติขึ้นสูดลมเข้าไปให้มันมากจนไม่มีที่ เก็บ แล้วก็ปล่อยมันหมด จนกว่าที่มันไม่มีในนี้แล้วก็หายใจเข้ามาอีก สูดมันให้เต็มแล้วก็ปล่อยไปสามครั้งตั้งจิตใหม่ มีความสงบขึ้น ถ้ามีอารมณ์วุ่นวายอีก ก็ทำอย่างนี้อีกทุกครั้ง จะเดินจงกรมก็ตาม จะนั่งสมาธิก็ตาม ถ้าเดินจงกรมมันวุ่นวายมากก็หยุดนิ่ง กำหนดให้ลงในที่สงบ ตั้งใหม่ให้รู้ จิตจึงจะเกาะ แล้วไปนั่งสมาธิก็เหมือนกันอย่างนั้น เดินจงกรมก็เหมือนกันอย่างนั้น มันต่างกันแต่อิริยาบถนั่งกับอิริยาบทเดินเท่านั้น

บางทีความสงสัยก็มีบ้าง ต้องให้มีสติ มีผู้รู้ ที่มันวุ่นวายเป็นอย่างๆ ก็ติดตามอยู่เสมอ อาการนี้เรียกว่ามีสติ สติตามดูจิต จิตเป็นผู้รู้ อาการที่ตามดูจิตของเรานั้นอยู่ในลักษณะอันใดก็ให้เรารู้อย่างนั้น อย่าเผลอไป

อันนี้เป็นเรื่องสติกับจิตควบคุม พอถึงกันแล้วก็จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ถ้าจิตมันพอที่จะสงบแล้ว จิตที่มันถูกคุมขังอยู่ในที่สงบเหมือนกับเรามีไก่ตัวหนึ่งที่ใส่ไว้ในกรง นั้น ไก่ที่อยู่ในกรงนั้นมันไม่ออกไปจากกรง แต่ว่ามันเดินไปเดินมาได้ในกรงนั้น อาการที่มันเดินไปเดินมานี่ไม่เป็นอะไร เพราะมันเดินไปเดินมาได้ในกรงนั้น ความรู้สึกของจิตที่เรามีสติสงบอยู่นั้น มีความรู้สึกในที่สงบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่มันให้เราวุ่นวาย คือเมื่อมันคิด มันรู้สึก ให้มันรู้สึกอยู่ด้วยความสงบ ไม่เป็นอะไร

บางคนเมื่อมีความรู้สึกขึ้นมา ก็ไม่ให้มันมีความรู้สึกอะไร อย่างนี้ผิดไป ไม่ได้มีความรู้สึกอยู่ในที่สงบ รู้สึกอยู่ด้วยความสงบ รู้สึกอยู่ก็ไม่รำคาญ นี่สงบ อยู่อย่างนี้ไม่เป็นไร ตัวที่มันสำคัญก็คือตัวที่มันออกจากกรงไป เช่นว่า เรามีลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนี้ ลืมไป ลมหายใจไปเที่ยวในบ้าน ไปเที่ยวในตลาด ไปเที่ยวโน้น สารพัดอย่าง บางที ครึ่งชั่วโมงถึงมา อ้าวอะไรตายไม่รู้เรื่อง นี่ตัวสำคัญ ระวังให้ดี ตัวนี้สำคัญ มันออกจากกรงไปแล้วนี่ มันออกจากความสงบแล้วนี่

ต้องระวัง ต้องให้มีสติมารู้ ต้องพยายามดึงมันมา ที่ว่าดึงมันมานี่ก็คือไม่ใช่ดึงหรอก มันไม่ไปที่ไหนหรอก คือเปลี่ยนความรู้สึกเท่านั้นเอง ให้มันอยู่ที่นี่ มันก็มีอยู่ที่นี่ มีสติที่นี่เมื่อไหร่ก็มีอยู่ที่นี่ แต่สมมุติว่าดึงมันมา มันไม่ได้ไปที่ไหนหรอก มันเปลี่ยนแปลงอยู่ที่จิตเรานี้ ที่สังเกตว่ามันไปโน่นไปนี่ ความเป็นจริงมันไม่ได้ไป มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตรงนี้ มันมีสติพรึบเข้ามาแล้ว มันก็มาทันที มันไม่มาจากอะไร มันรู้สึกอยู่ที่นี่เอง ให้เข้าใจอย่างนั้น

อันนี้เรื่องจิต จิตเราที่อยู่มีอะไรเป็นเครื่องหมายไหม คือมีความรู้บริบูรณ์ ติดต่อกันไม่ได้ขาด รู้ตลอดเวลานั้นเรียกว่าจิตของเราอยู่ตรงนี้ ถ้าเราไม่รู้ลมอะไร มันไปที่ไหนนั่นเรียกว่าขาด ถ้าหากว่ารู้เมื่อไหร่ มีลมก็มีจิต มีลม มีความรู้สึกสม่ำเสมอนี้ ตัวเดียวอันนั้นน่ะอยู่กับเราแล้ว อันนี้พูดถึงอาการจิต มันจะต้องเป็นอย่างนี้

มันจะต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ สติคือระลึกได้ สัมปชัญญะคือรู้ตัวอยู่ เดี๋ยวนี้รู้ตัวกับอะไร กับลม อยู่อย่างนี้ ทำมีสติ มีสัมปชัญญะปรากฏ ที่มันแบ่งกันอยู่อย่างนี้ ถ้าหากว่าเรารู้ตัวอยู่ มันก็จะเป็นคล้ายๆ กับคนที่ยกไม้ ยกวัตถุที่มันหนักๆ อยู่สองคน มันหนักจนจะทนไม่ไหวอย่างนี้จะมีคนที่มีเมตตา คือปัญญามองเห็น ปัญญาก็วิ่งเข้ามาช่วย นี่อย่างนี้มีสติ มีสัมปชัญญะรู้อยู่แล้วก็ปัญญาเกิดขึ้นมาตรงนี้ ช่วยกันมีสติ มีสัมปชัญญะ มีปัญญามาช่วยกันอย่างนี้

เมื่อมีปัญญาเข้ามาช่วย มันจะรู้จักอารมณ์ เช่น มานั่ง อาการจิตมันมีสติ มีสัมปชัญญะ แล้วก็มีปัญญา อารมณ์ผ่านเข้ามา มันเกิดความรู้สึกคิดถึงเพื่อน ?ไม่ใช่? ?ช่างมัน? ?หยุด? ?เลิก? ?พรุ่งนี้เราจะไปโรงเรียน? ?อือ เลิก ไม่เอา? ตอนนี้ก็คิดถึงคนอื่น ?เอ้อ ไม่ใช่? ?เออ ไม่เอา? ?ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น? ปล่อยมันทั้งนั้น ?ไม่เอา อย่ามายุ่งเลย? ?ไม่แน่นอน ของไม่แน่นอน? ทำสมาธิอยู่ มันจะเป็นอย่างนั้น ?ไม่แน่? ?ไม่แน่? ทำสมาธิอยู่มันจะรู้อย่างนี้ ให้เลิกคิด เลิกพูด เลิกสงสัย เลิกหมด อย่าเอามากวนในเวลานั้น ถ้ามันเลิกหมดแล้วมันจะเหลือแต่เพียงสติสัมปชัญญะกับปัญญาล้วนๆ ถ้าหากว่ามันอ่อนเมื่อไร มันก็เกิดความสงสัยขึ้นมา เลิกๆ ๆ ให้เหลือแต่เพียงสติสัมปชัญญะเท่านั้น พยายามให้มีสติที่สุด อย่างนี้ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนตลอดเวลานั่นแหละ แล้วจะได้เห็นตัวสติ เห็นสัมปชัญญะ แล้วก็เห็นปัญญา แล้วก็เห็นตัวสมาธิ เห็นครบไปหมดทุกอย่าง

เมื่อเราเพ่งเข้าไปตรงนั้น สติเราก็จะเห็นได้ สัมปชัญญะเราก็จะเห็นได้ สมาธิเราก็จะเห็นได้ ปัญญาก็จะเห็นได้ครบในที่นั่นเลย มีอารมณ์จรมาข้างนอก เราจะชอบใจก็ตามเถอะว่า ?เออ ไม่แน่? ไม่ชอบใจก็ ?อือ ไม่แน่? มันเป็นนิวรณ์ทั้งนั้น สิ่งทั้งหลายให้กวาดให้มันเตียนหมดให้เหลือแต่สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้สึกตัว สมาธิความตั้งใจมั่น ปัญญารอบรู้ ให้เข้าใจอย่างนี้ อันนี้พูดถึงการกระทำ แล้วจบแค่นี้ก่อนนะ

ทีนี้จะพูดถึง เครื่องอุปกรณ์ทั้งหลายที่จะช่วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราจะต้องเป็นผู้มีจิตใจเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีที่เรียกว่าเมตตาธรรม ให้เป็นผู้มีเมตตาเป็นคุณธรรม เช่นว่าเรากำจัดตัวโลภะหรือ ตัวเห็นแก่ตัวออก ทางพระท่านว่าการให้ทาน การให้คือทาน คนเราถ้าเห็นแก่ตัวแล้วไม่สบาย เห็นแก่ตัวแล้วไม่ค่อยสบาย แต่คนชอบจะเห็นแก่ตัวหลาย แต่ไม่รู้สึกเจ้าของ (ไม่รู้สึกตัว)

จะรู้ได้ในเวลาไหน รู้ว่าในเวลาเราหิวอาหาร ถ้าเราได้แอปเปิ้ลมาลูกหนึ่งขนาดนี้ เราจะแบ่งคนอื่น จะแบ่งให้เพื่อนคิดแล้วคิดอีก อยากจะให้เพื่อนก็อยากจะให้ แต่ว่าอยากจะเอาลูกเล็กๆ ให้ จะเอาลูกใหญ่ให้ก็แหมเสียดายเหลือเกิน คิดยากนักหนา เอาไป เอาไปเอาลูกนี้ไป เราก็ให้ลูกเล็ก ให้แอปเปิ้ล ลูกน้อยๆ ไป แต่เอาลูกใหญ่ไว้ นี่ความเห็นแก่ตัว ชนิดนี้อันหนึ่ง แต่คนไม่ค่อยจะเห็น เคยมีไหม เคยเป็นไหม การให้ทานนี่การทรมานจิตนะ มันอยากให้เขาลูกเล็กๆ อุตส่าห์บังคับเอาลูกใหญ่ให้เพื่อน พอให้แล้วเออสบายนะ

นี่การทรมานจิตอย่างนี้ ต้องบังคับจิตให้มันรู้จักให้ ให้มันรู้จักละ ไม่ให้มันเห็นแก่ตัว เมื่อเราให้คนอื่นเสียแล้ว มันก็สบายหรอก ถ้าเรายังไม่ให้นี่ จะให้ลูกไหนหนอ มันลำบากมากเหลือเกิน กล้าตัดสินใจว่าให้ลูกใหญ่นี่หนา เสียใจนิดหน่อยนะ แต่พอตกลงใจให้เขาแล้ว มันก็แล้วไป นี่เรียกว่าทรมานจิตในทางที่ถูก มันเป็นอย่างนี้

ถ้าเราทำให้ได้อย่างนี้เรียกว่าเราชนะตัวเอง ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนี้ เรียกว่าเราแพ้ตัวเอง เห็นแก่ตัวเรื่อยไป ก่อนนี้เรามีความเห็นแก่ตัว อันนี้ก็เป็นกิเลสอันหนึ่งเหมือนกัน ต้องขจัดออก ทางพระเรียกว่าการให้ทาน การให้ความสุขแก่คนอื่น อันนี้เป็นเหตุช่วยให้ชำระความสกปรกในใจของเราได้ และต้องให้เป็นคนมีจิตใจอย่างนี้ ให้พิจารณาอย่างนั้น อันนี้ประการหนึ่งที่ควรทำไว้ในใจของเรา

บางคนอาจจะเห็นว่าอย่างนี้ก็เบียดเบียนตัวเอง นี่ไม่ใช่เบียดเบียนตัว แต่เป็นการเบียดเบียนกิเลสตัณหาต่างหากล่ะ ถ้าในตัวมันมีกิเลสขึ้นมา ให้กิเลสมันหายไป

กิเลสนี่เหมือนแมว ถ้าให้กินตามใจ มันก็ยิ่งมาเรื่อยๆ แต่มีวันหนึ่งมันข่วนนะ ถ้าเราไม่ให้อาหารมัน ไม่ต้องให้อาหารมัน มันจะมาร้องแงวๆ อยู่เหมือนกันแหละ กิเลสไม่มากวนเรา เราก็จะได้สอบใจ ต่อไปทำให้กิเลสกลัวเรา อย่าทำให้เรากลัวกิเลส ให้กิเลสกลัวเรา นี่พูดให้เห็นในธรรมในปัจจุบัน ในใจของเราอย่างนี้

ธรรมะของพระพุทธเจ้าของเราอยู่ที่ไหน อยู่ที่ความรู้ความเห็นในใจของเราอย่างนี้ รู้ได้ทุกคน เห็นได้ทุกคน ไม่ใช่อยู่ในตำรา ไม่ต้องไปเรียนให้มันมาก พิจารณาเดี๋ยวนี้ก็เห็นที่อาตมาพูด ก็เห็นได้ทุกคนเพราะมันอยู่ในใจทุกคน แต่ก่อนนี้เราต้องการเลี้ยงกิเลสไว้ ให้รู้จักกิเลส อย่าให้มันมากวนเรา อันนี้ เป็นอันหนึ่งที่ยังไม่บังเกิด ให้ทำให้เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็ทำให้มากขึ้น ทีนี้ข้อปฏิบัติต่อไปคือการรักษาศีล ศีลนี้จะดูแลธรรมะเจริญขึ้นเหมือนพ่อแม่กับลูก การรักษาศีลคือการเว้นการเบียดเบียน และทำการเกื้อกูลช่วยเหลือ อย่างต่ำนี้ให้มี ๕ ข้อคือ

ข้อ ๑ ให้เมตตาสัตว์และมนุษย์ทั้งหมด ไม่ให้ทำร้ายเบียดเบียน ตลอดถึงการฆ่า

ข้อ ๒ ให้มีความสุจริต อย่าไปข้ามสิทธิ์ของกันและกัน พูดง่ายๆ ก็คือไม่ให้ขโมยของกันนั่นเอง

ข้อ ๓ ให้รู้จักประมาณในกามบริโภค อยู่ในฆราวาสวิสัยก็ต้องมีครอบครัว มีพ่อบ้านแม่บ้าน แต่ถ้ารู้จัประมาณก็ปฏิบัติธรรมะได้ ให้รู้จักพ่อบ้านของเรา รู้จักแม่บ้านของเราเท่านั้น ให้รู้จักประมาณ อย่าทำเกินประมาณ ให้มีขอบเขต แต่โดยมากคนจะไม่มีขอบเขตเสียด้วยนะ บางทีมีพ่อบ้านคนเดียวก็ไม่พอ มีสองคนบ้าง บางทีมีแม่บ้านคนเดียวก็ไม่พอ ต้องมีสามด้วยอย่างนี้ก็มี อาตมาว่าคนเดียวก็กินไม่หมดแล้ว จะมีไปสองคนสามคนนี่ มันเรื่องสกปรกทั้งนั้นนี่ อย่างนี้ต้องพยายามชำระ พยายามฝึกใจ ให้มันรู้จักประมาณ ความรู้จักประมาณนี้ มันบริสุทธิ์ดี ที่ไม่รู้จักประมาณนี่ มันไม่มีขอบเขต ถึงได้อาหารเอร็ดอร่อยอย่างนี้ อย่าไปนึกถึงความเอร็ดอร่อยมันมาก ให้รู้จักท้องของเรา ให้รู้จักประมาณ ถ้าเรากินมากก็ลำบากเหมือนกัน ให้รู้จักประมาณความรู้จักประมาณนี่ดีที่สุด ให้มีแม่บ้านคนเดียวก็พอแล้ว มีพ่อบ้านคนเดียวก็พอแล้ว มีสองมีสามเกินขอบเขตแล้ววุ่นวาย

ข้อ ๔ คือความซื่อสัตย์ นี้ก็เป็นเครื่องกำกับกิเลสเราเหมือนกัน เป็นคนตรงมีสัจจะ เป็นคนซื่อสัตย์

ข้อ ๕ เป็นคนที่ไม่ดื่มสุราน้ำเมา อย่างนี้ก็ให้รู้จักประมาณ ให้เลิกเสียก็ดี คนเราเมามัวก็มากแล้ว เมาลูกเมาหลาน เมาทรัพย์สมบัติหลายอย่าง มันก็พอแล้ว ยิ่งเอาเหล้ามากินเข้าไปอีก มันก็มืดเท่านั้นแหละ อันนี้บริษัททั้งหลายไม่รู้ ดูตัวเราเอง ถ้าหากว่ามันมาก ใครมีมากก็พยายามค่อยๆ ปัดเป่ามัน ออกไป ปัดเป่ามันออกไปให้หมด
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #85 เมื่อ: มกราคม 10, 2010, 08:32:44 PM »

ได้รับ forward mail ค่ะ ลองพิจารณาเองนะคะ

  ตำราไม่ล้างไต


   
 สิ่งดี ๆ นำมาฝาก
     
    "ช่วยเผยแพร่ เรื่อง ตำราไม่ล้างไต กับ ผู้ป่วยเป็นโรคไต

    ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง"

     
    เรื่อง ตำราไม่ล้างไต

    ถ้าข้าพเจ้าได้รับตำรานี้เมื่อ 25 ปีก่อน ลูก ๆ คงไม่ต้องมาร้องเพลงชื่อ
    ?คนอื่นมีแม่ ฉันไม่มี?

    การที่จะเอาเมล็ดลิ้นจี่มาทำยานั้นง่ายมากสำหรับข้าพเจ้าเพราะที่บ้าน
    ปลูกต้นลิ้นจี่กว่า 50 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคือยาวิเศษในการรักษาโรคไต
    คู่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องทรมานเสียเวลา 14 ปีในการฟอกไตและในที่สุด
    ก็ต้องจากไป


    ในไต้หวันมีผู้คนป่วยเป็นโรคไตจำนวนมากที่ต้องทำการฟอกไต
    การที่ต้องไปฟอกไตเพราะไตเสื่อมลง จนไม่มาสามารถขัยถ่าย
    ของเสียออก บางทีญาติหรือเพื่อนของท่านบางคนกำลังฟอกไตอยู่
    จึงอยากให้ท่านช่วยเผยแพร่ตำราวิเศษออกไปให้ทั่ว จะเป็นบุญกุศลยิ่ง

    คนที่นำไปทดลองใช้จะมีแต่ได้ ไม่มีเสียอย่างแน่นอน ช่วยได้ 1 คน
    เท่ากับช่วยทั้งครอบครัว

    ข้าพเจ้าเป็นโรคไตเพราะเป็นโรคเบาหวานนาน 20 ปี ความเป็นทุกข์
    ทรมานนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบื่อต่อชีวิต และคิดจะจบชีวิตตนเองหลายครั้ง
    แต่มาคิดได้ว่า ถ้าเราพ้นทุกข์แล้วทำให้หลายคนต้องรับทุกข์ต่อ ลูก
    หลานหลายคนยังเรียนไม่จบ ยังตั้งตัวไม่ได้ เลยรับกรรมไปฟอกไตต่อ

    มีคนเสนอตำราลับ ตำราวิเศษให้ แต่ไม่เคยเชื่อ ข้าพเจ้าเชื่อแต่แพทย์
    แผนปัจจุบัน จึงเดินเข้าห้องฟอกไต ขอสู้กับมัจจุราชต่อไป

    ข้าพเจ้าเกิดนึกถึงคำพังเพยจีนว่า ?ม้าตายแล้ว ให้นึกว่ารักษาม้าเป็น?
    บางทีชีวิตนี้อาจมีความหวัง จึงขอทดลอง หลังฟอกไตครั้งที่ 2 แล้ว
    คุณน้ามาเยี่ยมถามว่าอยากลองตำราวิเศษไหม รับรองไม่ต้องฟอกไต
    อีกต่อไป ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที

    ตอนบ่ายคุณน้านำซุปเส้งจี้มา 1 หม้อแบ่งดื่ม 2 ครั้ง
    วันที่ 2 นำมาอีก 1 หม้อ (ราว ชามครึ่ง) พร้อมให้กินเส้งจี้อีก ครึ่งลูก

    ในวันนั้น ปรากฏว่าการถ่ายปัสสวะดีขึ้น พอวันที่ 3 ซึ่งจะต้องฟอกไต
    แต่หมอตรวจแล้วว่าวันนี้ยังไม่ต้องฟอกก่อน

    ข้าพเจ้าได้ดื่มซุปเส้งจี๊ประมาณ 1 อาทิตย์ ไปตรวจอีก
    คราวนี้หมอประหลาดใจมาก แจ้งว่าไตปกติแล้ว ไม่ต้องฟอกแล้ว

    ตำราวิเศษมีดังนี้.--

          เมล็ดลิ้นจี่สด 7 เม็ด ทุบให้แตกแล้วใช้ผ้าขาวอย่างบาง ๆ ห่อไว้

           ซื้อเส้งจี๊หมู 1 ลูก หั่นเป็นแผ่นบางล้างให้สะอาดตัดเอาเอ็นสีขาวออก

           เอาน้ำซาวข้าวครั้งที่ 2 จำนวน 2 ชาม นำเข้าใส่ในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า

           ทำการนึ้งเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วให้ดื่มหมดครั้งเดียวก็จะได้ผล

    ข้าพเจ้าได้พ้นจากฟอกไตเพราะตำรานี้ จึงขอความกรุณาทุกท่าน

    ช่วยเผยแพร่ตำรานี่แก่ผู้ป่วยเป็นโรคไต ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย

    จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

    ผมพิมพ์และถ่ายให้แม่แล้ว แม่อาจเอาไปแจกให้คนอื่น ก็แล้วแต่ท่าน ส่งเมล์ต่อด้วยนะครับ เป๊กกิ๊ก (เจ้าเก่า)
     


     

บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #86 เมื่อ: มกราคม 12, 2010, 09:42:21 PM »

เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต



  บทความโดย : รศ.พญ.ศศิจิต เวชแพศย์ ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด
       

       คำว่า ?โลหิต? อาจ ฟังดูน่าหวาดเสียว และน่ากลัวสำหรับคนบางคน แต่สำหรับโรงพยาบาลแล้ว โลหิตเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญในการรักษาผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยผ่าตัด  ผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ป่วยมะเร็ง รวมทั้งการรักษาหลายๆ อย่างในปัจจุบันนี้ จะไม่สามารถทำได้หากไม่มี
       
       โลหิตมีความสำคัญอย่างไร
       

       ในร่างกายคนเรามีเลือดไหลเวียนอยู่ในตัว เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร สารน้ำ ออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันก็นำสารพิษ ของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์จากส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปกำจัดออกจากร่างกายเพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ในเลือดมีทั้งของเหลว (ส่วนน้ำ) และเซลล์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน กล่าวคือ
             
      เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ นำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เนื้อเยื่อออกไปขับถ่าย  เม็ดเลือดแดงมีปริมาณประมาณร้อยละ  40 ? 45 ของเลือดทั้งหมด  และมีอายุเพียง 120 วัน
       
       เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่  ให้ภูมิคุ้มกันเหมือนทหาร ปกป้องเชื้อโรคในร่างกาย มีปริมาณประมาณ 1% ของเลือด
        เกร็ดเลือดทำหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว มีลักษณะเป็นชิ้นส่วนของเซลล์ขนาดเล็ก  มีอยู่ประมาณ 5% ของเลือด
       
       พลาสมา เป็นสารน้ำสีเหลือง มีโปรตีน เกลือแร่  ไขมัน  ฮอร์โมน  ไวตามิน  มีปริมาณร้อยละ 55 ของเลือด
       

       ประเภทของหมู่โลหิต (กรุ๊ปเลือด)
       โลหิตที่อยู่ในคนไทยเรา แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ 1. หมู่โอ พบได้ประมาณร้อยละ 38 , 2. หมู่เอ พบร้อยละ 21, 3. หมู่บี พบร้อยละ 34 และ4. หมู่เอบีพบร้อยละ 7
       
       นอกจากนี้ในหมู่เลือด เอ บี โอ แต่ละชนิด จะพบว่าประมาณ 1 ถึง 3 คน ในจำนวนประชากร 1,000 คน จะมีหมู่เลือดอาร์เอ็ชลบ ซึ่งเป็น หมู่โลหิตที่หายากหรือหมู่โลหิตพิเศษ เท่าที่พบมา เราพบว่าหมู่โลหิตโอ เป็นหมู่โลหิตที่หาง่าย เมื่อเทียบกับหมู่โลหิตประเภทอื่นที่บริจาคกันเข้ามา สำหรับผู้ที่ไม่เคยบริจาคโลหิตมาก่อน แต่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ยากเลยค่ะ


# คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต
       เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว อายุ 18 ? 60 ปี น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเลือดแข็งตัวและฮอร์โมนเพศ ไม่มีประวัติเป็นโรคมาลาเรียในระยะเวลา 3 ปี ไม่ได้รับการถอนฟันหรือขูดหินปูน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนบริจาคเลือด ไม่มีบาดแผลสด หรือแผลติดเชื้อใดๆ ตามร่างกาย ผู้หญิงที่ไม่อยู่ในระยะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
       
       
# ใครบ้างที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้
       ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคปอด มะเร็ง ลมชัก โรคเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือคู่ครอง(สามีหรือภรรยา)เป็นไวรัส ตับอักเสบบี ไวรัสตับ อักเสบซี รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอสไอวีหรือซิฟิ ผู้เสพยาเสพติดชนิดใช้เข็มฉีดยา ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ มีคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มีต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายโตหรือมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
       

       เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต
       

#        การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
       เพื่อมิให้ผู้บริจาคโลหิตอ่อนเพลียมากหลังบริจาคโลหิต ผู้บริจาคโลหิตจึงควรเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต 1 ? 2 วัน ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่น เลือดไหลเวียนดี งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ควรเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากก่อนบริจาคโลหิต 1 วัน รับประทานอาหารก่อนบริจาคโลหิตประมาณ 4 ชั่วโมงนอนหลับพักผ่อนเพียงพอประมาณ 6 ชั่วโมง
       
       แต่ละครั้งโรงพยาบาลต้องการโลหิตประมาณ 350 ? 450 ซีซี / คน ซึ่งปริมาณจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้บริจาค และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับโลหิตที่ปลอดภัย โลหิตที่ได้จะต้องผ่านกระบวนการทดสอบก่อนนำไปให้ผู้ป่วยคือ ตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิ และตรวจหาไวรัสเอดส์
       
       
# รับประทานอะไรหลังบริจาคโลหิต
       หลัง การบริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ควรนั่งพักประมาณ 10 -15 นาที รับประทานขนมหรืออาหารว่าง ดื่มน้ำ/เครื่องดื่ม 1-2 แก้ว แล้วรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ควรงดอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ ตับ ไข่ เลือดหมู เลือดไก่ ผักใบเขียวและผักที่มีสีเหลือง งดสูบบุหรี่หลังบริจาคโลหิตอย่างน้อย ? ชั่วโมง งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และถ้าจะดื่ม ผู้บริจาคโลหิตควรรับประทานอาหารให้มากพอก่อนดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์
       
       เห็นไหมคะว่า หากมีการเตรียมพร้อมก่อนมาบริจาคโลหิตก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อคุณบริจาคโลหิตไปแล้วเท่ากับคุณได้กระตุ้นร่างกายให้สร้างเม็ดเลือดแดง ขึ้นมาใหม่ (เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน) มีผลให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น สำหรับผู้หญิงสามารถบริจาคได้ทุก 6 เดือน ส่วนผู้ชายบริจาคได้ทุก 3 เดือน
       
       คุณเป็นผู้หนึ่งที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ มาร่วมบริจาคโลหิตกับโรงพยาบาลศิริราชได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่ห้องรับบริจาคเลือด ตึก 72 ปี ชั้น 3 นอกจากนี้ยังมีหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ทุกวันจันทร์ ? วันศุกร์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทร. 02-419 8081 ต่อ 110
       
       เลือดท่านเพียงน้อยนิด ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้
       

       

       
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
Neung99k
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



« ตอบ #87 เมื่อ: มกราคม 13, 2010, 11:19:24 AM »

ขอบคุณครับคุณมดแดง สำหรับข้อมูลดีดี Grin
บันทึกการเข้า

http://www.smart90days.com/neung999kk/  ธุรกิจท่องเที่ยวรับเงินแสน
http://www.azpaypoint.com/chitdech  รายจ่ายจะกลับมาเป็นรายได้
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #88 เมื่อ: มกราคม 14, 2010, 12:00:36 PM »

สรรพคุณสมุนไพรแบ่งตามกลุ่มอาการ....ลดไขมันในเส้นเลือด  

กระเจี๊ยบแดง


ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Hibiscus sabdariffa  L.

ชื่อสามัญ : Jamaican Sorel, Roselle

วงศ์ :  Malvaceae

ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ  กระเจี๊ยบเปรี้ย  ผักเก็งเค็ง  ส้มเก็งเค็ง  ส้มตะเลงเครง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้



สรรพคุณ :      กลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล

   1.      เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย
  
   2.      ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด
 
  3.      น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
  
  4.      ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี
 
  5.      น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง
 
  6.      ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ

   7.      เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ

   8.      เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย

    *     ใบ แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก
    
    *     ดอก แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก
    
    *     ผล ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ

    *      เมล็ด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด



          นอกจากนี้ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด ดังนี้คือ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน
          นอกจากใช้เดี่ยวๆ แล้ว ยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

          โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา  (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป

สารเคมี
          ดอก  พบ Protocatechuic acid, hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin

คุณค่าด้านอาหาร
        
 น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
          
น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ
     
ข้อมูลจาก  http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01.htm

 หมายเหตุ ***www. rspg.or.th  = โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 14, 2010, 04:05:38 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #89 เมื่อ: มกราคม 16, 2010, 01:05:10 PM »

กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด

เสาวรส


   
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Passiflora laurifolia  L.

ชื่อสามัญ :  Jamaica honey-suckle, Passion fruit, Yellow granadilla

วงศ์ :  Passifloraceae

ชื่ออื่น : สุคนธรส (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้เถา เถามีลักษณะกลม ใบ เป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักลึก ที่ก้านใบมีต่อมใบ ดกหนา เป็นมันสีเขียวแก่ ดอก ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้อยคว่ำคล้ายกับดวงไฟโคม กาบดอกหุ้มสีเขียว กลีบชั้นนอกเป็นรูปกระบอก ปลายแฉกด้านหลังมีสีเขียวแก่ ด้านในมีสีม่วงอ่อนประกอบด้วยจุดแดง ๆ กลีบชั้นในลักษณะคล้ายกับตัวแฉกของกลีบชั้นนอก สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อนมีประสีแดงแซม กลีบย่อยกลางมีเป็นชั้น ๆ สองชั้นแต่ละกลีบค่อนข้างกลม สีม่วงแก่ พาดด้วยปลายสีขาวสลับแดง มีเกสรอยู่ตรงกลางสีเขียวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรงจัดมาก ผล เป็นรูปไข่หรือไข่ยาว มีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ ผิวผลสีม่วง สีเหลือง สีส้มอมน้ำตาล เปลือกผล เรียบ เนื้อรับประทานได้ มีเมล็ดจำนวนมาก อยู่ตรงกลาง

สรรพคุณ : ลดไขมันในเส้นเลือด

วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ผลที่แก่จัด ไม่จำกัดจำนวน ล้างสะอาด ผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมตามชอบ ใช้ดื่มเป็นน้ำผลไม้ ลดไขมันในเส้นเลือด
         
     
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01_2.htm
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: