Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 67   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อ่าน เพลิน เพลิน  (อ่าน 94177 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #270 เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 12:41:55 PM »

' แ ค่ นั้ น เ อ ง '





















บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #271 เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 12:46:06 PM »

คู่มือชีวิต




































บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #272 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 05:54:18 PM »

รูปภาพ วิธีพับดอกกุหลาบ สอนพับดอกกุหลาบสวยๆ รับวันวาเลนไทน์ 2555



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #273 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 08:23:55 AM »

แค่ .. ความผูกพัน




วันนี้ เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง จนคิดว่าเราขาดไม่ได้…
แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป
สักวันเราจะรู้ว่า สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้
เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต

วันหนึ่ง หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ที่เราคิดว่าเราพึงใจ..ปรารถนา..ต้องการ..ขาดไม่ได้
เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก

เวลา.. จะสอนเราเองว่า ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง
จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้นๆ
อย่าได้ไปยึดติด อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง
คิดเสียว่าเราโชคดีที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก

ความผูกพันก็เหมือนกับความรัก หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก
แต่ความผูกพันที่ว่า ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเองไว้กับสิ่งนั้นๆ
เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่ง

เปรียบเสมือน เรามีแก้วนำอยู่หนึ่งใบ
ในยามเช้า…เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม
พออากาศร้อนหน่อย…เราอาจต้องการน้ำเย็นๆ
บางครั้งที่เราไม่สบาย…เราอาจต้องการน้ำอุ่น

ใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ…
ต้องเติมสิ่งต่างๆ ในเวลาที่แตกต่างกัน ตามความเหมาะสม

หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำ
แล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที ในแก้วใบเดียวกัน
แก้วใบนั้น..ก็จะร้าว..เริ่มแตก ซึ่งก็เหมือนกับใจเรา…

ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่งนั้น..ไม่ผิด
ถ้าเราค่อยๆปรับใจ..ปรับตัวของเราเอง..
ให้กลับคืนในเวลาที่ควร เพราะอย่างน้อยที่สุด..เราก็มีโอกาสได้ผูกพัน
ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาสได้รักนั่นเอง

ถ้าคุณมีความสุขที่เห็นเค้าเดินกับคนอื่น… คือ ความรัก
ถ้าคุณเศร้า..เหงา..คิดถึงเค้า..อยากเจอ..อยากพูดคุย… คือ ความรัก

ถ้าคุณร้อนรนที่เค้าอยู่กับใครๆที่ไม่ใช่คุณ… คือ ความใคร่
อยากเก็บไว้เป็นเจ้าของคนเดียว

ถ้าคุณเมามาย..เค้าลูบหลังไหล่..ดูแล… คือ ความรักที่บริสุทธิ์ใจ
ถ้าคุณเมามาย..เค้ากอดและสัมผัสร่างกาย… คือ ความใคร่จากเค้าของคุณ

ถ้าคุณเข้าหา.. แต่เค้าหนี… … คือ ความใคร่ ที่หมดเยื่อใยแล้ว
ถ้าคุณหนี.. แต่เขาวิ่งตามมา… … คือ ความรัก ที่ยังไม่มีจุดจบ

ถ้าคุณร้องไห้ให้กับคนที่ไม่มีเยื่อใยในตัวคุณ…
คุณคือ คนโง่ และบ้า อย่างน่าอาย

แต่ถ้าคุณพอใจ..จงรัก..และมอบความรักให้กับเค้า…
แม้มันจะไม่กลับมาหาคุณก็ตาม

จงดีใจที่ได้รักซะวันนี้.. ดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจในวันหน้า
จงภูมิใจที่มีความใคร่.. เสน่หา
เพราะมันจะไม่ย้อนกลับมาหาอีกต่อไป…
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #274 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 08:55:30 PM »














บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #275 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 09:14:43 PM »





บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #276 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 09:30:54 PM »

อย่า



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #277 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 09:35:18 PM »

อยู่เป็นคู่ได้อย่างไร เมื่อนิสัยต่างกัน




เมื่อ ชีวิตของคน 2 ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนั้น ไม่มีใครคิดฝันว่าเมื่ออยู่กันไปนานๆ แล้ว จะเกิดปัญหาตามมา ทุกคู่แทบไม่มีใครคิดถึงปัญหาล่วงหน้าต่าง คิดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่ในความเป็นจริงของชีวิต มักจะไม่เหมือนกับความคิดของเราเสมอไป


ความ ยากลำบากของชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกัน จนผันเป็นความทุกข์อีกรูปแบบหนึ่งของชีวิต คือ ความขัดแย้งกันระหว่างสามีภรรยา” ความขัดแย้งของสามีภรรยา ที่พบได้บ่อยๆ มากที่สุด จนอาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีคู่ไหนหลีกหนีปัญหาข้อนี้ไปได้พ้น คือ



” ความขัดแย้งของการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในชีวิตประจำวัน”

ที่ เป็นเช่นนี้เพราะคนสองคนที่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ล้วนมีที่มาต่างกันไปแทบทั้งสิ้น ตั้งแต่การอบรมเลี้ยงดู การศึกษา การคบหาสมาคมกับเพื่อน แต่ละคนต่างมีที่มาต่างกัน เพราะฉะนั้นเมื่อมาอยู่ด้วยกัน ย่อมมีความแตกต่างกัน ในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน เช่นเรื่อง “อุปนิสัยส่วนตัว” บางคนมีอุปนิสัยใจคอ เป็นคนใจร้อนใจเร็ว อยากได้อะไรต้องเอาให้ได้ดังใจทันที ถ้าช้านิดหน่อย จะโกรธ เป็นฟืนเป็นไฟ อุปนิสัยแบบนี้ ตอนที่จีบกันอยู่ อาจไม่เคยหลุดออกมาให้ดูให้เห็น เพราะไม่มีโอกาสที่จะพบเหตุการณ์ ที่แสดงความใจร้อนออกมา แต่พอมาอยู่เป็นคู่ชีวิตกันจริงๆ ทุกวันทุกคืน จะฝืนตัวเองยังไงไม่ให้ความใจร ้อนหลุดออกมาบ้างเลยก็คงยาก



คนที่เป็นคู่ชีวิตอยู่ด้วย ก็คงช่วยทำให้เขาใจเย็นลงไม่ได้

เพราะ มันเป็นอุปนิสัยใจคอที่เปลี่ยนแปลงยาก ความลำบากใจ จึงตกมาอยู่กับคนที่อยู่ด้วย ถ้าทนความลำบากใจจากอุปนิสัยที่แตกต่างกันไม่ได้ ก็จะอยู่ไปอย่างไม่มีความสุข ผลสุดท้ายอาจถึงขั้นแยกย้ายทางใครทางมันก็ได้



เรื่องนี้มีทางเดียว คือ ต้อง ปรับจิตปรับใจของตัวเรา ให้ยอมรับเขาให้ได้ เมื่อพบเหตุการณ์ที่ทำให้เขาใจร้อน เมื่อไหร่เราก็ควรใจเย็น และใช้คำพูดคำจาที่เปรียบเสมือนน้ำเย็นเข้าลูบ คำพูดคำจาที่จะให้ออกมาต้องระมัดระวังให้ดี อย่าเป็นคำพูดที่เป็นเชื้อไฟ ให้ความใจร้อนใจเร็วและความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟโหมแรงขึ้นไปอีก ไม่ควรเป็นคำพูดที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เขาคิดเขาเชื่ออยู่ในขณะนั้น ควรจะพูดเออออห่อหมกกับเขาไปก่อน พูดง่ายๆ คือ พูดอะไรก็ได้ที่จะทำให้ถูกใจเขาความใจร้อนโมโหโกรธาของเขาจะได้ลดลง ช่วงนี้อย่าเพิ่งไปคำนึงถึงข้อเท็จจริงหรือเรื่องของเหตุเรื่องของผล หาทางทำให้คู่ของเราเย็นลงให้ได้ก่อนเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้าพอใจร้อนใจเร็ว ซาลงแล้ว ค่อยมาพูดกันด้วยเหตุด้วยผล ก็จะช่วยทำให้เกิดความเข้าใจกันได้มากขึ้น



ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ อย่า ใช้การพูดเล่นเป็นน้ำเย็นเข้าลูบ เวลาที่อีกฝ่ายใจร้อน โมโหโกรธานั้น เขาไม่มีอารมณ์มาพูดเล่นพูดหัวกับใครหรือไม่มีกะจิตกะใจมาสนุกไปกับคำพูด เล่นของใครได้ ถ้าเราขืนพูดเล่นเพื่อหวังให้เขาเย็นลง จงจำไว้เถิดว่า เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ ถ้าขืนทำกันจริง จะเท่ากับยิ่งเหมือนกับเอาน้ำมันราดใส่กองไฟ ยังไงยังงั้น



ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบยังไงให้คู่ของเราเย็นลง ก็คงมีอีกวิถีทางหนึ่ง คือ

“การเฟดตัวเองออกไปให้ไกลๆ สักระยะหนึ่ง” แต่ก็ไม่ต้องถึงกับออกนอกบ้านไปไหน อยู่ในบ้านนั่นแหละ และคอยชำเลืองดูให้เขาอยู่ในสายตาตลอดเวลาก็พอ เมื่อคนๆ หนึ่งใจร้อนใจเร็วโมโหโกรธา เขาอาจจะระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่ ปล่อยให้เขาระเบิดออกมาให้เต็มที่ เพราะอีกไม่กี่สิบนาทีต่อมา มันจะค่อยๆ ซาลง เย็นลงเรื่อยๆ เมื่อเห็นเขาเย็นลงเมื่อไหร่ เราค่อยเข้าไปเอาน้ำเย็นเข้าลูบ จะ สัมผัสด้วยการจูบ การโอบกันบ้างเพื่อสร้างความอบอุ่นก็ไม่ผิดกติกาอันใด ชีวิตคู่ก็จะอยู่กันได้ต่อไป ถึงแม้อุปนิสัยใจคอจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดินก็ตาม

อย่า ปล่อยให้ความแตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ มาคอยทำให้ชีวิตคู่หดหู่ ถ้าเราปรับจิตปรับใจซะหน่อย ก็จะมีชีวิตคู่อยู่กันอย่างอร่อยเหาะแน่นอน

 
 
จาก mcot
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #278 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 09:03:12 AM »











บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #279 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2012, 07:57:13 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #280 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2012, 08:20:18 PM »

แฟนที่ดีนั้น…เป็นฉันใด



แฟนที่ดีนั้น…เป็นฉันใด  (momypedia)


          เมื่อจะเป็นแฟนกันทั้งที อย่าให้มันง่ายนัก มันจะต้องตกลงกันให้เป็นเรื่องเป็นราว คนรุ่นใหม่หัวใจประชาธิปไตยนะคร้าบ มันก็ต้องมีกติการักษาสิทธิของกันและกันซะหน่อย

          ไม่ใช่ว่าเราไปเอาอย่างความคิดฝรั่งอะไรหรอกนะ ก็บรรพบุรุษเรามาจากระบบคลุมถุงชนนี่ครับ ท่านก็เลยไม่เขียนกติกาแบบนี้ไว้ให้ลูกหลานศึกษา สมัยก่อนจะมีแฟนที งุบงิบมุบมิบกันน่าดู ทีนี้บางคู่ที่เขางุบงิบเก็บงำกันมากไป มาเปิดเผยโล่งโจ้งอีกที เสียหายไปหลายแสนแล้ว

          การที่เราได้ตกลงพูด คุยกันเสียหน่อย จะช่วยให้เราเข้าใจกันและกันดีขึ้น จัดความสัมพันธ์กันให้มันสร้างสรรค์ แล้วก็จะไม่ละเมิดสิทธิหรือความเคารพนับถือต่อกัน

          เรื่องหลังนี้สำคัญนะครับ…บางคนแค่เป็นแฟนกัน คุยกันไม่เท่าไหร่ ควงกันไปดูหนังยังไม่ถึง 5 ครั้งเลย แหม้…วางตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของซะยิ่งกว่าพ่อแม่ซะอีกแน่ะ

          ทีนี้ถ้าเราถูกใจกันแล้วล่ะ ตกลงปลงใจจะ(ลอง)ผูกสัมพันธ์ให้ลึกขึ้นกว่าความเป็นเพื่อน ยกระดับขึ้นเป็นแฟนกันดู แล้วก็ยอมรับกติกาความสัมพันธ์ที่พี่ปราณเสนอไปในคราวที่แล้วได้

           ก็มาถึงเรื่อง”เป็นแฟนที่ดีนั้น เป็นฉันใด”

           อย่างที่เคยพูดไป “เป็นแฟนกัน” โดยความหมายก็คือต้องมีสองฝ่าย โบราณท่านว่า “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง” ถึงสมัยนี้จะใช้นิ้วเดียวจิ้มคีย์บอร์ดให้ออกมาเป็นเสียงตบมือดังๆได้ แต่คำโบราณนี้ก็ยังใช้ได้ดีสำหรับการเป็นแฟน

           จะเรียกร้องเอาจากใครฝ่ายเดียวหาได้ไม่

           ริรัก ต้องไม่ลืมคำว่า “ให้ และ รับ”

           คิดดูสิครับว่า ถ้าน้องหนูจะเป็นแฟนกับนายหนุ่ม น้องหนูสามารถให้อะไรแก่เขาได้บ้าง…ว้ายยย…ให้เขาหมดทั้งกายและ ใจ…ไม่ได้นะหล่อน โดยเฉพาะ กาย …ยังไม่ถึงเวลาครับ




คำว่า”ให้” ในความหมายนี้ก็คือ ให้ความรู้สึกที่ดี เช่น ให้ความเข้าใจ…ให้ได้มั้ย…ได้ความสบายใจ, ความช่วยเหลือสนับสนุน, ความเอาใจใส่, ความเป็นเพื่อนแท้, ความมีส่วนร่วม, ความเชื่อถือ, ความเคารพ, ความรัก, ความอดทน,ความสนุกสนาน ฯลฯ

           ลองให้ต่างคนต่างเขียนออกมาเป็นรายการ พับใส่ซองสวย ๆ แล้วส่งมาแลกกันดูสิครับ ดูซิว่า เราต่างคนต่างให้อะไรแก่กันได้บ้าง

             เขาอาจจะเขียนว่า สิ่งที่ผมสามารถให้แก่น้องหนู คือปกป้องจากผองภยันตราย (ซึ้ง…จัง)

             เป็นสะพานสายกำลังใจให้เธอก้าวข้ามไปสู่ฟากฝั่งแห่งความสำเร็จ (ว้าว…)

             เป็นภูผาให้พักพิงยามเธอท้อแท้หม่นหมอง…(วิ้ด วิ้ว…) …ฯลฯ

           ก็แล้วแต่จะสรรหาวาจามาพร่ำพรรณาล่ะนะครับ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ เขาสามารถให้อะไรแก่เรา เราสามารถให้อะไรแก่เขา ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน

           การเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ต่างฝ่ายต่างได้คิดว่าเมื่อเรามาผูกสัมพันธ์ที่ใกล้ ชิดต่อกัน เราพร้อมที่จะเป็นผู้ให้หรือยัง และถ้าพร้อม …เราจะให้อะไร

           มันเป็นประหนึ่งพันธะสัญญาเล่มน้อย ๆ เล่มหนึ่ง ที่เราต่างต้องบอกตัวเองว่า เราต้องใส่ความพยายามลงไป จึงจะได้มันมา คิด-ฝัน-อยากได้แต่ไม่ลงมือสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์ที่ดีไม่เกิดขึ้นหรอกครับ

           พอ “ให้” แล้วก็มาถึงด้าน “รับ” บ้าง

           บางคนบอกว่า “รักแท้มีแต่ให้” …ขอประทานโทษ นั่นมันมีแต่ในนิยาย

           ในนิยาย นางเอกรึสุดดีเลิศประเสริฐศรี ให้กระทั่งตายจากกันไปข้าง ยังตามไปให้ในสวรรค์อีก

           ในชีวิตจริง รักแท้ ต้องให้และรับอย่างสมดุล ถึงจะยั่งยืนนาน ให้ฝ่ายเดียว รับฝ่ายเดียว ไม่กระซวกกันตายก็หย่ากันไปนักต่อนักแล้ว




ถามตัวเองสิครับว่า หนุ่มอยากได้อะไรจากน้องหนู น้องหนูอยากได้อะไรจากเขาสิ่งที่หนูอยากได้จากหนุ่ม ก็คือ

             ความใส่ใจในทุกข์สุขของหนู (รู้ว่าหนูเป็นคนขี้กลัว เวลาข้ามถนนก็จับมือหนูข้ามถนนบ้าง)

             ความเข้าใจในตัวหนู (รู้ว่าหนูขี้แย เวลาไปดูหนังเศร้าอย่างไททานิก ก็พกผ้าเช็ดหน้าไปเผื่อหน่อย)

             การรับฟังความในใจของหนู(รู้ว่าหนูชอบพูด ไปไหนด้วยกันอย่าใส่ซาวนด์อะเบาต์สิคะ) ฯลฯ

           ที่วงเล็บไว้นั่นพี่ปราณโจ๊กกิ้งนะจ๊ะ น้องหนู หรือนายหนุ่มอยากได้อะไรจากกันก็เขียนให้เขารู้ อย่างตรงไปตรงมา การเขียนให้อีกฝ่ายรู้ก็เป็นเรื่องดีที่จะได้รู้ความคาดหวังของกันและกัน ไม่ใช่ไปเดาเอา พอไม่ได้ขึ้นมาก็เสียอกเสียใจ

           แต่ต้องติงไว้หน่อยนะครับว่า สิ่งที่เราอยากได้จากอีกฝ่ายนั้น ต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้นะครับ ประเภท “น้องหนูอยากได้ดวงจันทร์…” ก็ฝันไปก่อนเถอะ ดีไม่ดีเขาตัดรูปดวงจันทร์ด้านขรุขระมาให้ รังแต่จะโกรธกันไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ

           อีกอย่างหนึ่ง อยากได้พอท้วมๆ พองาม ไม่ใช่โน่นก็จะเอานี่ก็จะเอา แบบนี้ไปสมัครเป็นสาวงามหนุ่มหล่ออยู่ตามหมู่บ้านคานทองนิเวศน์ดีกว่า ไม่ปวดหัวกับใครดี

           ทีนี้เมื่อเขียนแล้ว จะส่งให้เขาไปนั่งอ่านเอง หรือถึงขั้นมาหยิบมานั่งคุยกันได้ ก็จะเป็นการวิเศษสุด

           แน่ละครับ มันคงไม่ง่ายที่จะมาเอ่ยกันในเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เพิ่งนัดคุยกันครั้งแรกก็งัด “ข้อเสนอและข้อเรียกร้อง” ออกมาคนละปึก …มันจะมากไปหน่อย (อย่าว่าแต่วัยรุ่นเลยครับ พี่ปราณผ่านร้อน(อก)ผ่านหนาว(ใจ)มาหลายพรรษายังไม่กล้าทำบ่อย ๆ เลย)

           อาจจะเริ่มพูดคุยกัน ค่อย ๆ ตกลงกติกากัน แล้วก็ค่อย ๆ ยื่นข้อเหล่านี้ตามมาภายหลังก็ได้ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ของคนรุ่นเก่า ๆ ที่เอาให้คนรุ่นใหม่คิดพิจารณา ตะวันตกเขามีวิถีบางอย่างในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนที่น่าสนใจ และอาจเป็นประโยชน์ นั่นก็คือการพูดกันตรงไปตรงมา ซึ่งอาจจะฝืนความรู้สึกแบบไทย ๆ ที่ “ขี้เกรงใจ ไม่กล้าพูดกลัวเขาจะ…”

           ตรงขั้นเป็นแฟน อาจจะยังไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เพราะเรายังไม่ได้ผูกมัดอะไรกันมากมาย แต่ถ้าเราติดเอาความไม่กล้าพูดคุยกันตามติดต่อไปถึงขั้นแต่งงงแต่งงาน …แบบนี้เห็นปัญหามาเยอะแล้ว

           เด็กหนุ่มสาวส่วนใหญ่ มักมีแฟนแบบเผลอไผล ประเภทบังเอิญ มี อยู่เยอะแยะ มันจึงบังเอิญกันไปได้ตลอดทาง บังเอิญเพื่อนยุ บังเอิญฝนตก บังเอิญไม่มีใครอยู่บ้าน บังเอิญหารถกลับไม่ได้ บังเอิญตั้งท้อง บังเอิญพ่อแม่ไม่ยอมรับ …เจ้าตัวน้อยตาดำ ๆ แทบจะต้องชื่อ บังเอิญ

           การมีแฟนเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีนะครับ มีคนพูดว่า “ใครมีแฟนไม่ถึง 3 คนก่อนแต่งงาน คนนั้นมีประสบการณ์ชีวิตไม่พอ” อัน นี้ความจริงก็ขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตของใครของมันละครับ ไม่มีแฟนมาก่อนเลย แต่งงานกันอยู่ยืดยาวมีเยอะแยะ มีครบ 3 แล้วก็เลยหาคนแต่งด้วยไม่ได้ก็ถมไป แต่คำพูดนี้มีแง่คิดให้รู้ว่า การมีแฟน หรือมีความสัมพันธ์ที่เกินกว่าความเป็นเพื่อนทั่วไปของคนวัยหนุ่มสาวนั้น ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่มีคุณค่าได้ ถ้าเราจัดการให้ดี

           มันช่วยให้เราเรียนรู้การรู้จักดูแลเอาใจใส่ใครอีกคนหนึ่ง รู้จักที่จะจัดความสัมพันธ์ระหว่างกันให้งดงาม อบอุ่น หอมหวาน แต่ก็เคารพและเป็นอิสระต่อกันได้ เรียนรู้ที่จะเอาความสัมพันธ์นี้มาเป็นกำลังใจ เป็นแรงสนับสนุนให้เราก้าวไปสู่จุดหมายที่เราใฝ่ฝันได้

           …ถ้าเข้าใจและจัดการได้ดีนะครับ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #281 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2012, 08:37:47 PM »

4วิธีดึงสติสร้างสมาธิ


สำคัญหยุดจิตสับสน ว้าวุ่น ทำสมองปลอดโปร่ง ฝึกง่าย ๆ ด้วย 4 วิธี ปรารถนาจะเรียนหนังสือเก่ง ทำงานดี มีความจำเลิศ อย่าละเลยการสร้าง “สมาธิ” ตัวช่วยสำคัญหยุดจิตสับสน ว้าวุ่น ทำสมองปลอดโปร่ง ฝึกง่าย ๆ ด้วย 4 วิธี

สร้างสมาธิก่อนเรียน หรือ ทำงาน โดยนั่งบนเก้าอี้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหลับตา เพียงให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก กำหนดจุดเพ่งมอง ปฏิบัติประมาณ 5-10 นาที ช่วยขจัดความยุ่งเหยิงทางใจ สมองคลายเครียด พร้อมใช้ความคิด ทั้งยังรับรู้ และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น



ลดความเร็วในการเดิน ให้จิตใจจดจ่ออยู่กับการก้าว สลับกับพิจารณาสิ่งแวดล้อมรอบตัว ช่วยผ่อนคลายความเครียด และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต สามารถประยุกต์ใช้เมื่อเดินเล่น เดินไปเรียน และทำงานได้



รับประทานช้าลง โดยค่อย ๆ ตักอาหาร และเคี้ยวให้ละเอียด ไม่เพียงลดอาการท้องอืด และลดการทำงานหนักของกระเพาะอาหาร ยังเป็นการฝึกรวบรวมสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำด้วย



เลี่ยงคาเฟอีนเข้มข้น แม้คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ลดความง่วง เหนื่อยล้า เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็ว และมีสมาธิขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องได้รับในปริมาณไม่มากเกินไป โดยเฉพาะวัยเรียน อาจลดความเข้มข้นจากการดื่มกาแฟเป็นชาแทน

หากต้องการกำจัดความฟุ้งซ่าน เข้าสู่โหมดสงบ มีสติ ลองสร้างสมาธิด้วยวิธีข้างต้น สามารถฝึกปฏิบัติได้ทุกที่ เมื่อสติมาปัญญาย่อมเกิดแน่นอน.



 
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #282 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2012, 09:20:54 PM »

แทนความรู้สึกที่ดี…ต่อคนที่คุณรัก


จง... เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
จง... อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
จง... ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
จง...โง่พอที่จะ เชื่อในปาฏิหาริย์
จง...เต็มใจจะแบ่ง ปันความสุขของตัวเอง
จง...เต็มใจที่จะ แบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น
จง...เป็นคนแรกที่ แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
จง...เป็นคนสุดท้าย ที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน
จง...มองไปยังจุด หมายปลายทางให้แน่ใจ ว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
จง...มองเพียงแค่ ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
จง... รักคนที่รักคุณ
และจง... รักคนที่ไม่รักคุณแล้วสักวันหนึ่ง ...เค้าอาจจะเปลี่ยนใจ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #283 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2012, 09:22:53 PM »

คติสอนใจ..จากไม้ขีดไฟ เพียงอันเดียว



ชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ

ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเรา

เวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำ

บางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนัก

เพราะนั่น..คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ

เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน

ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น

ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด

ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเรา

บางคน…กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ก็ช่างนานแสนนาน

และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว

จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดา

เมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง

ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ

ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีด

บางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ

ตอนที่ไฟลุกอยู่…อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้

เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้ง่ายๆ

ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนรักของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง

เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว

แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง

ก็จำเป็นที่จะต้องจากไป

แต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้

แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้ให้แก่คนรอบข้าง

และบางที

ก้านไม้ขีดไฟอันนี้…ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต

เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืน

ในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า

ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลืออีกมากมายเหลือเฟือ

แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น

นานวันเข้า..นานวันเข้า

ก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด

พอถึงวันนั้น..

คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้…นอกจากจะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป…

ขอขอบคุณ : ไม้ขีดไฟหลังบ้าน ที่ช่วยจุดประกายความคิดที่ก่อให้เกิดเป็นบทความนี้ขึ้นมา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #284 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2012, 09:35:44 PM »

สัญญา กับ สติ ต่างกันอย่างยิ่ง  



สัญญาความจำต้องประกอบด้วยสติ


สัญญา คือ ความจำ เป็นอนัตตา คือไม่เป็นไปตามความปรารถนาต้องการ

ปรารถนาให้จำไว้ก็ไม่จำ
ปรารถนาให้ลืมก็ไม่ลืม
ปรารถนาไม่ให้จำก็จำ
ปรารถนาไม่ให้ลืมก็ลืม


และความจำที่เป็นสัญญา ก็เป็นความจำที่ตรงไปตรงมาทั้งชิ้นทั้งเรื่อง ดังนั้น สัญญาจึงต้องประกอบพร้อมด้วยสติ เพราะสติเป็นความระลึกได้ที่ประกอบด้วยเหตุและผล สติไม่ได้เป็นความจำแบบสัญญา


“สัญญา” กับ “สติ” ต่างกันอย่างยิ่ง

ความจำคือสัญญานั้น แม้จะตั้งใจรักษาไว้ก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ต้องลืม แต่สติความระลึกได้นั้น เมื่อสติตั้งไว้ รู้เรื่องพร้อมกับรู้เหตุรู้ผล เมื่อมีสติระลึกได้ ก็จะระลึกได้พร้อมทั้งเหตุทั้งผลทั้งปวง


สัญญาความจำกับสติความระลึกได้ มีความแตกต่างกันที่สำคัญอย่างยิ่ง ในเรื่องเดียวกัน สัญญาอาจเป็นคุณ แต่ก็อาจเป็นโทษ ส่วนสติเป็นแต่คุณไม่เป็นโทษ ความพยายามมีสติระลึกรู้ จึงเป็นความถูกต้อง และเป็นไปได้อย่างยิ่งกว่าพยายามจดจำด้วยสัญญา
 

ความจำอันเป็นสัญญานั้นมีผิด เพราะมีลืมและมีโทษเพราะไม่ประกอบพร้อมด้วยเหตุผลความรู้ถูกรู้ผิด โทษของสัญญาคือความไม่สงบแห่งจิต แตกต่างกับความไม่ลืมมีสติระลึกได้ ซึ่งประกอบด้วยพร้อมด้วยเหตุผล ความรู้ถูกรู้ผิดอันเป็นปัญญา


และปัญญานั้นไม่มีโทษ มีแต่คุณ มีแต่นำไปสู่ความสงบแห่งทุกข์ ความสงบแห่งจิต และจิตยิ่งสงบเพียงใด ยิ่งตั้งมั่นเพียงใด ปัญญายิ่งสว่างรุ่งโรจน์มีพลังเพียงนั้น

 
 
ขอบคุณ dhammajak.net
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 67   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: