Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 67   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อ่าน เพลิน เพลิน  (อ่าน 94312 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #210 เมื่อ: กันยายน 04, 2011, 02:20:17 PM »

ความสุขสร้างได้… แค่เปลี่ยนมุมมอง






บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #211 เมื่อ: กันยายน 04, 2011, 02:22:30 PM »

สัจธรรมในถังขยะ

เรื่องของเรื่องคือ วันนี้จะทิ้งขยะ

หลังจากนั่งมองมันซักพักนึง

ก็คิดอะไรขึ้นมาได้




อยู่ ๆ ก็คิดว่าคุณการเลือกที่จะทิ้งขยะในถังสองถังเนี๊ย


มันก็เหมือนการตัดสินใจในชีวิตของคนเราเลย

ระหว่าง

...

เลือกทำตามคนหมู่มาก ถึงจะผิด แต่ก็มีคนผิดเป็นเพื่อนเต็มไปหมด ไม่แปลก ไม่แยก ไม่โดดเด่นดี

กับ

--

เลือกที่จะทำตามความถูกต้อง แต่มันกลับสวนกระแสสังคม

แถมอาจจะกลับกลายเป็นว่าถูกสังคมตราหน้าว่าผิดไปซะก็ ได้


หลังจากทิ้งขยะแล้ว ก็ลองไปถามเพื่อนเล่นว่า

"ถ้าเป็นแกแกจะเลือกทิ้งถังไหน"

ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะทิ้งตามคนส่วนใหญ่ไปซะมากกว่า

อืม....อาจจะเป็นเพราะนิสัยคนไทยล่ะมั้ง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #212 เมื่อ: กันยายน 04, 2011, 02:27:09 PM »

จิตซ่อมได้ กรรมแก้ไม่ได้



ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรรมและจิตนั้น เป็นเรื่องยากจะหยั่งรู้ให้ทั่วถึง แต่ง่ายที่จะทำความเข้าใจและสังเกตหลักฐานในตนได้

บาปกรรมที่ทำไว้แล้ว หวนกลับไปเปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีผลอย่างใดอย่างหนึ่งรออยู่ เปรียบเหมือนเราส่งแรงถีบจักรยาน อย่างไรจักรยานก็ต้องมีแรงขับให้พุ่งไป เราไม่มีทางย้อนเวลาหวนกลับไประงับแรงถีบ

แต่ เรามีสิทธิ์ใส่แรงใหม่เข้าไป เช่น บีบเบรกมือเพื่อให้เกิดการห้ามล้อ หรือเอาเท้าลงลากพื้นเพื่อให้เกิดการชะลออยู่หยุดตัว ได้ เทคนิคการเบรกมีหลายแบบ และบางวิธีก็อาจพิสดารจนคนทั่วไปไม่ค่อยคิดทำ เช่น ส่ายหน้าจักรยานไปมาให้เกิดแรงเสียดทาน หรือไม่ก็ยกล้อชี้ฟ้าดื้อๆ เพื่อใช้เท้าทั้งสองเป็นตัวปักหลักหยุด

ถามว่าเราแก้ตรงที่ส่งแรงถีบหรือเปล่า ไม่ใช่ครับ เราแก้ด้วยการใส่แรงต้านเข้าไปต่างหาก

กรรม ก็เหมือนกัน เราแก้แบบให้มันเจ๊าๆ กันไปไม่ได้ แต่เราเพิ่มกรรมใหม่ในทางตรงข้ามเข้าไปให้ของเก่าเจื อจางได้ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าเปรียบว่าละลายเกลือด้วยน้ำจำน วนมากๆ รสเค็มย่อมเจือจางหรือไม่ก็หายไปเลย ทั้งที่เกลือก็ยังอยู่ตรงนั้น

ส่วน เรื่องของจิตนั้น เรามักได้ยินกันว่าจิตตก จิตเสีย อันนี้เห็นชัดหน่อยว่าตรงข้ามกับตกคือขึ้น ตรงข้ามกับเสียคือคืนสภาพ เป็นเรื่องที่ทำกันไม่ยาก ซ่อมแก้วยังยากกว่า เพราะจิตไม่มีตัวตนเปราะบางเหมือนแก้ว แต่จิตเป็นธรรมชาติภาวะที่เปลี่ยนง่าย เป็นดวงกุศลบ้าง เป็นดวงอกุศลบ้าง ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยเป็นขณะๆ

กรรม ในอดีตอาจตกแต่งให้บางคนมีจิตเศร้าหมองเป็นประจำ และเมื่อภาวะใดเกิดขึ้นบ่อยๆ เจ้าตัวย่อมอุปาทานว่ามันจะเป็นของติดตัวตลอดไป แก้ไม่ได้ ความจริงก็คือเมื่อฝึกเจริญสติ สังเกตรู้ตามจริง จะพบว่าเมื่อใดเราพบจิต รู้วิธีที่จะเห็นภาวะของจิตที่ปรากฏต่อหน้าต่อตา เมื่อนั้นสติก็ช่วย "ซ่อม" จิตให้เดี๋ยวนั้น เพราะสติเป็นเหตุใกล้ให้เกิดกุศล เกิดความสว่าง เกิดภาวะทางธรรมชาติดีๆ ขึ้นภายใน แม้ความเศร้าหมองเพิ่งเล่นงานอยู่หยกๆ พอเกิดสติเห็นว่า จิตเศร้าหมองสักแต่เป็นภาวะมืดๆ มัวๆ หาตัวตนบุคคลเราเขา มนุษย์หรือสัตว์ใดไม่เจอ สติที่เกิดขึ้นแทนที่นั้นก็ยังจิตให้เปลี่ยนแปลงทันท ี สมกับที่คัมภีร์บอกไว้ว่าเมื่อเกิดสติเท่าทันอกุศลจิ ต อกุศลจิตจะเปลี่ยนเป็นมหากุศลในทันที

แต่ก็เหมือนกับ รถนะครับ เสียแล้วซ่อมผิด แทนที่จะกลับคืนดี กลายเป็นเสียหนักเข้าไปใหญ่ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ศึกษาจิตตานุปัสสนาของพระพุทธเจ้า จะซ่อมจิตด้วยความเครียด ด้วยความอยากเร่งให้ฟื้นคืนดี แท้จริงเป็นการเพิ่มเหตุให้จิตหม่นหมองเป็นอกุศลเข้า ไปใหญ่

ทิ้ง เหตุให้จิตเศร้าหมอง เช่น สะใจกับการย้ำคิด ย้ำตรึกนึก สร้างเหตุให้จิตสดใส เช่น คิดอภัย คิดเลิกรา และใส่เหตุให้จิตเบิกบานบริสุทธิ์ คือคิดยอมรับตามจริง จิตแย่ก็ยอมรับว่าแย่ จิตสว่างขึ้นนิดหนึ่งก็ยอมรับว่าสว่างขึ้นนิดหนึ่ง จิตคลายก็ยอมรับว่าจิตคลาย จิตกลับมาแย่อีกก็ยอมรับว่าแย่อีก เท่านี้แหละ สติก็เกิดขึ้นและค่อยๆ ผูกกันเป็นแพกุศล พาลอยข้ามฝั่งจากความยึดมั่นว่าจิตคือเรา ไปสู่ฝั่งแห่งความทิ้งว่าเราคือจิตเสียได้



ดังตฤณ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #213 เมื่อ: กันยายน 05, 2011, 08:56:05 PM »

เธอหนึ่งคน ฉันหนึ่งใจ



เธอหนึ่งคน ฉันหนึ่งใจ
บางครั้งก็เป็น..เรื่องแปลก ในความสัมพันธ์ของคน..สองคน ความผูกพันยิ่งใกล้ แต่กับความเข้าใจเหมือนยิ่งห่าง หลายๆคนอาจเคยพยายามค้นคว้า หาคำตอบ ว่าเพราะอะไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่คำถามก็ยังคงเป็นคำถามเรื่อยมา จนวันสุดท้าย..มาถึง

ฉันอาจจะเป็น..แค่คนหนึ่งใจ ที่รู้ดีกับหนทาง..ของใจ
ฉันอาจจะเป็น..แค่คนหนึ่งใจ ที่รู้ตัวว่าไม่ดีพอ..เหมือนใคร
และ ฉันก็รู้ดีว่า..ควรอยู่กับความเป็นจริง ในสิ่งที่เป็น..มากกว่า


เธออาจจะเป็น..แค่คนหนึ่งคน ที่ต้องการให้คนที่รัก..เข้าใจเธอ
เธออาจจะเป็น..แค่คนหนึ่งคน ที่หวังดีให้ชั้นเป็น..เหมือนใคร
และ เธอก็ยังคงอยู่ตรงนั้น แต่กับฉัน กับรู้สึกว่ามันช่างเหมือนไกล..แสนไกล..ที่จะ..เป็นจริง


ซึ่งสัญญาทางหัวใจที่เคยมอบให้กันและกัน ถ้ามันเป็นเพียงแค่คำพูด โดยไม่เคยมีการกระทำ ที่ตอบรับมาให้อีกคนรู้สึกว่า คำว่า รัก ที่มอบให้ไปนั้นมันจริง ย่อมกลายเป็นการสร้างความเจ็บปวดให้อีกคน อย่าง...มากมาย

บางสิ่งที่ทำของเธอหนึ่งคน..อาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรยังคงรักษา คำว่า รัก..ได้ดี
บางสิ่งที่ทำของเธอหนึ่งคน..อาจจะมองแค่นั้นเอง ไม่เคยคิดอะไร..เป็นอื่น
และบางสิ่งที่ทำของเธอหนึ่งคน..อาจจะดูเหมือนเข้าไม่ถึง หัวใจของคนที่เธอ เคยบอก..รัก


บางอย่างของฉันหนึ่งใจ..อาจจะพยายามหาคำตอบว่า เธอยังรักษา คำว่า..รัก ของเรา..ได้แค่ไหน
บางอย่างของฉันหนึ่งใจ..อาจจะผิดเอง ที่มองงต่างมุมในความรักที่..เธอให้มา
และบางอย่างของฉันหนึ่งใจ..อาจจะต้องกลับมาทบทวน ในคำว่า..รัก ที่มอบให้..เธอไป


ความอดทน..ไม่เคยเดินเคียงคู่กับความรักได้ตลอด หากแต่เป็น..ความเข้าใจ ต่างหาก ที่ต้องใช้ให้เป็นและเข้าให้ถึงหัวใจของคำว่า..ความเข้าใจ หากไม่แล้ว ทุกๆอย่าง ทุกๆความรู้สึกในรัก จะค่อยๆหมดลงด้วยตัวของมันเอง ซึ่ง คำว่า..เราเข้ากันไม่ได้ จะเข้ามาแทนที่โดย..ปริยาย

ซึ่งคนที่รักกันจริงด้วย..หัวใจ ที่ไม่ใช่รักอย่างเป็น..หน้าที่นั้น จะสามารถสัมผัสเข้าถึง ใจของอีกคนได้โดยธรรมชาติของความรัก รู้ได้ด้วยหัวใจว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่นั้น หรืออะไรหลายๆสิ่ง ที่ทำอยู่นั้น อีกคนจะคิดอย่างไร โดยที่ไม่จำเป็นที่ต้องใช้ความชำนาญหรือเรียนรู้เลยสักนิด เพียงแค่ใช้หัวใจสัมผัสคำว่า..รัก และ..ใจเธอใจฉัน

เพราะสิ่งสำคัญสำหรับคนที่รักกันคือ อันดับความสำคัญ คนที่สำคัญที่สุดของหัวใจ ย่อมต้องอยู่ในอันดับต้นๆ แต่ถ้าการกระทำอะไรบางอย่าง หรือ อะไรๆอีกหลายสิ่ง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสำคัญนั้น ไม่สามารถสัมผัส คำว่า..รัก จากการกระทำของอีกคน มันจะยังเรียกว่า คนที่รักกัน และ เป็นคนสำคัญ..ได้เช่นไร

สุดท้ายเมื่อความเคลือบแคลง สงสัย เกิดขึ้นในหัวใจของอีกคนนานวันไป สุดท้ายคำว่า..รัก ก็ไม่ต่างอะไรกับคำว่า..เจ็บทั้งหัวใจ

ท้ายที่สุดก็คงไม่พ้น คำว่า.เราเข้ากันไม่ได้
ท้ายที่สุดก็คงไม่พ้น คำว่า..เราสิ้นสุดกัน..เพียงเท่านี้
และท้ายที่สุดของ บางคนอาจจะ ไม่เหลือเวลาดีๆ ในหัวใจให้คิดถึงเลย..สักครั้ง


เมื่อยังไม่พบกันที่ครึ่งทางหัวใจ สุดท้ายก็คงต้องสิ้นสุดลงสักวัน การเลิกลากันไม่ใช่..เรื่องยาก หากแต่เรื่องที่ยากที่สุด..ของคนสองคน คือ ทำอย่างไร ให้เรากลับมาเป็นเหมือน..เช่นเคย


“บางสิ่งจากไปแล้วอาจจะ กลับมาได้เพราะ..ยังผูกพัน
แต่บางอย่าง ถ้าจากไปเพราะหมดใจ ก็คงยากจะ..กลับมา”



ขอบคุณที่มา  ::  http://seangjun.exteen.com/20090921/entry
 
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #214 เมื่อ: กันยายน 05, 2011, 09:03:23 PM »

5 สิ่งสำคัญที่มักคิดได้เมื่อสายไป



นี่เป็น 5 อันดับแรกที่คนส่วนใหญ่มักเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ขณะยังที่พวกเขายังแข็งแรงดีอยู่...


1. "ฉันอยากจะมีชีวิตที่เป็นของตัวเอง แทนที่จะเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็น"

          นี่เป็นอันดับแรกสุดที่หลายคนปรารถนาอยากให้มันเกิดขึ้นขณะที่พวกเขายังมีกำลังวังชาดี ณ เวลาปัจจุบันที่พวกเขามองย้อนกลับไป จึงได้พบว่ามีหลายความหวังและความฝัน ที่เขายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะเริ่มต้นลงมือทำ พอมานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่มีกำลังเหลือที่จะต่อสู้เพื่อความฝันอีกต่อไป ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาล้วนแต่วิ่งไล่ตามสิ่งที่คนอื่นอยากเห็นเขาทำ อยากให้เขาเป็น จนลืมไล่ตามความฝันของตัวเอง

          ในหนึ่งชีวิตที่ได้เกิดมานั้น การได้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่เราใฝ่ฝันถือว่าสำคัญที่สุด ถึงจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยขอเพียงให้ได้ลงมือทำ เพราะหากละทิ้งปล่อยให้มันผ่านล่วงเลยไปจนวันที่สุขภาพไม่เอื้ออำนวยแล้ว แม้จะอยากไล่ตามความฝันแค่ไหนก็ทำไม่ได้อีกต่อไป


2. "ฉันไม่น่าจะทุ่มเททำแต่งานมากขนาดนั้น"

          คนไข้ชายแทบทุกคนพูดเช่นนี้กับเธอ เพราะผู้ชายพวกนั้นล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว และรับผิดชอบในการหาเงินมาจุนเจือดูแลสมาชิกในบ้าน เมื่อมองย้อนกลับไปพวกเขาจึงไม่อาจระงับความเสียใจได้ ที่ไม่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ และภรรยาให้มากกว่านี้ พวกเขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เอาแต่โหมทำงานหนักจนละเลยการใช้เวลากับครอบครัว ...มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราจะเพิ่มเวลาว่างให้แต่ละวันในชีวิต และใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นกับบุคคลอันเป็นที่รัก มีความสุขในแต่ละวันมากขึ้น และไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อสายเกินไปแบบนี้ด้วย

3. "ฉันน่าจะได้พูดเรื่องนั้นออกไป"

          คนไข้หลาย  ๆ คนเสียใจที่ตัวเองไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดออกมา หลายคนเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ หรือผิดใจกับผู้อื่น จนทำให้อาการป่วยหลาย ๆ อย่างพัฒนาขึ้นมาจากความเครียดที่ต้องเก็บงำสิ่งเหล่านี้เอาไว้นั่นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงกล่าวได้ว่าผู้ป่วยของเธอไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริงออกมาเลย

          ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถควบคุมความคิดของอีกฝ่ายที่จะมีต่อเราได้ การที่เราได้พูดในสิ่งที่ใจคิดออกไป  แม้อาจทำให้อีกฝ่ายไม่พึงใจ แต่มันก็จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับบุคคลนั้นไปในทิศทางใหม่ที่ตรงไปตรงมาและจริงใจต่อกัน และคุณเองก็ไม่ต้องอึดอัดใจกับการที่ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไปได้ด้วย


4. "ฉันอยากใช้เวลากับเพื่อนสนิทให้มากกว่านี้"

          หลายครั้งหลายหนนักที่กว่าเราจะเข้าใจความสำคัญและยิ่งใหญ่ของมิตรภาพก็เมื่อเวลาล่วงเลยจนสายเกินไป คนไข้จำนวนไม่น้อยของเธอต่างรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้เวลาในการบำรุงรักษามิตรภาพเก่าแก่ของตน ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ยุ่งและเร่งรีบเสียจนเวลาในหนึ่งวันไม่เหลือพอให้คิดถึงสหายที่เคยกอดคอร่วมกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิต หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาโหยหามากที่สุดก็คือความรักจากมิตรสหาย อยากพบหน้า อยากพูดคุย อยากใช้เวลาด้วยกันให้มากกว่าที่ผ่านมา

5. "ฉันอยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่านี้"


          คนไข้ที่พูดเช่นนี้หาได้ไม่พอใจในความเป็นอยู่ของชีวิตที่เคยเป็นมา แต่เป็นเพราะว่าเมื่อมองย้อนกลับไป พวกเขากลับพบหนทางมากมายเหลือเกินที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้มากกว่าเดิม แต่พวกเขากลับไม่เลือกเดินทางนั้น ที่ผ่านมาพวกเขาใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตที่เป็นอยู่ให้ต่างไปจากเดิม โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลง นั้นจะเป็นไปในทิศทางใด จะดีหรือว่าร้าย ทำให้ชีวิตย่ำอยู่บนกรอบแคบ ๆ อันเดิม กิจวัตรในแต่ละวันคงเดิม ไม่มีความแปลกใหม่ ไม่มีสีสันที่จะทำให้ชีวิตน่าจดจำเลย

          ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาเองก็มีสิทธิ์เลือก เลือกทางเลือกที่จะหนีไปให้พ้นความซ้ำซากจำเจนี้ ในใจลึก ๆ แล้วทุกคนก็อยากจะกลับไปหัวเราะให้เต็มเสียงหรือทำตัวไร้สาระบ้าง ซึ่งคงมีเวลาทำมากว่านี้ ถ้าไม่มานึกได้เมื่อสายเกินไป

          จากทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ ดู ๆ แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ใคร ๆ ก็คิดได้ แต่คงด้วยความเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่เอง หลายคนจึงได้มองข้ามมันไป เพราะคิดว่าทำเมื่อไรก็ได้ แต่คำว่าเมื่อไรนั้นก็มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน และเมื่อมันสิ้นสุดลงในวันที่กายของเราทรุดโทรม ไร้กำลังทำสิ่งใด ๆ ได้แต่ปล่อยเวลาที่เหลือไปกับการคิด คิดถึงสิ่งที่อยากจะทำ แต่ยังไม่เคยได้ทำ และคงสายเกินไปแล้วที่จะทำ
   
          อย่าลืมว่าชีวิตที่เกิดมานี้คุณเป็นคนเลือกและกำหนดได้เอง เพราะฉะนั้นขอให้เลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกอย่างจริงใจต่อตนเอง แล้วก็ขอให้เลือกที่จะมีความสุข... ที่สำคัญเลือกและลงมือทำก่อนที่เวลาจะสายเกินไปนะคะ

 
 
 

 

โดย :จิ้มจุ่ม ( สมาชิกไอดีที่ 124883)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #215 เมื่อ: กันยายน 05, 2011, 09:09:07 PM »

32 กำลังใจ.....และน่าคิดนะ  



1. ไม่ ได้เรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่ความล้มเหลว ความล้มเหลวคือความคิดที่ว่าตนเองไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตหากไม่ได้ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย

         2.  โลกนี้ไม่มีงานสกปรก งานสกปรกคืองานของคนใจสกปรกเท่านั้น โลกนี้ไม่มีงานต่ำต้อย งานต่ำต้อยคืองานของคนที่คิดว่าตนเองไม่มีค่าเท่านั้น


         3.การ ศึกษาไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่ตำรา ไม่ใช่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ประกาศนียบัตร ไม่ใช่ปริญญาบัตร หากคือความสามารถที่ยกระดับของปัญญา และปัญญานั้นไม่ใช่เป็นเพียงความคิดเท่านั้น หากคือความเมตตาด้วย ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ใช่การพัฒนาสมองส่วนเดียว หากเป็นการยกระดับจิตใจและวิถีชีวิตด้วย


       4.การใช้ชีวิตก็เหมือนการชักว่าวกลางสายลมแรง คุณไม่มีเวลามาเปิดตำราว่าต้องทำอย่างไร


      5.หาก มีคนเคยพิชิตยอดเขาสูงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยร่ำรวยมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยสร้างสรรค์งานชั้นเยี่ยมมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยใช้กำลังใจฝ่าอุปสรรคใหญ่หลวงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้มาแล้วสักครั้งหนึ่ง ย่อมพิสูจน์ว่าเราก็ทำได้เช่นกัน

       6.ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากโชคไม่น่าภูมิใจเท่าความสำเร็จเล็กน้อยด้วยมือของเราเอง

       7.สรรพ ชีวิตล้วนมีหน้าที่ของมัน เมฆให้ฝน ต้นไม้ให้อากาศเราหายใจ แมลงผสมเกสร ฯลฯ ทำงานของท่านให้ดีที่สุด ฟันเฟืองตัวเล็กที่สุดก็มีส่วนในการขับเคลื่อนโลก

       8.มดหนึ่งตัวขนของที่หนักกว่ามันหลายสิบเท่า น่าขันที่เราซึ่งอวดตัวว่าฉลาดกว่ามันกลับทำงานได้น้อยกว่ามัน

       9.อย่า อ้างว่าเวลาน้อยทำงานอะไรไม่ได้ เวลาหนึ่งนาทีของผึ้งสามารถดูดน้ำหวานจากดอกไม้กลับบ้าน หนึ่งนาทีของมดสามารถขนเมล็ดข้าวที่หนักกว่าตัวมันไปไกลโข หนึ่งนาทีของปลวกสามารถสร้างรังของมันให้สูงขึ้น

      10.ใบไม้เก่าร่วงหล่นจากต้นลงสู่โคนเพื่อเป็นปุ๋ยให้ตัวมันเอง ประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตเป็นอาหารวิเศษให้เราเจริญเติบโตขึ้น


        11.เคยเห็นผึ้งฆ่าตัวตายไหม
       
        12.เคยได้ยินมดบ่นไหม
       
        13.เคยได้ยินแมงมุมนินทาชาวบ้านไหม
       
        14. หรือว่าพวกมันรู้ว่ามีเวลาเหลือบนโลกนี้เพียงเล็กน้อย จึงไม่ยอมเสียเวลาทำเรื่องที่ไร้ความหมาย

        15.บาง ครั้งเราต้องกล้าเผชิญชีวิตในโลกอย่างหนอนที่ไชผลแอ๊ปเปิ้ลจากจุดหนึ่ง โดยไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ตรงไหน นั่นทำให้การเดินทางนั้นพิเศษ

         
          16.คลื่น ลูกใหม่ทุกลูกล้วนต่อยอดมาจากซากของคลื่นลูกเก่า ประวัติศาสตร์มีไว้ศึกษาประสบการณ์ของคนอื่น จงเรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของคนอื่น ใช้ประโยชน์จากมันเฉกเช่นว่ามันเป็นของเรา
       
       
         17. ความ รักธรรมชาติมิได้หมายถึงการเดินทางไกลไปชมสวนใหญ่โต มิใช่การเกลือกกลิ้งบนผืนทรายขาวริมทะเล หรือการเดินทางขึ้นยอดภูเพื่อชมโลก ความรักธรรมชาติอาจเป็นเพียงการดูเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นตามทาง การดูซากร่วงโรยของสรรพสิ่ง และสามารถพิศวงถึงความงามของความจริง

         18. ผ่านสี่ห้าปีในมหาวิทยาลัยโดยไม่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ก็เหมือนการเรียนทฤษฎีที่ไม่เคยมีภาคปฏิบัติ

        19. สังคมของเราตอนนี้เต็มไปด้วยคนที่เป็นทุกข์ สังเกตจากคนที่ต้องพูดโทรศัพท์ในโรงหนังโดยไม่สามารถมีความสุขง่าย ๆ สักชั่วยามเดียว

         20. หากไม่มีกลางคืน หิ่งห้อยคงไม่สามารถเปล่งแสงแสนสวยออกมาให้เราชม หากไม่มีอุปสรรค เราก็คงไม่มีวันใช้ขีดความสามารถของเราถึงที่สุด

          21. ทุก ๆ นาทีมีตัวตนของมันเพียงแวบเดียวและไม่หวนกลับมาอีก น่าเสียดายหากต้องเสียมันไปกับการบ่น การก่นด่าโชคชะตา การคร่ำครวญ การนินทา

          22. อกหักก็เหมือนเป็นหวัด ติดง่ายหายง่าย ยังไม่เห็นมีใครตายเพราะโรคนี้สักคน

          23. ภาพถ่ายที่รีบร้อนล้างมักมืดไป ข้าวที่รีบร้อนหุงมักสุกไม่ทั่ว อาหารที่รีบร้อนปรุงมักไม่อร่อย ทำไมต้องรีบร้อนหาแฟน?

         24. การรีบร้อนหาแฟนก็เหมือนการเดินทางไกลโดยไม่ตรวจสภาพรถก่อน

        25. หนังสือก็เหมือนวิตามิน กินชนิดเดียวตลอดเวลาไม่ได้ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

         26. คบเพื่อนไม่ดีก็เหมือนพบหนังสือที่ทุกหน้าว่างเปล่าและยังอ่านต่อไป


        27. น่าตลกไหมที่บางคนมือหนึ่งถือปริญญาบัตรแนบแน่น อีกมือหนึ่งทิ้งขยะตามที่สาธารณะ ‘ ปริญญาบัตรไม่มีความหมายอะไรเลย หากเรายังไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากความคิดที่ว่าปริญญาบัตรยังคือทุกสิ่ง ‘ จงใช้เพื่อนเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ให้นำทาง ‘ ความสนุกของการเรียนรู้คือการลุ้นค้นพบความรู้ใหม่ ๆ ที่เรายังไม่ได้เรียนรู้

         28. ระบบ ที่เลิกยากที่สุดในสังคมคือระบบทาส ไม่ว่ามองไปในทิศทางไหน ก็เห็นแต่ทาสวัตถุ ทาสเงินตรา ทาสมือถือ ทาสรถยนต์ ทาสยี่ห้อสินค้า ทาสชื่อเสียง น่าขันที่บางคนเห็นโซ่ตรวนเป็นเครื่องประดับ

         29. โลก คือแม่ของเรา แม่ผู้เจ็บปวดทุกครั้งที่เราตอบแทนแม่ด้วยการทิ้งขยะ รมแม่ด้วยควันบุหรี่และควันพิษ สาดกายแม่ด้วยสารเคมี ทำลายปอดของแม่ด้วยการลิดรอนต้นไม้ ........... แม่ร้องไห้ด้วยน้ำท่วม หยาดน้ำตาคือฝนที่ตกลงมาผิดเวลา สะอื้นแรงจนแผ่นดินแตกระแหง ........... แต่เพราะแม่ให้อภัยเราเสมอ อาจยังไม่สายเกินไปที่จะทดแทนคุณแม่อีกครั้ง

         30. จงผัดวันประกันพรุ่งต่ออบายมุขทุกชนิด

         31. คำ ว่า แม่ ในความรู้สึกของผมเป็นมากกว่าความรัก เป็นการเรียนรู้ชีวิตอย่างหนึ่ง บางสิ่งฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกผมมาตลอด บางสิ่งที่ขาดหายไป นั่นคือผมไม่เคยบอกว่ารักแม่เลยในชีวิต ไม่เคยกอดแม่ เมื่อแม่จากไปอย่างถาวร ผมเกิดความรู้สึกว่าได้สูญเสียโอกาสที่งดงามที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตไปตลอด กาล

ผมไม่ใช่คน เดียวที่ประสพกับธรรมเนียมของครอบครัวจีนแบบเก่าที่เห็นว่า การบอกรักคนที่เรารักเป็นเรื่องแปลก เพื่อนชาวไต้หวันคนหนึ่งเคยเล่าว่า เมื่อเธอกลับจากการเรียนต่อที่อเมริกากลับบ้าน แม่ไปรับที่สนามบิน เธอโผเข้ากอดแม่ทั้งที่ตลอดชีวิตไม่เคยทำอย่างนั้น แม่ของเธอมีสีหน้าตกใจอย่างใหญ่หลวง! ผมเรียนรู้ออกจะช้าไปหน่อยว่า เมื่อรักใครก็ควรแสดงออกมาให้เขารู้ แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะบอกคนอื่น ๆ ว่า ไปเยี่ยมแม่ของคุณวันนี้ บอกรักแม่ของคุณเสียก่อนที่แม่ของคุณจะไม่ได้ยินคำบอกรักนั้น หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเสียดายมากไม่ใช่หรือ
     


      32. ไม่จำเป็นต้องเป็นไก่เท่านั้นถึงจะมี �อารมณ์ขัน

โดย :จิ้มจุ่ม ( สมาชิกไอดีที่ 124883)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #216 เมื่อ: กันยายน 05, 2011, 09:17:47 PM »

ไม่ยอมแพ้แก่โชคชะตา
โดย พระไพศาล วิสาโล



คุณจะรู้สึกอย่างไร หากทั้งชีวิตมีแต่เรื่องร้ายๆ หนักๆ ประดังประเดเข้ามา ตั้งแต่เกิดก็เกือบจมน้ำตาย โตขึ้นก็สูญเสียแม่ พ่อป่วยหนัก มีน้องๆ ต้องดูแลหลายคนทั้งๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ครั้นแต่งงาน ก็มีลูกพิการ สุดท้ายสามีก็ทิ้ง แล้วยังมาเจอเนื้องอดที่มดลูก ผ่าตัดลำไส้เหลือแค่ครึ่งเดียว จากนั้นก็ถูกรถชน กระดูกคอหัก รอดตายแล้วก็ไปเจออุบัติเหตุรถยนต์อีก แขนหักสองท่อน และตับแตก อายุไม่ถึง ๕๐ แต่กระดูกผุราวคน ๘๐ แล้วยังไม่รู้ว่าจะเจออุบัติเหตุอีกกี่ครั้ง เจอแบบนี้แล้ว คุณยังคิดอยากอยู่อยากยิ้มให้กับชีวิตนี้อีกหรือ ?

แต่สำหรับ คุณเกษมสุข ภมรสถิตย์ ชีวิตนี้ไม่เคยเลวร้ายเกินทน เธอยังยิ้มให้กับชีวิตได้เสมอ ไม่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหรือหวั่นหวาดอนาคต เพราะมั่นใจว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้

พูดอย่างคนโบราณ ชีวิตของเธอเหมือนกับเกิดมาเพื่อรับกรรม ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง ๒ เดือนพี่เลี้ยงก็ทำหลุดมือตกน้ำ เกือบจะหลุดเข้าไปใต้โป๊ะท่าน้ำ แต่เดชะบุญมีคนคว้าไว้ได้ทัน ทั้งน้ำและน้ำมันเข้าปาก พออายุได้ ๘ ขวบก็จมน้ำอีก ผุดทะลึ่งขึ้นมาครั้งที่ ๓ พ่อถึงเห็นและเกี่ยวขึ้นมาได้ทัน จมน้ำปางตาย ๒ ครั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจอแดดร้อนๆ ไม่ได้ มีอันต้องเป็นลม ร้องไห้ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นลมสลบ จนใครๆ หาว่าสำออย

เรียนมหาวิทยาลัยแค่ปี ๒ แม่ก็เสีย พ่อทำใจไม่ได้ ช็อคหัวใจวาย กลายเป็นคนป่วยนับแต่นั้น ไม่นานบ้านก็ถูกยึดเพราะเป็นหนี้ อายุแค่ ๑๙ ปีเธอกลายเป็นกำลังหลักคนเดียวของครอบครัวที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อและน้องๆ ทั้ง ๕ คน

ไม่ได้หดหู่ท้อใจในชะตากรรม เป็นความรู้สึกของเธอในตอนนั้น โดยหารู้ไม่ว่าเคราะห์กรรมยังจะตามมาอีกมาก



เธอแต่งงานก่อนวัยเบญจเพส เมื่อคลอดลูกก็พบว่าลูกพิการ เพราะหมอใช้คีมคีบหัวออกมาอย่างไม่ถูกต้อง สมองจึงเติบโตได้ไม่เต็มที่ หมอทำนายว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก ๙ ปี แต่เธอก็เลี้ยงดูเอาใจใส่จนลูกอายุ ๒๐ กว่าแล้ว

คลอดลูกมาได้ปีกว่า ก็พบว่าเป็นเนื้องอกที่มดลูก ปรากฏว่าหมอตัดส่วนที่ดีทิ้งไป จึงต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้มดลูกที่เหลือถูกตัดทิ้งหมดรวมทั้งรังไข่ด้วย ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมน ครั้นกินฮอร์โมนทดแทน ก็แพ้ เลยเป็นโรคกระดูกผุนับแต่บัดนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างผ่าตัด โรคกระเพาะเกิดกำเริบ จนตัวบวมเขียว หมอต้องเปิดท้องตัดลำไส้จนเหลือเพียงครึ่งเดียว

อายุไม่ถึง ๒๖ เธอก็มีอวัยวะไม่ครบเหมือนคนปกติ แถมมีลูกพิการที่เสี่ยงต่อความตาย แม้เธอจะรักษาชีวิตของตนและของลูกได้ แต่แล้วก็ต้องสูญเสียเสียสามี ชีวิตครอบครัวที่มีแต่ปัญหาทำให้เธอกับเขาตัดสินใจแยกทางกัน

เจออย่างนี้แล้วเธอยังทำใจได้ ไม่คิดโทษใคร หรือน้อยใจในชีวิต

เคราะห์กรรมยังซ้ำเติมไม่จบ ราวกับจะทดสอบจิตใจของเธอ วันหนึ่งขณะที่รถติดไฟแดง ก็มีรถเมล์เบรกแตกวิ่งมาชนรถของเธอ แรงกระแทกทำให้กระดูกคอของเธอซึ่งผุอยู่แล้วหักทันที และไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาต เดชะบุญที่สามารถรักษาให้หายได้หลังจากนอนแน่นิ่งในโรงพยาบาลเกือบ ๒ เดือน

หลังจากครั้งนั้นแล้ว ก็เจออุบัติเหตุอีก รถของเธอเลี้ยวโค้งแล้วไปชนกับเสาไฟฟ้า กระดูกที่แขนของเธอหักออกจากกัน ห้อยร่องแร่ง แถมยังถูกก้านเกียร์ทิ่มใต้ชายโครงขณะช่วยคนขับหักพวงมาลัยหลบคอสะพาน ผลก็คือตับแตก

เธอยังต้องเจออุบัติเหตุอีกหลายครั้ง แม้แต่วันที่ไปออกรายการ "เจาะใจ" ก็ยังมีรถยนต์มาชนท้าย กระเทือนที่คอและหลัง แต่เธอก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร ทนได้ ต่อเมื่อถ่ายทำรายการเสร็จแล้ว จึงไปให้หมอตรวจและรักษาที่โรงพยาบาล

วันนี้เธออายุ ๕๒ และไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้าอีก แต่เธอก็ยังมีขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต

คงมีไม่กี่คนในโลกนี้ที่เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่หยุดหย่อนอย่างคุณเกษมสุข ยกเว้นคนที่เจอภัยสงครามหรืออดอยากหิวโหยปางตายแล้ว จะมีสักกี่คนที่ลำบากลำเค็ญเท่าเธอ

แต่แปลกไหมที่เธอไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนกับชีวิตที่เต็มไปด้วยเคราะห์กรรมเลย ถ้าชะตากรรมมีจริง เธอเป็นคนหนึ่งที่ย้ำเตือนว่าเราสามารถเอาชนะชะตากรรมได้ ไม่ได้ชนะที่ไหน หากชนะที่ใจนั่นเอง

ชีวิตของเธอบอกให้เรารู้ว่า คนเราจะทุกข์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรมากระทบกับเรา แต่อยู่ตรงที่เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้น หรือทำอย่างไรกับมันต่างหาก แม้จะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราทำใจรับได้ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม แม้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่ถ้าเราคิดว่ามันน้อยเกินไป ทำให้รวยไม่พอหรือไม่เท่าคนอื่น เมื่อนั้นใจเราก็เป็นทุกข์ทันที

หลายครั้งที่ความเดือดร้อนของคุณเกษมสุขเกิดขึ้นจากฝีมือคนอื่นแท้ๆ เช่น หมอที่ใช้คีมคีบหัวลูกแรงเกินไป ตัดมดลูกผิดข้าง แม้แต่รถจอดนิ่งอยู่ ก็ยังมีรถคนอื่นมาชน ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง แต่เธอไม่เคยเสียเวลาไปโทษคนอื่น เล่นงานเขา หรือก่นด่าชะตากรรม หากคิดเพียงว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร และรักษาใจให้เป็นปกติได้อย่างไร

ตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเพราะกระดูกคอหัก หมอเอาเหล็กแหลมเจาะเข้าไปในกระโหลกทั้ง ๒ ข้างเพื่อป้องกันไม่ให้คอเขยื้อนขยับ เธอเจ็บมาก แต่เห็นว่าถ้าตนใจเสีย หมอและน้องๆ ก็ใจเสียไปด้วย เธอเลือกที่จะทำใจให้ปกติ ไม่ตีโพยตีพาย เพราะ "ถ้าต้นตอไม่ตีโพยตีพายเสียก่อน คนรอบข้างก็อยู่ได้ และกำลังใจนั้นมันก็จะถูกส่งกลับมาที่เราอีกที"

ไปๆ มาๆ ปรากฏว่า คนป่วยกลับมีจิตใจสบายกว่าคนมาเยี่ยมเสียอีก จนกลายเป็นที่ปรับทุกข์ให้แก่คนรอบข้าง แต่เธอไม่ใช่พระอิฐพระปูน ฟังเรื่องพวกนี้มากๆ ก็ทุกข์ได้ง่ายๆ ทางออกของเธอก็คือ "จับ (คนมาเยี่ยม) นั่งสมาธิเสียเลย จะได้ไม่มีเวลาพูดเรื่องอะไรที่มันร้อนใจ"

กลายเป็นว่าคนป่วยกลับเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่คนปกติ แทนที่จะตรงกันข้าม

สิ่งสำคัญที่ประคองใจไม่ให้ทุกข์ร้อนไปกับเหตุร้ายก็คือสติ สติอ่อนเมื่อไหร่ ใจก็จะโวยวายตีโพยตีพาย โทษคนโน้นคนนี้ จนลืมจัดการกับตนเอง ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นใด น้องๆ คุณเกษมสุขเล่าว่า ตอนเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า คุณเกษมสุขโทรศัพท์บอกที่บ้านอย่างเรียบๆ ธรรมดาว่า "ไม่เป็นไร แต่คิดว่าตับแตก" สติเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเบา อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เลวร้ายลงไปอีก ทั้งยังช่วยให้เราแก้ไขสถานการณ์ด้วยปัญญาอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง

ใครที่คิดว่าตัวเองทุกข์หนักหนาสาหัสแล้ว ลองนึกถึงชีวิตของคุณเกษมสุข อาจจะได้คิดว่าตนนั้นยังโชคดีอยู่มากเมื่อเทียบกับเธอ แต่เท่านั้นยังไม่พอ น่าจะได้คิดต่อไปอีกด้วยว่า สุขทุกข์นั้นแท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ถึงจนก็สุขได้ ถึงป่วยก็ยิ้มได้ แม้จะพลัดพรากสูญเสียแค่ไหน ก็ยังมีสิทธิแช่มชื่นแจ่มใสได้ แต่ถ้าทำใจไม่เป็นเสียแล้ว รวยแค่ไหน มีอำนาจมากเพียงใด ทรวดทรงงดงามเพียงใด ก็ยังทุกข์อยู่นั่นเอง

จะเจออะไรมาก็แล้วแต่ ข้อสำคัญประการสุดท้ายก็คือ อย่ายอมแพ้ต่อชะตากรรม อย่าปล่อยใจไปกับ ความลำเค็ญ ความล้มเหลว และความเศร้าโศกท้อแท้ ในยามร้ายไม่มีอะไรดีกว่าการปลุกใจให้อดทน เข้มแข็ง สดชื่น และเปี่ยมด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้
 
 
 
 
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #217 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 03:49:22 PM »

การที่เราจะรักใครสักคน



การที่เราจะรัก ใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงไปรักเขาได้

แต่ให้ รู้ไว้ว่าทุกวันนี้เรารักเขาและต้องรักให้ดีที่สุดก็พอ


การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องสนว่าหนทางข้างหน้าจะมี อุปสรรคมากมายแค่ไหน

แต่ควรนึกขอบคุณโชคชะตาที่สร้างให้มีอุปสรรค เพื่อให้เราทั้งสองได้ร่วมฟันฝ่าไปด้วยกัน


การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปเสีย เวลาคิดว่าเขาทำอะไรเพื่อเราบ้าง

แต่ให้มานั่งถามตัวเองดูว่า วันนี้เราทำอะไรเพื่อคนที่เรารักแล้วหรือยัง



การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องไปมัวระแวงว่าเขาจะไปมี ใครอื่นนอกเหนือจากเรา

แต่ควรระวังใจของตัวเองให้เข้มแข็งพอที่จะ ไม่รับใครเข้ามาในใจอีก


การที่เราจะรักใครสักคน ...ไม่ต้องไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตของเขา ......ว่าเขาเคยมีใครยังไง แต่ให้คิดไว้ว่าทุกวันนี้มีเขาและเราอยู่ด้วยกัน...อดีต..ถึงอย่างไรก็คือ อดีต


การที่เราจะรักใครสักคน...เมื่อ ทะเลาะกัน คำว่าแพ้หรือชนะ ก็ไม่สำคัญ .....เราจึงยอมให้เขาเป็นฝ่ายชนะเสมอ ถ้าทำให้เขาสบายใจ

การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควร พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเขา

แต่ควรพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับเขาจะดี กว่า


การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ควรหูเบา

เพราะ อาจทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนที่เรารักได้


การที่เราจะรัก ใครสักคน...ไม่จำเป็นต้องบอกรักกันทุกวัน

เพราะการที่เราคอยห่วงใย กันอยู่เสมอๆ ก็สามารถทดแทนคำว่ารักได้ดี ....แม้สักล้านคำ


การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่เกี่ยวกับ สิ่งของนอกกายใดๆเลย

เพราะความรักไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน หรือแลกมาได้ด้วยทรัพย์สิน


การที่เราจะรักใครสักคน...ไม่ต้องคอยนับว่าเขามีข้อเสียมาก มายสักกี่ข้อ

เพราะข้อดีของเขาก็มีมากพอที่จะทำให้เราลืมข้อเสีย ทั้งหมดของเขาได้


การที่เราจะรักใครสักคน....ไม่จำเป็นต้อง ตัวติดกันตลอดเวลา

แค่เรามีเขาอยู่ในใจทุกนาทีก็พอ



การที่เราจะ รักใครสักคน...อย่ารอที่จะบอกรัก
ให้รีบบอกคนที่เรารักซะ
ก่อนที่จะ ไม่มีเขาคนนั้นให้บอกอีกต่อไป...


การที่เราจะรักใครสักคน...แม้ว่าอาจทำให้เราตาบอด

แต่ ก็ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจ ว่าความสุขจากการที่ได้รักใครสักคน  มันมีมากมายแค่ไหน


การที่เราจะรักใครสักคน...จงเชื่อมั่นในตัวเขาให้มากๆ

การที่เราจะรักใครสักคน...ง่ายยิ่งกว่าการ พยายามลบเขาออกไปจากหัวใจ


...ความรัก สอนให้เราได้เรียนรู้หลายๆสิ่ง

ความรักเป็นบทเรียนดีๆ

ที่ไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ ถ้าไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง

ความรัก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้เราเข้าใจอะไรๆมากขึ้น

ความรัก ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ

นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้

....จากการที่เราได้....รัก....
ใคร สักคน...

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #218 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 04:05:48 PM »

ใครที่กำลังออกเดทและอยากให้ผู้ชายคนนั้นหลงรัก วันนี้มีวิธีมาแนะนำ...



-  ความมั่นใจ
ผู้ชายส่วนใหญ่มักมองหาความมั่นใจในตัวผู้หญิงเป็นอันดับ แรก ซึ่งสังเกตได้จากการทักทาย น้ำเสียง และการสบตา หากคุณสามารถพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติก็ถือว่าชนะใจเขาไปเกือบครึ่งแล้ว


-  ความเพอร์เฟ็กต์
ผู้หญิงที่ดูดี ไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือแม้แต่กระทั่งเล็บเท้าที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างกิ๊บเก๋ มีสไตล์ มักทำให้ผู้ชายคิดว่า เธอดูเพอร์เฟ็กต์เกินไปหรือดูเชี่ยวเกินไป ซึ่งอาจหมายความรวมไปถึงเจ้าชู้มากเกินไป


- ความเซ็กซี่
แน่นอน ผู้ชายชอบมองผู้หญิงที่ความเซ็กซี่อยู่แล้ว แต่ความเซ็กซี่ก็ไม่ได้ตัดสินจากหน้าตาหรือเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงกิริยาท่าทาง น้ำเสียง และการใช้สายตาด้วย ถึงแม้ว่าคุณเกิดมาหน้าตาไม่สวย แต่หากฉลาดที่จะแสดงออก อย่างเช่น แทนที่จะทักทายเฉย ๆ ก็ลองสบตาสักครู่ พร้อมกับแย้มริมฝีปากนิด ๆ ก็ทำให้คุณ กลายเป็นสาวที่น่าค้นหา


- โสดหรือเปล่า
ผู้ชายส่วนใหญ่จะแอบสังเกตว่า คนที่ปลื้มอยู่นั้นมีเจ้าของหรือยัง ซึ่งมองได้จาก หากมีชายหน้าตาดีเดินผ่านมา หญิงที่มีแฟนอยู่แล้วจะทำได้แค่มองเพียงแวบเดียว แต่ถ้ายังโสดอยู่ อาจถึงขั้นหันไปทั้งตัวได้เลย


- นิสัยชอบชิงดีชิงเด่น
กรณีที่คุณกำลังดินเนอร์กับชายหนุ่มอยู่นั้น เผอิญมีหญิงไม่ทราบที่มาเดินเข้ามาทักเขาเฉยเลย แถมยังทำมึนไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาอีกด้วย ถ้าหากคุณเกิดโวยวายและมองอย่างเกรี้ยวกราดละก็ เขาคงไม่แฮปปี้แน่ ๆ แต่ถ้าคุณทำสุขุมและนิ่งเฉย นั่นแหละจะสร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างไม่รู้ลืมเลย


- สายตาจ้องจับผิด
เมื่อคุณถูกแนะ นำให้รู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่ง อย่า! ใช้สายตาเพื่อสแกนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียว เพราะผู้ชายคงจะไม่ชอบแน่ หากโดนจับจ้องด้วยสายตาแบบนี้


- ความเป็นมิตร
ผู้ชายส่วนมากมักมองหา ความเป็นมิตร ความเรียบง่าย ๆ สบาย ๆ และมีอารมณ์ขันในตัวหญิงสาว เพราะเขาจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องออกเดทกับคุณ


รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากให้ผู้ชายที่ออกเดทด้วยหลงรัก ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #219 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 04:07:52 PM »

ลึก ๆ ♥...ในใจ



คนที่ ไ ม่ เ ค ย มีความรัก ...
ลึกๆ ...เฝ้ารอให้มันเดินทางผ่านเข้ามา

คนที่ เ ริ่ ม มีความรัก ...
ลึกๆ ...เฝ้าหวังให้มันเป็นรักที่ดี ที่ไม่พรากจากไปไหน

คนที่ เ ริ่ ม ม อง เห็นอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ...
ลึกๆ ... อยากให้ความรักกลับมาเป็นเหมือนเดิม

คนที่ จ ำ เ ป็น ต้องยุติความรักเอาไว้ ...
ลึกๆ ....เจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่ก็จำเป็นต้องเลือกทางที่ทรมานใจ

และคนที่ ก ำ ลั ง ก อ ด ตัวเองอย่างเดียวดาย ...
ลึกๆ ...ก็อยากให้มีใครสักคนมาโอบกอด

ลึก ๆ ... ในใจ ??
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #220 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 04:12:28 PM »


วันดี ดี ที่มีเธอ



ค น บ า ง ค น….อาจมีความสุขกับการนั่งดูหนังคนเดียวในวันหยุ ด

ค น บ า ง ค น….อาจมีความสุขกับการเดินเที่ยวคนเดียวในวันว่า ง

ค น บ า ง ค น….อาจชอบเดินลำำพังบนหนทาง

ค น บ า ง ค น….ชอบเหงา้บ้างเป็นบางวัน

แต่ สำ ห รั บ ฉั นทีมีเธอในวันนี้

นับเป็นเรื่องที่โชคดีกว่าวันนั้น

วันที่ต้องนั่งเหงาเพียงลำัพัง

แต่วันนี้ข้างใจฉันนั้นมีเธอ……

นับเป็นเรื่องดีดีอีกหนึ่งวันที่ยังมีกันและกันและอย ู่

ไม่รู้เหมือนกันว่าวันพรุ่งนี้เราสองคน

จะยังคงยืนอยู่บนหนทางเดียวกันหรือไม่ หรืออาจต้องเดินแยกทาง…..

แต่วันนี้ไม่เสียใจที่รักเธอ

เ พ ร า ะ มั น วั น ดี ดี อี ก ห นึ่ ง วั น ที่ มี เ ธ  อ

♥..วันดีดีที่มีเธอ♥○


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #221 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 04:21:33 PM »

ให้โอกาสหัวใจได้ลองดู



*.:。~ ให้โอกาสหัวใจได้ลองดู ~。:.*


ถ้าวันนี้เธอต้องรับใครเข้ามา...


ที่เคยมีน้ำตา........ฉันก็อยากให้เธอลืม


ที่เคยเสียใจปวดร้าว....

ฉันก็อยากให้เธอเก็บไว้ในลิ้นชักของอดีต

เพราะฉันรู้....ยังไงเธอก็ไม่มีวันลืมความเจ็บช้ำนั้นได้หรอก....

ฉันจึงให้เธอเก็บไว้มากกว่า "ฝืนใจให้ลืม"


วันนี้....ถ้ามีใครมาเคาะประตูหัวใจของเธอ


อยากให้เธอกล้าที่จะเปิดรับคน-คนนั้น...

อย่าให้อดีตเปรียบเสมือนแม่กุญแจ...ที่ล็อคเธอไว้...




ให้นั่งอยู่ข้างในเพียงคนเดียว....

อีกทั้งยังไม่ยอมที่จะรับใครเข้ามานั่งเป็นเพื่อน...

ผ่อนปรนความรู้สึกของตัวเอง.....ให้มีความยืดหยุ่น...



การเปิดรับใครอีกคนเข้ามา....


ไม่ได้หมายความว่า....เราจะต้องเจ็บซ้ำอีกครั้ง...

แต่ถ้าเผอิญ.....




เผอิญเธอต้องเจ็บในการตัดสินใจครั้งนี้อีก...


ไม่ต้องกลัวนะ...


มาหาฉันได้เสมอ....

ฉันจะให้ไหล่เธอพิง...


ฉันจะให้ 2 แขน โอบกอด....


ฉันจะคอยซับน้ำตาเธอด้วยความรัก...


ฉันจะปลอบประโลมด้วยความห่วงใย...


 ฉันพร้อมจะยืนเคียงข้างเธอ...



โดยเฉพาะเวลาที่เธอไม่มีใคร.....

เรียนรู้เขาคนนั้น.....ไปในแต่ละวัน....



อย่างน้อยเราก็ได้เพื่อนเพิ่มเข้ามาในชีวิตอีก 1 คน

หากไม่สามารถมอบความรักแบบ "คนของใจ" ให้แก่เขาได้...


ก็อย่าฝืน.... ถ้ามันไม่ได้..
....ทั้งเราและเขา "ก็รู้กัน"



และความรักแบบเพื่อนมิตร.......ก็จะยังคงอยู่....

ไม่ง่ายที่จะรู้จักใครสักคนอย่างคุ้นเคย...


เพราะต่างต้องใช้เวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน...


เริ่มคบ...เริ่มเรียนรู้...ไม่ได้หมายความว่า





เธอจะต้องรักเขาเลยทันที....

คงความเป็นตัวเองไว้....


อย่างที่เป็นอยู่ทุกวัน......


แล้วทั้งเราและเขาจะรู้คำตอบ...


"ว่าเราสามารถไปด้วยกันได้ดีหรือไม่"

เวลาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกกันได้...


ก็น่าจะให้ "หัวใจของเรา" ได้ลองดู





ขอบคุณที่มา  ::  http://www.fasaivariety.com/read.php?tid=7512
 
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #222 เมื่อ: กันยายน 10, 2011, 04:27:30 PM »

ความรัก



ความรักเกิดกลางใจ สุดที่ใครจะแบ่งปัน
เช้าค่ำพร่ำไหวหวั่น คิดถึงฝันอันยาวไกล

ความรักได้บังเกิด สุดแสนเพริดเลิศวิไล
รักวาบหวามทรวงใน ด้วยฝันใฝ่ใจผูกพัน

ความรักผูกพันจิต หวังเชยชิดสนิทกัน
ดุ่มเดิมบนทางฝัน แบ่งปันกันฝันสุขใจ

ความรักหวานซาบซึ้ง แสนตราตรึงซึ้งทรวงใน
หวานล้ำฉ่ำฤทัย สุขสดใสในกมล

ความรักฉาบด้วยพิษ ด้วยแรงฤทธิ์รักเลอล้น
รักตอบมอบเปรอปรน ยามไกลพ้นหมองหม่นใจ

ความรักรอนอารมณ์ แสนตรอมตรมขมทรวงใน
รักร้างมาห่างไกล แทบหม่นไหม้ใจร้าวรอน

ความรักเป็นเช่นนี้ ดลฤดีทั้งเย็นร้อน
สุดแสนจะบั่นทอน เมื่อรักจรจากหทัย

ความรักเหมือนโคถึก จงตรองตรึกนึกด้วยใจ
รักนั้นเป็นฉันใด จงครวญใคร่ให้จงดี



เครดิตพี่ยิ้มใสใส
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #223 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2011, 07:44:36 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #224 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2011, 07:51:02 PM »

รักแรกคือสบตา
รักต่อมาคือยิ้มให้
รักต่อไปคือทักทาย
รักสุดท้ายI love you...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 02, 2011, 07:54:23 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 67   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: