jainu
|
 |
« ตอบ #585 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 09:03:50 PM » |
|
คุณใช้ชีวิตคุ้มหรือยังกับเวลาที่ผ่านมา  นอกจากเรื่องของความรักที่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในชีวิตแล้ว คุณผู้อ่านเคยถามตัวเองไหมว่า เวลาที่ผ่านมา คุณได้ใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้วหรือยัง เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้อนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครตอบได้ว่าตายไปจะได้กลับมาเกิดอีกไหม หรือชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร อยากให้คุณผู้อ่านได้ลองคิดทบทวนดูว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาเคยได้ทำสิ่งเหล่านี้บ้างไหม
ทำดีกับคนที่เรารัก แปลกที่คนเรามักจะไม่ค่อยใส่ใจหรือสนใจคนรอบๆตัวเวลาที่เรามีความสุข แต่กลับจะนึกถึงเมื่อเวลาที่เรามีความทุกข์ นอกจากความคิดที่ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอนนั้น ในทางกลับกันชีวิตของคนที่เรารักก็เช่นกัน คงไม่มีใครตอบได้ว่าใครจะจากโลกนี้ไปก่อนกัน การทำดีกับคนที่เรารักนั้นจึงเป็นสิ่งแรกในชีวิตที่คุณควรจะทำ เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่คุณไม่เคยได้ทำดีกับคนที่คุณรักเลยซักครั้ง นอกเหนือจากคนที่เรารักยังรวมถึงคนที่รักเราด้วย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูงที่สนิทกับเรา ดูแลใส่ใจ ให้อภัย บอกรัก ขอโทษ ประหนึ่งว่าทุกวันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ทำตามความฝันความตั้งใจ คนเรามีความชอบและความฝันแตกต่างกัน ฝันอยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่ แต่จะมีซักกี่คนบนโลกนี้ได้ทำความฝันตัวเองให้เป็นความจริง คงจะมีเพียงคนส่วนน้อยที่สามารถทำฝันให้เป็นจริง คนอีกส่วนที่พยายามทำความฝันให้เป็นจริง และคนส่วนใหญ่ที่ได้แต่คิดว่าอยากจะทำแต่ไม่ทำอะไรเลย ลองถามตัวเองดูว่าที่ผ่านมาคุณจัดอยู่ในคนประเภทไหน ต่อให้คุณพยายามทำแล้วมันไม่สำเร็จอย่างน้อยคุณยังได้ชื่อว่าเป็นคนที่ได้พยายามที่จะทำตามความฝันของคุณแล้ว
ทำสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่อยากทำอาจจะเป็นคนละเรื่องกับความฝัน สิ่งที่อยากทำก็มีมากมายในชีวิตคนเราแต่ข้อแม้สำคัญของมันก็คือ ทำแล้วต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น อาจเป็นการไปเที่ยวในที่ๆอยากไป อยากทำสิ่งของเครื่องใช้ อยากเรียนรู้ความรู้ในศาสตร์ต่างๆที่ไม่เคยทำมาก่อน
ช่วยเหลือคนอื่น ตอบแทนสังคม การตอบแทนสังคมหรือช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าคุณคือหนึ่งในคนที่พอเพียงกับสิ่งที่มีอยู่ และรู้สึกเพียงพอกับความอยากของตนเองแล้ว การช่วยเหลือผู้อื่นและการตอบแทนสังคมเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะทำเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ บนโลกนี้นอกจากคนที่เดือดร้อนจากสภาวะร่างกาย โรคร้าย ครอบครัว สังคม รวมทั้งสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ยังต้องการความช่วยเหลือยังมีอีกมากมาย ถ้าคุณได้ลองซักครั้งนึง คุณผู้อ่านจะต้องติดใจที่จะทำซ้ำอีก เพราะสิ่งที่ได้กลับมามันคือความสุขที่จะอยู่ในใจของคุณไปตลอดชีวิต
ปฎิบัติธรรม หลายครั้งที่อ้างอิงถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม คนบางส่วนที่เห็นด้วยหรือว่าปฏิบัติอยู่แล้ว คงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่เคยปฏิบัติคงจะส่ายหน้าร้องยี้กัน การปฏิบัติธรรมนี้คงไม่ต้องถึงกับนุ่งขาวห่มขาว ปลีกวิเวกเข้าป่ากัน อาจเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน อ่านหนังสือธรรมะ ทำบุญตักบาตร หรือว่าไปปฏิบัติธรรม หรืออย่างน้อยที่สุดคือการปฏิบัติให้อยู่ในศีลในธรรม ถ้าคุณไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เชื่อว่าแต่ละศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ลองเอาชีวิตไปติดกับธรรมะหรือศาสนาแล้วคุณจะรู้สึกว่าไม่เสียดายที่เกิดมาชาติแล้วก็ได้นะ
“เสียดาย” เป็นคำที่พูดกันเมื่อไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ อยากให้คุณผู้อ่านได้ทำสิ่งที่คุณอยากทำอย่างเต็มที่ ใช้ชีวิตให้คุ้มกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ไม่รู้สึกเสียดายว่าไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ และจะได้ไม่ต้อง”เสียใจ”เมื่อเวลาที่เราต้องจากโลกนี้ไปด้วย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 18, 2013, 09:24:34 PM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #586 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 09:08:24 PM » |
|
ชีวิตอาจเต็มไปด้วยทุกข์ แต่ก็งดงาม ชีวิตอาจเต็มไปด้วยทุกข์ แต่ก็งดงาม
ชีวิตอาจเต็มไปด้วยทุกข์ แต่ก็เต็มไปด้วยสิ่งงดงามน่าอัศจรรย์ด้วย
ดังเช่น ฟ้าคราม สายแดด และนัยน์ตาของเด็กน้อย อย่าเพ่งเล็งแต่ด้านทุกข์ ... เราต้องสัมผัสด้านงดงามน่าอัศจรรย์ของชีวิตด้วย
ทั้งหมดล้วนอยู่ในเราและรอบๆตัวเรา.. ทุกเวลาและสถานที่...
หากเราไร้สุข ขาดสันติภายในใจ ... ย่อมไม่อาจแบ่งปันสันติและความสุขกับผู้อื่นได้... แม้เขาจะเป็นคนที่เรารักและอยู่ร่วมชายคาเดียวกันก็ตาม แต่ถ้าเรามีสันติสุข... เราจะยิ้มและแย้มบานได้อย่างดอกไม้... ทุกคนในครอบครัวตลอดรวมถึงสังคม... ...จะได้รับอานิสงส์จากสันติภาวะของเรา
เราต้องพยายามเป็นพิเศษหรือไม่ในการชื่นชมความงามของฟ้าคราม เราต้องฝึกเสียก่อนจึงจะดื่มด่ำความงามดังกล่าวได้กระนั้นหรือ
เปล่าเลย... เราดื่มด่ำได้ทันที... แต่ละวินาทีของชีวิต เราสามารถดำเนินไปเยี่ยงนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด... เราสามารถชื่นชมสายแดด ชื่นชมการปรากฎอยู่ของกันและกัน หรือกระทั่งชื่นชมความรู้สึกขณะหายใจได้
เราไม่จำเป็นต้องไปชื่นชมฟ้าครามถึงเมืองจีน ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปถึงอนาคตเพื่อจะชื่นชมลมหายใจ
เราสามารถสัมผัสทั้งหมดนั้นได้เดี๋ยวนี้... คงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าเราตระหนักเห็นแต่ด้านที่เป็นทุกข์.. .
ขอบคุณบทความจากทำดีดอทเน็ต(จั่นเจา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #587 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 09:14:59 PM » |
|
บันได 5 ขั้นสู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่า บันได 5 ขั้นสู่ชีวิตใหม่ที่มีค่าและเป็นสุข
หลาย ๆคน มักจะพร่ำสัญญากับตัวเองเสมอว่า ฉันจะเป็นคนใหม่ ที่สดใส สำเร็จและเป็นสุข เอาหละค่ะ บางทีการตั้งเป้าเอาไว้ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ แล้ว ไม่ลงมือปฏิบัติการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง อะไร ๆ มันก็ไม่ดีขึ้นจริงไหมคะ หรือถ้าหากว่าใคร ไม่รู้จะเริ่มต้นลงมือกันอย่างไร ก็ลองมาใช้วิธีการที่เรียกว่า บันได 5 ขั้น นี้ดูค่ะ
บันไดขั้นที่ 1
มองตัวเองว่าดีและมีคุณค่าทุกวัน โดยที่ตื่นนอนมา ก็จงยิ้มกับตัวเอง และบอกกับตัวเองว่า "เรานี่ช่างโชคดีจริง ๆ " จากนั้น ก็นึกถึงคุณงามความดี หรือสิ่งดี ๆ ที่เราได้เคยทำเอาไว้ เช่น เมื่อวานช่วยพาคนแก่ข้ามถนน อย่างนี้เป็นต้น นอกจากนั้นให้อวยพรตัวเองเสมอ อย่าเอาแต่แช่งตัวเอง มองจุดดี และเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง
บันไดขั้นที่ 2
มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี นอกจากจะมองตัวเองดีแล้ว ก็จงถ่อมตัว ถ่อมใจตัวเองด้วย โดยคิดว่า ทุก ๆ คนก็มีความสามารถทั้งนั้น ซึ่งอาจจะเด่น อาจจะเก่งในแง่มุม ในเรื่องที่แตกต่างกัน อย่างเช่นว่า มีโทรศัพท์มาก็ให้คิดว่าคนดี ๆ โทรมาบอกเรื่องดี ๆ คิดอย่างนี้เสมอจนกลายเป็นนิสัยของเราไปเลยจะยิ่งดี
บันไดขั้นที่ 3
วันนี้ให้ดีที่สุด นั่นคือให้เราอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ให้ยอมรับเพราะว่าเราทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว และให้คิดต่อไปว่า ในอนาคตเราจะทำให้ดีกว่านี้อีก
บันไดขั้นที่ 4
มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ ถ้าเราเชื่อและบอกกับตัวเองเช่นนั้นเป็นประจำ กำลังใจก็จะเกิดจะมีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่เกรงกลัว หัดเป็นคนมีความหวัง และมีอารมณ์ขันในชีวิตเสมอ
บันไดขั้นที่ 5
ปรับปรุงตัวเองเสมอ ทั้งในแง่ของการทำงาน ครอบครัว สังคม และตนเอง โดยในส่วนของการงานนั้น ก็ให้ขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัวเสมอ ครอบครัวก็ต้องคิดในสิ่งที่ดีต่อกัน รู้จักให้อภัยกัน ไม่อิจฉา ระแวง แข่งขัน มีน้ำใจ และเกรงใจกัน ด้านสังคม ก็ให้หมั่นสร้างมิตรเสมอ ช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนด้านของตนเองนั้น ก็ให้พัฒนาตนเองเพื่อลบปมด้อย ภูมิใจในตนเอง ตามความเป็นจริง อย่าผัดวันประกันพรุ่งนี้อีกเลย มาเริ่มไต่บันไดเพื่อไปสู่ชีวิตที่มีความสุขได้เลย
ที่มา:fwmail
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #588 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 09:22:15 PM » |
|
ทำดีเพราะอยากทำ หรือ ทำดีเพราะอยากดี  พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑
" พวกเราปฏิบัติแบบใจร้อนกัน หวังจะให้ได้เลยในทันที ขนาดหลวงปู่ปานท่านยังใช้เวลาในการศึกษาปฏิบัติเป็นเวลากว่า ๘ ปี จึงจะเป็นที่ยอมรับแบบนี้ เราลองถามใจตัวเองก่อนว่า เวลาทำความดี เราทำเพราะเราพอใจที่จะทำความดีนั้นจริงๆ หรือทำเพราะอยากให้คนอื่นเห็นว่าเราดี ว่าเราเก่ง ถ้าคิดแบบนี้พอทำๆ ไปแล้วไม่ได้อย่างใจหวัง จะรู้สึกไม่พอใจในการปฏิบัติ จะท้อ ใจร้อนกระวนกระวายว่าทำเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ได้สักที แต่ในขณะที่เราทำความดีเพราะเราพอใจในความดี ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าอย่างไรเราก็ไม่รู้สึกกระวนกระวายใจหรือใจร้อน อยากได้แบบท่านอื่น เพราะเรามีความสุขพอใจที่ได้ทำความดีนั้นไปเรื่อยๆ
ถ้าต้องการทำความดีในแบบที่ว่าคนอื่นเห็นได้จริงๆ มันต้องแบบว่า ความดีนั้นเต็มจนล้นออกมา เปรียบได้กับถัง ถ้าเราเอาน้ำใส่ลงไป ถ้าใส่น้ำได้แค่ครึ่งหนึ่งของถัง เราจะมองเห็นน้ำในถังไหม? เราก็จะเห็นแต่ถังอย่างเดียว แต่ถ้าเราเอาน้ำนั้นใส่ให้เต็มจนมันล้นออกมา เราจึงจะสามารถเห็นน้ำในถังนั้นได้
ส่วนพวกเราละทำความดีจนถึงขนาดที่ว่าล้นออกมาได้กันหรือยัง ถ้ายังก็มีหน้าที่ทำไปเรื่อยๆ ถ้าเมื่อไหร่ที่มันล้นออกมาคนอื่นเขาก็จะเห็นเอง และถึงตอนนั้นไม่ว่าเราพูดอะไรก็จะมีแต่คนเชื่อ"
ที่มา board.palungjit.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #589 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 09:28:07 PM » |
|
สุภาษิต สำนวนไทย (ค.ควาย)
สีซอให้ควายฟัง ความหมาย : คนเซ่อคนโง่ หรือคนที่ดูฉลาดแต่กลับไม่ฉลาด ดังเช่นควายตัวโตกลางทุ่งนาถึงจะมีคนไปสีซออันแสนไพเราะให้ฟัง แต่ควายก็ได้สนใจฟังไม่ผู้ที่สีซอก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากควายเลยเสียแรงและเสียเวลาไปโดยใช่เหตุสีซอให้ควายฟังจึงมีความหมายว่า แนะนำจี้แจงสิ่งต่างๆให้แก่คนโง่ ชี้แจงให้ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่องซึ่งไม่มีประโยชน์ที่จะต้องคอยแนะนำ
คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย
ความหมาย : สำนวนนี้เป็นที่เข้าใจกันว่า เมื่อเวลาไปไหนคนเดียวไม่ปลอดภัยนัก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เรียกว่า "หัวหาย" ถ้าไปด้วยกันสองคน ก็อาจจะช่วยขจัดเหตุร้ายหรือเป็นเพื่อนอุ่นใจได้ดีกว่าไปคนเดียว
คนตายขายคนเป็น
ความหมาย : หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว มีหนี้สินติดตัวอยู่มาก ทำให้คนที่อยู่ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเป็นญาติพี่น้องต้องรับผิดชอบใช้หนี้และมิหนำซ้ำต้องเป็นภาระในการจัดทำศพ ซึ่งถ้าหากไม่มีเงินเลยก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขามาทำศพด้วย
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ
ความหมาย : เปรียบผืนหนังของสัตว์ส่วนมากย่อมจะมีผืนเล็กกว่าเสื่อ ฉะนั้นสำนวนนี้ก็หมายถึงว่า คนที่จะรักเราจริง ๆ มีน้อยแต่คนเกลียดหรือคนชังเรามีเป็นส่วนมากกว่า
คนล้มอย่าข้าม ไม้ล้มจึงข้าม
ความหมาย : แปลว่า คนที่เคยมีอำนาจและวาสนามาก่อน แต่ต้องตกต่ำลงก็อย่าเพิ่งไปคิดดูถูกเหยียบย่ำเข้า เพราะเขาอาจกลับฟื้นฟูขึ้นอีกได้ ไม่เหมือนไม้ที่ไม่มีชีวิตวางทิ้งไว้จะข้ามจะเหยียบอย่างไรก็ได้
คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล
ความหมาย : สำนวนนี้ มีความหมายหรือคำบรรยายอยู่ในตัวแล้ว คือคบคนชั่ว คนชั่วก็ชักพาเราให้พลอยไปทำชั่วด้วย ถ้าคบคนดีมีความรู้ ก็ทำให้เราได้รับผลดีหรือได้รับความรู้ดีตามไปด้วย
ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก
หมายความว่า มีเรื่องราวเดือดร้อนเกิดขึ้น ยังไม่ทันจะแก้ไขหรือจัดการให้สงบดี ก็เกิดมีเรื่องใหม่ซ้อนขึ้นมาอีก กลายเป็น ๒ เรื่องขึ้นในคราวเดียว
ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
ความหมาย : สำนวนนี้ หมายถึงคนที่มีวิชาความรู้ดี หรือรู้สารพัดเกือบทุกอย่าง แต่ถึงคราวเกิดเรื่องขึ้นกับตัวเอง กลับจนปัญญาแก้ไข หรือความหมายอีกทางหนึ่งว่า มีความรู้อยู่มากมายแต่ใช้วิชาหากินไม่ถูกช่อง ทำให้ต้องตกอยู่ในฐานะยากจนอยู่เรื่อยมา สู้คนที่ไม่รู้หนังสือเลย แต่หากินจนร่ำรวยไม่ได้
โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ
ความหมาย : สำนวนนี้ มีประโยคต่อท้ายสัมผัสกันด้วยว่า "ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก" แต่เรามักพูดสั้น ๆ ว่า "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ" หมายความว่าจะคิดกำจัดศัตรู ปราบพวกคนพาลให้หมดสิ้นทีเดียวแล้วก็ต้องปราบให้เรียบ อย่าให้พรรคพวกของมันเหลือไว้เลยแม้แต่คนเดียว มิฉะนั้นพวกที่เหลือนี้จะกลับฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเป็นศัตรูกับเราภายหน้าได้อีก ทำนองเดียวกับที่ว่า ถ้าเราจะขุดตอไม้ทิ้ง เราก็ต้องขุดทั้งรากทั้งโคนมันออกให้หมดอย่าให้เหลือไว้จนมันงอกขึ้นมาภายหลังได้อีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #590 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2013, 08:21:08 PM » |
|
People Magazine

ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง... แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน.... จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำ กลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง.... ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ... ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน" คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า... แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่.... ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวยๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว.. เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้" คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง... แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้.... สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น.. และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง อ่านแล้วได้แง่คิดยังไง ร่วมคอมเม้นต์กันด้วยนะคะ
flower story pic
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #591 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2013, 09:08:18 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #592 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2013, 08:19:00 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #593 เมื่อ: ธันวาคม 20, 2013, 08:19:47 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #594 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2013, 07:21:11 AM » |
|
เช้าตรู่วันหนึ่ง..ชาวนาได้พาเจ้าลาแก่..ออกไปข้างนอก ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง
มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา ... ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที มันร้องโหยหวนทันที สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป
หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สัก สองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร มันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้
จำไว้ว่า "อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป"
ในชีวิตเราอาจมี..อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหา..ก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา..จำไว้ว่า..สิ่งแรกที่ต้องมี..ยามที่คุณเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก คือ "สติ"
จงตั้งสติให้ได้ก่อน..อย่ามัวแต่โทษนั่นโทษนี่ โวยโวยหรือเหวี่ยงกับทุกอย่างรอบๆตัว หลังจากนั้น..ลองมองหาวิธีแก้ปัญหาดูครับ..อย่าใจร้อน อย่าคิดมากหรือวิตกกังวลจนเกินเหตุครับ เชื่อเถอะว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ..
สุดท้าย..จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้กับอุปสรรค..จงแก้ไขและหาทางเอาชนะมัน เพื่อที่เราจะได้ก้าวเหยียบมันเพื่อที่จะปีนป่ายให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อนั้นได้ครับ..
"อุปสรรคมีไว้ให้ก้าวข้ามไป" นะครับ...สู้ๆ
^____^
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #595 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2013, 07:23:08 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #596 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2013, 09:03:59 PM » |
|
โง่ + ขยัน = เหนื่อย โง่ + โลภ = เหยื่อ โง่ + ขี้เกียจ = ยากจน โง่ + บริโภคนิยม = หมดตัว โง่ + ช้า = ล้าหลัง โง่ + รีบร้อน = สะดุด โง่ + อดทน = ถึงจุดหมาย แต่ช้าหน่อย โง่ + ขยัน + อดทน = ลืมตาอ้าปากได้ โง่ + ซื่อสัตย์ = คนเมตตา โง่ + กตัญญู = พระคุ้ม โง่ + เรียนรู้ = ไม่โง่
ฉลาด + ขยัน = ความสำเร็จ ฉลาด + อดทน = ความเจริญ ฉลาด + ขี้เกียจ = โกง ฉลาด + ขี้เกียจ + โลภ = โคตรโกง ฉลาด + โอกาส = ติดปีก ฉลาด + โอกาส + ขยัน = ติดจรวด ฉลาด + กตัญญู = สัตบุรุษ ฉลาด + ซื่อสัตย์ = ยอดคน ฉลาด + ไม่เรียนรู้ = ไม่ฉลาด
โลภ + ขี้เกียจ = ชีวิตหมดไปกับการหาทางลัด โลภ + ขยัน = รวย โลภ + โกรธ = โรคหัวใจ
โกรธ + เกลียด = ไฟในอก โกรธ + อโหสิ = สวรรค์
รัก + หลง = อุปาทาน รัก + ใจร้อน = ชิงสุกก่อนห่าม รัก + ใจเย็น = ไม้เท้ายอดทอง ตะบองยอดเพชร รัก + เข้าใจ = รักจริง
เข้าใจ + ให้อภัย = รักแท้
รัก + อดทน = บ้านเย็น รัก + อกหัก = ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
อกหัก + เหล้า = ยืดเวลาอกหัก อกหัก + เข้าใจ = ลดเวลาอกหัก อกหัก + เมตตา = หายอกหัก
ความรู้ + ความโลภ = โมหะ ความรู้ + ความหลง = เอาตัวไม่รอด ความรู้ + จริยธรรม = ปัญญา
สติ + ปัญญา = ความเจริญ
จินตนาการ + ความคิดสร้างสรรค์ = นวัตกรรมด้านบวก จินตนาการ + โมหะ = นวัตกรรมด้านลบ จินตนาการ + อารมณ์ลบ = ฟุ้งซ่าน
ปัญหา + กลุ้มใจ = ปัญหา + กลุ้มใจ ปัญหา + วิเคราะห์ = ลดปัญหา
ใจเย็น + รอบคอบ = สำเร็จมั่นคง
รีบร้อน + มีแผน = วิ่งสะดุด รีบร้อน + ไม่มีแผน = วิ่งอยู่กับที่
รวย + เมตตา = บุญ รวย + ธรรม = กุศล
ทำบุญ + ชื่อเสียง = แบกโลก ทำบุญ + ชาติหน้า = การลงทุน ทำบุญ + เมตตา = ปล่อยวาง
ไม่เข้าใจ + ไม่ปล่อยวาง = อุปาทาน เข้าใจ + ไม่ปล่อยวาง = โซ่ตรวน เข้าใจ + ปล่อยวาง = เย็น
สรุป สูตรชีวิตที่ประสบความสำเร็จ :
ขยัน + อดทน + เรียนรู้ + ใจเย็น + เมตตา + ปล่อยวาง = ความเจริญรุ่งเรือง...ทั้งทางโลกและจิตใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #597 เมื่อ: มกราคม 01, 2014, 12:12:12 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #598 เมื่อ: มกราคม 01, 2014, 12:14:35 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #599 เมื่อ: มกราคม 04, 2014, 11:19:20 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|