ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #255 เมื่อ: มกราคม 13, 2010, 11:26:12 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #256 เมื่อ: มกราคม 13, 2010, 11:47:37 AM » |
|
คาดเงินบาทไทยมีโอกาสแข็งค่าจนหลุดระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐตามเงินหยวน
Posted on Wednesday, January 13, 2010 นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจ และตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า นักลงทุนเริ่มมีความกังวลต่อการตัดสินใจที่ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และ จีน ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และถอนการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เงินหายไปจากระบบค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะจีน ที่เร่งดึงสภาพคล่องออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อเลี่ยงปัญหาฟองสบู่ที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือนที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าในตลาด การเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้ จีนยังมีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ปริมาณเงินหยวนในระบบลดลง และจะส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นด้วย สำหรับประเด็นที่จะมีผลต่อประเทศไทย คือ การที่จีนเป็นผู้ผลิตของภูมิภาค และไทยมียอดค้าขายกับจีนเป็นสัดส่วนประมาณ 13% ของมูลค่าการค้ารวม ทำให้ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มการขยับตัวไปในทิศทางเดียวกับเงินหยวนด้วย ซึ่งจะกดดันกำไรของผู้ส่งออกไทยได้ โดยเชื่อว่าค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มหลุดระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแกว่งตัวที่ระดับ 32.90 ? 33.10 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
sa
Jr. Member

ออฟไลน์
กระทู้: 264
|
 |
« ตอบ #258 เมื่อ: มกราคม 13, 2010, 02:29:33 PM » |
|
ขอบคุณค่ะคุณทองใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Cindy
Jr. Member

ออฟไลน์
กระทู้: 347
|
 |
« ตอบ #260 เมื่อ: มกราคม 13, 2010, 06:14:18 PM » |
|
มานั่งรอปาฎิหาริย์ครั้งใหม่ว่าจะเกิดอีกเมื่อไหร่? พวกเล่นระยะสั้นก็ต้องลุ้นอย่างนี้ค่ะ แมวมันถามหาเป่าฮื้ออีกแล้วค่ะอาจารย์ เอาปลาทูให้กินไม่ยอมกิน เจ้านี่เสียนิสัย 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
JO-JO
Jr. Member

ออฟไลน์
กระทู้: 285
|
 |
« ตอบ #261 เมื่อ: มกราคม 13, 2010, 06:54:53 PM » |
|
ขอบคุณครับ คุณทองใหม่ กราฟตาแป๊ะยังแม่นเหมือนเดิมเลยนะครับ น้ำมันขึ้นสัญญาณขายราคาล่วงกระจายเลย นี่ถ้าตาแป๊ะร้องไห้ด้วยสงสัย จะหนักกว่านี้อีก ราคาทองจะยิ่งร่วงลงตามน้ำมันไปอีกหรือเปล่าหนอ ว่าแต่กราฟตัวใหม่ 2010 ทำยังไงให้มันใหญ่ขึ้นอะครับ 
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 13, 2010, 06:57:27 PM โดย JO-JO »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #263 เมื่อ: มกราคม 14, 2010, 06:24:26 AM » |
|
ขอบคุณครับ คุณทองใหม่ กราฟตาแป๊ะยังแม่นเหมือนเดิมเลยนะครับ น้ำมันขึ้นสัญญาณขายราคาล่วงกระจายเลย นี่ถ้าตาแป๊ะร้องไห้ด้วยสงสัย จะหนักกว่านี้อีก ราคาทองจะยิ่งร่วงลงตามน้ำมันไปอีกหรือเปล่าหนอ ว่าแต่กราฟตัวใหม่ 2010 ทำยังไงให้มันใหญ่ขึ้นอะครับ  หากภาพเล็กให้คิ๊กที่ภาพ จะมีหน้าต่างเกิดใหม่ ภาพยังเท่าเดิม ให้คิ๊กที่ภาพอีกครั้ง ภาพจะใหญ่ขึ้นครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #265 เมื่อ: มกราคม 14, 2010, 06:29:19 AM » |
|
กราฟGold 1 ช่อง1 เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง?ทิศทางลง สีขาว?กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นเขียวอยู่เหนือเส้นแดง---ทิศทางลง ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง?ทิศทางลง สีขาว?กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นแดงและเขียวประสานเป็นกากะบาด ---กำลังจะเปลี่ยนทิศ ให้ดูเส้นแนวโน้มประกอบ หากเส้นแดงและเขียวกำลังจะประสาน แต่ไม่ทันได้ประสานก็หันหันหัวกลับขึ้นหรือลง แสดงว่ากำลังมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนี่งเกิดขึ้น หากขึ้นทะลุเส้นปะแนวต้าน ให้ดูเส้นปะแนวต้านเส้นต่อไป หากลงทะลุเส้นปะแนวหนุน ให้ดูเส้นแนวหนุนเส้นต่อไป ส่วนจุดกลมเหลืองทอง---ทิศทางลง จุดกลมฟ้า---ทิศทางขึ้น หากกราฟวิ่งในยามปกติ พอเชื่อถือได้ หากกราฟวิ่งขึ้นลงแรงๆ คือยามไม่ปกติ ไม่อาจเชือถือได้ ช่อง2 ให้ดูเส้นสีม่วง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย ส่วนเส้นปะสีเหลืองทองและฟ้า หากขึ้นเหนือเลข80 เข้าสู่เขตซื้อเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ หากลงต่ำกว่าเลข20 เข้าสู่เขตขายเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ตลอดเวลา ช่อง3 ให้ดูทั้ง2เส้น คือเหลืองทองและฟ้า หันหัวไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอ ให้ดูประกอบทิศทางในช่อง1ว่าเป็นทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากทิศทางหันหัวในแนวเดียวกัน ทิศทางนั้นเชื่อถือได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #266 เมื่อ: มกราคม 14, 2010, 08:36:00 AM » |
|
ทองคำปิดบวก7.40$ วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553 08:26
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,136.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 7.40 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,118.50 - 1,138.60 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 18.550 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 29.50 เซนต์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,574.40 ดอลลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 4.20 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 424.95 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 85.00 เซนต์
นักวิเคราะห์จากบริษัท ลาซาล ฟิวเจอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรในสัญญาทองคำหลังจากดัชนี ICE Futures US dollar index ร่วงลง 0.2% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในตะกร้าสกุลเงิน ซึ่งเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีก
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำลดลง 3.657 ตัน หรือ 0.3% แตะที่ระดับ 1,115.884 ตัน ณ วันที่ 12 ม.ค.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #267 เมื่อ: มกราคม 14, 2010, 09:33:17 AM » |
|
14 ม.ค. 2553
ตลาดทองเอเชีย:ราคาทองดีดตัวเช้านี้เหนือ 1,140 ดอลล์ขณะรอดูประชุม ECB
ราคาทองดีดตัวขึ้นต่อในเช้าวันนี้ หลังปรับตัวขึ้นวานนี้จากแรงซื้อชดเชย และคำสั่งซื้อในตลาดส่งมอบปัจจุบัน ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยนักลงทุนซื้อขาย อย่างระมัดระวังก่อนการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และก่อนการเปิดเผยข้อมูลสหรัฐ ณ เวลา 08.49 น.ตามเวลาไทย ราคาทองสปอตมีการซื้อขายที่ระดับ 1,142.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อเทียบกับระดับปิดในตลาดสปอตนิวยอร์คเมื่อวานนี้ ที่ระดับ 1,137.60 ดอลลาร์ สัญญาทองล่วงหน้าส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาด COMEX อยู่ที่ 1,138.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อเทียบกับระดับปิดวานนี้ที่ 1,136.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ราคาทองปรับตัวขึ้นวานนี้ ขณะที่ดอลลาร์ที่อ่อนค่าได้กระตุ้นคำสั่งซื้อ ในตลาดส่งมอบปัจจุบันและแรงซื้อชดเชย โดยราคาทองได้ดิ่งลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ เมื่อการตัดสินใจของทางการจีนในการปรับเพิ่มเพดานการกันสำรองของธนาคาร พาณิชย์ได้กระตุ้นความกังวลว่าจะกระทบต่อการใช้จ่ายและจะลดความน่าดึงดูดใจ ของทองแท่งในฐานะแหล่งประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองคำที่ระดับ 1,115.884 ตัน ณ วันที่ 13 ม.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 12 ม.ค. โดยกองทุนได้ถือครองทองคำสูงสุดเป็นประวัติ การณ์ที่ 1,134.03 ตันเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ปีที่แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #268 เมื่อ: มกราคม 14, 2010, 10:01:05 AM » |
|
ประเด็นสำคัญ - ราคาทองปิดบวกหลังได้รับแรงซื้อ,ดอลล์อ่อน - สกุลเงินสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวขึ้น - น้ำมันดิบปิดร่วง 1.14 ดอลล์หลัง EIA เผยตัวเลข - สกุลเงินที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ ฟื้นตัวขึ้นบ้าง
ราคาทองที่ตลาดสหรัฐปิดสูงขึ้นในการซื้อขายที่ผันผวนในวันพุธ ในขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์ กระตุ้นการเข้าซื้อในตลาดส่งมอบปัจจุบันและแรงซื้อคืน หลังการร่วงลงอย่างหนักในวันอังคาร
สัญญาทองส่งมอบเดือนก.พ.เคลื่อนตัวในช่วง 1,118.50-1,138.60 ดอลลาร์ ในขณะที่มีปริมาณการซื้อขายราว 223,457 สัญญา
ทองมีแนวรับอยู่ที่ราวระดับเคลื่อนตัวเฉลี่ยรอบ 50 วัน ที่ 1,130 ดอลลาร์ หลังจากที่ในช่วงแรกร่วงลงต่ำกว่า 1,120 ดอลลาร์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุในรายงาน Beige Book ว่า ในขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ "สถานการณ์ก็ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยต่อไป และการปรับตัวในทางบวกนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่กว้างกว่าเดิมในทางภูมิศาสตร์เมื่อเทียบกับในรายงานครั้งก่อน
สกุลเงินที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ดอลลาร์ออสเตรเลียฟื้นตัวขึ้นบ้าง แต่ตลาดยังวิตกว่า การถอนสภาพคล่องอาจจะทำให้มีการปิดสถานะการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงกว่า ขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และธนาคารกลางต่างๆให้ความสำคัญกับความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
เขากล่าวอีกว่า ปฏิกริยาต่อมาตรการของจีนเมื่อวันอังคารมีมากเกินไปและเร็วเกินไป และเมื่อพิจารณามากขึ้น นักลงทุนจึงตระหนักว่า ผลกระทบจากมาตรการของจีนจะไม่เป็นอันตรายต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนีดอลลาร์ทรงตัว หลังจากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่กลางเดือนธ.ค. นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดอาจหันมาสนใจรายงานผลประกอบการของบริษัทสหรัฐในสัปดาห์นี้ และข้อมูลยอดค้าปลีกและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐในวันพฤหัสบดี
กลยุทธ์ : ช่วงเมื่อคืนทำจุดต่ำสุดที่ 1,118 และดีดขึ้นมาอย่างรุนแรงถึงช่วงเช้านี้ที่ 1,143 กลยุทธ์ช่วงนี้อาจจะเล่นสั้น เพื่อป้องกันการที่ราคามีการเหวี่ยงขึ้นลงรุนแรงอาจจะผิดทิศทางกับการเข้าลงทุน วันนี้อาจจะต้องระวังความผันผวนในวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #269 เมื่อ: มกราคม 14, 2010, 10:24:51 AM » |
|
ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ 6 เดือนล่าสุดหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกพุ่งต่อ
Posted on Thursday, January 14, 2010 ตัวเลขเศรษฐกิจหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกพุ่งต่อ
ผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลกที่จัดทำโดยสำนักข่าว Bloomberg ปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้ หลังจากที่เห็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นทั้งในภาคการผลิตและบริการ ทำให้หลายคนมั่นใจมากขึ้นสำหรับทิศทางเศรษฐกิจต่อจากนี้
The Bloomberg Professional Global Confidence Index ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 66.6 ในเดือนมกราคม เพิ่มจาก 58.9 ในเดือนธันวาคม และทำสถิติเป็นตัวเลขที่สูงสุดนับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีนี้ขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน
ตัวเลขตลอด 6 เดือนล่าสุดโชว์มุมมองว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่มีรายงานทางเศรษฐกิจสำคัญๆ ทยอยประกาศออกมา และถ้าไล่เลียงกันไปตามภูมิภาคแล้ว เริ่มจากที่สหรัฐฯ สภาวะการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนก็เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี ขณะภาคการผลิตก็แสดงทิศทางการขยายตัวในเดือนธันวาคม ด้วยอัตราการเพิ่มที่สูงสุดในรอบกว่าสามปี แม้ว่าอัตราการว่างงานจะยังยืนอยู่ที่แถวๆ 10% แต่ก็ยังไม่ปิดโอกาสที่ตัวเลขจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น
ส่วนที่ยุโรป ผู้ตอบแบบสำรวจรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเป็นเดือนที่สองแล้วว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวต่อ ซึ่งสามารถสะท้อนได้จากดัชนีภาคการผลิตและบริการที่ยังขยับดีขึ้นต่อเนื่อง แถมทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังได้แสดงท่าทีที่จะถอนมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังไปในทิศทางบวก
ปิดท้ายที่เอเชีย ที่ดัชนีความเชื่อมั่นปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.2 มาเป็น 79.8 ซึ่งก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ถ้าดูจากอัตราการเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และความแข็งแกร่งของการใช้จ่ายบริโภคในประเทศในช่วงที่ผ่านมา
และกับคำถามที่ว่าเศรษฐกิจเอเชียดีหรือไม่ดีจริงนั้น ก็น่าจะชัดเจนมากขึ้น เมื่อล่าสุดธนาคารกลางจีนได้สั่งให้ธนาคารในประเทศปรับเพิ่มระดับเงินสำรองไปเมื่อวันก่อน เพื่อหวังชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ หลังจากปรากฏการณ์สินเชื่อที่บูมสุดขีดได้สร้างความกังวลในเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อ และฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์ ขณะที่ดัชนีชี้สภาวะการผลิตล่าสุด ที่รวบรวมโดย HSBC Holdings และ Markit Economics ขยายตัวแรงที่สุดในรอบ 5 ปี
หุ้นบวก - น้ำมันหลุด 80 เหรียญ ขณะผลสำรวจเฟดชี้เศรษฐกิจกำลังฟื้น
หลังจากที่ร่วงลงไปได้เพียงวันเดียว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็กลับมาปิดบวกได้อีกครั้งเมื่อคืนนี้ รวมถึงที่ยุโรป ที่นักลงทุนมีท่าทางเชื่อมั่นในการนำเงินกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า แม้จะมีเรื่องประเทศจีนเดินหน้าใช้มาตรการชะลอเศรษฐกิจ จนหลายคนกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา
ส่วนราคาน้ำมัน รวมถึงหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ ก็ได้รับผลกระทบจากปัจจัยประเทศจีนกันไปบ้างแล้ว อีกทั้งล่าสุดตัวเลขสต็อกยังออกมาเพิ่มขึ้นถึง 3.7 ล้านบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นระดับที่มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้สองเท่า ทำให้กลายเป็นตัวฉุดราคาน้ำมันปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 และหลุดระดับ 80 เหรียญต่อบาร์เรลไปเรียบร้อยแล้วที่ตลาดนิวยอร์ก
มีอัพเดตเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อผลสำรวจเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ รอบล่าสุด ชี้ว่า เศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศฟื้นตัวดีขึ้นในเดือนที่แล้ว แม้ว่าในหลายๆ ที่จะยังมีอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าระดับปกติอยู่ แต่ก็นับว่าสถานการณ์กำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทางด้านประธานเฟดสาขาชิคาโก้ นาย Charles Evans ก็เผยว่าอุปสรรคทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น สินเชื่อภาคธนาคารที่ตึงตัวมีแนวโน้มเบาบางลงในปีนี้ ซึ่งเขาคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวได้ราว 3 - 3.5% ด้วยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างทรงตัว ขณะที่แบงก์ยอมปล่อยกู้เพิ่มและผู้บริโภคหันมาใช้จ่ายมากขึ้น
ผู้บริหารเฟดรายนี้ระบุว่า ยังไม่น่าถึงเวลาที่ธนาคารกลางจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ซึ่งคงจะต้องรอจนกว่าจะเห็นสภาวะเศรษฐกิจกลับขึ้นมายืนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งกว่านี้ก่อน ส่วนเรื่องเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำก็จะยังสนับสนุนนโยบายในแบบผ่อนคลายนี้ต่อไป
ในผลสำรวจหรือที่เรียกว่า Beige Book ของเฟดยังระบุด้วยว่า ผู้บริโภคกำลังใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และมีการคำนึงถึงเรื่องราคาและความจำเป็นที่จะใช้เป็นหลัก แต่ก็เริ่มพร้อมที่จะซื้อหาสินค้าที่มีมูลค่าสูงกันบ้างแล้ว ดูจากยอดขายรถยนต์ที่ขยับขึ้นมาได้สำหรับบางดีลเลอร์
ส่วนในตลาดแรงงานยังคงซบเซาในหลายพื้นที่ และทำให้สภาะค่าจ้างและแรงกดดันทางด้านราคายังคงไม่มีในตอนนี้ ขณะที่การจ้างงานที่เป็นแบบชั่วคราวเริ่มมีมากขึ้นในแถบ New York, Cleveland, Chicago และ Dallas
สหรัฐฯเชื่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจรักษางาน 2 ล้านตำแหน่ง
ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา เชื่อว่าแผนการใช้จ่ายเงินฉุกเฉินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ออกใช้เมื่อปีที่แล้วนั้นช่วยรักษาตำแหน่งงานในสหรัฐฯ ประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง อย่างไรก็ดี แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามามีความกังวลต่ออัตราการว่างงานที่อยู่ในตัวเลขสองหลัก ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ไปลดความนิยมในตัวโอบามาอย่างมาก
นอกจากนี้ โอบามาได้มีการเรียกร้องมาตรการเพิ่มเติมจากรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นการจ้างงาน เพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 7 แสนล้านที่ประกาศใช้ในเดือน ก.พ. ปีที่แล้วหรือ ปี 2552
คริสทีน่า โรเมอร์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของโอบาม่า คาดว่า การจ้างงานน่าจะฟื้นตัวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (ครึ่งแรกของปี) แต่จำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเข้ามาช่วยตลาดแรงงาน
นอกจากนี้ โรเมอร์ยังกล่าวว่าในปีนี้จะได้เห็นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับคืนมา และ จะเห็นภาคเอกชนกลับมาลงทุนกันอีกครั้ง
และเพื่อเป็นการตอบสนองต่อแนวคิดของโอบามาในการร้องขอมาตรการเพิ่มเติมในการเยียวยาเศรษฐกิจ ด้านสภาผู้แทนราษฎรนั้นได้เห็นชอบ มาตรการกระตุ้นการจ้างงานมูลค่า 155,000 ล้าน เมื่อเดือนที่แล้ว โดยโรเมอร์คาดว่ามาตรการใหม่นี้จะสามารถช่วยรักษาตำแหน่งงานได้ 3.5 ล้านตำแหน่งในปี 2553 นี้
เฟดทำกำไรพุ่งทำสถิติในปี 2552
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานผลกำไร 5.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2552 ซึ่งพุ่งขึ้น 47% จากปีก่อน ซึ่งกำไรจำนวนมากดังกล่าวเปิดทางให้เฟดสามารถจ่ายเงินให้กับ
กระทรวงการคลังได้ 4.61 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจำนวนเงินมากที่สุดที่เฟดจ่ายให้กับกระทรวงการคลังนับตั้งแต่ก่อตั้งธนาคารในปีพ.ศ.2457 โดยตัวเลขที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นี้มีสาเหตุหลักมาจากความพยายามของเฟดที่จะให้การสนับสนุนระบบการเงินตลอดช่วงวิกฤตการเงิน
ทั้งนี้ เฟดหารายได้ด้วยตัวเองจากการดำเนินงานต่างๆ และคืนกำไรกลับไปให้แก่กระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ กำไรบางส่วนของเฟดยังมาจากดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลและหลักทรัพย์ที่อิงกับสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงหลักทรัพย์ของแฟนนีเม และ เฟรดดีแมค
รายงานระบุด้วยว่า โครงการเงินกู้ฉุกเฉินต่างๆซึ่งริเริ่มจัดตั้งโดยธนาคารกลางในช่วงวิกฤตการเงินเมื่อปีที่แล้ว มีส่วนช่วยเพิ่มงบดุลบัญชีให้เฟดได้มากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์
สหรัฐฯจี้จีนชี้แจงกรณีมีผู้โจมตีเว็บไซต์กูเกิลในจีน
กูเกิล สุดทนขู่ปิดสำนักงานและระงับการให้บริการเว็บไซต์ในจีน หลังถูกมือดีเจาะข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์เมื่อเดือนที่ผ่านมา
กูเกิล อิงค์ ผู้ให้บริการสืบค้นข้อมูลอินเทอร์เน็ตชื่อดังเปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา มีการพบหลักฐานว่ากลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างน้อย 20 แห่งในภาคอุตสาหกรรมการเงิน เทคโนโลยี สื่อ และเคมีภัณฑ์ตกเป็นเป้าหมายการถูกเจาะระบบ และมือแฮกเกอร์ได้มุ่งเป้าโจมตีบัญชีอีเมล์ของกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในจีน สหรัฐ และยุโรป
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งทำให้กูเกิลต้องหาทางหนีทีไล่โดยอาจพิจารณาแผนการยุติการคัดกรองผลการสืบค้นข้อมูลบนเว็บไซต์ Google.cn ที่ให้บริการในจีน ก่อนที่จะเข้าหารือกับรัฐบาลจีนต่อไป
ขณะเดียวกัน มีนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า กูเกิลยังไม่น่าจะถอนตัวออกจากตลาดจีน ขณะที่กูเกิลโต้ว่า บริษัทสามารถปิดธุรกิจในจีนได้อย่างไร้กังวล เพราะบริษัททำยอดขายในจีนได้เพียงหยิบมือเดียว
ขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐเรียกร้องให้จีนชี้แจงกรณีมีผู้โจมตีเว็บไซต์กูเกิลในจีน รวมถึงเว็บไซต์ของบริษัทอื่นๆอีกอย่างน้อย 20 แห่ง
กูเกิลรายงานสถานการณ์ดังกล่าวให้ทางกระทรวงต่างประเทศสหรัฐรับทราบไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทางสหรัฐยังกำลังรอฟังคำอธิบายจากรัฐบาลจีนต่อกรณีดังกล่าว เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างความวิตกกังวลและก่อให้เกิดคำถามตามมาอีกมาก จึงได้ขอให้จีนชี้แจงต่อกรณีที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ นางคลินตันซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนฮาวายมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์เรื่องความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต และจะแถลงถึงมาตรการและนโยบายของสหรัฐบางส่วน ภายใต้เป้าหมายด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐได้ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
ดังจะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่ผู้นำสหรัฐเดินทางเยือนจีนในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา โดยเขาได้กล่าวแสดงความเห็นคัดค้านเรื่องการคัดกรองข้อมูลบนระบบอินเทอร์เน็ต โดยให้เหตุผลว่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเสรีจะทำให้ประเทศมีความแข็งแกร่งมากกว่าที่จะย่ำแย่ลง
นักวิเคราะห์ ING คาดจีนขยายช่วงการซื้อขายเงินหยวนปีนี้
นักวิเคราะห์จากอินดัสเทรียล แบงค์ และไอเอ็นจี กรุ๊ป คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางจีนจะขยายช่วงการซื้อขายเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับสกุลเงินหยวน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การสกัดเม็ดเงินเก็งกำไรที่ไหลเข้าจากต่างประเทศ โดยคาดว่าธนาคารกลางจะขยายช่วงการซื้อขายเงินหยวนเป็น 1% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่ระดับ 0.5%
จีนเผชิญกับเม็ดเงินไหลเข้าจากต่างประเทศจำนวนมาก อันเนื่องมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวแข็งแกร่งและเงินหยวนของจีนจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งเม็ดเงินไหลเข้าจำนวนมากนี้ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและทำให้จีนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีน ณ สิ้นสุดเดือนธ.ค.ปี 2552 พุ่งขึ้น 24% แตะที่ 2.42 ล้านล้านดอลลาร์
ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนเข้าทำธุรกรรมสว็อปค่าเงินหยวนมากที่สุดในรอบ 8 สัปดาห์ หลังจากมีรายงานว่ายอดส่งออกของจีนเดือนธ.ค.ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด ซึ่งทำให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจีนอาจปรับขึ้นค่าเงินหยวนในวันข้างหน้า โดยจีนได้ตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนก.ค.2551 เพื่อช่วยกลุ่มบริษัทส่งออกให้สามารถรับมือกับดีมานด์ที่หดตัวลงอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์การเงินทั่วโลกได้
ขณะที่นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีน ยืนยันเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า จีนจะไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของนานาชาติที่ต้องการให้จีนปรับขึ้นค่าเงินหยวน
นักวิเคราะห์จากไชน่า เมอร์ชานท์ส แบงค์ กล่าวว่า ตลาดจำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจีนอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะมั่นใจว่าอุตสาหกรรมส่งออกขยายตัวอย่างยั่งยืน พร้อมกับคาดการณ์ว่าจีนจะตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์จนถึงช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าเงินหยวนจะไม่แข็งค่าเกิน 2%
มูดีส์ เตือนญี่ปุ่น หลังตั้ง รองนายกฯควบตำแหน่งรมว.คลัง
มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส เตือนว่า การที่รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจแต่งตั้งนายนาโอโตะ คัง เป็นรัฐมนตรีคลังคนใหม่แทนนายฮิโรฮิสะ ฟูจิอิ อาจทำให้เกิดกระแสความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเรื่องความน่าเชื่อถือในเรื่องวินัยด้านการคลัง รวมถึงการควบคุมตัวเลขหนี้สาธารณะ โดยขณะนี้หนี้สินสาธารณะของญี่ปุ่นติดอันดับสูงสุดของโลก
ความคิดเห็นของมูดีส์ สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ที่กล่าวว่า นายคังไม่มีเป้าหมายชัดเจนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาในภาคการเงินของญี่ปุ่น ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนในการพยุงเศรษฐกิจและควบคุมหนี้สาธารณะ
อย่างไรก็ดีแนวโน้มความน่าเชื่อถือระยะกลางของญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับว่าอัตราการขยายตัว และขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถลดยอดขาดดุลและลดหนี้สาธารณะได้มากน้อยแค่ไหน
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า ตัวเลขหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นจะพุ่งขึ้นเป็น 246% ของตัวเลข GDP ในปี 2557 เมื่อเทียบกับสหรัฐที่ระดับ 108% และเยอรมนีที่ระดับ 89%
ธนาคารโลกประเมินความเสียหาย และแผนฟื้นฟูเฮติ
ธนาคารโลก เผยว่า พร้อมจะส่งเจ้าหน้าที่ไปยังเฮติเพื่อประเมินความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และจะเริ่มทำแผนฟื้นฟูประเทศแต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า จะให้ความช่วยเหลือเท่าใด
จากเหตุแผ่นดินไหว 7 ริกเตอร์ ที่สาธารณรัฐเฮติ เมื่อช่วงเย็นของวันอังคาร ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับ 04.53 น. ในไทย เช้าวานนี้ นับเป็นว่าแผ่นดินไหว สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปีทำลายสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติ ทำเนียบประธานาธิบดี และอาคารของทางการหลายหลัง ไปจนถึงโรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไซเบอร์คาเฟ่ และอาคารที่พัก
ขณะเดียวกัน ธนาคารโลก ได้เปิดเผยว่า สำนักงานสาขาที่ตั้งอยู่ชานกรุงปอร์โตแปรงซ์ พังเสียหายจากแผ่นดินไหว และลูกจ้างส่วนใหญ่ก็ติดอยู่ในนั้น
ประธานาธิบดีเฮติ รอดตายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง จนทำให้ทำเนียบประธานาธิบดีพังเสียหายอย่างหนัก ด้านสภากาชาดจีนบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศเฮติ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พุธที่ 13 ม.ค. 2553) ? ตัวเลขสต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล ? รายงาน Beige Book โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พฤหัสบดีที่ 14 ม.ค. 2553) ? ยอดค้าปลีก (ธ.ค.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ? ราคานำเข้า-ส่งออก (ธ.ค.) โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ? ตัวเลขสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ (พ.ย.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ? ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|