Cindy
Jr. Member

ออฟไลน์
กระทู้: 347
|
 |
« ตอบ #450 เมื่อ: มกราคม 26, 2010, 01:45:14 PM » |
|
 ?  สองอาทิตย์นี้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยนะคะ ตกทุกตัว เงินคงจมกันไปอีกนาน จะถือโอกาสนี้ซื้อเก็บ ก็ยังเป็นโรควิตกจริตอีก นี่หนอชีวิตคนเล่นหุ้น 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
numcha
Newbie
ออฟไลน์
กระทู้: 11
|
 |
« ตอบ #451 เมื่อ: มกราคม 26, 2010, 01:50:29 PM » |
|
ขอบคุณคะ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #453 เมื่อ: มกราคม 26, 2010, 04:33:28 PM » |
|
 ?  สองอาทิตย์นี้ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลยนะคะ ตกทุกตัว เงินคงจมกันไปอีกนาน จะถือโอกาสนี้ซื้อเก็บ ก็ยังเป็นโรควิตกจริตอีก นี่หนอชีวิตคนเล่นหุ้น    ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Yai Carmungwed
|
 |
« ตอบ #455 เมื่อ: มกราคม 26, 2010, 08:15:31 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Yai Carmungwed (Sapankwane) Nakhonpathom
|
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #458 เมื่อ: มกราคม 27, 2010, 06:39:41 AM » |
|
กราฟGold 1 ช่อง1 เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง?ทิศทางลง สีขาว?กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นเขียวอยู่เหนือเส้นแดง---ทิศทางลง ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง?ทิศทางลง สีขาว?กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นแดงและเขียวประสานเป็นกากะบาด ---กำลังจะเปลี่ยนทิศ ให้ดูเส้นแนวโน้มประกอบ หากเส้นแดงและเขียวกำลังจะประสาน แต่ไม่ทันได้ประสานก็หันหันหัวกลับขึ้นหรือลง แสดงว่ากำลังมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนี่งเกิดขึ้น หากขึ้นทะลุเส้นปะแนวต้าน ให้ดูเส้นปะแนวต้านเส้นต่อไป หากลงทะลุเส้นปะแนวหนุน ให้ดูเส้นแนวหนุนเส้นต่อไป ส่วนจุดกลมเหลืองทอง---ทิศทางลง จุดกลมฟ้า---ทิศทางขึ้น หากกราฟวิ่งในยามปกติ พอเชื่อถือได้ หากกราฟวิ่งขึ้นลงแรงๆ คือยามไม่ปกติ ไม่อาจเชือถือได้ ช่อง2 ให้ดูเส้นสีม่วง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย ส่วนเส้นปะสีเหลืองทองและฟ้า หากขึ้นเหนือเลข80 เข้าสู่เขตซื้อเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ หากลงต่ำกว่าเลข20 เข้าสู่เขตขายเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ตลอดเวลา ช่อง3 ให้ดูทั้ง2เส้น คือเหลืองทองและฟ้า หันหัวไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอ ให้ดูประกอบทิศทางในช่อง1ว่าเป็นทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากทิศทางหันหัวในแนวเดียวกัน ทิศทางนั้นเชื่อถือได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #459 เมื่อ: มกราคม 27, 2010, 08:51:28 AM » |
|
เงินไหลออกหุ้นไทยสูงขึ้น รายงานโดย :เจียรนัย อุตะมะ: วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ โบรกเกอร์ญี่ปุ่น รายงานกระแสเงินทุนรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 14-20 ม.ค.ที่ผ่านมา
พบว่าตลาดหุ้นไทยมีแรงขายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 74 ล้านเหรียญสหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนหน้าขายสุทธิ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ แย่สุดใน 3 ประเทศกลุ่ม TIPS (ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์)
หลังจากดัชนีตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นออสเตรเลีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-22 ม.ค.) ปรับลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยตลาดหุ้นที่ปรับลดลงสูงสุด ได้แก่
1.ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 5.14% จากข่าวทางการเตรียมขายหุ้นที่พยุงช่วงวิกฤตออก เพื่อทำกำไร
2.ตลาดหุ้นไทย ลดลง 4.34% จากปัจจัยการเมืองและผลกระทบจากจีนรวมถึงสหรัฐส่งสัญญาณควบคุมการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงของสถาบันการเงิน
เพราะมีแรงขายหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ กลุ่มปิโตรเคมี พลังงาน ธนาคาร
สำหรับตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีสุดคือตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 1.03%
ประเภทของนักลงทุนที่ช่วยสนับสนุนการปรับสูงขึ้นของดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์ก่อน เหลือเพียงนักลงทุนรายย่อยในประเทศ ขณะที่นักลงทุนอื่นๆ เป็นผู้ขายสุทธิ โดยนักลงทุนต่างชาติ กลับมาขายสุทธิสูงถึง 5,596.09 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายต่อเป็นสัปดาห์ที่ 3 อีก 5,096.31 ล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ ขายต่อเป็นสัปดาห์ที่ 4 จำนวน 479.46 ล้านบาท
เงินทุนไหลเข้า (14-20 ม.ค.) พบว่าแรงซื้อสุทธิยังคงไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ และตลาดหุ้นเอเชียโดยเฉพาะตลาดขนาดใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ มากกว่าตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐที่ถูกขายสุทธิ
ส่วนตลาดหุ้นไทย พบว่ามีแรงขายสุทธิและถือว่าแย่สุดในกลุ่ม TIPs
รายงานกระแสเงินทุนรายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 14-20 ม.ค. พบว่าตลาดหุ้นทั่วโลก (MSCI All World Index) ลดลง 1.4% จากสัปดาห์ก่อน
ดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น (AP xJ) ลบ 0.8% โดยนักลงทุนสถาบันที่ลงทุนในทุกภูมิภาค (Overall Regional Funds) กลับมาเป็นผู้ขายสุทธิ จำนวน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัปดาห์ก่อน ซื้อสุทธิ 1,870 ล้านเหรียญสหรัฐ) โดยแรงซื้อสุทธิยังคงมีต่อเนื่องในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก (GEM) มีแรงซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 11 มูลค่าสะสมรวม 1.24 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีแรงซื้อสุทธิเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดพัฒนาอย่างยุโรป และสหรัฐยังไม่ใช่เป้าหมายลงทุน
สำหรับตลาดหุ้นที่มีแรงซื้อสุทธิสูงสุด ได้แก่
1.ไต้หวัน 633 ล้านเหรียญสหรัฐ
2.เกาหลีใต้ 533 ล้านเหรียญสหรัฐ
3.ออสเตรเลีย 68 ล้านเหรียญสหรัฐ
4.มาเลเซีย 54 ล้านเหรียญสหรัฐ
5.อินโดนีเซีย 34 ล้านเหรียญสหรัฐ
6.สิงคโปร์ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ
7.ฟิลิปปินส์ ซื้อสุทธิ 14 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ตลาดหุ้นที่มีแรงขายสุทธิ ได้แก่ จีน 286 ล้านเหรียญสหรัฐ อินเดีย 111 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทย 74 ล้านเหรียญสหรัฐ และฮ่องกง 4 ล้านเหรียญสหรัฐ
เรียกได้ว่าหุ้นไทยทำสถิติขายสุทธิสูงสุดไต่อันดับขึ้นมาเรื่อยๆ จากสัปดาห์ก่อนหน้าขายสุทธิอยู่ที่อันดับ 5 สัปดาห์ล่าสุดขึ้นมาอยู่อันดับ 3 แล้ว
โปรดติดตามต่อไปเรื่อยๆ.....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sa
Jr. Member

ออฟไลน์
กระทู้: 264
|
 |
« ตอบ #460 เมื่อ: มกราคม 27, 2010, 09:11:43 AM » |
|
ขอบคุณค่ะคุณทองใหม่ กราฟดูหักหัวขึ้นแล้วคงวันนี้ราคาคงขึ้นได้บ้างนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #461 เมื่อ: มกราคม 27, 2010, 09:34:00 AM » |
|
ขอบคุณค่ะคุณทองใหม่ กราฟดูหักหัวขึ้นแล้วคงวันนี้ราคาคงขึ้นได้บ้างนะคะ
ยังไม่ชัดเจนครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #462 เมื่อ: มกราคม 27, 2010, 09:54:02 AM » |
|
แรงซื้อเก็งกำไร หนุนราคาทองคำกลับมาปิดบวกได้
Posted on Wednesday, January 27, 2010 สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรเพราะเชื่อว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนตัวลงอีก ขณะที่สัญญาโลหะมีค่าประเภทอื่นๆ รวมถึงโลหะเงินและพลาตินัมปิดร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวธนาคารกลางจีนควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารในประเทศ
นักวิเคราะห์จากบริษัท Integrated Brokerage Services ในเมืองชิคาโกกล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรสัญญาทองคำเนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงอีก แม้เมื่อวานนี้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐดีดตัวขึ้น 0.6% เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักๆในตะกร้าสกุลเงิน
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดค่อนข้างซบเซา และสัญญาโลหะมีค่าประเภทอื่นๆ รวมถึงพลาตินัม ร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวธนาคารกลางจีนควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารในประเทศ
กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำที่ระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 25 ม.ค. ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่ 19 ม.ค.
- ทองคำ ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ปิดที่ 1,098.30 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (+2.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์) - เงิน ส่งมอบเดือนมีนาคม ปิดที่ 16.86 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (-0.28 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #463 เมื่อ: มกราคม 27, 2010, 09:57:46 AM » |
|
ประเด็นสำคัญ - ราคาทองปิดบวก แต่โลหะมีค่าอื่นๆร่วงลง - ดอลล์,เยนแข็งค่าหลังจีนคุมเข้มการปล่อยกู้ - วิตกเศรษฐกิจกดราคาน้ำมันดิบปิดร่วง - ดาวโจนส์ปิดลบก่อนเฟดเผยนโยบาย,โอบามาแถลงสุนทร
ราคาทองที่ตลาดสหรัฐปิดสูงขึ้นในวันอังคาร ในขณะที่ดอลลาร์ลงจากจุดสูงสุดของวัน แต่โลหะเงินและโลหะกลุ่มพลาตินั่มร่วงลง หลังจากที่จีนบังคับใช้แผนการเพิ่มเพดานการกันสำรองสำหรับธนาคารบางแห่ง ซึ่งบั่นทอนอุปสงค์สำหรับโลหะอุตสาหกรรม สัญญาทองส่งมอบเดือนก.พ.เคลื่อนตัวในช่วง 1,103.20-1,085.20 ดอลลาร์ ในขณะที่มีปริมาณการซื้อขายราว 306,883 สัญญา
เทรดเดอร์กล่าวว่า บรรยากาศในตลาดเป็นไปอย่างระมัดระวัง อันเป็นผลจากการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธ และการครบกำหนดส่งมอบวันแรกในวันศุกร์ คาดว่าแนวรับจะอยู่ที่ระดับเคลื่อนตัวเฉลี่ยรอบ 100 วัน ที่ 1,083 ดอลลาร์
คณะกรรมการกำหนดนโยบาย (FOMC) ของเฟดได้เริ่มการประชุม 2 วันในวันอังคาร ซึ่งคาดว่าแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย และคาดว่า เฟดจะออกแถลงการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในวันพุธ
วุฒิสภาสหรัฐจะลงมติในสัปดาห์นี้เพื่อยืนยันการแต่งตั้งนายเบอร์นันเก้เป็นประธานเฟดสมัยที่ 2 ขณะที่วุฒิสมาชิกบางคนระบุว่าจะลงมติคัดค้านายเบอร์นันเก้อันเนื่องมาจากการจัดการของเฟดต่อวิกฤติการเงิน
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในระยะสั้นๆจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันในเดือนม.ค. สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2008 ซึ่งคลายความวิตกเกี่ยวกับการใช้จ่ายส่วนบุคคล
กองทุน SPDR Gold trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองแท่งระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 26 มกราคม 2553 ลดลง 0.914 ตัน จากวันที่ 15 มกราคม 2553
กลยุทธ์ : ช่วงสัปดาห์นี้อาจจะเล่นในกรอบ 1,105 ? 1,078 US$ เพื่อเปลี่ยนแนวโน้มในปลายสัปดาห์ เลยแนะนำเป็นการเล่นเด้งระยะสั้นเท่านั้นในช่วงต้นสัปดาห์ปลายสัปดาห์น่าจะปรับฐานลงต่อเนื่องจากแรงกดดันทั้งค่าเงิน US$ แข็ง ERU$ อ่อนต่อเนื่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
 |
« ตอบ #464 เมื่อ: มกราคม 27, 2010, 10:30:42 AM » |
|
แบงก์จีนเริ่มคุมเข้มสินเชื่อ หลังตัวเลขครึ่งเดือนม.ค.ทะลุเป้า
Posted on Wednesday, January 27, 2010 แบงก์จีนเริ่มคุมเข้มสินเชื่อ หลังตัวเลขครึ่งเดือนม.ค.ทะลุเป้า
สำนักข่าว Bloomberg รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ธนาคารในประเทศบางแห่งกำลังใช้นโยบายคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของรัฐในการจำกัดสภาพคล่อง หลังยอดการปล่อยกู้พุ่งขึ้นอย่างมากเพียงแค่ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนของปีนี้เท่านั้น
รายงานข่าวระบุว่า Bank of China ได้หยุดขยายเงินกู้สำหรับลูกค้าธุรกิจรายใหม่ในแถบเมืองเซี่ยงไฮ้ ยกเว้นลูกค้าที่จ่ายสินเชื่อคืนก่อนกำหนด ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานว่า สาขาของ China Construction Bank ได้ถูกทางการบอกให้คัดเลือกลูกค้าที่มาสมัครผลิตภัณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น รวมถึงให้หยุดการปล่อยกู้ใหม่ในทันทีเมื่อครบโควต้ารายเดือนที่ได้มีการกำหนดไว้
นักเศรษฐศาสตร์ของ Credit Suisse พูดถึงเรื่องนี้ว่า การที่จีนระงับการปล่อยกู้ทั่วประเทศ ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมนั้น อาจจะส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อภาคการผลิต และการคุมเข้มภาคการเงินเชิงปริมาณดังกล่าวก็น่าจะมีผลรุนแรงกว่าที่เคยคิดไว้ นอกจากนั้น ยังไม่ได้รู้สึกประหลาดใจที่มีการกำหนดโควต้าการปล่อยสินเชื่อเป็นรายเดือน แทนที่จะเป็นรายไตรมาส เหมือนอย่างในปี 2008
ย้อนกลับไปดูเมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนก็ได้เริ่มเดินหน้ามาตรการควบคุมสินเชื่อ ด้วยการสั่งให้แบงก์เพิ่มอัตราสำรองสำหรับฐานเงินฝากที่ตัวเองถืออยู่ ส่งผลให้ระดับเงินสดในมือเพื่อการปล่อยกู้ปรับลดลง
นอกจากนี้ แบงก์ชาติจีนยังได้แนะให้ธนาคารบางแห่ง ที่รวมถึง China Citic Bank เพิ่มอัตราเงินสำรองอีก 0.5% ด้วย
และไม่น่าแปลกใจที่ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ของจีนร่วงระเนระนาดไปเมื่อวานนี้ นำโดย Bank of China ที่ราคาหุ้นในตลาดฮ่องกงรูดลงไปแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ขณะหุ้นของ Construction Bank ร่วงลงถึงจุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน
ก่อนหน้านี้ มีสื่อรายงานว่า ธุรกิจธนาคารในประเทศจีนได้ทำการปล่อยกู้ไปแล้วกว่า 1.45 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 210,000 ล้านเหรียญเพียงแค่ในช่วง 19 วันแรกของปีนี้เท่านั้น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวก็เทียบเท่ากับเกือบ 20% ของเป้าหมายทั้งปีที่หน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคารของจีนได้ตั้งเอาไว้
Dow Jones ติดลบ แม้ราคาบ้าน-เชื่อมั่นผู้โภคขยับขึ้น
Dow Jones กลับมาปิดติดลบตามแรงขายในชั่วโมงท้ายๆ ของการเทรด หลังมีบริษัทขนาดใหญ่เปิดเผยแผนการปลดพนักงานเพิ่ม แม้จะมีสัญญาณที่ชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งก็คือ ผลสำรวจราคาบ้านและความเชื่อมั่นผู้บริโภค นอกจากนั้น ก็มีรายงานข่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เริ่มประชุมนโยบายการเงินไปแล้วเมื่อคืนนี้ กำลังพิจารณาการให้ดอกเบี้ยสำหรับเงินสำรองของธนาคารต่างๆ เพื่อเป็นตัวเสริมหรือแม้แต่จะมาใช้แทนเครื่องมือดอกเบี้ย Fed fund rate ที่เฟดไม่สามารถควบคุมได้นับตั้งแต่การเกิดวิกฤติ Lehman Brothers
ดัชนีราคาบ้าน S&P/Case-Shiller ที่สำรวจเมืองใหญ่ 20 แห่งทั่วอเมริกา ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพฤศจิกายน เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นการเพิ่มอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แล้ว นักวิเคราะห์จาก RBS Securities มองว่า ตลาดบ้านเริ่มที่จะกลับมา แม้จะมีแนวโน้มเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากสถานการณ์ในตลาดแรงงานยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ ขณะที่ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ของ Barclays Capital ก็มองว่า ราคาบ้านกำลังอยู่ในช่วงที่เป็นจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะหดตัวลงอีก เมื่อยอดการยึดจำนองบ้านมีแนวโน้มหวนกลับมาใหม่ ประกอบกับความไม่แน่นอนจากผลของมาตรการจูงใจทางภาษีแก่ผู้ซื้อบ้านที่มีต่อสภาวะราคา
อีกหนึ่งปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจก็มาจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่จัดทำโดย the Conference Board ออกมาขยับขึ้นเป็นระดับ 55.9 ในเดือนธันวาคม ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินไว้ว่าจะบวกขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 53.5
ตัวเลขทั้งคู่ก็ถูกรายงานออกมาในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังประชุมนโยบายการเงิน และจะมีการประกาศมติเรื่องดอกเบี้ยในวันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดเชื่อว่าเฟดจะตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ในช่วง 0 ? 0.25% ต่อไปตามเดิม เพื่อให้มั่นใจว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
สำหรับเรื่องที่หลายคนมีความกังวลอยู่ก็คือ สถานการณ์ในตลาดแรงงาน ที่เมื่อคืนนี้ยักษ์ใหญ่ในสองวงการ อย่าง Verizon Communications และ Home Depot ออกมาเปิดเผยถึงแผนการปรับลดพนักงาน โดยรายแรกมีแผนที่จะลดพนักงานในธุรกิจโทรศัพท์ประเภท fixed-line ลงกว่า 13,000 ตำแหน่งในปีนี้ หลังจากบันทึกรายได้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ขณะที่รายหลังก็ถูกสถานการณ์ตลาดบ้านบีบคั้นจนต้องออกแผนลดจำนวนพนักงานในสหรัฐฯ ลงกว่า 1,000 ตำแหน่ง
เศรษฐกิจอังกฤษหลุดพ้นภาวะถดถอย
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยในเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัว 0.1% ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของประเทศหลุดพ้นจากภาวะถดถอยแล้วอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่เศรษฐกิจมีการเริ่มหดตัวเมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 ขณะที่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตลอดปี 2552 ขยายตัวติดลบ 4.8%
ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่า เศรษฐกิจของอังกฤษมีแนวโน้มที่จะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยในไตรมาส 4 ปี 2552
การที่ตลาดได้มีการคาดการณ์เอาไว้อย่างนั้นเป็นเพราะอังกฤษได้มีการทยอยเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจของอังกฤษฟื้นตัวแล้ว อาทิ ตัวเลขว่างงานซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการขยายตัวที่ระดับ 0.1% นั้นต่ำเกินคาด โดยอังกฤษเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจรายสำคัญๆของโลกที่หลุดพ้นจากภาวะถดถอยเป็นลำดับท้ายๆ หลังจากที่ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐ และ ญี่ปุ่น ต่างแซงหน้ากันไปก่อนแล้ว
โตโยต้าคาดยอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้น 6% ในปีนี้
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คาดการณ์ว่ายอดขายรถทั่วโลกของกลุ่มบริษัท ซึ่งรวมถึงบริษัทในเครือ ได้แก่ ไดฮัทสุ มอเตอร์ และ ฮิโนะ มอเตอร์ส จะเพิ่มขึ้น 6% จากปี 2552 มาอยู่ที่ 8.27 ล้านคันในปี 2553 ซึ่งจะถือเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่กลุ่มบริษัทโตโยต้ามียอดขายรถเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่าง จีน และ อินเดีย
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า โตโยต้าประเมินว่า ยอดขายในต่างประเทศจะโต 6% ในปีนี้ เป็น 6.14 ล้านคัน
ส่วนยอดขายในประเทศญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้น 7% เป็น 2.13 ล้านคัน ซึ่งเป็นผลมาจากความนิยมในรถไฮบริดและรถประเภทอื่นๆที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ในปี 2552 ยอดขายทั่วโลกของกลุ่มบริษัทโตโยต้าร่วงลง 13% มาอยู่ที่ 7.81 ล้านคัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน
BOJ ชี้โครงการปล่อยกู้ช่วยบรรเทาภาวะตึงตัวภาคเอกชน
นายมาซาอากิ ชิรากาว่า ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ชี้โครงการปล่อยกู้ของ BOJ ช่วยบรรเทาภาวะตึงตัวของบริษัทเอกชน ขณะที่นโยบายการเงินของ BOJ นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ในการประชุมบอร์ด BOJ เมื่อวานนี้นั้น บอร์ดได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมที่ 0.1% อย่างเป็นเอกฉันท์ และคงระดับการประเมินเศรษฐกิจของประเทศไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ BOJ ยังคาดการณ์ด้วยว่า ภาวะเงินฝืดในประเทศจะเกิดขึ้นเป็นเวลา 3 ปี
BOJ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีงบประมาณ 2553 เป็น 1.3% จากระดับคาดการณ์เดิมที่ 1.2% และยังได้ปรับเพิ่มการประเมิน GDP ของปีงบประมาณ 2552 จากเดิมที่ติดลบ 3.2% เป็นติดลบ 2.5%
นอกจากนี้ BOJ ยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์ดัชนีราคาผู้บริโภคในปีงบประมาณ 2553 จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะอ่อนตัวลง 0.8% เป็นอ่อนตัวลงเพียง 0.5%
ผู้ว่าแบงก์ชาติญี่ปุ่นกล่าวในการแถลงข่าวภายหลังการประชุมว่า มุมมองพื้นฐานของธนาคารที่มีต่อการดำเนินการด้านนโยบายการเงินไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เดือนต.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่แบงก์ชาติได้ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจระยะยาว
BOJ ยืนยันว่า จะยังคงใช้นโยบายผ่อนปรนทางการเงินเพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืด และรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
ขณะที่ทางด้านสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ประกาศปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศญี่ปุ่นเป็น "ลบ" จากเดิม มีเสถียรภาพ เนื่องจากนโยบายการคลังมีความยืดหยุ่นลดลง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการจัดการกับปัญหาหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณ
S&P ได้คงอันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินเยนที่ AA และคงอันดับเครดิตตราสารหนี้ระยะสั้นสกุลเงินเยนและสกุลเงินต่างประเทศที่ A-1 แต่ระบุว่า ความยืดหยุ่นของนโยบายเศรษฐกิจที่ลดลงอาจนำไปสู่การลดอันดับเครดิตได้ ถ้าหากรัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่มีมาตรการออกมาใช้ควบคุมแรงกดดันที่มีต่อภาวะเงินฝืดและสถานะการคลังของประเทศ
นอกจากนี้ S&P ยังเตือนด้วยว่า อันดับความน่าเชื่อถือของญี่ปุ่นอาจถูกปรับลดลงถ้าข้อมูลเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ และยังไม่มีมาตรการส่งเสริมการขยายตัวในระยะกลางออกมาใช้ในเร็วๆนี้
เกาหลีใต้เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคทรงตัว- GDP โตเพียง 0.2%
ธนาคารกลางเกาหลีใต้เผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค. 2553 อยู่ในระดับ 113 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเดือนธ.ค. 2552 เนื่องจากสภาพการจ้างงานในประเทศที่ยังชะลอตัวทำให้ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่อยู่สูงกว่าระดับ 100 บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคที่มองมุมบวกนั้นมีจำนวนมากกว่าผู้ที่มองมุมลบ
ดัชนี CSI ของธนาคารกลางเกาหลีใต้ เป็นมาตรวัดแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม สภาพความเป็นอยู่ และการใช้จ่ายเงินในอนาคต
ทั้งนี้ แม้ตัวเลขโดยรวมอยู่สูงกว่าระดับ 100 แต่ผลสำรวจความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ยังคงทรงตัวที่ระดับ 95
ขณะที่ความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ลดลง 1 จุด แตะ 105 จุด
ส่วนความคาดหวังเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศเพิ่มขึ้น 1 จุด แตะ 119 จุด จากระดับเดือนธ.ค.ที่ 118 จุด
เจียง คุย-ยุน เจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางเกาหลีใต้กล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่การจ้างงานและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวก็ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับผู้บริโภคเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ปรับเพิ่มแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ว่า จะขยายตัว 4.6% จากปัจจัยการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่สดใส
อย่างไรก็ดี ในส่วนของรัฐบาลเกาหลีใต้อาจจะกดดันให้ธนาคารกลางเกาหลีใต้ยุติแผนการขึ้นดอกเบี้ย หลังมีรายงานว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาส 4 ปี 2552 ขยายตัวได้เพียง 0.2% (ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% หลังจากที่เคยพุ่งสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ระดับ 3.2% ในไตรมาสก่อนหน้านี้) อันเป็นผลมาจากภาคการส่งออก อุปสงค์ผู้บริโภค และการใช้จ่ายภาครัฐปรับตัวลดลง
ขณะที่รัฐบาลอาจใช้ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 มาเป็นเครื่องมือกดดันให้ธนาคารตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2% ต่อไป
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ส่งรมช.คลังเข้าร่วมประชุมเพื่อทบทวนนโยบายดอกเบี้ยในเดือนนี้ด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการดำเนินการที่สวนทางธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือมากว่า 10 ปี สำหรับการห้ามมิให้ตัวแทนทางการเมืองเข้าร่วมประชุมกำหนดนโนบายการเงิน
บรูไนเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
บรูไน หนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ของโลก เตรียมสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะตั้งอยู่ที่เมืองเซเรียทางตะวันตกของบรูไน และมีบริษัทของญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุน
นายโมฮัมเหม็ด รัฐมนตรีพลังงานบรูไน กล่าวว่า พลังงานแสงอาทิตย์จะก่อให้เกิดการสร้างงานใหม่
นอกจากนี้ รัฐบาลบรูไนจะกระตุ้นให้ผู้คนหันไปใช้พลังงานทางเลือกเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลให้มากขึ้นในอนาคต
มูดีส์เพิ่มแนวโน้มเครดิตแบงก์พาณิชย์จีน-อินเดีย-ออสเตรเลีย
มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ประกาศเพิ่มแนวโน้มความน่าเชื่อถือธนาคารพาณิชย์ใน 12 ประเทศของเอเชีย รวมถึงจีน อินเดีย และออสเตรเลีย จาก "เชิงลบ" เป็น "มีเสถียรภาพ" เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
มูดีส์ระบุว่า แนวโน้มความน่าเชื่อถือของธนาคารในญี่ปุ่น กัมพูชา มองโกเลีย และเวียดนามยังคงเป็นลบ และได้ปรับเพิ่มแนวโน้มความน่าเชื่อถือของธนาคารในฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย เป็น "มีเสถียรภาพ" จาก "เชิงลบ"
เดบอราห์ ชูเลอร์ รองประธานอาวุโสของมูดีส์ ระบุในรายงานว่า การปรับเพิ่มแนวโน้มเครดิตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในเอเชียและทั่วโลก รวมถึงการเข้าถึงตลาดเงินและพันธบัตรระหว่างประเทศที่ง่ายขึ้น ตลอดจนความยืดหยุ่นในการรับมือกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 26 ม.ค. 2553) ? เริ่มการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐฯ หรือ FOMC ? ดัชนีราคาบ้าน (พ.ย.) อยู่ที่ระดับ 146.28 จุด ? ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ม.ค.) อยู่ที่ระดับ 55.9 จุด
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พุธที่ 27 ม.ค. 2553) ? ตัวเลขสต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA ? ยอดขายบ้านใหม่ (ธ.ค.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ? การรายงานผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินสหรัฐฯ หรือ FOMC
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|