Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 45   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ภาพวิวจ๋วย..จ๋วย  (อ่าน 61041 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #60 เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2011, 02:01:23 PM »

เกาะพยาม จ.ระนอง

          ความพยายามอยู่ที่ไหน "เกาะพยาม" อยู่ที่นั่น อะฮะ ไปมั้ย ระยองฮิ ไม่ใช่! ระนองฮะ ต่างหาก travel.mthai.com จะพาลงใต้ นั่งรถจากกรุงเทพฯ หลับบ้าง ตื่นบ้าง ไม่เกิน 9 ชั่วโมงถึง รับรองอุ่นตลอดทริป เบาะงี้ร้อนวูบ! ต่อด้วยนั่งเรือมุ่งสู่เกาะอีกอึดใจ เรือเมล์ 2 ชั่วโมง เรือเร็ว 40 นาที เลือกเอาตามงบในกระเป๋า
 
          ถ้าเทียบกับสมัยก่อนแล้ว การเดินทางไป "เกาะพยายาม" นั้นลำบากมาก ความหมายชัดเจนอยู่ในชื่อเดิมของเกาะ ต้องอาศัยเรือประมงของชาวบ้าน ซึ่งจะมีโผล่มาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ วันเวลาผ่านไป ความเจริญเริ่มเข้าถึง ใช้ความพยายามลดลง ชื่อเกาะก็สั้นลง เหลือแค่ "เกาะพยาม"พูดง่ายกว่ากันเยอะ




  "เกาะพยาม" ตั้งอยู่ที่ ต.เกาะพยาม อ.เมือง จ.ระนอง อยู่ฝั่งทะเลอันดามัน เป็นเกาะขนาดใหญ่ ประกอบด้วยภูเขาขนาดย่อมๆ ป่าไม้เบญจพรรณ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าจำพวกลิงค่าง หมูป่า นกนานาชนิด โดยเฉพาะนกเงือกที่พบมากบนเกาะนี้ อ่าวที่สำคัญๆ ได้แก่ อ่าวแม่หม้าย ที่ตั้งของท่าเรือเกาะพยาม และที่ทำการหมู่บ้าน อ่าวเขาควาย จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน และอ่าวใหญ่ นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะไปอาบแดดและชมพระอาทิตย์ที่นี่เช่นกัน

           ครั้งนี้เราไปพักที่ "Blue Sky Resort" ที่พักที่ขึ้นชื่อที่สุดบนเกาะ ทั้งยังเป็นที่พักแรกๆ ที่สร้างขึ้นบนเกาะ ถ้าไปช่วง Hi จะเจอชาวต่างชาติเยอะมาก ส่วนช่วง Low นั้น นอกจากชาวบ้านแล้ว ก็แทบจะมีแต่พวกเรานี่แหละ เพราะช่วง Low น้ำจะไม่ขึ้นสวยอย่างช่วง Hi แต่ก็ได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง ใครจะไปสามารถโทรสอบถามช่วงน้ำขึ้นน้ำลงกับทางรีสอร์ทได้ เพราะเค้ามีปฏิทินระบุไว้ตลอดทั้งปี


ถึงแล้ว"ท่าเรือเกาะพยาม"



สะพานเชื่อมข้ามสู่รีสอร์ท น้ำขึ้นสูงมาก ถ้าน้ำลดเราจะเห็นหาดทรายยาวออกไป





ห้องพักทุกห้องจะหน้าตาเหมือนกันหมด แต่วิวแต่ละโซนสวยต่างกันนะ



ทางเดินระหว่างบ้านแต่ละหลัง ถ้าเมาแนะนำว่าอย่าเดินคนเดียว อิอิ



เมื่อน้ำขึ้นสวย ตรงนี้จะกลายเป็นมุมพักผ่อนที่วิเศษมุมหนึ่ง



 ใครไม่อยากอยู่ในบ้าน มานั่งอาบแดดเล็กๆ ตรงนี้ได้



ร้านอาหารริมชายหาด กินอิ่ม พร้อมนอนหลับ












เส้นทางในเกาะจะเป็นถนนตัด ลัดหมู่บ้านของชาวเกาะ ไปสู่แต่ละอ่าว



ตรงนี้คืออ่าวเขาควาย แนะนำให้นั่งรถบริการมา ขืนปั่นมาเอง น่องปูด
เพราะทางไกล เดี๋ยวลาด เดี๋ยวชัน เล่นเอาหอบได้นะ






ยามเช้าหมอกลงนิด นิด








พายเรือแคนู กิจกรรมยามว่าง








เป็นเกาะหนึ่งที่อยากให้ไปสัมผัส

ความพยายามอยู่ที่ไหน "เกาะพยาม" อยู่ที่นั่น!!

 

-----------------------------------------------------------

 

ขอบคุณภาพจาก mudi OiL

และ http://www.theblueskyresort.com/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #61 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 09:37:05 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #62 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2011, 10:18:42 PM »








หมู่เกาะสิมิลัน



หมู่เกาะพีพี



เกาะหลีเป๊ะ



เกาะกูด



หมู่เกาะอาดัง-ราวี



หมู่เกาะสุรินทร์



หมู่เกาะอ่างทอง



เกาะไข่



หมู่เกาะปอดะ


เกาะตาชัย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #63 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2011, 10:32:26 PM »












บันทึกการเข้า

finghting!!!
prim
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 390


« ตอบ #64 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2011, 08:20:01 PM »


หามาอีกนะจ๊ะ  เดี๋ยวจะมาดูใหม่จ้ะ ชอบมาก ๆๆ
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #65 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2011, 05:47:01 PM »







































บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #66 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2011, 04:52:27 PM »



























บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #67 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2011, 05:27:53 PM »

ดิสนีย์ สีสวย ไฟยามค่ำ







บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #68 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2011, 05:44:03 PM »

เที่ยว 8 ประเทศสวยๆ ที่เต็มไปด้วยความงามแห่งสีสัน


  ถ้าจะถามว่าบนโลกกลม ๆ ใบนี้ จะมีสักกี่ประเทศกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความสวยงาม และเต็มไปด้วยความงดงามแห่งสีสันเตะตา ต้องใจ รวมถึงดึงดูดให้นักเดินทางได้ลิ้มลองไปเที่ยวชมสักครั้งในชีวิต เชื่อว่าหลาย ๆ คนมีอยู่ในใจบ้างแล้ว แต่สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออกหรือบอกไม่ถูกว่ามีประเทศใดบ้าง ก็ไม่ต้องคิดมากไป เพราะทางเว็บไซต์ opentravel.com ได้คัดเอา 8 ประเทศสวย ๆ ที่เต็มไปด้วยความสดใสของสีสันมาให้ทราบกัน ฉะนั้น เราไปดูกันดีกว่าว่าจะมีที่ไหนบ้าง รวมถึงจะมีสีสันคัลเลอร์ฟูลมากน้อยขนาดไหน ตามไปชมกันได้เลย

1. ประเทศแอฟริกาใต้ (South Africa)

          ชื่อของประเทศแอฟริกาใต้ นอกจากจะเป็นที่คุ้นหูในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก เมื่อปี 2010 แล้ว ประเทศทางตอนใต้ของโลกแห่งนี้ ยังขึ้นชื่อในเรื่องของสีสันตามธรรมชาติ ที่มีอย่างมากมายตระการตาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสีของต้นไม้ใบหญ้าที่ผลัดกันออกดอกให้เกิดความสวยงามในแต่ละฤดูกาล สีเขียวของฤดูใบไม้ผลิ รวมไปถึงน้ำตาลสีแดง สีแดงเพลิง และสีแดงสดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง นอกจากนั้นแล้ว ประเทศแอฟริกาใต้ยังเป็นที่ตั้งของหาดทรายพร้อมทะเลสวย ๆ อีกด้วย ที่สำคัญคือมีภูเขาที่พร้อมด้วยความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและแหล่งหากินของสัตว์ต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน


2. ประเทศโมร็อคโค (Morocco)

          นี่คืออีกหนึ่งประเทศที่ใครหลาย ๆ คนมักจะไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เพราะคิดกันอยู่เสมอว่าเป็นประเทศที่มีแต่ทะเลทรายแห้ง ๆ ร้อน ๆ เท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากๆได้ลองไปสัมผัสสักครั้ง จะรู้ได้ในทันทีว่านี่คือประเทศที่มีความงามของสีสันไม่แพ้ชาติใดในโลก อันจะเห็นได้จากสีในเฉดแบบแรง ๆ สด ๆ ตามบ้านเรือนและกำแพงต่าง ๆ โดยเฉพาะในโทนสีฟ้า ที่จะพบเห็นได้มากเป็นพิเศษ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะด้วยความที่โมร็อคโคอยู่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก จึงทำให้ผู้คนที่นี่ยึดเอาสีของน้ำทะเล มาช่วยสร้างสีสันให้บ้านเรือนของพวกเขานั่นเอง

          นอกจากสีฟ้าของน้ำทะเลแล้ว สีทองหรือสีเหลืองแบบทะเลทราย ก็มีปรากฏให้เห็นในโมร็อคโคเช่นเดียวกัน ซึ่งสีโทนนี้มักจะเห็นอยู่ตามสถานที่สำคัญ ๆ รวมไปถึงแหล่งชุมชนใหญ่ ๆ ของประเทศ เช่น อาคารสำนักงาน หรือตามตลาดท้องถิ่น เป็นต้น



3. ประเทศโคลัมเบีย (Colombia)

แม้โคลัมเบียจะมีชื่อเสียงในด้านลบเกี่ยวกับเรื่องของยาเสพติด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สีสันของประเทศนี้ดูซีดมัวหรือโดดเด่นน้อยลงแต่อย่างใด หากแต่โคลัมเบียยังมีความสวยงามทางธรรมชาติคอยต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่ใช้ปลูกกาแฟ น้ำทะเลใส ๆ บนแนวชายฝั่งแคริบเบียน อาคารบ้านเรือน เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่มีสีฉูดฉาดของผู้คน และอื่น ๆ อีกเพียบ นี่เองจึงเป็นจุดดึงดูดสำคัญที่ทำให้ในแต่ละปี มีจำนวนของนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศแห่งนี้มากขึ้น ๆ อย่างไม่ขาดสาย


4. ประเทศเนเธอร์แลนด์ (Netherland)

เนเธอร์แลนด์ หรืออีกชื่อหนึ่งที่คุ้นหูว่า "ฮอลแลนด์" (Holland) ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสีสัน เริ่มตั้งแต่ทุ่งดอกทิวลิปที่ผลิดอกอวดโฉมบานสะพรั่ง เรื่อยไปจนถึงสถาปัตยกรรมต่าง ๆ และหาดทรายสวย ๆ ทั้งนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่การันตีได้ว่าเนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศแห่งสีสันนั่นก็คือ การที่ประเทศแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของเหล่าศิลปินผู้มีความสามารถทางศิลปะชื่อก้องโลกมากมาย ทั้ง แรมแบรนดท์ (Rembrandt), เฟอร์เมียร์ (Vermeer), แวน โก๊ะ (van Gogh) และ คูนิ่ง (Kooning)


ภาพประกอบโดย Paul Clarke / Shutterstock.com


5. ประเทศเปรู (Peru)

          นี่คือประเทศที่เต็มไปด้วยสีสันแทบจะทั้งปีก็ว่าได้ เพราะด้วยการแต่งตัวของผู้คนที่เน้นสีสันฉูดฉาดแบบไม่มียั้ง รวมไปถึงประเพณีต่าง ๆ ซึ่งเน้นในเรื่องของการเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนาน รวมไปถึงอาหารการกินและความเป็นอยู่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ภาพของเปรู คือประเทศที่พร้อมพรั่งด้วยสีสันอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ เหล่าบรรดาสิงสาราสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกนกแก้วมาคอว์ด้วยแล้ว ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยย้ำเตือนให้รู้ว่าเปรูนั้นเต็มไปด้วยสีสันอย่างแท้จริง


6. ประเทศนอร์เวย์ (Norway)

          นอกเหนือจากการตกแต่งอาคารบ้านเรื่อน สิ่งที่ทำให้ประเทศนอร์เวย์มีความน่าสนใจ นั้นก็คือ ความเป็นธรรมชาติและแหล่งธรรมชาติต่าง ๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุบเขา ท้องทะเล สีฟ้าครามบนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดึงดูดและเชื้อเชิญให้บรรดานักท่องเที่ยว คนรักกล้อง รวมถึงหัวศิลป์มากมายหลากหลายแขนงจากทั่วทุกมุมโลก เดินทางมาที่นอร์เวย์กันอย่างไม่ขาดสาย และทำให้ชื่อของนอร์เวย์จัดอยู่ในต์ระดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยว ที่อยากจะเดินทางไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต


7. ประเทศอินเดีย (India)

          เมื่อพูดถึงประเทศแห่งสีสันแล้ว ครั้นจะไม่พูดถึงประเทศอินเดียจากเอเชียบ้านเรา เห็นทีคงจะไม่ได้ เพราะแดนภารตะแห่งนี้ จัดเป็นประเทศที่มีสีสันอยู่เต็มไปทั่วทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน อาหาร สินค้าและวัตถุดิบต่าง ๆ ประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา วัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนาน เทศกาลสนุก ๆ ความเชื่อมากมายหลากหลายอย่าง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ไปแล้วทั้งสิ้น


ภาพประกอบโดย Galina Barskaya / Shutterstock.com


8. ประเทศญี่ปุ่น (Japan)

          ด้วยความที่ประเทศมีความพร้อมและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี จึงจะเห็นได้ว่าประเทศญี่ปุ่นมักประดับประดา และตกแต่งสถานที่ด้วยแสงไฟนีออน โดยเฉพาะในยามราตรี หลาย ๆ ตึก รวมถึงหลาย ๆ ร้านค้าจะเปิดไฟเหล่านั้นพร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดความงดงามจากแสงสว่างเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ญี่ปุ่นไม่ได้มีความงามที่เกิดจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หากแต่ความงามและสีสันต่าง ๆ ทั้งจากธรรมชาติ สิ่งปลูกสร้าง ก็มีปรากฏอยู่ให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น สีชมพูจากดอกซากุระ สีขาวเนียนจากหิมะ สีของไม้ตามวัดต่าง ๆ และอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน         
                                  นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของความเจริญทางแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย เสื้อผ้า หน้าผม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และการแสดงออกในด้านต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนที่ช่วยมาเติมเต็มให้แดนปลาดิบ เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงามอีกประเทศหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย



          และนี่เป็น 8 ประเทศแห่งสีสันที่เราหยิบมาแนะนำกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วเชื่อว่าคงจะมีอยู่หลากหลายประเทศ ที่ถูกมนุษย์รวมถึงธรรมชาติ แต่งแต้มสีสันให้คุณอยากไปเยือนสักครั้ง (จริงไหม)

credit Kapook
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #69 เมื่อ: ธันวาคม 08, 2011, 09:15:35 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #70 เมื่อ: มกราคม 03, 2012, 08:49:49 PM »

สุดยอด 8 เมืองสีสันคัลเลอร์ฟูลที่สุดในโลก!


สถาปัตยกรรม บนโลกเราทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่อง หรืออาคารต่าง ๆ เรามักจะเห็นว่าสร้างจากวัสดุทั่วไปอย่างอิฐสีแดง เหล็กสีเทา และหินสีอ่อน เป็นต้น ซึ่งดูแล้วเป็นอะไรที่ธรรมดา นานวันเข้าก็ทำให้ดูน่าเบื่อ เพราะพบเห็นได้ทั่วไป แต่เพื่อน ๆ รู้ไหมคะว่ายังมีบางส่วนบนโลกใบนี้ ที่เค้าสร้างสิ่งอัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่แปลกแหวกแนวมานานแล้ว ซึ่งเราอาจไม่เคยทราบว่ามันมีอยู่ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงหยิบเอา 8 เมืองสีสันสุดจิ๊ด ราวกับถูกระบายด้วยดินสอสี จากเว็บไซต์ enpundit.com มาแนะนำกัน…





1. มานาโรลา ประเทศอิตาลี (Manarola, Italy)

หมู่บ้านมานาโรลา อาจได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่เล็กเป็นอันดับสอง แต่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาหมู่บ้านทั้ง 5 ของ ชิงเกว แตร์เร (Cinque Terre) ที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1338 ในประเทศอิตาลี โดยหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูงชันบนฝั่งริเวียล่า ซึ่งเมื่อมาถึงจะพบเมืองโดดเด่นด้วยสีอันสดใส เพราะอาคารและตึกถูกทาด้วยสีสันสวยงามหลากสี ดึงดูดคุณให้ต้องรัวชัตเตอร์ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก กับความงดงามของวิวทิวทัศน์หน้าผาริมทะเล ตัดกับสีสันของหมู่บ้านสีลูกกวาดแห่งนี้





2. กวานาฮวาโต้ ประเทศเม็คซิโก (Guanajuato, Mexico)

เมืองกวานาฮวาโต้ ตั้งอยู่ในหุบเขาแคบ ๆ ใจกลางประเทศเม็คซิโก โดยที่นี้ถูกค้นพบจากเหมืองแร่เก่าแห่งหนึ่ง ในภูเขาที่โอบล้อมเมืองนี้อยู่ สภาพของเมืองถูกตกแต่งด้วยสีที่ฉูดฉาดบาดตา เช่น สีเขียว สีชมพู สีฟ้า ฯลฯ จึงทำให้เมืองดูน่าสนใจขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตามอาคารบ้านเรือน สำนักงาน โบสถ์ พลาซ่า วิหารต่าง ๆ ดึงดูดสายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา แถมบางส่วนของตรอกซอกซอยในใจกลางเมือง ยังมีขนาดเล็กมากจนรถยนต์ไม่สามารถขับผ่านได้ เปรียบเสมือนเป็นถนนคนเดินเท่านั้น…ว้าว! นอกจากนี้ เมืองนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นบ้านของพิพิธภัณฑ์มัมมี่ เพราะมีการพบซากของมัมมี่ในหลุมศพเมือง ช่วงระหว่างศตวรรษที่ 19 และ 20 อีกด้วย





3. ท่าเรือบรีเก็น เมืองเบอเกน ประเทศนอร์เวย์ (Bryggen, Bergen, Norway)

บรีเก็น เป็นท่าเรือเก่าของ เมืองเบอร์เกน ประเทศนอร์เวย์ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองมรดกโลก จากองค์การยูเนสโกไปเมื่อปี 1979 เดิมทีเคยถูกเพลิงไหม้ เผาทำลายบ้านไม้อันสวยงามมาหลายครั้งแล้ว แต่ปัจจุบันยังหลงเหลือสภาพอาคารไม้แบบโบราณนี้อยู่บ้างจากท่าเรือเดิม มีลักษณะเด่นที่การก่อสร้างอาคารเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ไปตามถนนแคบ ๆ ที่ทอดตัวขนานไปกับท่าเรือ ซึ่งบ้านเรือนจะมีลักษณะเป็นบ้านไม้สามชั้น มีหน้าจั่วและผนังข้างมุงด้วยแผ่นไม้ ทาสีที่โดดเด่นสะดุดตา สลับกันไปมา ส่วนด้านหลังมีโกดังหรือห้องเก็บของขนาดเล็กที่สร้างด้วยหิน เพื่อป้องกันบริเวณนี้จากเหตุเพลิงไหม้





4. วรอตสวัฟ ประเทศโปแลนด์ (Wroclaw, Poland)

เมืองวรอตสวัฟ เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโลว์เออร์ไซลีเชีย และยังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของประเทศโปแลนด์อีกด้วย โดยที่นี้ถือว่าเป็นเมืองหนึ่งที่ดูทันสมัย มีความหลากหลายและเต็มไปด้วยวัฒนธรรมของประวัติศาสตร์ นอกจากความน่าสนใจในเรื่องของประวัติศาสตร์แล้ว ในเมืองแห่งนี้ยังถูกฉาบไปด้วยสีสันของสถาปัตยกรรมอาคารอันสวยงามรอบเมือง ตัดกับสีฟ้าครามบนท้องฟ้าในวันที่อากาศดี ช่างทำให้เมืองนี้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดของศิลปินเลยทีเดียว





5. วิลเลมสตัด เกาะคูราเซา (Willemstad, Curacao)

วิลเลมสตัด เป็นเมืองหลวงของเกาะคูราเซา ดินแดนเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส เกาะทางตอนใต้ของทะเลแคริบเบียน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ดินแดนสวรรค์ของนักดำน้ำและผู้รักธรรมชาติทั้งหลาย โดยที่ลักษณะการตกแต่งอาคารบ้านเรือน โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาณานิคมสไตล์ชาวดัตช์ และบริเวณทางเข้าของท่าเรือที่รายล้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านค้าต่าง ๆ และสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืน ซึ่งอาคารแถบนั้นถูกระบายด้วยสีสันคัลเลอร์ฟูล ขนานไปกับพื้นผิวน้ำที่อยู่ข้าง ๆ สร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ถูกยกให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกอีกด้วย





6. เซนต์จอห์น นิวฟาวด์แลนด์ ประเทศแคนาดา (St. John’s, Newfoundland, Canada)

เซนต์จอห์น เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดใน นิวฟาวด์แลนด์ ประเทศแคนาดา สำหรับสถาปัตยกรรมการตกแต่งของทีนี้นั้น มีความโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่น ๆ ของแคนาดา ในส่วนของอาคารหลัก ๆ ของเมือง เป็นส่วนที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์ของอาณานิคมอังกฤษ แล้วนำมาบูรณะใหม่หลากหลายรูปแบบ แต่ที่เหมือนกันคือส่วนใหญ่จะทาด้วยสีสันที่แสบทรวง บาดจิตบาดใจ ซึ่งมองดูจากภาพระยะไกลแล้ว ช่างดูเหมือนกับเมืองในเทพนิยายเสียเหลือเกิน





7.  ไนแฮน โคเปนเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ค (Nyhavn, Copenhagen, Denmark)

ท่าเรือใหม่ ไนแฮน เป็นเขตแห่งความบันเทิงริมน้ำของ เมืองโคเปนเฮเก้น ประเทศเดนมาร์ค เพราะตามถนนขนาบริมคลองแห่งนี้ เต็มไปด้วยทาวเฮ้าส์ บาร์ คาเฟ่  ร้านอาหารมากมายที่ฉุดนักท่องเที่ยวเข้ามา โดยสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เพื่อรองรับการขยายตัวของท่าเรือเดิม และเพื่อเป็นคลองเชื่อมระหว่างเมืองออกสู่ทะเล ซึ่งอาคารร้านค้าที่สร้างด้วยไม้ อิฐ อันเก่าแก่นั้น ถูกระบายสีสันสดใสอย่างไฉไล ขนาบนาบน้ำทั้งสองฝั่ง เตะตาผู้คนเป็นจำนวนมาก และทำให้ดูเป็นเอกลักษณ์ของทีนี้ไปเลย





8. ลา โบกา กรุงบัวโนส ไอเรส (La Boca, Buenos Aires)

เขต ลา โบกา เป็นย่านหนึ่งของกรุงบัวโนส ไอเรส เมืองหลวงของประเทศอาร์เจนตินา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องทีมฟุตบอลอย่างทีม โบคา จูเนียส์ ที่อดีตยอดนักฟุตบอลอย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า เคยเล่นและคุมทีมอยู่ โดยที่บ้านเมืองของที่นี้จะทาสีบ้านเหมือนสีลูกกวาดหลากสี ที่สะดุดตามาก ซึ่งบ้านหลังหนึ่งก็ตกแต่งหลายสี ผสมปนเปกันไปราวกับบ้านในนิยาย แถมดูไปดูมาก็เหมือนย่านฝึกระบายสีบ้านยังไงยังงั้นแหละ


โอ้ โห! ดูแล้วแสบตากันเลยทีเดียวใช่ไหมคะ กับเมืองแห่งสีสันทั้ง 8 ที่เราได้นำมาให้ชมกัน สวย แปลกตาไปอีกแบบดีเหมือนกันนะคะ แทนที่เราจะสร้างอะไรแบบเเหมือน ๆ กัน พวกเขาก็ทำให้มันมีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ซึ่งไม่ซ้ำแบบใครขึ้นมา แถมยังขายจุดเด่นตรงนี้นำนักท่องเที่ยวให้เข้ามาชมได้อีกด้วย


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #71 เมื่อ: มกราคม 03, 2012, 09:16:03 PM »

25 ห้องสมุดที่สวยที่สุดในโลก




อันดับที่ 1 The University of Coimbra General Library, Coimbra, Portugal



อันดับที่ 2 Beinecke Rare Book and Manuscript Library, Yale University, New Haven, CT



อันดับที่ 3 University of Salamanca Library, Salamanca, Spain



อันดับที่ 4 The Trinity College Library, aka “The Long Room,” Dublin, Ireland



อันดับที่ 5 Old Library, St. John’s College, Cambridge University, Cambridge, UK



อันดับที่ 6 Philological Library of the Free University, Berlin, Germany



อันดับที่ 7 Central Library, University of Technology, Delft, Netherlands



อันดับที่ 8 The Harper Library Reading Room, University of Chicago, Chicago, IL



อันดับที่ 9 Frederick Ferris Thompson Memorial Library, Vassar College, Poughkeepsie, NY



อันดับที่ 10 George Peabody Library, Johns Hopkins University, Baltimore, MD



อันดับที่ 11 Queen’s College Library, Oxford University, Oxford, UK



อันดับที่ 12 Wren Library, Trinity College, Cambridge University, Cambridge, UK



อันดับที่ 13 Duke Humfrey’s Library, Bodleian Library, Oxford University, Oxford, UK



อันดับที่ 14 Suzzallo Library’s Graduate Reading Room at the University of Washington, Seattle, WA



อันดับที่ 15 The North Reading Room in Doe Library, UC Berkeley, Berkeley, CA



อันดับที่ 16 La Sorbonne Reading Room, Paris, France



อันดับที่ 17 Codrington Library, All Soul’s College, Oxford University, Oxford, UK



อันดับที่ 18 Cornell Law School Library, Ithaca, NY



อันดับที่ 19 University of Michigan Law Library, Ann Arbor, MI



อันดับที่ 20 Pontifical Lateran University library, Rome, Italy



อันดับที่ 21 Powell library, UCLA, Los Angeles, CA



อันดับที่ 22 Widener Library, Harvard University, Cambridge, MA



อันดับที่ 23 Fisher Fine Arts Library, University of Pennsylvania, Philadelphia, PA



อันดับที่ 24 Pitts Theology Library, Emory University, Atlanta, GA



อันดับที่ 25 Bapst Library, Boston College, Boston, MA
บันทึกการเข้า

finghting!!!
paul711
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4406


Gold is value because it's value!


« ตอบ #72 เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 03:55:14 AM »

 Grin  ขอบคุณมากครับคุณหนูใจ
ภาพทุกภาพสวยมากๆ ดูแล้วตื่นตาตื่นใจ ดูได้ไม่เบื่อ ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน
เหมือนย่อโลกมาอยู่ใกล้ๆแค่นี้เอง ดูแค่ภาพก็พอใจแล้วครับสําหรับผมเอง ไม่ต้องไปดูของจริงก็มีความสุขแล้วครับ
บันทึกการเข้า

ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 
จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน 
ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้


http://ichpp.egat.co.th/

Gold2Gold.com
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #73 เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 08:54:58 PM »

ดอกนางพญาเสือโคร่ง ณ ขุนช่างเคี่ยน บานสะพรั่งแล้วจ้า
















ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ 9mot และ คุณ paipaiphuart

ทุก ๆ ปีในช่วงปลายเดือนธันวาคมพ่วงมกราคม “ต้นนางพญาเสือโคร่ง” (Prunus cerasoides D.Don) หรือ “ซากุระดอย” ตลอดริมสองข้างทางเข้าสู่ “ขุนช่างเคี่ยน” หรือ “สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน” จะออกดอกบานสะพรั่ง ทำให้ถนนทั้งสายกลายเป็นสีชมพูหวานแหววชวนให้เคลิบเคลิ้ม แหม…แบบนี้ก็เหมาะแก่การไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ในช่วงหยุดยาววันปีใหม่ซะจริง ๆ … ว่าไหม ^^

อะ ๆ เชื่อว่าคงมีหลายคนอาจไม่คุ้นหูกับคำว่า “ขุนช่างเคี่ยน” ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว “ขุนช่างเคี่ยน” อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่เลย เอาเป็นว่าวันนี้กระปุกดอทคอมจะพานักเดินทางทั้งหลาย ไปสัมผัสกับความงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้กับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเรา ๆ ได้เพลินตาเพลินใจ ณ ขุนช่างเคี่ยน กันดีกว่า ยิ่งในช่วงนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งกำลังแข่งขันกันผลิดอกสีชมพูบานซะด้วย … เอ้า! ใครพร้อมตามเราเข้ามาเลย

ขุนช่างเคี่ยน หรือ สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ตั้งอยู่ ณ หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร อยู่ทางทิศเหนือของยอด ดอยปุย ห่างจาก พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ประมาณ 8 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายเชียงใหม่-พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่ง ขุนช่างเคี่ยน เป็นหนึ่งในสถานีเกษตรฯ ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่วิจัยเกี่ยวกับไม้ผลเมืองหนาว และเมล็ดพันธุ์กาแฟ เพื่อศึกษาความสามารถในการมีชีวิตรอดหลังจากปลูกใหม่ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่










แต่นอกจาก เมล็ดพันธุ์กาแฟ และ ผลไม้เมืองหนาว แล้ว “ขุนช่างเคี่ยน” ยังมีชื่อเสียงให้เหล่านักเดินทาง เดินทางไปสัมผัสอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “ต้นนางพญาเสือโคร่ง” ที่ออกดอกบานสะพรั่งอลังการตระกาลตา ตลอดสองข้างทางถนนสายเล็ก ๆ แคบ ๆ ที่มุ่งตรงไปสู่ “สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน”

โดยในทุก ๆ ปีของฤดูหนาว ช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ต้นนางพญาเสือโคร่ง จะออกดอกอวดความงามมองเห็นแต่สีชมพู ทั่วบริเวณ สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ซึ่งจุดที่ ต้นนางพญาเสือโคร่ง ขึ้นอยู่หนาแน่นที่สุด และเห็นเป็นกลุ่มเป็นดงสวยที่สุด คือตามเชิงดอย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่ที่ความหนาวเย็นด้วย และที่สำคัญแต่ละปี ดอกพญาเสือโคร่ง จะออกดอกไม่พร้อมกัน ทางที่ดีควรจะสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ให้แน่นอนก่อน











สำหรับใครที่ติดใจอยากจะขอค้างคืนอยู่ชื่นชมกับความงามของ “ดอกพญาเสือโคร่ง” ที่ ขุนช่างเคี่ยน ก็มีบ้านพักไว้คอยบริการ 3 หลัง สามารถพักอาศัยได้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไม่เกิน 15 คน ภายในเป็นห้องกว้างสำหรับพักรวม มี 2 ชั้น ชั้นบนสามารถจุคนได้ประมาณ 4-6 คน ส่วนชั้นล่างจุได้ประมาณ 8-12 คน มีที่นอน หมอนและผ้าห่ม ห้องน้ำ-สุขา อยู่ภายใน มีห้องครัวสำหรับจัดเตรียมอาหารขนาดเล็ก พร้อมเตาแก๊ และอุปกรณ์หุงต้มที่จำเป็น หรือใครอยากกางเต็นท์ที่นี่ก็มีจุดกางเต็นท์ไว้ให้บริการ




ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อที่พักและชำระเงินได้ที่ โทรศัพท์ 053 944053 หรือ 053 222014 ก่อนวันเข้าพักอาศัย (ในวันและเวลาราชการ) ทั้งนี้ มีอัตราค่าบำรุงสถานที่สถานีช่างเคี่ยน นักศึกษาคนละ 30 บาท ประชาชนทั่วไปคนละ 60 บาท หมู่คณะละ 600 บาท


และใช่ว่า “ขุนช่างเคี่ยน” จะมีแค่ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ให้ชมเท่านั้น ถ้าขับรถเลยไปอีกนิด ก็จะพบกับ “หมู่บ้านชาวม้งบ้านขุนช่างเคี่ยน” ที่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวสัมผัสประเพณีและวัฒนธรรมกับพวกเขาได้ อีกทั้งตลอดสองข้างทางยังมี ต้นนางพญาเสือโคร่ง ขนาบข้างให้ชมไปตลอดเส้นทาง






การเดินทาง

ขุนช่างเคี่ยน อยู่ทางทิศเหนือของยอดดอยปุย ห่างจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ประมาณ 8 กิโลเมตร ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 32 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายเชียงใหม่-พระธาตุดอยสุเทพ ลักษณะถนนจากเมืองเชียงใหม่ ถึงพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ลาดยางเป็นระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร จากนั้นเป็นถนนโรยกรวดขนาดเล็ก จากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ไปถึงยอดดอยปุยอีกประมาณ 4 กิโลเมตร และเป็นถนนดินที่มีผิวทางค่อนข้างชำรุด จากยอดดอยปุยไปทางหมู่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยนอีกประมาณ 4 กิโลเมตร
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #74 เมื่อ: มกราคม 05, 2012, 08:49:36 PM »





เจ้าของบ้านจ้ะ
หัวเราะกันนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 05, 2012, 08:51:19 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 45   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: