Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website.
Home
-----
กระดานสนทนาหน้าแรก
-----
Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart
-----
gold-trend-price-prediction
-----
ติดต่อเรา
หัวข้อ: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 09:49:18 AM สวัสดีค่ะ
หนูใจ ขอย้ายข้อความที่โพสต์ไปแล้วมารวมอยู่ในที่เดียวกันค่ะ เพื่อจะได้หาอ่านง่ายขึ้น ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านไว้ ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ :) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:08:59 AM สูตรพอกหน้า
(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_4195618012008060026.jpg) แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน) วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้า และลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม) วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี) วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส) วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น) วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย) วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอก หน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:10:04 AM วิธีไล่จิ้งจก (เดลินิวส์)
ใครที่ประสบกับปัญหาจิ้งจกกวนใจ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีไล่จิ้งจกมาบอก... วิธี แรก ใช้ผ้าชุบน้ำมันก๊าซผสมน้ำ แล้วนำไปวางตามมุมอับ กลิ่นเหม็นของน้ำมันก๊าซ จะเป็นตัวไล่ให้จิ้งจกไม่กล้าเข้าใกล้ หรือนำการบูร ลูกเหม็น ไปวางแทนที่ก็ใช้ได้เช่นกัน อีกวิธีให้ใช้น้ำฉีดไปที่เท้าของจิ้งจก เพราะน้ำจะเข้าไปแทนที่สูญญากาศใต้พังผืดบริเวณเท้า ทำให้หล่นลงมา เพียงเท่านี้ จิ้งจกก็จะไม่มากวนใจอีกต่อไป หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:11:40 AM ครัว
(http://sgstb.msn.com/i/7B/AEA77E9B14E1C9CE3F2DEFC7A2BBE.jpg) ครัว นับเป็นอีกห้องหนึ่งที่มีเรื่องของระบบเข้ามาเกี่ยวข ้องด้วยมากที่สุด ครัว นับเป็นอีกห้องหนึ่งที่มีเรื่องของระบบเข้ามาเกี่ยวข ้องด้วยมากที่สุด ทั้งระบบน้ำ ไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบระบายกลิ่น และอื่นๆอีกมากมายที่ชวนให้ปวดหัว ความจริงแล้วปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าหากคุณมีการวางแผนที่ดีตั้งแต่แรกในการเลือกติดตั ้งครัวที่มีการวางระบบจัดการน้ำ ไฟ ควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ระบบหลักในห้องครัวมี 3 ระบบ 1. ระบบน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ น้ำใช้และน้ำทิ้ง ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมการในเรื่องการวางระบบน้ำมา ยังบริเวณอ่างน้ำที่ติดตั้งบนเคาน์เตอร์และส่วนของน้ ำทิ้งที่ออกสู่ภายนอก ซึ่งต้องคำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้ ก็อกน้ำ ควรเลือกชนิดก๊อกสูง ปลายก๊อกลอยพ้นขอบอ่างเนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงง่า ยต่อการปรับทิศทางและแรงดันน้ำ ท่อน้ำทิ้ง ควรเลือกใช้ท่อใหญ่และอ่อนซึ่งจะระบายสิ่งสกปรกได้ดี ไม่อุดตันง่าย และควรติดตั้งบ่อดักไขมันเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นจา กปัญหาคราบไขมันสะสมตามท่อน้ำทิ้ง 2. ระบบไฟ สิ่งที่ควรรู้ในการติดตั้งระบบไฟคือ ตำแหน่งของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในครัว เพื่อการกำหนดระยะเต้าเสียบที่เหมาะสม ในส่วนของระบบไฟแสงสว่างนั้น ควรเน้นในบริเวณที่ใช้ทำงานเช่นในส่วนเตรียมอาหารและ เตาไฟ โดยอาจมีการติดตั้งเพิ่มเติมดวงไฟในบางจุด ระวังการติดไฟเพดานกลางห้องเพราะอาจจะทำให้เกิดเงาบน พื้นที่ใช้สอย ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ 3. ระบบการระบายกลิ่นและควัน นอกจากหน้าต่างแล้ว การระบายอากาศในครัวจำเป็นต้องมีเครื่องดูดควันและกล ิ่น พร้อมพัดลมดูดอากาศด้วย โดยเฉพาะครัวไทยที่มีควันจากการทำอาหารค่อนข้างมาก ในการติดตั้งไม่ควรต่อท่อระบายควันขึ้นไปในช่องระหว่ างฝ้ากับใต้คานเพราะอาจเกิดคราบน้ำมันจับตัวเป็นแหล่ งเพาะเชื้อโรคได้ นอกเหนือจากเรื่องของการวางระบบในครัวแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งก็คือการเลือกใช้วัสดุโดยคำนึงถึงการใ ช้งานเป็นหลัก เช่นส่วนที่ต้องสัมผัสกับน้ำบ่อยๆ ส่วนที่ต้องอยู่ใกล้ความร้อน หรือส่วนที่ง่ายต่อการหมักหมมของเศษอาหารต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอายุการใช้งาน ครัวของคุณ และจากจุดเล็กๆที่คุณอาจมองข้ามไปแต่ทีมครัวปูน 360 จากบุญถาวรไม่เคยมองข้าม เราจึงเร่งพัฒนานวัตกรรมครัวปูนที่มีคุณภาพเพื่อแก้ป ัญหาในทุกจุดที่จะเกิดขึ้น เริ่มจากการใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ด้วยโครงสร้างคอนกรีตน้ำหนักเบาที่มีความแข็งแรง ทนความร้อนสูง การเลือกใช้แผ่นท็อปที่เป็นอะคริลิคแท้ 100% มีคุณสมบัติพิเศษที่ทั้งแข็งแกร่ง กันการรั่วซึม ไม่มีรอยต่อของหิน ทำให้ไม่เกิดการหมักหมมของเศษอาหาร และยังง่ายต่อการทำความสะอาด ในขณะที่ระบบระบายอากาศภายในตัวครัว ยังได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี ด้วยการเจาะช่องระบายอากาศภายในตัวครัว หรือที่เรียกว่าครัวปูนหายใจได้นั่นเอง เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น ลดปัญหาความอับชื้นที่มักจะเกิดขึ้นกับครัวปูนทั่วๆไ ป เพราะเราเชื่อว่า เพียงแค่สินค้าและนวัตกรรมที่ล้ำหน้าอาจไม่เพียงพอ เราจึงให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนในการสร้างครัว เพราะเรารู้ดีว่าเรื่องครัวไม่ได้จบแค่การติดตั้งครั ว แต่ยังมีระบบไฟฟ้า ประปา และรายละเอียดอื่นๆที่ต้องดูแลไปตลอด พร้อมเพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันที่ดีที่สุดจาก บุญถาวร 1 ปีสำหรับเฟอร์นิเจอร์ครัวทั้งหมด และอุปกรณ์ฟิตติ้งต่างๆที่เราพร้อมให้การดูแลมากถึง 10 ปี คุณจึงมั่นใจในบริการของเราได้อย่างเต็มที่ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:12:43 AM ประโยชน์ของการขัดผิว
(http://www.siamdara.com/Picture_Girl/200912295130150.jpg) ทราบหรือไม่ว่าการขัดผิวมีประโยชน์อย่างไร วันนี้มีเรื่องนี้มาฝากค่ะ.... ปกติผิวจะมีการผลัดเซลล์ผิว ทุก 2-4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุเกิน 20 ปี การผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย และผิวหมองคล้ำ การขัดผิวด้วยฟองน้ำ เกลือขัดผิว แปรง หรือวิธีอื่นๆ จึงช่วยให้เซลล์ผิวผลัดตัวเร็วขึ้น ทำให้ผิวดูกระจ่างใส - ผิวแห้ง การขัดผิวที่เสื่อมสภาพออก จะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิว ผิวจึงไม่แห้งตึง - ผิวผสม ลดปัญหาการเกิดสิว ช่วยให้สีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ - ผิวมัน ช่วยให้รูขุมขนสะอาดขึ้น ลดการอุดตัน และลบเลือนรอยดำจากสิว - ผิวที่มีริ้วรอย กระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติให้ทำงานดีข ึ้น ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย และความหมองคล้ำ ผิวจึงดูสดใสและอ่อนวัยขึ้น - ผิวที่ไม่เรียบเนียน ช่วยลบเลือนจุดด่างดำและริ้วรอยที่เกิดจากสิว - ผิวแตกลาย / ผิวเปลือกส้ม การขัดผิวด้วยฟองน้ำนุ่มๆ หรือใยบวบธรรมชาติที่แช่น้ำจนนิ่ม ในบริเวณที่ผิวแตกลาย เป็นคลื่น เป็นลอน ทุกวัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และลบเลือนริ้วรอยให้จางลงได้ การขัดผิวหน้าควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยวนมือเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดผิวควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นใ ห้ผิว รู้อย่างนี้แล้ว สาวคนไหนอยากมีผิวสวย อย่าลืมหันมาขัดผิวกันดีกว่านะคะ... ที่มา : เดลินิวส์ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:13:46 AM :) 4 วิธีแก้คอเคล็ดเพราะตกหมอน
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img9/78794.jpg) "โอ๊ย... ช่วยด้วยหันคอไม่ได้" ...คุณล่ะเคยไหมคะ ที่บางครั้งหลังตื่นนอนไม่สามารถหันคอหรือเอียงคอได้ เพราะคอเคล็ดหรือคอแข็ง อย่างที่เราเรียกว่า "ตกหมอน" นั่นเอง เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ไว้ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการตกหมอนมาฝากค่ะ อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอและให้อยู่นิ่งๆ โดยการนอนราบชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก ประคบ ร้อน ด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่นบริเวณกล้ามเนื้ อต้นคอที่เจ็บประมาณ 20-30 นาที และกดนวดบริเวณคอเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ดัดยืดคอด้วยตนเอง โดยใช้มือช่วยดันศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้าๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อยแต่ไม่เจ็บ ดันค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วทำซ้ำ 5-10 ครั้ง จนเริ่มรู้สึกทุเลาลง นวดเบาๆ โดยใช้มือบีบลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย ให้แรงบีบพอประมาณที่ทำให้รู้สึกแน่นตึงและไม่เจ็บ บีบและคลายเป็นจังหวะ การประคบร้อนก่อนการนวดจะช่วยให้นวดได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น ข้อควรระวัง ไม่ควรกดบีบหรือยืดกล้ามเนื้อจนรู้สึกเจ็บ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น และไม่ควรให้ผู้อื่นดัดคอหรือจับเส้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้อักเสบและเรื้อรังได้ ถ้ายังไม่หายค่อยๆ ฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อหรือปรึกษานักกายภาพบำบัด ปกติอาการปวดคอมักจะหายภายใน 1-2 วัน ถ้าอาการรุนแรงขึ้นหรือยังไม่หายสนิท ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรักษาให้ถูกต้องค่ะ นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 194 หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:14:42 AM เก็บรักษายาอย่างไรให้ถูกต้อง
(http://img.kapook.com/image/health/medicine.jpg) เก็บรักษายาอย่างไรให้ถูกต้อง (Ya&You) ผู้เรียบเรียง ภญ.สุธีรา เตชคุณวุฒิ และ ภญ.จิตติมา ลัคนากุล โดย ส่วนใหญ่แล้ว ยาสามัญประจำบ้านเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับครอบ ครัวและที่ทำงานที่จะมี เก็บไว้ใช้เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ การเก็บรักษายาที่ ถูกต้องจะมีผลต่อคุณภาพของยา ซึ่งหากเก็บยาไม่ถูกต้องแล้ว ยาดังกล่าวมีโอกาสที่จะเสื่อมคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อฤทธิ์การรักษาโรคของยา และอาจเกิดอันตรายจากการใช้ยาที่เสื่อมคุณภาพ สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงในการเก็บรักษายาให้ถูกต้อง คือ ความชื้น ตัวยาหลายชนิดเมื่อเจอความชื้นตัวยาจะเกิดการสลายตัว และยาเม็ดส่วนใหญ่เมื่อโดนความชื้นจะมีผลต่อเปลือกเค ลือบทำให้บวมหรือเกาะ เป็นก้อน ซึ่งจะส่งผลให้ฤทธิ์การรักษาของยาไม่เป็นไปตามที่ต้อ งการ จึงไม่ควรเก็บยาในบริเวณที่มีความชื้นสูง และหากขวดยามีสารดูดความชื้นให้เก็บสารดูดความชื้นไว ้ในขวดจนใช้ยาหมด รวมถึงผิดขวดยาให้สนิทเพื่อป้องกันความชื้น **ไม่เก็บยาไว้ในตู้เย็น นอกจากมีการระบุไว้ หรือไม่เก็บยาในห้องน้ำหรืออ่างล้างหน้า** อุณห อุณหสูง(ร้อน) หรือ อุณหต่ำ(เย็น) เกินไปจะมีผลต่อคุณภาพของยาได้ ยาส่วนใหญ่ จะให้เก็บไว้ในอุณหห้อง ซึ่งหมายถึงอุณหประมาณ 18 -25 องศาเซลเซียส และไม่ถูกแดดโดยตรง ยาบางชนิด ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นเนื่องจากยาจะเสียได้ง่าย หรือสลายตัวหากเก็บไว้ในอุณหห้อง **หากระบุให้เก็บในตู้เย็น ให้เก็บในช่องเย็นธรรมดา ไม่เก็บไว้ในช่องแข็ง** แสงสว่าง ยาแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติทนต่อแสงแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามไม่ควรเก็บยาให้โดนแสงแดด และไม่แกะยาออกจากภาชนะบรรจุเดิมของยาโดยที่ยังไม่ต้ องการใช้ เพราะเมื่อแกะยาแล้ว ยาจะโดนแสงทำให้ยาเสื่อมสภาพได้ อากาศ ในอากาศมีก๊าซต่าง ๆ ซึ่งจะสามารถเร่งให้ยาเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ดังนั้นจึงควรเก็บยาในภาชนะที่มีสามารถปิดสนิทมิดชิด หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:15:30 AM 7 วิ ธี กิ น ย า ใ ห้ ไ ด้ ผ ล
(http://www.siamdara.com/Picture_Girl/200910123280930.jpg) เมื่อ เราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องไปหาหมอ เมื่อไปหาหมอ คุณหมอก็จะให้ยามารับประทาน แต่เอ๊.....ทำไมทานยามาตั้งนานถึงมาหายสักที ลองเช็คสิกินยาถูกหรือเปล่า 1. จดโน้ตเล็ก ๆ เตือนเอาไว้ว่าคุณต้องทานยาอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการลืม หรือหากคุณเป็นอะไรไปคนที่เข้ามาช่วยเหลือจะได้ทราบเ บื้องต้นว่าคุณทานยา อะไรบ้าง ทั้งยังสะดวกด้วยเผื่อว่าคุณเปลี่ยนหมอคุณจะได้บอกหม อได้ถูกว่าคุณเคยทานยา ตัวไหนมาแล้วบ้าง 2. กินยาจนกระทั่งยาหมด หรือตามที่แพทย์สั่ง อย่าหยุดกินเพราะคุณรู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว เพราะถ้าคุณรู้ดีขนาดนั้นจะไปหาหมอทำไมกันล่ะ ตรวจเองจะง่ายกว่า 3. จำเวลาทานยาตามกิจกรรมสำคัญ ๆ ในแต่ละวัน เคยเจอใช่มั้ยยาจำพวก ควรกินทุก 4 - 6 ชั่วโมง พอกินไปครั้งหนึ่งแล้วคุณก็ต้องมานั่งนับ นั่งดูเวลาว่านี่ครบกำหนดหรือยังนะ ให้เปลี่ยนใหม่เป็นทานยาก่อนอาหารเที่ยง ทานหลังแปรงฟัน ทานก่อนเลิกงาน หรือทานก่อนนอน เป็นต้น คุณจะได้จำง่ายขึ้น และไม่เผลอลืมทานยา 4. ถามรายละเอียดของการทานยาให้เข้าใจ เช่นเมื่อคุณลืมทานยาแล้วให้ข้ามไปเลย หรือว่า ครั้งต่อไปทานควบไปเลยสองเม็ด ยาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ออกฤทธิ์ก็ต่างกันดังนั้นอย่าลืมถามให้ชัวร์ 5. อย่าใส่ยารวมกันในกล่องหรือขวดเดียวกัน เพราะแรก ๆ คุณอาจจะจำได้ แต่พอนาน ๆ ไปคุณอาจจะลืมไปว่ายาตัวไหนต้องทานก่อน ทานหลังยาอะไร เป็นต้น 6. เตรียมพร้อมเสมอเมื่อเดินทาง หากล่องใส่ยาเตรียมไว้ให้พร้อม อย่าเลือกที่เทอะทะเอาที่พอดี ๆ สามารถพกติดตัวได้ไม่อึดอัด และอย่าใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ๆ เพราะคุณอาจจะหยิบออกมาใช้ไม่สะดวก 7. บันทึกการกินยาทุกครั้ง ว่าคุณเป็นอะไร กินยาชื่ออะไร ทานนานแค่ไหน มีอาการแพ้หรือเปล่า และถ้าเป็นไปได้ ให้นำเอายาที่กินอยู่ไปให้หมอดูด้วยทุกครั้ง เพียงแค่นี้คุณก็จะได้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าทำตามนี้แล้วยังไม่หาย แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพราะคุณอาจจะไม่ถูกกับยาตัวนั้น หรืออาจมีอะไรผิดปกติได้ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:16:29 AM 10 ข้อแนะนำการใช้ยา (ธรรมลีลา)
(http://img.kapook.com/image/health/%E0%B8%A2%E0%B8%B2.jpg) เภสัชกรมนตรี สุวณิชย์ ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.ศิริราช มีข้อแนะนำการใช้ยาดังนี้ 1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ 2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง 3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดอาการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ 4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหารในมื้อนั้น ๆ 5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง 6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง 7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ 8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง 9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด 10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้วมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที ขอขอบคุณข้อมูลจาก[/color] (http://img.kapook.com/image/Logo/Dhammaleela.jpg) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:22:07 AM อาการ ?ไอ? แก้ได้ไม่ง้อยา
(http://www.nmd.go.th/preventmed/pic/sick2-0.gif) ไอ? เป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด แต่ใช่ว่าต้องป่วยด้วยโรคร้ายดังกล่าวนี้เท่านั้นจึง จะมีอาการไอ หากเป็นแค่โรคหวัดก็ยังทำให้คุณไอได้ ?สามัญประจำบ้าน? วันนี้ จึงนำวิธีบรรเทาอาการไอ โดยไม่ต้องใช้ยามาฝากให้ลองปฏิบัติ ก่อนอื่นเราควรรู้ว่า อาการไอ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ไอฉับพลัน จะมีอาการไอไม่เกิน 3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่ว นบน เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ หรือสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลม เช่น ควันบุหรี่ แก๊ส หรือสีสเปรย์ ส่วนอีกชนิด เรียกว่า ไอเรื้อรัง อาการไอชนิดนี้จะยาวนานมากกว่า 3 สัปหาด์ขึ้นไป อาจเกิดจากโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง การใช้ยาความดันโลหิตสูงบางชนิดต่อเนื่อง โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือโรควัณโรค เป็นต้น หากเริ่มมีอาการไอ คุณสามารถบรรเทาอาการที่ปฏิบัติตามแล้วอาจหายขาด หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความทรมานจากความเจ็บปวดช่วงลำ คอ หรือทรวงอกก่อนที่จะไปพบแพทย์ ยาสามัญแสนจะบริสุทธิ์หาง่ายใกล้ตัว คือ น้ำเปล่าไม่เย็น หรืออุ่น ๆ แต่ไม่ควรร้อน ให้ดื่มบ่อย ๆ ทำให้ชุ่มคอ หรือน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว จิบบ่อย ๆ ช่วยลดอาการไอ ระหว่างที่มีอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีอุณหต่ำ หรืออากาศเย็น หากเลี่ยงไม่ได้ให้ทำร่างกายให้อบอุ่น เช่น สวมเสื้อหนา ๆ หรือสวมถุงเท้า งดรับประทานไอศกรีม เลี่ยงการดื่มและอาบน้ำเย็น งดสูบบุหรี่หรือสูดดมควันบุหรี่ งดอาหารทอดน้ำมัน แต่ถ้ามีอาการไอเรื้อรังไม่หายหรือทุเลาลงสักที ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง เพราะหากอาการไอทวีความรุนแรงขึ้นอาจกระทบกับบุคลิภา พ รบกวนการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน ในทางสุขภาพร่างกาย อาจทำให้กระดูกซี่โครงหัก ถุงลมหรือเส้นเลือดฝอยในปอดแตก และยังส่งผลกระทบไปที่ดวงตา และหูได้. (http://www.dailynews.co.th/newstartpage/includes/images/logo.gif) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:25:18 AM กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!??
(http://img.kapook.com/image/health/01_75.jpg) กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!?? (เดลินิวส์) โดย : นวพรรษ บุญชาญ กินยาแล้วนอนทันทีอาจตายได้จริงหรือ เป็นคำถามที่หลายๆ คน ได้อ่านอีเมลที่มีการส่งต่อๆ กันไป อยากรู้คำตอบ เกี่ยว กับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มีส่วนที่จริงมาก เพราะการกินยาก่อนนอน คือกินยาแล้วนอนทันทียาอาจจะไปจับอยู่ที่ตรงหลอดอาหา ร อยู่กึ่งกลางระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร พอยาไปติดอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไปกัดทำให้หลอดอาหาร เกิดแผล พอเกิดแผลมากๆ คนที่กินยาจะรู้สึกเลยว่าร้อน แน่นหน้าอก ประมาณตี 3 จะลุกขึ้นมาเลย เพราะแน่นหน้าอก ซึ่งมักจะเกิดจากการกินยา 2 ประเภท คือ ยาที่เป็นกรด ประเภทวิตามินซี และยาที่เป็นพวกแคปซูลเหนียวๆ จะมีปัญหาติดหลอดลมมาก วิธีง่ายๆ คือ จะต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังจากที่กินยา รอประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่กินเข้าไปผ่านไปยังกระเพาะอาห าร เพราะยาบางอย่างเวลากินน้ำตามเยอะเราจะรู้สึกเลยว่า มันจะไหลจากคอลงไปท้อง แต่ถ้าเรากินน้ำน้อยบางทีจะไม่รู้สึก แค่หายจากคอไป ไม่ได้หมายความว่ายาลงไปที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจริงๆ มันอาจจะไปติดอยู่ที่หลอดอาหาร ดัง นั้นการกินยาก่อนนอน อย่าเพิ่งเอนตัวลงนอนทันที ยิ่งในคนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ายาไปอยู่ตรงหลอดอาหารพอดีก็จะทำให้เกิดแผล จนแผลทะลุ ถ้าเป็นแผลเรื้อรังนานๆ อาจเป็นมะเร็ง เหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ตรงหลอดอาหาร อันตรายกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะกรดไหลย้อน ถาม ว่าเวลากินยาควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ขอเรียนว่า ดื่มได้ทั้ง 2 ประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้บางชนิดในกลุ่มส้ม มะนาว เพราะมันจะทำให้ยาแตกตัวเร็วตั้งแต่ในปาก แทนที่จะดูดซึมในกระเพาะอาหาร ก็จะแตกตัวในปากไม่ช่วยรักษาโรค แถมทำให้ยาไม่ดูดซึมดี ส่วน ที่บอกว่า ห้ามกินยาพร้อมกับนม หรือห้ามกินยาหลังดื่มนมนั้น ความจริงแล้วสามารถดื่มนมพร้อมกับยาได้ แต่มีข้อยกเว้นกับยาบางประเภท เช่น เตตร้าไซคลิน ดอกซีไซคลีน ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อ ยารักษาสิวจะกินกับนมไม่ได้ ถ้ายาชนิดเดียวกันแต่มีทั้งยาเม็ด ยา น้ำ แคปซูล ควรกินชนิดใด ขอเรียนว่า ยาเม็ดจะได้ยาเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่ายาประเภทอื่น อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากแนะนำคือ ยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ เช่น แคปซูล ห้ามแบ่งเด็ดขาด เพราะมีบางบ้านแบ่งเอาไปใส่น้ำหวานให้ลูกกิน ซึ่งต้องบอกว่า การแบ่งยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ อาจทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์ และอาจเกิดอันตรายได้ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:30:39 AM วิธีขจัดกลิ่นลูกเหม็นที่ติดเสื้อผ้า
คุณเคยสังเกตไหมว่า เวลาใส่ลูกเหม็นในตู้เสื้อผ้านานๆ จะทำให้เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้มีกลิ่นเหม็น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีการขจัดกลิ่นลูกเหม็นที่ติดเสื้อผ้ามาบอก... เพียงนำเสื้อไปพรมน้ำให้ชุ่มพอประมาณ แล้วไปแขวนไว้ในที่ๆมีอากาศถ่ายเทสะดวก เพียงชั่วข้ามคืนเดียว กลิ่นลูกเหม็นที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าก็จะจางหายไป เดลินิวส์ออนไลน์ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:36:20 AM วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ
- ยาเม็ด สังเกตว่าเม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิ ม - ยาแคปซูล สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก - ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป - ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว - ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ 1เดือน หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:41:03 AM (http://www.thaigold.info/forum/Smileys/extra/057.gif)
5 ประโยชน์จากน้ำมันมะกอก (Lisa) นี่คือตัวอย่างง่าย ๆ ในการใช้น้ำมันมะกอกให้เป็นประโยชน์ต่อความสวยความงามของคุณ ปรับสภาพเส้นผมอย่างล้ำลึก หลังจากสระผมและใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้แห้งแล้ว ก็ชโลมน้ำมันลงบนเส้นผมให้ทั่ว สวมหมวกอาบน้ำเอาไว้ แล้วใช้ไดร์เป่าผมเป็นเวลา 10 นาที ปล่อยทิ้งไว้อีก 10 นาที แล้วล้างน้ำออก ใช้ปรุงสครับขัดผิวตำรับทำเอง สครับที่ใช้ขัดผิวตำรับต่างๆ นั้นมักจะมีน้ำมันมะกอกเป็นส่วนผสมสำคัญเสมอ เพราะน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาปรุงตำรับขัดผิว ก็แค่ทาน้ำมันมะกอกลงบนผิว แล้วใช้เม็ดน้ำตาลหรือเกลือหยาบๆ ขัดผิวแบบง่าย ๆ ก็ได้ บำรุงหนังหุ้มเล็บ ผสมน้ำมันมะกอกเล็กน้อยเข้ากับน้ำอุ่น แล้วแช่มือไว้ในส่วนผสมนั้นเป็นเวลาห้านาที จากนั้น อุ่นน้ำมันกอกให้ร้อนขึ้นเล็กน้อย แล้วทาลงบนมือ โดยเน้นบริเวณหนังหุ้มเล็บเป็นพิเศษ ขจัดเครื่องสำอางที่ดื้อด้าน ถ้าคุณเจอปัญหาล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออกได้ยาก ก็ลองใช้ก้อนสำลีชุบน้ำมันมะกอก แล้วนำไปเช็ดคราบเครื่องสำอางที่ติดแน่นนั้นออก แต่ต้องระวังเป็นพิเศษเวลาที่ใช้ทำความสะอาดเครื่องส ำอางรอบดวงตา ใช้แทนครีมโกนขน ถ้าคุณมีผิวที่ไวต่อความรู้สึกหรือแพ้ง่าย การใช้น้ำมันมะกอกแทนครีมโกนขนก็นับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ แถมยังทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้นด้วย หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:47:36 AM วิธีดูแลรอบดวงตา เมื่อใต้ตาหมองคล้ำ
(http://img.kapook.com/image/women/01_151.jpg) วิธีดูแลรอบดวงตา เมื่อใต้ตาหมองคล้ำ (Lisa) นำช้อนกาแฟที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน นำไปจุ่มในถ้วยกาแฟ และนำไปแช่ในช่องฟิตของตู้เย็นจากนั้นทิ้งช้อนไว้ประ มาณ ครึ่งชั่วโมงแล้วจึงนำออกมา ครอบไว้ที่ดวงตาทั้ง 2 ข้างจนหมดความเย็น ทำทุกวันหลังล้างหน้าเสร็จแล้วดวงตาที่หมองคล้ำของคุ ณก็จะสดใสไร้ความหมอง คล้ำ วิธีนวดใต้บริหารรอบดวงตา ใช้ ปลายนิ้วกลางและนาง ยืดคิ้วออกด้านข้าง 3 ครั้ง ใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้างหมุนวนรอบดวงตาพร้อม ๆ กัน โดยวนตามเข็มนาฬิกา และทุกครั้งให้หยุดกดบริเวณหัวคิ้ว ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จำนวน 4-6 รอบ ใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้วถึงขมับ จำนวน 3 รอบ กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาถึงหางตา 3 รอบ ใช้นิ้วหลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำ อีก 6 รอบ จากนั้นทำตามขั้นตอนข้างต้น ทั้งหมด อีก 3 รอบ จากนั้นนำมือทั้งสองปิดที่ดวงตา ลากน้ำหนักที่ปลายนิ้วออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วจึงค่อย ๆ ยกฝ่ามือออกจากหน้า ขอบคุณข้อมูล (http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/logo/lisa_logo.jpg) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 11:28:21 AM ความสะอาด ส่วนต่างๆของบ้าน (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean11.jpg) 1. วิธีทำให้กรอบกระจกเงา หรือกรอบกระจกรูปภาพ มองดูใหม่เสมอ ทำได้โดยการใช้ผ้าชุบน้ำมันสน แล้วทาบริเวณกรอบไม้ รอจนแห้งสนิท กรอบจะมองดูใหม่ทันที 2. วิธีการขจัดคราบไขมัน ที่ติดรอบท่อ อ่างล้างจาน ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะเป็นเหตุให้ท่ออุดตันได้ มีวิธีทำคือ นำเกลือแกงใส่ลงไปในท่อ 2-3 ช้อน จากนั้นนำ โซดาไฟ หรือเบกกิ้งโซดาหรือผงฟู ต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงไป ไขมันที่อุดตัน ก็จะหลุดออกไปหมด 3. วิธีขจัดรอยเปื้อน ด่างดำบนเครื่องใช้ที่เป็นหนังคือ หยดน้ำมันสลัด สัก 2-3 หยด ในน้ำสบู่ แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำที่ผสมไว้มาถู จากนั้นจึงซักในน้ำสบู่ ธรรมดาอีกครั้ง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ต่อด้วยเช็ดให้แห้งผึ่งลมไว้ 4. วิธีการดึง สติ๊กเกอร์ ที่ติดอยู่บนฝาห้องออกโดยไม่ทิ้งคราบกาว ไว้ที่ฝา ทำได้โดยใช้น้ำมันพืชมาทาบนรูปสติ๊กเกอร์ แล้วจึงค่อยๆดึงออกมา 5. ในการใช้ยาขัดเฟอร์นิเจอร์ ไม่ควรใช้ประเภท น้ำมัน หรือ ขี้ผึ้ง บ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้ผิวเฟอร์นิเจอร์เกิดความเสียหายได้ง่าย 6. ในการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ ที่เป็นผ้าฝ้าย ให้ใช้แปรงทาสี ด้ามใหม่ปัดตามซอกมุมเฟอร์นิเจอร์ ไปพร้อมกันกับการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ทุกครั้ง 7. วิธีลบคราบดวงๆ ที่ติดบนเฟอร์นิเจอร์คือ ให้ใช้ จุกไม้ก๊อกถู ถ้าไม่ออกให้ใช้นิ้วมือแตะยาสีฟันผสมขี้เถ้าบุหรี่ ถูอีกครั้ง จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเปื้อนซ้ำอีกครั้ง 8. การทำความสะอาดพื้นกระเบื้องยาง คือ ใช้แปรงสีฟัน ชุบยาสีฟัน แล้วนำไปขัดถูบริเวณรอยเปื้อนให้แรงๆ จะทำให้รอยเปื้อนหลุดออกไปได้โดยง่าย 9. การขัดพื้นกระดานให้เงาแบบโบราณคือ หามะพร้าวมาผ่าครึ่ง ทุบกะลาตรงปากออกสักเล็กน้อย แล้วนำมาคว่ำลงกับพื้นกระดานขัดถูพื้นบ่อยๆ พื้นกระดานจะมองดูเงางามเชียวแหละ 10. วิธีทำความสะอาดกรอบกระจกเงา หรือ กรอบรูปภาพให้มองดูใหม่คือ ให้เอาน้ำมันชุบผ้าทาตรงส่วนที่เป็นกรอบ แล้วรอจนแห้งแล้วจะมองดูใหม่ขึ้น 11. วิธีทำความสะอาดคราบสกปรกที่ติดกระเบื้องปูห้องน้ำ มีวิธีทำคือ ราดด้วยน้ำให้ทั่ว แล้วเอาเกลือแกงโรยลงบนแปรงขัดทั้งห้องน้ำ หรืออาจจะโรยเกลือที่ผ้าเปียกน้ำ แล้วขัดพื้นให้ทั่ว เพียงเท่านี้ห้องน้ำกระเบื้องของคุณก็จะสะอาดเป็นเงางามเลยทีเดียว 12. วิธีการทำความสะอาดผ้าม่าน ที่เป็นใยสังเคราะห์ ควรซักด้วยมือ ก่อนซักควรปัดฝุ่นให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นเทน้ำยาซักผ้าลงบริเวณที่เปื้อน แล้วจุ่มลงในน้ำยาซักผ้าที่ผสมน้ำอุ่น แล้วอย่าบิด ควรคลี่ตากเพราะในเวลาแห้งจะได้ ผ้าม่าน ที่เรียบไม่ยับยู่ยี่ 13. วิธีทำความสะอาดโป๊ะไฟ โคมไฟ ในส่วนที่ทำความสะอาดยากเช่น รอยจีบซอกเล็ก ซอกน้อย ให้ใช้ เครื่องเป่าผม เป่าลมไปตามที่มีฝุ่นละอองจับ แล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำยาล้างจานเช็ด ตามด้วยผ้าสะอาดเช็ดอีกครั้ง เพียงเท่านี้โคมไฟที่ว่าหมองจะใหม่สะอาดทันที 14. วิธีทำความสะอาด ผ้าม่านพลาสติก ควรซักด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าที่ผสมน้ำอุ่น แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้ตากลมดีกว่าตากแดด เพราะจะไม่ทำให้ผ้าม่านสีซีดจางลงไป 15. วิธีการทำความสะอาดกระจกเงาส่องหน้าให้ใส คือนำยาสีฟัน มาบีบใส่ไว้บนกระจก แล้วหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดยาสีฟันที่บีบทิ้งไว้บนกระจก โดยถูให้ทั่วๆกระจก แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง กระจกเงาที่หมองจะดูเงางามเป็นประกายทันที 16. วิธีทำความสะอาดคราบน้ำมัน บนพื้นปูนซีเมนต์ ให้สะอาดเอี่ยมคือหา ขี้เถ้าที่อยู่ในเตาถ่านมาโรยไว้บนคราบน้ำมัน ที่เปื้อนพื้นปูนซีเมนต์ให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด ขี้เถ้าก็จะดูดคราบน้ำมันออกไปจนหมดเกลี้ยง 17. วิธีทำความสะอาดรอยดินสอหรือดินสอเทียนที่ติดบนวอลล์เปเปอร์ คือ ให้ใช้ เครื่องเป่าผมโดยใช้ลมร้อนจี้ตรงบริเวณนั้น แล้วหาผ้าฝ้ายชุบน้ำสบู่บิดให้หมาด นำมาเช็ดถูตรงรอยเปื้อน รอยของสีนั้นก็จะจางหายไป 18. วิธีทำความสะอาดสี ที่เปื้อนหน้าต่าง ผลมาจากการทาบ้าน ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำเปล่า อัตราส่วน 2 : 1 ตั้งไฟให้ร้อนจัด ใช้แปรงทาสี ที่สะอาดจุ่มส่วนผสมที่ยังร้อนอยู่ถูตรงบริเวณรอยเปื้อน รอยเปื้อนดังกล่าวจะหลุดออกได้เอง 19. วิธีทำความสะอาดพื้นที่ทำด้วยไวนิล ให้สะอาดหมดจด มีวิธีทำง่ายๆคือ นำน้ำอุ่นผสมกับน้ำส้มสายชู ในอัตราส่วนเท่าๆกัน แล้วนำมาล้าง พื้นไวนีล เช็ดให้แห้ง พื้นก็จะสะอาดสดใสทีเดียว 20. วิธีทำความสะอาดคราบน้ำมัน ที่ติดอยู่บนวอลล์เปเปอร์ ใช้แป้งฝุ่นผสมน้ำยาทำความสะอาด แล้วนำมาป้ายตรงจุดที่สกปรก ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง ใช้ผ้านุ่มๆเช็ดออก คราบน้ำมันก็จะติดออกมาด้วย 21. วิธีทำความสะอาดพรม ที่เปื้อนคราบน้ำมัน ให้เทเบกกิ้งโซดา ลงตรงบริเวณทีเปื้อนคราบน้ำมัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดตรง รอยเปื้อนน้ำมันนั้น คราบก็จะจางหายไป 22. วิธีทำความสะอาดคราบสกปรกที่เปื้อนกระเบื้องเคลือบ ให้ใช้ส่วนผสมของไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และครีมออฟทาร์ทาร์ อย่างละเท่ากัน ทาให้ทั่วแล้วล้างออกตามปกติ จะทำให้คราบสกปรกนั้นหายไป 23. วิธีทำความสะอาดพื้นโรงรถ ที่เปื้อนน้ำมันเครื่อง ให้โรยด้วย ทราย ทิ้งไว้ 1 คืน กวาดทรายออกไป คราบน้ำมันก็จะหลุดออกไปด้วยกับทรายนั่นเอง 24. วิธีทำความสะอาดหน้าต่างกระจก ให้ใสสะอาด ผสมน้ำกับน้ำส้มสายชู 1 : 2 ส่วน แล้วนำไปใส่ใน ขวดสเปรย์ นำไปฉีดบนหน้าต่าง กระจก แล้วใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เช็ดอีกที หน้าต่างกระจกจะใสจริง ๆ 25. วิธีทำความสะอาดผ้าม่าน ทำได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำจากป้ายที่ติดมากับผ้าม่าน แล้วจุ่มลงไปในอ่างน้ำอุ่นที่ผสมกับเกลือ 1 ถ้วย แล้วแขวนผ้าม่านให้แห้ง โดยแผ่ให้หมดเนื้อผ้า จะทำให้ผ้าม่านสะอาดและไม่ยับอีกด้วย หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 11:30:51 AM 10 วิธีทำความสะอาดบ้านด้วยวิธีธรรมชาติ
(http://2.3qdc.com/sakid/2009/05/10/sakid_bath_0.out.jpg) 1. การทำความสะอาดทั่วไป -ผสมสบู่เหลวหรือบอแรกซ์ 1 ช้อนชา ในน้ำอุ่น หรือน้ำร้อน 1 ลิตร เติมน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูลงไป 1-2 ช้อนชา แล้วนำไปเช็ดถูบริเวณที่เป็นคราบไขมันสกปรก -ผสม Washing Soda (hydrated sodium carbonate) ในน้ำอุ่น 1 ลิตร ใช้ได้กับทุกพื้นผิว ยกเว้นอลูมิเนียม 2. วิธีกำจัดกลิ่นเหม็น/กลิ่นอับ -หาแหล่งกำเนิดกลิ่นเหม็นให้พบ แล้วกำจัดออกไปให้สะอาด และเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก -หมั่นทำความสะอาดบ้านเรือนและข้าวของเครื่องใช้ให้สะอาด และเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทให้สะดวก -ใช้น้ำส้มสายชูหรือผงฟู 2-4 ช้อนโต๊ะ ใส่จานแล้ววางไว้เพื่อดูดกลิ่น -นำไม้ประดับมาตั้งวางเพื่อดูดกลิ่นและฟองอากาศ -ใช้สมุนไพร หรือเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอมมาต้มแล้วตั้งวางไว้ 3. การทำความสะอาดพื้น -เช็ดถูด้วยน้ำธรรมดา -ใช้น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย ผสมกับน้ำอุ่น 1 แกลลอน 5 ลิตร ถูทำความสะอาดพื้น 4. การล้างจานชาม /ตะกรันกาน้ำ -ใช้สบู่เหลวธรรมดาทั่วๆ ไปล้างจาน -ใช้ฟองน้ำกับสบู่ก้อน -ผสมน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว 1-3 ช้อน ลงกับสบู่เหลวล้างจานชามที่สกปรกมีคราบไขมันมาก -การทำความสะอาดจานชามและอุปกรณ์ครัวที่ทำด้วยไม้ ให้ใช้มะนาวฝานเป็นชิ้นบางๆ แล้วขัดบนพื้นผิวของภาชนะเหล่านั้น ล้างออกแล้วเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาดและอาจโรยเกลือตาม เพื่อดูดความชื้นจากไม้ก็ได้ นอกจากนั้นยังอาจใช้ผงฟูผสมกับน้ำเช็ดภาชนะที่ทำด้วยไม้ได้ผลดี -ขจัดคราบตะกอนในกาน้ำ ให้ใช้น้ำส้มสายชูกลั่น 1 ถ้วยครึ่ง ละลายในน้ำเปล่า 1 ถ้วยครึ่ง เติมเกลือ 3 ช้อนชาลงในกาน้ำ ต้มให้เดือด 15 นาที ปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน 1 คืน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด -การล้างขวด ให้ใช้ทรายกรอกลงไปในขวดผสมกับน้ำ ปิดปากขวดด้วยฝ่าหนือมือ เขย่าแรงๆ คราบตะไคร่เขียวจะหลุดออก 5. การทำความสะอาดท่อระบายน้ำ -ใช้ไม้ปั๊ม หรืองูเหล็กดันหรือเขี่ยเศษอาหารอุดตัน -เทผงฟู 1 กำมือ และน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยลงในท่อระบายน้ำ ปิดปากรูให้แน่นด้วยเศษผ้าประมาณ 1 นาที ปฏิกิริยาระหว่างผงฟูกับน้ำส้มสายชู จะทำให้เกิดแรงดันในท่อระบายน้ำ และดันเศษอาหารที่อุดตันอยู่ออกไป แล้วเทตามด้วยน้ำร้อน -เทเกลือและผงฟูอย่างละครึ่งถ้วยลงในท่อ แล้วเทน้ำเดือดตามลงไป 6 ถ้วย ทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นราดน้ำแรงๆ ด้วยน้ำธรรมดา -ทางที่ดีในการป้องกันไม่ให้ท่อระบายน้ำทิ้งอุดตัน ด้วยการใช้ตะแกรงกรองเศษผง เศษอาหาร เศษขยะ เศษเส้นผมไม่ให้ไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ และไม่ควรเทกากของเสียประเภทไขมันลงในท่อ ควรทิ้งลงในถังขยะหรือถังน้ำมัน และควรพยายามใช้น้ำมันจนกว่าจะหมดคุณภาพ 6. การฆ่าเชื้อโรค -ชำระล้างข้าวของเครื่องใช้เป็นประจำด้วยสบู่และน้ำธรรมดา แล้วล้างอีกครั้งด้วยน้ำร้อน เพียงเท่านี้ก็สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ -ควรให้ข้าวของเครื่องใช้แห้งอยู่ตลอดเวลา เพราะแบคทีเรียและเชื้อราไม่สามารถมีชีวิตหรือเติบโตได้ในที่แห้ง -ใช้บอแรกซ์ครึ่งถ้วยละลายในน้ำร้อน 1 แกลลอน (5 ลิตร) ใช้ล้างข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องการฆ่าเชื้อโรคได้ 7. การขัดเงาพื้นและเฟอร์นิเจอร์ -ใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดถูอย่างธรรมดาๆ -ใช้ผ้าชุบน้ำชาเช็ดถูพื้นเฟอร์นิเจอร์ -ใช้น้ำมันมะกอก 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ผล ผสมกับน้ำ 1 ช้อนชา ชุบด้วยผ้าใช้เช็ดถู -ใช้น้ำมันพืช 1 ส่วน ผสมกับน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชู 1 ส่วน ชุบด้วยผ้าบางๆ ใช้เช็ดถู วิธีนี้ยังสามารถช่วยลบรอยขูดขีดได้ด้วย -ใช้น้ำมันมะกอก 3 ส่วน ผสมกับน้ำส้มสายชู 1 ส่วน ชุบด้วยผ้าบางๆ เช็ดถู -กรณีที่มีรอยสกปรกจากคราบไขมัน ให้รีบเทเกลือลงไปบนรอยเปื้อนทันทีเพื่อให้ดูดซับคราบไขมัน และป้องกันไม่ให้เกิดคราบฝังแน่น 8. การเช็ดกระจก /iแก้รอยขูดขีด -ใช้น้ำส้มสายชูผสมกับน้ำอย่างละ 1 ส่วน ชุบด้วยผ้านนุ่มๆ เช็ดกระจกหรือจะใส่กระบอกฉีดๆ ที่กระจก แล้วใช้ผ้านุ่มเช็ดตาม -หากใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำเช็ดกระจกแล้ว อาจจะเกิดคราบจากน้ำที่เช็ดเนื่องจากคราบตกค้างของน้ำยาเช็ดกระจกแบบที่มีส่วนผสมของสารเคมีตกค้างอยู่ จึงควรเช็ดออกก่อนด้วยแอลกอฮอล์ก่อน -สำหรับกระจกที่เป็นฝ้ามัว ให้ใช้ผ้าเปียกถูกับสบู่ก้อน แล้วเช็ดบนกระจก จากนั้นล้างออกแล้วเช็ดตามตามด้วยผ้าแห้ง -รอยขูดขีดบนกระจกให้ใช้ยาสีฟันถู แล้วใช้ผ้านุ่มเช็ดเบาๆ 9. ทำความสะอาดพรม เฟอร์นิเจอร์ เบาะ นวม -การดูดกลิ่นให้ใช้ผงฟูหรือแป้งข้าวโพดโรยบนพรม โดยใช้อัตราส่วน 1 ถ้วย ต่อพื้นที่ห้องขนาดกลาง ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก ถ้ากลิ่นติดแน่นให้โรยทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วจึงดูดออก -การขจัดคราบเลือด ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเช็ดเบาๆ จนกว่าจะหมด -คราบเหนียวเหนอะหนะ ใช้ผงฟูทาทับรอยเปื้อน แล้วใช้มือถูเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงเช็ดออก ทาซ้ำอีกถ้ารอยเปื้อนยังไม่หมด -คราบไขมัน ใช้แป้งข้าวโพดทาทับรอยเปื้อน ทิ้งไว้สัก 1 ชั่วโมง จากนั้นเช็ดออก -คราบเขม่าหรือเถ้าถ่าน ใช้เกลือทาทับบางๆ แล้วเช็ดออก -คราบปัสสาวะของเด็ก หรือสัตว์เลี้ยง เช็ดด้วยน้ำธรรมดา 1 ครั้ง จากนั้นใช้น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับสบู่เหลว 1 ช้อนชา เช็ดถูบริเวณรอยเปื้อน ทิ้งไว้ 15 นาที จึงเช็ดออก 10. การกำจัดมด แมลงสาบ ยุง มด -ใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดตามทางมด มดจะหาทางเดินไม่เจอ -โรยพริกป่น สะระแหน่แห้ง กากกาแฟ ตามบริเวณที่มดเดินหรือบีบมะนาวตามรูเข้าของมด แล้วทิ้งเปลือกมะนาวไว้ตรงนั้น ปลูกสะระแหน่ไว้รอบบ้าน มดจะไม่เข้าใกล้ -ใช้ผงฟูโรยตามทางของมด ง ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำเช็ดตามทางเดินมด แมลงสาบ -ใช้ข้าวโอ๊ตหรือแป้งข้าวโพดผสมปูนปาสเตอร์ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน โรยบริเวณที่แมลงสาบมารบกวน เมื่อแมลงสาบกินเข้าไปปูนพลาสเตอร์จะแข็งตัวแมลงสาบจะตาย -ใช้ผงฟูผสมกับน้ำตาลทรายอย่างละเท่าๆ กัน โรยบริเวณที่แมลงสาบมารบกวน -ใช้แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ บอแร๊กซ์ 4 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันใช้โรยบริเวณที่แมลงมารบกวน ยุง -เอาตะไคร้หอมหั่นแล้วตำ คั้นเอาแต่น้ำแล้วนำไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมันใช้ทาผิวหนังกันยุง -ใช้กาบมะพร้าวหรือเปลือกส้มตากแห้งสุมไฟ เพื่อให้เกิดควันไล่ยุง -ปลูกต้นแก้วหรือต้นราตรีไว้บริเวณปากประตู หน้าต่าง จะช่วยไล่ยุงได้ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 11:35:05 AM การทำความสะอาดบ้าน :)
(http://krujukjun.files.wordpress.com/2010/07/20262.jpg?w=300&h=222) การวางแผนการทำความสะอาดบ้าน บ้านที่สะอาดมีระเบียบจะช่วยให้ทุกคนในบ้านมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง จิตใจสบายและมีผลทำให้ทุกคนรักบ้าน บางคนคิดว่างานบ้านทำความสะอาดบ้านเป็นงานหนัก เหน็ดเหนื่อยและน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าผู้ทำงานรู้หลักปฏิบัติที่ถูกต้อง จะทำงานได้โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากนัก ผลคือบ้านที่สะอาดเรียบร้อยก็จะทำให้เราชื่นใจ สบายใจ หายเบื่อหน่าย หลักปฏิบัติในการทำความสะอาดบ้าน ควรทำดังนี้ 1. เลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับชนิดของงาน 2. ทำความสะอาดอยู่เสมอ 3. แบ่งงานทำครั้งละน้อยๆ 4. แยกงานทำเป็นประเภท 5. ควรทำความสะอาดในตอนเช้า หน้าต่าง วิธีที่ง่ายและประหยัดที่สุดคือการใช้หนังสือพิมพ์ชุบน้ำแล้วเช็ด แต่ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นของหมึกจากหนังสือพิมพ์ให้ใช้น้ำ 1 ส่วนผสมน้ำส้มสายชู 2ส่วน แล้วใช้ผ้าชุบเช็ดบริเวณกระจกหรือหน้าบานตู้เก็บหนังสือ เท่านี้กระจกก็จะกลับมาเหมือนใหม่แล้ว เฟอร์นิเจอร์ไม้ คราบไขมันบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ทําความสะอาดได้โดยใช้ผ้าชุบน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วเช็ดบริเวณที่เปื้อน หากมีรอยขีดข่วนให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำมันชักเงาถูจนรอยขีดข่วน จางไป เมื่อทําความสะอาดแล้วควรลงน้ำมันเพื่อช่วยรักษาเนื้อไม้ อย่างสม่ำเสมอ ผ้าม่าน การทําความสะอาดผ้าม่านขึ้นอยู่กับเนื้อผ้า ซึ่งผ้าม่านส่วนใหญ่มักมีเส้นใยสังเคราะห์เป็นส่วนประกอบจึงควรซักด้วยมือโดยใช้น้ำยาซักผ้าซักกับน้ำอุ่น แต่อย่าบิด ไม่งั้นผ้าม่านสุดหรูอาจจะดูไม่จืดก็เป็นได้ ที่นอน ไม่ว่าจะเป็นที่นอนแบบใด ให้หมั่นนําออกมาตากแดด เพื่อให้ที่นอนได้ถ่ายเทอากาศ ช่วยลดฝุ่นละออง และควรกลับด้านที่นอนเป็นประจําทุกๆ 3 เดือน หากมีรอยเปื้อนหรือคราบสกปรกให้ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่เช็ดเบาๆ แล้วนําไปตากแดดให้แห้งก่อนนํากลับมาใช้งาน เครื่องปรับอากาศ ควรทําความสะอาดแผ่นกรองที่อยู่ด้านในอย่างน้อยเดือนละครั้งด้วยการถอดออกมาจากเครื่องแล้วใช้น้ำฉีดทางด้านหลังของแผ่นให้ฝุ่นหลุดออกมา ส่วนการล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบควรทําอย่างน้อยปีละครั้งและควรยกให้เป็นหน้าที่ของช่างจากศูนย์บริการจะดีที่สุด (http://www.arlida.net/wp-content/uploads/2010/10/การ์ตูนทำความสะอาด1-300x143.jpg) กระเบื้องพื้น-ผนัง ส่วนใหญ่คราบสกปรกและเชื้อราดํามักจะเกิดขึ้นในห้องน้ำที่อับชื้น โดยเฉพาะบริเวณร่องยาแนวกระเบื้องหรือมุมห้องที่มีน้ำขัง ควรทําความสะอาดโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อราฉีดบริเวณที่เกิดเชื้อรา ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้แปรงขัดออก นอกจากนั้นแล้วควรป้องกันเชื้อราดําอย่างถาวรด้วยการติดตั้งพัดลมดูดอากาศหรือช่องเปิดที่ให้แสงสว่างและมีการระบายอากาศได้ ปูนเปลือย คุณสมบัติของปูนเปลือยนั้นไม่เหมือนกระเบื้อง ทำให้เกิดตะไคร่น้ำได้ง่ายกว่าจึงต้องหมั่นทําความสะอาดและดูแลรักษาให้แห้งอยู่เสมอในจุดที่เกิดตะไคร่น้ำ ให้ฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อราและตะไคร่น้ำบนพื้นผิวปูนเปลือยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก หลังจากพื้นผิวแห้งสนิทให้ใช้น้ำยาป้องกันตะไคร่น้ำมาเคลือบพื้นผิวทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แล้วจึงทาอีกครั้งก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ สุขภัณฑ์ห้องน้ำ สุขภัณฑ์ห้องน้ำส่วนใหญ่มักจะเป็นสีขาวและปัญหาที่พบมากก็คือเมื่อใช้งานไปนานวัน สุขภัณฑ์ก็จะดูหม่นหมอง ไม่สดใสเหมือนวันแรกที่ซื้อมา คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการใช้คลอรีนผสมน้ำแล้วเทลงในอ่างล้างหน้า ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง หากเป็นโถสุขภัณฑ์ให้ใช้แปรงขนอ่อนชุบคลอรีนแล้วขัดเบาๆ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เท่านี้สุขภัณฑ์ของคุณก็สะอาดเหมือนใหม่ ดับกลิ่นเหม็นในห้องน้ำ ใช้ห้องน้ำไปนานๆ ไม่ว่าบ้านไหนๆ ก็จะต้องมีกลิ่นน่ารังเกียจโชยออกมาจากชักโครก ให้คุณละลายเกลือเม็ดใหญ่ในน้ำ 2-3 ลิตรจนน้ำเค็มจัด จากนั้นนำไปราดที่โถส้วม ทิ้งไว้สักครู่หนึ่งกลิ่นที่น่ารังเกียจก็จะหายไป (http://www.arlida.net/wp-content/uploads/2010/10/ZJABCAEH4W4ZCABIPOBMCAQO9PPSCAJSI76TCAE97EFDCAN2VMGKCA1AAAG7CAS66H5VCAGB1M5ZCAFYT5STCAL6T7JGCAIMI0MKCA7IQ2GECA8RD9ZGCAS24LEYCAXDI2GNCAJ4D9S8.jpeg) เช็ดถูพื้นที่มีคราบมัน ห้องครัวที่เราใช้ประกอบอาหารกันอยู่บ่อยๆ คงเจอะเจอปัญหาที่มีคราบมันติดเหนียว และล้างทำความสะอาดยาก วิธีทำความสะอาดให้ใช้ผ้าถูพื้นชุบน้ำแล้วบีบพอหมาด จากนั้นเทน้ำส้มสายชูลงบนผ้าถูกพื้น แล้วนำไปเช็ดถูดตามที่ต่างๆ คราบมันและคราบสกปรกจะหลุดออกอย่างง่ายดาย ขจัดคราบสนิมบนซิงค์ล้างจาน ซิงค์ล้างจานที่ทำด้วยอลูมิเนียม เวลาใช้ไปนานๆหยดน้ำจะกัดเซาะ ทำให้เกิดสนิม วิธีแก้ไขง่ายๆ คือ ให้ใช้เกลือป่นขัดซิงค์ล้างจานที่เป็นสนิม คราบสนิมเหล่านั้นจะหลุดออกอย่างง่ายดาย พื้นกระเบื้อง จุดที่ควรระวังของพื้นห้องครัวคือบริเวณร่องระหว่างแผ่นที่มักมีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่แม้จะยาแนวแล้วก็ตาม ต้องหมั่นทําความสะอาดด้วยการใช้แปรงขนอ่อนชุบน้ำสบู่หรือผงซักฟอกแล้วขัดเบาๆ ถ้าเกิดเชื้อราควรใช้น้ำยาทําความสะอาดชนิดมีสารป้องกันเชื้อราก็จะช่วยได้ การทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่มีคราบสกปรกติดแน่นสามารถเช็ดถูออกได้โดยง่าย ด้วยการใช้ยาสีฟันเช็ดถูให้ทั่ว จนคราบสกปรกหลุดออก แล้วจึงใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกที (http://www.arlida.net/wp-content/uploads/2010/10/original_07-250x300.jpg) แก้ท่อตัน อ่างล้างจานตามบ้าน มักมีปัญหาเศษอาหารหรือไขมันเกาะรอบท่อ และหากปล่อยทิ้งไว้นานๆอาจทำให้ท่อตันได้ วิธีแก้ไขคือ ให้คุณนำเกลือแกงใส่ลงไปในท่อสัก 2-3 ช้อน จากนั้นให้นำเบคกิ้งโซดาหรือผงฟู ต้มน้ำให้เดือดเทตามลงไป ไขมันที่อุดตันอยู่ก็จะหมดไป แก้รอยด่างบนโต๊ะ โต๊ะหรือหลังตู้ที่ทาด้วยชแล็กหากโดนน้ำหรือความร้อนจะทำให้เกิดรอยด่าง ไม่สวยงาม วิธีแก้ไข โดยใช้ผ้าชุบแอลกอฮอล์วางบนรอยด่างดำ 2-3 นาที แล้วเช็ดออก รอยด่างบนโต๊ะจะหายไป คราบกาแฟสลาย คุณที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน มักจะมีแก้วกาแฟประจำตัว อาจมีปัญหาคราบกาแฟติดแน่น ดูไม่สะอาด วิธีล้างแก้วให้สะอาดเหมือนใหม่ ทำได้โดยใช้เกลือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยกาแฟ แล้วใช้ผ้าสะอาดจุ่มน้ำเกลือ เช็ดทำความสะอาดตามคราบกาแฟที่ติดอยู่ในแก้ว คราบสีคล้ำจะหมดไปในพริบตา ดับกลิ่นขยะ คุณสามารถลดกลิ่นขยะที่อยู่ในถังขยะทั้งภายในและภายนอกบ้านได้ โดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เก่าๆ รองไว้ใต้ถังขยะหรือถุงดำก่อนจะทิ้งขยะลงไป กระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดซับกลิ่นขยะไว้ได้มากทีเดียว เมื่อเปิดฝาทิ้งขยะครั้งต่อไป กลิ่นต่างๆก็จะไม่มารบกวนให้รำคาญใจได้อีก หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2012, 11:35:43 AM คล็ดลับดี ๆ กับวิธีทำความสะอาดบ้าน หลังน้ำท่วม
(http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean2.gif) (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean3.jpg) หลังจากแน่ใจว่าน้ำลดแล้ว สิ่งที่ต้องทำคือเคลียร์พื้นที่ให้สะอาดดังเดิม ซึ่งเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยมาก จะจ้างคนมาทำความสะอาดบ้าน ก็ต้องต่อแถวคิวยาว คุณสะใภ้อินเตอร์ได้กล่าวว่า ตนกับสามีจึงใช้เครื่องทุ่นแรงคือ เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ที่ส่วนใหญ่จะซื้อมาทำความสะอาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์กัน ส่วนเครื่องมือทุนแรงอีกอันนั้นก็คือ ไม้ไล่น้ำ ซึ่งช่วยทำให้บ้านสะอาดทันตาเห็นเลยทีเดียว สำหรับวิธีเลาะซิลิโคน ที่เราอัดรูระหว่างประตู ตอนน้ำท่วม มีดังนี้... (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean4.jpg) 1. ใช้มีดปลายแหลมกรีดตามรอยซิลิโคนที่ยิง (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean5.jpg) 2. เมื่อเอากำแพงออกจะมีรอยเลอะและคราบของซิลิโคนติดอยู่ (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean6.jpg) (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean7.jpg) 3. ใช้มีดปลายแหลมลอกซิลิโคนออก (ถ้าไม่มีเครื่องมือข้างต้น อาจจะใช้คัตเตอร์ หรือมีดแทนได้) (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean8.jpg) 4. ใช้มีดปลายแหลมขูดเศษของซิลิโคนออกอีกรอบ (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean9.jpg) 5. ทำความสะอาดลอกซิลิโคนออกจากกำแพงกั้นน้ำสังกะสีหรือแผ่นโพลีคาร์บอเนตด้วยความปราณีตเผื่อได้ไว้ใช้งานต่อ (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_5/clean10.jpg) 6. เก็บกวาดอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสะใภ้อินเตอร์ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2012, 10:32:36 PM ซักหมวกอย่างไรไม่ให้เสียทรง
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img4/127194.jpg) ไม่ต้องกลัวอีกแล้วว่าหมวกจะเสียทรงหรือเสื่อมสภาพลงเมื่อผ่านการซัก วิธีการทำความสะอาดหมวกขั้นตอนเหล่านี้ช่วยคุณได้ โดยไม่ต้องนำหมวกใบเก่งไปลงเครื่องซักผ้า 1.ใช้ลูกกลิ้งเทปกาวลอกเศษผงฝุ่น เส้นผมออกจากหมวก ทั้งบริเวณขอบหมวก และส่วนที่มีฝุ่นจับ 2.ใช้ผ้าชุบน้ำชื้นๆ เช็ดทำความสะอาดหมวกซ้ำ 3.หยดน้ำยาซักผ้าประมาณ 3 หยดลงบนผ้าชื้น สเปรย์ด้วยน้ำยาขจัดคราบทับลงบนผ้าด้วย 4.ใช้ผ้าเช็ดที่รอบๆขอบหมวกเพื่อขจัดคราบเหงื่อไคลก่อน จากนั้นจึงทำความสะอาดหมวกด้านนอก 5.เช็ดหมวกให้สะอาดอีกทีเพื่อล้างคราบน้ำยาซักผ้าออก ด้วยผ้าชุบน้ำสะอาด จากนั้นนำหมวกไปตากลมให้แห้ง ขอบคุณ LISAGURU หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2012, 10:35:06 PM วันเกิดกับเครื่องประดับ
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img8/127182.jpg) เกิดวันไหนควรใช้เครื่องประดับสีอะไรดี ? วันอาทิตย์ สีที่นิยม นำมาใช้วันอาทิตย์ที่เหมาะสมที่สุด ได้แก่ สีเขียวอ่อน เขียวมรกต สีชมพูอ่อน สีที่ไม่นิยม นำเอามาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ได้แก่ สีน้ำเงิน สีฟ้า วันจันทร์ สีที่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ สีม่วง สีเขียวมรกต สีที่ไม่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ สีแดงทับทิม สีแดงโกเมน วันอังคาร สีที่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร ได้แก่ สีแสด สีม่วง สีที่ไม่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร สีเหลือง สีเหลืองนวล วันพุธ สีที่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธ ได้แก่ สีเขียว สีเขียวมรกต สีแสด สีเหลือง สีที่ไม่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธ ได้แก่ สีชมพูอ่อน สีชมพูแก่ สีขาว วันพฤหัส สีที่นิยมนำ มาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ได้แก่ สีเหลือง สีขาว สีฟ้า สีเขียว สีแดง และสีอื่นๆ ได้ทั้งสิ้น สีที่ไม่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัส ได้แก่ สีม่วง วันศุกร์ สีที่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ ได้แก่ สีขาว สีชมพูอ่อน สีชมพูแก่ สีเหลือง สีที่ไม่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ ได้แก่ สีเขียวมรกต สีเขียวหยก วันเสาร์ สีที่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ ได้แก่ สีฟ้า สีน้ำเงิน สีเขียวสว่าง สีที่ไม่นิยม นำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ ได้แก่ สีเขียวมรกต สีเขียวหยก FW Mail หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 04, 2012, 05:26:59 PM 5 เคล็ดลับสมุนไพรไทยคลายร้อน
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img2/127244.jpg) อากาศร้อนๆ เช่นนี้ หลายคนอาจกำลังหาวิธีผ่อนคลายความร้อนกันสารพัดรูปแบบ บ้างหลบร้อนด้วยการไปเที่ยวทะเล หรือ ทาแป้งเย็นหลังอาบน้ำก็ยิ่งดี แต่ถ้ายังไม่มีวิธีที่ถูกใจ เรามี 5 สมุนไพรไทยคลายร้อนมาฝากกันค่ะ 1. ผักและผลไม้ไทยรสขมหรือเย็น ตามหลักของการแพทย์แผนไทยบอกไว้ว่า ฤดูร้อน ธาตุไฟจะมาก ถ้าเราจะดับร้อนด้วยอาหาร ก็ต้องรับประทานอาหารที่มีรสขมหรือรสเย็น ไม่ว่าจะเป็นพืชผักหรือผลไม้ก็ได้ นำมาปรุงเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม รสขมจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร และช่วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะความร้อนได้ด้วย 2. ใครๆ ที่โปรดปรานน้ำพริกเป็นพิเศษ ก็อยากจะแนะนำว่า อย่าให้รสเผ็ดจัดมากนัก เพราะอาจร้อนยิ่งขึ้นได้ แต่หากชอบน้ำพริกจริงๆ ก็ต้องรับประทานแกล้มกับผัก ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา แตงโมอ่อน ตำลึง ยอดแคลวก ส่วนคนที่นิยมรับประทานใบบัวบกสดๆ ให้นำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มก็ยิ่งดี 3. ขนมจำพวกลอยแก้วต่างๆ เช่น กระท้อนลอยแก้ว ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว นอกจากรสชาติอร่อยแบบไทยๆ แล้วยังชื่นใจ ช่วยคลายร้อนได้อย่างมาก สำหรับชาวชีวจิต เราแนะให้ใช้น้ำตาลทรายมาปรุง และระวังอย่าให้หวานมาก 4. ดับกระหายด้วยน้ำดื่ม อาจจะนำดอกมะลิหอมๆ มาลอยในน้ำดื่มก็ได้ หรือหยดด้วยน้ำยาอุทัยยิ่งดี เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจ ในน้ำยาอุทัยที่ดื่มๆ กันนั้น ยังมีสมุนไพรไทยชื่อว่า ฝาง ที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็น แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ แก้กระหายน้ำได้ดี นอกจากนี้ ยังมีชะเอมเทศ และอบเชยเทศ มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ขับลมเบื้องต่ำ แก้เสมหะเป็นพิเศษ แต่งกลิ่น แก้คันระคายคอ และมีเกสรทั้งห้าที่ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน ทำให้เจริญอาหาร 5. แก้ร้อนในด้วยฟ้าทะลายโจร หรือมะแว้ง ในส่วนของฟ้าทะลายโจรมีวิธีกินง่ายๆ โดยเอาใบมาล้างให้สะอาดใส่แก้วแล้วเทน้ำ ร้อนลงไปจิบน้ำอุ่น หรือรับประทานแบบแคปซูลก็ได้จะขมน้อยกว่า แต่ถ้ามีแผลในปากร่วมด้วย ควรใช้เสลดพังพอนตัวเมีย คั้นเอาแต่น้ำ และ ใช้ทา ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น (http://images.thaiza.com/45/45_20080605154345..gif) ที่มา ... ชีวจิต หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 21, 2012, 08:45:15 PM เคล็ดลับ ดูแลเครื่องซักผ้า ให้ใหม่อยู่เสมอ
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img1/127966.png) 1.ควรแช่ผ้าเพื่อชะล้างสิ่งสกปรกก่อนนำเข้าเครื่อง นอกจากจะช่วยให้เครื่องไม่ต้องทำงานหนักแล้ว ยังทำให้ผ้าเราสะอาดขึ้นด้วย และปริมาณผ้าที่ใส่ควรเหมาะสมกับความจุของเครื่องซักผ้า ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป 2.ในช่องใส่ผงซักฟอก ช่องน้ำยาปรับผ้านุ่ม และตาข่ายกรองเศษผง ควรถอดออกมาล้างทำความสะอาดบ่อย ๆ เพื่อล้างคราบน้ำยา หรือคราบสกปรกต่าง ๆ 3.ตัวถังภายนอกนั้นให้ใช้ฟองน้ำนุ่ม ๆ หรือผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาด 4.หลังการใช้งานทุกครั้งควรเปิดฝาไว้เพื่อระบายความอับชื้น ส่วนไส้กรองน้ำทิ้ง ควรถอดออกมาทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ป้องกันการอุดตัน 5.สำหรับตัวถังภายใน ควรล้างทำความสะอาดเดือนละครั้งก็ได้ โดยให้ตั้งโปรแกรมซักผ้าหนา ตั้งอุณหภูมิน้ำไว้ที่สูงสุด แล้วเปิดเครื่องปล่อยให้เครื่องเปล่าทำงานไปจนจบโปรแกรม โดยไม่ต้องใส่เสื้อผ้าหรือผงซักฟอกทั้งนั้น หรือถ้าเครื่องซักผ้าที่ใช้ไม่มีโปรแกรมน้ำร้อน ให้ใช้น้ำส้มสายชูแทน -โดยเทน้ำส้มสายชูปริมาณ 1 ขวด ลงไปที่ตัวถังภายใน -ตั้งโปรแกรมให้เครื่องทำงานที่โหมดซักผ้าหนา และโปรแกรมสกปรกปานกลาง จนเสร็จเรียบร้อย -หรือ ใช้แอมโมเนียประมาณ 2 แก้วผสมน้ำเย็นธรรมดาครึ่งลิตรใส่ลงในเครื่องซักผ้า แล้วเปิดเครื่องทำงาน แอมโมเนียจะช่วยไล่คราบฝุ่นออกจากตัวเครื่องและป้องกันการอุดตันได้ด้วย ลองทำตามคำแนะนำที่สะกิดเก็บมาฝากนะคะ ไม่ยากเลยค่ะ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง บทความจาก SAKID หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 21, 2012, 08:48:22 PM แก้ไขปัญหาซิปกางเกงชอบร่วง
วันนี้เอาทิปเล็กๆ มาฝากกัน หลายคนคงเคยเจอปัญหาซิบกางเกงชอบไหลลงจนคนทัก ว้าย! ไม่รูปซิบ วิธีแก้ไขก็ง่ายๆ ทำตามรูปเลยค่ะ (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img8/127951.jpg) (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img8/127952.jpg) (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img8/127953.jpg) (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img8/127954.jpg) thanks หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 28, 2012, 09:31:32 PM เคล็ดลับการใช้สเปรย์ฉีดผมอย่างถูกวิธี
เคล็ดลับการใช้สเปรย์ฉีดผมอย่างถูกวิธี (http://img.kapook.com/image/Hair/450.jpg) เคล็ดลับการใช้เสปรย์ฉีดผมอย่างถูกวิธี (Lisa) Q : ฉันมีความจำเป็นต้องใช้สเปรย์ฉีดผมเป็นประจำ แต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าฉีดสเปรย์ได้ถูกวิธีหรือเปล่า มีคำแนะนำบ้างมั้ยคะ? A : สาว ๆ ส่วนใหญ่มักจะฉีดสเปรย์ผิดวิธี คือฉีดจนชิดกับโคนผมจนเกินไป จริง ๆ แล้ว คุณควรถือกระป๋องสเปรย์ให้อยู่ห่างจากศีรษะประมาณ 12-14 นิ้ว ถือกระป๋องให้มั่นคงแล้วส่ายไปทั่วศีรษะในขณะฉีด (อย่าฉีดเป็นจุด ๆ) วิธีนี้จะช่วยให้คุณฉีดสเปรย์ได้อย่างสม่ำเสมอเท่ากันทั้งศีรษะ ข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งก็คือ อย่าฉีดสเปรย์ในปริมาณมากเกินไป เพราะจะทำให้เส้นผมแข็งปั๋งเหมือนสวมหมวกกันน็อคไว้ทีเดียว และถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ ก็จะยิ่งทำให้ล้างออกได้ยากขึ้น เนื่องจากสเปรย์ฉีดผมส่วนใหญ่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อยู่ในปริมาณสูง หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 13, 2012, 08:07:37 AM คลายร้อน ด้วยเคล็ดลับการกิน
(http://hilight.kapook.com/img_cms2/news3/96.jpg) คลายร้อน ด้วยเคล็ดลับการกิน (ไทยโพสต์) ย่างเข้า "ฤดูร้อน" นอกจากจะให้ความรู้สึกสนุกสนานร่าเริงแล้ว ยังทำให้เรารู้สึกร้อนระอุจากความร้อนของแสงแดดอันแผดกล้า จนต้องมองหาวิธีการที่ทำให้เรารู้สึกเย็นสบาย เช่น การไปเที่ยวทะเล ปีนเขา หรืออยู่แต่ในที่ร่ม เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความร้อนจากแสงแดดให้ได้มากที่สุด การสร้างสภาพแวดล้อมที่เย็นสบายก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี แต่ยังมีวิธีที่เราสามารถคลายร้อนจากภายในร่างกายของเราเองได้ ด้วยการรับประทานอาหารอย่างถูกหลักง่าย ๆ ด้วยเคล็ดลับดี ๆ โดยโภชนากรซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด นำมาบอกค่ะ (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news3/93.jpg) ผลไม้จำพวกแตง บรรดาเหล่าแตงทั้งหลาย อาทิ แตงโมและแคนตาลูป ซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำสูงถึง 95% จึงสามารถทดแทนน้ำในร่างกายที่สูญเสียไป เนื่องจากอากาศร้อนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังอุดมด้วยโปแตสเซียม โดยเฉพาะแคนตาลูปซึ่งถือเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกประเภทหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีโปแตสเซียมสูงกว่าแตงโมถึง 3 เท่าแล้ว สีส้มของแคนตาลูป ยังมีสารเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายไม่ให้รับผลกระทบจากรังสี อัลตราไวโอเลตอีกด้วย (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news3/94.jpg) ผลไม้ตระกูลเบอรี่ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ จัดเป็นผลไม้รสอร่อยประจำฤดูร้อน มีส่วนผสมของน้ำและสารประกอบทางธรรมชาติสำหรับรักษาอาการปวดบวมอักเสบ ซึ่งสารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยาแอสไพริน ดังนั้น การบริโภคเบอรี่รสหวานฉ่ำอร่อยเลิศ จึงช่วยลดอาการอักเสบและช่วยถอนพิษจากการเผาไหม้ของแสงแดดฤดูร้อนได้เป็นอย่างดี (http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/95.jpg) ผักขม ผักขมให้คุณประโยชน์หลัก 2 ประการ ประการแรก ผักขมและผักใบเขียวนอกจากจะอุดมไปด้วยน้ำ ยังเป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม หนึ่งในแร่ธาตุที่เราสูญเสียไปพร้อมกับเหงื่อที่ถูกขับออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ใบสีเขียวเข้มของผักขมยังมีสารลูติน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จึงช่วยปกป้องผิวและสายตาจากการถูกทำลายจากแสงแดด (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news3/97.jpg) พริกไทย พริกไทย อาจเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้ายสำหรับหลาย ๆ คนที่จะนำมาบริโภคในช่วงอากาศร้อน แต่ในความเป็นจริงเราจะพบว่าพริกไทยที่เผ็ดร้อนสามารถกระตุ้นให้เกิดการขับ เหงื่อออกจากร่างกาย ซึ่งเมื่อเหงื่อระเหยออกจากผิว จะทำให้เกิดความรู้สึกเย็นสบายให้แก่ร่างกายของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ พริกไทยยังมีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งที่ช่วยปกป้องผิวจากการถูกคุกคามของ แสงแดด และหากคุณยังรู้สึกร้อนระอุ ลองบริโภคอาหารรสจัดและมีกลิ่นฉุนอย่างกระเทียมสดและขิง ซึ่งมีคุณสมบัติในการขับเหงื่อเหมือนกัน ก็จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม แม้ผลไม้และผักจะมีส่วนประกอบของน้ำในปริมาณมาก แต่ไม่ควรบริโภคเฉพาะผลไม้และผักแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ ในหน้าร้อน ให้ดื่มน้ำมาก ๆ และพยายามอย่าให้เกิดความรู้สึกกระหาย เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายของคุณสั่งให้คุณดื่มเครื่องดื่ม นั่นหมายความว่าร่างกายของคุณค่อนข้างขาดน้ำ เครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาจึงเป็นทางเลือกที่ดีอีกตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่คุณออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนชื้น เกลือแร่จะช่วยดูดซับความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกายได้สูงสุด นอกจากนี้ รสชาติอันหวานละมุนของเครื่องดื่มเกลือแร่สำหรับนักกีฬาก็ยังเชิญชวนให้คุณ เกิดความรู้สึกอยากดื่มได้อีก (http://hilight.kapook.com/img_cms2/news3/92.jpg) การดื่มเครื่องดื่มที่เหมาะสมร่วมกับการ บริโภคผักและผลไม้สดในปริมาณมาก จะช่วยทำให้คุณคลายร้อนได้อย่างวิเศษสุด ทั้งยังช่วยทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียจากการขับเหงื่อของร่างกาย นอกจากนี้ ผักและผลไม้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากการคุกคามของแสง แดด ทำให้คุณคลายร้อนและรู้สึกเย็นกายสบายใจท่ามกลางอุณหภูมิของอากาศอันร้อนระอุ... (http://img.kapook.com/image/icon/ann46_3.gif)(http://img.kapook.com/image/icon/ann46_3.gif)(http://img.kapook.com/image/icon/ann46_3.gif) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 15, 2012, 10:45:15 AM เกร็ดความรู้ วิธีปอกแอปเปิ้ลไม่ให้ดำ
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img3/128988.jpg) สำหรับคนที่ปอกแอปเปิ้ลและวเบื่อกับสีที่ดำ ไม่สวย ไม่น่ากิน เหมือนตอนปอกใหม่ๆ วิธีแรก ให้ปอกแอ๊ปเปิ้ล แช่น้ำเกลือ เกลือ 1 ช้อนชา ในน้ำ 1 ชาม วิธีที่ 2 ปอกแอ๊ปเปิ้ล แช่น้ำ มะนาว ผสมน้ำสะอาด น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ในน้ำ 1 ชาม นำแอ๊ปเปิ้ลวิธีใดวิธีหนึ่ง ใน 2 วิธี ลงไปผ่านน้ำสักครู่ สะเด็ดน้ำให้แห้ง นำไปใส่กล่อง เก็บใส่ตู้เย็น ข้อมูลจาก sakid ดอทคอม หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2012, 08:45:05 PM 5 เทคนิคแก้เมารถแบบมือโปร
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/129089.jpg) แผนการท่องเที่ยวที่แพลนไว้ดิบดีต้องหมันแน่ๆ ถ้ามัวแต่เมารถ แต่สำหรับนักเดินทางมือโปร เรื่องนี้ไม่มีทางเกิด เพราะเขามีวิธีที่ได้ผลที่สุดไว้ป้องกันตัว มองไปข้างหน้า ข้อ ห้ามของการนั่งรถทางไกลคือต้องไม่ก้มหน้าอ่านหนังสือหรือเล่นเกมเพราะการก้ม หน้าจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก ที่นี้อาการคลื่นใส้ อาเจียนงก็จะตามมา หยุดพักเมื่อมีโอกาส อย่า ตลุยนั่งรวดเดียวสิบชั่วโมงรวด ถ้าเป้นไปได้คุณควรบอกให้คนขับจอดพักเป้นระยะๆ อาจจะขอเข้าห้องน้ำหรือเดินยืดสายก็ยังดี เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวกขึ้น เบาะนี้ขอจอง ท้าย รถจะเป้นส่วนที่ได้รับแรงเหวี่ยงแรงกระทบของรถมากกว่าส่วนหน้าคนที่นั่งตรง นี้จึงเสี่ยงกับการเมามากกว่า เพราะฉะนั้นคนฉลาดอย่างเราจึงต้องใช้วิชาพลิ้วไปนั่งข้างหน้าก่อนที่คนอื่น จะมาแย่งไป อย่ากินเต็มที่ การ มีอาหารเต็มท้องจะทำให้คุณยิ่งรู้สึกคลื่นใส้มากขึ้น ถ้ารู้ว่าจะต้องเดินทาง ผู้หญิงขี้เมาทั้งหลายจึงไม่ควรทางอาหารเต็มที อย่างมากก็รองท้องมานิดๆ หน่อย ก็พอ เปิดกระจกให้อากาศถ่ายเท ออกซิเจน จะช่วยให้สมองแจ่มใส ลดอาอารเมาลงไปได้ ถึงจะนั่งที่ปิดหน้าต่างมิดชิด แต่ก็ควรที่จะเปิดเป็นครั้งคราว ให้ลมข้างนอกพอออกซิเจนเข้ามาในตัวรถ ยิ่งถ้านั่งที่แออัด ผู้โดยสารเพียบ ยิ่งควรเปิดหน้าต่างบ่อยๆ ให้อากาสถ่ายเทได้สะดวก หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 18, 2012, 07:33:29 PM เอาไข่ไปแช่น้ำส้มสายชู แล้วจะเกิดอะไรขึ้น??
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/129181.jpg) สอนทำไข่เรืองแสง สุดพิสดาร เอาไข่ไปแช่น้ำส้มสายชู 7 วัน แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นแกะเปลือกไข่โลด แล้วคุณจะพบกับผลลัพธ์ ที่น่าอัศจรรย์มากๆ ใครอยากรู้ว่า ไข่เรืองแสงมันทำได้จริงหรือไม่ กลับบ้านไปลองกันเลยครับพี่น้อง (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/129182.jpg) (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/129184.jpg) (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/129186.jpg) (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/129188.jpg) (http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/129192.jpg) :o :o :o :o :o หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 13, 2012, 05:42:40 PM เคล็ดลับช่วยคุณสาว ๆ ยกของอย่างถูกต้อง
(http://img.kapook.com/u/patcharin/Variety/lifting%20box.jpg) เคล็ดลับช่วยคุณสาว ๆ ยกของอย่างถูกต้อง (Modern Mom) เรื่อง : Sean Nemi ใน ช่วงที่จัดบ้านใหม่อาจมีบ้านที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะต้องยกเคลื่อนย้ายสิ่งของที่มีน้ำหนัก หรือขนาดใหญ่เกินตัว หากจำเป็นต้องตัดสินใจเคลื่อนย้ายจริง ๆ แล้ว อย่าลืมคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญด้วย วางแผนยกและย้าย 1.ประเมิน น้ำหนักและขนาดสิ่งของที่จะยกก่อนว่า สามารถยกตามลำพังได้หรือไม่ 2.ตรวจสอบ สิ่งของที่จะยกว่าเป็นวัสดุแบบไหน เช่น โลหะ แก้ว เป็นต้น และอย่าลืมตรวจดูความปลอดภัยด้วยว่ามีของมีคมโผล่ออกมาจากกล่องหรือไม่ 3.เช็กเส้นทางเคลื่อนย้าย ว่า มีสิ่งของกีดขวางทางเดินหรือไม่ พื้นต้องไม่ลื่น มีแสงสว่าง และพื้นที่วางของเพียงพอ 4.ใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถเข็น หรืออุปกรณ์ช่วยยก อย่างแม่แรง จะช่วยทุ่นแรงได้เป็นอย่างดี แต่ควรต้องศึกษาวิธีการใช้ก่อน ไม่อย่างนั้นตัวช่วยก็จะกลายเป็นตัวถ่วงได้ค่ะ 5.ยกบ้างวางบ้าง เมื่อยกของที่หนักแล้วให้สลับมายกของเบา เพื่อพักกล้ามเนื้อ และเพื่อช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ 6.ป้องกันมือไม้ สวม ถุงมือทุกครั้งก่อนยกและย้ายของ เพื่อป้องกันการถลอก ขูดขีด และโดนของมีคมบาดได้ ควรสวมรองเท้าเพื่อป้องกันการลื่นไถล สวมหมวก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากวัสดุสิ่งของหล่นทับ (http://img.kapook.com/u/patcharin/Variety/lifting%20box2.jpg) ระวังก่อนยก นอกจากการยกของที่ถูกวิธีแล้ว ยังมีข้อควรระวังอื่นที่ควรคำนึงถึงด้วย คือ 1.ไม่ยกของที่อยู่สูงเกินไป หรือต้องใช้มือเอื้อม 2.ไม่ควรยกของขณะที่มีเด็กอยู่บริเวณนั้น 3.อยู่ในช่วงหลังคลอด ห้าม! ยกของเด็ดขาด 4.หากมีปัญหาเรื่องข้อ หรือกระดูกอยู่แล้ว ควรเลี่ยง เพราะจะยิ่งทำให้อาการกำเริบยิ่งขึ้น 5.ขณะยกและย้ายของไม่ควรทำคนเดียว เผื่อกรณีที่อาจจะเกิดอุบัติเหตุจะได้มีคนช่วยเหลือ มากอาการ หากยกผิด 1.ปวดหลัง ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง หากดันทุรังยกต่อจะยิ่งทำให้อาการเพิ่มมากขึ้น 2.โรคกระดูกทับเส้นประสาท เป็นผลพวงจากการที่กระดูกสันหลังกระจายแรงกดไม่เท่ากัน 3.เข่าเสื่อม จากการย่อเข่าผิดวิธี 4.มือชา เนื่องจากเส้นเลือดและเส้นประสาทถูกกดทับ 5.ไส้เลื่อน คุณผู้หญิงก็เป็นได้นะคะ เกิดจากการยกของหนักเกินไป จนเกิดแรงดันในช่องท้อง (http://img.kapook.com/u/patcharin/Health/ETC./lifting%20box3.jpg) ยกของให้ถูกท่า 1.ยืนให้ชิดกับสิ่งของ วางเท้าข้างหนึ่งอยู่ด้านข้าง อีกข้างอยู่ด้านหลังสิ่งของ เพื่อป้องกันการเสียสมดุลของร่างกาย 2.ย่อเข่าลง ให้หลังเป็นแนวตรง เพื่อรักษาสภาพความโค้งงอของกระดูกสันหลังให้เป็นแนว เพื่อกระจายแรงกดลงบนหมอนรองกระดูกสันหลังเท่า ๆ กัน 3.จับวัสดุสิ่งของให้มั่นคง โดยใช้ฝ่ามือจับไม่ใช่ปลายนิ้ว เพื่อป้องกันการลื่นหลุดมือ 4.ค่อย ๆ ยืดเข่า เพื่อยืนขึ้น โดยใช้กำลังจากกล้ามเนื้อขา และในขณะที่ยืนขึ้น หลังจะอยู่ในแนวตรงหรือเป็นไปตามธรรมชาติ 5.ให้แขนชิดลำตัว ไม่ควรกางแขนออก และให้วัสดุสิ่งของที่จะยกอยู่ชิดกับลำตัวให้มากที่สุด เพื่อให้น้ำหนักของวัสดุสิ่งของผ่านลงที่ต้นขาทั้งสองข้าง ให้ศีรษะและกระดูกสันหลังอยู่ในแนวเดียวกัน คืออยู่ในแนวตรง ซึ่งจะทำให้มองเห็นทางเดินได้ชัดเจนในขณะที่ยกขึ้น และค่อย ๆ ก้าวเดินไปจุดหมายอย่างมั่นคง ไม่รีบร้อน จริง ๆ แล้วไม่แนะนำให้คุณผู้หญิงยกของหนัก ๆ ด้วยตัวเองนะคะ เพราะอาการที่เกิดขึ้นได้ไม่คุ้มเสีย ให้เป็นหน้าที่ของคุณผู้ชายจะดีกว่าค่ะ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 06, 2012, 07:32:52 PM เทคนิค! วิธีเป่าผมให้แห้งเร็ว
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img8/137989.jpg) ทุกครั้งหลังสระผมในช่วงเวลาที่เร่งรีบไดร์เป่าผมก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้เวลาในการทำให้ผมแห้งเร็วที่สุด แต่ก็อย่างที่เราเข้าใจดีว่าการใช้ความร้อนจะเป็นอันตรายต่อสภาพเส้นผม แต่ถ้าจะให้มานั่งเป่าผมโดยใช้พัดลมก็เสียเวลาเป็นที่สุด วิธีเป่าผมให้แห้งเร็ว จะสามารถช่วยทำให้คุณประหยัดเวลาในการเป่าผมได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญยังสามารถช่วยลดปัญหาผมแห้งเสียของคุณได้อีกด้วยนะค่ะ ว่าแล้วเราก็เข้าไปดู วิธีเป่าผมให้แห้งเร็ว กันเลยดีกว่านะค่ะว่าจะมีเทคนิคที่ดีๆ ขนาดไหน แต่ถึงยังไงก็อย่าลืมนะค่ะว่าเส้นผมของคุณก็ต้องการการดูแลและบำรุงเพราะฉะนั้นแล้วยังงัยก็ลองหาเวลาว่างไปดูแลสภาพของเส้นผมบ้างนะค่ะ ก่อนที่สภาพเส้นผมจะแย่จนแก้ไขไม่ได้ค่ะ เคล็ดลับง่ายๆ ก็คือ การเป่าไดร์ผมจากชั้นผมด้านใต้ขึ้นมาโดยซับผมให้แห้งหมาดที่สุดก่อนเป่า ทามูสลงบนเส้นผมเล็กน้อยมันจะป้องกันเส้นผมจากความร้อนและเคลือบแกนผมไม่ให้ดูดซับน้ำมากขึ้นไปอีก จากนั้นก้มศีรษะลงหรือหนีบเส้นผมส่วนบนขึ้นไปและเป่าชั้นผมที่อยู่ด้านใต้ก่อน เมื่อมันเริ่มแห้งจึงใช้แปรงไดร์ผมที่อยู่ด้านบน เทคนิคนี้จะช่วยลดเวลาในการเป่าผมให้แห้งลงได้ราวหนึ่งในสาม และเพื่อให้การเป่าไดร์ผมเร็วขึ้นเลือกไดร์เป่าผมที่มีกำลังไฟอย่างน้อย 1,800 วัตต์ ไดร์ที่มีกำลังไฟสูงจะทำให้ผมแห้งได้ในเวลาที่น้อยกว่าเครื่องที่มีกำลังไฟต่ำกว่า ขอบคุณ Lisa หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 20, 2012, 10:28:12 PM เคล็ดลับขจัดควันขณะปิ้งย่าง
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img4/138823.jpg) สำหรับแม่ครัวที่ต้องผจญกับปัญหาเวลา ปิ้ง-ย่างอาหารประเภทต่าง ๆ ด้วยเตาถ่านและต้องผจญกับควันไฟที่ลอยคลุ้งอยู่ คงกำลังนึกอยากหาวิธีขจัดควันไฟขณะประกอบอาหารปิ้ง-ย่าง เมื่อทำการจุดเตาถ่านเรียบร้อยแล้ว ให้นำเอาเกลือป่นมาทำการโรยบนถ่านที่กำลังติดไฟ ก่อนนำเอาอาหารไปปิ้ง-ย่าง เกลือจะทำให้เกิดควันน้อยลงจนแทบไม่มีเลย จึงทำให้เราสามารถปิ้ง-ย่างอาหารได้อย่างสะดวก อาหารไม่เหม็นควันไฟ อีกทั้งยังสุกและมีสีที่น่าทานอีกด้วยนะคะ ที่มา...nanakedlab.blogspot.com หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:34:28 PM การล้างรถอย่างถูกวิธี
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img0/144667.jpg) ทุกวันนี้กิจการหนึ่งที่เราเห็นผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดทุกวันคงไม่พ้นกิจการร้านล้าง ที่ทำให้ชาวคนรักรถหลายคนแวะเวียนไปขัดสีฉวีวรรณรถของตัวเอง แต่แม้มันจะง่ายและได้เสียเงินกัน ทว่า บางครั้งเราก็ควรจะล้างรถด้วยตนเองด้วย และมันอาจจะทำให้เราเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรถของเราไปพร้อมกันด้วย ”การล้างรถ” ฟังดูก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่สายยาง น้ำ และแชมพูก็น่าจะสิ้นเรื่องแล้ว แต่ความจริง การที่ธุรกิจล้างรถผุดขึ้นมานั้น ก็เนื่องจากเรื่องง่ายอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเรื่องสำคัญของการล้างรถคือการใส่ใจในรายละเอียด และถ้าวันนี้ใครยังไม่เคยรู้ว่าการล้างรถจริงๆควรจะทำอย่างไร วันนี้เราจะมาเรียนรู้การล้างรถอย่างถูกวิธีกัน 1.ฉีดน้ำมือถู ..เรื่องที่ควรทำก่อนเริ่มกระบวนการ หลายคนที่เคยไปตามร้านล้างรถคงจะพอรู้ขั้นตอนการล้างรถดี แล้วมันก็เริ่มจากการฉีดน้ำลงบนตัวรถ ซึ่งการฉีดน้ำไม่ได้มีเหตุผลในการเตรียมลงน้ำยามแชมพูล้างรถ แต่คือการขจัดคราบดิน ฝุ่น และ สิ่งสกปรกอื่นๆ ออกจากรถก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการ ซึ่งตามร้านเหล่านั้นจะมีเครื่องปั้มน้ำแรงดันสูง ทำให้แค่เพียงฉีดคราบสกปรกก็หายไป แต่ถ้าเราที่บ้านน้ำที่ไม่แรงมาก ทำให้เราควรจะใช้มือถูตามไปกับการราดน้ำพร้อมกัน ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นการขัดฝุ่นและคราบสกปรกก่อน ในส่วนใดที่มีคราบเกาะติดแน่นให้ใช้การฉีดน้ำร่วมแล้วนำมือถูด้วย 2.รู้จักแชมพูที่จะใช้ อันที่จริงถ้ารถคุณไม่ได้สกปรกมาก จากขึ้นตอนแรกจะพบว่า สีรถจะสวยขึ้นมาทันตาเห็น แน่นอนว่าการล้างรถด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็สามารถทำให้สะอาดได้ และไม่กินเวลามากนัก แต่อย่าใช้วิธีการนำผ้าชุบน้ำเช็ดรถเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดรอยขนแมวตามมา (รอยขนแมวคือ รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นบนผิวแลกเกอร์ของตัวรถ ทำให้เป็นรอยเล็กๆเยอะๆ เมื่อส่องไฟ) แม้เราจะบอกว่าน้ำสะอาดก็พอแต่การที่เราจะล้างรถได้หมดจด โดยเฉพาะคราบฝุ่นที่มองไม่เห็นด้วยเปล่านั้น ต้องอาศัย น้ำยาล้างรถ ซึ่งปัจจุบันมี 2 แบบที่นิยมกัน คือ แชมพูและโฟม ซึ่งมีจุดประสงค์เดียวกัน ขจัดคราบเหมือนกัน แต่ต้องเข้าใจก่อน แชมพู – เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักแชมพูล้างรถเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ยี่ห้อที่หลากหลายออพชั่นที่ผสมแว็กมากมาย สรุปสุดท้ายก็เหมือนกันอยู่ดี คือมันมีหน้าที่ ในการขจัดคราบเป็นสำคัญ แชมพูล้างรถก็ไม่ต่างอะไรจากแชมพูสระผมนัก แต่อย่าเข้าใจผิดว่าใช้แทนกันได้ …นะครับ แชมพูสระผมจะขจัดคราบดีเมื่อเทลงไปบนหัว แต่กลับกันตัวแชมพูล้างรถจะต้องผสมน้ำก่อนในอัตราส่วนที่กำหนดแล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งการใช้งานก็คือจุ่มทั้งฟองและน้ำยาถูไปบนตัวรถเลย สิ่งที่ต่างคือตัวน้ำยาจะมีความลื่นนั่นเอง แต่เหล่าโปรล้างรถบอกว่าแชมพูจะให้รายละเอียดสู้โฟมไม่ได้ แต่ก็พอใช้ได้ถ้าล้างเอง โฟม - ในช่วงหลายปีมานี้โฟม ถูกพูดถึงมาก เราเห็นร้านล้างรถติดป้ายกันประจำ ทว่าอันที่จริงโฟมนั้น คือฟองที่เกิดจากการใช้หัวเชื้อผสมลงไปแล้ว แล้วนำเอาฟองโฟมมาใช้ในการทำความสะอาดรถ ซึ่งปัจจุบันมีน้ำยาล้างรถบางยี่ห้อทำออกมาในแบบเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบล้างรถเอง การใช้โฟมล้างรถนั้นมีข้อดีที่ฟองโฟมที่มีคุณภาพจะให้เนื้อฟองที่แน่นและละเอียด ทำให้ขจัดคราบได้ดีกว่าแชมพู แต่แน่นอนการใช้โฟมล้างรถ คือการใช้ฟอง ขจัดคราบสกปรกเป็นสำคัญ 3.ถูอย่างระวัง เมื่อเลือกน้ำยาล้างรถได้ และจัดการผสมตามสัดส่วนแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญต่อมาคือการถูอย่างระมัดระวัง การถูกแชมพูหรือโฟมนั้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และจุดประสงค์มันคือการกระจายน้ำยาให้ทั่วบริเวณ ซึ่งหากเป็นไปได้อาจจะใช้ผ้า หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้หาซื้อฟองน้ำอย่างดี ราคาแพงเล็กน้อยแต่ใช้ยาว หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการลงน้ำยาคือการถูเพื่อขจัดคราบสกปรก ทั้งที่จริงๆ เราใช้น้ำยาและน้ำเป็นตัวช่วยขจัดคราบ ซึ่งตรงนี้ไม่ต้องถูแรงมากนัก แค่ถูธรรมดาเท่านั้น และเช่นเดิม ควรเริ่มจากหลังคาก่อน เพราะเป็นจุดสูงที่สุดของตัวรถ จากนั้นไล่ลงมาที่บอดี้ของตัวรถ แล้วค่อยเก็บรายละเอียดเล็กๆที่เหลือ เช่นซอกมุมต่างๆ 4.อย่าทิ้งนาน หลายครั้งที่การล้างรถของเราที่บ้านทำคนเดียว แน่นอนว่ารถ 1 คัน จะลงน้ำยาเสร็จทั้งคันคนเดียวก็ใช้เวลานานอยู่ แต่หากคุณต้องทำคนเดียว ควรจะเลือกลงน้ำยาและล้างไปเป็นส่วนๆ เพื่อลดการที่นำยาจับตัวเป็นคราบแห้ง และ เมื่อล้างไปตามส่วนอื่นๆ อย่าลืมฉีดน้ำในส่วนที่ทำความสะอาดแล้วด้วย เพื่อไม่ให้ก่อตัวเป็นคราบน้ำ ก่อนที่เราจะเช็ดแห้ง 5.เช็ดแห้ง..จุดตกม้าตายของหลายคน มาถึงตรงนี้ในที่สุดเราก็มาถึงขั้นสุดท้ายของการล้างสีรถภายนอกแล้ว หลายคนมักคิดว่าการล้างรถง่ายนิดเดียว แต่ท้ายที่สุดเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเช็ดแห้งคือการชีชะตาผมงานว่าจะออกมาหมู่หรือจ่า กัน การเช็ดแห้งนั้น ควรใช้ผ้าที่มืเนื้อนุ่มซับน้ำง่าย หากงบน้อยแนะนำผ้าสำลี หรือมีงบเพิ่มขึ้นมาหันไปคบผ้าไมโคไฟเบอร์สังเคราะห์ หรือ ชาร์มัวร์สังเคราะห์ ทว่าก็ต้องมีหลายผืนหน่อยเพราะผ้ามักจะอุ้มน้ำ แต่ถ้าดีที่สุดต้องเป็นผ้าชามัวร์ เนื่องจากสามารถซับน้ำได้ดีเร็ว และ ทำให้ลดเวลาในการเช็ดได้มากและไม่ค่อยเกิดเป็นคราบน้ำ ที่สำคัญควรมีผ้า 2 ผืนเพื่อเช็ด แล้วเช็ดแห้งตามทันที การเช็ดแห้งควรเริ่มทำทันทีหลังจากล้างคราบน้ำยางล้างรถออก ให้เริ่มจากบนลงล่างเช่นเดิม โดยการเช็ดควรดูเช็ดให้รายละเอียด ให้ใช้เวลานานในการเช็ด ที่สำคัญห้ามลืมในการใส่รายละเอียดตามซอกประตู ฝาถังน้ำมัน ซึ่งน้ำจะเข้าไปซุกและเป็นคราบได้ในท้ายที่สุด แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่ยากแต่การล้างรถนั้น สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในรายละเอียดการล้างรถ ซึ่งการล้าง ขอบคุณ : ISNHOTNEWS หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:36:15 PM รู้มั้ย! กะพริบไฟหน้าเพื่ออะไร ?
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/144662.jpg) ไฟสัญญาณแต่ละอย่างในรถ ติดตั้งมาโดยคำนึงในเรื่องของความปลอดภัยเป็นสำคัญ ไฟสัญญาณอันดับแรกที่กลายเป็นธรรมเนียมอันไม่เป็นสากล และน่าจะเกิดอันตรายก็คือ ไฟหน้าใหญ่ ผู้ขับขี่ยวดยานชอบเปิดกัน แวบๆ ให้หลายคนสงสัยว่ามันหมายความว่าอะไรกันแน่ ในประเทศไทยเรานั้น แปลกันเองได้ความว่า "ขอไปก่อนนะ" ธรรมเนียมนี้ก็ค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ จนบัดนี้บนท้องถนนหลวงเข้าใจกันได้อีก ความหมายหนึ่งว่า เมื่อรถที่วิ่งสวนมาบนถนนหลวงให้สัญญาณไฟหน้ากะพริบ แวบๆ ล่ะก็ ให้เตรียมระวังว่าอย่าขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด อย่าเดินรถในช่องทางขวา อย่าแซงทางซ้าย ฯลฯ เพราะข้างหน้ามีตำรวจคอยดักจับอยู่ สัญญาณนี้เลยกลายเป็นสัญญาณประสานสามัคคีกันในหมู่ผู้ใช้รถบนถนนหลวงไปอีกความหมายหนึ่ง ส่วนในต่างประเทศบางแห่ง เช่น ในยุโรปและประเทศอังกฤษ ไฟแวบหน้าที่เปิดกันแวบๆ นั้น สัญญาณนี้แปลได้ว่า "เชิญคุณไปได้ ผมให้ทางคุ" ดังนั้น พวกฝรั่งพวกนี้มาขับรถในเมืองไทย เห็นพี่ไทยเปิดไฟไห้แวบๆ ก็นึกว่าเหมือนบ้านตัวก็ออกพรวดไปเลย จึงเกิดอุบัติเหตุเพราะสาเหตุนี้หลายราย นี่ก็คืออันตราย อีกอย่างหนึ่งที่เป็นภาษาสากล แต่อ่านแปลให้ผิดเพี้ยนไปตามวัฒนธรรมของแต่ท้องถิ่นแต่ละประเทศ แท้จริงแล้วไฟหน้านี้ใช้ทำอะไรและในภาษาสากลหมายความว่าอย่างไร ไฟแวบหน้าใหญ่นั้น จริงๆ แล้วแปลว่า "ระวัง" หรือ "ผมอยู่ตรงนี้" เพื่อเตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้ระมัดระวังว่ามีรถอีกคันอยู่ตรงนี้ หรืออีกนัยหนึ่งสัญญาณ นี้ใช้แทนสัญญาณแตร ในกรณีที่ใช้แตรไม่ได้ เช่น ในเวลากลางคืน กฎหมายห้ามใช้แตร หรือในสถานที่ที่มีเครื่องหมายห้ามใช้แตร เพราะจะรบกวนบุคคลอื่น เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ราชการ หรือกรณีที่เป็นกลางวัน จะใช้เตือนรถที่หันหน้าเข้าหา ใช้ไฟแวบเตือนให้ระวังจะดีกว่าเสียงแตร เพราะแสงนั้นเดินทางได้เร็วกว่าเสียงหลายเท่าตัวนัก ( ข้อมูล คอลัมน์ คาร์ทิป มติชนรายวัน 2 กุมภาพันธ์ 2556) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:53:48 PM ต้มผักอย่างไรให้สีสวยน่ากิน
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/144693.jpg) สวัสดีค่ะ วันนี้ Food Tips มีวิธีต้มผักให้สีสวย น่ารับประทาน มาแนะนำให้ลองทำกันดูค่ะ “ผักต้ม” กินกับน้ำพริกต่างๆ เมนูอาหารไทย ประจำบ้าน มาแต่ยุคโบราณ และน้ำพริกนี้ถือได้ว่าเป็นสำรับเอก ที่ใช้ในการรับแขก ซึ่งหากผักที่ใช้กินคู่กับน้ำพริกนั้นมีสีสันไม่น่ากิน ก็จะทำให้เจ้าบ้านเกิดความอับอายได้ มาจนถึงยุคปัจจะบัน ที่เมนูอาหารสุขภาพ กำลังเป็นที่นิยม หากผักต้มแล้วสีหมองคล้ำ ก็จะทำให้ความน่ารับประทาน ลดลงไป ดังนั้นวิธีที่จะทำให้ผักต้มมีสีสวยงาม คือ นำน้ำสะอาดใส่ในหม้อ กะดูให้ดี ว่าพอใส่ผักลงต้ม แล้วน้ำจะพอท่วมผักได้ เทคนิคง่ายๆ คือ ใส่เกลือป่นลงในน้ำ สำหรับต้มผักสีเขียว ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย จะทำให้ผักมีผิวมันน่ากินยิ่งขึ้น พอน้ำเดือดค่อยใส่ผักลงต้ม กดผักให้จมน้ำ พอผักสุกช้อนขึ้นจากน้ำ ใส่ในน้ำเย็น จากนั้นจึงสะเด็ดน้ำ และจัดใส่จาน ส่วนผักสีขาว เช่น หัวไชเท้า ถ้าอยากให้ผักมีสีขาวสวย ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย ไม่ยากเลยใช่มั้ยค่ะ สำหรับการต้มผักให้ดูน่ารับประทาน ลองนำไปทำดูนะค่ะ รับรองบนโต๊ะทานข้าวของคุณจะมีจานผักต้มที่มีสีสด น่ากินเชียวล่ะค่ะ ขอบคุณ : ISNHOTNEWS หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 26, 2013, 08:07:33 AM วิธีลวกปลาหมึกให้กรอบและไม่เหม็นคาว
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img0/147764.jpg) วันนี้ นำวิธีลวกปลาหมึกให้กรอบและไม่เหม็นคาวง่ายๆ มาฝากค่ะ โดยเริ่มจากนำปลาหมึกไปล้างน้ำเปล่าหลายๆ น้ำ ให้หมดเมือก แล้วจึงนำไปหั่นเป็นชิ้นพอคำแล้วบั้ง ในการลวกต้องใช้น้ำในปริมาณที่มากหน่อย และต้องรอให้น้ำเดือดจัดเห็นเป็นฟองปุดๆ แล้วค่อยใส่ปลาหมึกลงไป ตอนใส่ปลาหมึกลงไปห้ามคนเด็ดขาดไม่งั้นปลาหมึกจะเหม็นคาวได้ ปลาหมึกลวกแค่เดี๋ยวเดียวก็พอ เพราะเนื้อปลาหมึกสุกง่าย ถ้าลวกนานเกินไปก็จะทำให้เนื้อปลาหมึกเหนียว ทานไม่อร่อย ใช้กระชอนช้อนขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วค่อยนำไปปรุงต่อไป หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 26, 2013, 08:09:27 AM เก็บเต้าหู้ให้อยู่ได้นาน
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img1/147766.jpg) เป็นที่รู้ๆ กันดีสำหรับคุณแม่บ้านทั้งหลายว่า “เต้าหู้” เป็นอาหารที่บูดหรือเสียได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเต้าหู้นั้นไม่ได้ใส่สารกันบูด บางครั้งที่เราได้ซื้อเต้าหู้มาไว้ในตู้เย็นแล้วก็ไม่สามารถเก็บได้ไว้นาน แต่ไม่รวมเต้าหู้หลอดนะคะ เก็บแค่เพียงวันสองวันเต้าหู้จะเริ่มเป็นเมือก มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ดังนั้นจึงนำวิธีวิธีเก็บเต้าหู้มาฝากคุณแม่บ้านค่ะ สำหรับวิธีที่จะเก็บเต้าหู้ได้นานวันยิ่งขึ้นก็ให้นำน้ำต้มสุกที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว ใส่ชามแล้วเอาเต้าหู้ที่ซื้อมานั้นลงไปแช่น้ำให้น้ำท่วมเต้าหู้ แล้วนำเข้าแช่ในตู้เย็น ก็จะสามารถยืดอายุการเก็บไว้ได้นานถึง 7-15 วัน แล้วแต่ว่าเป็นเต้าหู้ชนิดไหน สำหรับเต้าหู้อ่อนจะเก็บได้ไม่นานเท่าเต้าหู้แข็ง เพราะมีน้ำผสมอยู่ในเนื้อมากกว่า แต่ในกรณีที่เป็นเต้าหู้หลอด ให้เก็บในห้องช่องเย็นธรรมดาก็เก็บไว้ได้นานหลายวัน แต่อย่านำไปแช่ในช่องแช่แข็งเด็ดขาด ไม่งั้นลักษณะของเนื้อเต้าหู้จะเปลี่ยนไป เหมือนจะมีแกนน้ำแข็งอยู่ในเต้าหู้ ส่วนเต้าหู้ทอดเก็บได้ในตู้เย็นช่องธรรมดาแต่ไม่นานก็จะขึ้นรา ดังนั้นการจะประกอบอาหารจากเต้าหู้ก็ไม่ควรซื้อเต้าหู้ในปริมาณที่มากมาเก็บตุนไว้ เพราะรสชาติและกลิ่นของเต้าหู้จะเปลี่ยนไป ขอบคุณ : isnhotnews หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 11, 2013, 10:16:16 AM วิธีคั่วพริกแห้งไม่ให้มีกลิ่นฉุน
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img9/148700.jpg) ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่บ้าน มักจะ คั่วพริกแห้ง ไว้ทานเอง เพราะบางทีพริกคั่วที่ซื้อมาจากที่ตลาดอาจจะขึ้นราหรือว่าไม่สะอาด พริกคั่วเป็นเครื่องปรุงรส ที่คุณแม่บ้านมักจะคั่วไว้ทานเอง เพราะพริกที่คั่วเองนั้นจะ ไม่ไหม้ และมีกลิ่นหอม ได้สีสวยตามที่เราต้องการ แต่ก็มีแม่บ้านบางคนที่หาซื้อพริกที่คั่วมาแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามา คั่วพริก เอง แถมยังคั่วพริกทีไรก็มีกลิ่นฉุนรบกวนผู้อื่นทำให้ ไอ และ จามอยู่เสมอ มีเคล็ดลับในการ คั่วพริก ไม่ให้มีกลิ่นฉุนมาฝากคุณแม่บ้านเพียงแค่ใช้น้ำมันพืชทาลงในกระทะที่จะ คั่วพริก ให้ทั่ว แล้วเปิดไฟอ่อน ๆ แล้วนำพริกไปคั่วปกติ เพียงเท่านี้คุณแม่บ้านก็จะได้พริกคั่วที่น่าทาน แล้วกลิ่นพริกคั่วยังหอม และไม่ส่งกลิ่นฉุนรบกวนผู้อื่นทำให้ ไอ หรือ จามด้วย ขอบคุณ ISNHOTNEWS หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 01, 2013, 09:49:16 AM เกร็ดน่ารู้ วิธีบำบัด เด็กสมาธิสั้น
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img0/149860.jpg) 1. อย่าเปิดทีวี ให้มีเสียงดังจนเกินไป หรือสภาพแวดล้อมในบ้านต้องไม่วุ่นวายหรือมีการทะเลาะกันบ่อยครั้ง 2. หามุมสงบสำหรับเด็ก เพื่อให้เกิดสมาธิในการทำการบ้าน 3. มีการสื่อสารที่สั้น กระชับ ชัดเจน หากไม่แน่ใจให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่งสอนไปคืออะไรบ้าง 4. อย่าทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย 5. ส่งเสริมจุดแข็งข้อดีในตัวเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดี และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง 6.จัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้ได้ใช้เวลาว่างอย่างมีประโยชน์ และใช้พลังงานส่วนเกินอย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เช่น ออกกำลังกาย หรือเล่นดนตรี ตามที่เด็กสนใจ ที่สำคัญ ผู้ปกครอง ควรดูแลเอาใจใส่บุตร-หลาน อย่าปล่อยให้เด็กแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ขอบคุณ sakid.com หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 14, 2013, 08:45:01 AM 3 ผักผลไม้ ดับกลิ่นปาก
(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img7/150198.jpg) ปัญหากลิ่นปากนอกจากจะลดทอนความมั่นใจ ยังบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องแก้โดยด่วน หากยังหาคำตอบไม่ได้ว่าปัญหามาจากไหน ควรเริ่มแก้ที่อาหารการกินและการขับถ่ายเป็นเรื่องแรกๆ วันนี้เราหอบหิ้วผลไม้ไฟเบอร์สูงมาฝากค่ะ การกินอโวคาโดเป็นวิธีง่ายๆ อย่างหนึ่งค่ะ ที่ช่วยลดปัญหานี้ได้ เพราะเนื้อของอโวคาโดจะช่วยกำจัดอาหารที่เน่าเสียตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปากให้หมดไป นอกจากนี้ก็อยากให้ลองน้ำยาบ้วนปากสูตรเปรี้ยวซ่าแบบธรรมชาติดังต่อไปนี้ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มี น้ำคั้นจากขิงสด 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา น้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมให้เข้ากัน กลั้วปากวันละครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า ส่วนเรื่องการปรับระบบขับถ่ายให้สมดุลนั้น ตัวช่วยที่ดีที่สุด ก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพดีต้องดูแลจากภายในค่ะ ที่มา .. ชีวจิต หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 01, 2013, 01:20:33 PM ถ้าสาวๆ มีกลิ่นตัวคงดูไม่ดีแน่..มาดูหลากวิธีหยุดกลิ่นไม่พึงประสงค์
ปัญหา "กลิ่นตัว" เกิดจากการที่เรามีเหงื่อออกมาก โดยร่างกายเราจะมี 2 ส่วนที่เหงื่อออกมาก นั่นคือ บริเวณฝ่ามือ-ฝ่าเท้า ซึ่งลักษณะเหงื่อเป็นน้ำใสๆ มีกลิ่นเล็กน้อย และบริเวณข้อพับ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งเป็นเหงื่อที่มีกลิ่นเหม็นกว่า มีความหนืดกว่า ซึ่งกลิ่นเหม็นนั้นเป็นเพราะความอับชื้นและมีการหมักหมมร่วมกับแบคทีเรีย เหงื่อที่ออกมากผิดปกติจนเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์จำแนกได้เป็น 3 ประเภท 1. เกิดจากพันธุกรรม 2. เกิดจากโรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ วัณโรค คอหอยพอก โรคหัวใจ โรคทางสมอง หรือแม้กระทั่งอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน และ 3. ไม่สามารถหาสาเหตุได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมอย่างสภาพอากาศร้อนก็เป็นตัวเร่งให้เหงื่อออกมาก โดยจะไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ หลากวิธีหยุดกลิ่นไม่พึงประสงค์ 1. เริ่มจากการดูแลรักษาความสะอาดและอาบน้ำ ซึ่งอาจใช้สบู่ฟอกตามบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อเพื่อลดแบคทีเรียที่ก่อ ให้เกิดกลิ่นได้ 2. การใช้น้ำยาดับกลิ่นแบบดีโอดูแรนท์ (deodorant) ซึ่งช่วยลดกลิ่นแต่ไม่ช่วยลดเหงื่อ ซึ่งการใช้ยาทาประเภทนี้ต้องระวังเพราะในบางคนอาจเกิดอาการแพ้และทำให้เกิด ผื่นดำได้ อย่างไรก็ดีไม่แนะนำการใช้โรลออนที่เราส่วนใหญ่คุ้นเคย เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้แล้วทำให้เกิดอาการดำได้ หากปัญหากลิ่นตัวที่มีสาเหตุจากเหงื่อออกมากก็ควรหาวิธีรักษาเพื่อระงับ เหงื่อดีกว่า 3. การใช้ยาระงับเหงื่อหรือแอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ซึ่งจะทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ แต่ไม่ควรใช้ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมเพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ ดำจากผื่นได้ โดยประเภทที่มีขายตามท้องตลาดนั้นมักผสมน้ำหอม ทางที่ดีจึงควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อได้ 4. การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า โดยแช่น้ำแล้วใช้กระแสไฟฟ้าผลักเพื่อให้เหงื่อออกน้อยลง 5. ฉีดโบทอกซ์ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วว่า สามารถรักษาอาการเหงื่อออกมากได้ โดยวิธีนี้จะไปยับยั้งสารที่หลั่งออกมาควบคุมระบบประสาทที่ทำให้เกิดการ หลั่งของเหงื่อ มีผลข้างเคียงน้อย ลดเหงื่อได้ 83% และหลังรับการรักษาแล้วจะแก้ปัญหาเหงื่อออกมากได้นาน 6-8 เดือน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกต่อผู้ที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ 6. ผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งได้ผลดีแต่อาจทำให้เกิดแผลได้ 7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม ทุเรียน ชะอม สะตอ เป็นต้น หากไม่มั่นใจว่า กลิ่นตัวของเรานั้นเป็นปัญหาสำหรับผู้อื่นหรือไม่ ลองสอบถามคนรอบข้างที่ไว้ใจได้ หรือหากเป็นผู้ที่เหงื่อออกมาก และกลิ่นตัวแรง จนยาระงับกลิ่นใดๆ ก็ไม่สามารถหยุดปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ลองปรึกษาคุณหมอดูเพื่อหาสาเหตุให้พบและเข้าไปแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง ที่มา ศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานี หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 13, 2013, 11:46:13 AM เคล็ดลับทำความสะอาดทอง
(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_267560__12102012042004.jpg) เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ไม่ว่าจะเป็น สร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู แหวน ใส่ไปนาน ๆ เข้า ก็อาจจะมีหมองจนดูไม่น่ามอง หากยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้ วิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ให้ใส่อาบน้ำ ให้ทองได้ถูกน้ำสบู่บ้าง เครื่องทองก็จะไม่ค่อยหมองแล้ว หรือให้แช่ในน้ำมะนาวข้ามคืน แล้วใช้แปรงขนอ่อนขัดเบา ๆ เสร็จแล้วเช็ดให้แห้ง นำไปคลุกกับแป้งฝุ่น แล้วใช้ผ้านุ่มเช็ดซ้ำ ก็จะได้ทองแวววาวคืนมา หรือจะลองขัดกับน้ำมะขามเปียกก็ได้ แล้วล้างน้ำเปล่าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ก็ได้ผลเช่นกัน อีกวิธีที่ปลอดภัยสุด ๆ ให้ใช้ผ้านุ่มเช็ดฝุ่นที่ติดตามทองออก แล้วแช่ในน้ำอุ่นที่ผสมกับน้ำยาซักล้างอ่อน ๆ หากสีทองหมองลง ควรล้างด้วยน้ำยาล้างทอง หรืออาจใช้น้ำยาล้างจานผสมน้ำอุ่น ถูเบา ๆ หากสีหมองมาก และเป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายละเอียด ควรแช่ในน้ำเดือด ผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตหนึ่งหยิบมือ แช่ทีละชิ้นประมาณ 30 วินาที จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้านิ่ม แต่ในกรณีที่เครื่องประดับมีพลอยตกแต่งอยู่ ไม่ควรใช้วิธีนี้ เพราะอาจทำให้พลอยร้าวได้ เคล็ดลับต่อมาให้ลองใช้แอมโมเนียครึ่งถ้วย ผสมกับนํ้าอุ่น 1 ถ้วย แล้วแช่ไว้ 10-15 นาที ใช้แปรงขนอ่อนขัด ล้างน้ำให้สะอาด เช็ดให้แห้ง เพียงเท่านี้เครื่องประดับทองคำ ก็จะสุกใส น่าสวมใส่แล้ว แต่ต้องหลีกเลี่ยงวิธีนี้หากเครื่องประดับชิ้นนั้นมีไข่มุกอยู่ด้วย เพราะแอมโมเนียจะทำลายผิวของไข่มุก อย่าใส่เครื่องประดับทองคำลงว่ายน้ำในสระหรือแช่อ่างจากุชชี่ เพราะคลอรีนในน้ำอาจทำลายผิวของทอง หรือทำให้หนามเตยที่ไว้เกี่ยวคลายออกได้ นอกจากนั้นโลชั่นหรือสเปรย์ต่าง ๆ ก็มีส่วนทำให้ความแวววาวของทองคำลดลงเช่นกัน เพราะทำให้เกิดชั้นไขมันเคลือบผิวทองไว้ ดังนั้นเวลาใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ ระวังอย่าให้โดนเครื่องประดับที่ทำจากทอง เวลาที่เก็บเครื่องประดับที่เป็นทองคำ ควรหุ้มด้วยสำลีหรือผ้านิ่ม ๆ ห่อแยกชิ้น ไม่เช่นนั้น แต่ละชิ้นอาจขูดขีดกันจนมีตำหนิได้ แล้วเก็บใส่กล่องที่เหมาะสมอีกทีหนึ่ง วิธีทำความสะอาดแว่นตา ที่มาข้อมูล 9ddn.com หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 13, 2013, 11:50:41 AM วิธีทำความสะอาดแว่นตา
(http://guru.sanook.com/picfront/pedia/resize_187437__22092008012357.jpg) การทำความสะอาดแว่นตา นอกจากจะทำให้กระจกแว่นตาดูใส มองเห็นอะไรชัดเจนไม่มีฝุ่นเกาะแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างบุคลิกที่ดีแก่ผู้สวมใส่ด้วย การทำความสะอาดแว่นตาสามารถทำได้หลายวิธี วิธีแรก ให้ใช้แป้งฝุ่นโรยไปที่เลนส์ของแว่นตา จากนั้นใช้ผ้านุ่มเช็ด ส่วนการทำความสะอาดกรอบแว่นนั้นให้ใช้น้ำอุ่น 1 ขัน ผสมกับเมทิลแอลกอฮอล์ 1 ช้อนโต๊ะให้เจือจาง นำสำลีมาพันปลายไม้จิ้มฟัน จากนั้นชุบน้ำอุ่นที่ผสมไว้แล้วนำไปเช็ดทุกซอกทุกมุมของแว่นตาให้ทั่ว หากแว่นตาขุ่นมัว ขณะกำลังทำอาหาร โดยมีสาเหตุมาจากควันอาหาร ควันไฟหรือควันไอน้ำ ให้ล้างแว่นตาด้วยน้ำผสมสบู่ หรือน้ำยาล้างจานแล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นใช้ผ้าซามัวร์หรือผ้าสักหลาดเช็ดให้แห้ง ส่วนแว่นตาที่มีไอน้ำจับขณะที่อากาศหนาวหรือเย็นจัดนั้นให้ใช้น้ำสบู่ล้างสัปดาห์ละครั้ง ถ้าอยากมีแว่นตาที่สะอาดน่าใส่ ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ ข้อมูลจาก : http://www.aksorn.com/library/library_detail.php?content_id=1911&Type_id=21 (http://www.aksorn.com/library/library_detail.php?content_id=1911&Type_id=21) ที่มา : เดลินิวส์ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 15, 2013, 09:50:54 AM (http://mpics.manager.co.th/pics/Images/556000010636601.JPEG) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 28, 2013, 07:12:05 PM (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1236407_175695712614463_771572412_n.jpg) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 25, 2013, 09:33:29 AM 5 เคล็ดลับกับการเลือกใช้หลอดไฟ
แสงสว่างเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับในปัจจุบัน ทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวัน และในภาคธุรกิจอื่นๆ หากเรามาดูตัวเลขของค่าไฟในแต่ละเดือนคงจะเห็นได้ว่ามีมูลค่ามากมายเพียงใด แต่หากเรามีการใช้หลอดที่ประหยัดพลังงานแล้ว เราจะสามารถประหยัดการใช้ไฟฟ้าได้ไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้เรามีเคล็ดลับที่จะช่วยคุณลดการใช้พลังงานง่ายๆ ให้กับคุณ Tip 1 เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ LEDในปัจจุบันนี้กระแสของหลอด LED กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นหลอดไฟแห่งอนาคตก็ว่าได้ ซึ่งเวลาที่เราเลือกหลอดไฟบริเวณทางเท้า ทางเดิน หรือระเบียงบ้าน ก็ควรจะเลือกใช้ LED ที่มีประสิทธิภาพ และกินไฟน้อย ซึ่งสามารถไว้วางใจได้ว่ามีอายุการใช้งานที่ยาวนาน Tip 2 หลอด CFL ยังคงเป็นตัวเลือกที่สำคัญสำหรับหลอดไฟคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (Compact Florescent Lights : CFL) โดยทั่วไปแล้วก็ถือว่าเป็นหลอดที่ประหยัดพลังงานที่ไดรับความนิยมตามบ้าน เรือนทั่วไปอยู่แล้วนั้น โดยปกติหลอดไฟที่ใช้งานภายนอกจะมีอายุการใช้งานที่นานกว่าหลอดภายในอาคาร อย่างไรก็ตามแล้วการเลือกหลอดแบบ CFL มาใช้ภาพนอกอาคารจะสามารถลดการใช้พลังงานและค่าใช้จ่ายได้มากกว่า Tip 3 วางแผนการให้แสงสว่างครอบคลุมมากที่สุด เราควรมีการวางแผนในขั้นตอนการติดตั้งหลอดไฟในบริเวณต่างๆ ที่เราต้องการให้เกิดแสงสว่างให้ครอบคลุมมากที่สุด เพื่อให้เกิดการติดตั้งหลอดไฟน้อยลง และสามารถลดการใช้พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย Tip 4 ติดตั้งระบบควบคุมแสงสว่าง ติดตั้งระบบควบคุมเวลาเปิด-ปิด และระบบเซนเซอร์แสงสว่าง ที่จะเป็นระบบควบคุมแสงสว่างภายในอาคาร ให้สามารถปิดไฟได้อัตโนมัติ หรือเปิด-ปิดอัตโนมัติเมื่อมีคนเข้าออกในอาคาร Tip 5 ใช้แสงสว่างจากโซลาร์เซลล์ เรื่องของโซลาร์เซลล์ในเวลานี้นับเป็นประเด็นยอดฮิตที่ทุกคนตื่นตัวกัน โดยเฉพาะกับประเทศที่มีอากาศร้อนอย่างประเทศไทย ซึ่งหลายบริษัทได้มีการนำเข้าหลอดไฟพลังงานแสงอาทิตย์มาวางจำหน่าย ซึ่งมีความน่าสนใจเพราะใช้แผงโซลาร์เป็นแหล่งรับพลังงานจากแสงอาทิตย์แทนการ ใช้ไฟฟ้า และหลอดเหล่านี้สามารถใช้งานได้เป็นอย่าดีภายนอกอาคาร หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 06, 2014, 08:53:36 PM เคล็ดลับ...รักษาส้นเท้าแตก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยา ลัย อธิบายว่า ปัญหาผิวแห้งแตกระแหงโดยเฉพาะบริเวณส้นเท้ากำลังกลายเป็นปัญหาเพราะแฟชั่น รองเท้าเปิดส้น สาว ๆ หลายคนต้องการเปิดเผยบริเวณส้นเท้าที่เรียบสะอาด จึงกลายเป็นภาระที่ต้องรักษาผิวส้นเท้าให้อยู่ในสภาพปกติ เพื่ออวดผู้อื่นได้ แต่หลายคนมีปัญหาผิวแห้งโดยพันธุกรรม ผิวหนังกำพร้าชั้นขี้ไคลของฝ่าเท้าจะหนา และสูญเสียน้ำจากผิวกว่าปกติ ผิวจะไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ผิวจึงแห้งแตก ถ้าผิวแห้งมากผิวจะแตกเป็นร่องลึกกลายเป็นร่องสะสมของคราบสกปรก ถ้าใช้สบู่ล้างขัดบ่อย ๆ ก็จะยิ่งทำให้คุณภาพของหนังขี้ไคลเสียเพิ่มขึ้น ผิวหนังจึงไม่สามารถซ่อมแซมได้ทันจึงทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น และด้วยวัฒนธรรมไทยจะเดินเท้าเปล่าในบ้านการสะสมของคราบสกปรกในร่องผิวก็จะ มากขึ้นตามมาอีก จำเป็นต้องทำความสะอาดแบบรุนแรงโดยการขัดด้วยหิน หรือทำความสะอาดด้วยแปรงขัด ผิวจะดูสะอาดเพียงชั่วคราว ผิวแห้งก็ยังคงอยู่ ถ้าไม่มีการปกปิดผิวหนังบริเวณส้นเท้าก็จะสกปรกเหมือนเดิม หลายท่านอาจใช้ครีมหลังการขัดล้าง แต่ก็ยังไม่พอที่จะฟื้นฟูสภาพผิวได้ และครีมอาจช่วยดูดซับความสกปรกเพิ่มขึ้นอีก นอก จากพันธุกรรมแล้ว ยังพบปัจจัยอื่นช่วยเสริมปัญหาผิวแห้งเช่น การทำงานในห้องปรับอากาศผิวจะแห้งเพราะความชื้นในห้องปรับอากาศจะต่ำกว่าภาย นอก หรือการทำความสะอาดผิวด้วยน้ำอุ่นและสบู่เป็นเวลานานจะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยง ผิวออกเกินความจำเป็น การแก้ไขผิวแห้งจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ส่งเสริมให้ผิวแห้งด้วย สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ไม่ปล่อยให้น้ำหนักตัวมากเกินไปจนอ้วน เพราะจะทำให้ส้นเท้ารับน้ำหนักมากจนส้นเท้าแตก ไม่ปล่อยให้ผิวแห้ง เพราะมีแนวโน้มที่จะทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่าย หลีกเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าส้นเปิด ถ้าต้องเดินบนพื้นเย็นๆ เป็นประจำ หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่า โดยไม่สวมรองเท้าเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณส้นเท้าเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวจะเริ่มหนาแล้วแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดผิวหนังส่วนนี้แห้งและแตก หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นมาก ทำให้ผิวแห้งง่าย เช่น ทำงานในห้องแอร์ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ทาครีมที่เท้าและส้นเท้าด้วย หลีกเลี่ยงการปล่อยให้เท้าสัมผัสน้ำบ่อยๆ หรือแช่น้ำนานๆ หลีกเลี่ยงการยืนเป็นเวลานานๆ บนพื้นเข็งๆ เช่น พื้นปูนซีเมนต์ โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวมาก เพราะจะทำให้ส้นเท้าแตกง่ายด้วยค่ะ สิ่งที่ควรทำ เท้าแตกเกิดจากการใส่รองเท้าเปิด ส้นนานๆ ด้วย เช่น รองเท้าแตะคีบ รองเท้าฟองน้ำ รองเท้าสาน ดังนั้นหันมาใส่รองเท้าหุ้มส้น โดยเลือกรองเท้าที่บุพื้นภายในที่นุ่ม สวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าลำลองใส่ในบ้านบ้างค่ะ แช่เท้าในน้ำสบู่ 10-15 ให้ผิวที่แห้ง แตก หยาบกร้านนิ่มลง แล้วใช้หินขัดถูส้นเท้าสัปดาห์ละครั้ง หลังอาบน้ำใช้ครีมนวดทาส้นเท้าให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนผิวชุ่มชื้น รักษาส้นเท้าแตก ด้วยสูตรธรรมชาติมากมายหลายสูตร เช่น... ทาด้วยน้ำมะนาวผสมดินสอพองหรือ ยางมะละกอ หรือถูด้วยสารส้มกับน้ำชุบสำลี หรือทายางต้นรัก หรือถูด้วยเปลือกกล้วยหอมก็ได้ แช่เท้าในน้ำสบู่ แล้วใช้วาสลีน 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูกถูส้นเท้า หรือบดสตรอเบอร์รี่ เติมน้ำมันมะกอกกับเกลือ นวดส้นเท้า หรือผ่าส้มเป็นแว่น 2 ผล น้ำมันพืช 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย นำน้ำมันพืชผสมกับเกลือ จุ่มส้มลงไป แล้วนำมาขัดส้นเท้า ต้มนมเติมน้ำมะนาวกับ กลีเซอรีน พอเย็นใช้ทาส้นเท้าก่อนนอน ใส่ถุงเท้าฝ้ายทับเพื่อลดอาการแตก จะบดกล้วยหอมสุกหรือหัวหอมใหญ่ให้ละเอียดก็ได้ แล้วทาส้นเท้าแตก ใช้ผ้าพัน ทิ้งไว้สักพักแล้วล้างน้ำออกค่ะ วิธีการรักษาและบรรเทาอาการส้นเท้าแตก ทาโลชั่นหรือน้ำมันเพื่อเพิ่มความ ชุ่มชื้นให้กับส้นเท้า โดยหลังจากที่ทาเสร็จแล้วให้สวมถุงเท้าหนาๆทันทีเพื่อเก็บกักความชุ่มชื้น ไว้ให้ได้มากที่สุด โดยให้ทาโลชั่นก่อนนอนและสวมถุงเท้าไว้ข้ามคทนเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ทำเช่นนี้จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน นำเปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่ส้นเท้าแตก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที สารอาหารในเปลือกกล้วยจะช่วยสมานส้นเท้าที่แตกได้เปป็นอย่างดี แช่เท้าในน้ำมะนาว โดยควรแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ลองทำตามขั้นตอนนี้ประมาณสัปดาห์ละครั้ง คุณจะสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ทำ ความสะอาดและบำรุงเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เมื่อกลับมาถึงบ้านให้แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมสบู่ประมาณ 15 นาที เสร็จแล้วให้เช็ดเท้าพอหมาด จากนั้นลองทาครีมสูตรพิเศษที่เราผสมขึ้นมาเอง โดยนำวาสลีนผสมกับน้ำมะนาวหนึ่งลูก ผสมให้เข้ากันแล้วชะโลมลงบนส้นเท้าที่แตก เพิ่มความอ่อนนุ่มให้กับเท้าด้วยกลีเซอรีนและน้ำกุหลาบ จะเห็นผลชัดเจนเมื่อทำเป็นประจำ แว็กซ์เท้าด้วยพาราฟิน ผสมพาราฟินกับน้ำมันเมล็ดมัสตาร์ด แล้วทาตรงส่วนที่มีรอยแตก ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออกในตอนเช้า ทำต่อเนื่องประมาณ 10-15 วัน จะเห็นผลที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน แถมท้ายด้วยวิธีการ ตัดเล็บ ให้ถูกวิธี เริ่ม ตัดเล็บตามแนวนอนก่อน จากทางด้านซ้ายหรือด้านขวาเข้ามากลางเล็บให้บรรจบกันตรงกลาง อย่าใช้วิธีการตัดเพียงครึ่งเดียวแล้วใช้มือดึงเล็บที่ติดอยู่ออกเอง ซึ่งเมื่อตัดตามนี้แล้ว เล็บจะเป็นปลายแหลมช่วงกลางเล็บพอดี ตะไบเล็บให้เรียบเสมอกัน ทำความสะอาดเศษเล็บและผงฝุ่น ออก และล้างเท้าด้วยน้ำสะอาด ทาโลชั่นหรือน้ำมันสำหรับนวดเล็บ บริเวณจมูกเล็บเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น missblendy.com หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2014, 10:11:35 PM (https://scontent-b-ams.xx.fbcdn.net/hphotos-ash4/l/t1/1510656_3841425089981_1963379369_n.jpg)
เคล็ดลับดูแลส้นเท้าแตก - เท้าแตกเกิดจากการใส่รองเท้าเปิดส้นนานๆ ด้วย เช่น รองเท้าแตะคีบ รองเท้าฟองน้ำ รองเท้าสาน ดังนั้นหันมาใส่รองเท้าหุ้มส้นโดยเลือกรองเท้าที่บุพื้นภายในที่นุ่มสวมใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าลำลองใส่ในบ้านบ้างค่ะ - แช่เท้าในน้ำสบู่ 10-15 ให้ผิวที่แห้ง แตก หยาบกร้านนิ่มลง แล้วใช้หินขัดถูส้นเท้าสัปดาห์ละครั้ง - หลังอาบน้ำใช้ครีมนวดทาส้นเท้าให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจนผิวชุ่มชื้น - รักษาส้นเท้าแตก ด้วยสูตรธรรมชาติมากมายหลายสูตร เช่น 1. ทาด้วยน้ำมะนาวผสมดินสอพองหรือยางมะละกอหรือถูด้วยสารส้มกับน้ำชุบสำลี หรือทายางต้นรักหรือถูด้วยเปลือกกล้วยหอมก็ได้ 2. แช่เท้าในน้ำสบู่ แล้วใช้วาสลีน 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1 ลูกถูส้นเท้า หรือบดสตรอเบอร์รี่เติมน้ำมันมะกอกกับเกลือนวดส้นเท้า หรือผ่าส้มเป็นแว่น 2 ผล น้ำมันพืช 1 ถ้วย เกลือทะเล 1 ถ้วย นำน้ำมันพืชผสมกับเกลือจุ่มส้มลงไปแล้วนำมาขัดส้นเท้า 3. ต้มนมเติมน้ำมะนาวกับกลีเซอรีนพอเย็นใช้ทาส้นเท้าก่อนนอนใส่ถุงเท้าฝ้ายทับเพื่อลดอาการแตกจะบดกล้วยหอมสุกหรือหัวหอมใหญ่ให้ละเอียดก็ได้แล้วทาส้นเท้าแตกใช้ผ้าพันทิ้งไว้สักพักแล้วล้างน้ำออกครับ หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:53:12 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1911686_825035207523354_674429148_n.jpg) 100 เคล็ดลับคู่บ้าน-ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอนที่1 | รู้ไว้ใช่ว่า วันนี้มีสิ่งดีๆมาบอก 100 เคล็ดลับคู่บ้าน-ประจำบ้านที่ควรรู้ | รู้ไว้ใช่ว่า วันนี้ผมมีเคล็ดลับดีๆที่ต้องมีไว้ใช้ประจำบ้านมาฝาก เป็นสาระพัดความรู้แบบหลากหลาย เอาไว้แก้ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในทุกๆบ้าน ลองอ่านแล้วนำไปปฏิบัติดูครับ มีทั้งหมด 100 เคล็ดลับ มันยาวหลายหน้า ผมจึงขอนำเสนอเป็นตอนๆ ตอนละ 20 เคล็ดลับ ใช้แล้วได้ผลก็ช่วยกันบอกต่อนะครับ 100 เคล็ดลับคู่บ้าน-ประจำบ้านที่ควรรู้ | รู้ไว้ใช่ว่า 1. โรงรถมี กลิ่นอับ มาก จะขจัดกลิ่นออกได้โดยโรยหญ้าที่เพิ่งตัดมาใหม่ ๆ ลงบนพื้น โรงรถ แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ต้นหญ้าจะดูดเอากลิ่นอับในโรงรถออกไปจนหมด 2. ถ้าต้องการอบผ้า 2-3 ชิ้นให้แห้งเร็วขึ้นทำได้โดยหา ผ้าขนหนู สะอาด ๆ ใส่ลงไปในเครื่องด้วยเพราะผ้าขนหนูจะไปช่วย ดูดซับ ความชื้น ทำให้ผ้าแห้งเร็วขึ้นอีก 3. วิธีทำให้ กรอบกระจกเงา หรือ กรอบกระจก รูปภาพ มองดูใหม่เสมอ ทำได้โดยการใช้ผ้าชุบ น้ำมันสน แล้วทาบริเวณกรอบไม้ รอจนแห้งสนิท กรอบจะมองดูใหม่ทันที 4. วิธีล้างคราบสกปรกที่ แก้วเจียระไน ทำง่าย ๆ คือหา เปลือกฝรั่ง ใส่ลงไปในแก้วเจียระไน แช่ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้แก้วจะดูใสสะอาด 5. วิธีทำความสะอาด เครื่องเคลือบ ที่ทำด้วย ทองเหลือง มีวิธีการทำง่ายๆ คือนำเอา หัวหอม มาต้มในน้ำเดือด แล้วนำมาขัดลงบนเครื่องเคลือบเพียงเท่านี้ เครื่องเคลือบ จะมองดู ใหม่สะอาดหมดจดทีเดียว 6. วิธีการ ขจัด คราบไขมัน ที่ติดรอบท่อ อ่างล้างจาน ซึ่งถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะเป็นเหตุให้ ท่ออุดตัน ได้ มีวิธีทำคือ นำ เกลือแกง ใส่ลงไปในท่อ 2-3 ช้อน จากนั้นนำ เบกกิ้งโซดา หรือ ผงฟู ต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงไป ไขมัน ที่ อุดตัน ก็จะหลุดออกไปหมด 7. วิธีขจัดพวก มด แมลง มาขึ้นถังขยะทำได้ง่ายๆ โดยหยด แอมโมเนีย ลงข้างๆ ถังขยะ สักเล็กน้อย กลิ่น แอมโมเนีย จะทำให้ มด แมลง ไม่กล้าเข้ามาใกล้ถังขยะอีก 8. การรักษา เครื่องมือทำสวน ที่เป็นโลหะไม่ให้ ผุกร่อน ได้ง่ายมี วิธีการรักษา โดยใช้ วาสลิน ทาผิวของโลหะทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จแล้ว และนำมาทำความสะอาดอีกครั้ง 9. การใช้ เตาแก๊ส แบบประหยัด ทำได้โดยปรับ เปลวไฟ ให้เป็น สีน้ำเงิน เสมอ และไม่ควรเปิดไฟ แก๊ส ให้สูงกว่าก้นหม้อด้วยจะทำให้หม้อร้อนช้า ควรปรับระดับให้พอดีกับก้นหม้อ 10. วิธีดับ กลิ่นเหม็น ใน ถังขยะ ไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้านหรือในบ้านให้หมดกลิ่นได้ทำได้โดยใส่ เปลือกมะนาว หรือเปลือกส้ม เขียวหวาน ส้มโอ ก็ได้ใส่ลงไปใน ถังขยะ กลิ่นส้ม จะไปลด กลิ่น ลงทำให้มีกลิ่นน้อยลง 11. การ ขัด รอยแมลงวัน บนกระจกมีเคล็บลัดคือ ใช้ผง กาแฟคั่ว หนึ่งช้อนผสมกับ น้ำมันก๊าด หนึ่งลิตร และใช้เศษผ้าชุบเช็ด กระจก รอยแมลงวัน ก็จะหมดไป 12. หากต้องการ ทาสีห้องใหม่ แต่กลัวว่าห้องจะมีแต่กลิ่นเหม็นของสี อยู่หลายวันมี วิธีขจัดกลิ่นเหม็น ของ สี คือก่อนจะ ทาสี ให้ผสมน้ำ วานิลลา 1 ช้อนชาต่อสี 1 แกลลอน คนให้เข้ากันแล้ว จึงนำไปทาห้อง สีที่ ทาใหม่จะ ไม่มีกลิ่นเหม็น เป็นเด็ดขาด 13. วิธีการป้องกัน ไม่ให้ถุงใน เครื่องดูดฝุ่น โดนแมลงกัดเป็นรูคือ นำ การบูร หรือ ลูกเหม็น ใส่เข้าไปใน ถุงดูดฝุ่น สัก 1 ก้อน นอกจากป้องกัน แมลง แล้วยังป้องกัน กลิ่นอับ อีกด้วย 14. แก้ปัญหา ยุง ไปไข่ทิ้งไว้ในแท็งก์น้ำ ทำให้มี ลูกน้ำ ว่ายวนอยู่ในแท็งมีวิธีทำคือ นำ อิฐแดง ๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างมาเผาไฟให้ร้อน ๆ แล้วเอาใส่ลงไปในแท็งก์น้ำทันที เพียงเท่านี้ยุงจะไม่กล้าเข้าไปไข่ทิ้งไว้อีกเลย 15. วิธีกำจัด ต้นหญ้า ที่ขึ้นไม่ถูกที่ ทำได้โดยใช้ เกลือ โรยตรงส่วนที่ต้นหญ้าขึ้น เหตุเพราะเกลือจะไปทำให้ดินตรงที่ต้นหญ้าขึ้นอยู่เค็มจึงทำให้ต้นหญ้าตายในที่สุด 16. น้ำประปา ที่มี กลิ่น คลอรีน แรงมากมี วิธีกำจัดกลิ่น ให้หมดไปโดยฝานมะนาวบางๆ ลงไปในน้ำ มะนาวจะช่วยดูดกลิ่น คลอรีน ให้หมดไป และทำให้น้ำดื่มได้อีกด้วย 17. ขอบยางประตูตู้เย็น มี รา ขึ้น จะมีวิธีลบราออกได้โดยใช้ผ้าชุบ น้ำส้มสายชู แล้วนำ ไปถูตรง ขอบยางประตู ตู้เย็น ที่เป็นรา ราก็ออกไปได้โดยง่ายดาย 18. ขจัดปัญหา หมา แมว ฉี่และอุจจาระไม่เลือกที่ทำได้โดยการโรย พริกไทยป่น ลงไป บนที่มันเคย ฉี่ หรือ อุจจาระ ไว้ เพียงเท่านี้หมา แมวก็จะดมกลิ่นหาที่ที่มันเคยฉี่และ อุจจาระไม่เจอ เหตุเพราะ พริกไทย ป่นจะไปดับกลิ่นหมด ทางที่ดีควรสอนให้มันฉี่และอุจจาระ ในห้องน้ำ หรือบนกระดาษที่เราควรจะวางไว้ให้จนเคยชิน 19. การรักษา ไม้กวาดดอกหญ้า ที่ซื้อมาใหม่ให้ใช้ไปได้นาน ๆ ทำได้โดยการจุ่ม ไม้กวาด ดอกหญ้า ใน น้ำเกลือ ร้อนๆ ขนของไม้กวาดจะเกาะตัวกันเวลาใช้จะทนทานไม่ขาดง่าย 20. ตะปู ที่ตอกไว้ข้างฝาคอนกรีตสำหรับแขวนรูปหลวม มีวิธีแก้ไขง่ายๆ คือ ใช้ สำลี พันตะปูชุบ กาว และตอกเข้าไปใหม่ กาวที่สำลีจะยึดติดกันแน่น ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://j-b-t.blogspot.com/ (http://j-b-t.blogspot.com/) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:53:57 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1904111_825036467523228_503504703_n.jpg) อ่านต่อ 100 เคล็ดลับคู่บ้าน-ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอนที่2 | ความรู้รอบตัว มาติดตามต่อตอนที่ 2 อีก 20 เคล็ดลับ จากทั้งหมด 100 เคล็ดลับ ตอนที่แล้วก็มีวิธีทำให้หมาไม่มาฉี่ ทำยังไงไม้กวาด ถึงจะใช้ได้นาน อ่าน 100 เคล็ดลับคู่บ้าน-ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอนที่2 | ความรู้รอบตัว 21. วิธีการขจัด กลิ่นเหม็นสาป ที่ติดอยู่ในกระติกน้ำแข็งทำได้โดยนำ เบกกิ้งโซดา มาผสม กับ น้ำร้อน และนำมาล้างถูกระติกน้ำให้ทั่ว แล้วล้างน้ำอีกครั้ง กลิ่นสาป ก็จะหายไป 22. วิธีการเก็บ สายยาง ที่ยาว ไว้โดยไม่เปลืองเนื้อที่ ทำได้โดยม้วนสอดเข้าไปใน ยางรถยนต์ อันที่ไม่ใช้แล้ว เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย 23. ขจัดปัญหา กลิ่นส้วม เหม็นคละคลุ้งไปทั่วบ้านคือใช้น้ำมันก๊าด ประมาณ 1 ขวดใหญ่ มาเทราดลงไปในคอห่านแล้ว เทน้ำตามลงไปเพื่อขจัดกลิ่นน้ำมันก๊าดให้หมด 24. วิธีป้องกันหมาแมวตัวโปรดมากัดแทะ เฟอร์นิเจอร์ ในบ้านคือใช้ น้ำมันยูคาลิปตัส หรือน้ำมันที่มีกลิ่นฉุนทาที่เฟอร์นิเจอร์ กลิ่นฉุนนั้นจะทำให้มันไม่กล้าเข้ามากัดแทะอีก 25. วิธีขจัดรอยเปื้อน ด่างดำบนเครื่องใช้ที่เป็นหนังคือ หยด น้ำมันสลัด สัก2-3 หยด ในน้ำสบู่ แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำที่ผสมไว้มาถู จากนั้นจึงซักในน้ำ สบู่ ธรรมดาอีกครั้ง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ต่อด้วยเช็ดให้แห้งผึ่งลมไว้ 26. วิธีการดึง สติกเกอร์ ที่ติดอยู่บนฝาห้องออกโดยไม่ทิ้ง คราบกาว ไว้ที่ฝาทำได้โดยใช้ น้ำมันพืช มาทาบน รูปสติกเกอร์ แล้วจึงค่อยๆ ดึงออกมา 27. การใช้ เครื่องซักผ้า แบบประหยัดที่สุดคือในการ ซักผ้า แต่ละครั้งควรจะซักผ้าในปริมาณที่มากที่สุด 28. การทำให้ ตู้เสื้อผ้า ของคุณหอมได้โดยที่ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อมาใส่ เพียงแต่คุณใช้เศษสบู่ที่จะทิ้งแล้วไปวางไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของ ตู้ กลิ่นสบู่นั้นก็จะหอมไปทั่วตู้เลย 29. วิธีทำความสะอาด ภาชนะอลูมิเนียม ให้ใสสะอาดเหมือนใหม่คือนำเอา เปลือกแอปเปิ้ล ต้ม 2-3 นาที แล้วใช้น้ำ ขัด ถู ภาชนะ อะลูมิเนียม ก็จะดูเงาวามเหมือนใหม่ 30. วิธีการใช้ เตาอบ ให้ใหม่อยู่เสมอคือ หลังจากใช้เตาอบแล้วควรเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง และทำใน ขณะที่เตายังอุ่น ๆ อยู่ เพราะจะเช็ดได้ง่ายกว่าในขณะที่เย็นแล้ว 31. วิธีขจัดรอยคราบ เหนียวบนผนังตู้เย็นคือ ใช้ น้ำมันพืช เทลงบนกระดาษเช็ดมือ แล้ว ถูจนสะอาด ทำสัก 2-3 ครั้ง น้ำมันพืชจะไม่ทำลายความเงาของตู้เย็นหรอก 32. วิธีขจัดกลิ่นเหม็น ของท่อระบายน้ำล้างจาน ให้หอมสดชื่นได้คือเท เบกกิ้งโซดา 1 ถ้วย ลงไปในท่อระบายน้ำทิ้งไว้ 5 นาที เทน้ำ ส้มสายชู ตามลงไปอีก 1 ถ้วย จะขจัด กลิ่นเหม็น ได้ดีจริงๆ 33. ในการใช้ยาขัดเฟอร์นิเจอร์ไม่ควรใช้ประเภท เช่น น้ำมัน ขี้ผึ้ง บ่อย ๆ เพราะอาจจะทำให้ผิวเฟอร์นิเจอร์เกิดความเสียหายได้ง่าย 34. ใน การทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ ที่เป็น ผ้าฝ้าย ให้ใช้ แปรงทาสี ด้ามใหม่ปัดตาม ซอกมุมเฟอร์นิเจอร์ไปพร้อมกันกับการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ทุกครั้ง 35. การทำความสะอาด ในซอกเล็กซอกน้อยของโคมไฟ ให้ใช้ เครื่องเป่าผม เป่าลมไปตาม ที่มีฝุ่นละอองจับแล้วเช็ดถูทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำอีกครั้ง โคมไฟก็จะดูใหม่เสมอ 36. วิธีลบคราบดวงๆ ที่ติดบนเฟอร์นิเจอร์คือ ให้ใช้ จุกไม้ก๊อก ถู ถ้าไม่ออกให้ใช้นิ้วมือแตะ ยาสีฟัน ผสมขี้เถ้าบูหรี่ถูอีกครั้ง จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเปื้อนซ้ำอีกครั้ง 37. การทำความสะอาด พื้นกระเบื้องยาง คือ ใช้ แปรงสีฟัน ชุบ ยาสีฟัน แล้วนำไปขัดถูบริเวณรอยเปื้อนให้แรงๆ จะทำให้ รอยเปื้อน หลุดออกไปได้โดยง่าย 38. วิธีการตอกฝาผนัง ตะปู โดยไม่ให้งอคือ ให้ทาปลายตะปูด้วยน้ำส้มสายชูหรือน้ำมันพืช ก่อนที่จะนำมาตอกฝาผนังจะตอกได้คล่องและไม่งอจริงๆ 39. วิธีการทาสีกำแพง ให้ติดอยู่ได้ ทนนาน คือ ก่อนที่จะ ทาสี กำแพงให้ล้างกำแพงให้สะอาด ด้วย น้ำมันสน เพื่อขจัดคราบสกปรกและสีที่ทาจะติดทนนานไม่ร่อนออกง่าย 40. วิธีแก้ปัญหาเฟอร์นิเจอร์ไม้โป่ง ออกมาคือ ให้วางผ้าชื้น ๆ ลงบนรอยที่โป่ง ใช้ เตารีด ร้อน ๆ ทับบนผ้า จะทำให้คืนสู่สภาพเดิม ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://j-b-t.blogspot.com/ (http://j-b-t.blogspot.com/) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:54:56 PM (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1920410_826042657422609_1912914112_n.jpg) 100 เคล็ดลับน่ารู้คู่บ้าน-ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอน3|ความรู้รอบตัว มาดูเคล็ดลับที่เหลือกันต่อครับ สำหรับรใครที่พึ่งมาดูตอนนี้ สามารถดูย้อนหลัง 100 เคล็ดลับคู่บ้านตอนที่ 1 100 เคล็ดลับ คู่บ้านตอนที่2 100 เคล็ดลับ คู่บ้านตอนที่3 100 เคล็ดลับคู่บ้านตอนที4 41. วิธีขจัดรอยขีดข่วน บน เฟอร์นิเจอร์ไม้ คือ ให้ใช้ผ้าแตะยาขัดรองเท้าที่สีเดียวกับไม้ แล้วถูตรงรอยแล้ว ใช้ผ้าขัดต่ออีกครั้ง รอยขีดข่วน ก็จะหายไป 42. วิธีการแก้ปัญหา เก้าอี้หวาย หย่อนคือ ถ้าอยากให้ตึงให้ล้างเก้าอี้หวายด้วย น้ำสบู่ ร้อนๆ แล้วล้างน้ำสบู่ออก นำออกตากแดดกลางแจ้งให้แห้ง หวาย ที่หย่อนจะตึงเหมือนเดิม 43. วิธีการทำความสะอาด พื้นบ้านไม้ให้เงางามอยู่เสมอคือ ให้ผสม น้ำส้มสายชู ครึ่งถ้วยต่อน้ำ 8 ลิตร จะช่วยขจัดเศษ ฝุ่นละออง และพื้นก็เป็นเงางามอีกด้วย 44. การรักษา เฟอร์นิเจอร์โลหะ ไม่ให้เป็น สนิม ได้ง่ายคือให้ เคลือบ โลหะ ด้วย ขี้ผึ้งขัดรถ เมื่อจำเป็นต้องเอาเฟอร์นิเจอร์โลหะไว้ตากน้ำค้าง จะได้ไม่ขึ้นสนิมได้ง่าย 45. วิธีการติดรูป โปสเตอร์บนกำแพงโดยไร้ร่องรอยเมื่อดึงภาพออกคือให้ใช้ ยาสีฟัน แทนกาวในณะที่ติดรูป เมื่อถึงเวลาดึงรูปออก ก็เพียงแค่ขัดยาสีฟันที่แห้งออกเท่านั้น ฝาผนังก็สะอาดแล้ว 46. ถ้าบังเอิญต้อง จัดงานเลี้ยง ที่มี ฟลอร์เต้นรำ แบบกะทันหัน ทำได้โดยโรย แป้งผง สำหรับ โรยตัวให้ทั่วก็จะแก้ขัดไปได้ด้วยดีทีเดียว 47. วิธีแก้ปัญหา หน้าต่าง ปิดและเปิดออกได้ยากคือ ให้เอา น้ำมันเครื่อง หยอดตรง รางอลูมิเนียม ให้ทั่วเพียงเท่านี้ก็จะทำให้เปิดและปิด ได้ง่ายขึ้นกว่าเก่า 48. วิธีป้องกันไม่ให้ มด ขึ้น ตู้กับข้าว คือ ใช้เศษผ้าหรือเชือกที่เป็นผ้าไปชุบน้ำมันเครื่อง แล้วบิดพอหมาด นำไปผูกไว้ที่ขาตู้กับข้าวทั้งสี่ขา มดก็จะไม่กล้าขึ้นแน่นอน 49. วิธีการไล่ยุง แบบง่าย ๆ คือ หา การบูร มาห่อด้วยผ้าแล้วมัดไว้กับหลอดไฟฟ้าที่อยู่ภายในบ้าน ความร้อนของไฟฟ้าจะทำให้การบูร ระเหย ออกไป และกลิ่นของการบูรจะช่วย ป้องกันยุง ไม่ให้มารบกวน 50. วิธีการไล่หนู แบบง่ายๆ และประหยัดเงินคือ นำไม้ยี่โถ ไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง เสร็จแล้วนำไปโรยตามซอกที่หนูชอบอยู่ เพียงเท่านี้หนูก็พากันขนย้ายครอบครัวหนีออกไปจากบ้านของคุณไปเลย 51. วิธีการกำจัดปลวก ที่ขึ้นบ้านแบบประหยัดคือนำ น้ำมันเครื่อง ที่ใช้แล้วมาราดให้รอบ บริเวณบ้าน เพียงเท่านี้ก็จะสามารถไล่ปลวกไม่ให้มารบกวนบ้านอีกต่อไป 52. การขัดพื้นกระดาน ให้เงาแบบโบราณคือ หา มะพร้าว มาผ่าครึ่ง ทุบกะลาตรงปากออก สักเล็กน้อย แล้วนำมาคว่ำลงกับพื้นกระดานขัดถูพื้นบ่อยๆ พื้นกระดาน จะมองดูเงางามเชียวแหละ 53. โฟม สามารถใช้เป็นประโยชน์ได้หลายอย่างเช่น ใช้ทำเป็นกาว อุดรอยรั่ว ของภาชนะได้เป็นอย่างดีคือ ก่อนนำมาใช้จะต้องเอาเศษโฟมหักเป็นชิ้นเล็ก แช่ น้ำมันทินเนอร์ ให้ละลาย เหนียวข้นแล้วนำไปอุดรอยรั่วปล่อยให้แห้ง ก็จะสามารถใช้ต่อไปได้อีกเป็นระยะเวลา ยาวนาน 54. วิธีการปรับ เสาทีวี ในบ้านด้วยตัวเองทำได้ง่ายๆ คือ หา กระดาษตะกั่ว หรือหา กระดาษฟอยล์ ที่ห่อปลาเผามาพันรอบๆ สายอากาศ ด้านหลังทีวีหลายๆ รอบ แล้วค่อยๆ รูดไปตามสาย เรื่อยๆ ให้มีคนคอยสังเกตภายในจอทีวีด้วย ถ้าภาพคมชัดก็ให้บีบ กระดาษตะกั่ว นั้นติดอยู่ กับสายตรงนั้นเลย ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย 55. วิธีขจัดสนิม บน ราวตากผ้า คือ หาเศษผ้ามาชุบน้ำส้มสายชูถูให้ทั่วแล้วใช้น้ำสบู่ถูทับอีกที ต่อจากนั้นเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ตามด้วยผ้าแห้งอีกรอบหนึ่ง สนิม บน ราวผ้า ก็จะหมดไป 56. การขจัด มีด ในครัวเรือนขึ้นสนิมคือ นำมีดนั้นมาถูกับมะนาวหรือหัวหอมก็ได้ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเช็ดให้แห้ง รับรองได้ว่ามีดทำครัวของคุณจะปราศจากสนิมมาขึ้นอีกเลย 57. การลับมีด ในครัวให้มีความคม และอยู่ได้นานๆ ทำได้โดยหยอด น้ำมันก๊าด สัก 2-3 หยดลงบน หินลับมีด แล้วลับไปตามปกติ รับรองมีดของคุณจะคมกริบเชียวละ 58. วิธีขจัดกลิ่นเหม็น อาหารในตู้เย็นติดน้ำดื่มทำได้โดยนำ กากกาแฟ หรือ กากใบชา ที่ชงหมดแล้ว นำมาใส่ไว้ในตู้เย็น กากกาแฟ หรือกากใบชา พวกนี้จะดูดกลิ่นอันไม่พึงปรารถนาให้หมดไปจาก ตู้เย็นของคุณ 59. ผงชันยาเรือ มีประโยชน์ช่วย ป้องกันมด ได้อีกแบบหนึ่งคือ นำ ผงชันยาเรือ มาโรยไว้ในขาตู้กับข้าว เพียงเท่านี้ มด ก็จะไม่มารบกวนขาตู้อีกเลย 60. วิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้า ให้สะอาดทำได้โดยใช้ แอมโมเนีย สัก2 แก้วผสม น้ำเย็น ธรรมดาครึ่งลิตรใส่ลงใน เครื่องซักผ้า แล้วเปิดเครื่องทำงาน แอมโมเนียจะช่วยไล่ คราบฝุ่น ออกจากตัวเครื่องและป้องกันการอุดตันได้ด้วย รู้มา JBTจึงบอกต่อ 100 เคล็ดลับน่ารู้คู่บ้าน-ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอนที่3 | ความรู้รอบตัว ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://j-b-t.blogspot.com/ (http://j-b-t.blogspot.com/) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 08:00:11 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1979559_826044104089131_335593080_n.jpg)
100 เคล็ดลับคู่บ้าน-ความรู้ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอน 4 / รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ต้องอ่านร้อยเคล็ดลับคู่บ้าน-ความรู้ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอนที่ 4 | รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ตอนสุดท้ายแล้ว สำหรับหนึ่งร้อยเคล็ดลับคู่บ้าน ประจำบ้านที่ทุกคนทุกบ้านต้องอ่านแล้วเก็บเป็นตำราไว้ใช้ในยามจำเป็น เพราะในร้อยเหตุการณ์ที่รวมรวมมานี้ ทุกบ้านต้องเจอแทบจะหมดทุกข้อ เมื่อเรารู้วิธีแก้ปัญหาแล้ว จะทำให้ประหยัดทั้งเงินและเวลา สามารถอ่านย้อนหลังตอนที่ผ่านมาได้ตรงลิ้งค์ท้ายหน้านี้ ร้อยเคล็ดลับคู่บ้าน-ความรู้ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอนที่ 4 | รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม 61. วิธีทำความสะอาด กรอบกระจกเงา หรือ กรอบรูปภาพ ให้มองดูใหม่คือ ให้เอา น้ำมัน ชุบผ้าทาตรงส่วนที่เป็นกรอบ แล้วรอจนแห้งแล้วจะมองดูใหม่ขึ้น 62. วิธีทำความสะอาดเครื่องแก้ว โดยไม่ต้องเช็ดคือ ใช้น้ำผสม แอลกอฮอล์ ล้าง น้ำผสมผสมแอลกอฮอล์จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกได้ง่าย ข้อสำคัญจะแห้งได้เอง โดยไม่ต้องเช็ดด้วยผ้าอีกครั้ง 63. วิธีขจัดกลิ่นเหม็นอับ ในตู้กับข้าวให้หอมสดชื่นคือ ใช้ ปูนขาว เล็กน้อยใส่ชามใบ ย่อมไปวางมุมใดมุมหนึ่งของตู้กับข้าว ทิ้งไว้ประมาณ3-4วัน กลิ่นอับชื้น ก็จะ ค่อยจางหายไป 64. วิธีทำความสะอาดคราบสกปรกที่ติดกระเบื้องปูห้องน้ำ มีวิธีทำคือ ราดด้วยน้ำให้ทั่ว แล้วเอา เกลือแกง โรยลงบนแปรงขัดทั้งห้องน้ำหรืออาจจะโรย เกลือ ที่ผ้าเปียกน้ำ แล้วขัดพื้นให้ทั่ว เพียงเท่านี้ ห้องน้ำกระเบื้องของคุณก็จะสะอาดเป็นเงางาม เลยทีเดียว 65. วิธีการทำความสะอาดผ้าม่านที่เป็นใยสังเคราะห์ ควรซักด้วยมือ ก่อนซักควรปัดฝุ่นให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นเทน้ำยาซักผ้าลงบริเวณที่เปื้อน แล้วจุ่มลงในน้ำยาซักผ้า ที่ผสมน้ำอุ่นแล้วอย่าบิด ควรคลี่ตากเพราะในเวลาแห้งจะได้ ผ้าม่าน ที่เรียบไม่ยับยู่ยี่ 66. วิธีทำความสะอาด งาช้าง ที่มีคราบฝุ่นติดอยู่เต็มไปหมดคือ นำมาถูด้วยมะนาวกับ เกลือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสบู่แล้วเอางาช้างวางไว้ กลางแดดทั้งๆ ที่ยังเปียกน้ำสบู่อยู่ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เมื่อแห้งแล้วขัดด้วย ผ้าสักหลาด ก็จะได้ งาช้าง สะอาดดังเดิม 67. วิธีทำความสะอาด คราบเหลือง ที่ติดตาม ภาชนะ เคลือบสีขาวมีวิธีทำคือ ใช้ น้ำมันพาราฟิน ถูรอยสกปรก น้ำมัน พาราฟิน จะช่วย ขจัด คราบสกปรก คราบเหลือง ของ ภาชนะเคลือบขาว ได้ 68. วิธีทำความสะอาด คราบดำ ของกาแฟที่ หม้อต้ม คือใช้ ผงซักฟอก ที่ใช้กับ เครื่องซักผ้า 1 ช้อนโต๊ะใส่น้ำจนเต็มหม้อ แล้วแช่ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงจึงล้างออก 69. วิธีขจัด รอยเปื้อน บน ผ้าปูโต๊ะ ให้สะอาดคือ ให้โรย เกลือป่น ตรงรอยเปื้อน ใช้น้ำ ร้อนราด แล้วนำไปแช่ใน น้ำนมสด ต้มด้วยไฟอ่อนๆแล้วจึงนำไปซักรอยที่เปื้อน 70. วิธีทำความสะอาด โป๊ะไฟ โคมไฟในส่วนที่ทำความสะอาดยากเช่น รอยจีบซอกเล็ก ซอกน้อย ให้ใช้ เครื่องเป่าผม เป่าลมไปตามที่มีฝุ่นละอองจับ แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าชุบ น้ำยาล้างจาน เช็ดตามด้วยผ้า สะอาดเช็ดอีกครั้ง เพียงเท่านี้โคมไฟที่ว่าหมองจะ ใหม่สะอาดทันที 71. วิธีทำความสะอาด ผ้าม่านพลาสติก ควรซักด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าที่ผสม น้ำอุ่น แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้ ตากลม ดีกว่า ตากแดด เพราะจะไม่ทำให้ผ้าม่านสี จืดจางลงไป 72. วิธีการทำความสะอาดกระจกเงา ส่องหน้าให้ใสคือ นำยาสีฟัน มาบีบใส่ไว้บน กระจก แล้วหาผ้าชุบน้ำมา เช็ดยาสีฟันที่บีบทิ้งไว้บนกระจก โดยถูให้ทั่วๆ กระจก แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง กระจกเงา ที่หมอง จะดูเงางาม เป็นประกายทันที 73. วิธีทำความสะอาดคราบน้ำมัน บน พื้นปูนซีเมนต์ ให้สะอาดเอี่ยมคือหา ขี้เถ้า ที่อยู่ใน เตาถ่าน มาโรยไว้บน คราบน้ำมัน ที่เปื้อนพื้นปูนซีเมนต์ให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ล้างออก ด้วยน้ำให้สะอาด ขี้เถ้าก็จะดูดคราบน้ำมันออกไปจนหมดเกลี้ยง 74. วิธีทำความสะอาดรอยดินสอหรือดินสอเทียนที่ติดบน วอลล์เปเปอร์ คือ ให้ใช้ เครื่องเป่าผมโดยใช้ลมร้อนจี้ตรงบริเวณนั้น แล้วหาผ้าฝ้ายชุบน้ำสบู่บิดให้ หมาด นำมาเช็ดถูตรงรอยเปื้อน รอยของสีนั้นก็จะจางหายไป 75. วิธีทำความสะอาด คราบตะกอน ที่ติด ฝักบัวอาบ น้ำคือ สำหรับแบบที่ไม่สามารถ ถอดออกได้ ให้หาถุงพลาสติกใส่น้ำส้มสายชูพอประมาณ เอา ฝักบัว ใส่ในถุงน้ำส้มสายชู แล้วผูกถุงให้แน่น ทิ้งไว้สักหนึ่งคืน นำออกมาล้างด้วยน้ำสะอาด หัวฝักบัว ก็จะสะอาดและปราศจาก คราบของตะกอน ทำให้น้ำไหลสะดวกขึ้น 76. วิธีทำความสะอาด สี ที่เปื้อนหน้าต่างผลมาจากการทาบ้าน ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสม น้ำเปล่า อัตราส่วน 2 : 1 ตั้งไฟให้ร้อนจัด ใช้ แปรงทาสี ที่สะอาดจุ่มส่วนผสมที่ยังร้อนอยู่ถูตรงบริเวณรอยเปื้อน รอยเปื้อน ดังกล่าวจะหลุดออกได้เอง 77. วิธีทำความสะอาดฝุ่นผงออกจาก หมอนอิง ใช้เครื่องอบผ้า ก็ได้ โดยตั้งไว้ที่ อุณหภูมิต่ำ ๆ แล้วใส่ ผ้าขนหนู ชุบน้ำบิดพอหมาดลงไปด้วย 78. วิธีทำความสะอาดพื้น ที่ทำด้วย ไวนิล ให้สะอาดหมดจดมีวิธีทำง่ายๆ คือ นำน้ำอุ่น ผสมกับน้ำส้มสายชูในอัตราส่วนเท่าๆ กัน แล้วนำมาล้าง พื้นไวนีล เช็ดให้แห้ง พื้น ก็จะสะอาดสดใสทีเดียว 79. วิธีทำความสะอาดคราบน้ำมัน ที่ติดอยู่บน วอลล์เปเปอร์ ใช้ แป้งฝุ่น ผสม น้ำยาทำความสะอาด แล้วนำมาป้ายตรงจุดที่สกปรก ปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง ใช้ผ้านุ่มๆ เช็ดออก คราบน้ำมัน ก็จะติดออกมาด้วย 80. วิธีทำความสะอาดพรม ที่ เปื้อนคราบน้ำมัน ให้เท เบกกิ้งโซดา ลงตรงบริเวณที่ เปื้อน คราบน้ำมัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง แล้วใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดตรง รอยเปื้อนน้ำมัน นั้น คราบ ก็จะจางหายไป 81. วิธีทำความสะอาดคราบสกปรกที่เปื้อน กระเบื้องเคลือบ ให้ใช้ส่วนผสมของ ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และ ครีมออฟทาร์ทาร์ อย่างละเท่ากัน ทาให้ทั่วแล้วล้าง ออกตามปกติ จะทำให้คราบสกปรกนั้นหายไป 82. วิธีทำความสะอาดคราบสนิม ออกจาก ถัง ทำได้โดยใช้น้ำมะนาวใส่ลงไปในบริเวณ ที่เป็นสนิม ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างออกคราบสนิมก็จะหลุดออกไปด้วย 83. วิธีทำความสะอาด พื้นโรงรถ ที่ เปื้อนน้ำมันเครื่อง ให้โรยด้วย ทราย ทิ้งไว้ 1 คืน กวาด ทรายออกไป คราบน้ำมัน ก็จะหลุดออกไปด้วยกับทรายนั่นเอง 84. วิธีทำความสะอาด หน้าต่างกระจก ให้ใสสะอาด ผสมน้ำกับน้ำส้มสายชู 1 : 2 ส่วน แล้วนำไปใส่ใน ขวดสเปรย์ นำไปฉีดบน หน้าต่าง กระจก แล้วใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์ เช็ดอีกที หน้าต่างกระจก จะใสจริง ๆ 85. วิธีทำความสะอาด เปียโน ควรใช้ แวกซี่ ทำความสะอาดดีที่สุดเพราะสารทำความสะอาด อย่างอื่นอาจจะทำให้ไม้โค้งงอได้ 86. วิธีทำความสะอาด เครื่อง ถ้วยชามคริสตัล ให้ดูเป็นประกายเงางาม ให้ใช้ ผ้าหนังสัตว์ เช็ด ผ้าผนังสัตว์ จะกำจัดฝุ่นผง และคราบน้ำออกได้ง่ายกว่าผ้าชนิดอื่นๆ 87. วิธีทำความสะอาด คราบเทียนไข ที่ติดแน่นออกจาก เชิงเทียน มีวิธีทำง่ายๆ คือ ใส่ เชิงเทียน ในช่องแช่แข็งทิ้งไว้สักครู่ จะสามารถเอา คราบเทียน ออกได้ง่ายและหมดจดทีเดียว 88. วิธีทำความสะอาด ทัปเปอร์แวร์ ให้หมดกลิ่นอับคือ ให้ผสม วานิลลาสกัด 2 ช้อนโต๊ะกับ น้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง แล้วใช้ผ้าชุบเช็ดให้ทั่ว กลิ่นอับ ต่างๆ จะจางหายไป 89. วิธีทำความสะอาด คราบตะกอน ที่ติดอยู่ใน แจกันดอกไม้ ให้ออกได้โดยง่ายคือ ใช้เม็ดทำความสะอาดฟันปลอม ใส่ไว้ในแจกันโดยให้มีน้ำติดอยู่นิดหน่อย เพื่อที่จะ ทำให้เกิด ฟองฟู่ แล้วดึงเอา ตะกอน ออกมา 90. วิธีทำความสะอาดผ้าม่าน ทำได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำจากป้ายที่ติดมากับผ้า ม่าน แล้วจุ่มลงไปในอ่างน้ำอุ่นที่ผสมกับเกลือ 1 ถ้วย แล้วแขวน ผ้าม่าน ให้แห้ง โดยแผ่ให้หมดเนื้อผ้า จะทำให้ผ้าม่านสะอาดและไม่ยับอีกด้วย 91. วิธีการทำความสะอาดตู้ปลา หรือ อ่างปลา ใช้ฟองน้ำชุบ เกลือป่น เช็ดถูให้ทั่ว เพราะ เกลือ จะช่วย ฆ่าเชื้อโรค ที่ติดอยู่ในตู้หรืออ่างปลา และทำให้ ตู้ปลา สะอาดหมดจด อีกด้วย 92. วิธีการทำความสะอาด คราบไขมัน ที่เปรอะเปื้อน จาน ชาม หม้อ และภาชนะในครัว ให้ ล้างด้วยน้ำอุ่นกับ น้ำยาล้างจาน จะทำให้การล้างเป็นไปได้ง่ายขึ้น 93. วิธีการทำความสะอาด กรอบรูปที่ปิดทอง ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดฝุ่นให้ออกก็พอแล้ว เพราะ ถ้าใช้ผ้าชุบน้ำจะทำให้ทองที่ปิดอยู่ลอกออกหมด 94. วิธีทำความสะอาด คราบรา ที่ติดอยู่บน หนังสัตว์ ที่ประดับตกแต่งบ้านเรือน ให้ใช้ผ้านุ่มๆ จุ่ม แอลกอฮอลล์ ผสมน้ำเช็ดให้ทั่วแล้วตากไว้ในที่ร่ม รอยเปื้อนคราบนหนังสัตว์จะหายไป 95. วิธีทำความสะอาด คราบเขม่า หรือ คราบควันไฟ ที่ติดอยู่หน้า เตาไฟ ให้ใช้ผ้าชุบ น้ำส้มสายชู ที่ต้มพอร้อน เช็ดถูตามคราบเปื้อนให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกครั้ง คราบสกปรก นั้น ๆ ก็จะออกไป 96. วิธีขจัด กลิ่น ลูกเหม็น ที่ติดเสื้อผ้า มีวิธีทำง่ายๆ คือ นำเสื้อนั้นไปพรมน้ำให้แค่ชุ่มพอ แล้วนำเสื้อไปแขวนไว้ในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพียงชั่วข้ามคืนเดียว กลิ่นลูกเหม็น ที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าก็จะจางหายไปหมด 97. วิธีทำความสะอาด คนโทแก้ว ที่เอามือล้วงลงไปทำความสะอาดยากให้ทุบ เปลือกไข่ ใส่ลง ไป แล้วกรอกน้ำส้มสายชูตามลงไปเล็กน้อยเขย่าขวดแล้วแช่ทิ้งไว้สักครู่ เทเปลือกไข่ ออก ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกที คนโท แก้ว จะมองดูสะอาดหมดจดแล้วยังปราศจากกลิ่นอีกด้วย 98. วิธีทำความสะอาด กะละมัง ที่เปื้อนคราบ ด่างทับทิม ให้ใช้ เปลือกมะนาวเช็ด เพราะ เปลือก มะนาว จะดูดและดึงคราบสีของด่างทับทิมออกไป 99. วิธีทำความสะอาดรอยเปื้อนบน โทรศัพท์ ที่มีสีขาว มีวิธีง่ายๆคือ ใช้ผ้าชุบ น้ำยาล้างเล็บ เช็ดถู ให้ทั่วคราบฝุ่นและรอยเปื้อนต่างๆ ก็จะหายไป 100. วิธีการขจัด ขนสุนัข ออกจากพรม มีวิธีทำง่ายๆ คือ ใช้ ฟองน้ำ ชุบน้ำบิดพอหมาดๆ มาซับ จะสามารถซับขนสุนัขออกได้โดยง่าย 100 เคล็ดลับคู่บ้านตอนที่ 1 100 เคล็ดลับ คู่บ้านตอนที่2 100 เคล็ดลับ คู่บ้านตอนที่3 100 เคล็ดลับคู่บ้านตอนที4 ด้วยความห่วงใย รู้มา JBTจึงบอกต่อ ขอบคุณคุณภรณ๊ ร้อยเคล็ดลับคู่บ้าน-ความรู้ประจำบ้านที่ควรรู้ ตอนที่ 4 | รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://j-b-t.blogspot.com/ (http://j-b-t.blogspot.com/) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2014, 08:30:24 PM เคล็ดลับคนชอบกิน ‘เส้น’
ถ้าพูดถึงเมนูอาหารที่สะดวก ทานง่าย แถมรสชาติอร่อย หนึ่งในนั้นคงมีเมนูก๋วยเตี๋ยวอย่างแน่นอน นั่นคงเพราะเลือกสั่งได้ตามใจชอบ ทั้งแบบต้มยำ เย็นตาโฟ จะน้ำหรือแห้งก็มีให้เลือก แถมยังมีเส้นให้เลือกมากมาย ทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ วุ้นเส้น บะหมี่ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า สารพัดเส้นที่เป็นส่วนประกอบหลักในมื้ออร่อย ให้พลังงานกับคุณเท่าไหร่ อยากรู้แล้วใช่ไหมว่า ในบรรดาอาหารเส้นๆ เหล่านี้ คุณควรจะเลือกทานเส้นไหนดี วุ้นเส้น ให้พลังงาน 330 กิโลแคลอรี่ เห็นตัวเลขพลังงานพุ่งขนาดนี้ อย่าเพิ่งตกใจ เพราะวุ้นเส้นมีน้ำหนักเบามาก 1 ซองประมาณ 50 กรัมเท่านั้น ปกติที่ทานกันก็ไม่ถึง 100 กรัม แต่มีหลายคนเข้าใจผิดว่าวุ้นเส้นเป็นโปรตีน จริงอยู่ว่าเส้นชนิดนี้ทำจากถั่วเขียว แต่ในกระบวนการผลิตถั่วจะถูกโม่และแยกโปรตีนออกไปจนเหลือแต่แป้ง และยังมีการผสมแป้งมันลงไปเพื่อเป็นการลดต้นทุนด้วย เมื่อทานแล้วจะไม่เหนียวเท่าวุ้นเส้นจากถั่วเขียว 100% เส้นบะหมี่ ให้พลังงาน 300 กิโลแคลอรี่ โดยบะหมี่เส้นสีเหลืองทำมาจากแป้งสาลี ซึ่งเป็นแป้งที่มีโปรตีนสูงพอสมควร แถมยังได้ประโยชน์จากแคโรทีนอยด์และฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มวิตามินเออีกด้วย ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึงแม้จะสีเหลืองเหมือนกันแต่ก็ผ่านการทอดและปรุงรสจนมีไขมันและโซเดียมสูง ปริมาณ 1 ซอง (60 กรัม) ก็ให้พลังงานถึง 280 กิโลแคลอรี่ และยังเป็นพลังงานจากไขมันเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ถ้าหากอยากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ควรซื้อชนิดที่มีการเติมสารอาหาร เช่น ไอโอดีน ธาตุเหล็ก หรือวิตามินเอเพิ่มเข้าไป เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้มากขึ้น เส้นก๋วยเตี๋ยว ให้พลังงาน 150-220 กิโลแคลอรี่ ก๋วยเตี๋ยวเส้นขาวๆ ทั้งเส้นใหญ่ เส้นเล็ก และเส้นหมี่ ล้วนทำมาจากแป้งข้าวเจ้าเหมือนกันแต่ให้พลังงานที่ต่างกันขึ้นอยู่กับความชื้นของเส้น โดยเส้นใหญ่จะมีแคลอรี่สูงที่สุด เพราะมักจะเคลือบน้ำมัน ทำให้ในปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 220 กิโลแคลอรี่ ในขณะที่เส้นเล็กให้พลังงานประมาณ 180 กิโลแคลอรี่ และเส้นหมี่ให้พลังงานประมาณ 150 กิโลแคลอรี่เท่านั้น เส้นขนมจีน ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ เส้นขนมจีนถึงแม้จะทำจากแป้งสาลีเหมือนกับเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่แป้งสำหรับเส้นขนมจีนจะหมักแช่น้ำไว้ก่อน จึงนำไปผ่านกระบวนการต่างๆ และมักเป็นเส้นสดใหม่ที่ทำวันต่อวัน เส้นจึงมีองค์ประกอบของน้ำมาก และให้พลังงานต่ำกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยว แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งของเส้นที่มีความชื้นสูงแบบนี้ก็คือทานแล้วรู้สึกว่าไม่อยู่ท้อง วิธีการเลือกซื้อควรเลือกแบบที่เป็นสีธรรมชาติ ไม่มีการแต่งสีเพิ่มเติม และหากซื้อมาแล้วยังไม่กินควรแช่ตู้เย็นเก็บไว้ แม้จะเป็นแป้งหมักแต่ก็ไม่ควรทิ้งไว้ข้ามวัน เส้นแก้ว ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี่ เส้นแก้วใสๆ คล้ายวุ้นเส้นแต่มีลักษณะอวบและกรุบกว่า ทำจากสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล 100 กรัม มีคาร์โบไฮเดรตน้อยมาก ประมาณ 4 กรัม นอกเหนือจากนั้นก็เป็นใยอาหารเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือต้องการลดน้ำหนัก สำหรับส่วนที่ทำให้เส้นแก้วแตกต่างจากเส้นบุกก็คือ เส้นชนิดนี้จะมีโซเดียมและแคลเซียมอยู่เล็กน้อย ซึ่งเส้นแก้วสามารถนำมากินสดๆ ได้เลย แต่หากไม่ชอบความจืดและกรุบจะนำไปปรุงรสและผ่านความร้อนเพื่อให้เส้นนุ่มลงก็ได้ แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าเส้นอื่นสักหน่อย เส้นบุก ให้พลังงาน 10 กิโลแคลอรี่ เส้นหนึบๆ ที่แปรรูปมาจากหัวบุกมีเส้นใยสูงและให้พลังงานต่ำมาก แถมสารแป้งในหัวบุกซึ่งเรียกว่าแมนแนนเมื่อแตกตัวจะได้เป็นน้ำตาลกลูโคสและแมนโนส ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่าในกระบวนการย่อย แมนโนสจะถูกดูดซึมช้ากว่ากลูโคสน้ำตาลในเลือดจึงเพิ่มขึ้นช้าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน สาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักทั้งหลายโดยเส้นบุกมีทั้งแบบเส้นใสและแบบผสมสาหร่ายทะเลเพื่อเพิ่มคุณค่าอาหารแต่ให้พลังงานต่ำไม่ต่างกัน ส่วนการปรุงควรลวกในน้ำเดือดจัดจึงจะได้เส้นบุกที่นุ่มกำลังดี รู้แบบนี้แล้ว การทานอาหารประเภทที่มีเส้นเป็นส่วนประกอบในมื้อต่อไป คงทำให้คุณตัดสินใจง่ายขึ้นว่าควรทานเส้นแบบใดในมื้อไหน เพื่อให้ได้พลังงานเพียงพอในแต่ละวันนะคะ ที่มาข้อมูล : นิตยสารเปรียว หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 21, 2015, 07:25:14 PM เคล็ดลับดับร้อน นอนหลับสบาย ในคืนร้อน...
อากาศร้อนๆ อย่างนี้ นอกจากจะเสียเหงื่อและยังทำให้เราหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี เวลานอนก็แสนจะยากเย็นเพราะอากาศที่ร้อนเหลือคณา ถ้าบ้านไหนมีแอร์ให้เย็นกายชื่นฉ่ำใจก็โชคดีไป แต่พอถึงสิ้นเดือนก็แทบสิ้นใจ เพราะค่าไฟคงมาแรงแซงทางโค้งเป็นแน่ เราจึงได้คิดค้นหาวิธีที่จะทำให้คุณเย็นโดยไม่พึ่งแอร์ ประหยัดไฟยิ่งกว่าเบอร์ 5 ส่วนคนไหนงบน้อยมีแต่ “แฟน” แต่ไม่มี “แอร์” ก็ไม่เป็นไร วิธีนี้รับรองไม่ร้อนนอนสบาย ค่าไฟไม่ขึ้นแน่นนอน 1.ทำตัวให้เย็น • ดื่มน้ำบ่อยๆ จะช่วยทำให้ร่างกายของคุณเย็นขึ้น พยายามดื่มน้ำทุกๆ ชั่วโมงอย่างน้อย 8 ออนซ์ อาจจะเพิ่มใบสะระแหน่ เปลือกส้ม มะนาว ลงไปในน้ำจะช่วยให้สดชื่นขึ้น • แช่ข้อมือของคุณในน้ำเย็น ข้างละ 10 วินาที โดยวิธีนี้จะช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายของคุณได้ประมาณ 10 ชั่วโมง • แช่เท้าของคุณในถังน้ำเย็น ความเย็นจะแผ่กระจายไปยัง มือ เท้า ใบหน้า และหู เพื่อระบายความร้อน 2.ใส่เสื้อผ้า (หรือไม่ใส่) แล้วแต่สถานการณ์คลายร้อน “ไม่ใส่เสื้อผ้า” ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์และสถานที่ที่สามารถ นุ่งน้อยห่มได้ อย่ารอช้า เพราะการใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นหรือไม่ใส่อะไรเลย จะช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบายได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ร้อนมากไม่ใส่อะไรเลย ร้อนน้อยหน่อย ใส่เป็นชุดว่ายน้ำหรือชุดชั้นในอยู่บ้าน ก็ไม่ว่ากัน เย็นสบายอย่าบอกใคร เคล็ดลับสำหรับการเลือกเสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อน ควรเป็นเสื้อผ้าที่ผลิตจากใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าลินิน จะทำให้คุณรู้สึกเย็นขึ้นกว่าผ้าที่ทำมาจากใยสังเคราะห์ และควรสวมเสื้อผ้าสีอ่อนๆ เพราะเสื้อผ้าสีเข้ม จะดูดแสงและเก็บความร้อนได้ดีกว่า แนะนำให้สวมเสื้อผ้าสีขาว เพราะจะช่วยสะท้อนแสงได้ดีที่สุด รวมทั้งไม่เก็บความร้อนอีกด้วย 3.ทำความเย็นโดยไม่พึ่งแอร์ เริ่มต้นด้วยการนำภาชนะใส่น้ำไปแช่ช่องฟรีซให้แข็ง จากนั้น นำน้ำแข็งที่ได้มาใส่ภาชนะใบใหญ่ ตั้งไว้หน้าพัดลม ไอเย็นจากน้ำแข็งกำลังละลายจะทำให้คุณเย็นสบายคล้ายแอร์เลยทีเดียว นอกจากนั้น น้ำแข็งที่ละลายแล้วคุณยังสามารถนำมารีไซเคิลไปแช่แข็งได้ใหม่ ประหยัดทั้งไฟ ประหยัดทั้งน้ำ แบบนี้ไม่รักไม่ได้แล้ว ฟังก์ชั่นนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแอร์คุณได้ด้วย ไม่ให้แอร์ของคุณทำงานหนักจนเกินไป และความเย็นที่ได้ไม่เย็นเจี๊ยบชื่นใจเหมือนการเปิดแอร์ 13 องศา อย่างแน่นอน แต่เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้คุณเย็นขึ้นโดยไม่อาศัยแอร์นั่นเอง .หมอนเย็น ตัวช่วยแรกที่เราขอแนะนำสำหรับการทำ “หมอนเย็น” นั่นก็คือ “แผ่นรองหมอนเย็น” ที่จะมอบความเย็นสดชื่น จากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว เพียงวางรองบนหมอนตอนเข้านอน แผ่นเจลจะค่อยๆ ดูดซับและถ่ายเทความร้อนจากร่างกาย ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เย็นสบาย และนอนหลับได้ง่ายขึ้นอีกด้วย วิธีที่สอง เอาหมอนใบเล็กๆ ไปแช่ตู้เย็นก่อนที่คุณจะนอนสัก 1-2 ชั่วโมง โดยเอาถุงพลาสติกคลุมไว้ก่อนแช่ในตู้เย็น เพื่อไม่ทำให้หมอนชื้นหรือเปียกจากไอเย็นน้ำแข็ง หรือจะจัดเต็มแบบครบเซตด้วยการเอาผ้าปูที่นอนหรือผ้าห่มผืนบางๆ ไปแช่ตู้เย็นด้วย แต่อย่าลืมเอาถุงพลาสติกคลุมทุกครั้ง จะได้ไม่เปียกชื้นจนเกินไป ซึ่งวิธีนี้อาจจะทำให้คุณเย็นได้เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่เอาหมอนหรือผ้าห่มออกมาจากตู้เย็น ดังนั้นต้องรีบทำเวลาหน่อย 5.เพิ่มความชุ่มชื่นด้วยผ้าม่าน ฉีดน้ำเย็นๆ ลงบนผ้าม่าน หรือผ้าผืนบางๆ พอหมาดๆ จากนั้นนำไป แขวนไว้ตรงหน้าต่างที่เปิดอยู่ เวลาที่ลมพัดผ่านเข้ามาจะได้รับความเย็นและความชุ่มชื่นจากผ้าที่ผึ่งไว้จะช่วยทำให้อุณหภูมิในห้องของคุณเย็นขึ้น 6.ใช้วิธีอียิปต์โบราณ วิธีนี้เป็นวิธีการเก่าแก่ของชาวอียิปต์โบราณที่ใช้คลายความร้อนยามค่ำคืน เพียงแค่แช่ผ้าบางผืนใหญ่ หรือผ้าห่ม แช่ในน้ำเย็น จากนั้นนำไปผึ่งทิ้งไว้พอหมาดๆ แต่ไม่แห้ง และไม่เปียกจนมีน้ำหยดเป็นอันใช้ได้ นำผ้าห่มมาคลุมตัวคุณไว้ตอนนอน จะช่วยให้ร่างกายของคุณเย็นขึ้น หรืออีกหนึ่งวิธีที่ที่เป็นที่นิยมคือ การนำแพคน้ำแข็งมาวางไว้บนศีรษะ หรือข้อมือของคุณก่อนนอน จะช่วยให้คุณเย็นสบายขึ้น และต้องให้แน่ใจว่าแพคน้ำแข็งไว้อย่างดีไม่หยดจนเปียก หรือจะเป็นถุงเท้าชุบน้ำพอหมาดๆ สวมก่อนนอนก็เย็นดีไม่น้อย 7.ระบายความร้อนออกนอกห้อง เป็นการครีเอทโดยใช้หลักการถ่ายเทความร้อน จากในห้องออกไปด้านนอก โดยการเปิดพัดลมตั้งโต๊ะแล้วหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อเป็นการระบายความร้อน จากนั้นให้เปิดพัดลมเพดาน เพื่อเป็นการหมุนเวียนอากาศ ดึงความร้อนขึ้น และพัดออกไปโดยพัดลมตั้งโต๊ะตรงหน้าต่าง เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ห้องของคุณเย็นขึ้น http://manager.co.th/GoodHealth/ViewNews.aspx (http://manager.co.th/GoodHealth/ViewNews.aspx)… (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/v/t1.0-9/22215_811239248925089_896843768266159764_n.jpg?oh=e05878c5e2566ecabe354932a3897f7a&oe=55D576CD&__gda__=1440892424_53ecb31e399bd40fa023b3bf4435ee03) (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/10987493_811239258925088_5928750381150162301_n.jpg?oh=f8ddfb6732ff645107ebfee83f537aaf&oe=559EFB1E&__gda__=1439761780_f969e0a39ca990809aa23715e2ac6e99) (https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/11169878_811239292258418_293006965472905129_n.jpg?oh=d6f3270ff1dbd28f6c3f4637696709f7&oe=55D85C80) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: GGS ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 12:32:31 PM กระทู้ข้อมูลเยอะจริง มีประโยชน์ดีครับ
;D หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 13, 2015, 12:33:48 PM เคล็ดไม่ลับ เตรียมผลไม้ก่อนรับประทาน
(http://tw.ptt01.cc/zhtw/c017/Image/20151112/6358291693354141683391923.gif) (http://tw.ptt01.cc/zhtw/c017/Image/20151112/6358291695193157868664434.gif) (http://tw.ptt01.cc/zhtw/c017/Image/20151112/6358291696414066058615040.gif) (http://tw.ptt01.cc/zhtw/c017/Image/20151112/6358291699020052518441866.gif) (http://tw.ptt01.cc/zhtw/c017/Image/20151112/6358291699816086522703388.gif) ภาพเคล็ดไม่ลับสำหรับการเตรียมผลไม้ก่อนรับประทานในแบบเจ๋ง ๆ ที่คุณอาจไม่เคยคิดมาก่อนเลยก็เป็นได้ พูดเลยว่ามันเจ๋งเว่อร์ดีจริง ๆ เครดิตจาก : http://www.ptt01.cc/post_25922 (http://www.ptt01.cc/post_25922) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 13, 2015, 12:41:16 PM (http://tw.ptt01.cc/zhtw/c017/Image/20151112/6358291703432170617767801.jpg)
(http://tw.ptt01.cc/zhtw/c017/Image/20151112/6358291704023820322087138.gif) เครดิตจาก : http://www.ptt01.cc/post_25922 (http://www.ptt01.cc/post_25922) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 25, 2015, 09:39:43 AM https://www.youtube.com/watch?v=zmkfaHVZM6s (https://www.youtube.com/watch?v=zmkfaHVZM6s)
วิธีปอกสับปะรดแบบง่าย ๆ ทั้งสวย ทั้งน่าทาน หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 30, 2015, 09:02:28 AM ++DIY ฟรีซผลไม้เองง่ายๆ เอาใจคนรักสุขภาพ คุมน้ำหนัก และปลื้มSmoothies++
(http://f.ptcdn.info/833/037/000/nyj7i298uwrzZ1YLA7k-o.jpg) เนื่องด้วย จขกท เป็นคนชอบทานผลไม้ ทั้งทานสดๆ และนำไปปั่นกับกรีนสมูทตี้ แนวเฮลตี้ๆๆ เลยมักจะซื้อมาตุนทีละมากๆ ปัญหาบังเกิดสิเจ้าคะ ทานไม่ทัน เสีย......ทิ้ง อยากจิร้องไห้เป็นภาษาสเปน เพราะผลไม้สมัยนี้ไม่ใช่ถูกคร้าาาาา แหม่! ไอเดียเลยบังเกิด ปิ๊งประหลาดใจประหลาดใจประหลาดใจ จับแช่แข็งซะเลย แต่ครั้งแรก มิสำเร็จ ค่ะคุณขาาาาา จขกท เล่นหั่นปั๊บ ใส่กล่องแช่ฟรีซ พอจะใช้เปิดมา คือสสารรวมกลับเป็นก้อนเดียวกัน ราวน้ำแข็งมือ (เด็กสมัยใหม่ไม่รู้ รู้จักหรือเปล่านะคะ แอบขยายความนิดละกัน นำแข็งมือ คือน้ำแข็งที่เป็นก้อนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่ๆ เมื่อก่อนจะเห็นได้ตามร้านน้ำแข็งใส ใครยังนึกไม่ออก ถามอากู๋นะคะ) มาๆ กลับเข้าเรื่องเรา ฮึบเอาใหม่ๆ ทีนี้ จขกท ใช้ติ่งสมองเล็กๆ ที่มีอยู่ คิดๆๆๆๆ เพี้ยนเพลีย แท้แด้น!!!! เลยได้ผลไม้แช่แข็งออกมาเริ่ดๆ ทำเองก็แสนง่าย แถมเก็บไว้ได้นานอีกด้วยค่ะ มาดูวิธีกันน๊าาาาา อบกระซิบอมยิ้ม25 ใช้ได้กับผลไม้เกือบทุกประเภทเลย จขกท ลอง กล้วยหอม,แอปเปิ้ลเขียว,กีวี่,มะละกอ,สับปะรด,ฝรั่ง, ส้ม,แคนตาลูป,มะม่วง, แก้วมังกร, แครอท (http://f.ptcdn.info/834/037/000/nyj8ftg8vP3QnK7lt1g-o.jpg) (http://f.ptcdn.info/835/037/000/nyj91n8waICBV1VyJcW-o.jpg) อุปกรณ์ที่ใช้เพี้ยนลุย 1. มีดหั่นผลไม้หรือ มีดที่มีในครัว ใช้ได้หมดค่ะ 2. เขียง 3. ถาดขนาดที่สามารถเข้าช่องฟรีซ บ้านคุณๆ ได้ 4. กระดาษรองถาด (จขกท ใช้กระดาษรองสำหรับอบเบเกอรี่) 5. ถุงซิป หรือ กล่องบรรจุ วิธีทำ 1. หั่นผลไม้ ที่ต้องการแช่แข็งเป็นสี่เหลี่ยม 2. นำผลไม้ที่หั่น มาเรียงบนถาดที่เตรียมไว้ อย่าให้ซ้อนกันนะคะ 3. จากนั้นนำไปแช่ ช่องแช่แข็ง ประมาณ 40-60 นาที หรือจนกว่าผลไม้แข็ง 4. นำออกมาบรรจุลงถุงซิป หรือกล่อง จากนั้นนำกลับไปแช่ช่องแข็งตามเดิม เพียงเท่านี้ ผลไม้ของคุณจะแยกชิ้นเป็นอิสระ สวยงามตามท้องเรื่องเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม สะดวกทุกครั้งเมื่อต้องการใช้งานค่ะ ประหยัดทั้งเวลา ประหยัดทั้งเงินในกระเป๋า หัวเราะหัวเราะหัวเราะ เผื่อใครสนใจ กรีนสมูทตี้ จขกท มีแชร์ไว้ ด้วยนะคะ http://pantip.com/topic/34394999 (http://pantip.com/topic/34394999) หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 19, 2015, 08:38:22 AM https://www.youtube.com/watch?v=2TLqZznUJTU (https://www.youtube.com/watch?v=2TLqZznUJTU)
วิธีปอกทุเรียน how to peel a durian by แหม่ม https://www.youtube.com/watch?v=OOtYL5RVSb4 (https://www.youtube.com/watch?v=OOtYL5RVSb4) สาธิตวิธีการปอกทุเรียนก้านยาวโดยลุงศักดิ์ https://www.youtube.com/watch?v=CSG6R7tNUTs (https://www.youtube.com/watch?v=CSG6R7tNUTs) วิธีปลอกทุเรียนง่ายๆแบบฉีก https://www.youtube.com/watch?v=4Qh8asm4bnc (https://www.youtube.com/watch?v=4Qh8asm4bnc) แนะนำวิธีเลือกทุเรียน และแกะทุเรียนแบบง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้ https://www.youtube.com/watch?v=S7RxXT3I7Fw (https://www.youtube.com/watch?v=S7RxXT3I7Fw) รีวิวทุเรียนหมอนทอง ชะนี ก้านยาว รสชาติต่างกันยังไง . หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 24, 2020, 07:52:48 PM https://www.youtube.com/watch?v=kkTz72viO3I&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=kkTz72viO3I&feature=youtu.be)
#DIYofThings หนุ่มแว่น สาวแว่น เชิญทางนี้ -เทคนิค "ล้างแว่นยังไงไม่ให้เป็นรอย" มาดูกัน - DIY of Things สวัสดีครับ เพื่อนๆชาว #DIYofThings วันนี้ผมขอนำเสนอวิธีการล้างแว่นสายตา โดยไม่ต้องเช็ดเลนส์ เพราะการเช็ดเลนส์อาจจะทำให้เกิดรอยขีดขวนบนเลนส์ได้ แต่วิธีของผมที่แสนจะธรรมดา จะทำให้เราไม่ต้องเช็ดเลนส์แม้แต่นิดเดียว ปะๆๆ ไปดูกัน หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 24, 2020, 08:00:47 PM https://www.youtube.com/watch?v=2ZtYait_ICQ (https://www.youtube.com/watch?v=2ZtYait_ICQ)
หยุดหงอก..!! ใครผมหงอก ผมขาว ห้ามพลาด "เร่งผมขึ้นใหม่ หนา ดกดำ" ไร้สารเคมี 100% ..... ตามสถิติ คนเราจะมีผมหงอกขึ้นในช่วงอายุ 40 ปี แต่ปัจจุบัน คนเริ่มมีผมหงอก ผมขาวขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อยๆ บางคน 10 กว่าขวบ ก็ผมหงอก เต็มหัวแล้ว ซึ่งก็ไม่หลายสาเหตุ เช่น เซลล์ผมของเรา ผลิตเม็ดสีเมลานินที่ไม่เพียงพอ , กรรมพันธ์ , การเจ็บป่วย ..... วันนี้ มลเลยขอนำสูตรโบราณของไทย ที่ช่วยแก้ผมหงอก ผมขาว ลดผมร่วง รากผมไม่แข็งแรง ให้กลับมา งอกขึ้นใหม่ หนา ดกดำ ได้อีกครั้ง ด้วยวิธีธรรมชาติ 100% ไม่มีสารเคมีเจือปนเลยจ้า ..... สิ่งที่ต้องเตรียม มีดังนี้ค่ะ 1. งาดำ 2 ช้อนโต๊ะ 2. ขิง 1 หัวใหญ่ 3. น้ำมันมะพร้าว ..... เมื่อเราเตรียมกันครบแล้ว ไปดูวิธีการทำพร้อมกันเลยจ้า หัวข้อ: Re: เคล็ด[ไม่]ลับ เริ่มหัวข้อโดย: paul711 ที่ พฤศจิกายน 27, 2020, 08:26:27 PM :) ขอบคุณครับคุณหนูใจ
จะลองไปทําดูครับ |