Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website.
Home
-----
กระดานสนทนาหน้าแรก
-----
Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart
-----
gold-trend-price-prediction
-----
ติดต่อเรา
หัวข้อ: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 16, 2009, 11:26:38 PM $$$ นักรบกองทุน $$$...เกราะทองคำ..สู้ๆ ปู่ play safe...มังกรแจกบัตรลดราคา{แตกประเด็นจาก I8322275}
กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก I8322275 สวัสดีครับ มาแล้วๆๆ... นักรบ tuxpower มาทักทายเช้าๆ วันพุธสีเขียว ...เร่..เข้ามาๆ ครับ @^_^@ เมื่อวานปู่เซ็ตกลับเป็นบวกได้อีก เล่นศึกตามราคาน้ำมันดิบ NYMEX ซะเลยดีมั๊ย จะว่าไปผมก็ทำอยู่แล้วครับ...ก็พี่ต้า PTTAR งัยล่ะ ...ส่วนเจ้ามังกรฟ้า...หลบพายุซะงั้น ท้ายตลาดก็ทำรายการไม่ทันละ แต่ก็ทรุดลงมาปิด 0.00% ไม่ไปไหนเลย เมื่อคืน...ทองคำ ทองคำ....(ย้ำคิดย้ำทำอีกแล้ว) กลับไปโน่น 1007 เหรียญ แวะลงมาให้(ซื้อ)สะสมเพียง 2 วันแล้วหนี สไตล์พ่อแง่:-)อน ...เมื่อวานมีคำพูดบางอย่างพุ่งเข้าหัว ..แปล๊บ..กระตุ้นให้คิดสูตรเทรดหุ้นเทพๆ ได้พอดี คำนวณอย่างลวกๆ เฮ้ย...14% !!! (ถ้าทำได้จริงนะ) ..เวลาคิดอะไรได้แบบนี้ ตื่นเต้นครับ อยากทดสอบสมมุติฐานขึ้นมาอีกแล้ว ...ขอตัวไปทานมื้อเช้าก่อนนะครับ แล้วจะมาโม้ต่อ ...จูบุๆ (http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8326292/I8326292-0.jpg) จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 52 09:01:11 จะเก็บเอาไว้ศึกษา อิอิ(http://smilies.exteen.com/images/yoyo/22.gif) หัวข้อ: Re: วางแผนการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: IPSUM ที่ กันยายน 17, 2009, 08:31:36 AM แผน 2 O0
หัวข้อ: Re: วางแผนการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: ribbinn ที่ กันยายน 17, 2009, 07:48:23 PM มารอศึกษาด้วยคนค่ะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: วางแผนการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: June ที่ กันยายน 17, 2009, 11:20:52 PM น่าสนใจจัง คุณมิจินำเสนอต่อด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: วางแผนการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 18, 2009, 01:16:05 AM จะพยายามเก็บเข้าคลังไว้ค่ะ เพราะบางทีเราก็ลืมๆ จะได้มาค้นในกระทู้นี้ได้ O0
หัวข้อ: Re: วางแผนการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 18, 2009, 11:44:37 AM ffr_manoj243
Newbie ออฟไลน์ กระทู้: 45 Re: ผมลงทุนทองแบบนี้ ช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ ? ตอบ #841 เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:37:37 AM ? อ้างถึง -------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: PS ที่ กันยายน 11, 2009, 08:07:51 AM คุณพอล และทุกท่านครับ ผมเป็นมือใหม่หัดซื้อทองครับ พอดีมีคำถามอยากถามว่า กราฟเป็นเพียงเครื่องแสดงการขึ้นลงของราคาทองในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของราคาทอง แล้วเราจะนำมาช่วยในการตัดสินใจซื้อขายทองคำได้อย่างไรครับ ช่วยแนะนำด้วยนะครับ กระผมอ่อนหัดจริง ๆ ครับ แฮะ แฮะ ขอบคุณล่วงหน้าครับ อ้างจาก: ลูกเจี๊ยบ ที่ กันยายน 11, 2009, 04:53:46 PM เห็นยังไม่มีใครตอบ ขออนุญาต ตอบนะครับ กราฟมีอยู่หลายตัวครับ แต่ละตัวจะบ่งบอกถึงแนวโน้มของทองว่าจะไปในทิศทางใด โดยเฉพาะกราฟ Spot ส่งผลต่อการตั้งราคาทองในแต่ละวันครับ คนที่ซื้อขายทองคำแรกๆ จะดูกราฟไม่ค่อยเป็น รวมทั้งผมด้วย เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นที่ดูง่ายหน่อย ก็คือ ดูที่กราฟ slow sto. ถ้าลงมาต่ำมากๆ เช่น 10-20 แสดงว่าทองเกิดภาวะขายมากเกิน มีโอกาสกลับตัวไปเป็นขึ้นได้ แต่ถ้ากราฟ slow sto. ขึ้นไปสูงมากๆ เช่น 80-90 แสดงว่าทองเกิดภาวะซื้อมากเกิน มีโอกาสกลับตัวไปเป็นลงได้ ทั้งนี้กราฟ slow sto. ยังมีราย 4 ชม. , รายวัน ฯลฯ และยังมีกราฟอีกหลายตัวที่ยังต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วย ปล. ถ้าผิดถูกอย่างไรต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ผมขออนุญาต "คุณ Paul711" .. ช่วยอธิบายในเรื่อง "การวิเคราะห์ทางเทคนิค : Technical Analysis" ซึ่งคุณ PS อยากจะทราบว่า .. จะนำ "กราฟเทคนิค" มาช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนอย่างไร? และคุณลูกเจี๊ยบ .. ก็ได้กรุณาให้ความกระจ่าง ในแง่มุม .. ระดับหนึ่งหนึ่งแล้ว ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ; "ราคา" .. จะถูกกำหนดโดย .. "อุปสงค์และอุปทาน : Demand & Supply" เมื่อ Demand ความต้องการ .. มีมาก หรือ Supply ที่จะรองรับกับความต้องการ .. มีน้อย ราคา .. ก็จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ .. สูงขึ้น หรือแพงขึ้น ในทางกลับกัน! เมื่อ Demand .. มีน้อย หรือ Supply .. เหลือมาก ราคา .. ก็จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ .. ลดลง หรือถูกลง ซึ่งเราเรียก "พฤติกรรมการเคลื่อนไหวและทิศทางของราคา" นี้ว่า.. เป็นไปตาม "กลไกของตลาด" โดยที่ .. ระดับราคาที่เคลื่อนไหว และ Plot อยู่บนตัวกราฟ (ณ เวลาหนึ่ง) เกิดจาก .. "ราคาและปริมาณการซื้อ-ขาย : Price&Volume" (ณ เวลานั้น) อย่างเช่น : เมื่อ Fed. ประกาศนโยบายคงดอกเบี้ย 0-0.25% โดยไม่มีกำหนด (เมื่อวันที่ 19/03/09) และยังใช้นโยบาย Quantitative Easing .. ซึ่งส่งผลให้ "ค่าเงิน US Dollar" มีทิศทางที่จะอ่อนตัวลง นักลงทุนจึง .. ลดการถือครอง USD / เงินสด โดยเข้ามาลงทุนใน .. ตลาดหุ้น + น้ำมัน + ทอง หรือแม้กระทั่ง .. เปลี่ยนการถือครองสุกลเงิน USD เป็น euro หรือสกุลเงิน อื่นๆ .. ที่แข็งค่ากว่า (ณ ในเวลานั้น) ดังนั้น "ทิศทางและการเคลื่อนไหว" .. ของ "ราคา .. บนกราฟ" จึงได้ "รวม" .. เอาทั้ง "ปัจจัยพื้นฐาน : Fundamental" และ "อารมณ์ของตลาด : Sentimental" แสดง .. การเคลื่อนไหวและระดับราคา "อยู่ในตัวกราฟ" .. นั้นด้วย (http://img228.imageshack.us/img228/77/80849919.png) (http://img188.imageshack.us/img188/9352/33510185.png) ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค .. จึงต้องการที่จะ "แสดงสภาวะ Demand&Supply" ในตลาด เพื่อดูว่า "ราคา" (ณ เวลานั้น) ถูกหรือแพง .. เป็น สภาวะกระทิงหรือหมี และยังใช้ .. "วัดระดับ .. อารมณ์" ของตลาด เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ .. ในการ "หาจุดเข้าซื้อและขายออก" โดยสร้าง "ตัวบอกสัญญาณ : Indicators" ต่างๆ ..ไว้บนกราฟ เพื่อแสดงความสัมพันธ์กับ "การเคลิ่อนไหวของราคา" อย่างเช่น : กรณีที่ "ราคาทองคำ : Spot Gold Price" .. ขึ้นมาถึง $1000 แล้ว เราอาจใช้ความรู้สึกของเรา "คิดว่า" .. ราคาแพงเกินไป สำหรับซื้อทอง .. เพื่อเป็นการออม หรือเพื่อเป็น "การเก็งกำไร" .. ที่อาจจะให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับการลงทุน (ณ เวลานี้) แต่ .. ราคาในกราฟ ก็ยังเคลื่อนไหวไปในทิศทาง .. ที่ขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้! เพราะปัจจัยพื้นฐานหลัก .. ที่ค่าเงิน US Dollar อ่อนค่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ .. ค่าเงินสกุลอื่นๆ แข็งค่าขึ้น (มีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น) จึงเห็นว่า .. ราคาทองคำ ณ เวลานั้น "ถูกลง" และยังมี Demand ความต้องการใช้ทองจริง .. จาก เทศกาล Diwali ของชาวฮินดูในอินเดีย รวมทั้ง .. ทางด้านจิวเวลรี่ ที่ต้องเริ่มสร้าง Supply รองรับลูกค้า ในเทศกาลต่างๆ ปลายปีและต้นปี อันสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐาน .. ที่ทำให้ ราคาในกราฟ มีการเคลื่อนไหวที่สูงขึ้นนั่นเอง ดังนั้น เราจึงต้องมี "ตัวบอกสัญญาณ .. ที่ใช้ชี้วัดสภาวะและอารมณ์ของตลาด" .. มาช่วยในการตัดสินใจ เมื่อเรามี "ความรู้สึก .. ที่ไม่สอดคล้อง" กับ "ราคา .. ที่กำลังเคลื่อนไหว" อยู่ในกราฟ (แล้วจะมาเพิ่มเติม .. เรื่อง "ความน่าเชื่อถือ" ของการใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค .. นะครับ) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 18, 2009, 01:11:40 PM ราคาปิดน้ำมัน http://www.uprr.com/customers/surcharge/wti.shtml
กราฟ aud http://www.forexpros.com/currencies/aud-thb-chart กราฟ set http://www.settrade.com/login.jsp?txtBrokerId=IPO หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 18, 2009, 04:37:28 PM ;D
สวัสดีค่ะมาอ่านด้วยค่ะ ;) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Jeera ที่ กันยายน 19, 2009, 06:54:20 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ (http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif)
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: mvb ที่ กันยายน 19, 2009, 08:39:42 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Jeera ที่ กันยายน 19, 2009, 08:49:25 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D กี่ฟองดี :D หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: mvb ที่ กันยายน 19, 2009, 08:50:31 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D กี่ฟองดี :D เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Jeera ที่ กันยายน 19, 2009, 08:55:59 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D กี่ฟองดี :D เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ สวยทุกคน (http://smilies.exteen.com/images/xixi/12.gif) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: mvb ที่ กันยายน 19, 2009, 09:17:28 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D กี่ฟองดี :D เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ สวยทุกคน ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/12.gif[/url]) ไม่ตรงคำถาม :P หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Jeera ที่ กันยายน 19, 2009, 09:31:31 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D กี่ฟองดี :D เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ สวยทุกคน ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/12.gif[/url]) ไม่ตรงคำถาม :P งั้นเอาใหม่ ใจ...กว้างเหมือนกันทุกคน ;D หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: IPSUM ที่ กันยายน 19, 2009, 10:44:36 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D กี่ฟองดี :D เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ สวยทุกคน ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/12.gif[/url]) ไม่ตรงคำถาม :P งั้นเอาใหม่ ใจ...กว้างเหมือนกันทุกคน ;D ผิดประเด็น หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Jeera ที่ กันยายน 19, 2009, 11:35:58 AM เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ ขอคารวะ ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif[/url]) หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ ;D กี่ฟองดี :D เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ สวยทุกคน ([url]http://smilies.exteen.com/images/xixi/12.gif[/url]) ไม่ตรงคำถาม :P งั้นเอาใหม่ ใจ...กว้างเหมือนกันทุกคน ;D ผิดประเด็น ถูกต้องที่สุดตะหาก ;D หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 19, 2009, 02:54:16 PM ngoodin
แฟนพันธุ์แท้ ออนไลน์ กระทู้: 1277 Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน ? ตอบ #6320 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 06:43:31 pm ? -------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: Nicegold ที่ กันยายน 18, 2009, 06:27:03 pm ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจอารมณ์ตัวเองค่ะว่า ระหว่าง การขายหมู กับ Stop Loss อันไหนที่ทำให้เราเสียความรู้สึกมากกว่ากัน และอันไหนที่เราได้ผลประโยชน์มากกว่ากัน ยังไม่เคยทำเป็นตัวเลขเปรียบอย่างเป็นทางการค่ะ ตอนนี้ก็ใช้ข้อมูลรอบด้านเช่น ข้อมูลจากเว็ปไทยโกลด์ กราฟคุณseam888 กระทู้จากพันธ์ทิพย์ ข้อมูลตลาดหุ้นเอเซีย อเมริกาและไทย สุดท้ายก็ประกอบกับการตัดสินใจของตัวเองค่ะ ถ้ารู้สึกว่ามันเสี่ยงและเสียวแล้วก็ขอถอยไปตั้งหลักก่อนค่ะ ดูจะไม่เป็นระบบของนักลงทุนที่ถูกต้อง ยอมรับนะค่ะว่า ทำว่าเล่นอย่างมีระบบและวินัยหมายความว่าอะไร มาตรฐานอยู่ที่ไหน เอาอะไรมาเครื่องวัด เพราะดิฉันยังมือใหม่ก็เลยยังไม่กระจ่างคำๆ นี้ค่ัะ หวังว่าคุณseam888 คงจะเข้าใจนะค่ะ --------------------------------------------------------------------------- ผมว่าอยู่ที่เราเลือกวิธีลงทุน ว่าเราลงทุนแบบไหน เมื่อเลือกเริ่มวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว ก็ต้องจบด้วยวิธีนั้น อย่างวิธีของ ผมคือเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขาย และตั้งเป้าทำกำไรไว้ สมมติว่าตั้งเป้าไว้ 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อยอดที่เข้าซื้อ เมื่อไปถึงจุดที่ตั้งไว้ ก็ต้องขายยอดนั้นออก เท่ากับเราประสบความสำเร็จในการลงทุนวิธีนั้นแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงการ stop loss เพราะเป็นการเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขายแต่ละยอด ก็ต้องจบเป็นยอด ๆ ไป โดยถือหลักว่ายอดไหนขาดทุน ไม่ขาย จะขายเฉพาะยอดที่ได้กำไรเท่านั้น ยอดไหนดอยก็ดอยไป การขายเมื่อถึงจุดที่กำหนดของเราเอง อาจทำให้เราขายหมูก็เป็นได้ และในขณะเดียวกันถ้าโชคดีก็อาจทำให้เราขายในจุดที่สูงสุดเลยก็ได้ ส่วนหากเลือกวิธีลงทุนแบบลงไปหมดทั้งก้อนในช่วงขาขึ้น แล้วปล่อยให้วิ่งไปจนจบรอบ คือกราฟเริ่มหักหัวเป็นขาลง (คือเลยจุดสุดยอดไปแล้วและเริ่มตำลงมาถึงจุด stoploss) เราก็ต้องขายออกทันที ดังน้้น วิธีนี้จึงไม่มีทางที่เราจะขายได้ราคาสูงสุด เพราะเราไม่รู้ว่าสูงสุดเท่าไหร่จนกว่ามันจะหักหัวลงมา และหากเราลงทุนผิดทางคือคิดว่ามันจะขึ้นแต่มันดันลงทันที ทำให้เกิดขาดทุน เมื่อขาดทุนถึงจุดที่กำหนด เช่น ขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องตัดใจขายขาดทุนทันทีโดยไม่ต้องหวังว่ามันจะกลับขึ้นไป อันนี้ก็ถือว่าเราเล่นตามระบบที่กำหนดแล้ว แม้จะขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีทุนพอที่จะเข้าลงทุนในรอบใหม่ รอบนั้นถือว่าไม่ใช่วันของเรา มีวิธีลงทุนอีกหลายแบบ แบบปิรามิดคว่ำ หงาย แบบ DSM KZM ฯลฯ ลองศึกษาแล้วเลือกวิธีที่เรายอมรับได้เหมาะกับเราที่สุด แล้วลองเล่นวิธีนั้นอย่างเดียวถ้าเราพอใจก็ ok ถ้าไม่พอใจก็ลองวิธีอื่น แล้วจะพบความจริงว่า แม้วิธีที่เราพอใจ อาจจะไม่ใช่วิธีที่เราได้เงินมากที่สุด แต่เป็นวิธีที่เรามีความสุขมากที่สุด แล้วคุณจะลงทุนอย่างสนุกสนาน ไม่เครียด ได้กำไรที่ยอมรับได้ อย่าไปอิจฉาคนที่ได้กำไรมากกว่าเรา อย่าตำหนิตัวเองว่าทำไมโง่ขายหมู ความสำเร็จของการลงทุนอยู่ที่เราสามารถทำตามระบบที่วางไว้โดยไม่มีความรู้สึก ความโลภ ความอยากเอาชนะ มารบกวนจิตใจครับ ถ้าทำได้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ในการลงทุนอย่างแน่นอนครับ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Jeera ที่ กันยายน 19, 2009, 03:06:43 PM ngoodin แฟนพันธุ์แท้ ออนไลน์ กระทู้: 1277 Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน ? ตอบ #6320 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 06:43:31 pm ? -------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: Nicegold ที่ กันยายน 18, 2009, 06:27:03 pm ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจอารมณ์ตัวเองค่ะว่า ระหว่าง การขายหมู กับ Stop Loss อันไหนที่ทำให้เราเสียความรู้สึกมากกว่ากัน และอันไหนที่เราได้ผลประโยชน์มากกว่ากัน ยังไม่เคยทำเป็นตัวเลขเปรียบอย่างเป็นทางการค่ะ ตอนนี้ก็ใช้ข้อมูลรอบด้านเช่น ข้อมูลจากเว็ปไทยโกลด์ กราฟคุณseam888 กระทู้จากพันธ์ทิพย์ ข้อมูลตลาดหุ้นเอเซีย อเมริกาและไทย สุดท้ายก็ประกอบกับการตัดสินใจของตัวเองค่ะ ถ้ารู้สึกว่ามันเสี่ยงและเสียวแล้วก็ขอถอยไปตั้งหลักก่อนค่ะ ดูจะไม่เป็นระบบของนักลงทุนที่ถูกต้อง ยอมรับนะค่ะว่า ทำว่าเล่นอย่างมีระบบและวินัยหมายความว่าอะไร มาตรฐานอยู่ที่ไหน เอาอะไรมาเครื่องวัด เพราะดิฉันยังมือใหม่ก็เลยยังไม่กระจ่างคำๆ นี้ค่ัะ หวังว่าคุณseam888 คงจะเข้าใจนะค่ะ --------------------------------------------------------------------------- ผมว่าอยู่ที่เราเลือกวิธีลงทุน ว่าเราลงทุนแบบไหน เมื่อเลือกเริ่มวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว ก็ต้องจบด้วยวิธีนั้น อย่างวิธีของ ผมคือเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขาย และตั้งเป้าทำกำไรไว้ สมมติว่าตั้งเป้าไว้ 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อยอดที่เข้าซื้อ เมื่อไปถึงจุดที่ตั้งไว้ ก็ต้องขายยอดนั้นออก เท่ากับเราประสบความสำเร็จในการลงทุนวิธีนั้นแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงการ stop loss เพราะเป็นการเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขายแต่ละยอด ก็ต้องจบเป็นยอด ๆ ไป โดยถือหลักว่ายอดไหนขาดทุน ไม่ขาย จะขายเฉพาะยอดที่ได้กำไรเท่านั้น ยอดไหนดอยก็ดอยไป การขายเมื่อถึงจุดที่กำหนดของเราเอง อาจทำให้เราขายหมูก็เป็นได้ และในขณะเดียวกันถ้าโชคดีก็อาจทำให้เราขายในจุดที่สูงสุดเลยก็ได้ ส่วนหากเลือกวิธีลงทุนแบบลงไปหมดทั้งก้อนในช่วงขาขึ้น แล้วปล่อยให้วิ่งไปจนจบรอบ คือกราฟเริ่มหักหัวเป็นขาลง (คือเลยจุดสุดยอดไปแล้วและเริ่มตำลงมาถึงจุด stoploss) เราก็ต้องขายออกทันที ดังน้้น วิธีนี้จึงไม่มีทางที่เราจะขายได้ราคาสูงสุด เพราะเราไม่รู้ว่าสูงสุดเท่าไหร่จนกว่ามันจะหักหัวลงมา และหากเราลงทุนผิดทางคือคิดว่ามันจะขึ้นแต่มันดันลงทันที ทำให้เกิดขาดทุน เมื่อขาดทุนถึงจุดที่กำหนด เช่น ขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องตัดใจขายขาดทุนทันทีโดยไม่ต้องหวังว่ามันจะกลับขึ้นไป อันนี้ก็ถือว่าเราเล่นตามระบบที่กำหนดแล้ว แม้จะขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีทุนพอที่จะเข้าลงทุนในรอบใหม่ รอบนั้นถือว่าไม่ใช่วันของเรา มีวิธีลงทุนอีกหลายแบบ แบบปิรามิดคว่ำ หงาย แบบ DSM KZM ฯลฯ ลองศึกษาแล้วเลือกวิธีที่เรายอมรับได้เหมาะกับเราที่สุด แล้วลองเล่นวิธีนั้นอย่างเดียวถ้าเราพอใจก็ ok ถ้าไม่พอใจก็ลองวิธีอื่น แล้วจะพบความจริงว่า แม้วิธีที่เราพอใจ อาจจะไม่ใช่วิธีที่เราได้เงินมากที่สุด แต่เป็นวิธีที่เรามีความสุขมากที่สุด แล้วคุณจะลงทุนอย่างสนุกสนาน ไม่เครียด ได้กำไรที่ยอมรับได้ อย่าไปอิจฉาคนที่ได้กำไรมากกว่าเรา อย่าตำหนิตัวเองว่าทำไมโง่ขายหมู ความสำเร็จของการลงทุนอยู่ที่เราสามารถทำตามระบบที่วางไว้โดยไม่มีความรู้สึก ความโลภ ความอยากเอาชนะ มารบกวนจิตใจครับ ถ้าทำได้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ในการลงทุนอย่างแน่นอนครับ (http://smilies.exteen.com/images/xixi/07.gif) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MOOK ที่ กันยายน 22, 2009, 12:59:07 PM :)
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 23, 2009, 02:55:49 PM ngoodin
แฟนพันธุ์แท้ ออนไลน์ กระทู้: 1305 Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน ? ตอบ #6485 เมื่อ: วันนี้ เวลา 01:31:57 pm ? -------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: WORLD ที่ วันนี้ เวลา 11:37:13 am us ที่ว่านี้คือ ธนบัตร ใช้มั้ยครับ หรือมีกองทุน USD ด้วย หมายถึงธนบัตรคร้าบบบ อ้างจาก: ส้มโอมือ ที่ วันนี้ เวลา 12:17:34 pm --ข่าวนี้มีประโยชน์ต่อคุญงูดินในการดูดวงมั้ยครับ พายุทรายปกคลุมนครซิดนีย์ มีประโยชน์คร้าบบ คุณส้มโอมือ เพราะดาวเสาร์กำลังจะยกราศีเข้าสู่ภพอริของดวงเมือง ซึ่งดวงเมืองกับดวงโลกอยู่ที่จุดเดียวกันครับ ดังนั้น ปลายปีนี้ต่อไปเป็นเวลาสองปีครึ่งจะเกิดความแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพงไปทั่วโลกคร้าบบบ ผมถึงสนใจในกองทุนการเกษตรไงคร้าาบบ แต่ยังไม่มีตัวที่ถูกใจก็รอ ๆ ดูก่อน ให้คุณส้มโอมือนำร่องไปก่อน คอลัมน์ โหราพยากรณ์ จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 10 ฉบับที่ 2622 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 4 กันยายน 2009 โดย ทวิณัฐ คำพันธ์ ?พระเสาร์? เทพเจ้าแห่งโทษทุกข์ การ ที่ดาวเสาร์ (๗) ไปสถิตในราศีกันย์ เป็นอริกับดวงเมืองและดวงโลกนั้น มีผลดังนี้ ประการแรกคือ มีผลโดยตรงต่อเรื่องของอาหารการกิน เนื่องจากการโคจรของดาวเสาร์ (๗) ครั้งนี้อยู่ในราศีปลายธาตุดิน มีดาวยูเรนัส (๐) ซึ่งอยู่ในราศีมีนเล็ง ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการกลายพันธุ์และสูญพันธุ์ของพืชหลายชนิด ที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารของมนุษย์ ผลไม้จะถอยรส ทั้งยังส่งผลให้เกิดมีความวิปริตแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ พืชที่ไม่ใช้ดินจะกลายเป็นพืชที่ประกอบไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ขณะที่ในผืนดินกลับจะพบแต่สารพิษปลอมปนมากขึ้น พืชสมุนไพรจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ในการเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ พืชที่หายากในป่าลึกจะทยอยสูญพันธุ์ไป ในขณะที่ความต้องการแรงงานด้าน การเกษตรและกสิกรรมจะมีความต้องการมากขึ้น ธุรกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการเกษตรและอุปกรณ์ทางการเกษตรจะเป็นที่ต้องการของ ตลาดมากขึ้น ในขณะเดียวกันการเพาะปลูกพืชผักสมุนไพรเพื่อสุขภาพจะเป็นอาชีพทำเงิน และพลิกฟื้นสร้างความมั่งคั่งให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป โรคร้ายในอดีต ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนให้เสียชีวิตจำนวนมากจะกลับมาระบาดอีกครั้ง โดยกลายพันธุ์มีความรุนแรงมากขึ้น และจะคร่าชีวิตของคนหนุ่มสาวในวัยฉกรรจ์ไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่พึงเฝ้าระวังคือ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ไทฟอยด์ บิด อหิวาตกโรค แม้โรคเหล่านี้จะระบาดในช่วงระยะสั้นๆ แต่ความรุนแรงนั้นคงจะต้องเฝ้าระวังและประมาทมิได้ การย้ายราศีของดาว เสาร์ (๗) ครั้งนี้ดูจะโฟกัสเตือนไปให้ระวังเรื่องของอาหารการกิน และโรคภัยไข้เจ็บเพียงอย่างเดียว แต่ก็ใช่จะมีแต่เรื่องร้าย ยังมีสัญญาณที่ดีซ่อนอยู่คือ โรคร้ายอย่างเช่นมะเร็งบางชนิดจะพบหนทางในการรักษาให้หายขาด แน่นอนว่าพืชพื้นบ้านในเอเชียจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยชีวิตมนุษยชาติผู้ ต้องทนทุกข์ทรมาน?ทุบโต๊ะ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: ribbinn ที่ กันยายน 23, 2009, 08:27:23 PM มาคอยติดตามค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ;D
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 29, 2009, 12:20:04 PM ช่วงนี้ยังไม่เจอบทความใหม่ๆ ไว้เจอแล้วจะมาโพรสต่อนะคะ เรื่องอาจไม่ต่อเนื่องกัน คือพออ่านเจอก็เอามาแปะไว้ เพื่อไว้อ่านเองด้วย แล้วแชร์ให้เพื่อนๆ ที่สนใจ ใครมีอะไรน่าสนใจก็เอามาแปะไว้ด้วยนะคะ
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กันยายน 29, 2009, 01:49:44 PM เอามาจากกระทู้นู๋มินท์แปะไว้กันลืม O0
Re: กฎ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุน ด้วยการวิเคาะห์ทางเทคนิค ? ตอบ #1 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2009, 08:45:13 ? อ้างถึง กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ 1. ดูแนวโน้ม เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว 2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย 3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่ 4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด 5. ใช้เส้นแนวโน้ม เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น 6. ติดตามค่าเฉลี่ย หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน 7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที 8. มองเห็นสัญญาณเตือน Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย 9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด 10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย ทั้งสิบข้อนี้ ใครที่สนใจศึกษาเรื่องเทคนิค ลองนำไปปฎิบัติดูนะครับ นอกจากนี้ยังมีกฎ อื่น ๆ อีกมากมาย เอาไว้จะค่อย ๆ รวบรวมมาฝากกันครับ ขอให้โชคดีมีชัย ร่ำรวยกันทุกคนครับ (จากคุณอาวเฮี้ยงฮง) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: brabus ที่ ตุลาคม 06, 2009, 03:56:33 PM มาศึกษการลงทุน
ขอบคุณ คุณMIJI มากค่ะ ;D ;D ;D หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 08, 2009, 11:58:13 PM (http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8410849/I8410849-1.jpg)
ข้ออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับผม สัญญาณ 1 เข้าเขต rsi overbought ตรงนี้หลายคนเข้าใจผิดว่า overbought แปลว่าหุ้นจะตก แต่ความจริง overbought เป็นแค่จุดควรระวัง เพราะยังไงมันก้อยังชี้หัวขึ้น ไว้ RSI กลับหัวลงก่อนค่อยคิดยังไม่สาย ปล. ผมคิดว่า RSI ไม่เหมาะสำหรับ เป็นเครื่องที่ใช้ตัดสินใจซื้อขาย แต่เหมาะสำหรับการ support การตัดสินใจจากราฟอื่นๆ ปล.2 ดูกราฟหลายประเภทเกินไปจะก่อนให้เกิดความ "งง" ได้ ถ้าสัญญาณบอกต่างกัน ปล.3 ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ - MACD ไม่เหมาะกับการเล่นสั้นหรือดูกราฟ day เลย ปล.4 อันนี้สำคัญสุด เล่นเทคนิคัล ต้องเชื่อกราฟ ไม่งั้นไม่รู้จะดุกราฟไปทำไม ** แก้คำผิดพิมพ์ bought เป็น sold อายยยย จากคุณ : Laganus เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 19:58:04 ไม่ใช่จานปลา แต่ขอแสดงความเห็น RSI และ MACD มักจะมีสัญญาณขัดกันเสมอ RSI เป็น Oscilator ใช้สำหรับเทรดในระบบ Mean Reversion ( ซื้อขาย ตรงขอบการแกว่ง แล้วมาปิด position ตรงค่าเฉลี่ย ) ส่วน MACD เป็น Trend Following indicator ( ซื้อขาย เมื่อมีสัญญาณว่าเกิดเทรนด์ ) โดยธรรมชาติของ 2 indy ..เมื่อราคาขยับขึ้นมาสูงจะไปกระตุก indy จำพวก trend following เช่น MACD ให้ทริกเกอร์ บอกว่าเทรนด์ขึ้นมาแล้ว ในขณะเดียวกัน ราคาที่ขึ้นมาสูง ก็จะไปกระตุกต่อม oscilator เพื่อบอกว่า เวลานี้ แพงไปแล้วนะ ดังนั้น ต้องเลือกเอาสักอันว่าจะอยู่ค่ายไหน ..หรือถ้าจะเชื่อมัน 2 ตัว ( ไม่ค่อยแนะนำเพราะไม่ค่อยได้ตังค์ ) ก็ให้ใช้ MACD เป็น First condition เช่น MA12 > MA26 ถึงจะพิจารณาซื้อ แล้วจะเข้าซื้อขายจุดไหน ให้ดู Trigger จาก RSI อีกที ปล.. อย่าลืมปรับค่า RSI ให้เข้ากับ Momentum ของตลาดด้วย จากคุณ : seun เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 20:36:50 การใช้ RSI ในการหาสัญญาณซื้อขาย แยกเป็น 2 กรณี 1 ช่วง sideway การหาสัญญาณซื้อ/ขาย จากการตัดบริเวณ 30/70 ปกติ 2 ตลาด trending เป็นขาขึ้นชัดเจน ให้ดูเฉพาะ "สัญญาณซื้อ" จาก oversold area เท่านั้น (หากวกกลับขึ้นมาเกิน 60 ได้ ให้ซื้อ) 3 ตลาดขาลงชัดเจน ให้ดูเฉพาะ "สัญญาณขาย" จาก overbought area เท่านั้น (หากวกกลับขึ้นมาเกิน 40 ให้ "ขาย") จากคุณ : babeoil_ja เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 20:52:25 จานปลา ไม่ใช้อินดิเคเตอร์ครับ ดังนั้น ไม่มีสัญญาณซื้อ สัญญาณขายอะไรนั่นหรอกครับ ซื้อ เมื่อแท่งเทียนมันเหมือนจะไม่ลงแล้ว ขาย เมื่อแท่งเทียนมันเหมือนจะไม่ขึ้นแล้ว เข้ามาบอกแค่นี้แหละ ... จากคุณ : อันปังแมน เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 20:42:11 หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 13, 2009, 12:12:18 PM p59
แฟนพันธุ์แท้ ออฟไลน์ กระทู้: 1372 เล่นทองให้มีแต่กำไรไม่มีติดดอย 13-10 ? เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:17:23 am ? -------------------------------------------------------------------------------- วันนี้ขอเปิดหัวข้อใหม่กับข้อมูลใหม่ๆครับ ใครเชื่อก็เล่นตามได้เลยครับ เชื่อ100%ก็เล่นตาม100% เชื่อ10%ก็เล่นตาม 10% ไม่เชื่อเลยก็ไม่ต้องเล่นครับ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เราเล่นทองนะครับ ดังนั้นสิ่งทีเราพูดถึงคือทองคำนะครับ ไม่ใช่เงินบาท เงินจะเป็นอย่างไรผมจะไม่พูดถึง เริ่มวันนี้เลยนะครับ ใครที่มีของตามที่ต้องการแล้วก็ถือต่อไปนะครับ ใครที่ยังไม่มีให้ซื้อเข้าเลยครับ (ซื้อให้มากที่สุดเท่าที่ต้องการซื้อไม่ต้องกลัวติดดอยนะครับเพราะไม่มีคำว่าติดดอยครับ) สมมุติ วันนี้ผมซื้อเข้า 100 บาท ราคา....ไม่ต้องใส่ใจ ทองอยู่ที่ 16600 บาท แต่ไม่ต้องใส่ใจ (แต่จะจดไว้ก็ได้) แต่จงจำไว้ว่า เรามีทองอยู่ 100 บาท ต่อให้ทองจะขึ้นไปบาทละ 20000 บาท เราก็ยังไม่ได้กำไรนะครับ เพราะเราก็ยังมีทองอยู่ที่ 100 บาทเท่าเดิม เราจะมีกำไรก็ต่อเมื่อทองลง ดังนั้น คุณจะซื้อเข้าตอนไหนก็ได้ เช่น คุณซื้อเข้าตอน บาทละ 20000 บาท พอทองลง คุณก็ขายออก เช่นคุณขายออกที่บาทละ 19800 บาท เท่ากับ 19800x100=1,980,000 บาท คุณได้รับเงิน 1,980,000 บาท (คุณยังไม่ขาดทุนนะครับ) พอทองลงไปที่ 19,500 แล้วทองขึ้นคุณก็ซื้อเข้า คุณจะได้ทองคำหนัก 101.53 บาท (19500x101.53=1,989,835บาท)จะเห็นว่าคุณกำไรทองคำตั้ง1.53 บาทเป็นต้น และนี้คือวิธีเล่นทองคำแบบกำไรแน่ๆไม่มีติดดอย ***ใครเชื่อก็ตามมา ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องตาม เราเล่นทอง ไม่เกี่ยวกับเงินบาท จะได้กำไรมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกานเข้าออกแต่ละครั้งว่าเราเข้าออกได้แม้นแค่ไหน แต่กำไรทุกครั้งที่เข้าออกแน่นอนและไม่มีติดดอย ------------------------------------------------------------------------------------ แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือพอขายแล้วลง ไม่กล้าซื้อกลับเพราะกลัวจะลงอีก หรือขายไปแล้วขึ้นต้องซื้อแพงกว่าที่ขายไป การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 13, 2009, 12:37:38 PM StarTree
เด็กอนุบาล ออฟไลน์ กระทู้: 1 Re: เล่นทองให้มีแต่กำไรไม่มีติดดอย 13-10 ? ตอบ #12 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:31:57 am ? -------------------------------------------------------------------------------- ถูกต้องแล้วครับ ปี ราคาทองต่ำสุด ราคาทองเฉลี่ย ราคาทองสูงสุด %เติบโตต่อปี %เติบโตต่อปี(สะสม) 2006 10050.00 10887.00 13000.00 2007 10450.00 11395.00 13400.00 4.67 4.67 2008 12200.00 13794.00 15450.00 21.05 13.35 2009 13550.00 15302.00 16600.00 10.93 13.52 ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ใครเล่นทองระยะสั้นแล้วได้กำไรต่ำกว่าปีละ 13% ถือว่าขาดทุนต้นทุนแล้วครับ (สู้เก็บข้ามปีไม่ได้) เพราะจะตามไม่ทัน อัตราการเติบโต ของทอง (เงินมันเฟ้อ) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: sunflower ที่ ตุลาคม 15, 2009, 04:36:02 PM p59 แฟนพันธุ์แท้ ออฟไลน์ กระทู้: 1372 เล่นทองให้มีแต่กำไรไม่มีติดดอย 13-10 ? เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:17:23 am ? -------------------------------------------------------------------------------- วันนี้ขอเปิดหัวข้อใหม่กับข้อมูลใหม่ๆครับ ใครเชื่อก็เล่นตามได้เลยครับ เชื่อ100%ก็เล่นตาม100% เชื่อ10%ก็เล่นตาม 10% ไม่เชื่อเลยก็ไม่ต้องเล่นครับ ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เราเล่นทองนะครับ ดังนั้นสิ่งทีเราพูดถึงคือทองคำนะครับ ไม่ใช่เงินบาท เงินจะเป็นอย่างไรผมจะไม่พูดถึง เริ่มวันนี้เลยนะครับ ใครที่มีของตามที่ต้องการแล้วก็ถือต่อไปนะครับ ใครที่ยังไม่มีให้ซื้อเข้าเลยครับ (ซื้อให้มากที่สุดเท่าที่ต้องการซื้อไม่ต้องกลัวติดดอยนะครับเพราะไม่มีคำว่าติดดอยครับ) สมมุติ วันนี้ผมซื้อเข้า 100 บาท ราคา....ไม่ต้องใส่ใจ ทองอยู่ที่ 16600 บาท แต่ไม่ต้องใส่ใจ (แต่จะจดไว้ก็ได้) แต่จงจำไว้ว่า เรามีทองอยู่ 100 บาท ต่อให้ทองจะขึ้นไปบาทละ 20000 บาท เราก็ยังไม่ได้กำไรนะครับ เพราะเราก็ยังมีทองอยู่ที่ 100 บาทเท่าเดิม เราจะมีกำไรก็ต่อเมื่อทองลง ดังนั้น คุณจะซื้อเข้าตอนไหนก็ได้ เช่น คุณซื้อเข้าตอน บาทละ 20000 บาท พอทองลง คุณก็ขายออก เช่นคุณขายออกที่บาทละ 19800 บาท เท่ากับ 19800x100=1,980,000 บาท คุณได้รับเงิน 1,980,000 บาท (คุณยังไม่ขาดทุนนะครับ) พอทองลงไปที่ 19,500 แล้วทองขึ้นคุณก็ซื้อเข้า คุณจะได้ทองคำหนัก 101.53 บาท (19500x101.53=1,989,835บาท)จะเห็นว่าคุณกำไรทองคำตั้ง1.53 บาทเป็นต้น และนี้คือวิธีเล่นทองคำแบบกำไรแน่ๆไม่มีติดดอย ***ใครเชื่อก็ตามมา ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องตาม เราเล่นทอง ไม่เกี่ยวกับเงินบาท จะได้กำไรมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกานเข้าออกแต่ละครั้งว่าเราเข้าออกได้แม้นแค่ไหน แต่กำไรทุกครั้งที่เข้าออกแน่นอนและไม่มีติดดอย ------------------------------------------------------------------------------------ แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือพอขายแล้วลง ไม่กล้าซื้อกลับเพราะกลัวจะลงอีก หรือขายไปแล้วขึ้นต้องซื้อแพงกว่าที่ขายไป การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง พี่ค่ะ พยามอ่านแล้วก็ยังสับสน ทำมั้ยเราถึงจะได้กำไรก็ต่อเมื่อทองลง ? หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: mvb ที่ ตุลาคม 15, 2009, 04:44:36 PM เค้าอิงจำนวน/น้ำหนักทองครับพี่ ไม่สนใจคำนวนเป็นตัวเงินครับ
น่าจะประมาณนี้ครับ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 16, 2009, 04:28:31 PM ใช่จ้ะเขาเน้นจำนวนทอง ไม่เน้นเงินค่ะ
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 16, 2009, 09:18:13 PM 1. จำนวนเงินลงทุน จงแบ่งเงินลงทุนเป็น สิบส่วนเท่าๆ กัน และอย่าลงทุนซื้อ หรือขายเกินหนึ่งในสิบของเงินลงทุนใน การซื้อ ขายแต่ละครั้ง
2. ใช้คำสั่ง STOP ORDERS ควรป้องกันการลงทุน โดยการตั้ง STOP ORDER 3 - 5 ช่วง ต่ำกว่าราคาที่ซื้อ หรือสูงกว่าราคาที่ขาย 3. อย่าซื้อ หรือขายเกินตัว เพราะจะเป็นการฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับจำนวนเงินลงทุนในข้อ 1 4. อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน หลังจากที่ท่านมีกำไร 3 ช่วง หรือมากกว่านั้น จงยกระดับ STOP ORDER ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ขาดทุน 5. อย่าเริ่มก่อนแนวโน้ม อย่าซื้อหรือขายถ้าท่านยังไม่แน่ใจ ในแนวโน้มตามแผนภูมิของท่าน 6. เมื่อสงสัย ให้ออกจากตลาด และอย่าเข้าตลาดถ้ายังสงสัย 7. ซื้อขายเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขายมาก อย่ายุ่งกับหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวช้าหรือแน่นิ่ง 8. จงกระจายความเสี่ยง ซื้อขายหุ้นอย่างน้อย 4 ถึง 5 บริษัท ถ้าเป็นไปได้อย่าลงทุนจนหมดตัวในหุ้นของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง 9. จงอย่าใช้ราคาเฉพาะ ทั้งการซื้อ และการขาย จงใช้ราคาตลาด 10. อย่าขายหุ้นทิ้งโดยไม่มีเหตุผลที่ดีพอ ใช้ STOP ORDER เพื่อป้องกันกำไรหดหาย 11. จงสะสมกำไรไว้หลังจากที่ท่านประสบความสำเร็จ และมีกำไรติดต่อกันหลาย ๆ ครั้ง จงสำรองส่วนกำไรนี้ไว้ต่างหาก เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน หรือตอนที่มีการตื่นตระหนก 12. อย่าซื้อเพียงแต่เพื่อจะเอา เงินปันผล 13. อย่าเฉลี่ยการขาดทุน เพราะนี่เป็นความผิดที่เลวร้ายที่สุดที่นักค้าหุ้นอาจทำได้ 14. อย่าออกจากตลาดเพียงเพราะว่าท่านหมดความอดทน หรือเข้าตลาดเพียงเพราะว่าท่านไม่อยากรอ 15. จงหลีกเลี่ยงการขายเพื่อเอากำไรแต่น้อย และยอมขาดทุนมาก 16. จงอย่ายกเลิกคำสั่ง STOP ORDER ที่ท่านสั่งตอนที่ท่านซื้อขายหุ้นนั้น 17. จงหลีกเลี่ยง การเข้า และออกจากตลาดบ่อยเกินไป 18. จงพร้อมที่จะขาย เช่นเดียวกับซื้อ และยึดวัตถุประสงค์ในการทำกำไรให้แน่วแน่ 19. จงอย่าซื้อเพียงเพราะราคาต่ำ และอย่าขายเพียงเพราะคิดว่าราคาสูง 20. จงระวังการปิระมิดในจังหวะที่ผิด จงรอจนกระทั่งเริ่มมีการซื้อขายมาก และระดับราคาได้วิ่งขึ้นผ่านระดับด้านท่านก่อนที่จะซื้อเพิ่ม และรอจนกระทั่งราคาได้วิ่งตกต่ำกว่าระดับจำหน่ายจ่ายแจกก่อนที่จะขายเพิ่มขึ้น 21. เมื่อซื้อ จงสะสมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนน้อย และถ้ายืมหุ้นคนอื่นมาขาย จงยืมหุ้นในบริษัทที่มีจำนวนทุนจดทะเบียนมาก 22. อย่าป้องกันการขาดทุนในหุ้นที่ซื้อมา โดยการยืมหุ้นจากคนอื่นมาขายก่อน จงขายหุ้นที่ซื้อมาในราคาตลาด และยอมรับการขาดทุนเพื่อคอยโอกาสครั้งต่อไป 23. อย่าเปลี่ยนสถานภาพการลงทุน (POSITION) ในตลาดโดยไม่มีเหตุผลที่ดี เมื่อท่านตัดสินซื้อ หรือขายหุ้นแล้ว จงให้โอกาสมันตามเหตุผลที่ดีบางประการ หรือตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเพิ่งขายออกไปจนกว่าที่สัญญาณบอกว่า แนวโน้มได้เปลี่ยนทิศทาง 24. จงหลีกเลี่ยงการเพิ่มพอร์ทหลังจากที่ประสบความสำเร็จ และมีผลกำไรมาเป็นระยะเวลานาน หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 18, 2009, 02:36:47 PM ใครอ่านแล้วเข้าใจช่วยอธิบายให้ด้วยนะคะ ???
การวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยวิธีทางเทคนิค เทคนิคพ้อยท์แอนด์ฟิคเกอร์ (Point & Figure) เทคนิคพ้อยท์แอนด์ฟิคเกอร์ POINT & FIGURE TECHNIQUE เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่นิยมใช้กันมากชนิดหนึ่ง ในการหาจังหวะเวลาในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ โดยมีข้อดีในแง่ที่ว่าเข้าใจง่าย และมีสัญญาณชัดเจนในการบอกให้ซื้อหรือขาย ข้อมูลที่ใช้ต้องการเพียงระดับราคาหุ้นสูงสุด และต่ำสุดในแต่ละวันเท่านั้น (หรือระดับราคาสุดท้ายในแต่ละช่วงเวลา ในกรณี POINT & FIGURE แบบ INTRADAY) วิธีการกำหนด BOX SIZE สำหรับทำแผนภูมิพ้อยท์แอนด์ฟิคเกอร์ ตามแนวตั้งของตารางกราฟ จะแสดงการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาหุ้นที่นำมาทำ โดยใช้อัตราส่วน 1 ช่อง (BOX) ต่อ 1 ช่วงราคาตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ อาทิเช่น หุ้น ABC ระดับราคาอยู่ประมาณ 150 บาท ตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาช่วงละ 1 บาท ดังนั้น ในกระดาษกราฟ 1 ช่องจะเท่ากับ 1 บาทนั่นเอง และเมื่อหุ้น ABC มีราคาขึ้นไปเกิน 200 บาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเป็นช่วงละ 2 บาท ช่องถัดไปจากช่องที่ราคา 200 บาทขึ้นไปจะคิดเป็น 1 ช่องเท่ากับ 2 บาท ตารางการเปลี่ยนแปลงช่วงราคา ราคาหุ้น (บาท) ช่วงละ (บาท) ตั้งแต่ 0 ถึงน้อยกว่า 2 0.01 ตั้งแต่ 2 ถึงน้อยกว่า 5 0.02 ตั้งแต่ 5 ถึงน้อยกว่า 10 0.05 ตั้งแต่ 10 ถึงน้อยกว่า 25 0.10 ตั้งแต่ 25 ถึงน้อยกว่า 50 0.25 ตั้งแต่ 50 ถึงน้อยกว่า 100 0.50 ตั้งแต่ 100 ถึงน้อยกว่า 200 1.00 ตั้งแต่ 200 ถึงน้อยกว่า 400 2.00 ตั้งแต่ 400 ขึ้นไป 4.00 หมายเหตุ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สามารถเลือกใช้ BOX SIZE ตามตารางข้างต้น หรือ ใช้ BOX SIZE เท่ากับ 0.5-1.0% ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ วิธีการสร้างแผนภูมิ POINT AND FIGURE แบบ DAILY 1. ในวันเริ่มทำแผนภูมิ ถ้าราคาปิดเป็นบวก จากราคาปิดครั้งก่อน ให้เขียนเครื่องหมาย X ตั้งแต่ราคาต่ำสุดของวันนั้นขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุดของวันนั้น แต่ถ้าราคาปิดเป็นลบ ก็ให้เขียนเครื่องหมาย O ตั้งแต่ราคาสูงสุด ลงมาจนถึงราคาต่ำสุดของวันนั้น (ถ้าเป็นหุ้นใหม่เข้าตลาดในวันแรก ก็ให้ดูว่าราคาปิดสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาเปิด ถ้าสูงกว่าให้ถือว่าราคาปิดเป็นบวกแล้วเขียนเครื่องหมาย O) 2. ในวันต่อมา กรณีที่ในแผนภูมิเป็นแถวของ X อยู่ หากราคาสูงสุดยังคงสูงขึ้นกว่าเดิมก็ให้เขียนเครื่องหมาย X ต่อขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุดของวันนั้น และในทางกลับกันกรณีที่ในแผนภูมิเป็นแถวของ O และราคาต่ำสุดของวันก็ยังต่ำกว่าครั้งก่อนให้เขียนเครื่องหมาย O ต่อลงมาจนถึงราคาต่ำสุดนั้น 3. กรณีที่ราคาหุ้นเริ่มมีการเปลี่ยนทิศทาง คือเมื่อเราอยู่ในแถวของเครื่องหมาย X ซึ่งวันต่อมาเราต้องดูที่ราคาสูงสุด แต่เมื่อปรากฎว่าราคาสูงสุดของวันใหม่ที่เรากำลังดูมีราคาเท่าเดิม หรือต่ำกว่าเดิมก็ให้ไปพิจารณาดูที่ราคาต่ำสุด ถ้าราคาต่ำสุดต่ำกว่าราคาสูงสุดเดิมที่ทำไว้ในกระดาษกราฟเมื่อครั้งก่อน ตามช่วงราคาที่กำหนดไว้ (REVERSAL) เช่น ตั้งแต่ 3 ช่วงราคาเป็นต้นไป ก็ให้เขียนเครื่องหมาย O ในแถวถัดมาด้านขวามือ โดยให้ O ตัวบนสุดอยู่ต่ำกว่า X ในแถวเดิม 1 ช่วง แล้วเขียน O ลงมาจนถึงราคาต่ำสุดในวันนั้น แต่ถ้าราคาต่ำสุดในวันนั้นต่างจากราคาสูงสุดเดิมน้อยกว่าช่วงราคาที่กำหนดไว้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกราฟ ในทางกลับกัน ถ้าเดิมเราอยู่ในแถวของเครื่องหมาย O ซึ่งวันต่อมาเราต้องดูที่ราคาต่ำสุด แต่ปรากฏว่าราคาต่ำสุดใหม่ที่เราดูนั้นเท่าเดิมหรือสูงกว่าเดิม ก็ให้ไปพิจารณาดูราคาสูงสุด ซึ่งถ้าราคาสูงสุดต่างจากราคาต่ำสุดเดิมที่ทำไว้ในกระดาษกราฟเมื่อครั้งก่อนตามช่วงราคาที่กำหนดไว้ เช่น ตั้งแต่ 3 ช่วงราคาเป็นต้นไป ก็ให้เขียนเครื่องหมาย X ในแถวถัดมาทางขวามือ โดย X ตัวล่างสุดอยู่สูงกว่า O ในแถวเดิม 1 ช่องแล้วเขียน X ขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุดในวันนั้น แต่ถ้าราคาสูงสุดในวันนั้นต่างจากราคาต่ำสุดเดิมน้อยกว่าช่วงราคาที่กำหนดไว้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกราฟ http://taladhoon.com/taladhoon/lib/irsta01/irsta01-3.htm หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 19, 2009, 08:12:33 PM ส้มโอมือ
แฟนพันธุ์แท้ ออฟไลน์ กระทู้: 1716 Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน ? ตอบ #7860 เมื่อ: วันนี้ เวลา 06:28:19 am ? -------------------------------------------------------------------------------- สวัสดีครับเพื่อนๆ ตอนนี้ผมสนใจจะเริ่มการอ่านการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกครั้ง เพื่อนๆที่สนใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่ยังรู้น้อยมากแบบผม เราเริ่มมาอ่านกันอีกรอบดีมั้ย อ่านไปทีละบทพร้อมกัน สงสัยอะไรก็สอบถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไป เวลาพวกเราติดขัดตรงไหนก็ถามเพื่อนที่เก่งทางเทคนิคแล้ว ถ้าเราทำแบบนี้น่าจะทำให้เราเข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากขึ้น เวลาที่คนเก่งเทคนิคแล้วมาให้คำแนะนำก็จะไม่เหนื่อยด้วยครับ ใครอ่านแล้วไม่รู้เรื่องเลยก็ต้องอ่านใหม่เป็นรอบที่2-3ก็ต้องอ่านครับ อ่านหลายรอบแล้วไม่เข้าใจค่อยสอบถามครับ กว่าที่เราจะข้ามไปบทต่อไปก็ควรจะพูดคุยกันก่อนว่าบทนี้ให้อะไรเราบ้าง จุดไหนสำคัญมาก สถานการณ์ปัจจุบันมีอะไรที่ใกล้เคียงกับเนื้อหาในบทบ้าง ดังนั้นกว่าจะขึ้นบท ใหม่ก็ใช้เวลาหลายวัน ดังนั้นเพื่อนๆที่อ่านแล้วยังจับประเด็นไม่ได้ต้องพยายามอ่านหลายรอบนะครับ ตอนนี้ผมเริ่มอ่าน http://inv2.asiaplus.co.th/cms/index.php?sc=educationzone-analyze เมื่อคืนผมอ่านบทที่1จบแล้ว กลับมาอ่านอีกที่ เข้าใจมากกว่าเก่ามาก แล้วจะมาเขียนสิ่งที่จับประเด็นจากบทที่1ให้เพื่อนอ่านและเพื่อนที่เก่งทางเทคนิคแล้วช่วยแนะนำครับ บทที่1 http://inv2.asiaplus.co.th/cms/uploads/pdf_investor/thai/chap01.pdf ผมไปทำงานก่อนครับ เย็นนี้จะลองบอกสิ่งที่ผมจับประเด็นได้ครับ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 20, 2009, 01:14:18 PM ผ่าน 724 ได้ละวิ่งชิวเลยนะ รอดูซิที่ 731 จะเป็นยังไง ลุ้นด้วยค่ะ ลุ้นๆๆๆๆๆๆ !_316 !_316 !_312 !_312 บทที่1ที่ผมอ่านอยู่ ถ้ายังเป็นขาขึ้นอยู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ต้องสูงกว่าจุดสูงสุดครั้งที่ผ่านมา และจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดครั้งที่ผ่านมา(เนื้อหาประมาณนี้ครับ ขอเวลาเรียบเรียงก่อนครับถ้าไม่ดูต้นฉบับประกอบเดียวผิด อันนี้แค่บอกว่าเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ หลายอย่างจะช่วยให้เรามองบทที่1แตกขึ้นครับ) ดังนั้นใครที่ขาsยังมีลุ้นถ้าราคาปิดของวันผ่านจุดสูงสุดครั้งที่ผ่านมาคงต้องยอมแพ้ครับ(อย่าเชื่อมือใหม่ครับ มั่วล้วนๆเลย) สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ติดธุระทั้งวันเลย เลยไม่ได้มา post ตอนกลางวัน คุณส้มโอมือมีเทคนิคดีๆมากฝาก ที่ผมอ่าน คร่าวๆ สรุปได้ว่า - ราคาจะขึ้นเมื่อทำ new high ราคาจะลงเมื่อทำ new low ครับ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 20, 2009, 01:18:43 PM ส้มโอมือ
แฟนพันธุ์แท้ ออฟไลน์ กระทู้: 1722 Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน ? ตอบ #7912 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2009, 10:45:18 pm ? -------------------------------------------------------------------------------- 1.1)ในบทที่1ซึ่งตั้งชื่อว่าโหมโรงนั้น เอ่ยถึงDow Theory เพียงทฤษฏีเดียวเท่านั้น แสดงว่าในมุมมองของผู้เขียน มองว่า Dow Theory สำคัญมากๆสำหรับคนที่ศึกษาทางเทคนิค เพื่อนคนไหนพอจะแนะนำเวปหรือหนังสือดีๆที่เกี่ยวกับ Dow Theory ได้บ้าง ผมมองว่าคนที่สนใจทางเทคนิคไม่ควรพลาดการอ่านและศึกษา Dow Theoryครับ Dow Theory 1)ภาพรวมของตลาดได้ดูดซับเหตุการณ์ทุกอย่างเอาไว้แล้ว แสดงว่าข่าวสารต่างๆ ข่าวลือ ข่าววงใน นโยบายต่างๆของรัฐที่รั่วไหลออกมาสู่คนบางกลุ่ม ข่าวจริงที่เปิดเผยในวงกว้าง ดังนั้นนักเทคนิคไม่เอาข่าวต่างๆมายุ่งอีก เพราะทุกอย่างกลายเป็ผลลัพธ์ของวันนั้นแล้ว ทางเทคนิคดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่ต้องรู้ที่มาของผลก็ได้ ทางด้านปัจจัยพื้นฐานนั้นคุณไม่มีทางตามข่าววงในทันแน่ กว่าข่าวจะมาถึงผลลัพธ์ก็แสดงในราคาปิดของวันนั้นก่อนที่ข่าวจะมาถึงแล้ว บางทีข่าวมาช้ากว่าผลลัพธ์ทางเทคนิคตั้งหลายวัน 2)แนวโน้มขาขึ้นต้องมีลักษณะดังนี้ จุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้นจะต้องอยู่สูงกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งอันก่อนหน้า ส่วนแนวโน้มขาลงจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่เกิดขึ้น จะต้องอยู่ต่ำกว่าจุดยอดและจุดก้นบึ้งที่อยู่ก่อนหน้าครับ(จำง่ายๆขาขึ้นต้องทำnew high ขาลงต้องทำnew low) ถ้าsetจะยังเป็นขาขึ้นอยู่ก็ต้องสร้างhighใหม่ให้ได้ครับ(ดูราคาปิดของวันนะ) ถ้าทำhighใหม่ได้ก็ยังไม่จบขา5เป็นแค่การย่อตัวของขา3ย่อยไป4ย่อย(Minor) ถ้าsetสร้างhighใหม่ไม่ได้ก็คงจะเกิดการปรับฐานคือจบขา5แล้ว(Secodary) ในข้อสองมีศัพท์คำว่า Primary(กินเวลา1ปีขึ้นไป) Secondaryกินเวลา3สัปดาห์ถึง3เดือน(คือช่วงการปรับฐานบางครั้งกินเวลา1/3หรือ2/3แต่บ่อยครั้งก็1/2ของเวลาในPrimaryและMinorกินเวลา3สัปดาห์(น่าจะแค่เป็นการย่อตัวของราคา) -----จากเหตุการณของsetตอนนี้ setขึ้นรุนแรงจาก380มาถึงจุดสูงสุดครั้งนี้วิ่งแรงมาก ถึงจะใช้เวลาไม่ถึงปีแต่ความรุนแรงของการขึ้นผมมองว่าเป็นPrimary ส่วนต่อจากนี้จะเป็นsecondary(ปรับฐาน)หรือMinorต้องรอดูระยะเวลาของการปรับราคาลงมา ถ้าน้อยกว่า3สัปดาห์ซึ่งเวลาน้อยขนาดนี้setคงลงไม่รุนแรง คงเป็นแค่การย่อตัว(ถ้าย่อตัวก็อาจจะยังไม่จบwave5ครับ เป็นแค่ปรับจาก3ย่อยมาขา4(abc)เพื่อขึ้น5ย่อยต่อไปครับ(ผมขอนำกราฟของคุณลุงโฉลกผู้ใจดีมาประกอบคำอธิบายครับ) http://www.chaloke.com/spaw/images/091019_01.jpg แต่ถ้าลงมาแรงและกินเวลานานก็ต้องเป็นการปรับฐานครับ(Secondary) ซึ่งแสดงว่าจบwave5ไปแล้ว(ปรับฐานabcเหมือนกัน) setผมไม่รู้ว่าจึ้นจากจุดต่ำสุดประมาณเดือนไหน(น่าจะเป็นมีนาคมหรือเมษยน) เพื่อความสะดวกผมให้เป็นเดือนเมษายนครับ ถ้าจบคลื่น5ไปแล้ว ก็กินเวลาจากจุดต่ำสุดมาสูงสุดก็6เดือน ดังนั้นเวลาของช่วงการปรับฐานถ้า1/3(2เดือน) ?(3เดือน) 2/3(6เดือน) ทั้งหมดนี้ เดา มั่ว นึกไปเอง ขอเชิญคุณngoodin คุณTouneคุณseam888 ช่วยแนะนำด้วยครับ ถ้ารักเพื่อนๆต้องทักท้วงในสิ่งที่ผมผิดนะ ผมอ่านจากบทที่1ครับ มีก็แค่เอาคลื่น12345ซึ่งไม่ได้อยู่ในบทที่1 มาประกอบเท่านั้นครับ จะหาเวลาเขียนบทที่1ตอน2(1.2) ไม่แน่ใจว่าเพื่อนๆอ่านของผมแล้วยิ่งงงกว่าเก่าก็ได้ครับ!_09 หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 27, 2009, 09:42:14 AM !10 !10 หุ้นจีนคือหุ้นฮั่งเส็งใช่ไหมครับ!!!! รบกวนผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ.......แล้วดูกราฟที่ไหนครับ !17 !17 !17 จะเล่นกองไหนค่ะ ของทหารไทย (CHEQ) หรือ กสิกร (เพิ่งเปิดขายครั้งแรก) ทหารไทย ดูกราฟกองทุนหลัก 2823HK [url]http://www.google.com/finance?q=HKG:2823[/url] [url]http://www.bloomberg.com/apps/quote?ticker=2823%3AHK[/url] [url]http://finance.yahoo.com/q?s=2823.HK[/url] ดูตลาดหุ้นหลัก ตลาดเซี่ยงไฮ้ [url]http://www.google.com/finance?q=SHA:000001[/url] [url]http://www.bloomberg.com/apps/quote?ticker=SHCOMP:IND[/url] [url]http://finance.yahoo.com/q?s=000001.SS[/url] ดูตลาดที่ใช้ซื้อขายประกอบ ตลาดหั่งเส็ง [url]http://www.google.com/finance?q=INDEXHANGSENG:.HSI[/url] [url]http://finance.yahoo.com/q?s=[/url]^HSI&= ถ้าเป็นกองทุนของกสิกร คงดูตลาดหลักเซี่ยงไฮ้ประกอบได้ แต่กองทุนหลัก และตลาดซื้อขาย(ไม่แน่ใจว่าเป็นตลาดไหน)ยังหากราฟไม่พบค่ะ ตรงตามที่ถามหรือเปล่าคะ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ตุลาคม 31, 2009, 11:08:49 AM Nicegold
แฟนพันธุ์แท้ ออฟไลน์ กระทู้: 266 Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน ? ตอบ #8505 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2009, 11:35:35 am ? -------------------------------------------------------------------------------- อ้างจาก: kaset123 ที่ ตุลาคม 30, 2009, 11:13:36 am ผมว่าจะลองเข้าเล่นกองทุน k oil กับ K Gold ไม่ทราบว่า ถ้าเราซื้อกองทุนวันนี้ เราจะได้ราคามูลค่าหุ้นเท่าไหร่ครับ และดูราคาตลาดที่อ้างอิงจากไหนครับ ทั้งสองตัว (มือใหม่หัดเล่นครับ) รบกวนพี่ช่วยชี้แนะด้วยครับ ขอตอบคุณkaset123 เพราะดิฉันก็มือใหม่ ยังรู้สึกว่าตั้งหลักกับการลงทุนไม่ได้ แต่นำเอาประสบการณ์มาแนะนำ อาจช่วยคุณได้บ้างนะค่ะ K-OIL K-GOLD เป็นกองทุนซื้อ-ขายผ่านธนาคารกสิกรไทย ขั้นต่ำ 10000 บาท 1.K-OIL 1.1 http://www.kasikornasset.com/portal/site/KAsset/menuitem.f0d46c8c1cd8abc78b0de701658f3fa0/?vgnextoid=7d8eafd6ed3d2210VgnVCM1000007102a8c0RCRD&vgnextchannel=b518a761168fd010VgnVCM10000056f8f30aRCRD 1.2 อ้างอิงราคา West Texas Intermediate Crude Oil ในตลาดนิวยอร์คปิดประมาณตี 4 http://www.uprr.com/customers/surcharge/wti.shtml ถ้าซื้อวันนี้จะใช้ค่า NAV ของวันนี้ ซึ่งต้องรอราคาคืนนี้ปิดก่อนค่ะ และจะแสดงค่า NAV วันอังคารที่ 3/11/52 เวลาประมาณ 11.00น. 1.3 การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในแต่ละวัน http://quotes.post1.org/historical-crude-oil-price-chart/ http://www.cx-portal.com/wti/oil_en.html 1.4 ซื้อ-ขายก่อนเวลา 15.30 น. 2. K-GOLD 2.1 http://www.kasikornasset.com/portal/site/KAsset/menuitem.f0d46c8c1cd8abc78b0de701658f3fa0/?vgnextoid=f3b667caeebfa110VgnVCM1000007102a8c0RCRD&vgnextchannel=b518a761168fd010VgnVCM10000056f8f30aRCRD 2.2 กองทุนนี้ซื้อขายในตลาดสิงค์โปร์ ใช้ราคาปิดประมาณเวลา 16.00 น. เว็ปไซด์ที่ดูราคาได้ใกล้เคียง http://www.sgx.com/wps/portal/marketplace/mp-en/home ข้อมูลกองทุนนี้ค่ะ http://www.spdrgoldshares.com/sites/sg/ ถ้าซื้อวันนี้จะใช้ค่า NAV ของวันนี้ ที่รอปิดเวลา 16.00 น. และจะแสดงค่า NAV วันจันทร์ที่ 2/11/52 เวลา 11.00 น. 2.3 เวลาซื้อก่อน 15.30 น. เวลาขายคืนก่อน 14.30 น. ตารางวันหยุดของ K-OIL, K-GOLD ,ข้อมูลสับเปลี่ยนกองทุนของ KBANK (http://www.thaigold.info/forum/index.php?action=dlattach;topic=1764.0;attach=7227;image) (http://www.thaigold.info/forum/index.php?action=dlattach;topic=1764.0;attach=7228;image) (http://www.thaigold.info/forum/index.php?action=dlattach;topic=1764.0;attach=7229;image) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 10:20:55 AM :)สวัสดีค่ะเจ๊มิจิ มาเอากราฟอู้ดค่ะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: nokeang ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 06:42:54 PM :) ขอบคุณค่ะพี่มิจิ ขยันจริงๆ ค่ะ ;)
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ พฤศจิกายน 12, 2009, 12:41:10 PM ^-^
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ พฤศจิกายน 19, 2009, 11:18:42 AM $$$ นักรบกองทุน $$$...บำรุงรักษากองทัพให้เติบโตด้วยแนวคิด..อนัตตา{แตกประเด็นจาก I8561478}
กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก I8561478 สวัสดีครับ... เหล่านักรบกองทุนทั้งมือเก่ามือใหม่ ทั้งที่ร่วมรบเคียงข้างกันและซุ่มอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน @^_^@ เดินทางมาเกินครึ่งหนึ่งของสัปดาห์แล้ว ...ข่าวสารทางเศรษฐกิจจากฝากฝั่งสหรัฐ มีผลกระทบมาถึงเอเชีย ล่าสุดรายงานการสร้างบ้านใหม่ลดลงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอีกตามเคย ...ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ น้องดาว..บวกขึ้นมาเกินกว่า 1 หมื่นจุดได้แล้วแท้ๆ ..เป็นส่วนหนึ่งที่ฉุดดึงดัชนีหลายๆตลาดให้ผันผวน...มีอาการผิดปรกติ เมื่อปี 2540 ...คนที่รักในตำแหน่งหน้าที่ทุ่มเททำงานประหนึ่งว่าบริษัทเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ยังต้องเก็บข้าวของกลับมานอนว่างงานที่บ้านหลายแสนอัตรา...ทรัพย์สินที่หาไว้ก็ร่อยหรอ สูญสิ้นความมั่นใจในวิชาชีพ หนี้สินสไตล์มนุษย์เงินเดือน(บัตรเครดิต/สินค้าเงินผ่อน)เข้ารุมซ้ำเติม ....เหลือเพียงสมบัติเก่าๆ ให้เปิดท้ายขายของ... ...หันกลับไปมองนายจ้าง ตำแหน่งสวยหรู เพื่อนร่วมงาน ลูกค้าเก่า ล้วนเป็นเพียงฉากละครในอดีต ...คนที่อยู่กับเราเสมอ..หาใช่ใครอื่น..ตัวเรานี่เอง ....ถัดไปก็คือ คนที่เรารัก และรักเรา นั่นคือ ครอบครัวของเรา ย้อนกลับมามองการลงทุน... หากเรายึดมั่นถือมั่นในหุ้นบริษัทที่ลงุทน ตราสาร หน่วยลงทุนต่างๆ มากจนเกินไป คิดว่านั่นคือสิ่งที่จะตกทอดสืบเนื่องยาวนาน...สร้างผลตอบแทนไปจนแก่เฒ่า นั่นอาจเป็นเพียงภาพลวง ....อนัตตา หมายถึง ไม่มีตัวตน สภาพที่ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ..บริษัทจะเพิ่มทุน จะลดทุน จะปิดหนี จะควบรวม คุณได้แต่มองเฉยๆ ...ดูบริษัท ITV นั่นเป็นไร.... ...อย่ายึดติด..อย่าถือหน่วยลงทุนด้วยความหวังว่ามันจะยั่งยืนจนเกินไปนัก เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นอนัตตา ...เป้าหมาย 3KpW เป็นแนวทางหนึ่งที่ผมนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอนัตตา..เมื่อถึงเป้าหมายอันพอเพียง..จึง(ขาย)เพื่อนำผลที่ได้มาหล่อเลี้ยงตัวเราเองและคนที่เรารัก ....ไม่มีใครรู้อนาคตว่าตลาดจะ Bullish หรือ Bearish ...นักรบกองทุน..ลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงที่ไร้ตัวตน รับรู้และพึงพอใจในขอบเขตของเป้าหมาย มอบความสุขให้กับคนที่เรารักและรักเรา ไม่คิดถือครอง ไม่คิดควบคุมในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้..เพราะทุกสิ่งล้วนอนัตตา จากคุณ : tuxpower เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 07:08:33 หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 09:06:23 PM vve
Newbie Offline Posts: 34 Re: กองทุน OIL and AUD ? Reply #1280 on: Today at 05:36:06 PM ? Quote -------------------------------------------------------------------------------- Quote from: MIJI on Today at 01:13:32 PM Quote from: dang1976 on Today at 10:33:09 AM Quote from: MIJI on Today at 09:33:24 AM ขอบคุณคุณแดงนะคะ ที่ผ่านมาซื้อขายเคออยก็ดูแต่ ราคา Crude Oil $78.04 ?0.57 0.74% 21:13 PM EST - 2009.11.22 ส่วน dbo http://www.bloomberg.com/apps/quote?ticker=DBO:US (http://www.bloomberg.com/apps/quote?ticker=DBO:US) ไม่รู้ว่าดูราคาปิดที่ไหน สวัสดีค่ะคุณตองเอ ตอนนี้พี่ก็ชักสับสนแล้วค่ะ ไม่รู้ kf-oil จะอ้างราคาปิด dbo อยู่หรือเปล่า --------------------------------------------------------------- เท่าที่แดงอ่านกระทู้ใน pantip มาก kf-oil ยังอ้างอิง dbo นะค่ะ --------------------------------------------------------------- เท่ากับใช้ราคาเดียวกัน แต่เห็นเขาคุยกันว่า kf ใช้ราคาย้อนหลัง คือรู้ราคาก่อนใช่ไหมคะ แล้วเราจะทราบราคาปิดแต่ละวันได้ยังไงคะ เพราะตอนตีสี่คงมานั่งจ้องไม่ไหว -------------------------------------------------------------- KF-OIL ราคาปิด WTI>http://www.bloomberg.com/markets/commodities/energyprices.html (http://www.bloomberg.com/markets/commodities/energyprices.html) ราคาปิด DBO>http://finance.yahoo.com/q/hp?s=DBO (http://finance.yahoo.com/q/hp?s=DBO) ราคาวันที่ 23 พย.ใช้ราคา DBO 27.51 Simulate Nav offer 10.89 bid 10.79 23 พย. realtime 17.17 WTI 78.53 Simulate DBO 27.97 Simulate NAV bid 10.98 ถ้าราคาปิด 78.53 ราคา Nav ไม่น่าต่ำกว่า 10.98 เรารู้ราคาที่ซื้อวันนี้ offer 10.89 และราคา realtime WTI 78.53 = 10.98 (ถ้าปิดที่ราคานี้) เราจะได้ผลตอบแทน 0.82% หลังหักค่าธ/ม นี่คือความหมายของคำว่า รู้ราคาก่อน (ซื้อและขาย) ทำให้ KF-OIL จึงเสียค่าต๋ง 1% ซึ่งแพงกว่า K oil 0.3% พี่มิจิติดใจตรงไหนถามได้ครับ จะกระซิบข้างหูเลย..ยิ้ม K.AAA คงได้คำตอบแล้ว หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ ธันวาคม 24, 2009, 10:25:23 PM อ้างจาก: Cheewathep ที่ สิงหาคม 24, 2009, 06:37:36 pm
อ้างจาก: otter ที่ สิงหาคม 24, 2009, 06:22:41 pm กองทุน K-Oil เป็น feeder fund ไปยัง DBO หรือ PowerShares DB Oil Fund (ETF) การที่ผลตอบแทนของ spot oil ที่เราเห็นกับตัว ETF แตกต่างกันนั้นจะต้องเข้าใจธรรมชาติของ DBO ซึ่งเข้าไปซื้อ future contract ของน้ำมัน ไม่เหมือนกับ Gold ETF ซึ่งไปลงทุนซื้อทองคำแท่งจริงๆ แล้วเก็บไว้ในเซฟ ทำให้ราคา Gold ETF ใกล้เคียงกับ gold spot price ผลตอบแทนของ DBO ขึ้นกับ 1. การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมัน spot price 2. ดอกเบี้ยที่ได้จากเงินส่วนที่ไม่ได้ลงทุนใน oil future contract 3. ROLL YIELD ซึ่งข้อ 3 นี้เป็นข้อที่เข้าใจค่อนข้างยาก ก่อนอื่นสัญญา oil future จะมีเทรดทุกเดือน (เหมือนกับ gold future ของไทยที่มีเทรดทุกเดือนคู่) ถ้าราคาของ oil future เดือนใกล้ถูกกว่าเดือนที่ไกลออกไป เราเรียกว่า Contango แต่ถ้าราคาของ oil future เดือนใกล้แพงกว่าเดือนที่ไกลออกไป เราจะเรียกว่า Backwardation DBO จะถือ oil future ของเดือนที่ใกล้ แต่เนื่องจากกองทุน DBO ไม่อยากรับส่งมอบน้ำมัน เมื่อสัญญาใกล้จะหมดเดือน DBO จะต้องขายสัญญาเดือนที่ถืออยู่ออกไป (เดือนใกล้) แล้วเข้าไปซื้อสัญญาของเดือนถัดไป ซึ่งถ้าราคาเป็น Contango อยู่ เมื่อ DBO roll oil future contract กองทุน DBO ก็จะขาดทุน เนื่องจากขายเดือนถูก ไปซื้อเดือนที่แพงกว่า (เราเรียกว่า negative roll yield) ในทางตรงกันข้าม ถ้าราคา oil future เป็น Backwardation กองทุน DBO ก็จะขายสัญญาเดือนที่ถืออยู่ได้ที่ราคาสูงกว่า แล้วไปซื้อสัญญาของเดือนถัดไปที่ถูกกว่า กองทุน DBO ก็จะได้กำไร เนื่องจากขายเดือนแพง ไปซื้อเดือนที่ถูกกว่า (เรียกว่า positive roll yield) ขณะนี้ oil future เป็น Super-Contango อยู่ คือสัญญาของเดือนที่ไกลออกไป แพงกว่าเดือนใกล้มาก ดังนั้นผลตอบแทนของ DBO ก็จะไม่เท่ากับราคาของ spot oil หรือ WTI ที่เราเห็นอยู่ทั่วไปครับ คือสามารถใช้อ้างอิง แต่ผลตอบแทนจะไม่เท่ากับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน spot แน่นอน อ้างจาก: ngoodin ที่ สิงหาคม 24, 2009, 01:42:32 pm อ้างจาก: ปุณณ์ ที่ สิงหาคม 24, 2009, 01:35:53 pm อ้างจาก: Cheewathep ที่ สิงหาคม 24, 2009, 12:08:56 pm อยากขอ ความรู้เรื่อง K-Oil ครับ ผมงงครับว่า วันที่ 19 สค ครับ NAV อยู่ที่ 9.9346 ครับ แล้วคืนนั้น น้ำมันขึ้น บวกประมาณ 4% ได้ แล้ววันที่ 20 ผมสั่งขายครับค่า NAV กับเหลือแค่ 9.86xx จากที่คิดว่าน่าจะกำไรได้ กลับกลายเป็นขาดทุนไปซะงั้น ใครรู้หรือเล่น K-Oil อยู่รบกวนช่วยตอบด้วยน่ะครับ ขอบคุณครับคุณปุณณ์ อืม ความเสี่ยงสูงแถมยังไม่เป็นไปตามตลาดอีก สงสัยต้องหันหลังให้ k-oil ซะแล้ว ถ้า K OIL ประกาศ NAV วันที่ 19 สค. แสดงว่า คิดจากราคาน้ำมันปิดตลาดคืนวันที่ 19 WTI 72.42 +4.67% DBO 26.56 +2.19% แล้วค่ะ พอคุณสั่งขายวันที่ 20 คุณก็จะได้ราคาปิดตลาดคืนวันที่ 20 WTI 72.91 +0.30% , DBO 26.22 -1.28% แต่เราหา NAV วันที่ 20 ไม่พบ ส่วนราคา 9.9237 เป็นราคาของคืนวันที่ 21 WTI 73.89 +1.34% , DBO 26.52 +1.13% K จะประกาศโดยใช้วันที่ ย้อนหลังนะคะ ระวังไว้ด้วย ไม่เหมือนกับ กองทุนน้ำมันของบริษัทอื่นค่ะ อีกอย่างหนึ่ง คุณดูแต่ราคาน้ำมันอย่างเดียวไม่ได้ เพราะไม่ได้ลงทุนโดยตรงในตลาด แต่ลงทุนผ่านกองทุน ETF คุณลองดูที่เราขีดเส้นไว้ เห็นความแตกต่างไหมคะ กองทุนน้ำมันที่เราซื้อ คิด NAV คนละแบบค่ะ เห็นภาพเลยครับว่า ทำไม ทอง ถึงเล่นง่ายกว่า เพราะกองทุนทอง ถือทองไว้ในมือได้ไม่ซีเรียส แต่กองทุนน้ำมันถือน้ำมันไม่ได้ เพราะไม่มีที่เก็บนั่นเอง 5555 ต้องซื้อจาก Oil Future เพียงอย่างเดียว ไปซื้อแบบ Oil Spot ไม่ได้ (มั้ง) ซึ่งก็ต้องเดาเอาลูกเดียวครับว่า ณ ตอนนั้น จะ Short หรือ Long ไว้มากน้อยกว่ากัน หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: humanizee ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2010, 11:15:42 PM มาศึกษาที่นี่ ท่าทางได้รู้ศัพท์ที่คุย ๆ กันบ้าง อ่านกระทู้อื่น ๆ ไม่ค่อยจะเกจ ฝากตัวด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2010, 09:36:48 PM มาศึกษาที่นี่ ท่าทางได้รู้ศัพท์ที่คุย ๆ กันบ้าง อ่านกระทู้อื่น ๆ ไม่ค่อยจะเกจ ฝากตัวด้วยค่ะ ยินดีจ้ะ ไม่ใช่ยิ่งอ่านยิ่งมืนเหมือนยัยเอ็มนะ ;Dหัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: siamza16 ที่ มีนาคม 17, 2010, 07:24:47 PM มาอ่านด้วยครับ ได้ความรู้บ้างๆก็ดีครับ
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ เมษายน 27, 2010, 02:15:35 PM ngoodin
ผู้นำชุมชน แฟนพันธุ์แท้ ออนไลน์ กระทู้: 2754 Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน « ตอบ #16841 เมื่อ: เมษายน 25, 2010, 05:54:01 pm » -------------------------------------------------------------------------------- เอามาฝากเพื่อนๆ ครับ สำหรับธรรมชาติของกองทุน k-oil เนื่องจากทุกวันที่ 20 ของเดือน กองทุน dbo ซึ่งเป็นกองทุนหลักจะต้องเปลี่ยนสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า ทำให้ nav ของกองทุนลดลง แม้ว่าในวันดังกล่าวราคาน้ำมันดิบ wtic จะเพิ่มขึ้นก็ตาม ดังนั้น จึงส่งผลให้ nav ของ k-oil ลดลงในช่วงวันที่ 19-21 ของเดือน ซึ่งเท่าที่จับดูจะเป็นเช่นนี้แทบจะทุกเดือนทีเดียว ดังนั้น เพื่อน ๆ ที่ซื้อแล้วถือยาว ๆ อย่างคุณ MORLEK จึงได้กำไรไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะพอถึงวันที่ 19-21 ทีไร nav จะลดลงทุกที บางทีลงเยอะถึง 1-2% อย่างเช่นเดือนนี้เป็นต้น จึงควรมีหลักว่า หากซื้อไว้แล้ว พอถึงประมาณวันที่ 18-19 ควรพิจารณาขายออกทำกำไรเสมอ จะออกทั้งหมดหรือบางส่วนก็แล้วแต่ แล้วค่อยรับใหม่วันที่ 20-21 ซึ่งจะทำให้ได้ต้นทุนต่ำลง ไม่ควรถือข้ามเดือนครับ หลักนี้อาจนำไปใช้กับกองทุนน้ำมันอื่น ๆ ที่ใช้ dbo เป็นกองทุนหลักได้ด้วย แต่ผมไม่ได้เล่นกองทุนอื่นจึงไม่ได้ดูค่า nav มาให้ว่าจะเป็นแบบ k-oil หรือไม่ เพื่อน ๆ ลองพิจารณาดูนะครับ (http://www.thaigold.info/forum/index.php?action=dlattach;topic=1764.0;attach=11755;image) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ พฤษภาคม 13, 2010, 11:05:51 AM Chicken Little
แฟนพันธุ์แท้ ออฟไลน์ กระทู้: 368 Re: การลงทุนอย่างพอเพียง ในตลาดทุน « ตอบ #1880 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2010, 10:24:48 am » -------------------------------------------------------------------------------- K-oil ต้องดูค่า NAV. ปิดของ กองทุน DBO ครับ เพราะไปลงทุนผ่านกองทุนนี้อีกครั้ง ดูย้อนหลังได้ที่ http://finance.yahoo.com/q/hp?s=DBO (http://finance.yahoo.com/q/hp?s=DBO) ซึ่ง วันที่ 6 กองทุน DBO NAV.ต่ำกว่าวันที่ 10 6/5/2010 DBO = 26.76 USD = 84.85 10/5/2010 DBO = 27.11 USD = 84.20 ผลคือ ค่า NAV. k-oil ของวันที่ 10 ยังไงก็ต้องสูงกว่าวันที่ 6 ปล.สังเกตุค่าเงิน USD ด้วยนะครับ และการปิดสัญญาส่งมอบของกองทุน DBO ประมาณทุกวันที่ 20 (แล้วแต่จะติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มั้ย) จะมีผลต่อค่า NAV. ในเดือนต่อมาด้วยครับ สนใจจุดนี้นิดนะ จะได้วางแผนได้มีประสิทธิภาพครับ ^ ^ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Piya ที่ พฤษภาคม 31, 2010, 11:49:11 AM รบกวนสอบถามพี่ๆค่ะ
ค่า nav ที่เพิ่ม สมมุติ set 50 วันนี้ 514.00 วันรุ่งขึ้น 520.00 ถ้าลงทุนใน tmbset50 ค่า nav เพิ่มเท่าไหร่คะ ขอบพระคุณค่ะ ;) ;) ;) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ พฤษภาคม 31, 2010, 04:48:38 PM รบกวนสอบถามพี่ๆค่ะ ค่า nav ที่เพิ่ม สมมุติ set 50 วันนี้ 514.00 วันรุ่งขึ้น 520.00 ถ้าลงทุนใน tmbset50 ค่า nav เพิ่มเท่าไหร่คะ ขอบพระคุณค่ะ ;) ;) ;) ใครเล่น tmb ตอบน้องเขาหน่อยเน้อ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: patcha ที่ พฤษภาคม 31, 2010, 08:15:18 PM รบกวนสอบถามพี่ๆค่ะ ไม่ได้เล่นของ TMB เลยมีแต่ Nav ของ K-Set 50 กับราคาปิดของ Set 50 ในแต่ละวัน แต่คิดว่าน่าจะมีข้อมูลย้อนหลังของค่า ที่เวปของ TMB นะค่ะ เอาราคาปิดแต่ละวันไปก่อนแล้วน้องไปหาค่า Nav จาก TMB มาเติมนะค่ะ ค่า nav ที่เพิ่ม สมมุติ set 50 วันนี้ 514.00 วันรุ่งขึ้น 520.00 ถ้าลงทุนใน tmbset50 ค่า nav เพิ่มเท่าไหร่คะ ขอบพระคุณค่ะ ;) ;) ;) วันที่ 17/5/2010 ราคาปิด 527.44 -11.64 Nav…?.... วันที่ 18/5/2010 ราคาปิด 532.13 + 4.69 วันที่ 19/5/2010 ราคาปิด 536.16 - 5.97 วันที่ 24/5/2010 ราคาปิด 519.39 -16.77 วันที่ 25/5/2010 ราคาปิด 502.71 -16.68 วันที่ 26/5/2010 ราคาปิด 508.13 + 5.42 วันที่ 27/5/2010 ราคาปิด 514.05 + 5.92 วันที่ 31/5/2010 ราคาปิด 524.14 +10.09 ถ้าเป็น K-Set 50 สมมุติซื้อที่ 502.71 ขายที่ประมาณ 514.05 +11.34 จุด กำไรจะอยู่ที่ประมาณ 1.75% ได้กำไรเท่าไหร่เอาตังค์..อุ๊ยไม่ใช่ เอาข้อมูลมาแบ่งปันกันด้วยนะค่ะของ TMB หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: patcha ที่ พฤษภาคม 31, 2010, 11:27:13 PM พอดีเห็นน้องเค๊าถามเรื่อง TMB Set-50 ทำให้สงสัยว่าผลกำไรเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ธนาคารไหนจะได้เยอะกว่า เลยเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันดู ว่าลงทุนเท่ากัน ซื้อวันเดียวกัน แล้วก้อขายคืนวันเดียวกัน ปรากฏว่า K Set-50 ที่เล่นอยู่ได้กำไรน้อยสุด :-\(เป็นงั้นไป) เห็นข้อมูลน่าสนใจดีเลยเอามาแปะไว้ที่นี่ด้วยเผื่อมีประโยชน์กะนักลงทุนท่านอื่นๆ
ลงทุนที่10,000 บาท ซื้อ 25/5/2010 (502.71) ขาย 27/5/2010 (514.05) Offer Unit(ที่ได้) Bid % Profit K Set-50 12.5545 796.5271 12.7746 1.7532 TMB Set-50 36.6967 272.5041 37.4093 1.9419 AYFENSet 50 9.4890 1053.8518 9.6776 1.9876 SCB Set Index 7.7876 1284.0926 --- สถานะ รอประกาศ---- แต่ปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อกำไร-ขาดทุนว่าแต่ธนาคารแตกต่างกันยังไงยังไม่มีข้อมูล เพราะ Set-50 พัชลงทุนใน Kbank ที่เดียว ส่วนของ SCB Set Index ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนยังไม่มีออกมา แล้วจะมาเพิ่มวันหลังนะคะ ส่วน Nav ได้มาจาก http://www.thaimutualfund.com/AIMC/aimc_navSearchResult.jsp (http://www.thaimutualfund.com/AIMC/aimc_navSearchResult.jsp) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: patcha ที่ มิถุนายน 01, 2010, 02:19:22 AM :) มาแล้วค่ะ ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนของวันที่ 31/5/2010 ลองเอากองทุนที่ซื้อไว้เมื่อวันที่ ซื้อ 25/5/2010 มาขายวันที่ 31/5/2010 ลองดูบ้างนะค่ะ ซึ่งหุ้นจะขึ้นมาจากวันที่ซื้อ +21.43 จุด
ลงทุนที่10,000 บาท ซื้อ 25/5/2010 (502.71) ขาย 31/5/2010 (524.14) Offer Unit(ที่ได้) Bid % กำไร K Set-50 12.5545 796.5271 13.0280 3.7716 TMB Set-50 36.6967 272.5041 38.1392 3.9309 AYFENSet 50 9.4890 1053.8518 9.8822 4.1437 SCB Set Index 7.7876 1284.0926 8.0909 3.8946 AY ยังครองแชมป์ส่วน Kbank ยังตามหลังอยู่เหมือนเดิม :'( สงสัยต้องหันกลับมามอง AY ใหม่ซะแล้ว หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: Piya ที่ มิถุนายน 01, 2010, 11:09:31 AM :) มาแล้วค่ะ ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนของวันที่ 31/5/2010 ลองเอากองทุนที่ซื้อไว้เมื่อวันที่ ซื้อ 25/5/2010 มาขายวันที่ 31/5/2010 ลองดูบ้างนะค่ะ ซึ่งหุ้นจะขึ้นมาจากวันที่ซื้อ +21.43 จุด ขอบคุณ คุณพัชมากๆค่ะ จะเห็นว่า ผลตอบแทน AYFENSET 50 ดีมากๆ แล้วคือตัวไหน ของธนาคารอะไรคะลงทุนที่10,000 บาท ซื้อ 25/5/2010 (502.71) ขาย 31/5/2010 (524.14) Offer Unit(ที่ได้) Bid % กำไร K Set-50 12.5545 796.5271 13.0280 3.7716 TMB Set-50 36.6967 272.5041 38.1392 3.9309 AYFENSet 50 9.4890 1053.8518 9.8822 4.1437 SCB Set Index 7.7876 1284.0926 8.0909 3.8946 AY ยังครองแชมป์ส่วน Kbank ยังตามหลังอยู่เหมือนเดิม :'( สงสัยต้องหันกลับมามอง AY ใหม่ซะแล้ว เริดดดดด ค่ะ สนใจมากมายค่ะ หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: patcha ที่ มิถุนายน 01, 2010, 12:35:23 PM AYFENSet 50 เป็นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาค่ะ แต่คุณPiya ลองเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียอย่างอื่นเปรียบเทียบกันด้วยนะค่ะ เช่นเวลาปิดรับคำสังซื้อขายเพราะบางทีหุ้นบ้านเราในบางวันราคาก้อเหวี่ยงเยอะเหมือนกัน :)
หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กรกฎาคม 21, 2010, 03:34:25 PM ngoodin
ขาใหญ่ กลุ่ม: ขาใหญ่ โพสต์: 398 เข้าร่วม: 21-June 10 ที่อยู่กรุงเทพมหานคร โพสต์ วันนี้, 11:22 AM ได้ความรู้ใหม่จากเวปพันทิพนักรบกองทุน กราฟสำหรับกองทุนทุกกองทุนพร้อม indy ตอนนี้ผมสบายเลยไม่ต้องมาทำกราฟเองอีกแล้ว สามารถเรียกกราฟจาก nav ของกองทุนได้โดยตรง เพื่อน ๆ ไปที่นี่เลย http://mychart.zapto.org/index.php (http://mychart.zapto.org/index.php) ngoodin ขาใหญ่ กลุ่ม: ขาใหญ่ โพสต์: 398 เข้าร่วม: 21-June 10 ที่อยู่กรุงเทพมหานคร โพสต์ วันนี้, 11:30 AM การกำหนดสัญญาณซื้อขาย ผมเล่นสั้น จึงจะใช้ ema10 เป็นจุดซื้อขาย ตัวอย่าง scbaud ราคาตัด ema10 ขึ้นเป็นสัญญาณซื้อแ้ล้ววันนี้ผมเปลี่ยนใจเข้า scbaud เต็มพอร์ตทดลองกราฟใหม่ ต่อไปผมจะกำหนดจุดเข้าซื้อขายกองทุนโดยใช้จุดตัดนี้ทุกกองครับ ไม่มีการประเมินจาก set ทองคำ หรือ aud จาก mt4 อีก เพราะการกำหนดจุดเข้าซื้อด้วย nav ของแต่ละกองทุนโดยเฉพาะน่าจะตรงกว่า เมื่อมีเครื่องมือดีอย่างนี้ผมอาจจะลองกลับเข้าเล่น k-oil อีกครั้งก็ได้ (http://www.thaigold2.info/Board/uploads/monthly_07_2010/post-835-011281000%201279686593.gif) (http://www.thaigold2.info/Board/uploads/monthly_07_2010/post-835-042841200%201279687675.gif) หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กรกฎาคม 23, 2010, 02:30:46 PM คาถารวยหุ้น...แบบรายใหญ่ (บทความเก่าๆอ่านแล้วได้ประโยชน์ดี)
นำมาจาก M&W ฉบับเดือนมี.ค. 50 เสี่ยปู่ “จากเก็งกำไรสู่หุ้นที่มีคุณค่า” น้อยคนนักจะรู้ว่า “เสี่ยปู่” ก่อนกระโดดเข้ามาในตลาดหุ้น เคยรับราชการอยู่ที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว คือ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน ในปี 2530 เขาตัดสินใจเดินเข้าสู่ตลาดการลงทุนอย่างเต็มตัวด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 5 แสนบาท และทันทีที่เข้ามา เขาก็ได้รับรสชาดคำว่า “ขาดทุน” เมื่อเจอกับวิกฤติการณ์ Black Monday ที่ทำให้เงินหายไปทันที 3 แสนบาท ทำให้เสี่ยปู่ถอนตัวออกจากตลาด ทว่าเพียงแค่ปีเดียวเสี่ยปู่ตัดสินใจกลับเข้ามานั่งหน้ากระดานหุ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับการมองโลกในแง่ดีต่อการลงทุน และเขาไม่ได้ทำให้ตัวเองผิดหวังเมื่อพอร์ตโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการ ลงทุนแบบเก็งกำไร ด้วยการลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด ในที่นี้หมายถึง ถ้าตลาดหุ้นปรับขึ้น 2% แต่หุ้นที่ลงทุนต้องปรับขึ้นมากกว่า อาจจะทยานขึ้น 4%, 5% หรือ 10% หรือตลาดหุ้นปรับลดลง แต่หุ้นที่ตัวเขาลงทุนกลับสวนทางไต่ระดับขึ้น จากพอร์ตระดับแสนบาทกลายเป็นล้านบาทและทะลุร้อยล้านบาทเสี่ยปู่ใช้เวลาไม่ ถึงทศวรรษในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง เสี่ยปู่โลดแล่นอยู่กับสไตล์การลงทุนแบบเก็งกำไรเป็นเวลาเกือบ 15 ปี เขาตัดสินใจ “หยุด” และหันมาเน้นสไตล์การลงทุนในหุ้นที่มีคุณค่าและถือในระยะยาว “หุ้นที่มีคุณค่า คือ หุ้นที่มีกำไรเจริญเติบโตเป็น Growth stock ซึ่งทุกวันนี้มีหุ้นหลายตัวที่มีกำไรเจริญเติบโตดี” วิธีการ ก็คือ เมื่อเลือกหุ้นที่ดีแล้วต้องรอจังหวะการลงทุนด้วยการซื้อในจังหวะที่ตลาด ปรับลดลงก็น่าสนใจ “หุ้นบางตัวจะมีช่วงขึ้นและลงห่างกัน 20-30% ดังนั้นถ้าซื้อช่วงที่จังหวะปรับลดลงจะดีมากๆ” เสี่ยปู่ บอก ทุกวันนี้สไตล์การจัดพอร์ตของเสี่ยปู่ ประมาณ 80% มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว (3-5 ปี) ซึ่งถ้าหากราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไปเขาจะถือไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศตลาดยุคนี้เขายิ่งถือระยะยาว และถ้าได้รับเงินปันผลจะนำเงินปันผลไปลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม เสี่ยปู่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรแบบถาวร 5-10% ต่อปี และจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยจะเลือกหุ้นเป็นรายตัวมากกว่าลงทุนเป็นรายอุตสาหกรรม เสี่ยปู่ต้องนั่งดูงบการเงินเพราะเชื่อว่าอะไรที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ “ไม่หลอกลวง” พร้อมๆ กับมองว่ามีบริษัทเอกชน “หลอกลวง” เข้ามาจดทะเบียนอยู่บ้าง เช่น มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยมและประมาณการณ์ว่าจะเติบโตต่อเนื่อง แต่เมื่อเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับไม่เป็นอย่างที่บอกนักลงทุนไว้ ทุกวันนี้เสี่ยปู่ยังเดินเข้าห้องค้าทุกวันเพื่อดูแลพอร์ตของตัวเอง เพราะในชีวิตการลงทุนของเขาแล้วนอกจากตลาดหุ้นแล้ว มีเพียงการเก็บเงินฝากไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เท่านั้น และกำลังศึกษาการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพราะมองว่าเป็นตลาดหุ้นที่ เติบโตจาก “ศูนย์” อย่างแท้จริง และคาดว่าอีก 10 ปีเป็นตลาดหุ้นที่เติบโตอย่างน่าสนใจ จากคุณ : ดร.เพียว เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 53 19:59:50 หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กรกฎาคม 23, 2010, 02:32:01 PM เสี่ยอนุชิต “6 ปี 100 ล้านบาท”
เขาตื่นนอนราวตีห้า อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางออกจากบ้าน ซื้อหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่ง ถึงอาคารสินธรราวๆ แปดโมง เดินเข้าห้องค้าหลักทรัพย์เกือบทุกแห่งที่ตั้งในอาคารดังกล่าวเพื่อดูบท วิเคราะห์หุ้น เปิดตลาดนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซื้อขายหุ้นตามที่ตัวเองกั่นกรองมาแล้ว ถ้าวันไหนมองว่าหุ้นไม่มีความน่าสนใจก็ใช้กลยุทธ์ Wait & See เพื่อรอจังหวะเหมาะๆ ในการเข้าลงทุน ตกเย็นเมื่อตลาดหุ้นปิดทำการ เดินไปสวนลุมพินี เพื่อวิ่งจ๊อกกิ้งกับเพื่อนๆ จากนั้นเดินทางไปสถานีขนส่งเอกมัยเพื่อนั่งรถทัวร์กลับบ้าน จังหวัดชลบุรี นี่เป็นชีวิตประจำวันมานานเกือบ 10 ปี ของ “เสี่ยอนุชิต” – คุณอนุชิต อัศวศุภลาภ นักลงทุนรายใหญ่แห่งเมืองชลบุรี เสี่ยอนุชิตเล่าว่าการลงทุนในสมัยแรกๆ จะเป็นแบบเก็งกำไรทั้งหมด มีกำไรก็ขาย ราคาปรับลดลงก็เข้าไปรับ อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าตลาดหุ้นช่วงนั้นยังซื้อขายแบบเคาะกระดาน มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับน้อยมาก ดังนั้นการเก็งกำไรจึงไม่ใช่รายนาทีเหมือนเช่นทุกวันนี้ บางครั้งการเก็งกำไรอาจจะใช้เวลาเป็นวันๆ หรือเป็นสัปดาห์ หลังจากเสี่ยอนุชิตรู้จักตลาดหุ้นได้ไม่นานก็ได้สัมผัสบทเรียนอันเจ็บปวด เมื่อวิกฤติการณ์ Black Monday ถล่มตลาด ที่ทำให้เขา “หมดตัว” และหายหน้าตาไปจากตลาดหุ้นไทยเกือบ 2 ปี จนกระทั่งปี 2532 เขาตัดสินใจเข้ามาอีกรอบเพราะด้วยความคิดที่ว่า “จะได้คืน” ด้วยเม็ดเงินลงทุน 4 แสนบาท พร้อมๆ กับปรับเปลี่ยนสไตล์การลงทุน โดยลงทุนในหุ้น 5-6 ตัวเท่านั้น ผสมผสานด้วยกลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐานและหาสัญญาณทางเทคนิค เสี่ยอนุชิตจะหาจังหวะเข้าลงทุน บางคนอาจจะมองว่าเป็นจังหวะไม่น่าจะเข้า แต่เขากลับมองตรงข้าม โดยอาศัยความเชื่อมั่นตัวเองจากข้อมูลทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคมาเป็นองค์ ประกอบในการตัดสินใจว่าจะเข้าหรือจะออกจากตลาด “ผมเสพข้อมูลทุกอย่าง อ่านบทวิเคราะห์เกือบทุกโบรกเกอร์ ดูเทคนิค ช่วงเช้าจะไม่เข้ามาในตลาดทันที ไม่ได้สนใจมาร์เก็ตติ้งแต่สนใจกับบทวิเคราะห์ ผมเป็นพวกปัจจัยพื้นฐานเพราะจะบอกว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหน ผมเป็นเทคนิคอล เพราะจะบอกว่าควรจะขายหุ้นตอนไหน” เสี่ยอนุชิต เล่า พูดง่ายๆ เสี่ยอนุชิตเรียนรู้ทั้งสองด้าน ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค และเขายังไม่เชื่อในข้อมูลง่ายๆ จนกว่าจะมีความแน่ใจ “คติพจน์การลงทุนของผม ต้องมีวินัยในการซื้อขาย อย่าหูเบา อย่าลงทุนตามข่าวลือในห้องค้า ถึงแม้ผมอาจจะมาตลาดทุกวันแต่เดือนนั้นอาจจะไม่ลงทุนเลยถ้าไม่แน่ใจ และอย่าลืมความอดทนในการซื้อและขายด้วย” และทันทีที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นสูงสุด 1,789 จุด เมื่อวันที่ 5 มกราคม ปี 2537 เสี่ยอนุชิตตัดสินใจขายหุ้นในพอร์ตทั้งหมดเพราะมองว่าตลาดขึ้นมามากแล้ว ผลลัพธ์เขามีเงินในพอร์ตประมาณ 100 ล้านบาท จนกระทั่งปี 2544 เสี่ยอนุชิตเริ่มลงทุนในรูปแบบเต็มตัวอีกครั้งภายใต้พอร์ตที่มีอยู่ราวๆ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการกลับมาครั้งนี้เขากลับใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ “ชัวร์ๆ ”และ “หนักๆ” ในหุ้นแค่ 1-2 ตัวเท่านั้น “การซื้อหุ้นเยอะๆ ดูข้อมูลไม่ทันและทำให้ผิดพลาดในการลงทุน ดังนั้นนักลงทุนที่ดีอย่าลงทุนหลายๆ ตัว โดยที่ไม่รู้จักหุ้นตัวนั้นดี” เขา บอก “ถึงผมจะลงทุนในหุ้นแค่ 1-2 ตัว แต่ทำการบ้านหนักมากด้วยการดูหุ้นเกือบทุกตัวทั้งกระดาน” สำหรับกลยุทธ์ของเสี่ยอนุชิตอยู่ที่การจับจังหวะตลาดหุ้นให้ดี ถ้ามั่นใจและเลือกหุ้นได้แล้วก็ทยอยเข้าซื้อ อย่าซื้อครั้งเดียว ถ้าหุ้นขึ้นต้องรีบขายออกไป ที่สำคัญอย่าลืมว่าผู้ที่ถือหุ้นได้นานๆ เป็นผู้ที่มีต้นทุนต่ำเท่านั้น ในช่วงที่มีการประท้วงการบริหารงานของรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรที่สวนลุมพินี เสี่ยอนุชิตตัดสินใจขายหุ้นในพอร์ตตัวเองออกทั้งหมด ผลลัพธ์เขาสามารถทำกำไรได้สวยงามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่บอกว่าได้ไปมากน้อยแค่ไหน มีคำถามว่าเสี่ยอนุชิตนำเงินที่เหลือไปเก็บไว้ในรูปแบบไหน คำตอบที่ได้จากเขา ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นจะนำเงินไปซื้อที่ดินไว้แถวชายทะเลจังหวัดระยองและเขาใหญ่ เพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงแต่ถ้ามีคนให้กำไรน่าพอใจบางครั้งเขาขาย ทำกำไรบ้าง ที่เหลือนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล “ปรัชญาการลงทุนของผม คือ ไม่สนใจเรื่องสภาพคล่อง แต่สนใจผลตอบแทน จากคุณ : ดร.เพียว เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 53 20:03:31 หัวข้อ: Re: ศึกษาการลงทุน เริ่มหัวข้อโดย: MIJI ที่ กรกฎาคม 23, 2010, 02:48:43 PM กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 6 พายเรือตามน้ำ
สมมติว่า ขณะนั้น SET กำลัง “นิยม” หุ้นกลุ่มไหน เราก็ต้องจับตามองหุ้นกลุ่มนั้น เพราะการ “ฝืนกระแส” จะทำให้เรา “เสี่ยงสูง” ที่จะขาดทุน หลักการเล่นหุ้นข้อหนึ่งที่ วิชัย วชิรพงศ์ พยายามย้ำ…ในการเล่นหุ้นให้ชนะตลาด “เราต้องพายเรือตามน้ำ อย่าพายเรือทวนน้ำ” “หลักการเล่นหุ้น..คุณอย่าพยายามฝืนภาวะตลาด” เสี่ยยักษ์ เน้นย้ำ.. จากประสบการณ์..ในตลาดหุ้น 20 ปี เซียนหุ้นพันล้านแนะนำว่า หุ้นที่เล่นแล้วได้กำไรมากกว่าขาดทุน จะเป็นหุ้นที่กำลังอยู่ในกระแสนิยมของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ …เราต้องพยายามอ่านหลักจิตวิทยาของตลาดว่า คนอื่นเขาคิดอย่างไร..? กับหุ้นตัวที่เราจะเล่น อย่าพยายาม “คิดเอง-เออเอง” คนเดียว “สมมติว่า ขณะนั้น SET กำลัง “นิยม” หุ้นกลุ่มไหน เราก็ต้องจับตามองหุ้นกลุ่มนั้น เพราะการ “ฝืนกระแส” จะทำให้เรา “เสี่ยงสูง” ที่จะขาดทุน” วิชัยบอกว่า การเล่นหุ้นฝืนทิศทางตลาด..เล่นแล้วมันเหนื่อย !!! เหมือนการขึ้นรถผิดคัน ทำไม! รถคันนี้มันถึงไม่ออกจากท่ารถสักที เรารอแล้วรออีก คันนี้ก็ไป คันนั้นก็ไปก่อน คำเปรียบเทียบที่เซียนหุ้นรายนี้บอกให้ฟัง การเล่นหุ้นที่จริงมันเป็นแฟชั่น คุณไปเที่ยวทะเลคุณต้องใส่ขาสั้นไป ถ้าคุณใส่กางเกงยีนส์สวมรองเท้าบูต มันไม่เข้ากัน ถ้าวันไหนอากาศหนาว (สภาวะตลาดไม่ดี) จะขึ้นเหนือก็ต้องใส่เสื้อแจ๊คเก็ต ระวังตัวเอาไว้หน่อย แต่เราดันใส่ขาสั้นไปเที่ยวเหนือตอนอากาศหนาว..มีแต่เจ๊ง! “เราต้อง Follow the Trend หรือซื้อตามแนวโน้มตลาด” คำว่า “รู้จริง” จะต้องเข้าใจทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ การที่คุณอ่านหนังสือ เท่ากับรู้แค่ทฤษฎี ยังถือว่า “รู้ไม่จริง” ต้องเอา 2 อย่างนี้มาใช้ร่วมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น ประเด็นนี้ วิชัยมองว่า ประสบการณ์ชีวิตของนักเล่นหุ้นแต่ละคน บางครั้งก็อาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จ เพราะทัศนคติที่ติดตัวมาในอดีตของแต่ละคน เมื่อเข้าสู่ตลาดหุ้น มักจะมีผลต่อพฤติกรรมการลงทุน ทำให้ปฏิกิริยาในการตัดสินใจของนักลงทุนแต่ละคนแตกต่างกันคนละขั้ว ทั้งๆ ที่เรียนรู้มาจากตำราเล่มเดียวกัน เพราะฉะนั้น นักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จ…คุณต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ เมื่อวานนี้..คุณอาจจะมองว่าหุ้นตัวนี้ดี วันนี้..คุณอาจจะมองหุ้นตัวเดียวกันว่ามันไม่ดีแล้วก็ได้ อย่าคิดว่าคุณเป็นคนที่ไม่มีหลักการ “ในเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยน… วิธีคิดก็ต้องเปลี่ยน ทำไมคน 2 คน มาจากพื้นฐานเดียวกันทุกอย่าง คนหนึ่งเล่นหุ้นได้กำไร อีกคนหนึ่งเล่นหุ้นขาดทุน ก็เพราะทัศนคติของคน 2 คนนี้ แตกต่างกัน” เขาวิเคราะห์ให้ฟัง แม้ว่าวิธีคิดของคนเรา “เปลี่ยนยาก” ก็จริง แต่เราสามารถพัฒนาตัวเองได้ สำคัญที่สุดเราต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเราเอง..อย่าโทษใคร? เสี่ยยักษ์ย้ำว่า ประสบการณ์ที่ผิดพลาดจะเป็นบทเรียนสอนคุณเอง..ถ้าคุณยอมรับมัน และพร้อมที่จะแก้ไข คุณจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามัวแต่นั่งโทษคนนั้นคนนี้ โทษนั่น โทษนี่ คุณจะไม่มีวันพัฒนาตัวเอง… “ผมมีประสบการณ์จริงเรื่องหนึ่งจะเล่า ให้ฟัง มีลุงคนหนึ่งเล่นหุ้นอยู่โบรกเกอร์เดียวกับผม ลุงคนนี้มีอายุ 70 ปีแล้ว ในอดีตแกประสบความสำเร็จจากการดำเนินชีวิตอย่างมาก จนมีเงินมีทองหลายสิบล้านบาท …เชื่อมั้ยว่าแกมาเล่นหุ้น เล่นไปเล่นมา เหลือพอร์ตอยู่ 3 ล้านบาท ไปเอาทุนมาเติมอีก ตอนนี้เหลือเงินอยู่ล้านกว่าบาท” “ผมเคยบอกแกว่า อาเจ็ก..เลิกเถอะ! อย่ามาเล่นอีกเลย อยู่บ้านเถอะ แกก็บอกว่า เออ!น่าไม่เป็นไร คือเขามีเงินหลายสิบล้านบาท เล่นไปเล่นมาเหลืออยู่ล้านกว่า แกก็ยังทู่ซี้เล่น นั่นคือแกไม่รู้จักพัฒนาตัวแกเอง ประวัติของลุงคนนี้แกเคยทำธุรกิจ ประสบความสำเร็จมาก่อน การจะตัดสินใจ Cut Loss ครั้งละ 5 ล้าน 10 ล้าน เขาจะไม่กล้า จะมีความรู้สึกว่าติดไว้ก่อนไม่เป็นไร วิธีคิดแบบนี้แสดงว่าแกไม่เป็นมืออาชีพ แต่แกมานั่งเล่นหุ้นเป็นอาชีพ วิธีการมันผิด” วิชัยบอกว่า หลักการที่ถูกต้อง เราต้องกำหนดจุด Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) พอขาดทุนถึงจุดนี้ ก็ต้อง Cut Loss ตัดขายทิ้ง “หุ้นเวลาเป็น “ขาลง” (Bearlish Down Trend) เราต้องตัดทิ้ง อย่าถือ และอย่าซื้อถัวเฉลี่ย” วิชัย เปรียบเทียบคนที่ติดหุ้นไว้อย่างเจ็บปวดว่า เปรียบเสมือนคนที่เคยไปกินอาหารป่า ร้านที่เขามีเนื้อตะพาบน้ำขาย “ผมจะอธิบายลักษณะของคนที่ “ติดหุ้น” อย่างเจ็บแสบที่สุดให้ฟัง” สมมติว่าร้านอาหารป่ามีตะพาบน้ำไว้ขายลูกค้าอยู่ตัวหนึ่ง วันนี้ผมไปสั่งตะพาบน้ำผัดเผ็ด 1 จาน ตะพาบน้ำตัวนี้มันใหญ่ผัดทั้งตัวไม่หมด พ่อครัวก็จะเฉือนเอาเนื้อข้างๆ แต่ตะพาบตัวนั้นมันยังไม่ตาย มันก็ทุรนทุราย เอามาผัดให้เรากินจานหนึ่ง สภาพของตะพาบน้ำตัวนั้น มันหงายท้องนอนพะงาบๆ ลืมตาอยู่แต่มันยังไม่ตาย นี่คืออาการของคน “ติดหุ้น” “นี่ผมพยายามจะเล่าให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด” วันที่ 2 ไม่มีคนมากิน ตะพาบก็พะงาบๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนคนติดหุ้นที่รอวันตาย แต่มันไม่ตาย มันทุรนทุราย ชีวิตไม่มีความสุข เครียดไปหมด วันที่ 3 พอมีคนมาสั่งเนื้อตะพาบน้ำผัดเผ็ดอีก 1 จาน พ่อครัวคนเดิมก็เฉือนเนื้อของมันอีกข้างหนึ่ง มันก็ยังไม่ตายอีก แต่คราวนี้มันเจ็บเจียนตาย สภาพของคนติดหุ้นจะเป็นอย่างงั้นจริงๆ “ผมอยากจะให้กำลังใจว่า ตั้งแต่ผมเป็นนักลงทุนรายย่อย จนมาเป็นนักลงทุนรายใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ ผ่านมาหมด หลายๆ คนบอกว่าเป็นรายใหญ่ได้เปรียบ จริงๆ ไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้เปรียบรายใหญ่ …คุณซื้อหุ้น 1 ครั้ง คุณได้หุ้นเต็มพอร์ต คุณขาย 1 ครั้ง คุณขายได้หมดพอร์ต ถ้าเกิดเป็นรายใหญ่ เขาจะซื้อขายกันทีเป็น “ร้อยล้านหุ้น” ผมก็เคยมีหุ้นร้อยกว่าล้านหุ้น แล้วจะขายได้ยังไงหมด อย่างกรณีของหุ้นไออาร์พีซี (IRPC) มี Bid เสนอซื้ออยู่ 3 ช่อง ขายทีเดียว 3 ช่อง ยังไม่หมดเลย เพราะรวมกัน 3 ช่อง มี Bid แค่ 10 กว่าล้านหุ้น เพราะฉะนั้นนักลงทุนรายย่อยใครว่าเสียเปรียบ…ไม่จริงเลย” จากคุณ : กองกำลังปั้นฝัน เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 14:10:59 |