Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website.
Home
-----
กระดานสนทนาหน้าแรก
-----
Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart
-----
gold-trend-price-prediction
-----
ติดต่อเรา
หัวข้อ: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 14, 2014, 07:52:25 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1525090_382130808590545_517198451_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 14, 2014, 07:52:55 PM (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/1551462_382130658590560_142475138_n.jpg)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2014, 04:32:11 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1798648_573800366030388_1117128746_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:01:42 PM กล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง(ยาอายุวัฒนะ)
๑.กล้วยน้ำว้าสุก ๑ หวี(น้ำหนักประมาณ ๑ กิโลกรัม)๒.น้ำผึ้ง ๑ กิโลกรัม(กะให้พอท่วมกล้วย)๓.ขวดโหล ๑ ใบ (แก้ว หรือ พลาสติกใสประเภท PET ห้ามใช้ PVC) ตำรับที่ ๑ (Credit สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง) นำกล้วยที่ปอกแล้วมาหั่นตามขวาง เรียงใส่ขวดโหล แล้วเทน้ำผึ้งให้ท่วมกล้วยพอดีๆ หมั่นคนและกลับกล้วยจากข้างล่่างขึ้นข้างบน ครบ ๓ เดือนเอาเนื้อกล้วยซึ่งแข็งทิ้งไป นำน้ำที่ได้มากรองด้วยผ้าขาวบางไว้รับประทาน วิธีและขนาดในการรับประทาน ประมาณสี่ช้อนคาว หรือ ๑ ถ้วยชาจีนทุกคืนก่อนนอน อย่ามากกว่านี้เพราะเป็นยาร้อนจะทนไม่ไหว กินสัก ๑๕ วันจะรู้สึกร่างกายอบอุ่นกระชุ่มกระชวยผิดธรรมดา(คงเป็นที่ถูกใจของบรรดาท่านชายทั้งหลาย) ซึ่งเจ้าของตำรับบอกว่านอกจากเป็นยาอายุวัฒนะแล้วยังทำให้เตะปี๊บดังอีกด้วย ตำรับที่ ๒ (จาก ตำรายาอายุวัฒนะ ทิพย์โอสถของบรรพชน) นำกล้วยที่ปอกเปลือกแล้วทั้งลูกเรียงใส่โหลแล้วเทน้ำผึ้งให้ท่วมกล้วยตั้งไว้โดยไม่ปิดฝาแต่หาผ้าขาวมาปิดแทนฝากันฝุ่นและแมลง เพราะหากปิดฝาสนิทน้ำผึ้งจะเปรี้ยวทำให้เป็นการหมักแบบหมักไวน์ หมั่นกดกล้วยให้จมครบสองสัปดาห์จึงนำกล้วยมารับประทาน วันละ ๑ ลูก ส่วนน้ำผึ้งที่แช่กล้วยจะนำมาทานก็ได้แต่ห้ามเกินหนึ่งช้อนชา สรรพคุณตำรับนี้จะทำให้ผิวพรรณผ่องใส ขับถ่ายคล่องสบาย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:08:22 PM มะเขือพวง จิ๋วแต่แจ๋ว
คนไทยเรารู้จักและกินมะเขือพวงมานานแล้ว มะเขือพวงทำให้กลิ่นรสของเครื่องจิ้มต่างๆ มีความพิเศษออกไปจากปกติ เรากินผลอ่อนมะเขือพวงโดยนำไปโขลกกับน้ำพริกปลาทู น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกะปิ... http://www.doctor.or.th/article/detail/10763 (http://www.doctor.or.th/article/detail/10763) (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1150266_10151864616632028_145940108_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:12:40 PM รางจืดราชาของยาแก้พิษ
รางจืด...เป็นสมุนไพรชนิดเดียวที่มีการใช้แก้พิษในอดีตและมีข้อมูลการวิจัยสนับสนุน... http://www.doctor.or.th/article/detail/11960 (http://www.doctor.or.th/article/detail/11960) (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1175145_10151859638537028_1313239221_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 07:36:12 AM เรื่องของ "ยาหอม" หรือ "ยาลม"
ยาหอมช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก ประกอบด้วยตัวยาสมุนไพร 10 ถึง 59 ชนิด มีคำกล่าวว่า “ไม่มียาในโรงพยาบาลอะไร จะมาใช้แทนยาหอมได้ เพราะกินแล้วสบาย สดชื่น ช่วยให้มีแรงขึ้นมาได้...” ยาหอม เป็นตำรับยาแผนโบราณมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด คลื่นไส้ แก้ลมจุกเสียด แน่น ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ลำไส้ และอาการไม่สบายท้อง เป็นที่นิยมใช้โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจนถึงปัจจุบัน ทำไมเรียกว่ายาหอม ที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะว่าส่วนประกอบสมุนไพรหลักล้วนเป็นเกสรดอกไม้หอม ๆ 5 ชนิด เช่น มะลิ พิกุล บุนนาค สารภี เกสรบัวหลวง หรือ 7 ชนิด เพิ่ม ดอกจำปา ดอกกระดังงา หรือ 9 ชนิด เพิ่ม ดอกลำดวน ดอกลำเจียก เข้าไปอีก บวกกับสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมอีกหลายชนิด เช่น กฤษณา ขอนดอก กระลำพัก เปลือกสมุลแว้ง เปราะหอม ชะลูด หญ้าฝรั่น เทียน5 (เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน) โกฏ5 (โกฏสอ โกฏเชียง โกฏเขมา โกฏหัวบัว โกฏจุฬาลัมพา) จันทน์แดง จันทน์เทศ จันทน์ชะมด ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพลู พิมเสนเกล็ด เป็นต้น สมุนไพรทั้งหมดบดเป็นผงใส่ขวดโหลไว้ เวลากินก็ตักมา 1 ช้อนกาแฟ ละลายน้ำสุก หรือน้ำฝนที่แช่ดอกมะลิ – ดอกกุหลาบ กินเรื่อย ๆ และได้สูดดมกลิ่มหอม ๆ ด้วย เป็น วิธีสุคนธบำบัด (aroma theraphy) อีกต่างหาก รับรองว่า อาการวิงเวียน สวิงสวาย อ่อนเพลีย กำลังวังชาไม่ค่อยดี จิตใจที่เคยขุ่นมัว มีเสมหะในลำคอ ธาตุที่เคยไม่ปกติจะหายไปโดยลำดับ จนไม่เหลือ สบายกายสบายจิตยิ่งนักแล. ตัวอย่างสรรพคุณของดอกไม้หอม ๆ ในตำราแพทย์แผนไทย ท่านระบุไว้ว่า - พิกัดเกสรทั้ง 5 คือ จำกัดจำนวนเกสรดอกไม้ 5 อย่าง คือ ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง สรรพคุณ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้จับ แก้ลมวิงเวียน แก้น้ำดีช่วยให้เจริญอาหารและแก้โรคตา ยาหอม มีมากมายหลายตำรับ ตัวยาจะแตกต่างกันไปบ้างแต่จะต้องมีตัวยาสมุนไพรที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นรวมอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย จากประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (2542) ได้กล่าวถึงยาหอมที่เป็นยาสามัญ ประจำบ้านไว้ 4 ตำรับ ดังนี้ 1. ยาหอมนวโกฐ แก้ลมคลื่นเหียน อาเจียน ใช้น้ำลูกผักชี เทียนดำต้ม/ แก้ลมปลายไข้ ใช้ก้านสะเดา ลูกกระดอม และบอระเพ็ดต้มเอาน้ำ ถ้าหาน้ำกระสายไม่ได้ ใช้น้ำสุกแทน 2. ยาหอมเทพจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ 3. ยาหอมทิพโอสถ แก้ลมวิงเวียน ละลายน้ำดอกไม้ หรือน้ำสุก 4. ยาหอมอินทจักร์ แก้ลมบาดทะจิตใช้น้ำดอกมะลิ/ แก้ลมคลื่นเหียน อาเจียนใช้น้ำลูกผักชี เทียนดำต้ม ถ้าไม่มีใช้น้ำสุก/ แก้ลมจุกเสียดใช้น้ำขิงต้ม “การศึกษาผลของยาหอมและสารสกัดสมุนไพรต่ออัตราการไหลเวียนเลือดในสมอง” โดย นางสาวอัมพร จาริยะพงศ์สกุล แห่งภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ นางสุทธิลักษณ์ ปทุมราช แห่งภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันยาหอมเป็นยาแผนโบราณของไทยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับถึงสรรพคุณในการเป็นยาบำรุงหัวใจ แต่ที่เป็นลักษณะเด่นในการนำยาหอมมาใช้คือ ยาหอมสามารถแก้ไขภาวะของคนใกล้เป็นลมหมดสติ (near syncope) หรือที่เรียกว่า แก้อาการเป็นลมหน้ามืด ซึ่งอาการดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากภาวะที่สมองมีเลือดไปเลี้ยงลดลงชั่วขณะ (transient cerebral insufficiency) ให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้ ยาหอม 1 ตำรับ มีสารสมุนไพรเป็นส่วนประกอบอยู่หลายชนิด ส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งของยาหอม หรือองค์ประกอบรวมทั้งหมดอาจมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ที่มีผลต่อการหดและคลายตัวของหลอดเลือดภายในสมองได้โดยตรง จึงมีผลดีดังกล่าวข้างต้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาและวิจัยถึงฤทธิ์ของยาหอมและสารสมุนไพรต่าง ๆ ต่อการไหลเวียนเลือดในสมองเลย ปัจจุบันนักวิจัยไทยมีความรู้ ความสามารถ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน จึงถึงเวลาที่จะศึกษาสรรพคุณของยาหอมและสารสมุนไพรต่าง ๆ โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อการนำผลิตผลจากสมุนไพรไทยที่มีคุณค่ายิ่งออกสู่ตลาดโลกได้อย่างมีคุณภาพ… จะเห็นว่าน้ำกระสายยามีบทบาทมากในการออกฤทธิ์ พวกเราชาวไทยนับว่าโชคดีที่มียาดี ๆ ไว้แก้อาการ บรรเทาทุกข์ เพราะฉะนั้นเราควรมียาหอมไว้ประจำบ้าน ทานได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ได้สงวนไว้เฉพาะคนชราเท่านั้นค่ะ http://www.pleasantherbsgarden.com/ (http://www.pleasantherbsgarden.com/) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1922393_212218465633425_2029894032_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 07:39:59 AM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1891121_616162981766051_1267069835_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1794778_616163081766041_306154960_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1898055_616163281766021_362060805_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1002643_616163425099340_104634425_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1901227_616163548432661_1410751105_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1920570_616163668432649_1117851301_n.jpg)
บอระเพ็ดขมน้ำผึ้งหวานอยู่ด้วยกันดื่มเพื่อสุขภาพ บอระเพ็ด ขมมาก มีใครจำได้ไหมค่ะ ว่าเคยได้ชืมมาบ้าง จำได้เองหรือพ่อแม่ปู่ยาตายายเล่าให้ทราบเมื่อเราโตขึ้น หรือมีใครเคยทำด้วยตัวเองเพื่อหย่านมลูก ฟังเรื่องราวแล้วคงได้ยิ้มกันบ้าง เด็กหลายๆคนคงไม่กลัวรสขม ก็หิวอยากกินนมแม่มากกว่าไม่ได้ขมตลอด แต่พอเป็นผู้ใหญ่กันแล้วบอระเพ็ดบางคนไม่รู้จักเลยว่าเป็นอย่างไร เป็นสมุนไพรเป็นยารักษาโรคได้ นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน ได้ทำวิธีที่ไม่ยากที่จะนำบอระเพ็ดมาใช้เพื่อสุขภาพ พร้อมนำสรรพคุณของบอระเพ็ดมาฝากดังนี้ บอระเพ็ด ชื่ออื่นๆ บอระเพ็ดตัวเมีย เจมูลย่าน เจตมูลหนาม จุ่งจริงตัวเมีย (เหนือ) เครือขอฮอ (อีสาน ใบ รสขมเมา แก้รำมะนาด ปวดฟัน ฆ่าแมลงที่เข้าหู ฆ่าพยาะิไส้เดือน แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง ดับพิษปวดแสบปวดร้อน บำรุงน้ำดี ลูก รสขม แก้ไข้ แก้เสมหะเป็นพิษ เถา รสขมเย็น แก้พิษฝีดาษ แก้ไข้เหนือ ไข้พิษฝีกาฬ โรคแทรกซ้อนของไข้ทรพิษ แก้ไขทุกชนิด แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้เลือดเย็น แก้สะอึก บำรุงกำลัง บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ เจริญอาหาร รากอากาศ รสขมเย็น แก้ไข้สูงมีอาการคลั่งเพ้อ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ เจริญอาหาร บอระเพ็ด บำบัดเบาหวาน สารสำคัญที่พบ มีรายงานว่าพืชนี้มีสารขมชื่อpcroretin นอกจากนั้นก็ยังมีสารจำพวก diterpenoid ชื่อ tinospran ซึ่งใกล้เคียงกับ columbin ที่แยกได้จากเถาและราก นอกจากนี้ยังพบสารประเภท amine 2 ชนิด คือ N-trans-feruloy tyramine N-cis-feruloyl tyramine และสาร phenoiic glucoside ชื่อ tinoluberide ประโยชน์ทางยา ใช้เป็นยาแก้ไข้ในตำรายาอายุรเวทของอินเดียกล่าวไว้ว่า พชชนิดนี้ใช้ในทางยาเช่นเดียวกับชิงช้าชาลี Tinospora cordiflia (Willd) Mier ex Hook.f.& Thoms.นอกจากใช้เป็นยาแก้ไข้ วึ่งกล่าวไว้ว่าดีเท่ากับ Cinchona แล้วยังใช้แก้ธาตุไม่ปกติ และโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ นอกจากนั้นยังกล่าวได้ว่า สารขมนั้นแก้ไข้ แก้อาการอักเสบ แก้อาการเกร็ง บำรุงกำลัง แก้ร้อนใน เป็นยาขมเจริยอาหาร บำรุงน้ำดี ส่วนที่ใช้ เถา (ต้น) ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน องค์ประกอบทางเคมีที่พบ คือ สารกลุ่ม alkloids และ diterpene lactones ซึ่งมีรสขมจัด วิธีใช้ ใช้เถาสด 30- 40 กรัม ต้มน้ำดื่ม ข้อควรระวัง ควรระวังการใช้ขนาดสูงติดต่อกันนานๆ เพราะมีรายงานในสัตว์ทดลองว่า ทำให้การทำงานของตับและไตผิดปกติ รายงานการทดลอง ในปี ค.ศ 1988 และ 1969 มีการศึกษาทดลอง สารสกัดจากบอระเพ็ดในคนและหนู พบว่า ผลการทดลองสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของคนและหนูได้ บอระเพ็ดหมักน้ำผึ้ง วิธีทำ 1. เถาบอระเพ็ด ตัดเป็นท่อนยาวพอประมาณ ปอกผิวบางๆออก 2. ล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง 3. แห้งดีแล้ว ตัดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือยาวๆ ให้พอเหมาะกับขวดที่จะหมัก 4. บอระเพ็ดใส่ในขวด 5. เทน้ำผึ้งแท้ใส่ลงไปให้ท่วม 6. ปิดฝาให้แน่นแล้วเข่าหรือคนให้น้ำผึ้งละลายกระจายไม่เหนียวนอนก้นขวด เสร็จแล้วคลายฝาขวดไม่ให้แน่น 7. รุ่งขี้นอีกวันและจต่อมาอีกหลายวันบอระเพ็ดจะลอยขึ้น ก็ปิดฝาให้แน่นแล้วค่อยๆเอียงหรือเขย่าเบาๆให้น้ำผึ้งโดนบอระเพ็ดทั่วถึงด้านบนที่ลอย แล้วคลายฝาทุกๆวัน ประมาณ 7 วันหรือขยันทำมองทุกวันก็ทำได้เรื่อยๆ จนบอระเพ็ดจมลงก้นขวด ปลูกไว้หรือพบที่ไหนนำมาทำเก็บไว้ หมักน้ำผึ้งนานได้ที่ เกิน 3 เดือนหรือนานกว่าเป็นปี ก็ไม่เสีย ดื่มโดยผสมน้ำหรือไม่ก็ได้ตามชอบของผู้ดื่ม กานดา แสนมณี http://www.gotoknow.org/ (http://www.gotoknow.org/) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 07:41:29 AM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t1/1920023_590475971043198_893041614_n.jpg?oh=a86e2b1632d8aedd67b54658434b744b&oe=53B9AE8F&__gda__=1403040189_41d045ecb5fd792a6b434159c4dcef0f)
กดข้อนิ้วป้องและกระตุ้นการรักษาโรคค่ะ วันนี้ขอนำเสนอเสนอวิธีการกดข้อนิ้วเพื่อรักษา 9 โรคค่ะ 1. โรคตับ กดคลึงข้อทั้ง 2 ของหัวแม่มือขวา 2. หูอื้อ กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วนางทั้ง 2 ข้าง 3. ปวดเข่า กดคลึงด้านข้างทั้ง 3 ของนิ้วก้อยมือซ้าย 4. เบาหวาน กดคลึงข้อทั้ง 2 ของหัวมือมือซ้าย 5. ความดันโลหิตสูง กดคลึงโคนนิ้วก้อยมือซ้าย 6. หัวใจ กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วก้อยมือซ้าย 7. ปวดประจำเดือน กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วชี้ทั้ง 2 ข้าง 8. ตาเมื่อย กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วกลางมือขวา 9. เสริมพลังแก่ร่างกาย กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วกลางมือซ้าย แต่ละจุดให้กดคลึงครั้งละ 3 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้ามีไข้หรือนิ้วมีบาดแผลควรหยุดทำค่ะ โดย ทางแพทย์สายพุทธ ขอขอบคุณความรู้ดีดีจากหนังสือชีวจิต (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/300141_480818671973286_2059753725_n.jpg) สาระน่ารู้ทางการแพทย์ : จุดสะท้อนบนฝ่าเท้า @ เป็นจุดสำคัญต่างๆ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย จุดสะท้อนบนฝ่ามือและฝ่าเท้าตามตำราจีนหมอแผนโบราณนั้น ทุกส่วนของร่างกายเกี่ยวโยงถึงกันด้วยพลังการหมุนเวียนภายในร่างกายหากเรารู้จักไว้จะช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้มากมายจริง ๆ(แก้ก่อนที่มันจะสายเกินไป) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 01:02:52 PM เคล็ดลับสำหรับมือใหม่หัดหมัก(พอสังเขป)
โดย N-Aufait Aufond เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 12:06 น. เคล็ดลับสำหรับมือใหม่หัดหมัก(พอสังเขป) ๑.การหมักทุกชนิดสำหรับสูตรป้าเช็ง คือ น้ำตาล ๑ กก / ผักหรือผลไม้ ๓ กก / น้ำสะอาด ๕ ลิตร สำหรับถังหมักขนาด ๑๐ ลิตร น้ำตาลที่ใช้ คือน้ำอ้อยผง แต่หากหาไม่ได้จะใช้น้ำตาลทรายเม็ดสีรำแทนได้(น้ำอ้อยผงจะดีที่สุด) ๒.หากหมักผักใบซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างเบา ให้เพิ่มน้ำผสมน้ำตาลอีกสัก ๒๐ ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ๓.การหมักลูกยอ ควรใช้ลูกยอแก่จัดถึงสุกจะทำให้ได้สรรพคุณจากลูกยอ แต่หากหมักลูกยอสุกเม็ดยอจะลอย วิธีแก้ไขคือหาผ้าขาวบางมาห่อเม็ดยอไว้แล้วแช่ไว้ในถังหมักตามเดิม เมื่อหมักได้อายุสามารถนำเม็ดยอมาบดแล้วกินเป็น Enzyme ผงได้ ๔.ช่วงหมักสามเดือนแรก ต้องใส่ใจหมั่นทำความสะอาดและกดให้วัตถุที่หมักจมน้ำ และต้องระวังแมงหวี่ซึ่งชอบไข่ตามขอบถังและขอบฝา เมื่อฟักตัวเป็นหนอนจะทำให้ต้องลำบากในการช้อนหนอนออก แต่หากมีการลอดหูลอดตาเกิดเป็นหนอนขึ้นมาก็แค่ตักหนอนออก ไม่ต้องเทน้ำหมักทิ้งแต่อย่างใด ๕.การเก็บน้ำฝาถัง บางท่านก็เก็บตอนน้ำหมักมีรสเปรี้ยว ซึ่งส่วนมากก็เป็นน้ำหมักผลไม้ป่า และไม่แนะนำหากหมักพลอยเพชรซึ่งใช้ผักที่ปลูกขายเป็นพืชเสรษฐกิจเพราะจะมีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมาก และควรรอให้มีอายุครบปีจึงนำมาใช้ ๖.การเดือดเป็นฟองในการหมักเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องตกใจ การเกิดฝ้าขาวจากการขยายตัวของยีสต์ในการหมักก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน แค่หมั่นคนหมั่นกลับของหมักจากด้านล่างขึ้นด้านบนช่วงสามเดื่อนแรกในการหมักก็จะไม่มีปัญหาแล้ว ผลพลอยได้จากการกลับการคน จะทำให้คนที่นิ้วล็อค มือชา หายได้ แม้กระทั่งคนเป็นสะเก็ดเงินก็หายมาหลายคนแล้ว ๗.ราขาวในการหมักเป็นราดี แต่หากเกิดราดำต้องรีบช้อนทิ้ง และเติมน้ำตาลผงเพื่อช่วยให้จุลินทรีย์ตัวดีแข็งแรง ๘.การแก้ไขน้ำหมักมีกลิ่นผิดปกติ คือ โรยน้ำตาลผงลงไป ปริมาณก็แล้วแต่ว่ากลิ่นผิดปกติมากน้อยแค่ไหน ให้พิจารณาเอาเอง ๙.น้ำหมักที่จะนำมาใช้ ๔ เดือน อุปโภค ๑ ปี บริโภค ๑๐.ผลไม้ ว่าน หรือผักหัว ที่จะนำมาหมัก หากมีขนาดใหญ่ก็สามารถหั่นได้ หากไม่ใหญ่นักก็หมักทั้งผล ทั้งเปลือก เพราะเปลือกจะมีสรรพคุณทางยามากเช่นกัน การหั่นจะทำให้น้ำหมักมีกลิ่นหอมจากวัตถุในการการหมักนั้นๆ แต่บางชนิดการย่อยสลายจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำหมักขุ่นข้นต้องรอตกตะกอนนาน ๑๑.ผัก ผลไม้ สมุนไพร และว่านที่ทานได้ทุกชนิด สามารถนำมาหมักได้ สรรพคุณที่ได้ก็แล้วแต่วัตถุในการหมักชนิดนั้นๆ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 10:29:08 PM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1921924_10201660223575211_1710560349_n.jpg)
(https://scontent-b-ams.xx.fbcdn.net/hphotos-frc1/l/t1/1924580_10201660223895219_1331101248_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1012042_10201660224135225_1990767418_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1897909_10201660224175226_134462012_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/988412_10201660224575236_1487767798_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1609894_10201660224775241_533560592_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1661654_10201660225255253_201234441_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1888690_10201660225415257_1026556643_n.jpg) ชมรม ผู้ดำเนินการสปาไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 10:41:29 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1010606_229367737246908_1898480505_n.jpg)
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1005782_229367203913628_850037841_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1891234_229366593913689_1804040616_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1011925_229366150580400_790999558_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:12:18 AM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1965030_214372008751404_2067482936_n.jpg)
ธาตุวัตถุสลายตัวง่าย...... กำมะถันเหลือง กำมะถันเหลือง เป็นธาตุวัตถุที่นำมาใช้เข้ายาต้มรักษาโรคมะเร็งหลายๆ ตำรับ เช่น โรคมะเร็งลาม ชื่อพื้นบ้าน: กำมะถันเหลือง มาด มาดเหลือง สุพรรณถัน ลิ่วอิ้ง (จีน) Sulfur ลักษณะ: เป็ธาตุวัตถุ สะสมอยู่ใต้พื้นโลก ถูกส่งขึ้นมาด้วยแรงระเบิดของภูเขาไฟ หรือตามน้ำพุร้อนต่างๆ ทำเป็นแท่งกลม แบนหรือบดเป็นผง เมื่อเผาไฟจะได้ซัลเฟอร์ออกไซด์ ใช้อบฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้เกือบทุกชนิด สรรพคุณทางยา: ผงหรือก้อน รสเมาฝืดคอ ขับลมในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ประดง ฆ่าพยาธิทั้งภายนอกและภายใน แก้จุกเสียดในโรคป่วง แก้โรคผิวหนังผื่นคันพุพอง รักษาบาดแผลและโลหิต ข้อมูลอื่นๆ..... กำมะถัน หรือ สุพรรณถัน หรือ มาศ เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sulphur มาจากภาษาละตินว่า Suphurium สันสกฤตใช้คำว่า Sulvere กำมะถันมีลักษณะเป็นของแข็งสีเหลืองอ่อน (สุพรรณ = ทอง) ไม่มีกลิ่นหรือมีกลิ่นเพียงเล็กน้อย เมื่อหลอมเหลวจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ สุพรรณถันมีอันยรูปสามัญ 3 รูป ได้แก่ 1. สุพรรณถันธรรมดา หรือกำมะถันรอมบิก 2. สุพรรณถันถันรูปเข็ม หรือกำมะถันโมโนคลินิก หรือกำมะถันปริสมาติก 3. กำมะถันเหนียว หรือกำมะถันพลาสติก สุพรรณถันมีการใช้ในอุตสาหกรรมหลายอย่าง เช่น ทำไม้ขีดไฟ ทำดินปืน ทำยาปราบแมลง ทำให้ยางแข็งตัว ทำดอกไม้เพลิง แต่ที่สำคัญที่สุดคือใช้เตรียมกรดกำมะถัน ดังมีคำกล่าวที่ว่า “ความเจริญของประเทศอาจวัดได้จากปริมาณของกรดกำมะถันที่ใช้” โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:14:44 AM (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1911881_214371198751485_540926090_n.jpg)
คุณค่าผักพื้นบ้าน..... ผักคราดหัวแหวน ( toothache plant ) ชื่อท้องถิ่น ผักเผ็ด, ผักตุ้มหู, หญ้าตุ้มหู คนรุ่นใหม่ น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยรับประทานผักคราดหัวแหวน ซึ่งผักชนิดนี้เป็นผักพื้นบ้าน นิยมรับประทานกันมาแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดแล้ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเอาทั้งต้นกินเป็นผักสดกับป่นปลา แจ่ว ซุบขนุน ซุบเห็ด ซุบหน่อไม้ หรือใส่แกงหน่อไม้ แกงอ่อมปลา เนื้อ หรือหมู ดับกลิ่นคาวได้ดีมาก รสชาติหอมเผ็ดปร่าชาลิ้นอร่อยมาก โดยเฉพาะดอกจะมีรสเผ็ด ใบรสหวานปนขมและเย็น เมื่อปรุงกับอาหารจะชวนให้รับประทานมาก คนโบราณนิยมเอาใบสดเคี้ยวแก้ปวดฟัน เป็นยาชาได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ผักคราดหัวแหวน นอกจากจะใช้ปรุงเป็นอาหารและกินสดกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ได้อร่อยตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทั้งต้นยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรอีกด้วย โดยนำไปสกัดทำเป็นยาชา มีสรรพคุณแก้พิษตามทวาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้ผอมเหลือง แก้เด็กตัวร้อน ต้นสดตำผสมเหล้า 40 ดีกรี หรือน้ำส้มสายชูอมแก้ฝีในคอ ต่อมน้ำลายอักเสบดีมาก แก้ไข้ แก้ปวดฟัน ทั้งต้นรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม และช่วยย่อยอาหารได้ นิยมปลูกแพร่ หลายตามสวนยาจีน สวนยาไทย มีต้นวางขายเป็นผักสดให้คนซื้อไปรับประทานตามแผงขายผักพื้นบ้านทั่วไป ราคากำละไม่เกิน 10 บาท - จัดเป็นผักที่เป็นทั้งอาหาร และ ยาสมุนไพร และเป็นหนึ่งในยาสมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน ผักคราดหัวแหวน กลุ่มยาแก้ปวดฟัน เป็นพืชล้มลุก ลำต้นมักทอดเลื้อย ปลายยอดตั้ง ต้นสีเขียวปนสีม่วงแดง มีขน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม สลับตั้งฉาก รูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบจักฟันเลื่อย แผ่นใบสีเขียว มีขนประปรายทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อรูปกรวยคว่ำ ตามซอกใบ ดอกสีเหลือง ผล เป็นผลแห้ง รูปไข่ - ส่วนที่ใช้ ก็คือ ราก ต้น ทั้งต้น ใบ ดอก - สรรพคุณทางสมุนไพร · ใบ แก้ปวดศีรษะ แก้โลหิต เป็นพิษ · ดอก ขับน้ำลาย แก้โรคในคอ แก้ปวดฟัน แก้โรคติดอ่างในเด็ก รักษาแผลในปากในคอ แก้โรคลิ้นเป็นอัมพาต · เมล็ด เคี้ยวแก้ปากแห้ง · ราก ต้มดื่ม เป็นยาถ่าย อมบ้วนปากแก้อักเสบในช่องปาก เคี้ยวแก้ปวดฟัน · ทั้งต้นของผักคราดหัวแหวน - รสเผ็ด ซ่าปาก ทำให้ลิ้น และเยื่อเมือกชา และยังสามารถแก้ต่อมน้ำลายอักเสบ ได้อีกด้วย - แก้ฝีในคอ แก้ไข้ คอตีบตัน แก้ซาง แก้คัน และแก้ริดสีดวง แก้เริมได้อีกด้วย - แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง แก้ไอ ระงับหอบ ไอหวัด และไอกรน หอบหืดได้ด้วย - แก้เหงือก และฟันปวด แก้ปวดบวมฟกช้ำ และแก้ไขข้ออักเสบจากลมขึ้นด้วย - แก้บิด ท้องเดินได้เป็นอย่างดี - แก้แผลบวม มีพิษ งูพิษกัด สุนัขกัด ตะมอย - ใบ แก้ปวดฟัน แก้ปวดศีรษะ รักษาแผล มีฤทธิ์เป็นยาชา - ดอก แก้ปวดฟัน แก้ปวดศีรษะ · วิธีใช้ ผักคราดหัวแหวน - ใช้รับประทานภายใน ต้มแห้ง ต้มน้ำดื่ม หรือบดเป็นผง รับประทานกับน้ำ หรือผสมกับเหล้ารับประทาน - ใช้ทาภายนอก ต้นสดตำพอก หรือเอาน้ำทาถู ใช้ต้นสด 1 ต้น ตำให้ละเอียด เติมเกลือ 10 เม็ด คั้นน้ำ ใช้สำลีพันไม้ชุบน้ำยาจิ้มลงในซอกฟัน และทำให้หายปวดฟันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย หมายเหตุ เมื่อเอาก้านช่อดอกหรือลำต้นมาเคี้ยว จะทำให้รู้สึกชามากกว่าเคี้ยวแต่ใบอย่างเดียว ดังนั้นการจะนำมาใช้ในทางทำให้ชา เช่น แก้ปวดฟันหรือทางแก้ปวดบวม คันต่าง ๆ ก็น่าจะใช้ลำต้นหรือก้านช่อดอกซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่าใช้ใบ การใช้แก้ปวดฟัน ให้เอาก้านสดมาเคี้ยวตรงบริเวณฟันซี่ที่ปวด เพื่อให้น้ำจากก้านซึมเข้าไปตรงที่ปวด จะทำให้ชาสามารถระงับอาการปวดฟันได้ดี ถ้าฟันที่ปวดเป็นรู ใช้ขยี้ให้เละ อุดเข้าไปในรูนั้น สักครู่จะทำให้ชาและหายปวด (เคี้ยวแล้วประมาณ 1 นาที จะรู้สึกชาและจะชาอยู่ประมาณ 20 นาที ถ้ายังไม่หาย ก็เคี้ยวอีก 3-4 ครั้ง จนกว่าจะหาย พบว่าหายปวดไปได้นานและบางคนว่าจะไม่ปวดอีกเลย) เคี้ยวพืชนี้แล้วจะมีน้ำลายออกมาก ใช้เป็นสารกระตุ้นให้หลั่งน้ำลายได้ดี ยอดอ่อนใช้แกงกินหรือกินเป็นผักสดได้ ช่วยกระตุ้นให้น้ำลายออกมาก ช่วยให้การย่อยในปากและกระเพาะดีขึ้น และกินแก้เลือดออกตามไรฟัน ใช้ตำพอกแผลและแผลเนื้อตายได้ ใช้ต้นนี้ร่วมกับใบหนาดใหญ่ และใบมะขามต้มอาบหลังฟื้นไข้ และในโรคปวดตามข้อ หญิงมีครรภ์และหลังคลอด รากใช้เป็นยาถ่าย ใช้รากแห้ง 4-8 กรัม ต้มในน้ำ 1 ถ้วยกิน รากใช้ต้มเอาน้ำอมบ้วนปาก แก้อาการอักเสบในช่องปากและเจ็บคอ นอกจากนี้อาจใช้ก้านขยี้ทาแผลในปากเด็ก ซึ่งเกิดเนื่องจากร้อนใน - การขยายพันธุ์ เมล็ด ปักชำมีรากออกตามข้อ ใช้ลำต้นปลูกโดยใช้ลำต้นที่มีข้อ 2–3 ข้อ ฝังลงไปในดินให้ส่วนยอดโผล่เหนือผิวดิน ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์ได้ตลอดปี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตขึ้นทั่วไปในที่ลุ่ม ชื้นแฉะพบตามป่าละเมาะ - ดอกผักคราดหัวแหวนขาวเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.10 (สนใจรายละเอียด GC Chromatogram ติดต่อที่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ - ผลรายงานทางคลินิกของจีน 1.แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ใช้ต้นแห้งบดเป็นผง ทำเป็นยาน้ำเชื่อม (ในน้ำเชื่อม 10 มิลลิลิตร มีเนื้อยานี้ 3.2 กรัม) กินครั้งละ 30 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร10 วัน เป็น 1 รอบของการรักษาจากการรักษาคนไข้ 85 ราย) รักษา 2 รอบของการรักษา 8 ราย รักษารอบเดียว 77 ราย) พวกที่เริ่มเป็นรักษาหาย 30 ราย ได้ผลดีขึ้นอย่างเด่นชัด 22 ราย คนไข้หอบ 8 ราย รักษาหาย 1 ราย ได้ผลดีขึ้นอย่างเด่นชัด 7 ราย 2. ใช้เป็นยาชา เอาต้นนี้มาทำเป็นยาฉีดให้มีความเข้มข้น 50% ในการผ่าตัดหน้าท้อง ฉีดยานี้ลงไปทีละชั้น หลังจากนั้น 3-8 นาทีก็ทำการผ่าตัดได้ ระหว่างผ่าตัดอาจฉีดยาลงไปได้อีก เพื่อควบคุมอาการปวด ในการผ่าตัดที่ท้องหรือกระเพาะใช้ขนาด 100-150 มิลลิลิตร ผ่าตัดเล็กใช้ 60-80 มิลลิลิตร การใช้ทำให้ชาภายนอกหรือผ่าตัดในการคลอด หรือส่วนสำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระเพาะ ท่อมทอนซิล จำนวน 346 ราย ทำให้ขาได้ผลดี 326 ราย ได้ผลพอใช้ได้ 17 ราย ล้มเหลว 3 ราย ในการตรวจก่อนและหลังการผ่าตัดเกี่ยวกับไตและเลือด ยังไม่พบอาการผิดปกติอะไร พวกที่แพ้ง่ายจะมีความดันเลือดลดลงเล็กน้อย และแผลหลังการผ่าตัด มักเป็นแผลเป็น โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:19:00 AM (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1743666_213938505461421_1078745341_n.jpg)
วิธีการทำลูกประคบสมุนไพร ..... การประคบสมุนไพร คือ การใช้สมุนไพรมาห่อด้วยผ้าเป็นลูก เรียกว่า ลูกประคบ นำลูกประคบไปนึ่งให้ร้อนแล้วนำมาประคบบริเวณที่ปวดหรือเคล็ด ขัดยอก จะช่วยบรรเทาอาการ ปวดเคล็ดขัดยอกได้ สมุนไพรที่ใช้ทำลูกประคบส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย เมื่อนึ่งร้อนแล้วน้ำมันหอมระเหยซึ่งเป็นตัวยาจะออกมากับไอน้ำและความชื้น เมื่อประคบตัวยาเหล่านั้นจะซึมเข้าในผิวหนัง ช่วยรักษาอาการเคล็ด ขัดยอก และอาการปวด นอกจากเน้นแล้ว ความร้อนจากลูกประคบจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น ทั้งกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยยังช่วยให้เกิดความสดชื่นด้วย อุปกรณ์การทำลูกประคบ 1. ผ้าดิบสำหรับห่อลูกประคบ ขนาด 35 x ยาว 35 เซนติเมตร 2 ผืน 2. เชือก ด้ายดิบ หรือหนังยาง 3. ตัวยาที่ใช้ทำลูกประคบ 4. เตา พร้อมหม้อสำหรับนึ่งลูกประคบ 5. จานหรือชามอลูมิเนียมเจาะรู (เพื่อให้ไอน้ำผ่านได้) สำหรับรองลูกประคบ ตัวยาที่นิยมใช้ทำลูกประคบ (ลูกประคบ 2 ลูก) 1. เหง้าไพล (500 กรัม) สรพคุณ แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ 2. ผิวมะกรูด ถ้าไม่มีให้ใช้ใบแทนได้ (200 กรัม) สรรพคุณ มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน 3. ตะไคร้ (200 กรัม) สรรพคุณ แต่งกลิ่น 4.ใบมะขาม (100 กรัม) สรรพคุณ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยบำรุงผิว 5. ขมิ้นชัน (100 กรัม) สรรพคุณ ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง 6. ใบส้มป่อย (100 กรัม) สรรพคุณ ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดันโลหิต 7. เกลือแกง (60 กรัม) สรรพคุณ ช่วยดูดความร้อนและช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้สะดวกขึ้น 8. การบูร (2 ช้อนโต๊ะ) สรรพคุณ แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้พุพอง 9. พิมเสน (2 ช้อนโต๊ะ) สรรพคุณ แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้หวัด วิธีการทำลูกประคบ 1. หั่นหัวไพล ขมิ้นชัน ต้นตะไคร้ ผิวมะกรูด เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาตำพอหยาบ ๆ 2. นำใบมะขาม ใบส้มป่อย ผสมกับสมุนไพรข้อ 1 เสร็จแล้วให้ใส่เกลือ การบูร คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียว แต่อย่าให้แฉะเป็นน้ำ 3. นำตัวยาที่จัดเตรียมเรียบร้อย แล้วใส่ผ้าดิบห่อเป็นลูกประคบประมาณลูกส้มโอ (น้ำหนักประมาณ 400 – 500 กรัม) รัดด้วยเชือกให้แน่น (ลูกประคบเวลาถูกความร้อนยาสมุนไพรจะฝ่อลงให้รัดใหม่ให้แน่นเหมือนเดิม) 4. นำลูกประคบที่ได้ไปนึ่งในหม้อนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณ 15-20 นาที 5. นำลูกประคบที่รับความร้อนได้ที่แล้วมาประคบคนไข้ที่มีอาการต่าง ๆ โดยสับเปลี่ยนลูกประคบ วิธีการประคบ 1. จัดท่าคนไข้ให้เหมาะสม เช่น นอนหงาย นั่ง นอนตะแคง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จะทำการประคบสมุนไพร 2. นำลูกประคบที่รับความร้อนได้ที่แล้วมาประคบบริเวณที่ต้องการประคบ (การทดลอบความร้อนของลุกประคบคือแตะที่ท้องแขนหรือหลังมือของผู้ประคบก่อน) 3. ในการวางลูกประคบบนผิวหนังคนไข้โดยตรงในช่วงแรก ๆ ต้องทำด้วยความเร็ว วางแช่นาน ๆ เพื่อป้องกันคนไข้จากการลูกลวกด้วยความร้อน 4. เมื่อลูกประคบคลายความร้อนลงก็สามารถเปลี่ยนลูกประคบอีกลูกที่นึ่งได้ที่ (นำลูกเดิมไปนึ่งต่อ) ทำซ้ำตามข้อ 2 , 3 , 4 ประโยชน์ของการประคบ 1. บรรเทาอาการปวดเมื่อย 2. ช่วยลดอาการบวม อักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ หลัง 24-48 ชั่วโมง 3. ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ 4. ช่วยให้เนื้อเยื่อ พังผืด ยืดตัวออก 5. ลดการติดขัดของข้อต่อ 6. ลดอาการปวด 7. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ข้อควรระวัง 1. ห้ามใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะกับบริเวณผิวหนังอ่อน ๆ หรือบริเวณที่เคยเป็นแผลมาก่อน ถ้าต้องการใช้ควรมีผ้าขนหนูรองก่อนหรือรอจนกว่าลูกประคบจะคลายร้อนลงจากเดิม 2. ควรระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต เด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวความรู้สึกตอบสนองต่อความร้อนช้า อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ พองได้ง่าย ถ้าต้องการใช้ควรจะ “ ใช้ลูกประคบที่อุ่น ๆ ” 3.ไม่ควรใช้ลูกประคบสมุนไพรในกรณีที่มีแผลการอักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) ในช่วง 24 ชั่วโมง แรกอาจจะทำให้บวมมากขึ้น 4. หลังจากประคบสมุนไพรแล้ว ไม่ควรอาบน้ำทันทีเพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และอุณหภูมิของร่างกายปรับเปลี่ยนไม่ทันอาจจะทำให้เป็นไข้ได้ วิธีเก็บรักษา 1. ลูกประคบสมุนไพรที่ทำในแต่ละครั้ง สามารถเก็บไว้ใช้ซ้ำได้ 3-5 วัน 2. ควรเก็บลูกประคบไว้ในตู้เย็น จะทำให้เก็บได้นานขึ้น ควรตรวจลูกประคบด้วย ถ้ามีกลิ่นบูดหรือเหม็นเปรี้ยวไม่ควรเก็บไว้) 3. ถ้าลูกประคบแห้ง ก่อนใช้ควรพรมด้วยน้ำหรือเหล้าขาว 4. ถ้าลูกประคบที่ใช้ไม่มีสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อนลงแสดงว่ายาที่ใช้จืดแล้ว (คุณภาพน้อยลง) จะใช้ไม่ได้ผลควรเปลี่ยนลูกประคบใหม่ อ้างอิงจาก www.ittm.dtam.moph.go.th (http://www.ittm.dtam.moph.go.th) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:09:22 AM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1780789_212215798967025_1166300881_n.jpg) เรื่องของลมในกองธาตุที่สัมพันธ์กับระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต.... ในระบบหายใจ และระบบการไหลเวียนโลหิต เทียบได้กับการทำงานของลมในร่างกาย ก็คือ การทำงานร่วมกันของลมอุทธังคมาวาตา กับลมอโธคมาวาตา ซึ่งลมในกองธาตุทั้ง 2 นี้ก็จะทำงานร่วมกับลมอัสสาสะปัสสาสะวาตาด้วย ซึ่งการทำงานร่วมกันของลมที่เกี่ยวข้่องกับระบบการหายใจและระบบการไหลเวียนเลือด เป็นดังนี้ - การหายใจเข้า เป็นการทำงานร่วมกันของลมอโธคมาวาตาและอัสสาสะวาตา - การหายใจออก เป็นการทำงานร่วมกันของลมอุทธังคมาวาตาและปัสสาสะวาตา อธิบายเรื่องของลม 6 กอง ดังนี้คือ 1. ลมอุทธังคมาวาตา คือลมพัดขึ้นเบื้องบน จากเหนือสะดือ ถึง ศีรษะ 2. ลมอโธคมาวาตา คือลมพัดลงเบื้องล่าง ตั้งแต่ใต้สะดือ ถึงปลายเท้า ลมทั้งสองนี้เมื่อระคนกัน คือ ลมอโธคมาวาตา พัดย้อนขึ้นไประคนกับลมอุทธังคมาวาตา หรือลมอุทธังคมาวาตากลับพัดลงมาหาอโธคมาวาตา จึงเป็นเหตุให้โลหิตถูกพัดเป็นฟองและร้อนดังไฟ กำลังที่โลหิตแปรไปก็เกิดแต่อาการ ๓๒ ของร่างกาย ส่วนลมในทิศเบื้องต่ำ คือลมอัมพฤกษ์และลมอัมพาต เกิดแต่ปลายเท้าถึงเบื้องบน ลมทั้งสองนี้ เป็นที่ตั้งแห่งฐานลมทั้งหลาย เมื่อระคนกันก็ให้หวาดหวั่นไปทั่ว เพราะไปกระทบกับ ลมหทัยวาตะ คือน้ำเลี้ยงหัวใจ ให้บุคคลถึงแก่ชีวิต เมื่อลมระคนกันให้กำลังโลหิตแปรไป อาการที่ปรากฎจึงเป็นอาการทางระบบประสาท ให้จุกแน่น ชักมือกำ เท้างอ ดิ้นไป ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง ขากรรไกรแข็ง เจรจาไม่ได้ บ้างสิ้นสติ หรือลมนั้นมีกำลังขับโลหิต ให้คั่งเป็นวงเป็นสีตามร่างกาย 3. กุจฉิสยาวาตา คือ ลมพัดในท้อง นอกลำไส้ 4. โกฏฐาสยาวาตา คือ ลมพัดในลำไส้ ลมในกระเพาะ 5. อังคมังคานุสารีวาตา คือ ลมพัดทั่วร่างกาย 6. อัสสาสะปัสสาสะวาตา คือ ลมหายใจเข้าออก ซึ่งลมดังกล่าวมีตัวควบคุม 3 อย่าง คือ 1. หทัยวาตะ หมายถึง ลมเกี่ยวกับหัวใจ จิตใจหรือลมที่ทำให้หัวใจเต้น 2. สัตถกวาตะ หมายถึง ลมที่คมเหมือนอาวุธลักษณะรวดเร็วฉับพลัน เล็ก แหลม เจ็บแปลบ เกิดจากปลายประสาท และเส้นเลือดฝอยผิดปกติ 3. สุมนาวาตะ เส้นสุมนา คือเส้นกลางลำตัว น่าจะหมายถึง ระบบไหลเวียนของเลือดและประสาท หรืออื่น ๆ ที่มีผลต่อการเคลื่อนไหว ระบบนี้น่าจะอยู่บริเวณกลางลำตัว ซึ่งลมทั้ง 3 นี้ จะเป็นสาเหตุหลักให้ลมทั้ง 6 ชนิดดังกล่าวผิดปกติไป เกิดเจ็บป่วยด้วย โรคลมต่าง ๆ ดังนั้น อาการของโรคลมที่เกิดจากลม กองละเอียด มักจะมีอาการหน้ามืด ตาลาย เวียนศีรษะ ใจสั่น สวิงสวาย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ตกใจ เสียใจ แพ้ท้อง และทำงานกลางแดด จัดนาน ๆ เป็นต้นนอกจากนี้หมอพื้นบ้านยังได้กล่าวถึง โรคลมที่เกิดจากลมกองหยาบ คือ ลมหายใจเข้าออก ลม ในท้อง และลำไส้ มักจะมีอาการจุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เรอ และขับผายลม เป็นต้น แพทย์แผนปัจจุบันโดยนายแพทย์จักรพงศ์ ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสถาบันการแพทย์แผนไทย ได้สรุปดังนี้ กลุ่มอาการดังกล่าวได้แก่ 1. Vertigo ( อาการบ้านหมุน ) 2. Papitation ( อาการใจสั่น ) 3. Emotional Stress ( อารมณ์เครียด ) 4. Headache ( ปวดศีรษะ ) หรือจากการแบ่งสาเหตุได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1. สาเหตุจากสมอง ได้แก่ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เกิดอาการ Vertigo, Cerebral insufficency, Syncope 2. สาเหตุจากจิตใจและอารมณ์ ได้แก่ Anxity, Depression 3. สาเหตุจากหัวใจ ได้แก่ Papitation, Angina, Arrythmia 4. สาเหตุจากระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ Nausia, Vomilting, Morning Sickness 5. สิ่งอื่น ๆ ภายในและภายนอก ได้แก่ ปวดเกินไป , แน่นเกินไป , ยืนนาน ๆ , ร้อนเกินไป (Heatstroke) (ที่มา ยาหอมไทย แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก) ขอขยายความเรื่องลมเพื่อความเข้าใจและเห็นภาพชัดขึ้น ลม (วาโยธาตุ) วาโยธาตุหย่อน ให้โทษ 13 ประการ คือให้เกิดลมไปต่าง ๆ มักให้ถอนใจ หาว เรอ ผายลม ลมในท้องมาก สะบัดร้อนสะบัดหนาว ร้อนในอก ตัวและมือเท้าสั่น ลมพัดทั่วกาย มือเท้าตาย ลมทำพิษให้คลั่งไคล้ วาโยธาตุกำเริบ ให้โทษ 12 ประการ คือ ให้ลิ้นแข็ง คอแห้งเป็นผง กระหายน้ำ เขม่นตา ขนพองสยองเกล้า ฟันคลอน คัดจมูก เบื่ออาหาร มือเท้าเย็น ฟันแห้ง ปากแห้ง วาโยธาตุพิการ เมื่อท้องว่างให้อาเจียน บางทีอิ่มให้คลื่นเหียนอาเจียนก็มี ให้ท้องคลอนเพราะมีลม (ที่มา คู่มือเวชกรรมแผนโบราณ ฝ่ายธรรมชาติบำบัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ศูนย์ประสานงานการแพทย์แผนไทยภาคกลาง จังหวัดปราจีนบุรี สนับสนุนโดยสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข) เพิ่มเติม.... ระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินหายใจเริ่มจากจมูก ต่อจากนั้นจะเป็นโพรงที่ติดต่อระหว่างจมูก (Nasal) กับคอหอย (Pharynx) ที่เรียกว่า Nasopharynx ตำแหน่งคอหอยจะมีกระดูก อ่่อนด้านบน เรียกว่า Thyroid Cartilage ด้านล่างเรียกว่า Cricoid Cartilage ต่อจากคอหอยก็จะเป็นส่วนของหลอดลม (Trachea) จากนั้นหลอดลมจะแบ่งเป็น แขนงหลอดลมหลัก (ฺMain Bronchi) ข้างซ้ายและขวา โดยจะมีมีการแตกแขนง ออกไปเรื่อยๆในเนื้อปอด เรียกว่า Bronchial Tree ซึ่งที่ย่อยที่สุดจะเรียกว่า Bronchioli ก่อนทีจะไปต่อกับถุงลมมากมายที่เรียกว่า Alveoli บริเวณ Alveoli จะเป็นบริเวณที่มีการแลกเปลียนอากาศ เมื่อมองเนื้อปอดจากภายนอก จะเห็นเนื้อปอดมีลักษณะเหมือนฟองน้ำ ซึ่่งภายในจะมีอากาศจากลมหายใจเข้าผ่านจากจมูก ไปยังโพรงระหว่างจมูกและคอหอย ต่อไปยังคอหอย หลอดลม แขนงหลอดลม และไปเก็บในถุงลม จากรูปด้านซ้่าย เป็นภาพขยายของบริเวณถุงลม (Alveolus) ซึ่งจะอยู่ใกล้เส้นเลือดฝอยที่อยู่ในปอด จุดดังกล่าวจะเป็นจุดที่มีการแลกเปลี่ยนอากาศ โดยเลือดที่ผ่านเข้ามาที่ปอดนั้น เป็นเลือดที่มาจากอวัยวะต่างๆ ซึ่งได้ใช้ออกซิเจนไปจึงเหลือออกซิเจนน้อย แต่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง เม็ดเลือดแดงจะมีสีน้ำเงินหรือที่เรียกว่าเลือดดำ เมื่อเส้นเลือดฝอยผ่านมาที่บริเวณถุงลม จะเกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซโดยวิธีออสโมซีส คือเคลื่อนจากที่ที่มีความแข็งข้นสูงไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเส้นเลือดฝอยที่มีความเข้มข้นมาก จะเคลื่อนทีมายังถุงลม และก๊าซออกซิเจนที่มีความเข้มข้นมากในถุงลม จะเคลื่อนที่ไปยังเส้นเลือดฝอย เลือดที่ผ่านออกจากปอดจึงเป็นเลือดที่มีก๊าซออกซิเจนมาก และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย หรือที่เรียกว่าเลือดแดง เพื่อที่จะส่งไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในรอบต่อไป ส่วนก๊าซที่มีคาร์บอนไดออกไซด์มากในถุงลม ก็จะถูกขับออกในช่วงของการหายใจออก ระบบไหลเวียนโลหิต จำเป็นต้องใช้ 2 ระบบทำงานสัมพันธ์กัน คือ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจ หัวใจและปอดอยู่ติดกันในทรวงอก แต่ภาพนี้เขียนแยกออกจากกันเพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย เนื่องจากเซลต้องการอาหารเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งอาหารหลักของเซลคือกลูโคส และต้องการออกซิเจนเพื่อช่วยในกระบวนการสันดาปให้เกิดพลังงาน หลักการของระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากจะส่งกลูโคสให้เซลแล้ว จะทำหน้าที่ 2 ประการคือ ส่งเลือดที่มีออกซิเจนสูง คาร์บอนไดออกไซด์ต่ำไปให้กับเซลต่างๆทั่วร่างกาย (เลือดแดง) นำเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ คาร์บอนไดออกไซด์สูง (เลือดดำ) ไปฟอกที่ปอด เพื่อให้เป็นเลือดแดงที่จะส่งไปให้เซลในรอบใหม่ จากรูปจะเห็นว่า ได้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนสีแดง กับส่วนสีน้ำเงิน ขอเริ่มจากส่วนสีน้ำเงินก่อนคือ เส้นเลือดเมื่่อไหลผ่านอวัยวะต่างๆ อวัยวะต่างๆก็จะนำออกซิเจน(O2) และกลูโคส (C6H12O6)ไปใช้ และปล่อยของเสียได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และแอมโมเนีย (NH3) ในรูปของ ยูเรียเข้าในในกระแสเลือด ยูเรียจะถูกขับออกที่ไต ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะไปฟอกที่ปอด จากรูปจะเห็นเส้นเลือดดำทั้งหมดจะไหลเข้าไปในเส้นเลือดดำใหญ่ Venacava เข้าไปยังหัวใจห้องบนขวา ที่เรียกว่า Right Atrium (RA) จากนั้นจะผ่านลิ้นหัวใจเข้าไปในหัวใจห้องล่างซ้ายที่เรียกว่า Right Ventricle (RV) หัวใจห้องล่างซ้ายก็จะบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปที่ปอดผ่านเส้นเลือดแดงชื่อ Pulmonary Artery ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดแดงที่มีออกซิเจนต่ำที่สุด และคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในร่างกาย โดยเส้นเลือดที่ไปยังปอดก็จะแยกเป็นเส้นเลือดที่ขนาดเล็กลง จนเป็นเส้นเลือดฝอยที่ปอด และไปทำการแลกเปลี่ยนอากาศกับถุงลมดังรูปที่แสดงก่อนหน้า เลือดที่ออกจากปอดที่ผ่านการฟอกแล้วจะมีีออกซิเจนสูง และก๊ีาซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ จะไหลเข้ามารวมกันเป็นเส้นเลือดดำชื่อ Pulmonary Vein แล้วเทเข้าหัวใจทางด้านห้องบนซ้ายที่เรียกว่า Left Atrium (LA) จากนั้นไหลผ่่านลิ้นเข้าในหัวใจห้องล่างซ้ายที่เรียกว่า Left Ventricle (LV) ซึ่งเมื่อหัวใจห้องล่างซ้าย บีบตัวก็จะส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย การเต้นของหัวใจขึงมี 2 จังหวะ คือ ช่วงบีบตัวก็จะบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แลไปสู่ปอด ส่วนช่วงคลายตัวคือช่วงที่รับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ การทำงานของหัวใจและปอดจะเชื่อมโยงกัน ระบบใดมีปัญหาก็จะทำให้อีกระบบหนึ่งมีัปัญหาไปด้วย โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2014, 10:08:53 PM โรงพยาบาลธรรมชาติ
โรงพยาบาลธรรมชาติ ๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ 10 กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว ๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีด และกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้) หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ ๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม หอม พริกให้มากเข้าไว้ ๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี) ๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน ๖. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่ หอมแดงต้นหอม และเอาหอมซุก ไว้ใต้หมอน ๗. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย, ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง ๘. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ หรือน้ำแครนเบอรี่ ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก) ๙. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ ๑๐. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะ และให้กินน้ำมะขามต้มติด เนื้อมาก เช้า เย็น ๑๑. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือ กินผักกระหล่ำปลีให้มาก ๑๒. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย ๑๓. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มาก และ กินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วง วันละ ๑ กำมือก็ได้ ๑๔. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า ๑๕. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมาก) มะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก( แมงกานีส) ๑๖. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครง และหอยนางรม ซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้ ๑๗. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด ๑๘. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดใน ปอดได้ดี แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่ ๑๙. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย ๒๐. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอก เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับ ตะกรันน้ำมัน เก่าออกถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย ๒๑. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสี มากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น ๒๒. เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัด อย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอ และฝรั่งเพราะ มีน้ำตาลอยู่น้อยมาก โรงพยาบาลธรรมชาติ หัวจรดเท้ารักษาเองได้ก่อนไปหาหมอ "ขอให้ทุกๆคนมีีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงๆน่ะครับ" หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:43:31 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1972521_619462408102775_727873431_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1940023_619462118102804_1124787504_n.jpg) บอระเพ็ดลดผมร่วง ถ้าพูดถึงบอระเพ็ดหลายคนคงจะต้องร้องยี้เลยทีเดียวเพราะความขมของมันที่เคยได้ลิ้มลองนั้นมันช่างขมติดปากติดคอเสียจริง เอาเป็นว่าถ้าคุณครูเอ่ยถึงบอระเพ็ดเมื่อไหร่ละก็เสียงเด็กประถมที่ชอบคุยกันนั้นจะเงียบกริบทันที เพราะว่าไม่มีใครกล้าลองเสี่ยงอมเจ้าบอระเพ็ดที่ขมปี๋แบบนั้นได้ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าบอระเพ็ดนั้นนอกจากจะเป็นสมุนไพรชั้นเลิศที่รักษาโรคต่างๆได้แล้ว บอระเพ็ดยังมีผลเกี่ยวกับความสวยความงามที่เป็นเรื่องของผู้หญิงเราอีกด้วย เพราะว่าบอระเพ็ดนั้นมีประโยชน์ช่วยลดผมร่วงได้เป็นอย่างดี และสามารถเป็นตัวบำรุงผมให้ดำเงางามมีน้ำหนักอีกด้วย ส่วนผสมที่ต้องเตรียมมีดังต่อไปนี้ ■บอระเพ็ดหั่นเป็นชิ้นเล็กจำนวน 1 ถ้วย ■น้ำเปล่าสะอาดจำนวน 2 ถ้วย ขั้นตอนและวิธีการทำสูตรบอระเพ็ดลดผลร่วง ซึ่งมีขั้นตอนในการทำดังต่อไปนี้ ■นำบอระเพ็ดที่เตรียมไว้มาต้มลงในหม้อที่มีน้ำเดือดจัด ซึ่งจะใช้เวลาในการต้มประมาณ 3 นาที เพื่อให้ตัวยาที่มีอยู่ในบอระเพ็ดนั้นละลายรวมตัวกับน้ำ เมื่อครบเวลาแล้วก็ทำการดับไฟ ■นำบอระเพ็ดที่ต้มเสร็จแล้วไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นให้กรองเอาแต่น้ำมาใช้ ทิ้งไว้สักครู่ ■หลังจากที่สระผมด้วยแชมพูตามปกติแล้ว ให้ชโลมน้ำบอระเพ็ดที่เตรียมไว้ลงบนศีรษะให้ทั่วเส้นผม จากนั้นให้นวดด้วยปลายนิ้ววนไปมาให้ยาที่มีอยู่ในตัวบอระเพ็ดนั้นซึมเข้าสู่หนังศีรษะ ■ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นให้สะอาด ซึ่งสูตรบอระเพ็ดลดผมร่วงนี้สามารถทำได้เป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งด้วยกัน เพื่อผลลัพธ์ของเส้นผมที่ลดการขากหลุดร่วงของเส้นผม และยังเป็นการบำรุงเส้นผมให้มีความเงางามและมีน้ำหนักได้ดีอีกด้วย เป็นอย่างไรกันบ้างกับสูตรบอระเพ็ดลดผมร่วงที่ผู้เขียนได้นำมาแนะนำกันในวันนี้ หวังว่าคงจะถูกใจสาวๆที่มีผมร่วงกันบ้างนะค่ะ ซึ่งขั้นตอนการทำนั้นก็ไม่ยุ่งยากถ้าใครสนใจก็สามารถนำไปลองทำกันดูได้ http://www.banlady.com/ (http://www.banlady.com/) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:36:52 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1002219_230733973716864_1959684989_n.jpg)
เครื่องดื่มสมุนไพรรักษาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือขัดเบา 1.กระเจี๊ยบแดง ใช้กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอกตากแห้ง บดเป็นผง ครั้งละ 1 ช้อนชา (หรือ 3 กรัม) ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย (200 มล.) จะได้น้ำสีแดง ดื่มวันละ 3 ครั้ง. หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:41:38 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1620739_230733123716949_1697698598_n.jpg)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:42:29 PM (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1922478_230693160387612_515331687_n.jpg)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:44:12 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1897987_230693047054290_1526546799_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 01, 2014, 09:13:21 PM Fahsai Fahsai
สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย ลำต้น ใช้เป็นยาแก้เบื่ออาหาร เจริญอาหาร ใบ เป็นยาใช้ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ(ผมเองก็งงกับศัพท์คำนี้อยู่น่าจะหมายถึงขับประจำเดือน) วิธีใช้ด้วยการนำมาต้ม เอาน้ำดื่มกิน ดอก เป็นยาแก้ไข้เรื้อรัง ผอมแห้ง ใช้นำมาต้มเอาน้ำดื่ม เหง้า ใช้เป็นยาขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ เสมหะเป็นพิษและบำรุงน้ำนม วิธีใช้โดยการนำหัวหรือเหง้าสด ประมาณ 2 หัว (20 กรัม) ปิ้งไฟแล้วนำมาฝนผสมกับน้ำปูนใส ประมาณครึ่งแก้ว แล้วใช้น้ำดื่ม (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1656260_1471882533041613_1820356124_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 01, 2014, 09:14:26 PM Fahsai Fahsai
ต้นสมเสร็จหรือต้นหัสชัย บริเวณชายฝั่งอ่าวนครศรีธรรมราช ในเขตอำเภอปากพนัง นับว่าเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์มากบริเวณหนึ่ง ในแง่ของความหลากหลายทางชีวภาพของพันธ์ไม้ ซึ่งมีหลายอย่างที่เราไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก พืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกกันว่าต้นสมเสร็จ ไม่ใช่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่แถวบ้านเราสูญพันธ์ไปแล้ว แต่เป็นต้นไม้พุ่มชนิดหนึ่ง ผลเป็นสีส้ม แดง สวยงาม ชาวบ้านในแถบนั้นได้เล่าให้ฟังถึงว่าทำไม่จึงเรียกว่าสมเสร็จ กล่าวคือ พืชชนิดนี้นั้นมีองค์ประกอบที่เป็นตัวยาเบ็ดเสร็จอยู่ในต้นเดียวกัน นำส่วนต่างๆ ไปต้มรับประทานแล้วสามารถที่จะบรรเทาอาการจากโรคต่างๆ ได้ สารพัดโรคทีเดียว พืชสมุนไพรชนิดนี้จึงน่าศึกษาอย่างยิ่ง จะเป็นตำนานแบบยาผีบอก หรือยาจากในฝัน คงจะไม่ได้อีกต่อไป จะต้องต่อยอดความรู้ให้แน่ชัดว่ามีตัวยาใด รักษาโรคใดได้ดีที่สุด อาจค้นพบตัวยาที่อาจใช้รักษาโรคหวัดเม็กซิโก หวัดนกก็ได้ ถ้าให้สามารถศึกษาแล้วพบว่าบรรเทาอาการได้จริง แล้วจะทำให้อ่าวนครเป็นแหล่งสมุนไพรที่รักษาโรค ทำให้เป็นทีรู้จักไปทั่วโลกก็ได้ และต่อไปอาจเป็นแหล่งท่องเที่ยวชมพืชสมุนไพรก็อาจะเป็นไปได้ เรื่องนี้ทีมนักวิจัยอ่าวนครคงต้องลงลึกไปในรายละเอียดมากกว่านี้แน่นอน (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1900042_1471880049708528_1476379903_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:46:59 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1901357_826074754086066_2136331797_n.jpg)
สูตรสมุนไพรแก้ปวดศีรษะ สูตรการรักษาด้วยสมุนไพรไทยนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ ตั้งแต่หัวจรดเท้า นั้น ในสมัยโบราณนั้นไม่มีโรงพยาบาลเมื่อในสมัยปัจจุบัน คนโบราณจึงเก่งเรื่องสมุนไพรไทยสามารถนำมาทำเป็นยารักษาโรคต่างๆได้ สมุนไพรหลากหลายชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้น อาจจะมีไม่น้อยกว่า 2,000 ชนิด ที่นำมาสกัดเป็นยาในปัจจุบัน ในสมัยก่อนจะใช้ทาและต้มกิน โดยเฉพาะอาการป่วน หัวตาร้อนจะมีสมุนไพร เช่นแก่นขี้เหล็ก ผักเสี้ยน สมุนไพรวานถอนพิษ การปวดหัว ปวดท้องนั้นจะใช้สมุนไพรมาต้มดื่มแทนน้ำ และนอกจากนี้ หากใครมีอาการปวดศีรษะนั้น หมอชาวบ้านจะแนะนำวิธีการรักษาแบบง่ายๆให้กลับไปทำที่บ้าน โดยใช้สมุนไพรที่ทุกบ้านมี ปลูกไว้รับประทานที่หลังบ้าน โดยมีวิธีการทำดังต่อไปนี้ค่ะ - แป้งดินสอพอง1 ลูก เผาไฟให้สุก บดละเอียดผสมพิมเสนบดเข้ากัน อัตราส่วน 1 ต่อ 5 ส่วน นัตถุ์เข้าทางจมูกทั้งสองข้างพอสมควร - หัวขิง หัวข่า หัวเปราะ หัวกระชาย หัวหอม ผักชีลาว ตำเข้ากัน การบูรแทรก ห่อผ้าสูดดม - แก่นขี้เหล็ก ผักเสี้ยนผี ต้นแมงลัก ส่วนเท่าๆกัน ใส่หม้อต้ม เติมน้ำท่วมยา 3 ส่วน เหลือ 1 ส่วน รับประทานครั้งละ ครึ่งถ้วยกาแฟ ก่อนอาหาร เช้า เย็น - ดอกกานพลู ๒ ดอก เคี้ยวแหลกละเอียด ดื่มน้ำชาจีนอุ่นๆตาม 1 แก้ว หมายเหตุ : ควรรับประทานกันกว่าอาการจะหายเป็นปรกติ สามารถรับประทานแทนน้ำเปล่าได้ค่ะ ยังมีหลายสูตรที่สามารถช่วยลดอาการปวดหัวและยังช่วยล้างพิษให้กับร่างกายได้พัดออกเสียออกจากร่างกายอีกหนึ่งทางค่ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สมุนไพรในไร่ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:48:19 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1958229_826073334086208_2017074379_n.jpg) ”แมงลัก” สูตรแก้ปวดหัวเรื้อรัง โรคปวดหัวเรื้อรัง มีคนเป็นเยอะ สาเหตุมาจากหลายอย่าง เป็นแล้วทรมานมาก บางครั้งถึงกับหน้ามืดตามัวเลยทีเดียว ต้องกินยาจากแพทย์จึงจะหาย ในทางสมุนไพรมีวิธีแก้ได้ โดยให้เอาต้น ใบ และดอก ของ “แมงลัก” กับ “ผักเสี้ยนผี” แบบแห้ง และแก่นต้น “ขี้เหล็ก” จำนวนเท่ากัน อย่างละ 15 กรัม หากเป็นแบบสด ต้องเพิ่มเป็น 20 กรัม ต้มกับน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว ต้มดื่มเรื่อย ๆ อาการปวดหัวเรื้อรังจะดีขึ้นและหายได้ เคยมีคนเป็นไมเกรนดื่มแล้วดีขึ้น เรื่องนี้ต้องทดลองดู ซึ่งตัวยาทั้ง 3 ชนิดมีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี บริเวณโครง 21 แผง คุณพร้อมพันธุ์ ราคาสอบถามกันเอง แมงลัก มีลักษณะดอกใบและผลคล้ายโหระพา จะต่างกันที่กิล่น เมล็ด “แมงลัก” แช่น้ำให้พองลื่น รับประทานทำให้ระบายท้องดี บางคนอยากผอม กินแล้วทำให้ไม่อยากอาหาร “ผักเสี้ยนผี” มีสรรพคุณเด่น ได้แก่ ใบ แก้โรคเช่าเสื่อม ถุงน้ำในหัวเข่า และโรคพยาธิด่างขาวด้วย ส่วน “ขี้เหล็ก” มีประโยชน์ทางอาหารแลทางยาเยอะ ที่ดัง ๆ คือ เอาทั้ง 5 ของ “ขี้เหล็ก” กะจำนวนตามต้องการ ต้มน้ำดื่มเรื่อย ๆ เป็นยาช่วยลดความดนโลหิตสูงได้เร็วมาก ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://headacheofmigraine.blogspot.com/ (http://headacheofmigraine.blogspot.com/) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:49:13 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1969112_826071714086370_2125862662_n.jpg)
"ใบมะยม" กับสูตรแก้ปวดหัว อาการปวดหัวมีหลายรูปแบบ แต่ที่จะพูดถึงในวันนี้คือ "ปวดหัว" ที่เกิดจากสาเหตุเพราะเครียด คิดมาก อดนอน หรือขาดการออกกำลังกาย ซึ่งอาการดังกล่าวเป็ฯแล้วจะทรมานมาก ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิดง่าย โมโหไปหมด บางครั้งปวดจนทนไม่ไหว ต้องกินยาคลายเครียด หรือยาแก้ปวดหนัวที่แพทย์จ่ายให้ จึงจะทุเลาและหายได้ ยิ่งในยุคข้ายากหมากแพงเช่นปัจจุบัน คนเป็นกันเยอะ เพราะรายรับกับรายจ่ายชักหน้าไม่ถึงหลัง ซึ่งอาการปวดหัวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ถ้าปล่อยให้เป็นนาน ๆ ไม่ดีแน่ ผู้ป่วยที่เครียดจัด หรือปวดหัวหนัก ๆ อาจก่อเหตูที่ไม่คาดคิดก็ได้ ในส่วนของ "ใบมะยม" ใช้แก้อาการที่กล่าวข้างต้น มีวิธีรับประทานแบบง่ายคือ ให้เอาใบมะยมที่เป็นใบแก่รวมกัน 1 กำมือ ต้มน้ำสะอาดกะตามต้องการ ใส่น้ำตาลกรวดอย่าให้หวานนัก ต้มจนเดือดแล้วดื่มต่างน้ำขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และก่อนนอน ทำดื่มเรื่อย ๆ จะช่วยให้ อาการปวดหัวที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าว ทุเลาลงและหายในที่สุด มะยม หรือ PHYLLANTHUS ACIDUS LINN. SKEELS อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE มีสรรพคุณเฉพาะ ใบ เป็นส่วนประกอบ ยาเขียว กินดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ไข้หัวต่าง ๆ เปลือกต้น แก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ต้มน้ำ ดื่มแก้ไข้ เพื่อโลหิต ต้มอาบ แก้ผดผื่นคัน ราก แก้โรคผิวหนัง เม็ดผื่นคัน ประดง แก้น้ำเหลืองเสีย ผล กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต ระบายท้อง ตำรวมกับพริกไทยพอกแก้ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลังเด็ดขาดนัก ใบมะยม ทางอาหาร ผลอ่อน รับประทานเป็นผักสด จิ้มน้ำพริก ลาบ ใส่แกงเลียง ผลแก่ ปรุงเป็นส้มตำแทนมะละกอ จิ้มเกลือพริกป่น ดองทำมะยม ทำแยม ทำแช่อิ่ม และมะยมหวาน นิยมรับประทานกันแพร่หลาย ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คอมลัมน์เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ โดย "นายเกษตร" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:50:13 PM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1920554_826046300755578_1557092194_n.jpg) แก้อาการปวดหัว.....โดยวิธีธรรมชาติ ..... อาการปวดหัวนั้น ไม่จำเป็นที่คุณต้องพึ่งยาเสมอไป ลองมาบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติดูก่อนดีไหมคะ.... 1. บำบัดด้วยน้ำ วางถุงน้ำแข็งบนหน้าผาก หรือจะใช้ผ้าเย็น ๆ โพกศีรษะก็ได้ค่ะทำไปพร้อมกับการแช่เท้าในน้ำอุ่น ค่อย ๆเพิ่มความร้อนของน้ำขึ้น ใช้เวลา 15-20 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลงค่ะ 2. งดอาหาร อาหารแสลงบางชนิด เช่น เนื้อรมควัน ชอคโกแล็ค ผงชูรส ไส้กรอก เบคอน และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มักเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหัวได้ 3. ใช้วิตามิน การขาดวิตามิน B- COMPLEX อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ลองมองหาอาหารที่มี วิตามินบีมาก ๆ เช่น ผักโขม กะหล่ำปลีข้าวซ้อมมือ และอาหารธัญพืชต่าง ๆ 4. ขิง มีงานวิจัยพบว่า ขิงมีคุณสมบัติในการแก้ไมเกรน หากมีอาการปวดหัวในช่วงบ่าย ๆ ลองจิบน้ำขิงอุ่น ๆ สักแก้ว ถ้าไม่สะดวกจะต้มเอง ขืงผงบรรจุซอง ก็สะดวกดีค่ะ 5. น้ำมันหอม น้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการลดความกระวนกระวายใจได้ ลองนำมานวดบริเวณขมับ ไรผม และต้นคอ จะช่วยผ่อนคลายได้ 6. นวด การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ หาใครสักคนมาคอยนวดที่ต้นคอและช่วงไหล่หรือจะนวดเองก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดค่ะ 7. ไปเดินเล่นสักห้านาที การเดินเล่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินส์ ซึ่งเป็นยาแก้ปวดขนานเอก 8. ดนตรีบำบัด ถ้าคุณปวดหัวจากความเครียด ในทางการแพทย์ค้นพบว่า ดนตรีช่วยบำบัด อาการได้ โดยเฉพาะดนตรีทีมีท่วงทำนองเรียบง่ายฟังสบาย ๆ อาจมีสรรพเสียง ของธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้องเกลียวคลื่น เสียงนก หรือลมฝน จะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบนิ่งขึ้นช่วยลดความตึงเครียดได้ เป็นวิธีแก้อาการปวดหัว แบบธรรมชาติกันจริงๆ ใครชอบแบบไหนก็ลองทำดูนะคะ รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ถ้าทำทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ก็ก็ถึงเวลาที่คุณควรไปพบแพทย์แล้วล่ะค่ะ ปวดหัวจากความเครียด มีอาการปวดบริเวณรอบศีรษะ รู้สึกมมึนๆเหมือนสมองถูกบีบ มักเกิดจากความเครียดหรืออาการอ่อนเพลีย การพักผ่อนให้เพียงพอหรือนวดบริเวณต้นคอและขมับจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชนิดนี้ได้ หรือจะใช้วิธีการฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ และหายใจลึกๆและสำหรับการทำงานที่ติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ควรจะหยุดพักเป็นระยะๆ รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดอาการปวดหัวชนิดนี้ได้ค่ะ ปวดหัวจากแอลกฮอล์ มักมีอาการปวดบริเวณเบ้าตา ,ถ้าคืนไหนคุณดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์มากเกินไปก่อนเข้านอนควรจะดื่มน้ำตามมากๆด้วยเนื่องจากน้ำจะช่วยต้านฤทธิ์ของแอลกฮอล์ได้ส่วนรุ่งเช้าควรดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากเมาค้างได้ ปวดหัวจากไซนัส จะมีอาการปวดบริเวณดั้งจมูกและเบ้าตาวิธีการบรรเทาอาการปวดหัวแบบนี้ ต้องพึ่งยาลดน้ำมูก เพื่อให้จมูกโล่ง หรืออาจจะใช้วิธีประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น การจิบเครื่องดื่มอุ่นๆก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณมีไข้ ควรจะหาหมอด้วยนะคะ ปวดหัวจากคาเฟอีน จะมีอาการปวดตุ๊บๆบริเวณด้านบนของศีรษะอาการส่วนใหญ่จะคล้ายๆกับปวดหัวที่เกิดจากความเครียด ถ้าคุณปวดหัวแบบนี้ การพักผ่อนให้เต็มอิ่ม จะช่วยได้ดีทีเดียว การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และการนอนเป็นเวลาจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปวดหัวชนิดนี้ได้แต่ถ้าคุณติดกาแฟ ก็ควรจะดื่มให้เป็นเวลา(เวลาเดียวกันทุกวัน) และดื่มเพียงวันละ1-2 แก้ว จะดีกว่า ปวดแบบไมเกรน จะมีอาการปวดตุ๊บๆ บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่งบางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดไมเกรนนั้น เชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาหารบางชนิดอาจทำให้บางคนเกิดอาการไมเกรนกำเริบมากขึ้นได้ เช่น ไวน์แดง เนื้อสัตว์แปรรูป ผงชูรสการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่นร้อนอบอ้าวเกินไปความหิว ความตื่นเต้น การเดินทางหลายๆแห่งในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เกิดไมเกรนได้คนที่เป็นไมเกรนบ่อยๆ จึงควรหมั่นสังเกตว่าเกิดจากปัจจัยอะไรจะได้หลีกเลี่ยงได้ การเข้านอนเป็นเวลา และหลับให้เต็มตา จะช่วยผ่อนคลายอาการไมเกรนได้ ส่วนเซ็กส์ที่สุขสมนั้น มีงานวิจัยยืนยันว่า เป็นยาขนานเอกในการบำบัดอาการไมเกรนกันทีเดียว คนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อยๆ นักวิจัยเขาแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Tyramines และ Nitrite เพราะบางคนอาจจะมีความไวต่อสารสองชนิดนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ ช็อกโกแลต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรน จะมีอาการกำเริบขึ้นทุกครั้งที่กินช็อกโกแลต คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลต อย่าเพิ่งเศร้าใจนะคะ เพราะนักวิจัยเขาบอกต่ออีกว่า ช็อกโกแลตชนิดขาวกินได้ไม่ทำให้ปวดหัวหรอกค่ะ ไวน์แดง ผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แดง จะเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มวอดก้ามะนาว ซึ่งไม่เกิดอาการดังกล่าว ผู้ที่มีอาการไมเกรนเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงไวน์แดงจะดีกว่า กุนเชียง เนื้อแดดเดียว เป็นอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทำให้มีสีแดงโดยเติมดินประสิวลงไป ซึ่งก็คือสาร Nitrite ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการปวดหัวได้ ลูกชิ้นเด้งทั้งหลาย ผู้ผลิตบางรายจะใส่สารบอแร็กซ์ ซึ่งเป็นสารอันตราย ทำให้บางคนเกิดอาการปวดหัว คลื่นใส้ และอาเจียนได้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สำหรับคนที่มีอาการปวดหัวเรื้องรัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลการวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนจะมีอาการกำเริบขึ้นเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไป แม้อาการปวดหัว อาจจะไม่ได้เกิดจากอาหารเหล่านี้โดยตรง แต่สำหรับคนที่เป็นโรคปวดหัวเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่าค่ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.thaihealth.info/ (http://www.thaihealth.info/) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 07:51:29 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1912384_826045687422306_616583413_n.png)
วิธีแก้ปวดหัวได้ด้วยตัวเอง ภายใน 5 นาที พวกเราโดยปกติก็ใช้รูจมูกทั้งสองข้างหายใจเข้า ออก โดยไม่รู้ความแตกต่างของรูจมูกด้านซ้ายหรือขวาว่าแตกต่างกันตรงไหน? วิธีแก้ปวดหัวได้ด้วยตัวเอง ภายใน 5 นาที แต่องค์ความรู้แพทย์แผนอินเดียโบราณ อธิบายเอาไว้ว่า “จมูกด้านขวาคือตัวแทนแห่งสุริยะ และพลังงานความร้อน จมูกด้านซ้ายคือตัวแทนแห่งจันทรา และพลังงานความเย็น” 1) เวลาปวดหัว ลองเอานิ้วมืออุดรูจมูกด้านขวาแล้วใช้รูจมูกด้านซ้ายสูดลมหายใจเพียงข้างเดียว 2) เวลาอ่อนเพลีย ทำกลับด้านกันคือ เอานิ้วมืออุดรูจมูกด้านซ้ายแล้วใช้รูจมูกด้านขวาสูดลมหายใจเพียงข้างเดียว จะพบว่าอาการที่เป็นอยู่จะบรรเทาลงภายในเวลาไม่เกิน5นาที !!!!! ให้ลองสังเกตุตัวเองว่าเวลารู้สึกตัวตื่นขึ้นตอนเช้า เราใช้รูจมูกด้านไหนหายใจคล่องกว่ากัน?? ถ้าคำตอบคือรูจมูกด้านซ้าย คุณจะรู้สึกอ่อนเพลีย ให้รีบอุดรูด้านซ้ายและหายใจด้วยรูจมูกด้านขวาทันที และไม่นานนักก็จะสดชื่นขึ้น หายงัวเงีย หัดทำไปอยู่บ่อยๆ สักหนึ่งเดือนก็จะเริ่มสังเกตุได้ละเอียดขึ้น ว่องไวขึ้นจนไม่ต้องรอให้เกิดอาการปวดหัวแล้วถึงแก้ไข เพียงเริ่มๆจะปวด เริ่มๆจะอ่อนเพลีย ก็ดับอาการได้ทันที ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://ไออี.ไทย/ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 03, 2014, 09:26:53 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1622883_10152023582838106_1637060363_n.jpg)
‘มะระขี้นก’ เป็นผักที่มีสรรพคุณเป็นยาชัดเจน เมื่อนำผลสดปั่นเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ต้องกินเป็นประจำทุกวันด้วย ที่มา : รศ. ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 07, 2014, 11:57:39 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1621663_588911151185976_2121295948_n.jpg)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 12:00:31 AM ผักแพว....แกล้มแหนมเนือง ดีจังเลย
ผักแพว หรือ ผักไผ่ หรือ ผักแพวไทย (บางพื้นที่อาจเรียกว่าผักแพวแดง) เป็นชนิดที่มีลำต้นแดง สามารถพบได้ทั่วไป (Polygonum odoratum Lour. จัดอยู่ในวงศ์ Polygonaceae) ผักแพวขาว เป็นชนิดเดียวกันกับผักไผ่ แต่มีลำต้นเขียวอ่อน (Polygonum odoratum Lour. จัดอยู่ในวงศ์ Polygonaceae) ผักไผ่น้ำ หรือ เอื้องเพ็ดม้า (Polygonum tomentosum Willd. หรือ Costus speciosus Smith จัดอยู่ในวงศ์ Polygonaceae) ผักแพวแดงฝรั่ง หรือ ผักแพวแดง (Iresine herbstii Hook. จัดอยู่ในวงศ์ Amaranthaceae) ผักแพวน้ำ (Alternanthera sessilis DC. จัดอยู่ในวงศ์ Amaranthaceae) ผักแพวขาว หรือที่นิยมเรียกว่า หญ้างวงช้าง (Heliotropium indicum Linn. จัดอยู่ในวงศ์ Boraginaceae) คุณค่าทางโภชนาการของผักแพว ต่อ 100 กรัม พลังงาน 54 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 7.7 กรัม เส้นใยอาหาร 1.9 กรัมดอกผักแพว ไขมัน 0.5 กรัม โปรตีน 4.7 กรัม น้ำ 83.4% วิตามินเอ 8,112 หน่วยสากล วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.59 มิลลิกรัม วิตามินบี3 1.7 มิลลิกรัม วิตามินซี 77 มิลลิกรัม ธาตุแคลเซียม 79 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 2.9 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 272 มิลลิกรัม สรรพคุณของผักแพว รสเผ็ดของผักแพว มีสรรพคุณที่ช่วยทำให้เลือดลมในร่างกายเดินสะดวกมากขึ้น ผักแพวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยในการชะลอวัย (ใบ)ช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง (ใบ) ใบผักแพว สรรพคุณช่วยรักษาโรคตัวจี๊ด แต่ต้องรับประทานติดต่อกัน 5-8 วัน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ (ใบ)ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)ช่วยรักษาโรคหวัด (ใบ) ช่วยบำรุงประสาท (ราก) ช่วยขับเหงื่อ (ดอก)ช่วยรักษาโรคปอด (ดอก) ช่วยรักษาหอบหืด (ราก)ช่วยแก้อาการไอ (ราก) ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันและแก้อาการท้องผูก และช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะเป็นผักที่มีไฟเบอร์สูงถึง 9.7 กรัม ซึ่งจัดอยู่ในผักที่มีเส้นในอาหารมากที่สุด 10 อันดับของผักพื้นบ้านไทย (ใบ) ผักแพวมีรสเผ็ดร้อน จึงมีสรรพคุณในช่วยแก้ลม ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (ใบ,ยอดผักแพว) ใช้เป็นยาขับลมขึ้นเบื้องบน ช่วยให้เรอระบายลมออกมาเวลาท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ใช้รักษาริดสีดวงทวาร (ใบ,ดอก,ต้นราก) รากผักแพว สรรพคุณช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร (ราก) แก้กระเพาะอาหารพิการ หรือกระเพาะอักเสบ ช่วยแก้ท้องเสีย อุจจาระพิการ ช่วยแก้อาการเจ็บท้อง ช่วยแก้อาการท้องรุ้งพุงมาน (ใบ,ดอก,ต้นราก) ลำต้นผักแพว สรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ต้น) ช่วยรักษาโรคตับแข็ง ช่วยลดอาการอักเสบ (ใบ) ใบผักแพว สรรพคุณใช้แก้ตุ่มคัน ผดผื่นคันจากเชื้อรา เป็นกลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบหรือทั้งต้นนำมาคั้นหรือตำผสมกับเหล้าขาว แล้วใช้เป็นยาทา (ใบ,ทั้งต้น) ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยรักษาอาการปวดข้อ ปวดกระดูก (ราก) ช่วยแก้เส้นประสาทพิการ แก้เหน็บชาตามปลายนิ้วมือปลายเท้า และอาการมือสั่น ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงเลือดลมของสตรี (ใบ,ดอก,ต้นราก) ข้อควรรู้ ! : ผักแพวหลักๆ แล้วมีอยู่สองชนิดที่เป็นพืชชนิดเดียวกัน ต่างกันแค่สีต้น คือ ผักแพวแดง และผักแพวขาว จัดเป็นสมุนไพรคู่แฝดที่นำมาประกอบเป็นจุลพิกัดหรือใช้คู่กันเป็นยาสมุนไพรจะมีฤทธิ์ยาแรงขึ้น และมีประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้นด้วย รสเผ็ดของผักแพว ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในเลือด เหมาะเป็นผักสมุนไพรลดความอ้วนได้โดยไม่ขาดสารอาหาร เพราะอุดมไปด้วยเส้นใยและวิตามิน แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่มากพอหรือวันละไม่น้อยกว่า 3 ขีด ผักแพวมีวิตามินเอสูง จึงช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้เป็นอย่างดี โดยวิตามินสูงถึง 8,112 หน่วยสากล ในขณะที่อีกข้อมูลระบุว่ามีมากถึง 13,750 มิลลิกรัม ผักแพวเป็นผักที่ติดอันดับ 8 ของผักที่มีวิตามินซีสูงสุด โดยมีวิตามินซี 115 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ผักแพวมีแคลเซียมสูงถึง 390 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม จึงช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้เป็นอย่างดี ผักแพวมีธาตุเหล็กสูงสุดติด 1 ใน 5 อันดับของผักที่มีธาตุเหล็กสูง ยอดอ่อนและใบอ่อน ใช้ประกอบอาหาร หรือใช้รับประทานเป็นผักสด หรือใช้แกล้มกับอาหารที่มีรสจัด ใช้เป็นเครื่องเคียงของอาหารอีสาน อาหารเหนือ อาหารเวียดนามหรือนำมาหั่นเป็นฝอยใช้คลุกเป็นเครื่องปรุงสดประกอบอาหารประเภทลาบ ลู่ ตำซั่ว ก้อยกุ้งสด ข้าวยำ แกงส้ม เป็นต้น ใบผักแพวนำมาใช้แก่งประเภทปลา เพื่อช่วยดับกลิ่นของเนื้อสัตว์ หรือกลิ่นคาวปลาได้ Tip : การเลือกซื้อผักแพว ควรเลือกซื้อผักแผวสด หรือดูที่ความสดของใบเป็นหลัก ไม่เหี่ยวและเหลือง แต่ถ้ามีรอยกัดแทะของหนอนและแมลงบ้างก็ไม่เป็นไร ส่วนการเก็บรักษาผักแพว ก็เหมือนกับผักทั่วๆไป คือเก็บใส่ในถุงพลาสติกแล้วปิดให้สนิท หรือจะเก็บใส่กล่องพลาสติกสหรับเก็บผักก็ได้ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นในช่องผัก โดย ทางแพทย์สายพุทธ แหล่งอ้างอิง http://www.greenerald.com/ (http://www.greenerald.com/) สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. www.foodnetwork.com (http://www.foodnetwork.com). วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (th) www.thairath.co.th (http://www.thairath.co.th). หนังสือผักพื้นบ้านต้านโรค. พ.ญ. ลลิตา ธีระสิริ. (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1069283_587458131344982_1510671190_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 09:09:24 PM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1901759_830982930261915_641766953_n.jpg)
ในทางสมุนไพรมีวิธีรักษาได้เหมือนกันและนิยมกันแพร่หลาย เพราะได้ผลดีและช่วยทำให้อาการขัดเท้าแพลงหายได้เร็วขึ้น โดยเวลาที่เกิดข้อเท้าแพลง หรือข้อเท้าพลิก ให้เอาขิง ตะไคร้แกง หรือตะไคร้บ้าน และกะเพรา แบบสด กะจำนวนมากน้อยตามต้องการ ต้มกับน้ำท่วมข้อเท้า ต้มจนเดือดยกลงให้น้ำอุ่น เอาเท้าข้างที่แพลง หรือพลิกลงแช่พร้อมใช้มือนวดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้เลือดบริเวณดังกล่าวไหลเวียนดี ทำเช่นนี้ 2 – 3 วัน จะทำให้หายปวดและหายเร็วขึ้น ขิง ตะไคร้ และ กะเพรา เป็นพืชครัว มีวางขายทั่วไปตามตลาดสด ใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายแตกต่างกันไปตามรสชาติ และพืชครัวทั้ง 3 ชนิดนี้ นอกจากจะรับประทานได้อร่อยแล้ว แต่ละชนิดยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรมากมายไม่เหมือนกันอีกด้วย แต่เมื่อนำไปต้มรวมกันจะมีฤทธิ์เป็นยาช่วยบรรเทาอาการ ข้อเท้าแพลงหรือข้อเท้าพลิกเด็ดขาดมาก จึงเหมาะสำหรับคน ที่ชอบสมุนไพร ชอบวิธีรักษาแบบธรรมชาติ และต้องมีเวลาในการต้มยาเท่านั้น ขอขอบคุณข้อมูลจาก: คอลัมน์เกษตรบนแผ่นกระดาษ โดยนายเกษตร หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 09:11:06 PM รางจืดหมอแผนไทยใช้ทำอะไรบ้าง
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1385736_522587647832031_530874373_n.jpg) รางจืดหมอแผนไทยใช้ทำอะไรบ้าง ก่อนตัดสินใจใช้สมุนไพรใดๆ ท่านได้รู้เรื่องพิษ,ประโยชน์สรรพคุณของสมุนไพรดีพอหรือยัง ในวันนี้ขอนำเสนอเรื่องรางจืดสรรพคุณล้างพิษ,รู้ไหมพิษอะไรบ้างมาดูกันค่ะ รางจืด...แก้พิษจากยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหญ้าจำพวกพาราควอต นับเป็นสารเคมีที่มีพิษร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์มากที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจากในขนาดกินประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนตายได้ โดยสารตัวนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถึยรขึ้นอย่างมาก ออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการออกซิเดชันของไขมันที่อยู่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย พิษของพาราควอตจะเห็นชัดที่สุดในปอดเพราะปอดเป็นบริเวณที่มีออกซิเจรมากที่สุด ซึ่งพาราควอตจะทำให้เนื้อเยื้อปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้จนเสียชีวิตในที่สุด จากรายงานผู้ป่วยของโรงพยาบาลเจ้าพระ-ยา ยมราช จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บตัวอย่างเป็นเวลา ๓ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๕ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอตมาที่โรงพยาบาล ๖๔ ราย พบว่ามีผู้ป่วยรอดชีวิต ๓๓ ราย เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังกับการรักษาในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๒ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอต ๑๑ รายพบว่าเสียชีวิตทุกราย ซึ่งตัวเลขของโรงพยาบาลศิริราชที่มีการรักษาพิษพาราควอตเช่นเดียวกัน มีอัตราการตายประมาณร้อยละ ๘๐ แต่การรักษาพิษพาราควอตนั้นไม่ได้ให้แต่รางจืดอย่างเดียว แต่จะมีการทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาก่อนแล้วล้างท้องด้วยฟูลเลอร์สเอิร์ท (Fuller's earth) และทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากๆ ให้แอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ โดยการให้วิตามินซีปริมาณสูงๆ และสตีรอยด์ รวมทั้งการรักษาแบบประคับประคองอื่นๆ ให้ยาต้มรางจืด วิธีเตรียมคือนำใบแห้งหนัก ๓๐๐ กรัม ใส่ในน้ำสะอาด ๑ ลิตร ต้มในหมอดินโดยใช้ไฟกลางเดือนนาน ๑๕ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ให้ผู้ป่วยดื่มหรือให้ทาง NG tube ครั้งละ ๒๐๐ มิลลิลิตร ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่ารายงานนี้ไม่ถือเป็นงานวิจัยแต่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก รางจืด...แก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชพิษ ใช้แก้พิษแมงดาทะเลเป็นอีกหนึ่งรายงานของการใช้รางจืดแก้พิษ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีครอบครัวหนึ่ง ๔ คนที่กินไข่แมงดาทะเล ๒ ราย มีอาการรุนแรงจนหมดสติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งสารพิษที่อยู่ในแมงดาทะเล คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) สารนี้จะพบในแมงดาทะเลและปลาปักเป้า ซึ่งมีพิษทำให้ผู้ป่วยอาจถึงตายได้ ความรุนแรงของอาการพิษที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณไข่แมงดาทะเลที่ได้รับ เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ ๔๐ นาทีถึง ๔ ชั่วโมง ทุกรายมีอาการชารอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน อาการชาจะลามไปยังกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ อาการรุนแรง หมดสติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการรักษาปัจจุบันไม่มีวิธีเฉพาะ ไม่มีสารแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองจนผู้ป่วยขับเอาสารนี้ออกจากร่างกายให้หมดแพทย์ผู้รักษาใช้รางจืดจากการร้องขอของญาติ เมื่อกรอกใส่สายยางลงไป ๔๐ นาที อาการดีขึ้น ซึ่งแพทย์ผู้รักษารู้สึกประทับใจกับรางจืดมากและบอกว่าจังหวัดที่อยู่ชายทะเลปีหนึ่งจะมีคนตายจากพิษแมงดาทะเลหรือปลาปักเป้าทุกปี ถ้าทุกโรงพยาบาลสามารถปลูกต้นนี้และใช้กับผู้ป่วยของตัวเองจะช่วยให้ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น รางจืด...สู้กับพิษของตะกั่วต่อสมอง ตะกั่วเป็นมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่มีรถติด มีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป พิษตะกั่วต่อร่างกายมี อยู่หลายระบบ ที่สำคัญคือสมอง เนื่องจากตะกั่วจะไปสะสมอยู่ในสมองส่วนฮิปโพแคมพัสซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ มีงานวิจัยออกว่ารางจืดแม้จะไม่ได้ช่วยลดระดับตะกั่วในเลือดของหนูที่เราให้ตะกั่วเข้าไป แต่ไปช่วยลดพิษของตะกั่วต่อความจำและการเรียนรู้ของหนู และทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลง ด้วยกลไกการต้านออกซิเดชัน โดยตัวของรางจืดเองและการไปช่วยรักษาระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง รางจืดช่วยในการลด เลิกยาบ้า จากการที่ชาวบ้านนำรางจืดมาแก้พิษยาเสพติดภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ศึกษา หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2014, 09:30:44 PM น้ำสมุนไพรลดอาการวัยทอง.
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1385118_523091224448340_1029974080_n.jpg) 1. หา กระชายดำ หรือ กระชายแกง (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ประมาณ 1.5-2 ขีด ปั่นด้วยเครื่องปั่นแล้วค่อยๆ เติมน้ำ 1 ลิตรลงไป (ขวดเป๊ปซี่หรือโค๊กขนาด 1 ลิตร) ให้หมด 2. ใช้กระชอนหรือผ้าขาวบาง กรองเอากากทิ้ง เอานำใสๆ ออกมาใส่ภาชนะ ปล่อยให้นอนก้น แล้วรินเอาน้ำใสๆ ใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น (เก็บได้ 1 สัปดาห์) เป็นน้ำกระชาย 3. นำมะนาว 1 ลูกมาล้างน้ำให้สะอาด และคั้นเอาน้ำมะนาวใส่แก้ว (250 ซีซี) ผสมน้ำผึ้ง (แท้) ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 2 ช้อนชาลงไป คนให้เข้ากัน (ใส่เกลือเล็กน้อย) แล้วเทน้ำกระชายที่เราทำเก็บไว้ลงไปผสม (คนให้เข้ากัน) ให้ได้น้ำสมุนไพร 1 แก้ว 4. รับประทานวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน หรือวันละ 2 ครั้ง โดยเพิ่มมื้อเช้าตอนท้องว่าง เมื่อได้รับประทานสมุนไพรตามสูตรแก้วัยทองนี้ ก็จะช่วยลดอาการวัยทอง โดยเฉพาะอาการร้อนวูบวาบตามร่างกายลงได้อย่างได้ผล สำหรับผู้ชายที่มีอาการวัยทอง ก็ใช้สมุนไพรตัวนี้ก็คงได้ผลเช่นกัน โดย ทางแพทย์สายพุทธ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2014, 09:32:11 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1378649_523088617781934_616784328_n.jpg) สมุนไพรวัยทองค่ะ ผู้ที่เข้าสู่วัยทองมักมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว โกรธง่าย ร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย เอวเริ่มหายไป นอนไม่หลับ ฯลฯ อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นได้กับผู้ที่กำลังเข้าวัยทอง วัยทองเริ่มเมื่อไร? ผู้หญิงตั้งแต่อายุ 30-50 ปี และผู้ชายก็มีวัยทองเหมือนกัน มีสมุนไพรหลายชนิดสามารถลดอาการวัยทอง ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยเรานั่นเอง สมุนไพรที่แนะนำ คือ - กระชาย ถั่วเหลือง ลดอาการร้อนวูบวาบ - ขิง ช่วยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ และการนอนหลับ - โสม เห็ดหลินจือ กระเทียม กระเพรา ถั่วเหลือง เถาวัลย์เปรียง ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน - ขันทองพยาบาท ยอ ช้าพลู มะขาม แคบ้าน ผักกระเฉด รักษาโรคกระดูกพรุน - เพกา หญ้าปักกิ่ง ชา กระเบา จำปีป่า ทับทิม มะขามป้อม ต้านโรคมะเร็ง - ชุมเห็ดเทศ ขี้เหล็ก ระย่อม แปะก๊วย บัวบก พระจันทร์ครึ่งซีก ดูแลระบบประสาท - ฟ้าทะลายโจร ผักคราดหัวแหวน ชะเอมจีน รักษาอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง - มะนาว ฝรั่ง มะระ ทองพันชั่ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด - กวาวเครือ ดีปลี กระชาย กระเจี๊ยบแดง ตะโกนา รักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ - ขลู่ หญ้าหนวดแมว หญ้าคา โคกกระสุน หญ้างวงช้าง ฟักทอง มะเขือเทศ แครอท รักษาต่อมลูกหมากโต - กระเจี๊ยบแดง หญ้าคา ขลู่ ตะไคร้ สับปะรด อ้อยแดง หญ้าพันงู ช่วยขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา - ถั่วเหลือง ขึ้นฉ่าย ทานตะวัน ทับทิม รักษาความดันโลหิตสูง สมุนไพรที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่ใกล้ตัวเราทั้งนั้น สมุนไพรบางอย่างก็ทำเป็นอาหารเสริมชนิดต่าง ๆ เลือกซื้อง่ายและสะดวก เราควรจะเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม จะดีกว่า ง่ายที่สุดก็คือน้ำพริกและผักต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องเคียง อย่าคิดว่ามีเพียงแต่ "ยา" เท่านั้นที่ทำให้เราแพ้ได้ เพราะสมุนไพรบางชนิดก็อาจทำให้คุณเกิดอาการแพ้ได้เหมือนกัน.. โดย ทางแพทย์สายพุทธ เรียบเรียงโดย : นางปาลิตา โตศรีสวัสดิ์เกษม . นักวิชาการศึกษา ศว.สระแก้ว. 17 /5 / 56 . ข้อมูลอ้างอิง : www.thaihealth.or.th (http://www.thaihealth.or.th) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2014, 09:33:10 PM เรื่องของวัยทองค่ะ
• วัยทอง (Menopause) เป็นวัยหนึ่งของชีวิต เป็นวัยที่รังไข่สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยและไม่สม่ำเสมอ • รังไข่ทำงานน้อยลงทำให้สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยลง [ estrogen, progesterone] • วัยทองเริ่มเมื่อไร หญิงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปจน 50 ปี ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสตรีวัยทอง ได้แก่ estrogen และ progesterone Estrogen เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่ซึ่งมีอิทธิผลต่อระบบต่าง ๆ ของสตรีอย่างมาก อาทิเช่น - ควบคุมการเจริญและการทำงานของระบบสืบพันธุ์ การเพิ่มของไขมันร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยสาว - ทำให้เกิดการสะสมของของเหลวและเกลือในเนื้อเยื่อ - ช่วย calcium ในการเข้าไปเสริมสร้างกระดูก - ลดระดับ low density lipoprotein (LDL) cholesterol - การรักษาระดับน้ำตาลในเลือด Progesterone เป็นฮอร์โมนที่สร้างจาก corpus luteum จะทำหน้าที่เกี่ยวกับการหลุดลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้เกิดเป็นประจำเดือนออกมา นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบประสาทในการทำให้เกิด sedative ดังนั้นการที่มีระดับ progesterone สูง อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและเหนื่อยล้าได้นอกจากฮอร์โมน 2 ตัวที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ในการประสานและควบคุมหน้าที่ซึ่งกันและกันระหว่าง ฮัยโปธาลามัส ต่อมปิตูอิตารีกลีบหน้า และรังไข่ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในสตรีวัยทองนี้ FSH และ LH จะมีระดับสูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการแปรปรวนต่าง ๆ ของสตรีวัยทอง ช่วงอายุวัยทอง.... 1. Premenopause คือสภาวะก่อนหมดประจำเดือน ซึ่งยังคงมีประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งอาจพบว่ามีประจำเดือนขาดหายไปบ้าง แต่ไม่เกิน 3 เดือน และโดยทั่วไปถือว่าสภาวะนี้จะเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 40 ปี 2. Perimenopause คือสภาวะก่อนหมดประจำเดือน อาจมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีประจำเดือนมาเป็นระยะเวลา 3-11 เดือน มักจะเกิดกับสตรีอายุเฉลี่ย 47.5 ปี 3. Postmenopause คือสภาวะหมดประจำเดือนอย่างถาวร (มากกว่า 12 เดือนขึ้นไป)ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ และโรค - อาการร้อนวูบวาบ ตามร่างกาย เหงื่อออกในเวลากลางคืน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ซึ่งมักเรียก กลุ่มอาการเหล่านี้ว่าเป็น Hot Flushes หรือ Hot Flashes - มี อาการซึมเศร้า หงุดหงิด กังวลใจ อารมณ์หวั่นไหวง่าย ความจำเสื่อม ไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย ความต้องการทางเพศลดลง - ช่องคลอดแห้ง รู้สึกแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอด มีการหย่อนยานของมดลูกและช่องคลอด มีการหย่อนยานของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ขณะไอหรือจาม และมีความอยากถ่ายปัสสาวะอยู่เสมอ - ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น ผมแห้ง ผมร่วง - ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดตามข้อ - เต้านมมีขนาดเล็กลง หย่อน - มี การกระจายตัวของไขมันมาสะสมที่บริเวณหน้าท้อง และภายในช่องท้อง - มีแนวโน้มที่จะเกิดฟันผุและสูญเสียฟันได้ง่าย รวมทั้งมีการอักเสบของเหงือกหรือจะเกิดอาการ เลือดออกจากเหงือกได้ง่ายหลังจากได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย - อาจมีอาการ ตาแห้ง - ระบบการฟังเสื่อมลง - มีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ และโรคตับ - โรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ - โรคสมองฝ่อ (Alzheimer's disease), ความจำเสื่อม - โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ทำให้กระดูกหักได้ง่าย ครั้งหน้ามาดูว่าควรกินอะไรกันนะคะ โดย ทางแพทย์สายพุทธ ข้อมูล หมอชาวบ้น (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/943299_523086407782155_1787314581_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:29:15 PM (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1510357_627330197315996_181326613_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1150862_627330083982674_1770467358_n.jpg)
แนะบริโภคน้ำมันอะโวคาโดลดอาการป่วย นักวิจัยในเม็กซิโกเผยน้ำมันอะโวคาโดช่วยป้องกันโรคเบาหวาน-ความดันโลหิตสูง อะโวคาโด เป็นที่รู้จักกันดีเรื่องคุณสมบัติในการช่วยลด คอเลสเตอรอล แต่ขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้วิจัยพบว่าอะโวคาโดยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันเซลล์ถูกทำลายจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อมต่างๆ อาทิเช่น การแพร่กระจายของมลภาวะทางอากาศ ได้ด้วย เม็กซิโก เป็นประเทศที่ปลูกอะโวคาโดมากที่สุดในโลก จากข้อมูลของสำนักเลขาธิการด้านเศรษฐกิจของเม็กซิโก ระบุว่า ในปี 2553 เม็กซิโก มีอะโวคาโดเป็นผลิตผลถึง 1.8 ล้านตัน ซึ่งส่งออกไปยังสหรัฐ ญี่ปุ่น แคนาดา และยุโรปเป็นหลัก เฉพาะรัฐมิโชอากังแห่งเดียว ก็ผลิตอะโวคาโดเป็นจำนวนราว 18% ของอะโวคาโดทั้งโลก และราว 95% ของอะโวคาโดทั้งประเทศ นายคริสเตียน กอร์เตส โรโจ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งมิโชอากัง ในเมืองซาน นิโคลัส ฮิดัลโก กล่าวว่า อะโวคาโด มีบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือไปจากรสชาติ ลักษณะ และคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งเขาและทีมงานได้ค้นพบว่า น้ำมันอะโวคาโด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ ที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากโรคต่างๆ ในกรณีที่ระบบเซลล์ไมโทคอนเดรียถูกขัดขวาง ทั้งนี้ ไมโทคอนเดรีย เป็นส่วนประกอบในเซลล์ ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ และแปลงพลังงานจากโมเลกุลของอาหาร ไปสู่สารให้พลังงานสูงแก่เซลล์ รวมไปถึงการแบ่งตัวของเซลล์ด้วย อย่างไรก็ตาม ไมโทคอนเดรีย ยังมีโมเลกุลของออกซิเจน ซึ่งสามารถถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นอนุมูลอิสระ หลังจากสัมผัสกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมบางประการ ซึ่งรวมถึงการสูบบุหรี่ รังสี และมลภาวะ อนุมูลอิสระนี้สามารถแปลงโมเลกุล ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งมีหน้าที่สร้างเซลล์ ให้กลายเป็นอนุมูลอิสระได้เช่นกัน และนั่นเป็นการทำลายการทำงานของเซลล์ จากการทดลองร่วมกับยีสต์เซลล์ ทำให้เห็นผลว่า คุณสมบัติของอะโวคาโด มีส่วนช่วยต้านความชราและโรคบางโรคได้ เช่น โรคเบาหวาน และ โรคความดันโลหิตสูง “การค้นพบที่สำคัญคือ น้ำมันอะโวคาโด ช่วยเพิ่มพูนกระบวนการทำงานไมโทคอนเดรียของยีสต์เซลล์ ในระหว่างเวลาที่อนุมูลอิสระลดลง นี่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะน้ำมันอะโวคาโด อาจจะสามารถให้ผลเช่นเดียวกันนี้ในมนุษย์ ในกรณีของโรค ที่ทำให้ไมโทคอนเดรียถูกทำลาย น้ำมันอะโวคาโด ก็จะช่วยให้อวัยวะทนทาน หรือต่อต้านอนุมูลอิสระได้มากขึ้น” นายโรโจ กล่าว อะโวคาโด ซึ่งประกอบไปด้วยโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 เช่นเดียวกับวิตามินอี เป็นที่รู้จักในฐานะที่มีคุณสมบัติในการต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่หลอดเลือด ด้วยการลดคอเลสเตอรอลและลดอัตราการเสี่ยง ที่หลอดเลือดจะถูกทำลาย สารต้านอนุมูลอิสระ ยังมีส่วนช่วยในการเพิ่มความแข็งแรง ให้แก่ผนังหลอดเลือด ทั้งยังช่วยให้หลอดเลือดปรับตัวได้ดีขึ้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตอย่างฉับพลัน ด้วยคุณสมบัติหลากหลายประการนี้ บางพื้นที่ในรัฐมิโชอากัง จึงขนานนามอะโวคาโดว่าเป็น “ทองคำสีเขียว” เพราะเป็นเสมือนอนาคตของเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ น้ำมันอะโวคาโดยังมีราคาอยู่ที่ลิตรละ 7.15 ดอลลาร์ เทียบเท่ากับราคาน้ำมันมะกอกเลยทีเดียว http://www.bangkokbiznews.com/ (http://www.bangkokbiznews.com/) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:30:35 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1239423_815976681750695_1463366197_n.jpg)
มหาหงส์ สมุนไพรสารพัดประโยชน์ มหาหงส์ เป็นพันธุ์ไม้พวกเดียวกัน ขิง ข่า และขมิ้น พบขึ้นมากในภาคเหนือ ดอกออกที่ยอดเป็นช่อสั้น มีใบประดับสีเขียวรูปคล้ายเรือเรียงเป็นกระจุก ดอกมันจะบานครั้งละ 1-3 ดอก ดอกสีขาวล้วน มีกลิ่นหอมเย็น ผลเป็นรูปรี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ น้ำมันหอมระเหยจากเหง้ามหาหงส์สามารถไล่ยุงได้เป็นอย่างดี ตำรายาไทยใช้ เหง้า เป็นยาบำรุงกำลัง ขับลม บำรุงไต ตากแห้งแล้วบดให้ละเอียดผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กินแก้กษัย http://fb.com/khongdeethailand (http://fb.com/khongdeethailand) www.nextsteptv.com (http://www.nextsteptv.com) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:32:58 PM (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1010129_815918815089815_1990576335_n.jpg)
ข้าวหอมนิล ข้าวที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ ข้าวเจ้าหอมนิล เป็นข้าวที่ได้รับการคัดเลือก และพัฒนาจนได้ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้องเรียวยาว สีม่วงเข้ม ข้าวกล้องเมื่อหุงสุกจะนุ่มเหนียว และมีกลิ่นหอม น่ารับประทาน ที่สำคัญคือ ข้าวกล้องมีโปรตีนสูงถึง 12.5% และยังประกอบไปด้วย ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง แคลเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งสูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 มีสารแอนโทไซยานิน ช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ และสมอง บรรเทาโรคเบาหวาน http://fb.com/khongdeethailand (http://fb.com/khongdeethailand) www.nextsteptv.com (http://www.nextsteptv.com) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:38:40 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/10003422_627930213922661_1780382113_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1888737_627930410589308_905281489_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1922517_627930520589297_686981369_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1796629_627930030589346_1254496467_n.jpg)
ถั่วแระต้นบำรุงกระดูก ลดน้ำตาล ไขมันในเลือด ลดความดันโลหิตสูง ปกติแล้วผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ มีไม่มากนักที่จะดื่มนมหรือใช้นมผงชงเครื่องดื่ม ประจำทุกๆวัน ซึ่งเราทราบกันดีว่าในนมมีแคลเซียมทำให้กระดูกแข็งแรงได้อย่างหนึ่ง และเป็นอาหารที่หาซื้อได้ง่ายด้วย และก็มีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ดื่มนมเพื่อสุขภาพกระดูกแทนอาหารเสริมชนิดเม็ด ผู้สูงอายุที่ทำงานในไร่ ในนา สวน ฯจะแข็งแรงเพราะได้รับแสงแดด ออกกำลังทำงานทุกๆวัน อากาศดี ไม่ค่อยได้ดื่มนมหรือไม่ดื่มเลย กระดูกแข็งแรงดีกว่าผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ทำงานกลางแจ้ง นำตัวอย่าง คุณปู่และคุณย่าของลูกๆ 2 คนของผู้เขียนที่ไม่ได้ทำงานกลางแจ้งก่อนเกษียณท่านก็ทำงานราชการในโรงพยาบาล หลังเกษียณนาน 20 กว่าปีมาแล้วที่เริ่มต้นให้ท่านด้วยการนำนมแบบน้ำเป็นกระป๋อง กล่อง เป็นของขวัญใน วันแม่ วันพ่อ ปีใหม่ และสงกราต์ ได้ไม่กี่ปีคุณย่าบอกไม่ชอบดื่มนมแบบน้ำแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นนมผงที่มีแคลเซียมสูงให้ท่านทุกปีๆละ 4 เทศกาล ของคุณปู่จะเพิ่มโอวัลตินด้วย โดยที่ทุกๆเช้าทุกวันอาหารเช้าของท่านทั้ง 2 นาน 20 กว่าปีแล้ว เครื่องดื่มจะต้องใส่นมผงแคลเซียมสูงแทนครีมเทียม คุณปู่จะเพิ่มน้ำผึ้งลงไปด้วย ตอนนี้คุณปู่อายุ 82 ปี และคุณย่า 79 ปี ท่านทั้ง 2 แข็งแรงมากไม่มีโรคประจำตัวเลย ผลไม้ประจำของท่านอีกอย่างคือ กล้วยน้ำว้าและกล้วยหอม จึงอยากแนะนำนะคะว่า เครื่องดื่มที่ ใส่ครีมเทียม นั้นควรจะลดลงหรือเปลี่ยนเป็นนมผงหรือนมแบบน้ำแทนได้ประโยชน์ต่างกันมาก นมมีแคลเซียมทำให้กระดูกแข็งแรงและมีสารอาหารมากกว่าครีมเทียมที่ทำจากน้ำมันพืช ฯลฯ และถูกเติมไฮโดรเจน พิจารณาดูนะคะ ทุกวัยที่ยังดื่มเครื่องดื่มที่ใส่ครีมเทียม นำสรรพคุณของถั่วแระต้นมาฝากดังนี้ ถั่วแระ ถั่วแระต้น ,ถั่วแม่ตาย ,ถั่วแฮ(อีสาน) ,มะแฮต้น(เหนือ) ,ถั่วแรด (ชุมพร) Pigeon Pea, Congo pea, Angola Pea ทั้งฝัก รสมันเฝื่อนเล็กน้อย บำรุงร่างกาย บำรุงกระดูก เส้นเอ็น ราก รสเฝื่อน แก้ปัสสาวะพิการเป็นสีแดงสีเหลืองดังสีขมิ้น ปัสสาวะน้อย ขับปัสสาวะ (ขอบคุณ สรรพคุณ ถั่วแระ จากหนังสือเภสัชกรรมไทยร่วมอนุรักษ์มรดกไทย โดย วุฒิ วุฒิธรรมเวช) ถั่วแระต้น สรรพคุณ ราก ขับปัสสาวะ ละลายนิ่วในไต แก้ปัสสาวะแดงขุ่น ขับลม ต้น ขับผายลม แก้เส้นเอ็นพิการ ใบ ขับผายลม รักษาแผล แก้ท้องเสีย แก้ไอ เมล็ด บำรุงเส้นเอ็น บำรุงไขข้อ บำรุงกำลัง ลดน้ำตาลในเลือด วิธีใช้ นำเมล็ดถั่วแระ ต้มรับประทานเป็นของกินเล่น ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ลดความดันโลหิตสูง ลดน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันในเลือด ต้านไวรัส ทำให้เกิดภาวะทุพโภชนาการ ยับยั้งย่อยโปรตีน ยับยั้ง txpsin และ chmotrypsin รายงานผลการทดลอง ค.ศ 2008 ประเทศจีน ค.ศ 1970 ประเทศอินเดีย * ขอบคุณสรรพคุณถั่วแระต้นจากหนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวานและสมุนไพรลดไขมันในเลือด โดย เภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก ถั่วแระ ใช้ได้ทั้งต้น ปกติเราใช้ส่วนเมล็ดมาเป็นอาหาร ถั่วเป็นเมล็ดธัญญพืชที่นำมาทำให้สุกด้วยการนึ่งต้มแล้วนำมากินเล่นได้ สรรพคุณของถั่วซึ่งมีรสมันจะบำรุงเส้นเอ็น ข้อ กระดูก ได้ดี เช่น ถั่วเขียว มีสรรพคุณพิเศษ ช่วยเสริมหมอนรองกระดูกได้ด้วย ถั้่วแระนอกจากบำรุงกระดูก เส้นเอ็น ไขข้อ บำรุงกำลัง แล้ว ยังช่วยลดน้ำตาล ไขมัน คอเลสเตอรอล และความดันโลหิตสูง ต้านไวรัส ฯ เป็นอีกหนึ่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพผู้สูงอายุ มีพื้นที่ปลูกผักกินได้ในบริเวณบ้านมากพอก็อย่าลืมปลูกถั่วแระบ้างนะคะ หรือไปตลาดก็มองหาซื้อถั่วแระกลับบ้านให้ผู้สูงอายุบ่อยๆ ถ้าท่านเคี้ยวไม่ได้ก็นำมาต้มปั่นเป็นน้ำกรอง เพิ่มความหวานด้วยใบหญ้าหวานหรือน้ำผึ้ง ให้ท่านดื่มได้เช่นกัน http://www.gotoknow.org/posts/563537 (http://www.gotoknow.org/posts/563537) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:40:12 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/998097_627932207255795_972488507_n.jpg)
กะหล่ำปลี ภัยร้ายต่อสุขภาพจากการกินดิบ กะหล่ำปลีดิบ เป็นผักยอดนิยมสำหรับการรับประทานคู่กับอาหารหลากหลายชนิด ตัวอย่างเช่น ส้มตำ ลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นทอด เป็นต้น ก่อนอื่นมาดูประโยชน์ของผักกะหล่ำปลี กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมาก การรับประทานกะหล่ำปลีฝอย 1 ถ้วย เท่ากับการรับประทานส้มเขียวหวาน 1 ผล และกะหล่ำปลี ยังประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินอี โฟเลต เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก โพแทสเซียม และแมกนีเซียม อีกด้วย สรรพคุณทางยาของกะหล่ำปลี กะหล่ำปลีมีสรรพคุณในการต้านมะเร็ง และบรรเทาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ จากผลงานวิจัยเกี่ยวกับสารกลูตามีนในกะหล่ำปลีพบว่าช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ได้ และในกะหล่ำปลี ยังมีสารซัลเฟอร์ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำใส้ใหญ่ ทำให้ระบบการขับถ่ายดี อีกทั้งยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ระงับประสารทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น สารอื่นในกะหล่ำปลี เช่น อินโดลฟลาโวนอยด์ คาร์บินอล ซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก ซึ่งสารเหล่านี้มีผลช่วยต้านการก่อตัวของโรคมะเร็ง บำรุงระบบไต ชะล้างสารพิษ ทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบจากแผลในสำไส้ บรรเทาอาการแน่นหน้าอก แก้ท้องผูก และเจ็บคอจุกเสียดแน่นท้องได้เป็นอย่างดี สรรพคุณทางด้านความสวยความงามของกะหล่ำปลี เนื่องจากกะหล่ำปลีสามารถช่วยเพิ่มสารกลูตาไทโอน ซึ่งมีผลต่อการล้างพิษจากควันไอเสียและยา ส่งผลทำให้ตับพิการได้ และผลข้างเคียงของสารกลูตาไทโอน คือทำให้ผิวขาวขึ้นอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผักยอดนิยมอย่างกะหล่ำปลีหากรับประทานดิบจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพในระยะยาวได้อย่างไร…. เนื่องจากในกะหล่ำปลีดิบ มีสาร Goitrogen ซึ่งมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ไม่จับกับไอโอดีน ส่งผลให้ไม่เกิดการสร้าง Thyroscine เป็นบ่อเกิดของโรคคอหอยพอก แต่สารพิษชนิดนี้จะถูกทำลายได้โดยการทำให้เมนูอาหารกะหล่ำปีให้สุกเสียก่อน ดังนั้นการรับประทานกะหล่ำปลีพบว่ามีคุณประโยชน์อยู่มาก แต่หากรับประทานดิบ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เพื่อเป็นการป้องกันและดูแลสุขภาพจึงควรเลือกรับประทานกะหล่ำปลี ที่ได้ทำให้สุกเสียก่อน : http://club.sanook.com/25673/ (http://club.sanook.com/25673/)กะหล่ำปลี-ภัยร้ายต่อสุข หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:42:31 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1471886_449839068482297_623297341_n.jpg)
เจียวกู้หลาน(ปัญจขันธ์)...รักษาเบาหวานได้ งานวิจัยในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในใบชาเจียวกู้หลานมีสารสำคัญชื่อ Gypenosides ถึง 82 ชนิด ซึ่งมากกว่าที่มีในโสม 3-4 เท่า ผลการวิจัยของจีนและญี่ปุ่นพบสรรพคุณของ เจียวกู้หลาน ตรงกันว่ามีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้นอนหลับ ลดระดับไขมันในเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิด ต้านการอักเสบ และลดระดับความดันโลหิตสูง รวมทั้ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยส่วนประกอบที่สำคัญอันหนึ่งก็คือ ซาโปนิน ที่มีอยู่ในเจียวกู้หลาน มีคุณสมบัติในการลดอาการป่วยจากโรคตับอักเสบและโรคเบาหวาน โดยเข้าไปช่วยกระตุ้นสร้างอินซูลินจากตับอ่อน จึงช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้ ...อีกทางเลือกสำหรับการควบคุมนำ้ตาลในผู้ป่วยเบาหวานครับ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:45:06 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1899973_448970418569162_128733242_n.jpg)
ชาขาว...ต้านมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในชาขาวส่วนใหญ่เป็นสารโพลีฟีนอล (polyphenol) จำพวกสารคาเทชิน (catechin)] ซึ่งพบมากถึง 70% ของปริมาณสารโพลีฟีนอลทั้งหมดที่มีในชาขาว มีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ คือ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ลดระดับของคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ต้านแบคทีเรีย ไวรัส และป้องกันฟันผุ เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจากการบริโภคชาขาวหนึ่งแก้ว พบว่าการบริโภคชาขาวได้รับสารปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าการบริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักโขม บร๊อคโคลี่ สตรอเบอรี่ ในสัดส่วนการบริโภคที่เท่ากัน ...การดื่มชาขาวเป็นประจำจึงมีผลดีต่อสุขภาพหลายอย่างครับ Dr.C หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:47:43 PM GABA ...
GABA เป็นกรดอะมิโนที่ผลิตจากกระบวนการ decarboxylation ของกรดอะมิโน (glutamic acid) กรดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ GABA ยังถือเป็นสารสื่อประสาทประเภท สารยับยั้ง (inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้นซึ่งช่วยทำให้สมองเกิดการผ่อนคลายและนอนหลับสบาย จากการศึกษาในหนู พบว่าการบริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสาร GABA มากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง เนื่องจากสารเบต้าอไมลอยด์เปปไทด์ (Beta-amyloid peptide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความทรงจำ (อัลไซเมอร์) ดังนั้นจึงได้มีการนำสาร GABA มาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก ได้ครับ (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1924893_447472078718996_1788705834_n.jpg) Dr.C หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:50:14 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1920358_816041658409423_1740674301_n.jpg)
70 วิธี การใช้น้ำมันมะพร้าว 100% เพื่อสุขภาพและความงาม 1. ใช้น้ำมันมะพร้าวประกอบการทำอาหาร อบ ทอด ผัด แทนเนย น้ำมันพืช แทนน้ำมันโอลิฟ เนื่องจากจุดเดือดที่กลายเป็นควันสูง 2. ใช้น้ำมันมะพร้าวผสมในกาแฟแทนครีมเทียม เพิ่มพลังงานให้ร่างกายในแต่ละวัน 3. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นโลชั่นทาผิว หรือเป็นส่วนประกอบโลชั่นที่ทำขึ้นใช้เอง 4. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนประกอบ เพื่อความนุ่มและราบเรียบในเครื่องสำอางที่ทำใช้เอง 5. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนประกอบในน้ำยาดับกลิ่นที่ทำใช้เอง 6. ใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดเครื่องสำอางที่บริเวณขอบตา 7. ใช้น้ำมันมะพร้าวทำความสะอาดลอยเปื้อนบนผ้าอ้อม เช่น ถูบริเวณที่ผ้าอ้อมสัมผัสก้นเด็ก 8. น้ำมันมะพร้าวเพิ่มแร่ธาตุในยาสีฟันที่ใช้ประจำ 9. น้ำมันมะพร้าวทำให้ผิวดูอ่อนวัยในจุดที่ทาน้ำมันมะพร้าว 10. ทาน้ำมันมะพร้าว ป้องกันท้องลายในระหว่างการตั้งครรภ์ 11. น้ำมันมะพร้าวส่งเสริมการทำงานของต่อมไธลอยด์ 12. น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มความทนทานต่อแสงแดดและหลีกเลี่ยงการถูกเผาไหม้จากแสงแดด เทียบได้กับครีมกันแดดระดับ SPF 4 13. น้ำมันมะพร้าวกำจัดเชื้อยีสต์หรือการติดเชื้อจากยีสต์เป็นรายเฉพาะ 14. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันนวดตัวได้อย่างพอใจในเมืองร้อน 15. น้ำมันมะพร้าวมีกรด ลอริก Lauric acid และ MCFA อยู่มาก ช่วยส่งเสริมการเผาผลาญอาหารได้เป็นอย่างดี 16. หยดน้ำมันมะพร้าวเพียงเล็กน้อยบนฝ่ามือและลูบไล้ผมจะช่วยลดรอยหยิกของเส้นผมได้ 17. น้ำมันมะพร้าวให้ความชุ่มชื้นกับใบหน้าอย่างยาวนานในช่วงเวลากลางคืน 18. ใช้น้ำมันมะพร้าวผสมในสัดส่วนที่เท่ากันกับน้ำตาลสำหรับการขัดถูร่างกาย (ใช้ในห้องน้ำ) 19. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นลิปสติกธรรมชาติด้วยการทาบนริมฝีปาก 20. น้ำมันมะพร้าวช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นจากการบาดเจ็บหรือติดเชื้อ 21. ทาน้ำมันมะพร้าวบนฝีเย็บ (บริเวณระหว่างทวารหนักและอวัยวะสืบพันธ์) ช่วยสมานแผลบนฝีเย็บ หลังคลอด 22. น้ำมันมะพร้าวเป็นตัวปรับสภาพเส้นผมแบบธรรมชาติได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ ด้วยการนำน้ำมันมะพร้าวไปลูบผมแห้งแล้ว ใช้หมวกอาบน้ำคลุมผมไว้หลายชั่วโมงก่อนล้างออก 23. ทาน้ำมันมะพร้าวบนฝ่าเท้าเพื่อปัญหารองเท้ากัดเท้า หรือ เชื้อเห็ดราบนยอดเขา 24. ใช้น้ำมันมะพร้าวแทนครีมลาโนรีนในการระงับการระคายเคืองบนหัวนมจากการให้นมเด็ก (ดีกับเด็กด้วย) 25. น้ำมันมะพร้าวช่วยระงับอาการแผลติดเชื้อบนหนังศรีษะหรือบริเวณหูที่มีลักษณะเป็นผื่นแดง หรือ โรคเรื้อนกวาง 26. มีหลักฐานชัดเจนว่า การกลืนน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำมีส่วนช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมในวัยชราได้ 27. ใช้น้ำมันมะพร้าวร่วมกับน้ำไซเดอร์แอปเปิ้ล น้ำส้มสายชู ในการรักษา เหา หมัด โลน ไร ได้ดี 28. น้ำมันมะพร้าวเป็นตัวป้องกันแดดได้ดีแบบธรรมชาติ 29. น้ำมันมะพร้าวเป็นอาหารว่างบำรุงสมองสำหรับเด็ก เช่น ขนมที่ทำจากมะพร้าว 30. ลูบน้ำมันมะพร้าวด้านในของจมูก เพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง 31. แม่ที่ให้นมลูกสามารถทานน้ำมันมะพร้าววันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ พร้อมวิตตามินดี เพื่อเพิ่มปริมาณนมและสารอาหาร 32. มีบางหลักฐานยืนยันว่า น้ำมันมะพร้าวช่วยระบบย่อยและอาจจะทำลายปรสิตในลำไส้หรือเชื้อยีสต์ 33. ผสมน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะกับสมุนไพรแม็กซิกัน1 ช้อนโต๊ะ เพื่อเพิ่มพลังงาน (ไม่ควรทานตอนกลางคืน) 34. น้ำมันมะพร้าวช่วยระดับเพิ่มอินซูลิน ช่อยดูแลระดับคลอเลสเตอร์รอลในร่างกาย 35. กลั้วปากด้วยน้ำมันมะพร้าวพร้อมผสมหยดเครื่องเทศจะช่วยดูแลสุขภาพเหงือก 36. ผสมน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะกับลงในชาร้อนจะช่วยให้อาการหวัดหายเร็วขึ้น 37. ใช้น้ำมันมะพร้าวผสมโลชั่นทากันแดดที่ทำขึ้นใช้เอง 38. น้ำมันมะพร้าวช่วยลดสภาพเส้นเลือดขอดบนผิวหนัง 39. น้ำมันมะพร้าวช่วยเร่งการรักษาจากแสงแดดเผา 40. เมื่อทานน้ำมันมะพร้าวเข้าไปจะให้พลังงานทันที แต่ไม่สะสมไขมัน ทานเป็นประจำช่วยลดน้ำหนัก ทานเป็นประจำทำให้กระชุ่มกระชวย 41. ใช้น้ำมันมะพร้าวทาหลังโกนหนวด 42. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นครีมทาผิวธรรมชาติเพื่อป้องกันแบททีเรีย 43. น้ำมันมะพร้าวเป็นสารหล่อลื่นธรรมชาติที่ไม่ระคายเคืองช่องคลอด 44. ใช้น้ำมันมะพร้าวทาหลังโกนหนวด 45. เมื่อใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะช่วยกำจัดเซลลูไลท์ 46. น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติทานความร้อนช่วยลดอาการแผลอักเสบจากความร้อน 47. น้ำมันมะพร้าวลดอาการคันจากยุงกัด ช่วยระงับอาการคันจากอีสุกอีสัยหรือเผื่อนคันพิษ 48. น้ำมันมะพร้าวช่วยแก้ปัญหาสิว เมื่อใช้เป็นประจำ 49. ใช้น้ำมันมะพร้าวถูลงบนหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม 50. น้ำมันมะพร้าวช่วยเร่งการรักษาการติดเชื้อในหูของเด็ก 51. โชลมน้ำมันมะพร้าวปลายผมเพื่อลดอาการหยิกงอ 52. เฉพาะหนังที่แวววาว ใช้น้ำมันมะพร้าวปริมาณน้อย ๆ ถูลงบนหนังแท้จะทำให้หนังนิ่มและปรับสภาพหนัง ควรทดลองที่จุดเล็ก ๆ ก่อน 53. ใช้น้ำมันมะพร้าวในการฟอกหนังได้ดี 54. น้ำมันมะพร้าวผสมกับเกลือใช้ขัดผิวที่แตกบนฝ่าเท้า 55. น้ำมันมะพร้าวช่วยในการนอนหลับเมื่อทานเป็นประจำ 56. น้ำมันมะพร้าวช่วยเร่งการรักษาการติดเชื้อจากเห็ดราเมื่อทานและทาเป็นประจำ 57. ผสมน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะกับลงในชาร้อนอุ่น ๆ ช่วยระงับอาการเจ็บคอ 58. มีหลักฐานบางอย่างว่า น้ำมันมะพร้าวช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยมและแม็กนีเซียม 59. มีหลักฐานว่าไขมันในน้ำมันมะพร้าวช่วยในเรื่องปัญหาความเครียดและความดันต่ำ 60. น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติดับกลิ่นโดยธรรมชาติ 61. ใช้น้ำมันมะพร้าวร่วมกับผงฟู (Baking Soda) สำหรับเป็นยาสีฟันขัดฟันขาวโดยธรรมชาติ 62. น้ำมันมะพร้าวผสมในน้ำชาขิงอุ่น ๆ ช่วยระงับ อาการเสียวอกหรือคลื่นเหียน 63. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นโลชั่นธรรมชาติสำหรับเด็ก 64. ใช้น้ำมันมะพร้าวทามือหลังล้างจานเพื่อหลีกเลี่ยงผิวแห้ง ทาถูข้อศอกเป็นประจำจะช่วยบรรเทาข้อศอกแห้งแตกเป็นเกล็ด ทาบนหนังกำพร้าจะช่วยในการงอกของเล็บ 65. น้ำมันมะพร้าวผสมกับสมุนไพรกลิ่นหอม สาระแหน่ ใช้เป็นน้ำมันธรรมชาติป้องกันแมลงสัตว์กัดต่อย 66. น้ำมันมะพร้าวช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ 67. ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นประจำช่วยกระตุ้นการสร้างออโมนท์ 68. น้ำมันมะพร้าวช่วยบรรเทาอาการเจ็บจากริดสีดวงทวารในรายบุคคล 69. น้ำมันมะพร้าวช่วยในการไหลเวียนของโลหิตและผู้ที่มักรู้สึกหนาวสั่นบ่อย ๆ 70. ในระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยให้ทารกได้ไขมันที่จำเป็นต่อการเติบโต โดยเฉพาะเมื่อใช้น้ำมันมะพร้าวร่วมกับน้ำมันตับปลา หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:54:14 PM กระชายดำสด
ช่วยให้ เส้นผมแข็งแรง ผมขาวกลับดำ ผมบางกลับหนา มีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงเส้นเอ็นให้แข็งแรง กระดูกไม่เปราะบาง ช่วยบำรุงหัวใจ ระบบกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง เต้นสม่ำเสมอ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้นช่วยย่อยอาหาร แก้โรคกระเพาะ ขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยเจริญอาหาร แก้โรคในช่องปากและคอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ แก้ปวดมวนในท้อง แก้บิดมูกเลือด ขับปัสสาวะ รักษาริดสีดวงทวาร รักษาแผลในปาก กลาก เกลื้อนบำรุงสมอง เพราะช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนกลางดีขึ้น ถ้ากินคู่กับใบบัวบก จะบำรุงสมองได้โดยตรงต้องกินเป็นประจำเพื่อป้องกันความจำเสื่อม ปรับสมดุลของความดันโลหิตให้พอดี บำรุงตับไตให้แข็งแรง ช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น ดูแลระบบมดลูก รังไข่ ดูแลหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง บำรุงฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ชายเหนือชาย กระตุ้นประสาท ทำให้กระชุ่มกระชวย บำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ ชลอความแก่ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 11, 2014, 08:57:13 PM (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1003231_518703108220485_1354076142_n.jpg)
สมุไพรที่ใช้กับโรคผิวหนัง 1. กลากเกลื้อน ขนานที่ 1 ใช้ใบชุมเห็ดเทศขยี้เอาน้ำทา ให้ทาบ่อย ๆ ถ้ามีปูนแดง ขยี้ผสมลงไปด้วย จะทำให้มีสรรพคุณดี ขนานที่ 2 ใช้ใบหรือรากทองพันชั่งแห้ง แ่ช่เหล้าพอท่วมยา 7 วัน ใช้ทาบ่อย ๆ ขนานที่ 3 ใช้กระเทียมฝานเป็นแว่นบาง ๆ ทาวันละ 2-4 ครั้ง (ระวังอย่าขยี้กระเทียมถูทาผิวหนังแรงไป เพราะกระเทียมจะกัดผิวมาก) ขนานที่ 4 เอาใบน้อยหน่า ตำให้ละเอียดทาบ่อย ๆ หรือวันละ 4-5 ครั้ง ขนานที่ 5 ใช้ใบชุมเห็ดไทยขยี้ หรือตำผสมน้ำมะนาว วันละ 3-4 ครั้ง ขนานที่ 6 เอาเหว้าข่าแก่ ๆ ตำให้แหลก ใส่เหล้าพอท่วมยาแช่เหล้าไว้ 1 คืน เอาน้ำยาทาวันละ 3-4 ครั้ง 2.อาการ เคล็ด ขัด ยอก ฟกช้ำ ขนานที่ 1 เมื่อแรกเป็นใหม่ ๆ ให้เอาน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกประคบ หลังจากเป็นเกิน 1 วัน แล้วใช้น้ำร้อนใส่ถุงพลาสติกประคบ วันละ 2-4 ครั้ง ครั้งหนึ่งนาน 15-30 นาที ขนานที่ 2 ใช้เหง้าไพล ตำให้แหลกพอก เอาผ้าพันไว้ เปลี่ยนยาวันละ 2-4 ครั้ง ขนานที่ 3 ใช้หญ้าใต้ใบชนิดแดงทั้งต้น ตำพอกถอนพิษฟกช้ำได้ดี เปลี่ยนยาวันละ 3-4 ครั้ง ขนานที่ 4 ใช้ใบพลับพลึงลนไฟอ่อน พันตามอวัยวะที่เคล็ด ขัด ยอก บวม แพลง และถอนพิษได้ดี ขนานที่ 5 ใช้ใบว่านมหากาฬ โขลกพอกที่บวมช้ำ วันละ 2-4 ครั้ง ขนานที่ 6 ใช้หญ้าแพรกทั้งต้นและราก ตำกับเหล้า คั้นเอาน้ำทา จะทำให้เย็น ถอนพิษเจ็บปวด แก้อักเสบ ขนานที่ 7 ใช้ยาดำฝนกับเหล้า ให้ข้น ๆ ทาแก้อาการปวดฟกช้ำ ทาวันละ 3-4 ครั้ง 3. ผิวหนังแห้ง เอาน้ำมันมะพร้าว ทาวันละ 2 - 3 ครั้ง 4. ผิวหนังคันจากตัวหนอน หรือใบไม้คัน ขนานที่ 1 เอาใบตำลึงมาขยี้ให้ช้ำ ทาบ่อย ๆ ขนานที่ 2 เอาใบผักบุ้ง มาขยี้แล้วถูบริเวณที่คัน ขนานที่ 3 เอากะปิมาปั้น คลึงตรงที่ถูก ขนใบไม้คัน กะปิจะช่วยดูดขนใบไม้พิษ ด้วย ขนานที่ 4 เอาขี้ผึ้งลนไฟให้ร้อน คลึงแผลที่ถูกขนหนอนยังไม่เปื่อยชักขนหนอนในแผล ขนานที่ 5 เอาเปลือกต้นเพกา ฝนด้วยน้ำปูนใส ทาแก้แผลถูกขนหนอน เมื่อเปื่อยแล้ว ทาวันละ 3-4 ครั้ง ขนานที่ 6 เอาเปลือกต้นมะขาม ฝนกับน้ำปูนใส ทาวันละ 3-4 ครั้ง แก้แผลถูกขนหนอนเมื่อ เปื่อยแล้ว กลุ่มสมุนไพรนำมาต้มล้างแผล ขนานที่ 1 ใช้เปลือกต้นมะขาม 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3 แก้ว ให้เดือดนาน 20-30 นาที เอาน้ำมาล้างแผล ช่วยสมานแผลด้วย ขนานที่ 2 ใช้ต้นผักเบี้ยใหญ่สด 1 กำมือ ตำให้ละเอียดและต้มกับน้ำ 4-5 แก้วให้เดือดนาน 2-3 นาที ตั้งทิ้งไว้ให้พออุ่นนิด ๆ เอาน้ำยาล้างแผล ขนานที่ 3 ใช้ใบฝรั่ง 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3-4 แก้วให้เดือดนาน 1/2 - 1 ชั่วโมง เอาน้ำยาล้างแผล ขนานที่ 4 ใช้เปลือกต้นแค 1 กำมือ ใส่ต้มกับน้ำ 3-5 แก้วให้เดือด นาน 30 นาที เอาน้ำยาที่ใช้ชะล้างบาดแผล 5. แก้ผื่นคันหรือตุ่มคัน ยาทา ขนานที่ 1 ใช้ข้าวสุก ตำพอก บรรเทาอาการผื่นคัน และผื่นแสบร้อนที่ผิวหนัง ขนานที่ 2 เอาดินสอพอง 3 ส่วน ผสมกับพิมเสน 1 ส่วน บดให้ละเอียด ทาผิวหนัง ขนานที่ 3 ใช้ผงขมิ้นชัน ละลายน้ำทาทุกครั้งที่คัน หรือวันละ 3-4 ครั้ง ยาอาบ ขนานที่ 1 ให้เอาใบเลี่ยน และเปลือกเลี่ยนรวมกันให้ได้ 1/4 หม้อใหญ่ ๆ เกลือ 1 ถ้วยชา เติมน้ำเต็มหม้อ ต้มอาบ ก่อนอาบให้อาบน้ำฟองสบู่ ให้สะอาดเสียก่อน จึงอาบยานี้ วันละ 1-2 ครั้ง ยาหม้อหนึ่งใช้ต้มอาบได้ ใบเลี่ยน 5-6 ครั้ง อาบแล้วไม่ต้องล้างออก ขนานที่ 2 ให้เอาต้นเหงือกปลาหมอ ทั้งราก สดหรือแห้งก็ได้ สับเป็นท่อนเล็ก ๆ 1 ขัน ผสมกับน้ำ 3-4 ขัน ต้มให้เดือด 10 นาที ก่อนอาบ ให้อาบน้ำ ฟอกสบู่ให้สะอาดเสียก่อน อาบน้ำยา เมื่อยังอุ่น ๆ อยู่ วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ครั้งละ 3-4 ขัน (อาบแล้ว ไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาอีก) ขนานที่ 3 ใช้ชุมเห็ดเทศ (ดูภาพข้อที่ 1) 3-4 ก้าน ใส่น้ำให้ท่วมยา ต้มให้เดือดนาน 5-10 นาที ใช้น้ำยานี้อาบในขณะอุ่น ๆ วันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น (อาบหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว และไม่ต้องล้างน้ำยาออก) เหงือกปลาหมอ โดย ทางแพทย์สายพุทธ ที่มา : เคล็ดลับสมุนไพร ฉบับเมษายน 2551 หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 17, 2014, 09:26:04 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/9463_474254395945341_779438333_n.jpg)
ขิง.....มีบันทึกในตำนานมา ๓๐๐๐ ปีแล้ว ขิง เป็นสมุนไพรที่มีมาตั้งแต่สมัยอดีตกาลนานมาแล้ว โดยปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอ่านและผลงานเขียนของขงจื๊อ (เมื่อกว่า 3000 ปีมาแล้ว) และขิงก็มีอยู่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยมายาวนาน ผลการวิจัยล่าสุดพบว่าผู้หญิงที่มีอายุในช่วง 50-60 ปีที่รับประทานขิงเป็นประจำมีประสิทธิภาพของสมองดีขึ้น "ขิง มีส่วนช่วยให้ neuroprotective function ดีขึ้น" Kathleen McFarlane ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของออสเตรเลียกล่าว "นั่นก็หมายความว่าขิงมีส่วนช่วยในการลดโอกาสการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้เช่น กัน" นอกจากนี้การใส่ขิงป่น 100 กรัมลงไปในสลัดหรือผัดผักที่ท่านรับประทานเป็นประจำ ก็เป็นการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับอาหารได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย นอกจากจะช่วยบำรุงสมองแล้ว ขิงยังมีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดได้อีกด้วย ขิงมีประสิทธิภาพในการยับยั้งอาการอักเสบของข้อต่อและกล้ามเนื้อ เปรียบเสมือนยาบรรเทาปวด (Analgesic) "สำหรับการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ, การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยขิงในส่วนผสมควบคู่กับการรับประทานยา ปฏิชีวนะ ช่วยให้อาการปวดกล้ามเนื้อหายได้ไวขึ้น" Pam Stone ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากประเทศออสเตรเลียกล่าว สำหรับประโยชน์ของน้ำขิงก็สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน การดื่มน้ำขิงอุ่นๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ อาการคัดจมูกและบรรเทาอาการหวัดได้ การใส่น้ำมะนาว แล้วน้ำผึ้งผสมกับชาขิงร้อนๆก็มีสรรพคุณเป็นยาที่ดีมากมาย รวมไปถึงอาการปวดท้องจากอาการลำไส้แปรปรวน(IBS)ท้องอืดท้องเฟ้อ"การ ดื่มน้ำขิงอุ่นๆทุกเช้าสามารถช่วยให้ลำไส้ของท่านทำงานได้ดีมากขึ้น" McFarlane กล่าว และการวิจัยของประเทศออสเตรเลียก็ค้นพบอีกว่าขิงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลใน เลือด และอาจช่วยต่อต้านโรคเบาหวานได้ ขิง ช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการทำงานของช่องท้องและลำไส้ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความดันโลหิตและ หัวใจของเรา และอวัยวะเหล่านี้ก็จะทำงานดีขึ้นหากได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากขิง ขิงช่วยป้องกันไม่ให้ bad cholesterol LDL แข็งเป็นแผ่น ซึ่ง bad cholesterol นี้จะส่งผลเสียกับระบบโลหิตภายในร่างกายและเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ "การรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากขิงเป็นประจำ สามารถช่วยบำรุงร่างกายของท่านได้ดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามก็ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย และควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นดีที่สุด" McFarlane กล่าวทิ้งท้าย ที่มา ...108health.com หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 17, 2014, 09:27:39 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/734707_472886662748781_1752622761_n.jpg)
หวานเป็นลม...ขมเป็นยา มะระ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อย ออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวก หรือเผาไฟจิ้ม แล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ ต่อมา..ก็คือ คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้น ด้วยสารอาหารในมะระ ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีน ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมาย เพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, เป็นต้น เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนาน ๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุง หรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทาน จะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ ข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบ ๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะค่ะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะ เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่าง อย่าทานมะระมากจนเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 18, 2014, 09:02:57 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10014613_278228649007010_636163788_n.jpg)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 18, 2014, 09:04:52 PM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/10003968_630875353628147_94784943_n.jpg)
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1511488_630875633628119_1268126180_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10013041_630875730294776_912843635_n.jpg) ลูกไข่เน่า ผลไม้บำรุงสมอง วันนี้ เราอยากแนะนำ ให้รู้จักกับสมุนไพรพื้นบ้าน เป็นผลไม้ป่าหน้าตาคล้ายลูกพรุน มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกัน รวมทั้งยังช่วยบำรุงสมอง บำรุงต่อมไตและช่วยบรรเทาเบาหวานได้ทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ความ เป็นมา ต้นไข่เน่า เป็นพันธุ์ไม้ที่มีประโยชน์มาก แต่ไม่มีผู้ใดนิยมปลูกในบ้าน เนื่องจาก มีชื่อที่ไม่ค่อยเป็นมงคล ในเขตคลองหอยโข่ง สงขลา เดิมจะมีหมู่บ้าน ติดกับสนามบินหาดใหญ่ ชื่อว่า บ้านไข่เน่า เนื่องจากมี ต้นไข่เน่า ต้นใหญ่ อยู่หน้าหมู่บ้านแต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น บ้านใหม่ (และเด็กๆในบ้านใหม่ จะไม่มีใคร รู้จักต้นไข่เน่า) ในเขตกองบิน 56 สนามบินหาดใหญ่ ก็เคยมี ต้นไข่เน่า ที่เด็กเลี้ยงวัวและหมอยาพื้นบ้านในอดีต ใช้เป็นอาหารและยา แต่ ปัจจุบัน หาคนที่รู้จักต้นไข่เน่าได้น้อยมาก ไข่เน่า เป็นพันธุ์ไม้ต้น พบในป่าเบญจพรรณทั่วไป สูงประมาณ 8 - 12 เมตรลำต้น เกลี้ยงมีสีหม่นและมีด่างเป็นดวงขาว ๆ ใบ เป็นใบประกอบแบบฝ่ามือ เรียงตรงข้าม ชนิด 5 ใบย่อย รูปไข่กลับแกมวงรี หรือรูปใบหอกกลับ กว้าง 4-6 ซม. ยาว 10-13 ซม.สีเขียวเข้ม ดอก เล็กๆสีม่วงอ่อน ออกเป็นช่อตรง ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ผล ผลอ่อนที่ยังไม่สุกจะมีสีเขียวและแข็ง รูปไข่หรือ รูปไข่กลับ ยาว 1 - 2 ซม. เมื่อสุกมีสีม่วงดำเนื้อนุ่มนิ่ม ผิวเป็นมัน สรรพคุณของ สมุนไพร : เปลือกต้น เปลือกต้นไข่เน่า ให้ รสฝาด แก้บิด แก้เด็กถ่ายเป็นฟอง แก้โรคพยาธิในเด็กที่มีอาการเบื่ออาหาร แก้ไข้ แก้โรคเบาหวาน เปลือกผล แก้โรคเกล็ดกระดี่ขึ้นนัยน์ตา โรคกระเพาะ หรือลำไส้อักเสบของทารก และ ยังมีแคลเซียมแบบกระชายอีกด้วยยบำรุงไต กระดูสมุนไพรไข่เน่านั้นหารับประทานได้ยากพอสมควร ผลสุก ใช้เคล้ากับเกลือผึ่งแดด สามารถรักษาโรคเบาหวาน และบำรุงสมอง ช่วยระบบการขับถ่าย กินแล้วหัวดี รากต้นไข่เน่า เป็นยาเจริญอาหาร แก้ท้องเสีย และแก้โรคตานขโมย วิธีรับประทาน: นำผลสุกจิ้มเกลือ หรือจะเคล้ากับเกลือแล้วผึ่งแดดเก็บไว้ทานก็ได้ ถือเป็นผลไม้ที่เป็นทั้งอาหาร และยา ใช้รักษาโรคเบาหวาน ช่วยบำรุงสมอง และบำรุงไต ได้ดี นอกจากนี้ ยังมีแคลเซี่ยมสูง จึงเป็นผลไม้ ที่ช่วยบำรุงกระดูก สำหรับผู้สูงอายุ http://www.clipmass.com/ (http://www.clipmass.com/) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 19, 2014, 06:56:02 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/71864_488517307852383_200156060_n.jpg)
สมุนไพรที่มีความโดดเด่นมากที่สุด.......ในการรักษาเบาหวานคือ มะระขี้นก ตำลึง และผักเชียงดา มะระขี้นก เป็นผักพื้นบ้านของไทย คนไทยทุกภาคนำยอดอ่อนและผลอ่อนมาปรุงเป็นอาหารโดยนำมาลวกเป็นผักจิ้ม อาจจะนำไปผัดหรือแกงร่วมกับผักอื่นแต่นิยมลวกน้ำและเทน้ำทิ้งก่อนเพื่อลดความขม มีวิตามินเอและซีสูง ในส่วนของจีน พม่า อินเดีย แอฟริกาและอเมริกาใต้ก็กินเป็นผักเช่นเดียวกัน โดยอินเดียจะปรุงเป็นแกง ศรีลังกานำไปปรุงเป็นผักดอง อินโดนีเซียกินเป็นผักสด การใช้ประโยชน์ทางยา มีการนำมาใช้รักษาโรคเบาหวาน พบในตำรับยาพื้นบ้านของทางอินเดียและศรีลังกา ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันในประเทศอินเดีย แพทย์แผนเดิมของพม่าและแพทย์จีน มีการสั่งจ่ายมะระขี้นกเป็นสมุนไพรเดี่ยวให้กับผู้ป่วยเบาหวาน รายงานการศึกษาวิจัย สรรพคุณลดน้ำตาลในเลือด มีรายงานการศึกษาที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอินเดีย พบฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลอง และผู้ป่วยเบาหวาน และสามารถชะลอการเกิดต้อกระจกซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนของโรคเบาหวานได้ จากผลการวิจัยสรุปว่ามะระมีกลไกการออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้หลายวิธี คือ ออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน ออกฤทธิ์เกี่ยวกับการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสในตับ องค์ประกอบทางเคมีที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดคือ อินซูลิน คาแรนทิน (charantin) และไวซีน (vicine) ส่วนการทดลองทางคลินิกมีรายงานว่าน้ำคั้นจากมะระขี้นก ๕๐ มิลลิลิตร และ ๑๐๐ มิลลิลิตร เพิ่มความทนต่อน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ ๒ ได้ และยังพบเช่นเดิมในผู้ที่กินผลมะระแห้ง ๐.๒๓ กิโลกรัมต่อวันเป็นเวลา ๘-๑๑ สัปดาห์ และกินผงมะระขี้นกแห้ง ๕๐ มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม เป็นเวลา ๗ วัน ความเป็นพิษ การศึกษาด้านพิษวิทยาและความปลอดภัยของมะระขี้นก พบว่าเมล็ดมีสารโมมอร์คาริน (momorcharin) ประกอบที่เป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ในสัตว์ทดลองคือ สารดังกล่าวมีฤทธิ์ทำให้แท้งในหนูถีบจักร ไม่มีพิษต่อเซลล์ แต่มีผลกระทบต่อเซลล์ของตัวอ่อนในระยะสร้างอวัยวะ ทำให้ส่วนหัว ลำตัว และขามีรูปร่างผิดปกติ แต่เมล็ดก็สามารถแยกส่วนออกไปได้ง่าย ดังนั้น จึงน่าจะมีความปลอดภัยในการนำมาใช้พอสมควร ตัวอย่างตำรับยาเบาหวาน ตำรับยา ๑ : น้ำคั้นสด นำผลมะระขี้นกสด ๘-๑๐ ผล นำเมล็ดในออก ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ปั่นให้ละเอียด กรองกากออกจะได้น้ำดื่มประมาณ ๑๐๐ มิลลิลิตร (หรือกินทั้งกากก็ได้) กินทุกวันติดต่อกัน แบ่งกินวันละ ๓ เวลา ตำรับยา ๒ : ทำเป็นชา นำเนื้อมะระผลเล็ก (มีตัวยามาก) ผ่านำเมล็ดออก หั่นเนื้อมะระเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำเดือด (มะระ ๑-๒ ชิ้น น้ำ ๑ ถ้วย) ดื่มเป็นน้ำชา ครั้งละ ๒ ถ้วย วันละ ๓ เวลา หรือจะต้มน้ำดื่มก็ได้ หรือใส่กระติกน้ำร้อนต้มดื่มเป็นกระติกปริมาณมากก็สะดวกดื่มไปเรื่อยๆ แทนน้ำเป็นเวลาประมาณ ๓ สัปดาห์ ไม่เกิน ๑ เดือนก็เห็นผลให้ ตำรับยา ๓ : ทำเป็นแคปซูลหรือลูกกลอน กินมะระขี้นก ๕๐๐-๑,๐๐๐ มิลลิกรัม วันละ ๑-๒ ครั้ง ข้อควรระวังคือ คนท้อง เด็กและคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรกิน ผักตำลึง ยาเบาหวาน คลานตามรั้ว ตำลึงเป็นผักที่นิยมนำยอดมาลวกหรือนึ่ง เป็นผักจิ้มน้ำพริก หรือนำยอดอ่อน ใบอ่อนมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย เช่น แกงจืด แกงเลียง ใส่ก๋วยเตี๋ยว ผัดน้ำมัน ใส่ในแกงแค แกงปลาแห้ง ผลอ่อนนำมานึ่งกิน ดองกินกับน้ำพริกได้ ผลอ่อนที่ก้านดอกเริ่มจะหลุดกินสดได้กรอบอร่อย ไม่ขม เป็นยาบำรุงสุขภาพ รักษาปากเป็นแผล ผลอ่อนที่ยังหนุ่มๆ อยู่จะมีรสขมต้องคั้นน้ำเกลือให้หายขมก่อนนำมาแกง ส่วนผลสุกคนกินได้ สัตว์ก็ชอบกิน นอกจากนี้ ตำลึงยังเป็นผักที่ใช้แทนผงชูรสได้ โดยนำใบทั้งแก่ทั้งอ่อนประมาณกำมือใส่ต้มไก่ ต้มปลา ต้มเป็ด จะมีรสชาติออกมาหวานนัวเหมือนกับใส่ผงชูรส ตำลึงมีวิตามินเอสูงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการตามัวจากการขาดวิตามินเอ และเหมาะกับคนผิวแห้งไม่มีน้ำมีนวล เพราะนอกจากจะมีวิตามินเอสูงแล้วยังมีวิตามินบี ๓ ช่วยบำรุงผิวหนังได้เป็นอย่างดี ตำลึงเป็นผักที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ มากคุณค่าทางโภชนาการ ให้แคลเซียมสูงน้องๆ นม การกินผักตำลึงเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง กระดูกแข็งแรง การใช้ประโยชน์ทางยา ตำลึงเป็นสมุนไพรที่นิยมใช้รักษาโรคผิวหนังพวกผื่นแพ้ ตำแย หมามุ่ย หนอนคัน บุ้ง หอยคัน มดคันไป ผื่นคันจากน้ำเสีย ผื่นคันจากละอองข้าว ผื่นคันชนิดที่ไม่รู้สาเหตุ เริม งูสวัด สุกใส หิด สิว ฝีหนอง เป็นต้น ส่วนการกินตำลึงจะช่วยระบายท้อง ลดการอึดอัดท้องหลังกินอาหารเนื่องจากมีสารช่วยย่อยแป้ง และช่วยแก้ร้อนใน เป็นต้น ที่สำคัญคือตำลึงเป็นยาพื้นบ้านใช้รักษาเบาหวาน ทั้งราก เถา ใบ ใช้ได้หมด มีสูตรตำรับหลากหลาย และในตำราอายุรเวทก็มีการใช้เป็นยารักษาเบาหวานมานานนับพันปี ชาวเบงกอลในอินเดียใช้ตำลึงเป็นยาประจำวันสำหรับแก้โรคเบาหวาน รายงานการศึกษาวิจัย สำหรับการรักษาเบาหวานด้วยตำลึงนั้น ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับตำลึงจำนวนมากและเป็นสมุนไพรที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุดตัวหนึ่ง จากการทบทวนผลการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรลดน้ำตาลในเลือดของทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าตำลึงและโสมมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลการลดน้ำตาลดีที่สุด ตำลึงแสดงผลการลดน้ำตาลทั้งในคนและสัตว์ทดลอง สรรพคุณของตำลึงที่ช่วยลดน้ำตาล คือ ใบ ราก ผล มีการศึกษาพบว่าการกินตำลึงวันละ ๕๐ กรัม (ครึ่งขีด) ทุกวันสามารถรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่ได้ ข้อดีของตำลึงคือปลูกง่าย หาง่ายและราคาถูกกว่าโสมมากโดยเฉพาะในบ้านเรา ตัวอย่างตำรับยาเบาหวาน ตำรับ ๑ : นำรากผักตำลึง รากผักหวานป่า รากฟักข้าว รากกุ่มน้ำ รากุ่มบก ต้มกินติดต่อกันไปเรื่อยๆ ตำรับ ๒ : ข้อรากผักตำลึงฝนกับน้ำดื่ม หรือใช้เถาผักตำลึงสับเป็นท่อนๆ ยาว ๒-๓ นิ้ว จำนวน ๑ กำมือ ใส่น้ำพอท่วม ต้มนาน ๑๕-๒๐ นาที นำมาดื่มเช้า-เย็น ติดต่อกันอย่างน้อย ๗-๑๐ วัน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด หรืออาจใช้ส่วนของต้น ใบ และราก ต้มรวมกันแทนเถาอย่างเดียวก็ได้ ตำรับ ๓ : นำยอดตำลึง ๑ กำมือหรือขนาดที่กินพออิ่มโรยเกลือหรือเหยาะน้ำปลา (เพื่อให้อร่อยพอกินได้) ห่อด้วยใบตอง นำไปเผาไฟให้สุกแล้วกินให้หมด หรือกินจนอิ่ม กินก่อนนอนติดต่อกัน ๓ เดือน ผักเชียงดา เกิดมาฆ่าน้ำตาล ยอดอ่อนและใบอ่อนของผักเชียงดา นำมากินเป็นผัก มีรสขมอ่อนๆ และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ผักเชียงดานิยมนำมาปรุงอาหารรวมกับผักอื่นๆ เช่น ใช้อุ๊บรวมกับผักอื่น ผสมในแกงแค แกงเขียว แกงเลียง ต้มเลือดหมู ผัดรวมกับมะเขือ ไม่นิยมนำมาแกงหรือผัดเฉพาะผักเชียงดาอย่างเดียวเพราะรสชาติจะออกขมเฝื่อน (แต่ก็มีบางคนชอบ) การใช้ประโยชน์ทางยา ผักเชียงดาเป็นผักที่หมอยาพื้นบ้านใช้เป็นผักเพิ่มกำลังในการทำงานหนักและใช้เป็นยารักษาเบาหวานเช่นเดียวกับอินเดียและประเทศแถบเอเชียมานานกว่า ๒ พันปีแล้ว ผักเชียงดาสามารถนำไปใช้ลดน้ำหนัก เพราะว่าผักเชียงดาช่วยให้มีการนำน้ำตาลไปเผาผลาญมากกว่าการนำไปสร้างเป็นไขมันสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และพบมีรายงานการศึกษาว่าผักเชียงดาสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แคปซูลผักเชียงดายังมีวางขายในร้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในรูปแบบผงแห้งที่มีการควบคุมมาตรฐานของกรดไกนีมิก (gynemic acid) ต้องมีไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๕ คือ ๑ แคปซูลส่วนใหญ่จะมีผงยาของเชียงดาอยู่ ๕๐๐ มิลลิกรัม การศึกษาในคนพบว่าใช้สารออกฤทธิ์ประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ ๘-๑๒ กรัมของผงแห้งต่อวันโดยกินครั้ง ๔ กรัม วันละ ๒-๓ ครั้งก่อนอาหาร รายงานการศึกษาวิจัย นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าผักเชียงดามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๙ และปี พ.ศ.๒๕๒๔ มีการยืนยันผลการลดน้ำตาลในเลือดและเพิ่มปริมาณอินซูลินในสัตว์ทดลองและในคนที่เป็นอาสาสมัครที่แข็งแรง พบว่าผักเชียงดาไปฟื้นฟูบีตาเซลล์ของตับอ่อน (อวัยวะที่สร้างอินซูลิน) ทำให้ผักเชียงดาสามารถช่วยคุมน้ำตาลได้ในคนเป็นเบาหวานทั้งชนิดที่ ๑ และชนิดที่ ๒ นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๓ เป็นต้นมามีการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบประสิทธิภาพ กลไกออกฤทธิ์ ในการลดน้ำตาลในเลือดและมีการศึกษาความเป็นพิษอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาที่มหาวิทยาลัยมาดราส ประเทศอินเดียโดยศึกษาผลของผักเชียงดาในหนูด้วยการให้สารพิษที่ทำลายบีตาเซลล์ในตับอ่อนของหนู พบว่าหนูที่ได้รับผักเชียงดา (ทั้งในรูปของผงแห้งและสารสกัด) มีระดับน้ำตาลในเลือดกลับมาเป็นปกติภายใน ๒๐-๖๐ วัน ระดับอินซูลินกลับมาเป็นปกติ และจำนวนของบีตาเซลล์เพิ่มขึ้น ในปีเดียวกันนี้ มีการศึกษาผลของผักเชียงดาในผู้ป่วยโรคเบาหวานพบว่าผักเชียงดาสามารถลดการใช้ยารักษาเบาหวานแผนปัจจุบัน และบางรายสามารถเลิกใช้ยาแผนปัจจุบันโดยใช้แต่ผักเชียงดาอย่างเดียวสำหรับการคุมระดับน้ำตาลในเลือด จากการศึกษานี้ ยังพบว่าปริมาณของระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (hemoglobin A1c) ลดลง (ปริมาณสารตัวนี้แสดงให้เห็นว่าการกินผักเชียงดาทำให้ระดับของน้ำตาลในเลือดในช่วง ๒-๔ เดือนที่ผ่านมามีความสม่ำเสมอ ถ้าลดลงแสดงว่าคุมระดับน้ำตาลได้ดี ซึ่งเป็นการลดโอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด จากการป่วยเป็นโรคเบาหวาน) และปริมาณอินซูลินเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการรักษาเบาหวาน นอกจากปริมาณอินซูลินจะไม่เพิ่มขึ้นแล้วปริมาณของระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมยังเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่าสารสกัดผักเชียงดาสามารถลดปริมาณการใช้อินซูลินได้ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลินได้อีกด้วย ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นได้ค้นพบว่าผักเชียงดาสามารถยับยั้งการดูดซึมของน้ำตาลจากลำไส้เล็ก ปี พ.ศ.๒๕๔๔ นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Nippon Veterinary and Animal Science University ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นได้ตีพิมพ์ผลงานวิเคราะห์สารบริสุทธิ์ (pure compound) ที่เป็นตัวออกฤทธิ์ในการลดน้ำตาลจากใบของผักเชียงดาโดยใช้วิธีเทียบเคียงสูตรโครงสร้างของสารออกฤทธิ์ตามธรรมชาติด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Structure-activity relationship (SAR) และได้ออกแบบสูตรโครงสร้างของสาระสำคัญ ๔ ตัว (GIA-1, GiA-2, GIA-5, และ GIA-7) ซึ่งพิสูจน์ฤทธิ์ในหนูทดลองแล้วว่าสามารถลดระดับน้ำตาลได้ จึงทำการสังเคราะห์สารสำคัญดังกล่าวขึ้นมา วิธีการนี้ได้สารออกฤทธิ์ที่แม่นยำและมีปริมาณสูง ช่วยลดปริมาณความต้องการใช้สารออกฤทธิ์ตามธรรมชาติจากใบของผักเชียงดาอย่างมาก ปี พ.ศ.๒๕๔๖ นักวิทยาศาสตร์รายงานถึงผลของสารสกัดผักเชียงดาในหนูซึ่งนอกจากจะพบฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดและเพิ่มปริมาณอินซูลินแล้ว ยังลดปริมาณของอนุมูลอิสระในกระแสเลือดของหนูที่เป็นเบาหวานได้อีกด้วย ทั้งยังเพิ่มปริมาณของสารกลูตาไทโอน วิตามินซี วิตามินอี ในกระแสเลือดของหนูได้อีกด้วย และยังพบอีกว่าสารสกัดผักเชียงดามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดสูงกว่ายาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาเบาหวานที่มีชื่อว่า ไกลเบนคลาไมด์ (glibenclamide) นักวิทยาศาสตร์ได้มีการศึกษาความเป็นพิษของผักเชียงดาไม่พบความเป็นพิษแต่อย่างใด ผักเชียงดาไม่ได้ลดน้ำตาลในเลือดในคน และถ้าใช้แต่ผักเชียงดาอย่างเดียวไม่ได้ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำแต่อย่างใดยกเว้นการใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่ใช้ลดน้ำตาล ตำรับยาแก้ไข้ แก้เบาหวาน ใช้ราก เถา หรือใบ ตากแห้ง บด ชงเป็นชาดื่ม หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 19, 2014, 08:46:09 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10003961_667396296657160_1991389703_n.jpg)
(http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_herbal/upload/1463142019p.jpg) ทุเรียนน้ำ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:25:39 PM (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10157412_223319061190032_288820072_n.jpg)
หลักการทำงานของม้าม (วักกัง) วักกัง ม้าม คือก้อนเนื้อ มีสีแดงคล้ำ ๒ ก้อน มีขั้วอันเดียวกัน เหมือนกับผลมะม่วง ๒ ผลมีขั้วอันเดียวกันฉะนั้น อยู่ข้างซ้ายเคียงกับหัวใจ ม้าม ทางการแพทย์จีนยังคงเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่ให้ความหมายแตกต่างจากการแพทย์ตะวันตก โดยให้ความหมายถึงอวัยวะที่มีหน้าที่ย่อยอาหาร เก็บอาหาร ส่งอาหารที่ดี แล้วยังมีหน้าที่ถ่ายเทพลังออก. พลังของม้าม จะทำการส่งของใส(อากาศดี+อาหารดี) ให้เดินขึ้นสู่เบื้องบน(ผีจู่หวิ้นฮั้ว) ตำแหน่งของม้ามจะอยู่ติดกับกระเพาะอาหารมื่ออาหารถูกนำเข้าถึงกระเพาะโดยจะต้องผ่านม้ามเพื่อทำการย่อยสารอาหาร และกระจายสารอาหารไปทั่วร่างกาย3 หากม้ามเกิดภาวะบกพร่องอ่อนแอ แปลว่า ม้ามไม่สามารถเอาของไม่ดีออกจากร่างกายได้ หรือไม่สามารถกระจายสารอาหารดีๆส่งไปในร่างกายได้อย่างทั่วถึง ในสภาวะที่ควรจะเป็น อาการที่พบคือ ท้องเสียไม่มีแรง กินข้าวได้น้อยถึงขั้นผอมและเบื่ออาหาร ถ่ายเป็นของเหลว หรือทางตรงกันข้ามคือกินมากไม่ยอมอ้วนไม่เกิดเนื้อ หรือกินน้อยๆแต่อ้วนเร็ว ท้องแน่นท้องแข็ง อาการแบบนี้ระบบย่อยจะไม่ปกติ ต้องบำรุงม้าม เพื่อให้ม้ามแข็งแรง สิ่งที่สังเกตได้ชัดว่าม้ามปกติหรือไม่ก็คือการตรวจอุจจาระ ม้ามยังมีหน้าที่นำของเหลวส่งไปถึงปอด โดยอาศัยปอดเป็นตัวกระจายของเหลว หากปอดกระจายของเหลวไม่ดี จะกลายเป็นเสมหะ ดังที่กล่าวไว้ในเรื่องปอด หากพลังของม้ามไม่พอไม่สามารถส่งของเหลวไปให้ปอดได้ ลักษณะที่พบคือตัวจะบวม แปลว่าน้ำมาก กระจายออกไม่ได้ หากอยู่บนลำคอ ก็จะกลายเป็นเสมหะ หากค้างอยู่ช่องท้อง ก็จะทำให้ท้องเสีย หากไปค้างอยู่ที่ขา ขาก็จะบวม แบบนี้ก็มาบำรุงให้ม้ามให้มีพลัง ของเหลวจะได้ไม่ถูกกักไว้ที่อวัยวะต่างๆ ม้ามยังเกี่ยวกับเลือดส่งให้เห็นเป็นชีพจร ชีพจรต้องอาศัยพลังของน้ำมาควบคุม หากพลังม้ามอ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมเรื่องเลือดได้ เลือดก็จะออกง่าย ถ่ายเป็นเลือด. ประจำเดือนออกมาก ตกเลือด อาการที่เห็นชัดจากภายนอกคือ ผิวหนังแห้ง หรือถูกกระแทกนิดหน่อยอาอาการ เขียว ช้ำง่ายเกินไป วิธีแก้เบื้องต้นคือการบำรุงด้วยโสมเกาหลี ม้ามยังเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ มือและเท้า ถ้าม้ามแข็งแรง กล้ามเนื้อจะมีพลัง มีเนื้อเต็ม กล้ามเนื้อหากไม่แข็งแรง มือเท้าไม่มีแรง กล้ามเนื้อตัวนิ่มๆ แสดงว่าม้ามมีปัญหา. ม้าม มีทวารคือ ริมฝีปากกับปาก หากม้ามแข็งแรง จะทำให้กินอาหารเก่ง กินอะไรก็อร่อย ริมฝีปากมีสีสัน หากม้ามอ่อนแอ ระบบย่อยก็จะไม่ดี ออกอาการเบื่ออาหาร กินอะไรก็ไม่อร่อย หากทุกคนกินอร่อยแต่ตัวเองกินไม่อร่อยบ่อยๆ หลายๆครั้ง แสดงว่ารสชาติของการรับรู้เริ่มมีปัญหา ส่งออกมาทางลิ้น ทำให้ริมฝีปากซีด ธรรมชาติของพลังในกระเพาะอาหารเป็นหยาง จะชอบลักษณะที่ชุ่ม ไม่ชอบแห้งๆ กระเพาะร้อน กระเพาะมีไฟ จะทำให้ปากแห้ง ชอบกินน้ำ ไม่หิว ไม่มีน้ำลาย หากเปรียบถึงม้ามคือภายนอก กระเพาะก็คือภายใน พลังของกระเพาะจึงต้องลงข้างล่าง หากขึ้นข้างบนอาการ ก็จะท้องอืด ลมขึ้น และพลังของม้ามต้องขึ้นสู่เบื้องบน หากพลังลงล่างจะส่งผลกับระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย ดังที่กล่าวมาตอนต้น http://www.siamfengshui.com/ (http://www.siamfengshui.com/) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:27:07 PM (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10153160_222950451226893_1427609445_n.jpg) กัลปพฤกษ์.... ต้นไม้สารพัดนึก เนื้อในฝัก รสหวานเอียนขม ระบายอุจจาระธาตุ แก้พรรดึกไม่ไซร้ท้อง ระบายท้องเด็กได้ดีมาก (ฤทธิ์อ่อนกว่าเนื้อฝักคูน) จากข้อมูลในพจนานุกรมศัพท์ศิลปกรรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้พูดถึงเรื่องกัลปพฤกษ์ไว้ว่า “ตามคติโบราณเชื่อกันว่า ต้นกัลปพฤกษ์มีอยู่ในแดนสวรรค์ หากผู้ใดปรารถนาสิ่งใด ก็อาจจะไปนึกเอาจากต้นไม้นี้ได้" ดังนั้น สมัยโบราณจึงได้มีการทำรูปแบบจำลองต้นกัลปพฤกษ์ต้นไม้สารพัดนึกขึ้น โดยเกี่ยวเนื่องกับงานที่เป็นพิธีหลวง ต่อมาในระยะหลังๆ ก็ยังจัดทำต้นกัลปพฤกษ์จำลองขึ้นอีก ตามงานเทศกาลรื่นเริง เช่น ปีใหม่ ก็จะนำสลากของขวัญไปติดไว้ที่ต้นกัลปพฤกษ์ ให้ผู้ร่วมงานได้สอยกัลปพฤกษ์รับของขวัญกันเป็นที่สนุกสนาน สำหรับปัจจุบัน ต้นไม้ที่เรียกกันว่า กัลปพฤกษ์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cassia bakeriana Craib อยู่ในวงศ์ Leguminosae มีชื่อพื้นเมืองที่เรียกกันต่างไปในแต่ละท้องถิ่นของไทย คือ กัลปพฤกษ์ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ), กานล์ (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูงราว 12-15 เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง เปลือกสีเทา ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคู่เรียงสลับมีขนนุ่มปกคลุมทั้งสองด้าน และจะทิ้งใบหมดยามออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน เป็นไม้ขนาดเล็กที่มีดอกดกมาก ออกเป็นพวงห้อยลง หรือเป็นช่อตั้งขึ้นตามกิ่งหรือซอกใบ ดอกมี 5 กลีบมีเกสรตัวผู้สีเหลืองอยู่ตรงกลาง ออกดอกสะพรั่งทั่วทุกกิ่งก้าน แลดูสวยงามไปทั้งต้น มีกลิ่นหอม ยามแรกบานเป็นสีชมพูอ่อนสดใสและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ไปเรื่อยๆ จนใกล้ร่วงโรย ส่วนผลเป็นฝักกลม สีน้ำตาลดำ ยาวประมาณ 20-30 ซม. ภายในมีเมล็ดแบนๆ กลมรีสีน้ำตาลเป็นมันเรียงตัวอยู่ราว 30-40 เมล็ด เนื่องจากกัลปพฤกษ์มีดอกดกสวยงาม จึงมักปลูกเป็นไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือนและถนนหนทางต่างๆ การใช้ประโยชน์ด้านสมุนไพร - เปลือกฝัก เมล็ด รสขมเอียน ทำให้อาเจียน ถ่ายพิษไข้ - เนื้อในฝัก รสหวานเอียนขม ระบายอุจจาระธาตุ แก้พรรดึกไม่ไซร้ท้อง ระบายท้องเด็กได้ดีมาก (ฤทธิ์อ่อนกว่าเนื้อฝักคูน) ปัจจุบัน ต้นกัลปพฤกษ์เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดขอนแก่น คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นกัลปพฤกษ์ไว้ประจำบ้านจะช่วยทำให้เกิดความประสบผลสำเร็จในชีวิตเพราะต้นกัลปพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความชัยชนะ และความอิสระแห่งผล นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ของเทพเจ้า เพราะต้นกัลปพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ไม้ทิพย์มีคุณวิเศษตามตำนานพระพุทธเจ้าในสมัยโบราณ ดังนั้นต้นกัลปพฤกษ์จึงเป็นไม้มงคลนาม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นกัลปพฤกษ์ไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้มีคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ถ้าจะให้เป็นมงคลยิ่งขึ้นผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือและเป็นผู้ประกอบคุณงามความดี ก็จะเป็นสิริมงคลยิ่งนัก http://www.pompernpong.net/ (http://www.pompernpong.net/) http://www.oknation.net/ (http://www.oknation.net/) http://www.thaikasetsart.com/ (http://www.thaikasetsart.com/) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:28:26 PM (https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/t1.0-9/1527117_222948024560469_1562915742_n.jpg)
ราชพฤกษ์ หรือ คูน .... เนื้อในฝัก เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาการแน่นหน้าอก แก้ขัดข้อ ไม้ราชพฤกษ์ หมายถึง ความเป็นใหญ่และมีอำนาจวาสนา (อังกฤษ: Golden shower; ชื่อวิทยาศาสตร์: Cassia fistula) เป็นไม้ดอกในตระกูล Fabaceae เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียใต้ ตั้งแต่ทางตอนใต้ของปากีสถาน ไปจนถึงอินเดีย พม่า และศรีลังกา ดอกราชพฤกษ์เป็นดอกไม้ประจำชาติไทย นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในที่โล่งแจ้ง สามารถปลูกได้ทั้งดินร่วนซุย ดินร่วนปนทราย ดินร่วนเหนียว ทนต่อความแห้งแล้งและดินเค็มได้ดี แต่ไม่ทนในอากาศหนาวจัด ซึ่งอาจติดเชื้อราหรือโรคใบจุดได้ ราชพฤกษ์เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูง 10-20 เมตร ดอกขึ้นเป็นช่อยาว 20-40 เซนติเมตร แต่ละดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-7 เซนติเมตร มีกลีบดอกสีเหลืองขนาดเท่ากัน 5 กลีบ ผลยาว 30-62 เซนติเมตร และกว้าง 1.5-2.5 เซนติเมตร มีกลิ่นฉุน และมีเมล็ดที่มีพิษเป็นจำนวนมาก ชื่อของราชพฤกษ์นั้นมีการเรียกแตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกราชพฤกษ์ว่า คูน เนื่องจากจำง่ายกว่า (แต่มักจะเขียนผิดเป็น คูณ) ทางภาคเหนือเรียกว่า ลมแล้ง ทางภาคใต้เรียกว่า ราชพฤกษ์ ลักเกลือ หรือ ลักเคย ชาวกะเหรี่ยงและในกาญจนบุรีเรียกว่า กุเพยะ ในช่วงแรกๆต้นราชพฤกษ์จะเจริญเติบโตได้ช้าในระยะเวลาประมาณ 1-3 ปีแรก หลังจากนั้นต้นราชพฤกษ์จะเจริญเติบโตเร็วขึ้น เปลือกจะเป็นสีน้ำตาลเรียบ มีรากแก้วยาวสีเหลือง และ มีรากแขนงเป็นจำนวนมาก เมื่อต้นราพฤกษ์มีอายุ 4-5 ปี จึงออกดอกและเมล็ด ออกดอก กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม ทิ้งใบก่อนออกดอก ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด วิธีการเตรียมเมล็ดก่อนเพาะ นำเมล็ดมาตัดหรือทำให้เกิด บาดแผลที่ปลายเมล็ดแล้ว แช่น้ำไว้ 12 ชั่วโมง หรือแช่กรดซัลฟูริคเข้มข้น 1.84 ประมาณ 15 นาที แล้วล้างน้ำให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง วิธีนี้สะดวกแต่อันตราย และอีกวิธีหนึ่งคือ ต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงในเมล็ด ทิ้งไว้ข้ามคืน ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำ ให้เมล็ดดูดน้ำเข้าไปและพร้อมที่จะงอก วิธีเพาะ อาจหยอดลงในถุงดินที่เตรียมไว้หรือจะเพาะในแปลงเพาะแล้วย้ายชำกล้าในภายหลัง ควรให้เมล็ดอยู่ใต้ผิวดิน 3-5 มิลลิเมตร รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดจะงอกภายใน 1-2 สัปดาห์ ประโยชน์ - ราก ฝนทาแก้กลาก เป็นยาระบาย - รากและแก่นเป็นยาขับพยาธิ เปลือกและไม้ใช้ฟอกหนัง และใช้บดทาผื่นตามร่างกาย - เนื้อไม้สีแดงแกมเหลืองทนทานใช้ทำเสา ล้อเกวียน - ใบต้มกินเป็นยาระบาย - ดอกแก้ไข้ - ฝัก เนื้อในฝัก รสหวาน เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาการแน่นหน้าอก แก้ขัดข้อ http://www.oknation.net/ (http://www.oknation.net/) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:29:23 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/64934_222945611227377_2037348149_n.jpg)
ชัยพฤกษ์.... เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อน ๆ ไม้ชัยพฤกษ์ หมายถึง การมีโชคชัย ชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่างๆ ต้นชัยพฤกษ์ ที่มักไปเรียกกันจนติดปาก กับต้่นราชพฤกษ์นั้น กลับมีสีที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มีลักษณะหลายอย่างคล้ายกับต้นกัลปพฤกษ์ เช่น สีดอก และลักษณะของใบ ชื่อสามัญ Javanese Cassia ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassia javanica L. วงศ์ LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE ดอกสีชมพูเข้ม เมื่อออกดอกไม่ทิ้งใบ ฝ้กเกลี้ยงใช้ทำยาได้ (จาก พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒) ชัยพฤกษ์ เป็นไม้มงคล ตามชื่อ หมายถึงต้นไม้แห่งชัยชนะ ใบใช้ประดิษฐ์เป็นพวงมาลัยสวมศีรษะ เพื่อเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ แก่กวีและนักดนตรีในสมัยโบราณ สำหรับของไทย ช่อชัยพฤกษ์ประดับเป็นมงคลหลายที่ เช่น บนอินทรธนูข้าราชการ และประดับประกอบดาวบนอินทรธนูและหมวกของทหารและตำรวจทั้งหลาย ตำนานชัยพฤกษ์... ตำนานนี้ปรากฏในเทพปกรณัมของกรีก มีอยู่ว่า มีนางอัปสรนางหนึ่งชื่อ ดาฟเน่ (daphne) เป็นลูกสาวของเทพประจำแม่น้ำสายหนึ่งชื่อพีนีอูส วันหนึ่งดาฟเน่ออกไปเที่ยวเล่นริมป่าไม่ไกลจากแม่น้ำ เธอได้พบกับเทพอพอลโลหรือสุริยเทพเข้าโดยบังเอิญ เทพอพอลโลหลงรักเธอโดยทันที และพยายามฝากรักด้วยคำที่นุ่มนวล แต่ความพยายามนั้นไร้ผล เมื่ออพอลโลสืบเท้ายังไม่ทันเข้าใกล้ เธอก็วิ่งไม่คิดชีวิต เค้ายิ่งวิ่งตามเธอก็ยิ่งวิ่งหนี และวิ่งหน้าสู่แม่น้ำ โดยตระหนักว่าตัวเธอเองเริ่มอ่อนแรง และเค้าที่เป็นคนแปลกหน้าใกล้ถึงตัวแล้ว พอดีถึงริมฝั่งน้ำจึงร้องขอให้พ่อของเธอช่วย สิ้นคำร้องขอ ร่างของเธอค่อยกลายเป็นต้นไม้โดยเท้าทั้งคู่เปลี่ยนเป็นราก แขนทั้งสองข้างและผมพลิ้วสยายกลายเป็นกิ่งก้านใบ เสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นเปลือกห่อหุ้มลำต้นที่ยังสั่นไหวด้วยความกลัว ดาฟเน่ได้กลายเป็นต้นชัยพฤกษ์ไปแล้วด้วยความช่วยเหลือของบิดา อพอลโลมาถึงก็ทราบทันทีว่าเธอได้จากไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเธอแต่อย่างใด จึงมีบัญชาให้ไม้ชัยพฤกษ์เป็นไม้ที่พึงใจส่วนพระองค์ และใครๆ สามารถเก็บช่อใบร้อยเป็นพวงสวมศีรษะเป็นเกียรติยศแก่กวีและนักดนตรีได้ตลอดไป ลักษณะ.... ไม้ต้น สูงถึง 15 เมตร ลำต้นสีน้ำตาล ทรงพุ่มใบกลมคล้ายร่ม เมื่อต้นยังอ่อนมีหนาม ใบประกอบรูปขนนกปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5 - 15 คู่ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปรี หรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5 - 5เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบกลม ดอก เริ่มบานสีชมพู แล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ใกล้โรยดอกสีขาว ออกเป็นช่อตามกิ่งยาว 5 - 16 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงสีแดง หรือแดงปนน้ำตาล ดอกเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 เซนติเมตร ผลเป็นฝักกลมสีดำ ยาว 20 - 60 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 - 1.5 เซนติเมตร เมื่อแก่ไม่แตกมีเมล็ดจำนวนมาก นิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิดอินโดนีเซีย ออกดอก กุมภาพันธ์ – เมษายน ขยายพันธุ์ โดยใช้เมล็ด วิธีเพาะเช่นเดียวกับราชพฤกษ์ ประโยชน์ เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อน ๆ ปลูกประดับดอกสวยงาม ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยกรุงเทพ http://www.oknation.net/ (http://www.oknation.net/) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:30:47 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1908270_222245784630693_346381621_n.jpg)
คุณค่าสมุนไพรไทย.... รากสามสิบ / สาวร้อยผัว / ผักชีช้าง "สาวร้อยผัว" เป็นสมุนไพรที่คนทั่วไปรู้จักดี เพียงแต่ชื่อสวิงสวายแบบนี้ไม่ค่อยมีคนรู้จัก คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละภาค ภาคกลางหรือชื่อที่คนทั่วไปเรียกขานว่า "รากสามสิบ" หรือ "สามร้อยราก" นั่นเอง อาหารหวานของคนภาคกลางยังมีเมนูหนึ่งชื่อว่า "รากสามสิบแช่อิ่ม" ส่วนในภาคอีสานเรียกว่า "ผักชีช้าง" รับประทานเป็นผักได้ ใช้ยอดอ่อน ผลอ่อน โดยรับประทานสดๆนำมาต้มหรือแกงอ่อมก็ได้เช่นกัน ซึ่งให้กลิ่นหอมคล้ายผักชีลาว ทางภาคเหนือมักจะเรียกว่า "ม้าสามต๋อน" ใช้เป็นยาดองเป็นยาบำรุงสำหรับเพศชาย ส่วนภาคใต้รับประทาน เป็นผักเช่นกันเรียกว่า "ผักหนาม" เพราะลำต้นมีหนาม นอกจากรับประทานเป็นผักแล้ว รากของสมุนไพรชนิดนี้ยังสามารถนำมาทุบหรือขูดกับน้ำ เพื่อใช้ซักเสื้อผ้าได้อีกด้วย สมุนไพรชนิดนี้ยังมีรูปร่างของต้นที่รวมกิ่งก้าน ใบ ดูแล้วสวยงามมาก สามารถนำมาเป็นไม้ประดับ หรือใช้จัดดอกไม้ได้ดีทีเดียว หมอยาโบราณส่วนใหญ่จะรู้ว่าสาวร้อยผัวเป็นยาบำรุงสำหรับสตรี จึงให้ชื่อว่า "สาวร้อยผัว" ชื่อนี้หมายถึง ไม่ว่าสาวใดจะอายุเท่าไรก็ยังสามารถมีลูกมีผัวได้ (ไม่ได้หมายถึงสาวใจแตกนะค่ะ) มีอารมณ์ทางเพศได้ แม้จะสูงวัย (ความหมายคล้ายๆ สาวสองพันปี ทำนองนั้น) โดยจะใช้รากมาต้มกินหรือปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง แต่มีน้อยคนที่จะรู้จักสมุนไพรตัวนี้ ตอนที่ชาวบ้านพูดถึงต้นนี้ รู้สึกว่ามันน่ากลัวจัง แต่เขาก็บอกว่าสมัยก่อนมีสมุนไพรที่มีชื่อตรงๆ แบบนี้มากมาย เขาไม่ถือหรืออายกันเพราะเป็นเรื่องธรรมดา เช่น ต้น "ซิ่นบ่หี่" คือไม่ต้องใส่ผ้าซิ่น (ผ้าถุง) กันล่ะ วิธีใช้ นำรากมาต้มกินหรือรากตากแห้งบดแล้วปั้นเป็นลูกกลอนกินกับน้ำผึ้ง แต่ชื่อสาวร้อยผัวในปัจจุบันแทบไม่มีใครรู้จักแล้ว ยกเว้นลูกหลานหมอยาบางคนที่เคยได้ยินปู่และพ่อที่เป็นหมอยาพูดถึงต้นนี้อยู่บ้าง เช่น หลานหมอยาที่บุรีรัมย์ นายพิทักษ์ ตีเหล็ก ปัจจุบันเป็นพนักงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นหลานของหมอยาชื่อ นายอ่ำ ตีเหล็ก และหมอยาอีกท่านหนึ่งที่มีพระคุณต่อการพัฒนาสมุน ไพรของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ชื่อ นายส่วน สีมะพริก (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ได้เรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่า "สาวร้อยผัว" เช่นกัน และเป็นที่น่าแปลกใจว่าในอินเดียก็เรียกสมุนไพรชนิดนี้คล้ายกับเมืองไทย โดยในภาษาสันสกฤต เรียกว่า ศตาวรี (Shtavari) มีความหมายว่า ต้นไม้ที่มีรากหนึ่งร้อยราก หรือบางตำราบอกว่าหมายถึงผู้หญิงที่มีร้อยสามี "Satav ari" (this is an India word meaning'a woman who has a hundred husbands) รากสามสิบเป็นสมุนไพรที่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคำภีร์ที่มีมาก่อนอายุรเวทด้วยซ้ำ จึงน่าจะถือได้ว่า เป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานหลายพันปีแล้ว และในอินเดียใช้รากสามสิบทำเป็นของหวานเช่นเดียวกับเมืองไทย ในตำราอายุรเวทใช้รากสามสิบเป็นสมุนไพรหลักสำหรับบำรุงในผู้หญิงในการทำให้ผู้หญิงกลับมาเป็นสาว (female rejuvention) นอกจากนี้ยังช่วยแก้ปัญหาอื่นๆของผู้หญิงเช่น ภาวะประจำเดือนไม่ปกติ ปวดประจำเดือน ภาวะมีบุตรยาก ตกขาว ภาวะอารมณ์ทางเพศเสื่อมถอย ภาวะหมดประจำเดือน (menopause) และใช้บำรุงน้ำนม บำรุงครรภ์ ป้องกันการแท้ง (habitual abortion) แม้สมุนไพรชนิดนี้จะโดดเด่นต่อสตรีเพศแล้ว ในอินเดียยังใช้ในการเพิ่มพลังทางเพศให้กับผู้ชายอีกด้วย ซึ่งก็คงคล้ายกับทางภาคเหนือของไทยที่ใช้สาวร้อยผัวหรือ "ม้าสามต๋อน" เป็นยาดองเพื่อเพิ่มพลังทางเพศชาย ในอินเดียยังใช้เพื่อสรรพคุณทางยาอื่นๆอีกมาก เช่น ยาแก้ไอ ยารักษาโรคกระเพาะ ยาแก้บิด แก้ไข้ แก้อักเสบ ซึ่งจัดได้ว่าสมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่ใช้มากที่สุดในอินเดียชนิดหนึ่งในปี ค.ศ.1992-2000 อินเดียใช้สมุนไพรชนิดนี้ถึง 8,460 ตัน เป็นอันดับสองรองจากมะขามป้อมที่ใช้อยู่ที่ 15,147 ตัน ปัจจุบันมีสารสกัดด้วยน้ำของรากสามสิบจากอินเดียไปจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา ในลักษณะเป็น dietary supplement หรือพวกอาหารเสริมที่สามารถขายได้ทั่วไปไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ สาวร้อยผัวหรือรากสามสิบ เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีการศึกษาวิจัยกันมากพอสมควร ในด้านการศึกษาวิจัย ในห้องทดลองพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา คือ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา คลายกล้ามเนื้อของมดลูก บำรุงหัวใจ แก้การอักเสบ แก้ปวด มีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเบาหวาน เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต้านอาการเม็ด เลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเลือด ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ลดอาการหัวใจโตที่เกิดจากความดันโลหิตสูง ขับน้ำนม ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ยับยั้งพิษต่อตับ ในการศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลองพบว่า การใช้ในขนาดสูง 2 กรัมต่อกิโลกรัมด้วยการกิน ไม่พบพิษและการใช้ในระยะยาวด้วยการต้มน้ำ ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมแล้ว ให้กินทั้งเนื้อและน้ำนาน 4 และ 32 สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติเมื่อเปรียบเทียบกับหนูในกลุ่มควบคุม การศึกษาที่กล่าวข้างต้นเป็นการศึกษาในห้องทดลอง ทำการทดลองกับสัตว์ทดลอง ดังนั้นการนำมาใช้เป็นยากับคน จึงต้องมีการทดลองกันต่อไป ส่วนที่มีการทดลองทางคลินิก (การใช้ในคนจริงๆ) มีการศึกษาการใช้รักษาโรคกระเพาะ โดยการให้รับประทานผงแห้งของรากพบว่าได้ผลดีในการรักษาแผลที่กระเพาะและลำไส้เล็ก การที่มีกรดเกิน (acid dyspepsia) อย่างไรก็ตามเนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้หายไปจากสังคมไทยเสียนาน การที่จะนำมาใช้เป็นยาอีกครั้งจึงควรระมัดระวัง เพราะเป็นสมุนไพรที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนนั้น ห้ามใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็ง เช่น ผู้ป่วยโรค uterine fribrosis หรือ fibrocystic breast "สาวร้อยผัว" หรือ "รากสามสิบ" เป็นสมุนไพรที่มีศักยภาพน่าจะฟื้นฟูนำกลับมาสู่สังคมไทยในรูปอาหาร ยา และสบู่ก็ยังได้ รวมทั้งสมุนไพรชนิดนี้ยังเป็นสมุนไพรที่อยู่ในรายการสินค้าที่จะลดภาษี ภายใต้ขอบเขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน ในข้อตกลงไทย - จีนตามพิกัดศุลกากร ซึ่งมีตัวเลขการส่งออกสมุนไพรชนิดนี้จากเมืองไทย ซึ่งหากมองด้วยสายตามูลค่าทางเศรษฐกิจ รากสามสิบก็มีศักยภาพเช่นกันค่ะ... ที่มา: http://www.thaihof.org/herb/abstract/mati616.htm (http://www.thaihof.org/herb/abstract/mati616.htm) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:32:10 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1920238_222243294630942_1729017594_n.jpg)
สมุนไพรรักษาโรค..... ไมเกรน โรคไมเกรนเป็นโรคที่เกิดจากการบีบตัว และคลายตัวของหลอดเลือดในสมองมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรง และรวดเร็ว พร้อมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ในบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัว หรือเห็นแสงระยิบระยับร่วมด้วย พบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี โดยเฉพาะผู้หญิง มักเป็นมากกว่าผู้ชาย อาการ 1. ปวดศีรษะครึ่งซีก อาจเป็นบริเวณขมับหรือท้ายทอยแต่บางครั้งก็อาจเป็นสองข้างพร้อมกันหรือสลับข้างกันได้ 2. ลักษณะการปวดศีรษะส่วนมากมักจะปวดตุ๊บ ๆ นานครั้งหนึ่งเกิน 20 นาที ผู้ป่วยบางรายอาจมีปวดตื้อ ๆ สลับกับปวดตุ๊บ ๆ ในสมองก็ได้ 3. อาการปวดศีรษะมักเป็นรุนแรง และส่วนมากจะคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วยเสมอ โดยอาจเป็นขณะปวดศีรษะก่อนหรือหลังปวดศีรษะก็ได้4. อาการนำจะเป็นอาการทางสายตาโดยจะมีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะราว 10-20 นาที เช่น เห็นแสงเป็นเส้น ๆ ระยิบระยับ แสงจ้าสะท้อน หรือเห็นภาพบิดเบี้ยวก่อนปวด “กระเทียม” กับสูตรปวดท้ายทอย กระเทียม เป็นพืชครัวตัวหนึ่ง ที่นอกจากจะใช้รับประทานและปรุงเป็นอาหารหลายอย่างแล้ว “กระเทียม” ยังมีสรรพคุณทางยา ใช้รักษาโรคได้อีกด้วย โดยเฉพาะใครที่มีอาการปวดท้ายทอยบ่อย ๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาการเพียงเล็กน้อยเป็น ๆ หาย ๆ ในช่วงที่เป็น จะรู้สึกตึงคล้ายจะเป็นลม ต้องนั่งหลับตา หรือนั่งพัก อาการจะทุเลาและหายเองได้ อาการดังกล่าว เป็นเฉพาะจุด ถ้าไม่รักษาหรือให้แพทย์ตรวจอาการอาจทำให้ผู้เป็นเกิดอาการ “โรควูบ” ได้ ซึ่งสาเหตุที่กล่าวข้างต้นเกิดจากเส้นเลือดบริเวณท้ายทอยตีบตันนั่นเอง โดยในส่วนของสมุนไพร ที่มีสรรพคุณรักษาอาการปวดท้ายทอยมีเหมือนกัน คือ ให้เอา “กระเทียม” จำนวน 2 กลีบ ปอกเอาเปลือกหุ้มกลีบออกแล้วหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ นำไปผึ่งลมให้แห้ง จากนั้นเอาไปใส่ถ้วยเติมน้ำส้มสายชูของ อสม. เล็กน้อย กินให้หมดทั้งน้ำและเนื้อวันละครั้ง จะก่อนอาหารหรือหลังอาหาร หรือกินตอนไหนก็ได้ โดยกิน 3 วันครั้ง ทำกินได้เรื่อย ๆ จะช่วยให้อาการปวดท้ายทอย หรือชาวบ้านชอบเรียกว่า ท้ายทอยเย็น ค่อย ๆ ทุเลาลง และหายได้ในที่สุด คนที่เป็นไม่รุนแรง หรือเพิ่งจะมีอาการใหม่ ๆ จะเห็นผลเร็ว กระเทียม หรือ ALLIUM SATIVUM LINN. อยู่ในวงศ์ ALLIACEAE เป็นพืชล้มลุก มีหัวใต้ดิน ต้นสูง 30 – 40 ซม. ใบรูปแถบยาว ดอกเป็นสีขาวแกมม่วง หรืออมชมพู หัวใต้ดินประกอบด้วยหัวย่อยจำนวนมาก เรียกว่า “กลีบ” มีสรรพคุณเฉพาะ ใบรสร้อนฉุน ทำให้เสมหะแห้ง กระจายโลหิต แก้ลมปวดบวมในท้อง หัว แก้ไอ แกโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน แก้แผลเน่าเปื่อย เนื้อร้าย บำรุงธาตุ ขับโลหิตระดู แก้โรคประสาท แก้ปวดหู หูอื้อ ระบายพิษไข้ แก้ริดสีดวงงอก ขับพยาธิในท้อง แก้โรคในปาก แก้อัมพาต แก้ลมเข้าข้อ แก้จุกแน่นเฟ้อ แก้ขัดปัสสาวะ บำรุงปอด แก้วัณโรคปอด แก้เสมหะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ฟกบวม และแก้สะอึก สอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร กระเทียมโทน แก้หืดหอบ ละลายเสมหะ แก้ไอที่เกิดจาหืดหอบ แก้ถุงลมโป่งพอง ”แมงลัก” สูตรแก้ปวดหัวเรื้อรัง โรคปวดหัวเรื้อรัง มีคนเป็นเยอะ สาเหตุมาจากหลายอย่าง เป็นแล้วทรมานมาก บางครั้งถึงกับหน้ามืดตามัวเลยทีเดียว ต้องกินยาจากแพทย์จึงจะหาย ในทางสมุนไพรมีวิธีแก้ได้ โดยให้เอาต้น ใบ และดอก ของ “แมงลัก” กับ “ผักเสี้ยนผี” แบบแห้ง และแก่นต้น “ขี้เหล็ก” จำนวนเท่ากัน อย่างละ 15 กรัม หากเป็นแบบสด ต้องเพิ่มเป็น 20 กรัม ต้มกับน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว ต้มดื่มเรื่อย ๆ อาการปวดหัวเรื้อรังจะดีขึ้นและหายได้ เคยมีคนเป็นไมเกรนดื่มแล้วดีขึ้น เรื่องนี้ต้องทดลองดู ซึ่งตัวยาทั้ง 3 ชนิดมีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี บริเวณโครง 21 แผง คุณพร้อมพันธุ์ ราคาสอบถามกันเอง แมงลัก มีลักษณะดอกใบและผลคล้ายโหระพา จะต่างกันที่เมล็ด “แมงลัก” แช่น้ำให้พองลื่น รับประทานทำให้ระบายท้องดี บางคนอยากผอม กินแล้วทำให้ไม่อยากอาหาร “ผักเสี้ยนผี” มีสรรพคุณเด่น ได้แก่ ใบ แก้โรคเช่าเสื่อม ถุงน้ำในหัวเข่า และโรคพยาธิด่างขาวด้วย ส่วน “ขี้เหล็ก” มีประโยชน์ทางอาหารแลทางยาเยอะ ที่ดัง ๆ คือ เอาทั้ง 5 ของ “ขี้เหล็ก” กะจำนวนตามต้องการ ต้มน้ำดื่มเรื่อย ๆ เป็นยาช่วยลดความดนโลหิตสูงได้เร็วมาก http://headacheofmigraine.blogspot.com/ (http://headacheofmigraine.blogspot.com/) โดย.... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:34:46 PM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1148762_222241917964413_1700963604_n.jpg)
๕ วิธี บำบัดไมเกรน...... ด้วยตัวเอง ไมเกรนเป็นอาการปวดศีรษะตุบๆ อย่างรุนแรงโดยเริ่มจากบริเวณใกล้ดวงตาหรือบริเวณขมับข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำๆ มักพบร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ อาจเป็นนานถึง 3 วัน จนผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ ค้นหาว่าปัจจัยใดที่กระตุ้นให้เกิดอาการ แล้วหลีกเลี่ยง เป็นไมเกรนต้องเลี่ยงอะไร ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดไมเกรนมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกร่างกาย ที่ควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมีดังต่อไปนี้ อาหารที่มีสารกระตุ้นอาการเริ่มแรกของไมเกรน เช่น ไนไทรต์ ซึ่งพบในเบคอน ฮอตดอก และเนื้อหมัก ไทรามีน พบในไวน์แดง ตับไก่ อาหารที่ใช้ยีสต์ แทนนิน พบมากในถั่วเปลือกแข็ง น้ำแอปเปิล องุ่น เบอร์รี่ ชา กาแฟ และไวน์แดง ซัลไฟต์ ที่ใช้ในการหมักไวน์และผลไม้แห้ง โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรส นอกจากนั้นแล้วยังมีช็อกโกแลต เนยแข็ง อาหารทอด และผลไม้จำพวกส้ม น้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากหิวหรือกินอาหารคาร์โบไฮเดรตขัดขาวมากเกินไป อยู่ในภาวะขาดน้ำ ความเครียด และความวิตกกังวล รวมถึงอาการช็อก นอนหลับหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ อยู่ในที่ที่แสงจ้า หรือได้รับแสงจ้าเกินไป อยู่ในสถานที่หรือได้รับฟังเสียงดัง การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือฤดูกาล อากาศแห้งหรือลมร้อนแห้ง การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมน อาจเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายหรือการกินยาคุม หากหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวแล้ว แต่ยังมีอาการ สามารถเลือกวิธีบำบัดด้วยตัวเองได้หลายวิธี ๑. อาหารต้านไมเกรน เนื่องจากระบบย่อยและดูดซึมแมกนีเซียมของผู้ป่วยไมเกรนมักมีประสิทธิภาพไม่ดี ช่วงก่อนมีอาการหรือกำลังมีอาการจึงพบว่ามักมีปริมาณแมกนีเซียมลดต่ำลง อาหารที่มีแมกนีเซียมจึงช่วยให้ความถี่และความรุนแรงของอาการน้อยลงได้ ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง (ยกเว้นถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งแม้จะมีแมกนีเซียมสูง แต่กลับมีสารแทนนินที่กระตุ้นให้เกิดไมเกรน) และฟักทอง นอกจากแมกนีเซียมแล้ว ผู้มีอาการไมเกรนซึ่งมีพลังงานสำรองในสมองต่ำจึงต้องการ ไรโบฟลาวิน เพื่อช่วยเพิ่มพลังสำรองในเซลล์สมอง อาหารที่มีไรโบฟลาวินสูง ได้แก่ เห็ดหอมสดและ ผักหวาน ๒. บำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยสูตรพิเศษ น้ำมันหอมระเหยมีสรรพคุณช่วยให้การสื่อสารกันระหว่างระบบประสาทต่างๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถปรับสมดุลของอารมณ์และจิตใจให้อยู่ในภาวะดียิ่งขึ้นได้ วิธีการนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ในการเยียวยาอาการไมเกรนมีดังนี้ค่ะ นวดน้ำมันหอมระเหย ลองหาน้ำมันหอมระเหย (Essential Oil) อย่าง เปปเปอร์มินต์ (peppermint) ที่มีสรรพคุณช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่า และลาเวนเดอร์ (lavender) ที่ช่วยคลายกังวล ลดความเครียด และอาการซึมเศร้า ติดบ้านไว้บ้าง เมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นไมเกรน หรือมีอาการปวด ให้ผสมน้ำมันหอมทั้งสองชนิดนี้อย่างละ 1 หยด ผสมกับน้ำมันอัลมอนด์หอม (sweet almond) 2 ช้อนชา นวดบริเวณขมับและต้นคอเบาๆ ประคบด้วยน้ำมันหอม ช่วงที่รู้สึกว่ามีอาการเครียดจัดต่อเนื่อง ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์หรือมาร์จอแรม (marjoram) ประมาณ 2-3 หยด ผสมน้ำ จุ่มผ้าบิดหมาดๆ นำมาประคบบริเวณขมับและหน้าผากทุกวัน นอกจากการประคบด้วยน้ำมันหอมระเหยแล้วการประคบโดยใช้อุณหภูมิของน้ำที่แตกต่างกันก็ช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาเบาบางลงได้ (น้ำมันหอมระเหยหาซื้อได้จากห้างสรรพสินค้าทั่วไปและร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ) ๓. ประคบร้อนและเย็นบรรเทาอาการ วิธีที่ 1 ประคบเย็นที่หน้าผากหรือคอ ถ้าอาการไม่บรรเทา ให้ประคบร้อนและเย็นพร้อมกัน โดยประคบเย็นที่หน้าผากและประคบร้อนที่ท้ายทอย ประคบสลับที่กันทุก 2 นาที ทำได้ถึง 6 รอบ วิธีที่ 2 ใช้ผ้าอุ่นจัดวางที่ท้ายทอย แล้วนวดคอ ไหล่ และสะบัก แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นคลึงเบาๆที่ขมับ จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด นอกจากการประคบแล้วยังมีการนวดกดจุดที่ช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน ๔. คลายปวดกับนวดกดจุด การกดจุดเพื่อบรรเทาอาการไมเกรนมีอยู่ 3 จุดด้วยกัน คือ มือ ให้กดตรงเนินเนื้อที่เชื่อมระหว่างหัวแม่มือและนิ้วชี้ในแนวตรงสู่กระดูกนิ้วหัวแม่มือ คอด้านบน ให้กดย้อนขึ้นไปทางใต้กะโหลกศีรษะข้างๆ กระดูกคอ เท้า กดที่เนินเนื้อที่เชื่อมต่อหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ กดไปทางฝ่าเท้า ท้ายสุดขอแถมด้วยชาสมุนไพรคลายอาการปวดให้ครบเครื่องเรื่องการเยียวยาไมเกรนกันไปเลยค่ะ ๕. ชาสมุนไพรแก้ปวด ใช้รากบวบกลม หรือบวบเหลี่ยมสด หนัก 1 ขีด ต้มน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มเป็นน้ำชา น้ำขิงจากเหง้าขิงแก่ และน้ำต้มจากต้นกะเพราแดงอาจช่วยลดอาการคลื่นไส้ที่มักเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะได้ ใช้ผล ต้น ใบ ดอก และรากของมะตูมนิ่มมาต้มรับประทานช่วยแก้ปวดศีรษะ ตาลาย http://www.cheewajit.com/ (http://www.cheewajit.com/) รูปภาพจาก.... http://topicstock.pantip.com/ (http://topicstock.pantip.com/) โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 05, 2014, 09:15:48 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1601422_602434579847337_3612455312216669075_n.jpg)(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc3/t1.0-9/10168230_602434676513994_7534172473195280705_n.jpg)
บางเรื่องก็สัมพันธิ์กันถ้า......นิยามโลกนี้คือธรรมชาติ ถ้าเข้าใจวิธีคิดที่แยบคายของคนสมัยโบราณจะเข้าเรื่องโรคและทางเกิดโรคแบบแผนไทย โดยไม่ต้องใช้ตรรกแผนปัจจุบัน ลองอ่านแล้วจินตนาการตามไปทุกระบบที่ผ่านจักระแต่ละตัวค่ะ... จักระทั้ง 7 จุด คือจุดที่รับและส่งพลังจักรวาล * * มนุษย์ เราทุกคน เมื่อแรกเริ่มเกิดมา ทุกคนมีพลังจักรวาล พลังสมาธิ พลังจิต ติดตัวมาด้วยกันทุกคน เรียกกันเข้าใจอย่างง่าย ๆ คือ บุญเก่า และกรรมเก่า ในอดีตชาติของแต่ละคน ล้วนถูกสะสมไว้ด้วย กรรมดีและกรรมชั่ว หมุนเวียนติดตามกันไปทุกภพชาติ อยู่ที่ว่า กรรมใด ๆ มากกว่ากัน หากกรรดีมากก็ได้รับผลกรรมดีนั้นก่อนจนกว่าผลกรรมดีนั้นจะหมดก็จะได้รับผลกรรมชั่วที่เคยสะสมไว้ในอดีตชาติ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอนให้มนุษย์ทำแต่กรรมดี (แต่ต้องทำอย่างผู้มีสติและใช้ปัญญาด้วย) * ในบางคนเคยสร้างทานบารมีไว้มากในอดีต ผลทานนั้นก็ส่งผลให้ในปัจจุบันชาติได้รับความสุขสบายด้านความเป็นอยู่และทรัพย์สินเงินทอง แต่ในบางคนเคยสวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิมาก จนเกิดพลังจิตในอดีตชาติ พลังเหล่านั้นก็จะติดตามมาส่งผลถึงในปัจจุบันทำให้การฝึกสมาธิได้เร็วไม่เหมือนกัน * ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า ทุกคนมีพลังจักรวาลติดตัวกันมาตั้งแต่เกิด อยู่ที่ว่าเราได้รับกรรมใดก่อน และหากเจอครูบาอาจารย์ที่ดี มีพลังจิตจริง มีเมตตาช่วยชี้แนะให้เราได้จริง เราก็สามารถเปิดหรือนำพลังจักรวาลหรือพลังจิตมาใช้ในปัจจุบันได้ * วิธีฝึกสมาธิด้วยพลังจักรวาลนั้นจะว่าง่าย ก็ง่าย จะว่ายากก็ยากขึ้นอยู่ที่ตัวเราและในอดีตชาติและจริตของเราด้วย บางคนฝึกสมาธิจิตมานานแต่ไม่ประสพผลอะไรเลย บางคนฝึกสมาธิจิตไม่นานก็สมารถรู้และเข้าใจในพลังนั้น สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นได้ * ข้อสำคัญในการฝึกสมาธิจิตจะเป็นวิชาด้านใด ควรหาผู้ที่รู้จริง ๆ และตัวเราเองต้องมีอิทธิบาท 4 ด้วย ทำจริงจัง แต่อย่าใจร้อน ไปเรื่อย ๆ ทำ สม่ำเสมอ (เดี๋ยวนี้ หาผู้ที่รู้จริงยาก ส่วนใหญ่อ่านตำรามาแล้วนำสอนกันเสียมาก ไม่เหมือนอย่างครูบาอาจารย์เก่า ๆ ท่านเรียนรู้ด้วยตนเอง ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง แล้วจึงนำความรู้จริงที่ได้มาเผยแพร่หรือสอนให้ผู้อื่นรู้ตามและปฏิบัติตามได้จริงเสมือนดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ * ในร่างกายของมนุษย์มีจุด หรือ แหล่งที่สะสม หรือรับและสามารถส่งพลังจิต พลังจักรวาลออกมาได้ โดยจริง ๆ แล้วมีทั้งหมด 10 จุด หรือเรียกเป็นภาษาสันสกฤต ว่า “ จักระ” แต่ในที่นี้จะขอแนะนำ เพียง 7 จุดจักระ *จักระ 1* – อยู่ระหว่างอวัยวะเพศ และทวารหนัก ซึ่งเป็นที่ตั้งของไฟศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงระดับสูงสุด จักระนี้จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ เป็นความระลึกรู้ร้อนเร็วจากจักระ 1 ผ่านจักระ 2, 3, 4, 5, 6 และทะลุจักระ 7 – เป็นรากฐานของระบบจักระ หรือระบบพลังงาน เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่ทำให้สืบทอดพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกทุกวันนี้ – โดยมากแล้วผู้ฝึกพลังจักรวาล มักถูกห้ามเรื่องกระตุ้นจักระ 1 เพราะมันอันตรายมาก เอาเป็นว่า ถ้ามีวาสนาทราบและเข้าใจถึงจุดจักระ 1 แล้ว จะรู้ในสิ่งที่น้อยคนนักจะรู้ *จักระ 2* - อยู่ตรงปลายก้นกบ เป็นศูนย์กลางแห่งพลังทางเพศ และความเชื่อมั่นในตนเอง ทำหน้าที่ควบคุมพลังที่สำคัญยิ่งของมนุษย์ และควบคุมสุขภาพ และพลังภายในกาย ถ้าผู้ใดหมกมุ่นลุ่มหลงในกามตัณหา จะสูญเสียพลังไปอย่างไม่สามารถทดแทนได้ แต่ถ้ารู้วิธีกักเก็บพลังจักระนี้ จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว และจะพัฒนาไปสู่แสงสว่างแห่งปัญญา - ควบคุมระบบการสืบพันธุ์ , การขับกากอาหารและของเสียออกจากร่างกาย (ระบบการขับถ่าย) รวมทั้งการตั้งครรภ์และการคลอด – ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับอัณฑะ, ท่อปัสสาวะ, อวัยวะสืบพันธุ์, มดลูก, รังไข่, ช่องคลอด, ทวารหนัก, กามโรค *จักระ 3* – อยู่ตรงแนวสะดือตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลางของการหยั่งรู้ ณ จุดนี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย – ควบคุมระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสีย การผลิตเม็ดโลหิตใหม่ จักระนี้ควบคุมอวัยวะภายในให้ทำงานอย่างสมดุล – ใช้รักษากระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, ลำไส้อ่อน, ลำไส้แก่, ไส้ติ่ง, ตับ, ม้าม, ดี, กระเพาะปัสสาวะ, ไต, โรคเบาหวาน, ถุงน้ำดี, ต่อมหมวกไต *จักระ 4 * - อยู่ตรงแนวหัวใจตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริง รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ด้วยความเมตตากรุณา และความเสียสละ จักระนี้เป็นจุดจักระแห่งหลักธรรม เมื่อจักระนี้ถูกพัฒนาอย่างเต็มที่ จะเกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และสามารถช่วยปลดปล่อยมนุษย์ ให้บรรเทาจากกรรมต่าง ๆได้มาก(ขึ้นอยู่ว่ากรรนั้นหนักหรือเบา) – ควบคุมระบบหมุนเวียนโลหิต, หัวใจและระดับไขมันในเส้นเลือด – ใช้รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจโต, หัวใจเล็ก, หัวใจรั่ว, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเส้นเลือด, หัวใจเต้นอ่อนและเหนื่อยเร็ว *จักระ 5 * - อยู่ตรงบริเวณเส้นแนวไหล่ตัดกับกระดูกสันหลัง – ควบคุมระบบทางเดินหายใจ จมูก ปอด และผิวหนัง อีกทั้งยังแสดงถึงกรรมเก่าในอดีตชาติ การแสวงหาจิตวิญญาณ การยอมรับและการชดใช้กรรม – ใช้รักษาโรคปอด, หลอดลม, ลำคอ, ไซนัส, ต่อมผิวหนัง, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ไอ, จมูก, ผื่นคัน, โรคผิวหนัง *จักระ 6 * – อยู่ตรงกลางหน้าผาก เปรียบเสมือนนัยน์ตาของปัญญา ใช้เป็นตาที่ 3 (ญาณวิเศษ) สำหรับการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน “ตาที่สาม” หรือ ประสาทสัมผัสที่ 6 หรือตาทิพย์ การจะใช้ตาที่สามได้ ต้องมีพลังภายในกายสูงมาก เพราะจักระนี้จะหมุนแรงเร็วและนิ่ง ต้องมีสมาธิมาก สามารถขจัดอวิชชา รู้ทุกสิ่งที่อยากรู้ มีความสามารถในการรู้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต รู้ความลับของฟ้า เก่งโหราศาสตร์ สามารถเคลียร์สิ่งเลวร้าย ภัยพิบัติภูตผีปีศาจ ตาที่สามจึงเป็น อัญมณีล้ำค่าสำหรับผู้แสวงหาจิตวิญญาณ – ควบคุมสติปัญญา, ความนึกคิด, ความเฉลียวฉลาด, และระบบประสาท *จักระ 7 * – อยู่ตรงกลางกระหม่อมหรือจุดตัดของเส้นที่ลากจากปลายจมูก ผ่านกลางหน้าผาก ตัดกับเส้นที่ลากจากหูซ้ายไปหูขวา เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว จักระนี้เป็นตัวรับพลังงานจากทุกสรรพสิ่งในเอกภพ ถ้าจักระนี้เปิดสมบูรณ์จะรู้สึกถึงการรับ – ส่งและดึงดูดพลังต่าง ๆ ได้ - ควบคุม ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระ เป็นจุดรับพลังจักรวาล และทำการกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่ สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ที่จักระอื่นไม่สามารถรักษาได้โดยตรง – ใช้รักษาเส้นประสาท, สมอง, ตา, หู, อวัยวะในช่องปาก, โรคเจ็บป่วยซึ่งเกี่ยวกับระบบประสาททั่วไป ที่อยู่นอกเครือข่ายของ จักระอื่น เช่น ระบบกล้ามเนื้อ, ไทรอยด์, ต่อมทอนซิล, กล่องเสียง โดย ทางแพทย์สายพุทธ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 10, 2014, 01:39:06 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10154051_614097662010001_8099010723102123559_n.jpg)
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10259736_614097625343338_1990962476744999539_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1978853_614097635343337_514449570649599641_n.jpg) (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10003446_614097645343336_6636934360162266857_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2014, 09:54:30 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10172770_627647513976086_4657786900917955172_n.jpg)
มะละกอสุก ต้านมะเร็ง บรรเทาอาการท้องผูกป้องกันริดสีดวงทวาร ป้องกันอาการตับโต บำรุงหัวใจ ตับ สมอง กระตุ้นน้ำนมในมารดาที่ให้นมบุตร ป้องกันโรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อในลำไส้ พอกหน้าบำรุงผิวหน้าให้เนียนนุ่มได้ มะละกอสุกเนื้อหวานหอมสีส้มแดง จัดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูงสุดๆ รสชาติหวานอร่อย และมีประโยชน์มากมาย ผลการวิจัยพบว่า มะละกอช่วยต้านมะเร็ง ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี บรรเทาอาการท้องผูกซึ่งเป็นที่มาของโรคริดสีดวงทวาร ป้องกันอาการตับโต เป็นยาบำรุงหัวใจ ตับ และสมอง มารดาที่กำลังให้นมทารก ควรกินมะละกอสุก เพราะช่วยกระตุ้นให้แม่มีน้ำนมมากขึ้น มะละกอยังป้องกันโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ป้องกันการติดเชื้อจากจุลินทรีที่อยู่ภายในลำไส้ มะละกอยังช่วยเรื่องความสวยงาม เพราะมีเอนไซม์ที่ช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี วิธีทำมะละกอสุกพอกหน้าให้ผิวหน้าเนียนขาวนุ่มชุ่มชื่น มีดังนี้คือ มะละกอสุกครึ่งถ้วย น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อน นมสด 1 ช้อน ปั่นเข้าด้วยกันเป็นครีมข้น ทาให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ 10 - 15 นาทีแล้วล้างออก จะเห็นผลทันตา หมายเหตุ: มะละกอดิบ – ห่าม มีฤทธิ์เย็น มะละกอสุก มีฤทธิ์ร้อน ******* ******* สรรพคุณผลไม้ไทย ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2014, 09:56:13 PM ส้มป่อย สุดยอดผักเพิ่มภูมิคุ้มกัน กำจัดพิษกาย พิษใจ
สมุนไพรกำจัดพิษแบบไทยๆ อย่างดี ใบของส้มป่อยถือเป็นผักที่มีวิตามินเอและบีตาแคโรทีนสูง ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของยอดส้มป่อยพบว่ามีสูงมาก นอกจากนี้ยังพบว่าสารซาโพนินในฝักส้มป่อยทำให้ทีเซลล์ (T cells) ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น http://bit.ly/1hzwWJO (http://bit.ly/1hzwWJO) (https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/1897838_10152388653837028_5331871224819547768_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2014, 09:57:52 PM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/v/t1.0-9/10151293_10152384977957028_1642075272804881384_n.jpg?oh=8e9c51f0d565fbd2bdd8f385766a1546&oe=53D973B2&__gda__=1404867252_f0fb8c47c0c50828ae8bd06cdc2766f0)
ผักเสี้ยน : จากวัชพืชสู่แถวหน้าในบรรดาผักดองไทย ผักเสี้ยนเป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์จากของธรรมดาสามัญที่มีอยู่ทั่วไป หาได้ง่าย ให้เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นคนธรรมดาหรือสามัญชน แนวทางดังกล่าวนี้ น่าจะเป็นทิศทางหลักของการพัฒนาทรัพยากรของประเทศ หรือปัจจัยสำหรับชีวิตด้านอื่นๆ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 18, 2014, 10:33:39 AM ชวนทำขี้ผึ้งสมุนไพรแก้โรคผิวหนัง..
สมุนไพรที่นำมารักษาโรคเชื้อราตามผิวหนัง มีหลายตัว ใช้ทั้งแบบตำรับหรือแบบเดี่ยวก็ได้ เช่น ข่าแก่ เสลดพังพอน พญายอ กระเทียม ชุม เห็ดเทศ ทองพันชั่ง เปลือกมังคุด เปลือกทับทิม โดยนำเอาตัวยาสมุนไพรตัวใดตัวหนึ่งหรือหลายตัวก็ได้ สับ โขลก แล้วนำไปแช่เหล้าขาว ทิ้งไว้ 15วัน ให้กรองเอาน้ำยาออกมาใช้ทารักษาโรคผิวหนังได้ หรือนำมาทำเป็นขี้ผึ้ง เตรียมเป็นส่วนที่ 1 ขี้ผึ้งสมุนไพร เลือกเอาสมุนไพรที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นหรือสมุนไพรดังที่กล่าวมา นำมาหุงหรือเคี่ยวเอาน้ำมัน โดยเลือกใช้น้ำมันงาหรือน้ำ มันมะพร้าว ตั้งไฟให้กระทะร้อนแล้วเอาไพลกับขมิ้นลงทอดก่อนจนเหลือง แล้วจึงเอากานพลูและอบเชยบุบพอแหลกใส่ลงไปทอดต่อจนยาสมุนไพรกรอบ จึงยกลงกรองเอาแต่น้ำมันพักไว้ สำหรับ ส่วนที่ 2 ให้เตรียมเมนทอล การบูร พิมเสน ในอัตราส่วนเท่ากัน แล้วเอาสารสกัดสมุนไพรที่แช่เหล้าไว้ข้างต้นใช้ 2ส่วน ผสมลงไปแล้วคนให้เข้ากัน พักไว้ ส่วนที่ 3 คือวาสลินและพาราฟิน ซึ่งจะช่วยให้ยาแข็งตัว หรือจะใช้เทียนไขที่มีตามบ้านก็ได้ ใช้วิธีละลายแบบหม้อนึ่ง 2ชั้น คือหม้อใบแรกใส่น้ำต้มให้เดือด หม้อใบที่ 2ตั้งในหม้อต้มน้ำ แล้วเอายาที่เตรียมไว้ใส่ลงไปคนจนละลายแล้วจึงนำส่วนผสมส่วนที่ 1และส่วนที่ 2เทลงไป ยกลงไปแล้วคนให้เข้ากัน เตรียมบรรจุลงภาชนะที่เตรียมไว้ ถ้าต้องการขี้ผึ้งที่นุ่มก็ใส่ตัวยาส่วนที่ 3น้อยลง ปรับความแข็งของขี้ผึ้งตามต้องการ อีกสูตรค่ะ.. สูตรต่อมาเป็นยาตำรับของอาจารย์มนาวุธ ผุดผาด หมอแพทย์ไทยชั้นครู เรียกว่า ขี้ผึ้งโรคผิวหนัง สรรพคุณ รักษาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อน หิด น้ำกัดเท้า แผลสด แผลเปื่อย ทาหัวริดสีดวงทวาร ตัวยาประกอบด้วย ไพลแห้ง 40กรัม สีเสียดเทศ ขมิ้นอ้อยจุนสี น้ำหนักยาอย่างละ 40กรัม รากหนอนตายหยาก เมล็ดลำโพงอย่างละ 300กรัม ใบสำมะงา ใบเตยหอม เปลือกต้นเลี่ยนอย่างละ 70กรัม การบูร ยาฉุน อย่างละ 15กรัม กำมะถันเหลือง 30กรัม น้ำกะทิ 15กิโล กรัม วิธีทำ นำกะทิตั้งไฟปานกลาง ตัวยาทั้งหมดคัดเลือกเอาฝุ่นและสิ่งสกปรกออก ตัวยาที่เป็นเนื้อไม้ให้สับเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนกำมะถัน จุนสี การบูร เตรียมไว้ต่างหาก สำหรับใส่ทีหลัง แล้วนำตัวยาลงกระทะทีละตัว คือ ยาฉุน ไพลแห้ง ขมิ้นอ้อย เมล็ดลำโพง รากหนอนตายหยาก เปลือกต้นเลี่ยนลงไป และใบเตยหอมสดเพื่อจะได้สีเขียวธรรมชาติ เมื่อกวนจะให้กลิ่นหอมเหมือนกาละแมร์ เคี่ยวด้วยไฟ ปานกลางประมาณ 6-8ชั่วโมง เคี่ยวไปเรื่อยๆ กระ ทั่งเกิดขี้โล้ เห็นแต่น้ำมัน เมื่อเริ่มเป็นน้ำมันก็ใส่สีเสียดเทศลงไป ตามด้วยกำมะถัน ตำจุนสีให้เป็นผงละเอียด แล้วค่อยเติมลงไป กรองเอาแต่น้ำมัน แล้วโรยการบูรที่เตรียมไว้ลงไปคนให้เข้ากัน จะได้น้ำมันสีเขียว จากนั้นก็ทำเป็นขี้ผึ้ง โดยเอาวาสลีนหรือพาราฟิน หรือเทียนไขหลอมให้ละลายแล้วเติมตัวยาลงไป ก็จะได้ขี้ผึ้งเก็บไว้ใช้ ประโยชน์ ตัวยาต่างๆ ในตำรับนี้ มีสรรพคุณดังนี้ ไพล แก้เคล็ดขัดยอก ข้อเท้าแพลง แก้โรคผิวหนัง แก้ฝี ทาเคลือบแผล ป้องกันการติดเชื้อ ดูดหนองสมานแผล แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นยาชาเฉพาะที่ สีเสียดเทศ ทาสมานแผล ห้ามเลือดกำเดา ใส่แผลริดสีดวง แผลเน่าเปื่อย ขมิ้นอ้อย แก้ฟกช้ำบวม อัก เสบ จุนสี กัดล้างหัวแผล กัดหัวหูด คุดทะราด รากหนอนตายหยาก แก้โรคผิวหนัง ประดงผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย ต้มเป็นยาฉุนรมหัวริดสีดวงให้ฝ่อ เมล็ดลำโพง น้ำมันจากเมล็ด รสเมาเบื่อ ปรุงยาใส่แผล แก้กลากเกลื้อน หิดเหา ใบสำมะงา ต้มน้ำอาบ แก้โรคผิวหนัง ประดง ผื่นคัน เปลือกต้นเลี่ยนแก้โรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน แก้พิษบาดแผล การบูร แก้ปวดตามเส้น เกลื่อนฝี แก้เคล็ดขัดยอกบวม แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้โรคผิวหนังเรื้อรัง ขับน้ำเหลือง บำรุงหัวใจ ยาฉุน ทาภายนอก แก้โรคผิวหนัง ทาป้องกันปลิงและทากเกาะฆ่าแมลง กำมะถันเหลือง ขับลมในกระดูก ฆ่าแม่พยาธิทั้งภายในภายนอก แก้โรคผิวหนังพุพอง น้ำเหลืองเสีย ฆ่าเชื้อโรค ใช้หุงน้ำมันทาแก้หิด ขับลมในกระดูก น้ำมันมะพร้าว บำรุงกระดูกและเส้น สูตรในคัมภีร์โอสถพระนารายณ์ น้ำมันมหาจักร สรรพคุณ ใช้หยอดหูแก้ลมวิงเวียน แก้ริดสีดวง แก้เปื่อยคัน ทาแก้ปวดเมื่อย ใส่บาดแผลที่มีอาการปวดบวมเป็นหนอง ตัวยาประกอบด้วย มะกรูดสด 30ลูก เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน อย่างละ 7.5กรัม ดีปลี 15กรัม การบูร 30กรัม น้ำมันงา 15กิโลกรัม วิธีทำ นำน้ำมันงาตั้งไฟให้ร้อน สมุนไพรตัวอื่นๆ ให้คัดแยกทำความสะอาดเอาฝุ่นและตัวยาที่เสียทิ้ง สำหรับมะกรูดล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง เมื่อกระทะร้อนเอามะกรูดลงก่อน จากนั้นก็ทะยอยเติมยาตัวอื่นๆ ลงไป ยกเว้นการบูร เมื่อเคี่ยวทิ้งไว้ด้วยไฟปานกลางนาน 3-4ชั่วโมงก็ยกลง กรองเอาน้ำมันแล้วเติมการบูร จะทำ เป็นขี้ผึ้งก็หลอมพาราฟินหรือวาสลีน หรือเทียน ไขแล้วเติมน้ำมันยาลงไป เทบรรจุใส่ภาชนะเก็บไว้ใช้ ตัวยาต่างๆ ในตำรับนี้ มะกรูดสด แก้คัน มีน้ำมันหอมระเหย ส่ วนเทียนทั้ง 5คือ เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน มีน้ำมันหอมระเหยช่วยฆ่าเชื้อและ กระจายลม แก้ลมขับผายลม ปลายมือปลายเท้าเย็น ดีปลี แก้ปวดกล้ามเนื้อ แก้อักเสบ เพียงเท่านี้ท่านก็ได้น้ำมันสมุนไพรเก็บไว้ใช้รับมือโรคผิวหนังต่างๆ ได้แล้ว ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10155086_608260915931370_4330039589382170787_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 30, 2014, 11:03:23 AM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10308201_649287865120229_870953993757940240_n.jpg) หินปูนเกาะกระดูก ไม่แก่ก็เป็นได้ คนวัยทำงานอาจจะยังไม่คุ้นกับอาการมีหินปูนเกาะกระดูกเท่าไหร่นัก เพราะส่วนใหญ่อาการนี้มักเกิดกับผู้สูงอายุ แต่หากคุณเป็นคนห่างเหินการออกกำลังกาย วันๆ เอาแต่นั่งนอนเฉย คุณอาจเป็นคนหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดหินปูนเกาะกระดูกได้ หินปูนเกาะกระดูกเกิดได้เมื่อร่างกายของเราเสื่อมสภาพ หรือเกิดความเสียหาย เช่น แตก หัก ซึ่งร่ายกายจะดึงแคลเซียมไปซ่อมแซมกระดูกส่วนที่เสื่อม จนอาจพอกพูนผิดธรรมชาติ ทำให้กระดูกบริเวณนั้นเสียรูปทรง ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า Bony Spur หรือ Osteophyte แปลว่า “กระดูกงอก” ซึ่งเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ กระดูกแขน ขา และข้อต่อต่างๆ เป็นต้น อาการกระดูกงอกจะอันตรายก็ต่อเมื่อ หินปูนที่เกาะนั้นไปเบียดบังเนื้อเยื่อหรือทับเส้นประสาทที่สำคัญ ทำให้คนที่เป็นมีอาการเจ็บปวด ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ลำบาก และหากปล่อยไว้นานอาการเจ็บปวดนั้นจะเรื้อรังและรักษาไม่หาย เมื่อพบว่ามีอาการปวดกระดูกส่วนใดก็ตามให้สังเกตการงอก ปูด โปนของกระดูกส่วนนั้นๆ ร่วมด้วย และหากสงสัยควรรีบปรึกษาแพทย์ ซึ่งวิธีรักษาหินปูนเกาะกระดูก ทำได้ 3 วิธี คือ 1.ผ่าตัด 2.ให้ยาต้านการอักเสบ และ 3.กายภาพบำบัด โดยจะรักษาตามอาการ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ผู้ทำการรักษา อย่างไรก็ตาม วิธีลดความเสี่ยงของอาการหินปูนเกาะกระดูก คือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเก็บสะสมมวลกระดูกเอาไว้ป้องกันกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร หินปูนเกาะล้างหินปูนด้วยสมุนไพร เดือย เตยหอม รางจืด หินก็แข็ง ปูนก็แข็ง หินปูน ก็คงยิ่งแข็งนะคะ ที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช้หินปูนที่นำมาก่อสร้างนะคะ ปกติแล้วคำว่าหินปูนในร่างกายของเรานั้นจะคิดถึง ฟันก้นก่อน ที่เรามักได้ยินหรือพบด้วยตนเองในปากว่า คราบหินปูนที่ผิวฟันหรือที่โคนฟันหรือหร่องเหงือกที่ทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบได้ถ้าีมีมากสะสมจนแข็งเป็นหินปูน ซึ่งเกิดจากคราบแบคทีเรียสะสมจนแข็ง หรือบางที่ก็ได้ทราบว่าผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจมีปัญหาจาก มีหินปูนเกาะ ซึ่งหินปูนที่เกิดการสะสมในร่างกายนั้นเกาะตาม ข้อ กระดูก ฯ ได้เช่นกันและก็มีผู้ป่วยที่ ปวดข้อ ปวดกระดูก เกาต์ รูมาตอยด์ สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการมีหินปูนรวมอยู่ด้วย ซึ่งบางอวัยวะเมื่อมีหินปูนเกาะก็ทำให้ไม่ปกติแล้วเราจะทราบได้อย่างไร ทราบล่วงหน้าได้ไหม หรือทราบต่อเมื่อเราเป็นโรคแล้ว บางอย่างที่เกิดที่อวัยวะภายในเราไม่ทราบเลยเพราะมองไม่เห็นนอกเสียจากไปให้หมอตรวจหรือเอ็กซเรย์ จะมีที่ฟันที่พอจะมองเห็นได้ว่ามีหินปูนเกาะ ซึ่งก็รักษาได้เร็วเมื่อไปให้หมอรักษาฟันขัดหินปูนออกจากฟันให้ได้ในเวลาไม่นาน นำเรื่องราวการบอกกล่าวโดยอาจารย์สุทธิวัสส์ คำภา เกี่ยวกับหินปูน ข้าวกล้องมีพิวรีน กรดยูริก ทำไมการต้มกระเจี๊ยบแดงจะต้องใส่พุทราจีน และการล้างหินปูนออกจากร่างกายมาฝาก ดังนี้ " หินปูน ถ้าท่านเคยมีประวัติกินสัตว์ปีก กินเครื่องในสัตว์ กินผักที่มีกลิ่นฉุนผมว่าโดนทุกคนนะ กินผักมีกลิ่นฉุน มีใครไม่กินบ้างล่ะ ผักขะแยง ผักแพ้ว ชะอม กระถิน กินกันทั้งนั้น แต่ท่านอาจจะเคยได้ยินว่า ผักพวกนี้จะทำให้เป็นเกาต์ เป็นรูมาตอยด์ แต่ที่ท่านนึกไม่ถึงเด็ดขาดว่า มันมีพิวรีนสูง และเป็นสาเหตุให้เกิดกรอดยูริกสูงก็คือ ข้าวกล้อง และน้ำข้าวกล้องงอก อันนี้อันดับหนึ่งเลยนะครับ คนมักจะกินข้าวกล้องโดยหวังว่าจะได้วิตามิน แต่สิ่งที่เป็นภัย ของเสียที่มากับข้าวกล้องไม่มีใครเขาบอก เขาจะบอกแต่ด้านดีว่า บำรุงสมอง มีสารกาบาอะไรอย่างนี้นะ แต่ข้อเสียของข้าวกล้องก็คือ มีพิวรีนสูง กินแล้วจะเกิดกรดยูริก ท่านก็จะปวดเข่า ปวดข้อ กินข้าวกล้องนานๆ สมองแจ่มใสก็จริง แต่ทำไมเดินไม่ได้ ไปไหนก็กระย่องกระแย่ง ปวดเข่าปวดข้อใช่ไหม อากาศหนาวก็ปวด โอย โอยแล้ว ผมอาจจะขัดใจกับพวกที่เผยแพร่เรื่องต่างๆ ว่ามักจะบอกแต่ด้านดี ไม่บอกข้อเสียของมันไปด้วย แล้วจะแก้ยังไง อย่างแต่ก่อนสอนให้คนกินกระเจี๊ยบแดงลดคอเลสเตอรอล ต้องกินอย่างนี้ กินหนักๆเข้าเป็นไง เดี๋ยวนี้ไม่มีใครกินแล้ว เบื่อ เพราะว่ามันทำให้ไตพัง และเลือดจางด้วย กระเจี๊ยบนี่ วิธีแก้ล่ะ ถ้าเราใส่พุทราแห้งเท่านั้นแหละแก้ได้แล้ว มันจะไปช่วยลดคอเลสเตอรอล แล้วทำให้เป็นไง เส้นเลือดไม่เปราะ แตกง่าย แล้วก็ช่วยให้ไตแข็งแรงด้วย เพียงเติมพุทราแห้งลงไปในกระเจี๊ยบแดง นี่จะต้องมีทางออกไง อย่าไปยอมจำนนนะ ตัวนี้ก็เหมือนกัน สมมุติว่าเรากินข้าวกล้องเป็นประจำ ตกลงจะเลิกดีไหม ไม่จำเป็นต้องเลิกนะครับ แต่ก็หาตัวแก้ไป ตัวที่จะไปลดกรดยูริก ลดพิวรีน แก้อาการเกาต์ รูมาตอยด์ แล้วก็หินปูนเกาะในที่ต่างๆ ในทางการแพทย์จะสนใจหินปูนที่เกาะตามข้อ เราเรียกว่า เกาต์ รูมาตอยด์ใช่ไหม แต่ถ้าลงมาอีก หินปูนไปเกาะที่ไหนบ้าง หินปูนเกาะที่จอประสาทตา วันหนึ่งอยู่ดีๆเลือดไม่ไปเลี้ยงที่จอประสาทตา หมอก็จะบอกว่า จอประสาทตาเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ มันมีสาเหตุแต่หมอไม่ทราบเท่านั้น คือหินปูนไปเกาะไง ถ้าเราล้างหินปูนทางตา เราก็ไม่มีปัญหาเรื่องเป็นต้อเป็นอะไร สายตาสั้น- ยาว นี้ยังพอให้อภัย แต่ตาเป็นต้อนี้ไม่น่าให้อภัย อย่าเป็นกันนะ ท่านต้องล้างหินปูนนะครับ หินปูนเกาะที่ขั้วปอด คราวนี้ก็เป็นหอบหืด ไอไม่เลิกอย่างนี้นะครับ แค่ล้างมันออกหอบหืดก็หาย หินปูไปเกาะที่ไหนอีก หินปูนเกาะที่เส้นเลือดฝอยในหัวใจ อยู่ๆทำให้หัวใจวายได้ เคยได้ยินไหม หินปูนไปเกาะขั้วหัวใจ นี่ก็มีนะครับ หินปูนเกาะที่กระดูกสันหลัง ก็กลายเป็นกระดูกทับเส้นประสาท จริงๆก็อย่าให้มันเกาะซะก็หมดเรื่องนะครับ แล้วจะทำอย่างไรดี มี 2 สูตรนะครับ การล้างหินปูน สูตรที่ 1 คือ น้ำต้มลูกเดือย ในสมัยก่อนท่านอาจจะอ่านนาฬิกาชีวิต เขาจะให้กินลูกเดือย เราพบว่าลูกเดือย ถ้าเราต้มกินแต่น้ำจะได้ประโยชน์เร็วกว่ากินเนื้อไปด้วย เพราะกากลูกเดือยจะไปดึงยาคืนมาเหมือนกากกระชาย ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ ควรต้มเป็นน้ำ แล้วกินแบบน้ำข้าว แล้วเราก็เติมน้ำลงไปใหม่ แล้วอุ่นไปเรื่อยๆจนหมดสีขาวพอมันใสแล้วเราก็ทิ้งกากไป เสร็จแล้วก็ไปต้มใหม่ สูตรที่ 2 คือ ต้มรางจืดกับใบเตย ใช้ใบรางจืดกับใบเตยมันจะไมไปล้างอะไรนอกจากล้างหินปูน กินรางจืดเดี๋ยวจะไปล้างอะไรไม่ต้องกังวล ถ้าต้มกับใบเตยมันจะไม่ล้างอย่างอื่นเลย นอกจาก ล้างหินปูนในตัวเราเท่านั้นนะครับ " (ขอบคุณ บทความหินปูนและการล้างฯโดย อ.สุทธิวัสส์ คำภา จากหนังสือนาฬิกาชีวิตเล่ม 3 ตอนจบ รวบรวมโดย อ.นวลฉวี ทรรพนันทน์ และภาพอาจารย์ทั้ง 2 จากอินเทอร์เน็ต ) เมล็ดเดือย เราคงต้องซื้อปลูกเองไม่ได้ ซึ่งก็หาซื้อได้ไม่ยาก มีทั้งเดือยกล้องและเดือยที่ขัดผิวออกแล้ว นำเมล็ดเดือยประมาณ 1 กำมือ แช่น้ำก่อนหรือซาวน้ำล้างให้สะอาด แล้วต้มเลยก็ได้จนเมล็ดเดือยนิ่ม ดื่มแต่น้ำ น้ำหมดก็ใส่น้ำต้มต่อได้อีก น้ำดื่มง่าย ไม่ควรเพิ่มความหวาน เตยหอมปลูกได้ง่ายเป็นพืชแตกกอ รางจืดก็ปลูกง่ายใช้กิ่งชำก็ได้ ต้มต่อครั้งต่อวัน อย่างละ 5 ใบ หั่นซอยเล็กๆแล้วต้ม 30 นาที ดื่มง่ายรางจืดจะรสจืดตามชื่อ จะมีกลิ่นหอมใบเตย ไม่ว่าจะเมล็ดเดือยหรือ ใบเตย ใบรางจืด เมื่อต้มในน้ำเดือด ดื่มอุ่นๆก็เป็นชาเพื่อสุขภาพ ดื่มต่อวันต่อครั้งไม่มากพอดีๆ แต่ดื่มทุกๆวันติดต่อกัน ก็จะเห็นผล เรื่องที่นำมาฝากอาจจะมีบางท่านไม่เชื่อว่าดื่มแล้วล้างหินปูนได้ผลจริง ก็ไม่ว่ากันนะคะ ทราบมาจึงลองทำดื่มและนำมาฝาก ซึ่งเห็นว่าสมุนไพรที่ทำดื่มต่อครั้งไม่มีผลเสียต่อร่างกาย สรรพคุณสมุนไพรเดียวทั้ง 3 ชนิดดีต่อร่างกายเพียงแต่ใช้ต่อครั้งแต่พอดีร่างกายก็ได้ประโยชน์อยู่แล้ว http://www.thaihealth.or.th/ (http://www.thaihealth.or.th/) http://www.gotoknow.org/ (http://www.gotoknow.org/) (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10308561_649287925120223_8228251984797691324_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10157257_649287961786886_79133118656903526_n.jpg) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 30, 2014, 04:51:26 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10255615_635753703165467_1938680601020257101_n.jpg)
น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง ทำให้กระชุ่มกระชวยอ่อนกว่าวัย แก้แฮ้งค์จากอาการเมาเหล้าได้ดีที่สุดในโลก! ผสมน้ำผึ้งแท้ น้ำมะนาวสด อัตราส่วนเท่าๆ กัน เติมเกลือลงไปด้วย เติมน้ำเปล่า (อย่าใช้น้ำอุ่น-น้ำร้อน เพราะความร้อนจะสลายคุณค่าวิตามินซีในมะนาว) ดื่มทุกวัน ดื่มก่อนนอนยิ่งดี จะเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ นัยน์ตาไม่แดงสดสวยเป็นประกาย ร่างกายกระชุ่มกระชวยดูอ่อนกว่าวัย ช่วยแก้อาการแฮ้งค์เนื่องจากเมาเหล้า – นอนดึก ได้ดีที่สุด และยังแก้อาการคันคอ ระคายคอ ไอ มีเสมหะ เสียงแหบแห้ง คอแห้งเป็นผง ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด มีน้ำมูก ช่วยบรรเทาได้ดีมาก ผู้ที่ใช้ยาแก้หวัดติดต่อกันนาน ๆ อาจทำให้เชื้อไวรัสหวัดดื้อยาได้ ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งแทนจะดีกว่า น้ำผึ้งมีน้ำตาลธรรมชาติ เช่น Levulose 41% Dextrose 35% Sucruse 1.9% Dextrose 1.5% กรดอินทรีย์ชนิดต่างๆ 0.08% สารอื่นๆ 3.4% น้ำมะนาวสดจากลูก มีกรดมะนาว Citric Acid ซึ่งร่างกายต้องการมากเวลาเป็นหวัด กรดมะนาวเมื่อเข้าสู่กระบวนการย่อยสลายในร่างกายจะกลายเป็นฤทธิ์ด่าง เกลือช่วยลดความรุนแรงของเชื้อลง ทำให้ร่างกายมีพลังขึ้น หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 30, 2014, 04:52:55 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10301545_635752296498941_8119559938321495979_n.jpg)
บุก สมุนไพรลดความอ้วน บุก (Amorphophallus spp.) มีถิ่นกำเนิดตั้งแต่ทางตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยไปจนถึงประเทศจีน ญี่ปุ่น และทางใต้ไปถึงประเทศไทย อินโดจีน และฟิลิปปินส์ เป็นพืชที่พบในป่าซึ่งมีการระบายน้ำได้ดีและอุดมสมบูรณ์ มีลักษณะเป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีหัวอยู่ใต้ดิน โดยปกติจะมีใบเพียงใบเดียวซึ่งมีลักษณะใหญ่มาก ก้านใบยาว ดอกแทงขึ้นมาจากใต้ดิน มีทั้งหมดประมาณ 90 ชนิด บุกเป็นอาหารสมุนไพรที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่น โดยมีชื่อทั่วไปว่า Konjac เป็นพืชที่มีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac C. Koch หรือ A. rivieri Durien ญี่ปุ่นใช้แป้งจากบุกทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยทำเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือขนม ซึ่งสามารถลดความอ้วนได้เพราะไม่ให้พลังงานเนื่องจากไม่ถูกย่อย จึงไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่จะขับถ่ายออกมาในรูปเดิม เพียงแต่ทำให้อิ่มเท่านั้น และมีความเชื่อว่าแป้งบุกช่วยทำความสะอาดลำไส้ด้วย มีการสั่งซื้อหัวบุกจากประเทศไทยไปทำวิจัยและทำเป็นอาหารสมุนไพรกันมาก บุก เป็นพืชที่มิได้มีสรรพคุณทางสมุนไพรโดยตรง แต่เนื่องจากหัวของบุกจะให้แป้งกลูโคแมนแนน ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษเป็นใยอาหาร (dietary fiber) คือร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้จึงทำให้มีประโยชน์ในทางอ้อม โดยจะช่วยเป็นตัวทำให้พื้นที่ของกระเพาะอาหารเต็มโดยเร็ว และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้ บุกจึงใช้เป็นยาลดความอ้วน รักษาโรคเบาหวาน แก้โรคท้องผูก และลดคอเลสเตอรอลได้ สารสำคัญ มีการศึกษาและค้นพบสารสำคัญในพืชสกุลบุก คือ กลูโคแมนแนน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 กลูโคแมนแนนเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรต ซึ่งประกอบด้วยกลูโคส แมนโนส และฟรุคโตส ประโยชน์ของกลูโคแมนแนน กลูโคแมนแนนจากบุกมีพลังงานต่ำ จึงใช้เป็นอาหารของผู้ต้องการลดความอ้วน และยังมีประโยชน์ในการช่วยบำบัดรักษา และบรรเทาอาการของโรคบางชนิดด้วย เช่น โรคไขมันในเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง และไขข้ออักเสบ เป็นต้น นอกจากประโยชน์ทางด้านอาหารและยาแล้ว กลูโคแมนแนนจากบุกยังถูกนำไปใช้ผลิตโลชั่นบำรุงผิว และยาเม็ดชนิด sustained release ด้วย ปัจจุบันมีบุกแปรรูปจำหน่ายทั่วไป หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 02, 2014, 10:16:50 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/v/t34.0-12/10322861_231388100391434_399634063_n.jpg?oh=bb85122770eb21e48ccaddf177012d11&oe=5365A526&__gda__=1399168083_5dfc0749c223fc9a58e3da839b6c4892)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 02, 2014, 10:19:34 PM (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10325275_636907543050083_2439744526665917916_n.jpg)
สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน ลดไขมันในเลือดได้ผล ร่างกายแข็งแรง เอวหายน้ำหนักลด ดื่มก่อนนอนทุกวัน 2 – 4 เดือนเห็นผล 1.มะนาว 1 ผล 2.น้ำตาลทรายแดง หรือ น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา (หรือไม่ใส่เลยจะดียิ่ง) 3.เกลือป่น ปลายช้อนชา 4.น้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิปรกติ 1 แก้ว หรือ 200 ซีซี. ชงน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายแดงกับเกลือในน้ำอุ่นจนละลาย (หากไม่ใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งก็จะดียิ่งขึ้น) ทิ้งไว้สักครู่ให้น้ำอุณหภูมิปรกติ บีบน้ำมะนาว 1 ผล เพราะความร้อนทำลายวิตามินซีในมะนาว คนแล้วรีบดื่มได้เลยหรือจะใส่น้ำแข็งก็ได้ ควรดื่มก่อนนอนสัก 15-20 นาที จะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด หมายเหตุ: น้ำผึ้ง หรือน้ำตาลทรายแดงจะทำให้ความหวานกำลังดี และเป็นความหวานที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ควรใช้น้ำตาลทรายขาว เพราะผ่านการขัดสีมีสารเคมี การดื่มน้ำมะนาวก่อนนอน ร่างกายจะได้วิตามินซี และสารอาหารในมะนาว แม้มะนาวจะมีกรดซิตริก กรดมาลิค แต่เมื่อผ่านกระบวนการย่อยของร่างกายจะแปรสภาพเป็นด่างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทำดื่มประจำทุกวัน 2-4 เดือนเห็นผล เอวจะลดลงทันตาเห็น ถ้าดื่มทุกวันเป็นประจำ ร่างกายจะแข็งแรงสุขภาพโดยรวมจะดีขึ้น ไม่เป็นหวัด กระดูกแข็งแรง ไขมันในเลือดจะหายไป กรดยูลิกจะลดลง ไตกรีนเซอร์ไลจะปกติ ไขมันเลวจะลดลง ไขมันดีจะเพิ่มขึ้น มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดอินทรีย์หลายชนิด เช่น กรดซิตริก กรดมาลิค ไวตามินซี จากน้ำมะนาว ส่วนน้ำมันหอมระเหยจากผิวมะนาว มีไวตามินเอ และซี ทั้งยังมีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในน้ำมะนาวอีกด้วย สูตรน้ำมะนาวลดความอ้วน นำมาจาก อาจารย์กิติพงษ์ ปังศรีวินิจ อาจารย์หมอกดจุดปรับสมดุลร่างกาย ประจำสำนักแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ภาพ: ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 02, 2014, 10:34:09 PM (https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1509653_636900206384150_677275502623205680_n.jpg)
ตอบข้อสงสัยเรื่องการล้างพิษตับ ล้างไปทำไม ทำไมต้องล้าง โดย รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ศิริราช บางคนพยายามต่อต้านด้วยการไปถามแพทย์แผนปัจจุบันบางท่าน ที่ไม่เคยมีความรู้เรื่องการล้างพิษตับมาก่อนเลย แพทย์ท่านก็ตอบแบบไม่มีประสบการณ์โดยใช้พื้นฐานความเป็นแพทย์แผนปัจจุบันมาตอบ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกับการล้างพิษตับ ซึ่งความจริงแล้วมีที่มาจากโลกตะวันตก ไม่ใช่ภูมิปัญญาไทยหรือเอเชีย การกินน้ำมันมะกอกผสมผลไม้ตระกูลส้มเพื่อรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี-ในตับ มีมาแต่สมัยโบราณ ในตำราอายุรเวทของอินเดียก็มีบันทึกไว้ นานกว่า 5,000 ปี ในจีนยุคโบราณก็มี ยุคโรมัน ตั้งแต่ 510 ปีก่อนคริสต์กาล หรือมากกว่า 2500 ปีมาแล้ว ยุคปัจจุบันชาวเยอรมันนำมาเผยแพร่ใหม่เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ชาวเอเซียทำตามยุโรป ในไทย มีคนไทยคือ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง (อาชีพเดิมเป็นวิศวกร) และ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ ท่านทั้งสองเป็นชาวสันติอโศก ได้ทราบข่าวเรื่องนี้จึงศึกษา ทดลองทำกับตัวเองและผู้อื่นที่ ศีรษะอโศก จ.ศรีสะเกษ จนกระทั่งนำมาบุกเบิกในไทย และปรับปรุงพัฒนาสูตรจากการดูงานในต่างประเทศ อาทิ มาเลเซีย ไต้หวัน ที่มีการล้างพิษตับด้วยวิถีธรรมชาติ นำมาผสมผสานกับสมุนไพรและภูมิปัญญาไทยจนที่เป็นแพร่หลายในไทย ปัจจุบันมีผู้เปิดคอร์สล้างพิษตับหลายแห่ง และมีคนไทยผ่านการล้างพิษตับไปแล้วมากกว่า 30,000 คน (ข้อมูล กพ.2556 ยังไม่มีตัวเลขหลัง กพ.2556 – กพ.2557) ส่วนหนึ่งของบทความจาก รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ศิริราช ผู้ที่เคยล้างพิษตับด้วยตนเองมาแล้วหลายครั้ง ท่านได้ผนวกประสบการณ์ความเป็นแพทย์แผนปัจจุบันมากรุณาเขียนอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ สั้นๆ เราจึงขอนำมาแบ่งปันให้อ่านเพื่อให้ทราบมุมมองของ “อาจารย์แพทย์” กับ “ข้อสงสัยว่าทำไมต้องล้างพิษตับ” ดังนี้คือ... ************* ทำไมต้องล้าง (พิษ) ตับ ตับของเรามีอายุเท่ากับเรา เราอายุ 50 ปี ตับของเราก็อายุ 50 ปี เราอายุ 60 ปี ตับของเราก็อายุ 60 ปี เช่นเดียวกัน ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกาย มีน้ำหนักประมาณ 2% เช่น เราหนัก 60 ก.ก. ตับของเราจะหนักประมาณ 1,200 กรัม ตับมีหน้าที่สำคัญมากกว่า 500 อย่าง ที่เรารู้กันเป็นอย่างดีก็คือหน้าที่กำจัดสารพิษต่างๆ อาหารทุกคำ ยาทุกเม็ด ที่เรากินล้วนมีสิ่งที่ตับต้องกำจัดทั้งสิ้น ตับเป็นต่อมมีท่อใหญ่ที่สุด สิ่งที่ตับสร้างคือ น้ำดี (bile) เซลล์ตับปกติทุกเซลล์จะสร้างน้ำดี (bile) น้ำดีที่สร้างจะไหลไปตามท่อเล็กๆ ซึ่งมองด้วย กล้องจุลทรรศน์ธรรมดาไม่เห็น เรียกว่า “bile canaliculi” แล้วรวมกันถึงท่อน้ำดีที่ ใหญ่ขึ้นในตับ เรียก “bile duct” ตับมี 2 กลีบ (lobes) ท่อน้ำดีจากทั้ง 2 กลีบ จะรวมตัวกันเป็น “hepatic duct” จะไปเชื่อมต่อกับท่อน้ำดีที่ไหลไปยังถุงน้ำดี (gallbladder) ตับปกติของผู้ใหญ่จะสร้างน้ำดีวันละหลายลิตร ส่วนใหญ่จะไหลเข้าสู่ลำไส้เล็ก ส่วนที่ 2 ของลำไส้เล็กช่วงแรก (second part of duodenum) มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี (ไม่เกิน 100 cc) เมื่อตับกำจัดพิษจากสิ่งที่เรากินเข้าไป กากหรือขยะของสารพิษจะถูกขับออกจากตับได้ 2 วิธี 1.ถ้าเป็นสารละลายน้ำได้จะถูกกำจัดออกทางไต 2.ถ้าเป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ ตับจะอาศัยน้ำดีนำไปทิ้งที่ลำไส้เล็กกลายเป็น อุจจาระต่อไป และขยะที่กำจัดไม่ได้จะสะสมอยู่ในตับ ตับทำงานตลอดเวลา และเป็นอวัยวะหนึ่งซึ่งไม่เคยพักเลย (เช่นเดียวกับ หัวใจ และปอด) ตับเป็นทั้งโรงงานผลิต โรงกำจัดพิษ และโกดังสะสมทั้งสิ่งที่เป็นและไม่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย เช่น ไขมัน เครื่องยนต์ของรถ เรือ หรือพาหนะใดๆ ต้องการการทำความสะอาดทั้งสิ้น ตับก็ต้องการเช่นกัน ตับที่สะอาดจะทำงานได้ดีขึ้นกว่าตับที่สะสมกากขยะไว้ทั้งในตับเอง และในถุงน้ำดี อ่านถึงจุดนี้ พวกเราคงไม่สงสัยว่า การล้าง(พิษ)ตับ น่าจะเป็นประโยชน์นะ หลักการ และเหตุผล การที่ตับต้องทำงานตลอดเวลาเพราะเรากิน ถ้าเราหยุดกิน ตับก็จะได้พัก ระบบย่อยอาหารทั้งหมดก็จะได้พักด้วย สังเกตไหมว่าเวลาเราป่วย ความอยากอาหารจะหมดไป ร่างกายเราบอกว่าขอหยุดทำงานก่อน หลักการนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในวิธีล้าง(พิษ)ตับได้ ตับที่พักการทำงานไประยะหนึ่งเมื่อถูกกระตุ้น จะสร้างน้ำดี (ซึ่งหยุดทำไประยะหนึ่งแล้ว) อย่างมากมาย น้ำดีที่ตับสร้างขึ้นนี้มีปริมาณมาก และสามารถนำสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาจากระบบท่อน้ำดี และถุงน้ำดี ออกมาทางอุจจาระได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวกระตุ้นปฏิกิริยานี้ได้รับการพิสูจน์จากนานาประเทศที่เรียนรู้วิธีนี้มานานแล้ว ก็คือ “น้ำมันมะกอก” ชนิด extra vergin olive oil ******* *******เรียบเรียงจาก ส่วนหนึ่งของบทความจาก รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี อาจารย์แพทย์ศิริราช ได้เขียนบทความนี้ส่งมาเผยแพร่ใน www.manager.co.th (http://www.manager.co.th) อ้างอิง: โปรไฟล์ รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี www.si.mahidol.ac.th/th/person_detail.asp?ps_id=651 (http://www.si.mahidol.ac.th/th/person_detail.asp?ps_id=651) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:40:49 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1422618_294242414067239_8346887635169077094_n.jpg)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:41:27 PM (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1521782_260838350739147_2012398718_n.jpg)
สมุนไพรที่รักษามะเร็ง ข้าวเย็นเหนือ และข้าวเย็นใต้ ช่วยแก้เรื่องน้ำเหลือง มะเร็ง บำรุงร่างกายที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้ฟื้นตัวเร็ว หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:42:20 PM (https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/960130_259174017572247_912613918_n.jpg)
มีสรรพคุณในการต่อต้านการเกิดของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้เป็นอย่างดี และยังช่วยบำรุงอวัยวะภายในต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ม้าม และกระเพาะอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร และยังช่วยทำให้ผิวพรรณดี อีกด้วย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:43:08 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1512665_257336421089340_75529107_n.jpg)
ล้างสารพิษด้วยส้มโอ วิธีทำ ให้ทานส้มโอแทนข้าวเย็นประมาณ 7 วัน ขอเน้นว่าทานแทนข้าวเย็นนะ ส้มโอจะช่วยล้างสารพิษในร่างกายได้ ส้มโอสามารถช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นหน้าอก วิธีทำ ให้ทานส้มโอจิ้มกับยาหอม อาจจะทานยากนิดนึ่งแต่การทานส้มโอแบบนี้จะช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นหน้าอกได้ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:43:53 PM (https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/1531587_257319487757700_1410481505_n.jpg)
ส้มแขก มีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดการสร้างไขมันของร่างกายได้ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:44:30 PM (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1499491_257284827761166_385553376_n.jpg)
ดอกเก๊กฮวย มีสรรพคุณทางยามากมาย ช่วยดับพิษร้อน ขับลม ขับเหงื่อ แก้ร้อนใน นอกจากนี้ ในดอกเก๊กฮวย ยังมีสารฟลาโวนอยด์ กรดอะมิโน สารไครแซนทีมิน สารอะดีนิน สารโคลีน และน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยรักษาและป้องกันโรคเลือดหัวใจตีบ ลดการภาวะหัวใจล้มเหลว ช่วยขยายหลอดเลือด ลดกรด โรคความดันโลหิตสูง ส่วนสารแคโรทีนนอยด์ในดอกเก๊กฮวย มีสรรพคุณบำรุงตับ บำรุงสายตา และบรรเทาอาการหน้ามืด วิงเวียนศรีษะ และที่น่าจะเป็นข่าวดี อีกอย่างหนึ่งของวงการแพทย์ก็คือ มีงานวิจัยออกมาว่า สารสกัดจากเก๊กฮวย มีคุณสมบัติยับยั้งไวรัสเอดส์ได้ ถ้ารู้สึกปวดศรีษะ ตึงเครียด และอยากผ่อนคลาย ให้ชงเก๊กฮวยผงดื่มจะช่วยได้มาก แต่ถ้านำเก๊กฮวยไปต้มรวมกับหล่อฮังก๋วย จะช่วยบำรุงร่างกาย และแก้ร้อนในได้ดี หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:45:24 PM (https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc3/t1.0-9/1506034_256936577795991_1428767926_n.jpg)
เห็ดหลินจือ มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้หลายชนิด อีกทั้งยังเพิ่มความสามารถในการรักษาตัวเองของร่างกาย และยืดชีวิตให้ยืนยาวจนได้รับการขนานนามว่า เป็นราชาแห่งพืชสมุนไพร นอกจากนั้นเห็ดหลินจือ ยังเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตรหลายๆประเทศทำการค้นคว้าวิจัย เห็ดหลินจือที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้นมีอยู่ด้วยกันกว่า 100 สายพันธุ์ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:46:50 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1531666_256930084463307_1096284834_n.jpg)
การดื่มน้ำมะตูมเย็นๆ ยังสามารถทำให้อารมณ์ที่ร้อนรุ่มขุ่นมัวของคุณเย็นลงได้อย่างน่ามหัศจรรย์ พร้อมเติมพลังให้กับร่างกายในยามที่อ่อนล้า คนโบราณยังเชื่ออีกว่าว่า มะตูม เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน จะสามารถทำให้เกิดกำลังใจ และความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้ มะตูม ยังมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม และพิธีมงคลของไทย อย่างเช่น เวลาเข้ากราบบังคมลาพระเจ้าแผ่นดินไปรับราชการ หรือ ศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ก็จะได้รับพระราชทานใบมะตูมเป็นสิริมงคล งานสมรสพระราชทานคู่บ่าวสาวก็จะมีใบมะตูมทัดหู การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ และการครอบครูก็จะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี อีกทั้ง มะตูม ยังช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้อีกด้วย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 04:49:22 PM (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1.0-9/10176094_448147835322231_3962980985646963445_n.jpg)
อีกครั้งกับการทำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ครั้งนี้ผสมดอกอัญชัญสดๆเพื่อใช้กับ"ผม"ค่ะ มะพร้าวขูด3กิโลกว่าๆ น้ำประมาณ3กิโล ดอกอัญชัญสดแกะเป็นกลีบๆล้างเบาๆให้สะอาดประมาณ2ขีด ผสมมะพร้าวกับดอกอัญชัญ แบ่งน้ำมาครั้งละครึ่งเพื่อคั้นกระทิ 2ครั้ง เอาน้ำกระทิทั้ง2ครั้งมาใส่ถังพักไว้ในถังใบเดียวกัน เพื่อให้แยกชั้นเป็นหัวกระทิและน้ำ เพื่อเวลากรอกใส่ขวดจะได้ไม่เปลืองขวด เพราะตักมาแต่หัวกระทิ ส่วนน้ำก็ทิ้งไป ทำครั้งนี้บัวทดลองพักไว้1คืนก่อนกรอกใส่ขวด เพราะคั้นน้ำกระทิเสร็จตอน6โมงเย็นกว่าๆ (ครั้งที่ผ่านมาพักไว้แค่ชั่วโมงกว่า) ตอนเช้ามาเจอหัวกระทิเริ่มเป็นเม็ดเป็นครีมข้นๆ บัวคิดว่าคงจะบูด เลยตักมาดมดู มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำกระทิที่คั้นสดๆจากต้นวันนี้เวลานี้ ไม่มีกลิ่นบูดกลิ่นเปรี้ยวใดๆ แต่พอลองตักน้ำที่อยู่ใต้ชั้นหัวกระทิมาลองชิมดู มีรสเปรี้ยวนิดๆ เหมือนเช่นทุกๆครั้งที่ทำค่ะ แขวนขวดไว้ในที่โล่งมีหลังคากันฝน ถ้าจะให้ดีให้โดนแดดส่องตอนเช้าด้วย โดยไม่ต้องย้ายที่แขวนขวด บัวแขวดขวดไว้แค่1คืนตอนเที่ยงก็เจาะเอาน้ำมันได้แล้วค่ะ อากาศยิ่งร้อนยิ่งเกิดน้ำมันง่าย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 04:50:23 PM (https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10269519_447709892032692_7565844165556263514_n.jpg)
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นผสมขมิ้นชันผง ใช้มะพร้าวขูด4กิโล ขมิ้นชันผง1ถ้วยตวง น้ำสะอาด3กิโลกว่า แบ่งน้ำมาที่ละครึ่งคั่นกระทิ2ครั้ง เอาน้ำกระทิที่ได้ทั้ง2ครั้งมาใส่รวมในถังเดียวกัน ตั้งพักไว้1ชั่วโมงกว่าๆ เมื่อกระทิแยกชั้นเป็นน้ำและหัวกระทิ ให้ตักเอาแต่หัวกระทิชั้นบนโดยไม่ต้องให้ติดน้ำมากรอกใส่ขวด เหตุที่ต้องเอาน้ำกระทิมาตั้งพักให้แยกชั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้ขวดหลายใบเวลาใส่น้ำกระทิ เอาขวดมาแขวนที่โล่งๆมีหลังคากันฝน ถ้าจะให้ดีควรเป็นที่ที่โดนแดดส่องในตอนเช้า (โดยไม่ต้องย้ายที่แขวน) ทำครั้งนี้ใช้เวลาแขวนขวด2คืนก็ได้น้ำมันมาใช้แล้วค่ะ โดยใช้เข็มเจาะส่วนที่เป็นน้ำมันสีเหลืองๆ "ทดลองทำน้ำมันทาผิวจ้า" หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 04:52:26 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1017411_447724812031200_2142612206135874677_n.jpg)
มะม่วงหิมพานต์ เอามาทำน้ำปานะได้ค่ะ โดยเลือกมะม่วงที่สุกจัดๆมาตัดส่วนท้ายผลทิ้งเสียครึ่งหนึ่ง หั่นเฉลียงเท่านิ้วโป่ง ต้มกับน้ำตาลทรายแดง กรองเอาแต่น้ำมาถวายพระ ใส่ใบเตยหอมกับดอกอัญชัญสดลงไปด้วย ได้น้ำออกมาสีม่วงอ่อนๆ หอมกลิ่นมะม่วง หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 12, 2014, 01:22:30 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10252095_10152431281957028_616411861644578046_n.jpg)
ทับทิม : อัญมณีแห่งผลไม้ นอกจากความงดงามแล้ว น้ำคั้นจากผลทับทิมดื่มแล้วสดชื่นแก้กระหายน้ำได้ดีมาก เพราะมีทั้งน้ำตาลและกรดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด สามารถนำเอาส่วนต่างๆ มาทำยารักษาโรคได้หลายชนิด เป็นยาระบาย หรือถ่ายพยาธิเส้นด้ายและตัวตืด หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 10:49:53 PM (https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/1075667_10200170023960380_1135126565_n.jpg)
ดีท็อกซ์และถ่ายพยาธิด้วย ทุเรียน ดีท็อกซ์และถ่ายพยาธิด้วย "ทุเรียน" ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด คงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่มแต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอ ทุเรียน ให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสีย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงนอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์ ขอขอบคุณข้อมุลจาก : heyhaparty หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 10, 2014, 07:10:01 AM สมุนไพรลดความดัน.mov (http://www.youtube.com/watch?v=EhnbC3ESSSk#)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 10, 2014, 07:11:01 AM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/t1.0-9/10464302_10152604214639835_6465731989147521427_n.jpg)
หยุดมะเร็ง ด้วยวิถีธรรมชาติ อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1n2iTtU (http://bit.ly/1n2iTtU) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 11, 2014, 05:14:53 AM ประโยชน์ต่อสุขภาพ ของใบบัวบก
ใครที่ชอบทานใบบัวบกกันบ้าง รู้หรือไม่ว่า ใบบัวบกนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน… (http://content.mthai.com/upload_images/hh-pignew-052.jpg) ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด เหมาะกับสุขภาพ ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสุขภาพสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยดูแลสุขภาพ เร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่ 1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง 2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ 3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก 4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ 5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น รู้ถึงประโยชน์ของใบบัวบกแล้ว ก็อย่าลืมหันมาหาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี. MThai หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 13, 2014, 09:45:29 PM (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/t1.0-9/1044795_10152588271772028_105967896781946115_n.jpg)
ดอกโสนบ้านนา แก้พิษร้อนถอนพิษไข้ บำรุงกระดูกและสมอง สรรพคุณแก้พิษร้อน ถอนพิษไข้ ดอกโสนให้ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัสบำรุงกระดูกบำรุงสมอง มีเหล็กบำรุงเลือด ให้วิตามินเอไว้ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บอีก และมีวิตามินบี 1 บี 2 ไนอะซิน และวิตามินซี อีกพอสมควร นับว่าเป็นดอกไม้พืชพื้นบ้านที่ให้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างมาก http://bit.ly/1er5RDC (http://bit.ly/1er5RDC) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 13, 2014, 09:46:48 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/10404422_10152591117887028_4069660971809028086_n.jpg?oh=67f6e1d18a5d3722a470effbe443ad39&oe=54585DD5&__gda__=1412684970_e6f998d8e1e897b204cf43a05435bf65)
3 สมุนไพร พิชิต โรคเบาหวาน สมุนไพร... ในโรคเบาหวาน เบาหวาน จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการเมตาบอลิซึม ที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดที่ได้จากอาหารไปใช้ตามปกติได้ สาเหตุสำคัญเกิดจากความบกพร่องของการหลั่งอินซูลิน จากตับอ่อน หรือการทำงานของอินซูลินผิดปกติ http://bit.ly/1jnGlmQ (http://bit.ly/1jnGlmQ) — with Wilawan Pintong and 17 others. หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 13, 2014, 09:51:12 PM (https://scontent-a-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/t1.0-9/10456164_10152588284797028_6457004232295430903_n.jpg)
ยำดอกขจร มากด้วยวิตามินและบีตาแคโรทีน ขจรพืชผักพื้นบ้านของไทย บางที่ก็เรียกดอกสลิด บางที่ก็เรียกดอกขจร ใบและดอกขจรมีคุณค่าทางอาหารสูงโดยเฉพาะวิตามินเอและวิตามินซี และเป็นแหล่งที่ดีของแคลเซียม เหล็ก ไนอะซิน วิตามินบี และเส้นใยอาหาร โดยวิตามินซีและบีตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระต่างๆ ออกจากร่างกาย http://bit.ly/VJtdl8 (http://bit.ly/VJtdl8) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 20, 2014, 10:33:09 AM สะเดา
(http://my.haijai.com/article/herb/20140629_herb_1.jpg) สะเดามีชื่อท้องถิ่นว่า กะเดา สะเลียม (ภาคเหนือ) เป็นไม้ยืนต้นสูง 5-10 เมตร ทุกส่วนมีรสขม ยอดอ่อนทีแตกใหม่มีสีน้ำตาลแดง เปลือกต้นสีเทาแตกเป็นร่อง ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปใบหอก กว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. ขอบใบหยักฟันเลื่อยฐานใบไม่เท่ากัน ดอกช่อออกที่ปลายกิ่งขณะกำลังแตกใบอ่อน กลีบดอกสีขาว ผลเป็นผลสดรูปรีมี 1 เมล็ด นิยมนำดอกและยอดอ่อนมาลวกด้วยน้ำเดือดหรือน้ำข้าวร้อนๆ เพื่อลดความขม แล้วนำมาเป็นผักจิ้มน้ำปลาพริกหรือน้ำปลาหวาน แกล้มปลาดุกย่าง สำหรับส่วนที่นำมาเป็นยาสามารถที่จะนำทุกส่วนมาใช้ เช่น ก้านใบ เปลือกต้น ดอก ราก เมล็ด ฯลฯ โดยมีสารเคมีและสารอาหารสำคัญ คือ azadirachtin, margosin, nimbolide สรรพคุณทางยาและวิธีใช้ ก้านใบ ใช้เป็นยาแก้ไข้ทุกชนิด (เปลือกต้น) ใช้เป็นยาแก้ท้องเดิน แก้บิดมูกเลือด (ผล) อาหาร ช่วยย่อย และ (ราก) ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้อาการเป็นไข้ ตัวร้อน ปวดหัว น้ำมูกไหล และเจริญอาหาร และยังมีโรคอื่นๆ ที่สามารถใช้สะเดารักษาได้ คือ 1.แก้ฝี วิธีใช้ ใช้ใบตำละเอียดพอกบริเวณที่เป็นแล้วเอาผ้ารัดไว้ วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น และคอยหยอดน้ำให้ยาเปียกเสมอ 2.แก้บิด วิธีใช้ ใช้เปลือกต้น 1 ชิ้น โตเท่าฝ่ามือ ต้มกับน้ำสะอาด 2 แก้ว ให้เดือดนาน 10 นาที กิน วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ ½ แก้ว จนหาย หรือใช้ยอดอ่อน 7 ยอด กระเทียม 3 กลีบ โขลกผสมน้ำตาลเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน กินครั้งเดียวให้หมดทุก 2 ชั่วโมง เมื่ออาการทุเลา ให้กินทุก 4 ชั่วโมง หรือใช้ใบแก่ 1 กำมือ ตำละเอียดผสมน้ำต้มสุก 1 แก้ว คั้นดื่มแต่น้ำ กินให้หมดภายในครั้งดียว 3.แก้เสมหะ วิธีใช้ ใช้ราก 1 กำมือ ใส่น้ำสะอาดพอท่วม ต้มให้เดือดนาน 15 นาที ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว อาการจะดีขึ้นภายใน 1 วัน และจะหายเป็นปกติภายใน 4 วัน 4.แก้ผื่นคัน/คันในร่มผ้า วิธีใช้ ใช้ใบและก้าน ทั้งแก่และอ่อน 2 กิโลกรัม ต้มกับน้ำ 1 ปี๊บ ผสมน้ำอาบ อาบครั้งแรกจะรู้สึกสบายขึ้นมาก เมื่ออาบครั้งที่สองและสามจะหายคัน หรือใช้เปลือกฝนกับน้ำกะทิ นำมาทาบริเวณเป็น วันละ 2-3 ครั้ง 5.แก้แผลพุพอง มีน้ำเหลือง วิธีใช้ ใช้เปลือก 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วม เคี่ยวจนน้ำงวด และเหลือกกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ทิ้งไว้ให้เย็น ใช้สำลีชุบแล้วนำมาเช็ดที่แผล จะทำให้แผลแห้ง สามารถใช้เป็นยาล้างแผลฆ่าเชื้อโรคได้ 6.หัด วิธีใช้ ใช้ใบ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ปี๊บ เคี่ยวจนน้ำเหลือ ½ ปี๊บ ทิ้งไว้ให้เย็น ผสมน้ำอาบ วันละ 2 ครั้ง อาบทุกวันจนหาย 7.บำรุงเหงือกและฟัน วิธีใช้ รักษาอาการฟันโยกคลอน เหงือกเป็นแผล และปากเป็นแผล ใช้เปลือกยาวประมาณ 3 นิ้ว ขูดเอาเปลือกนอกดำๆ ออก ทุบปลายให้แตก ใช้ส่วนปลายอ่อนๆ ถูฟัน ถูเสร็จก็ตัดออก เมื่อจะใช้ครั้งต่อไปก็ทุบใหม่ ทำประจำทุกเช้าเย็น ข้อควรรู้ เมล็ดและใบมีสาร azadirachtin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าแมลงได้หลายชนิด ปัจจุบันนำมาใช้ฆ่าแมลง โดยใช้ใบสะเดาบ้าน ใบตะไคร้หอมและเหง้าข่าแก่ ชนิดละ 2 ก.ก. บดละเอียด หมักค้างคืนในน้ำ 1 ปี๊บ กรองเอาแต่น้ำ ฉีดพ่นในอัตราส่วนน้ำยา 300-500 ซีซี. ต่อน้ำ 1 ปี๊บ บทความสุขภาพน่ารู้เพียบ วิธีดูแลสุขภาพ เคล็ดลับสุขภาพ http://health.haijai.com/795/ (http://health.haijai.com/795/) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 02, 2014, 03:54:06 PM (https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/934939_619338424744693_1261497870_n.jpg?oh=93a4e1245184f5ffe8e6e2202512dacd&oe=54581423)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 02, 2014, 03:54:42 PM (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/v/t1.0-9/535670_644923638852838_29990223_n.jpg?oh=eed0ec057544d6299d112e9a597191aa&oe=5449AAEC&__gda__=1414297135_fceef8f7e6a95c9602eed2d543076aff)
คุณลักษณะของสมุนไพร ผลไม้ ผัก หรืออาหารที่มีฤทธิ์เย็น หมายถึง สมุนไพร ผลไม้ ผัก หรือ อาหาร เมื่อกินเข้าไปแล้ว ดื่มน้ำตามจะรู้สึกรสของน้ำจืดกว่าปกติ และเพิ่มอาการไม่สบายจากการกระทบอากาศเย็น ลดอาการไม่สบายจากการกระทบอากาศร้อน ได้แก่ มะระหวาน ผักกาดเขียว หยวกกล้วย ต้นกล้าข้าวจ้าว ผักกูด สลัดคอส บล็อกโคลี่ มังกรหยก ผุักบุ้งจีน เห็ดกระดุมสด ดอกโสน ใบบัวบก ตำลึง ดอกแค บวบหอม ผักบุ้งหนองน้ำ แตงไทย ฟักเขียว มะละกอห่าม หัวปลี น้ำเต้า กะหล่ำดอก ใบมะยม ที่มา : ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว) เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรการแพทย์ทางเลือกวิถีธรรม หน้า ๑๒-๑๓ https://www.facebook (https://www.facebook)...&type=1 หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 06, 2015, 08:18:28 PM สุขภาพดีวิถีไทย ตอน35 "ดูแลไตไม่ให้ป่วย" ออกอากาศ 1 มิ.ย. 57 (http://www.youtube.com/watch?v=ehhNjkgFT_E#)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 06, 2015, 08:18:58 PM ผัก...อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด (http://www.youtube.com/watch?v=JYDIXMG8FeU#)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 06, 2015, 08:30:26 PM สุขภาพดีวิถีไทย ตอน34 "ปัญหาโรคไตในคนไทย" ออกอากาศวันที่ 25 พ.ค.57 (http://www.youtube.com/watch?v=Wt2Gly2Dn3A#)
หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 13, 2015, 07:24:55 PM ฟัก : ลดอ้วน บำรุงร่างกาย
ชื่ออื่นๆ : ฟักเขียว ฟักขาว ฟักแฟง บักฟัก ขี้พร้า ฟักหม่น ฯลฯ ผักสวนครัวชนิดหนึ่งที่ปลูกง่าย หาได้ง่าย เป็นผักชนิดแรกที่เด็กเริ่มหัดกิน ช่วยในเรื่องระบบย่อยอาหารและบำรุงร่างกายได้ นิยมนำมาใส่ในแกง ต้ม ผัดต่างๆ บ้างทำเป็นขนมหวานในเทศกาล แต่เมนูยอดนิยมคงจะเป็นแกงเขียวหวานไก่ฟักเขียว แกงจืดฟักต้มกับไก่ แกงเลียง ฟักเขียวผัดกับหมูใส่ไข่ ฟักเชื่อม รวมถึงยอดอ่อนที่นำมาลวก หรือต้มกะทิ กินกับน้ำพริกได้ มีรสชาติอร่อยไม่แพ้ผักอื่นเหมือนกัน ตำรายาจีนโบราณกาลระบุว่า “สำหรับผู้ที่อยากให้ร่างกายผอมแต่แข็งแรงให้กินเป็นประจำ ถ้าอยากอ้วนก็อย่ากิน” สรรพคุณ : - ใบ แก้ฟกช้ำ แก้พิษผึ้งต่อย ช่วยรักษาบาดแผล แก้โรคบิด แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้บวมอักเสบมีหนอง - ผล ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ธาตุพิการ แก้โลหิตเป็นพิษ บวมน้ำ หลอดลมอักเสบ - ไส้ฟัก แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ฝีที่เต้านม - เมล็ด ใช้ลดไข้ แก้ริดสีดวงทวาร แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้ไตอักเสบ บำรุงผิว ละลายเสมหะ ตกขาว - ราก ต้มดื่มแก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ถอนพิษ - เถาสด รสขมเย็น ใช้รักษาริดสีดวงทวาร มีไข้สูง - เปลือก เป็นยาแก้บวม ขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย แผลบวมอักเสบ มีหนอง ตำรับยา : 1. แก้ร้อนใน ไข้สูง หรือไตอักเสบเรื้อรัง : ใช้ฟัก 500 กรัม ต้มน้ำให้ได้ประมาณ 3 แก้ว แบ่งกิน 3 ครั้ง ใน 1 วัน 2. สตรีเบาขัดในระหว่างตั้งครรภ์ : คั้นน้ำฟัก 1 แก้ว ผสมน้ำผึ้งให้พอมีรสหวาน ดื่มบ่อยๆ 3. ผิวหนังมีอาการแพ้เป็นผด: ต้มเปลือกฟัก ล้างบริเวณที่เป็น 4. ผลัดตกหกล้ม เอวเคล็ด : ใช้เปลือกฟักผิงไฟให้แห้ง บดเป็นผงผสมเหล้ากินครั้งละ 6 กรัมจะช่วยลดความเจ็บปวดได้ 5. ไตอักเสบบวมน้ำ : ใช้เปลือกฟัก 120 กรัม หนวดข้าวโพด 30 กรัม ต้มกิน แบ่งน้ำที่ต้มได้เป็น 3 ส่วน กินใน 1 วัน 6. ไออักเสบเรื้อรัง : ใช้เมล็ดฟัก 15-30 กรัม ต้มกินน้ำ 7. ระดูขาว : ใช้เมล็ดฟัก 30 กรัม บดเป็นผง เติมน้ำตาลกรวด 30 กรัม ตุ๋นกินวันละ 2 ครั้ง 8.เบาหวาน : ให้ต้มฟักที่ปลอกเปลือกแล้ว ต้มน้ำกินครั้งละ 60-90 กรัมเป็นประจำ จะทำให้เบาหวานลดลง 9.ริดสีดวงทวาร : อาการอักเสบเจ็บบริเวณทวารหนัก ให้ต้มฟักแล้วเอาน้ำล้างจะลดการอักเสบลงได้ (เครดิตภาพ : YokDekCSs, lekonshore, somchoke101) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/s720x720/10380750_10153041797777028_1528898436493984812_n.png?oh=7b75687ae629f8838324bf1450eefa37&oe=55236D32&__gda__=1428211661_6ef8201f58e82f1fed7f458de7a1977b) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2015, 06:45:18 PM แตงโม : ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
มากด้วยสารไลโคพีนสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน สรรพคุณเนื้อแตงโม แก้พิษสุรา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการเจ็บคอ ส่วนเมล็ดเป็นยาเย็นและขับปัสสาวะ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การกินแตงโมช่วยบำรุงกำลังและเจริญปัญญาอีกด้วย (เครดิตภาพ : narongrits, veggieblly) (https://scontent-a-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpa1/v/t1.0-9/s720x720/10868117_10153045032627028_3034610511912654934_n.png?oh=3788ead56b52697f3139ae7132dee735&oe=552D5914) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2015, 12:46:43 PM (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/10959896_778800702168944_4853770457788895041_n.jpg?oh=cf8d09b09648c1784849b2cf57b5726f&oe=5550D23E&__gda__=1431005410_b3c5502996067cc28b6ad42767203802)
พริกไทย มีความเข้าใจเกี่ยวกับพริกไทยผิดๆถูกๆ หลายประการ เช่น กินพริกไทยทุกวันสุขภาพจะดี กินพริกไทยมากๆจะลดความอ้วนได้ พริกไทยเป็นยาบำรุงพลังทางเพศที่ดี ลองมาพิจารณาคุณสมบัติและสรรพคุณที่บันทึกไว้ในตำราเกี่ยวกับยาสมุนไพรจีน 1.คุณสมบัติและรสของพริกไทยเป็นอย่างไร พริกไทยมีรสเผ็ด คุณสมบัติอุ่น ไม่มีพิษ วิ่งเส้นลมปราณกระเพาะอาหารลำไส้ใหญ่ 2.สรรพคุณหลักของพริกไทยได้แก่อะไร ทำให้พลังลงสู่ส่วนล่าง อุ่นกระเพาะอาหาร ขับเสมหะ ขับพลังเย็นของอวัยวะจั้งฝู่ (อวัยวะภายในทั้งกลวงและตัน) ขับความเย็นในกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารย่อยได้ดีขึ้น รักษาอหิวาต์ที่มีอาเจียนร่วม อาการปวดแน่นลิ้นปี่เนื่องจากความเย็นย้อนขึ้นข้างบน บำรุงพลังของไต แก้บิดที่เป็นชนิดเย็น ฆ่าพิษของอาหารพวกปลา ปู เนื้อสัตว์ หรือเห็ด รักษาอาการปวดฟัน หลี่สือเจิน บันทึกไว้ว่า พริกไทย รสเผ็ดจัด คุณสมบัติร้อน จัดเป็นพืชที่เป็นหยาง เหมาะสำหรับคนที่กระเพาะอาหารเย็นชื้น (อาการอาเจียน ปวดท้องใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบดีขึ้น กลัวหนาว แขนขาเย็น ลิ้นซีดฝ้าขาว ชีพจรลึกช้า) 3.กินพริกไทยมากเกินไปมีโทษอะไร ทำให้ตาลาย เวียนศีรษะ เกิดฝีหนองเนื่องจากพริกไทยมีคุณสมบัติร้อนและแห้ง ถ้ากินมากทำให้ม้าม กระเพาะอาหาร ปอดถูกทำลาย ปอดแห้ง ปอดร้อน ทำให้เกิดฝีที่ผิวหนัง มีการอักเสบ เพราะรสเผ็ดวิ่งเส้นลมปราณปอดกระจายสู่ผิวหนังกระเพาะอาหาร ม้าม ร้อนแห้ง เกิดอาการอาเจียนเป็นเลือด คนที่กินพริกไทยมากและบ่อยเกินไป ทำให้ตาอักเสบได้ง่าย ทำให้คอบวมอักเสบเจ็บคอบ่อย เป็นแผลในปากและฟันอักเสบเป็นหนอง 4.ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกไทยที่สำคัญคือ อะไร o พบว่าการกินพริกไทยจะเพิ่มการหลั่งน้ำย่อยของระบบทางเดินอาหารและเพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ o มีฤทธิ์ในการลดไข้ กระจายความเย็นที่กระทบร่างกายทำให้เกิดไข้ o ฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิ และเชื้อแบคทีเรีย o ฤทธิ์ในการลดไขมันในเลือด 5.ตัวอย่างตำรับยาอย่างง่ายในการรักษาโรค เด็กระบบย่อยอาหารไม่ดี พริกไทยขาว 1.0 กรัม น้ำตาลกลูโคส 9.0 กรัม ผสมกันเป็นยาผง o เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ กินครั้งละ 0.3-0.5 กรัม วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 1-3 วัน o เด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป กินครั้งละ 0.5-1.5 กรัม วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน 1-3 วัน ทั้งนี้มักใช้ไม่เกินครั้งละ 2 กรัม ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง พริกไทยขาว 7 เม็ด ชะมดเชียง 0.15 กรัม ใช้ชะมดเชียงใส่ที่สะดือก่อน แล้วใช้พริกไทยโรยทับข้างบน ใช้ผ้าขาวปิดทับปลาสเตอร์ติดแน่นทิ้งไว้ 7-10 วันแล้ว เปลี่ยนครั้ง 10 ครั้งเป็น 1 ระยะของการรักษา มาลาเรีย พริกไทย 10-15 เม็ด บดละเอียด ใช้ปลาสเตอร์ขนาด 8 x 8 เซนติเมตร ใส่ผงพริกไทยตรงกลาง ปะติดจุดต้าจุย ใต้กระดูกคอที่ 7 (กระดูกคอส่วนที่นูนที่สุด) ทิ้งไว้ 7 วัน เป็น 1 การรักษา ถ้าปลาสเตอร์หลุดให้เปลี่ยนใหม่ 6.ข้อสรุปการใช้พริกไทยในการรักษาโรค หรือเพื่อดูแลสุขภาพ ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง พริกไทยมีคุณสมบัติร้อน รสเผ็ด กระจายตามเส้นลมปราณ กระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ และรสเผ็ดวิ่งกระจายออกตามผิวหนังด้วย คนที่เหมาะกับพริกไทย หรือจะนำพริกไทยประกอบการรักษาโรคควรต้องเป็นคนที่มีภาวะหยางในร่างกายน้อย หรือกระทบลมความเย็นเป็นหลัก การใช้ประกอบการดูแลสุขภาพที่ยุ่งยากซับซ้อนขึ้น ควรปรึกษาผู้รู้ไม่ควรกินนานจนเกินไป โดยเฉพาะผู้ที่มีหยางในร่างกายมาก เพราะจะทำให้เสียสุขภาพได้ง่ายๆ กินพริกไทยให้ได้ผล ภญ. ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เปิดเผยถึงการศึกษาชิ้นใหม่ว่า สารพิเพอรีนในพริกไทยมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ การอักเสบ อาการชัก และโรคมะเร็ง รวมถึงป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้ด้วย แต่มีข้อระวังถึงปริมาณการกินที่มากเกินไปร่วมกับอาหารจำพวกที่ใส่สารกันบูดและดินประสิวอย่างไส้กรอก แหนม กุนเชียงและผักที่ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเพื่อเร่งโต ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง และหากจะกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดนั้นควรกินร่วมกับพริกหรือขมิ้นชัน เพื่อให้ระบบย่อยอาหารและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุและสารอาหารสำคัญมีทั้งคุณและโทษอย่างนี้ ต้องเลือกกินให้ถูกวิธี http://www.doctor.or (http://www.doctor.or)...cle/detail/4518 http://www.healthandcuisine.com/detail.aspx (http://www.healthandcuisine.com/detail.aspx)… Cr ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 22, 2015, 08:57:24 PM น้ำผึ้งผสมอบเชย (Honey and Cinnamon) ดี 18 ประการ
Posted by Saiwaree on ตุลาคม 24th, 2014 ผมได้รับ ข้อมูลนี้ ทาง Line เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานน้ำผึ้งผสมกับอบเชย ที่เกิดผลดีต่อสุขภาพร่างกายของคนเรามากมาย จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ จะได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่รักสุขภาพต่อไป และขอยกข้อความทั้งหมดมาลงเลยจะได้ไม่ตกล่นใดๆ…นะครับ (http://www.100ของฝาก.com/wp-content/uploads/2014/10/honey.jpg) น้ำผึ้งผสมอบเชย (Honey and Cinnamon) ดี 18 ประการ น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสียหรือบูดเน่า จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ในที่มืดนานๆมันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆเย็นลงจนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู่สภาพพพเดิม อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลายเอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง น้ำผึ้งกับอบเชย กล้ากล่าวได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ การค้นพบข้อเท็จจริงของส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชยสามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก)ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน หนังสือ World Weekly News ของแคนนาดา ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของน้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใดได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้ : 1.โรคหัวใจ (Heart Diseases) เอาน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปังแทนเยลลีและแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้าจะช่วยลดคอเรสเตอรัลในเส้นเลือดและช่วยลดอาการหัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำ ก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมาก็จะทำให้ระบบหายใจดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนนาดาสถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่นและอุดตันได้ง่าย น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้ 2.โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis) ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทานเป็นประจำโดยชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนกับผงอบเชย 1 ช้อนชาในน้ำร้อนขนาดถ้วยกาแฟทุกเช้าและเย็น ก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้ จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน พบว่าหมอให้คนไข้รับประทานน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชยขนาด ครึ่งช้อนชาก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์คนไข้จำนวน 73 คนจากจำนวนทั้งหมด 200 คนที่เข้าร่วมโครงการทดลองมีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือนปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด 3.โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections) ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ 4.คลอเลสเตอรอล (Cholesterol) ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย 3 ช้อนชา ในน้ำชาขนาด 16 ออนซ์ให้คนไข้ที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงดื่มปรากฏว่าภายในเวลา 2 ชั่วโมงระดับคลอเลสเตอรอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ 3 เวลาก็คลอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้ ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิพร้อมอาหารเป็นประจำทุกวันช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้ 5.ไข้หวัด(Colds) สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดหวัดทั่วไปหรือไข้หนักควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย ¼ ช้อนทุกวันเป็นเวลา 3 วันก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและจมูกโล่ง 6.อาการท้องอืด( Upset Stomach) ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้อาการปวดท้องทุเลา และยังช่วยลดอาการแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย 7.ลมในกระเพาะ (Gas) ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่า ถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลดลมภายในกระเพาะอาหารลงได้ 8.ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย( Immune System) การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวันจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้งมีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมากการรับประทานน้ำผึ้งประจำยังเพิ่มเม็ดเลือดขาว เพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ 9.อาหารไม่ย่อย(Indigestion) โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารและช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อหนักได้ดี 10.ไข้หวัดใหญ่( Influenza) นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่ 11.ยาอายุวัฒนะ(Longevity) การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำช่วยชะลอความชรา วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วน้าไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปีให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี 12.แก้สิว (Pimple) ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย 1 ช้อนชาให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอนและล้างออกในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้ 13.ผิวหนังติดเชื้อ(Skin Infections) ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆกันทาบริเวณที่ติดเชื้อ จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนังชนิดต่างๆได้ 14.ลดน้ำหนัก (Weight Loss) ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆเช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง ขณะท้องว่าง และก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนักแม้คนที่อ้วนมากๆ เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้จะช่วยไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกายแม้กระทั่งในคนที่รับประทานอาหารทีมีพลังงานสูง 15.โรคมะเร็ง(Cancer) ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ผู้ทีเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งกระดูกในขั้นมากๆแล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าวควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมผงอบเชย 1 ช้อนชาเป็นประจำ 3 เวลาประมาณ 1 เดือน 16.แก้อาการอ่อนเพลีย(Fatigue) ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่าน้ำตาลในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยที่รับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณเท่าๆกัน ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น ดร. มิลตันที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะในแก้วหนึ่งแก้วโรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำหลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ 15.00 น.เมื่อร่างกายเริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์ 17.ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath) ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง 1 ช้อนชากับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน 18.สูญเสียการได้ยินกลับคืนมา (Hearing Loss) การรับประทานน้ำผึ้งและผงอบเชยผสมกันในปริมาณเท่าๆกันเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอนจะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม จำได้ไหมเมื่อครั้งเป็นเดชกุญชร? เรากินขนมปังทาเนยโรยด้วยผงอบเชย วค.๑๕กันยายน ๒๕๕๗ ข้อมูลนี้น่าสนใจนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของทุกๆท่านนะครับ รูปที่โพสต์ Posted in Health รูปที่โพสต์ Tags: น้ผึ้งรักษาโรค, น้ำผึ้ง, น้ำผึ้งผสมอบเชย, น้ำผึ้งลดน้ำหนัก, น้ำผึ้งเพื่อสุขภาพ, ประโยชน์ของน้ำผึ้ง,ประโยชน์ของอบเชย, อบเชย หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2015, 09:28:11 PM บัวหลวง : สมุนไพรมีคุณค่า
บัวนอกจากมีความสำคัญในทางศาสนาพุทธแล้ว ทุกส่วนของบัวตั้งแต่เหง้า ใย ใบ ดอก รังบัว ล้วนแล้วแต่สามารถนำไปใช้เป็นยาสมุนไพรและนำไปปรุงอาหารได้ สรรพคุณ 1. ใบบัว แก้ร้อนใน แก้ปวดหัว เลือดกำเดาออก 2. สายบัว แก้ร้อนใน ท้องเสีย ขับนิ่ว แก้ระดูขาว 3. ขั้วใบ แก้บิด ท้องเสีย 4. เมล็ดบัว แก้อาการท้องเสีย หรือมักนอนฝันเวลาหลับ ระดูขาวและประจำเดือนมากเกินปกติ 5. เยื่อหุ้มเมล็ด ช่วยห้ามเลือด 6. ดอก แก้ช้ำใน อาการผื่นคัน ห้ามเลือด 7. เหง้าบัว แก้ร้อนในกระหายน้ำ อาเจียน โลหิต เลือดกำเดาออก 8. รังบัว แก้ประจำเดือนมากผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด ริดสีดวงมีเลือดออก คันตามผิวหนัง 9. เกสรบัว รสฝาดหวาน แก้ฝันเปียก เลือดกำเดาออก ประจำเดือนมากกว่าปกติ ระดูขาว ท้องเสีย 10. ดีบัว แก้ร้อนในกระหายน้ำ อาเจียนเป็นเลือด ตาอักเสบ ตำรับยา 1. บิดเป็นมูกเลือด ใช้ขั้วใบบัวต้มน้ำดื่ม 2. ท้องเสีย ใช้เมล็ดบัว (เอาดีออก) บดเป็นผงผสมน้ำข้าว กินครั้งละ 1 ช้อนชา 3. ผื่นคัน ใช้กลีบดอกบัวพอกบริเวณที่คัน 4. ความดันโลหิตสูง ใช้ดีบัว 2 กรัม ชงดื่มต่างน้ำชา 5. แก้ร้อนในกระหายน้ำ ใช้ใบบัวสด หั่นเป็นฝอยๆ ชงดื่มต่างน้ำชา หรือต้มดื่มน้ำ 6. ร้อนในกระหายน้ำ ใช้เหง้าบัวสดคั้นน้ำ ผสมน้ำผึ้งดื่ม จะทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ (เครดิตภาพ : OsakaConventionToursimBureau, บ่งบ๊ง) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** (https://scontent-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/s720x720/10368264_10153199707232028_6360185165290543996_n.png?oh=df3f01097ccbf55f65d00dc2a81e8654&oe=55BC982F) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 29, 2015, 12:02:21 PM ลบรอย “ตีนกา” ด้วยใบบัวบก
“น้ำใบบัวบก” ที่ใครๆก็ชอบเอามาล้อคนอกหักว่ากินแก้ช้ำในช้ำใจนั้นมีประโยชน์เรื่องความสวยความงามแบบที่คุณผู้หญิงต้องอึ้งกันไปเลย เพราะมันสามารถลบรอยตีนกาได้ วิธี คือ นำใบบัวบกที่ได้มาล้างให้สะอาด แล้วนำมาปั่น หรือจะบด จะโขลก ด้วยกรรมวิธีอะไรก็ได้ที่ถนัด เพราะสิ่งที่ต้องการ คือ น้ำใบบัวบก พอได้น้ำใบบัวบกสด ๆ แล้ว ใช้สำลีชุบน้ำใบบัวบกมาทาให้ทั่วใบหน้า ทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทาทุกวันก่อนนอน หรือจะหลับไปเลยก็ได้ น้ำใบบัวบกจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ซึ่งจะช่วยลบรอยตีนกาได้ แต่ที่สำคัญต้องทำสม่ำเสมอ ถึงจะเห็นผล รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่อยากลบรอยตีนกา ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้ แบบไม่ต้องพึ่งพาโบท็อกซ์ http://club.sanook.com/ (http://club.sanook.com/) Derma Wand เลเซอร์ทำเองได้ที่บ้านHomeuse ผู้นำนวัตกรรมเลเซอร์ เจ้าแรกของไทย เทคโนโลยี่ "ฆ่าตีนกา" ลดเลือนริ้วรอย ปรับรูปหน้า สู่ผลลัพธ์เทียบเท่าศัลยกรรม โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ พิสูจน์ได้ใน 2 สัปดาห์ ไม่เจ็บ ไม่เขียวช้ำ ไม่ต้องนอนพักฟื้น เทคโนโลยีเพื่อการดูแลผิวอย่างล้ำลึก ด้วยเลเซอร์ยกกระชับลดริ้วรอย Soft Laser รุ่น Derma Wand Eraser Shot นวัตกรรมแห่งการยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอยและรอยตีนกา ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนกว่าวัยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ใช้ผ่านการทำงานด้วยคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็ก eRaser shot จะถูกส่งเข้าสู่ผิวหนังด้วยความเร็วสูง ถึง 168,000 รอบ/ วินาทีช่วยชาร์จพลังผิวอย่างเร่งด่วน โดยการเพิ่มออกซิเจนให้แก่ผิวหนัง ให้ผิวหน้ากลับมาสดชื่นมีชีวิตชีวาเสริมสร้างการทำงานให้แก่เซลล์ผิว และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต คืนความเรียบเนียน เปล่งปลั่ง สดใส ไร้ริ้วรอยก่อนวัยช่วยลดขนาด และกระชับรูขุมขนได้อย่างเห็นผลสามารถปรับระดับความแรงของเลเซอร์ได้ 3 ระดับประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องไปคลินิกหรือซื้อครีมบำรุงราคาแพงขนาดกะทัดรัดจับถนัดมือ พกพาง่าย หยิบใช้สะดวก จากราคาปกติ 8,950 บาท พิเศษสุด ๆ ลดเหลือ 6,000 บาท ส่งให้ฟรี สนใจสอบถามและสั่งซื้อได้ที่เพจ Mulee Shophttps://www.facebook.com/pages/Mulee-Shop/1434640836793112?ref=bookmarks รบกวนสมาชิกเพจความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ กดไลค์เพจและแชร์ด้วยนะครับเป็นเพจของแอดมินเอง ขอบพระคุณครับ (https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/p370x247/10404393_800452750003739_4486248472336077252_n.jpg?oh=5dbb0f82c705bc6b6262a61bc2834e3c&oe=55AF427C) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 29, 2015, 12:20:14 PM สะระแหน่ เสริมสร้างการทำงานของตับ
สะระแหน่ จัดเป็นผักที่อยู่ในกลุ่มช่วยเพิ่มกลิ่นให้กับรสชาติอาหารและค่อยดิบกลิ่นคาวของอาหารอีด้วย ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้ จึงทำให้ สะระแหน่ เป็นที่ไว้วางใจของคนไทยในการน้ำมาปรุงกลิ่นและดับคาวในอาหารไทยหลายประเภท ส่วนมากแล้วจะนิยมกลิ่นสดมากว่า บ้างก็เอาไปเป็นผักแนมในแหนมเนืองหรือเมี่ยงต่าง ๆบ้างก็เอาใบไปตากแห้งหรือใบสดแบบสด ๆใช้ไปชงกับ น้ำร้อน เป็นน้ำชาสะระแหน่ ช่วยย่อยและขับลมได้อีกด้วย สะระแหน่ถือได้ว่าเป็นพืชล้มลุก และเป็นไม้เลื้อยคลุมดิน จะมีไหลหรือลำต้นใต้ดินที่ใช้ในการขยายพันธุ์ ชอบดินร่วนซุย ถือได้ว่าเป็นผักชนิดหนึ่งที่ปลูกง่ายโตเร็วไม่ค่อยชอบแสงแดดมากนักปลูกได้ในที่ร่มรำไร แต่ถ้าไม่มีแสงแดดเลยก้ไม่ได้นะครับ การปลูกสะระแหน่ การปลูกสะระแหน่จะใช้ไหลในการปลูกหรือเรียกตามศัพท์ทั่วไปก็คือใช้กิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปในการปลูกวิธีปลูกก็ใช้การปักชำในลงภาชนะที่เราเตรียมดินและปรุงดินไว้แล้วด้วยการรดน้ำให้ชุ่มก่อนการปักชำนะครับ การปักชำให้ปักชำในลักษณะเฉียง 45 องศา ในกระถางหนึ่งเราสามารถปักชำได้ประมาณ 5 ถึง 6 กิ่งขึ้นอยู่กับขนาดปากของภาชนะนั้น ๆว่ากว้างหรือเปล่า ควรที่ใช้ภาชนะที่มีปากกว้างจะดีกว่าเพราะลักษณะการเจิรญเติบโตของสะระแหน่นั้นจะไหลไปตาผิวดิน เมื่อปักเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เอาดินกลบบาง ๆใช้แกลบเผาโรยทับอีกชั้นไม่ต้องหนาแล้วรดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง เพียง 5 ถึง 7 วันก็จะเริ่มแตกยอดอ่อนใหม่ให้เราเห็นแล้ว การดูแลสะระแหน่ การดูแลสะระแหน่ก็เหมือนกับการดูแลพืชผักทั่วไปคือการรดน้ำเช้าเย็นอย่างสม่ำเสมอแต่ไม่ต้องแฉะมาก หลังจากปลูกไปได้ 7 วัน 15 วัน และ 30 วันควรที่จะใส่ปุ๋ยหมักหรือน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงใบ หมั่นตัดยอดหรือตัดกิ่งจะช่วยให้อายุของสะระแหน่ยืนยาวได้อีกแต่ถ้าไม่ตัดแต่งกิ่งก้านเลยต้นจะแคระแกร็นและตายได้ง่าย ส่วนเรื่องโรคและแมลงนั้นไม่ค่อยที่จะมีการบกวน นอกจากพวกเพลี้ยที่อาจจะมีบ้าง ใช้น้ำสบู่รดเช้าเย็นติดกัน 2 ถึง 3 วันใบก็จะกลับมางามอีกครั้ง การเก็บสะระแหน่ หลังจากปลูกสะระแหน่ไปได้ 1 เดือนแล้วเราก็สามารถที่จะเริ่มเก็บยอดไปใช้ได้แล้ว สิ่งสำคัญในการเก็บเลยก็คือควรใช้กรรไกรในการตัดเอาแต่ยอด ไม่ควรเด็ด เพราะจะทำให้กระทบกระเทือนถึงรากและทำให้สะระแน่ตายเร็วขึ้นซึ่งตรงนี้ต้องระวังให้มาก ผักประเภทนี้ยิ่งตัดยอดอ่อนบ่อยก็ยิ่งแตกกิ่งผลิใบใหม่ๆมากขึ้น ประโยชน์ของสะระแหน่ สะระแหน่ มีสารสำคัญที่ชื่อว่าเมนทอล(Menthol)ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เย็นซาบซ่ามีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย ช่วยแก้ปวด มีฤทธิ์ทำให้ชาลดอาการอักเสบ ฆ่าเชื้อโรค คลายกล้ามเนื้อเรียบ ขับลมในกระเพาะ บรรเทาอาการคัดจมูก ขับเสมหะ ลดไข้ ทำให้เส้นเลือดบีบตัว เสริมสร้างการทำงานของตับ http://www.thaiarcheep.com/ (http://www.thaiarcheep.com/) (https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-9/10408921_800094736706207_5037085821059857971_n.jpg?oh=624df8431da14e0f665de44f5db60f72&oe=55732832&__gda__=1433814788_2eb06f18138272b3f47a5d31343ae27e) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 09, 2015, 09:39:13 PM รู้ไว้ 5 สมุนไพร เพื่อวัยสูงอายุ
(http://img.s-msn.com/tenant/amp/entityid/AAaygQh.img?h=202&w=270&m=6&q=60&o=f&l=f) 5 สมุนไพรเพื่อวัยสูงอายุ คอลัมน์ 360องศากับแพทย์ทางเลือก ข้อมูล : พญ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และเทคโนโลยี ผนวกกับการที่คนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ จึงส่งผลให้ ประเทศไทยได้ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเตรียมร่างกาย จิตใจ ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นไว้แต่เนิ่นๆ หรือดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทตั้งแต่อายุน้อย ๆ จะทำให้การปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติเป็นไปได้ดีกว่าการดำรงชีวิตที่ขาดเป้าหมายที่ดี การแพทย์แผนไทยถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการนำสมุนไพรหลากหลายชนิดมาใช้รักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เพื่อช่วยในการประคับประคอง อาการ และลดความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งสมุนไพรเพื่อวัยสูงอายุและผู้ที่ใกล้เข้าสู่วัยสูงอายุ มีดังนี้ 1. สมุนไพรบำรุงกระดูก เนื่องจากผู้สูงอายุมักพบปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียแคลเซียมที่กระดูก ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง กระดูกเปราะและหักง่าย ดังนั้นหลักในการดูแลทั่วไป คือ ให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ โดยเฉลี่ยประมาณวันละ 800 มิลลิกรัม อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ นม ปลาป่น หรือปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง นอกจากนี้ยังมีผักใบเขียวหลายชนิดที่มีปริมาณแคลเซียมสูง และหาง่าย ราคาถูก ได้แก่ ใบยอ ช้าพลู มะขาม แค และผักกะเฉด 2. สมุนไพรบำรุงสายตา จากความเสื่อมถอยของร่างกาย ผู้สูงอายุมักจะพบปัญหาโรคทางสายตา เช่น ตาฝ้าฟาง ตาเป็นต้อกระจก ต้อเนื้อ และขาดวิตามินหลายชนิด เนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อยลง หลักการดูแลทั่วไป คือ การรักษาตามอาการ ซึ่งการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น ควัน แสงแดดจัดโดยตรง และเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ กะเพรา ขี้เหล็ก แครอท และฟักข้าว 3. สมุนไพรช่วยเจริญอาหาร ตามตำรายาไทย สมุนไพรช่วยเจริญอาหารมักจะมีรสขม ซึ่งเรียกว่า bitter tonic และสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนจะช่วยกระตุ้นให้น้ำลายและน้ำย่อยอาหารออกมา ซึ่งสมุนไพรที่จะสามารถช่วยเจริญอาหาร ได้แก่ สะเดา กระชาย และพริกขี้หนู 4. สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ช่วยระงับประสาท และช่วยให้นอนหลับ มีหลายชนิด เช่น ระย่อม ให้ใช้ส่วนผงรากแห้งบดละเอียด รับประทานวันละ 100 มิลลิกรัม ก่อนนอน แต่ถ้าเป็นขี้เหล็กให้ใช้ส่วนใบแห้ง ประมาณ 30 กรัม หรือใบสด 50 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มก่อนนอน เป็นต้น 5. สมุนไพรเสริมสรรถภาพทางเพศ ปัญหาสมรรถภาพทางเพศเกิดได้ในวัยสูงอายุ ดังนั้นหากเข้าใจธรรมชาติของร่างกายมนุษย์แล้ว การนำสมุนไพรมาใช้จึงเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสมุนไพรที่มีบันทึกตามตำรายาไทย มีหลายชนิด เช่น กวาวเครือ กระเทียม ดีปลี กระชาย กำลังช้างสาร โด่ไม่รู้ล้ม ตะโกนา ม้ากระทืบโรง สะค้านแดง โสมไทย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การทำจิตใจให้แจ่มใส เป็นการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องที่สุด สมุนไพรที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ตามตำราการแพทย์แผนไทยที่มีบันทึกไว้ ถึงอย่างไรสภาพร่างกายที่เสื่อมถอย ร่วงโรยตามวัย ยาใด จักช่วยท่านได้ถ้าจิตใจของท่านไม่สงบ ดังนั้นตามแนวพุทธศาสนา การทำสมาธิ ภาวนา จะช่วยให้จิตใจเป็นสุข ร่างกายก็จะสุขตามไปด้วยเช่นกัน msn หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 17, 2015, 05:52:40 PM แมงลัก : ผักริมรั้วมากคุณค่า
เป็นพืชล้มลุกอยู่ในสกุลเดียวกับกะเพราและโหระพา ต่างกันที่กลิ่น ใบจะมีสีเขียวจางกว่าใบกะเพรา ใบแมงลักใช้กินสด ใส่สลัดผัก ประดับจานอาหาร ส่วนมากในประเทศไทยจะกินกับขนมจีน หรือใส่แกงเลียงและแกงต่างๆ ผลที่คนไทยเรียกว่าเมล็ดแมงลักใช้ทำขนมน้ำแข็งไส ใส่ไอศกรีม ใส่น้ำเต้าหู้ หรือใส่ในวุ้น สรรพคุณทางยา 1.ขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม 2.ขับเหงื่อ เมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ค่อยสบาย นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม 3.บรรเทาอาการหวัด อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หลอดลมอักเสบ ใช้ใบแมงลัก 1 กำมือล้างสะอาด โขลกคั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไลบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับกรณีของหลอดลมอักเสบให้คั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไล 3 เวลาเช้า-กลางวัน-เย็น 4.บรรเทาอาการผื่นคัน พิษจากพืช พิษสัตว์กัดต่อย หรืออาการคันจากเชื้อรา ใช้ใบแมงลักสดโขลกพอกบริเวณที่มีอาการ และเปลี่ยนยาบ่อยๆ 5.แก้ท้องร่วงท้องเสีย ใบแมงลักสัก 2 กำมือ ล้างสะอาด โขลกบีบคั้นน้ำดื่ม แก้ท้องร่วงได้ 6.เพิ่มน้ำนมแม่ ให้แม่ที่ให้นมลูกกินแกงเลียงหัวปลี ใส่ใบแมงลัก และให้ลูกดูดหัวน้ำนมบ่อยๆ เพิ่มการสร้างน้ำนมแม่ 7.บำรุงสายตา ใบแมงลักมีวิตามินเอสูง การกินใบแมงลักเป็นประจำช่วยบำรุงสายตา 8.บำรุงเลือด แก้โลหิตจาง ใบแมงลักอุดมด้วยธาตุเหล็กช่วยบำรุงโลหิต 9.เสริมสร้างกระดูก ใบแมงลักมีแคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูก 10.ยาระบาย ใช้เมล็ดแก่ของแมงลัก สัก 1 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ปล่อยให้พองตัวดีแล้ว เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มแก้ท้องผูก แนะนำให้ใช้กับหญิงตั้งครรภ์และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง ที่ไม่ต้องการภาวะท้องผูกเพราะเป็นการแก้ปัญหาแบบธรรมชาติ 11.ใช้ลดความอ้วน เปลือกผล (ที่เรียกเมล็ดแมงลัก) มีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกาก ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมง ดื่มน้ำตาม ช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง ลดปริมาณพลังงานอาหาร ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว จำนวนครั้งในการขับถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น ลดอาการท้องผูกด้วย ** ข้อควรระวังการใช้แมงลัก ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้เกิดอาการขาดน้ำ และอาจเกิดอาการลำไส้อุดตันได้ (โดยเฉพาะแมงลักที่บดเป็นผง) (เครดิตภาพ : Charity, Professional, หนูรี, pirun) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-9/p526x296/15520_10153270588277028_4898722179866339172_n.png?oh=62ccd5b1e0fc01a838c9a1eec278cac9&oe=559DCDC6&__gda__=1436692136_a52c958f482f15ad888db0ec8989b6bf) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 21, 2015, 07:28:47 PM ใครเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน หรือ โรคหัวใจตีบตัน บ้างครับ วันนี้มียาสมุนไพรมาฝากกันครับ
Paweena Aukkayaweitee แพทย์เฉพาะทางด้านหลอดเลือดหัวใจเห็นทีจะตกงาน เมื่อมีสูตรลับสุดยอดที่จะไม่ทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในกรุงลอนดอน เมื่อเขาได้เดินทางไปประชุมที่ประเทศปากีสถาน และเกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างฉับพลัน ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลและตรวจพบว่า เส้นเลือดสามเส้นที่ลำเลียงเข้าสู่หัวใจของเขาเกิดการอุดตัน ต้องทำการผ่าตัด ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ในช่วงเวลานั้นเขาได้ไปพบนักบำบัดชาวมุสลิมโบราณ ชื่อ Hakim, Hakim ได้ปรุงยาให้เขาทานเป็นเวลานาน 1 เดือน หลังจากนั้นเขาได้กลับไปที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้งเพื่อตรวจอาการ กลับพบว่าเส้นเลือดทั้งสามเส้นนั้นไม่พบการอุดตัน เนื่องจากชายผู้นี้ป็นผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาคริสต์ และต้องการช่วยเหลือผู้คน จึงได้นำเอาภาพของเส้นเลือดทั้งสามเส้น ทั้งที่ตรวจพบการอุดตัน และหลังจากการบำบัด ซึ่งในภาพได้แบ่งปันถึงสูตรนั้น อัพโหลดสู่อินเตอร์เน็ต วัตถุดิบ: มะนาวหนึ่งลูกครึ่ง และขิง 2 ชิ้นใหญ่ และน้ำส้มสายชูจากแอปเปิ้ล600cc วิธีทำ 1. ขิงปลอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นบางๆ 2. นำขิงใส่หม้อ เติมน้ำมะนาว น้ำส้มสายชู เปิดไฟแรงจนเดือดจึงลดไฟลงต้มต่อ โดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ ใช้เวลาต้มประมาณครึ่งชั่วโมง หรือปริมาณของเหลวลดลงครึ่งหนึ่ง 3. วางทิ้งไว้ให้เย็น เก็บใส่ขวดปิดฝา ใส่ตู้เย็น ดื่มเวลาท้องว่าง โดยนำ 2 ช้อนโต๊ะ (30-40 cc) เจือจางกับน้ำเปล่า 500cc แบ่งดื่มวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น เมื่อดื่มต่อเนื่องไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน จะไม่ตรวจพบเส้นเลือดเกิดการอุดตัน เคล็ดลับสุดยอดนี้จำเป็นต้องเผยแพร่ให้แก่ผู้คนที่ท่านรัก Paweena Aukkayaweitee ข้อมูลจากคุณchinda. 1. น้ำขิงสด 1 ถ้วย กรรมวิธี นำขิงสด มาปั่นใส่น้ำเข้าไปด้วย เสร็จแล้วนำมากรองให้ได้ 1ถ้วย 2. น้ำกระเทียมสด นำกระเทียมสด ที่ทำอาหาร แกะแล้วนำมาปั่นใส่น้ำเสร็จแล้วนำมากรองให้ได้1 ถ้วย 3. ตอนเคี่ยว ให้งวดเหลือ 3 ส่วนหมายถึงเหลือ ะ3ส่วน จากเดิม 4 ส่วนคือ= น้ำขิง น้ำมะนาว น้ำกระเทียม น้ำส้มสายชู= ทั้ง 4 อย่างนำมาเคี่ยวไฟอ่อนๆ ประมาณ ครึ่ง ชั่วโมงให้เหลือ 3ส่วนก็ใช้ได้แล้วค่ะ == ควรระวัง หากเป็นโรคกระเพาะ (https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/1965017_596969053729424_1947784585_n.jpg?oh=4243fb77c4ac9c9657eefde24863b7fc&oe=55A6748A&__gda__=1436828579_69e674b2f28e7e51e32d59ae62d52db5)(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/1779721_596969050396091_554069106_n.jpg?oh=3c9aaf06632bbccafe446c28dfcd8e40&oe=559A6DC4&__gda__=1436591031_207f510d8179be1f6289abb222109246) (https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/1653456_596969073729422_349232412_n.jpg?oh=7612bc9998c7314bab265db627aa982f&oe=55A8E3C2&__gda__=1440955275_50919a049a3b2eca7d63b8321422f11c) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 22, 2015, 11:59:55 AM ผักตำลึง กับผลการทดลอง ลดน้ำตาลในเลือด
และมีสารอาหารมาก ชื่ออังกฤษ : Ivy Gourd ชื่อท้องถิ่น : ผักแคบ (เหนือ) แคเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน) สี่บาท ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตำลึงเป็นไม้เถามีอายุอยู่ได้หลายปี เมื่ออายุมากเถาจะใหญ่และแข็ง เถาสีเขียวตามข้อมีมือเกาะ ใบออกสลับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกสีขาว ข้างในมีเกสรสีเหลืองอ่อน ผลคล้ายลูกแตงกวา แต่ขนาดเล็กกว่า ผลดิบสีเขียว และมีลายขาว เมื่อลูกสุกเต็มที่สีแดงสด ปลูกเป็นผักขึ้นตามรั้วบ้านตามชนบททั่วไป ปลูกโดยใช้เมล็ด สาระสำคัญที่พบ น้ำย่อยแป้ง ( amylase ) ฮอร์โมน และอัลคาลอยด์ มีกรดอะมิโน ( amno acid ) หลายชนิด ในผลตำลึงพบสาร คิวเคอร์บิตาซิน ( cucurbitacin ) มีสาร pectin ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้มี daucosterol , glucopyranosyl , sitosterolm , taraxerone คุณค่าทางด้านอาหาร ในตำลึงมีคุณค่าทางด้านอาหารสูง ประกอบด้วยวิตามินเอ และสารแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามิน และอื่นๆ นับเป็นอาหารบำรุงที่ดี ยอดตำลึงใช้เป็นผักปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงจีดตำลึงหมูสับ แกงเลียง หรือใส่ก๋วยเตี๋ยวแทนถั่วงอกก็ได้ ส่วนที่ใช้เป็นยา ใบสด ขนาดที่ใช้ ตำลึง250 กรัมต่อน้ำหนักตัว50 กิโลกรัม เช้า – เย็น วันละ 2 ครั้ง รสและสรรพคุณยาไทย รสเย็น ใบสด ตำคั้นน้ำ แก้พิษแมลงกัดต่อย ที่ทำให้ปวดแสบปวดร้อน และคัน ประโยชน์ทางยา ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ยุงกัด ถูกตัวบุ้ง ใบตำแย แพ้ละอองข้าว โดยเอา ใบสด 1 กำมือ ( ใช้มากน้อย ตามบริเวณที่มีอาการ ) ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย ใบแก่ ของตำลึงมีสรรพคุณทางยาคือ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด อุดมไปด้วยสาร pectin ซึ่งหมอยาสมุนไพรพื้นบ้านชาวตะวันออก ได้ใช้รักษาโรคเบาหวานแต่โบราณ เมื่อปีพ.ศ. 2523 ได้มีการศึกษาโดยการแบ่งคนไข้โรคเบาหวานชาวปากีสถาน 32 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม เท่าๆกัน กลุ่มหนึ่งให้รับประทาน ยาใบตำลึงวันละ 6 เม็ด พบว่าเมื่อให้ยาติดต่อกัน 6 สัปดาห์น้ำตาลในเลือดของคนไข้กลุ่มนี้ลดลง และความสามารถในการใช้น้ำตาลดีขึ้น 20% เพียงแต่ว่ากระบวนการรักษาโรคเบาหวานของตำลึงนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด รายงานการทดลอง ส่วนใหญ่นั้น จะพบว่าส่วนต่างๆของตำลึงมีผลในการลดน้ำตาลในเลือด เช่น พ.ศ 2496 ในประเทศอินเดีย ให้กระต่ายที่เป็นโรคเบาหวาน กินน้ำต้มรากตำลึงเป็นเวลาประมาณ 58 – 71 วัน พบว่า น้ำตาลในเลือดของกระต่ายส่วนใหญ่ลดลงจนเกือบเป็นปกติ พ.ศ 2515 ในประเทศไทย มีการทดลองใช้สารสกัดแอลกอฮอล์ จากเถาตำลึง กับกระต่ายที่เป็นเบาหวาน พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหลังจากกินยา ไปแล้ว 1 ชั่วโมง และยาออกฤทธิ์นาน 6 ชั่วโมง โดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 50% ของยาลดน้ำตาล ทอลบูตาไมค์ พ.ศ 2536 ประเทศเยอรมัน ทดลองใช้สารสกัดจากผลตำลึง ขนาด 200 มก./100 กรัม ในหนูปกติ มีฤทธ์ ลดน้ำตาลในเลือดได้ พ.ศ 2546 ในประเทศอินเดีย ทำการทดลองในหนูที่เป็นเบาหวาน ที่กระตุ้นโดยสาร Streptozotoein โดยใช้ สารสกัดจากใบตำลึง 200 มก./กก. ให้สารสกัดทางปากแก่หนู เป็นเวลานาน 45 วัน ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดไ ด้ดีกว่ายา glibenclamide มีรายงานการทดลองจากต่างประเทศ ว่าน้ำต้มผักตำลึงจะมีฤทธิ์ครึ่งหนึ่งของน้ำยาสกัดแอลกอฮอล์ ส่วนในคนนั้น พบว่า มีการทดลองโดยนำใบตำลึงมาคั้น ในอัตราส่วนน้ำ 20 มล.ต่อใบตำลึง1 กก. โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานดื่มวันละ 2 ครั้ง พบว่า ได้ผลในการลดน้ำตาล เช่นกัน ส่วนรายงานการทดลองที่ไม่ได้ผล นั้นส่วนหนึ่งพบว่าเมื่อนำส่วนของตำลึงที่ใช้ประกอบอาหารมาสกัดให้หนูที่เป็นเบาหวานกิน ปรากฏว่าไม่สามารถลดน้ำตาลในหนูได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใบและยอดอ่อนของตำลึงมีอายุน้อยเกินไป ในปีค.ศ 2003 ประเทศอินเดีย มีการทดลอง สารสกัดจากใบตำลึงในหนูที่ถูกกระตุ้นให้เป็นเบาหวาน พบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ การทดสอบความเป็นพิษ โดยป้อนสารสกัดทั้งต้นด้วยน้ำ และแอลกอฮอล์ ( 1:1 ) ในขนาด ( 1:1) ในขนาด 10 ก/กก. ไม่พบสารพิษ ขอบคุณข้อมูลตำลึง จากหนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน รวบรวมเรียบเรียงโดยเภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก(พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับปรับปรุง) ตำลึงตัวเมีย ใบ รสเย็น ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ดับพิษฝีถอนพิษของตำแย แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน ดอก รสเย็น แก้คัน เมล็ด รสเย็นเมา ตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด เถา รสเย็น ใช้น้ำจากเถาหยอดตา แก้ตาฟาง ตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ ชงกับน้ำ ดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ ราก รสเย็น ดับพิษทั้งปวง น้ำยาง, ต้น,ใบ, ราก รสเย็น แก้โรคเบาหวาน หัว รสเย็น ดับพิษทั้งปวง ตำลึงตัวผู้ หัว รสเย็น ดับพิษทั้งปวง ระบายท้อง ขอบคุณสรรพคุณตำลึงจากหนังสือเภสัชกรรมไทย ฯ โดยวุฒิ วุฒิธรรมเวช ผักตำลึง บางคนกินมากเกินต่อครั้ง หรือต่อมื้ออาหาร ทำให้เกิดการะบายท้อง แล้วเข้าใจว่าท้องเสีย พอต่อมาก็ทำให้ไม่อยากกินอีก หรือสั่งผู้ทำอาหารว่าไม่ต้องนำมาทำอาหารอีกนะ กินแล้วท้องเสีย ทำไมไม่คิดว่า ล้างลำไส้ด้วยผักตำลึง ช่วยระบายท้อง บ้างก็ดีนะ พอมื้อต่อๆมาเราก็ควรกินแต่พอดี หากไม่ทานเลย ก็น่าเสียดายคุณค่าของสารอาหารในผักตำลึง ซึ่งเป็นผักที่ปลูกเองได้ ไม่ปลูกก็เก็บริมรั้วบ้านตัวเองหรือเพื่อนบ้าน ได้เช่นกัน หรือหาซื้อได้ง่ายจากตลาดและมีราคาถูก ผู้อยู่ในเมืองเราคงต้องหันมาเริ่มปลูกตำลึงกันไว้บ้างแล้วนะคะ หรือบ้านที่มีอยู่บ้างแล้วก็ต้องไม่ถอนตัดทิ้งหมดเหลือ ราก-เถาไว้บ้าง ผู้เขียนเวลากลับบ้านสุพรรณ มีให้เห็นรอบบ้าน เจ้าตำลึงก็พันเลื้อยเต็มไปหมด ไม่ว่าบนต้นมะกรูด มะลิเป็นพุ่ม กระถิน ฯ ก็ต้องดึงถอนทิ้งบ้าง เมื่อเด็กๆเก็บยอดตำลึงเด็ดสดๆจากต้น สั้นๆเฉพาะยอด มาลวกจิ้มน้ำพริก ก็อร่อยมากแล้ว ตำลึงเป็นผักที่นำมาต้มบดเป็นอาหารให้เด็กเล็ก ก่อนทานข้าวเป็นเมล็ดดีมากๆ เพราะสารอาหารที่มีประโยชน์มีมาก บดให้ละเอียดง่าย ต่อนี้ไปเราไม่ควรมองข้ามผักตำลึงนานเกินไป นำมาทำอาหารกันบ้างนะคะ และครอบครัวไหนที่มีผู้ป่วยโรคเบาหวานก็นำใบแก่ตำลึงตัวเมีย ฯ ทำเป็นอาหารให้ทานเป็นประจำ เพื่อช่วยลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งในแต่ละมื้อควรแบ่งทานแต่พอดี หรือผู้ที่เป็นโรคท้องผูก ก็ทานผักตำลึงบ่อยๆก็น่าจะช่วยระบายท้องได้ดี ด้วยความปรารถนาดี กานดา แสนมณี http://www.gotoknow.org/posts/484296 (http://www.gotoknow.org/posts/484296) (https://scontent-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xat1/v/t1.0-9/11160657_811642552218092_3810691434480010258_n.jpg?oh=370b35a24602d513c6bebdd8be0267a9&oe=55E04864) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 23, 2015, 10:09:46 AM น้ำอัญชัน
ดอกอัญชันมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมและนัยน์ตามากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ต้องการบำรุงสายตาและช่วยป้องกันอาการเหนื่อยล้าของสมอง ป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง ส่วนประกอบ : ดอกอัญชัน 100 กรัม น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ : นำดอกอัญชันสด 100 กรัมล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อ เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย ต้มจนเดือดปิดฝาทิ้งไว้ ประมาณ 2-3 นาที แล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจากหม้อต้ม จากนั้นผสมน้ำดอกอัญชันกับน้ำเชื่อม น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว คนให้เข้ากัน ชิมรสมตามชอบ เทใส่แก้ว ตามด้วยน้ำแข็งพร้อมดื่ม อย่างไรก็ตามหากไม่ชอบกินหวาน สามารถใช้ดอกอัญชันตากแห้ง 10-25 ดอก ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย ดื่มแทนชาก็ได้ (เครดิตภาพ : ปูขาเก เซมารู, Morningglory Khae) (https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xta1/v/t1.0-9/p526x296/11222248_10153440139747028_1400851698740194761_n.png?oh=200a2c78974aec4ce911fa2455dcbdec&oe=55E9F050) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 05, 2015, 09:19:12 AM ลดสารพิษเพื่อสุขภาพด้วยสมุนไพร
คนเมืองพึงระวังเรื่องสุขภาพ เพราะท่านอยู่ในกลุ่มที่สะสมสารพิษ โรคภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่าย คนเมืองเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้งด้านอากาศ อาหาร น้ำ และร่างกายต้องสะสมสิ่งแปลกปลอมที่เป็นสารพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำทุกวัน ทำอย่างไรคนเมืองจึงจะมีทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีได้ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เลือกไม่ได้เช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำคือใช้สมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพ ซึ่งสมุนไพรดังกล่าวนี้มีสรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนไทยช่วยในการล้างพิษ น่าที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในรูปเครื่องดื่มประจำวัน หรือใช้ในการอาบอบเพื่อช่วยขับพิษในร่างกายได้ สมุนไพรที่มีสรรพคุณในการล้างพิษที่น่าสนใจมีอยู่หลายตัว เป็นสมุนไพรที่มีรสจืด จากการสอบถามหมอพื้นบ้านหลายท่านที่มีประสบการณ์ในการรักษาผู้ที่กินยาฆ่าแมลง หรือเกษตรกรที่เจ็บป่วย เพราะใช้สารพิษหรือสารเคมีทางการเกษตร รวมถึงผู้ที่ติดยาเสพติด หมอพื้นบ้านใช้สมุนไพรในกลุ่มนี้รักษาซึ่งใช้ได้ผลดี ดังนั้นแม้คนในเมืองจะไม่ไช่กลุ่มคนที่เผชิญกับสารเคมีโดยตรงอย่างเกษตรกร แต่ในกระบวนการบริโภคนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพืชผักที่นำมาประกอบอาหารนั้น ล้วนแต่ผ่านการปลูกด้วยการฉีดยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี เช่นกัน นอกจากนี้วิถีชีวิตประจำวันยังดูดซับสารพิษจากมลภาวะทางอากาศอีกเป็นประจำ จึงอยากเสนอทางเลือกในการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร เพื่อช่วยลดสารพิษในร่างกาย รางจืด เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันกว้างขวางในเรื่องสรรพคุณช่วยลดสารพิษ โดยเฉพาะบรรดาคอเหล้าทั้งหลายมักนิยมนำไปต้มดื่มเพื่อแก้อาการเมาค้างหรือ ถอนพิษเมาค้าง นอกจากรางจืดตัวนี้แล้ว ยังมีว่านรางจืดอีกตัวที่นิยมอมก่อนไปกินเหล้า เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ไม่เมาเหล้า (แล้วจะกินไปทำไมก็ไม่รู้ให้เปลืองเงิน) นอกจากนี้ ชาวบ้านตามชนบททั่วไปยังใช้ถอนพิษเมาเบื่อจากเห็ด โดยส่วนมากชาวชนบทมักจะนิยมเก็บเห็ดไปทาน โดยบางคนก็ไม่มีความรู้ว่าเห็ดที่ตนเก็บมานั้นกินได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองที่เรามักพบข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีคนกินเห็ดจนต้องเข้า โรงพยาบาลล้างท้องทุกปี แต่หมอพื้นบ้านเขาต้มล้างจืดให้ดื่มแก้ทางกันไม่นานอาการก็ดีขึ้น สรรพคุณของรางจืดตามตำราใช้รากและเถามาปรุงเป็นยาถอนพิษ แก้พิษเบื่อเมา แก้พิษไข้ หรือใช้เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ ส่วนมากจะพบตามร้านขายยาหรือหมอพื้นบ้านที่ใช้รากหรือเถา แต่โดยทั่วไปนั้นจะใช้ใบรางจืดตากแห้งต้มดื่มหรือชงดื่มเป็นชา งานวิชาการหรืองานวิจัยเกี่ยวกับรางจืดยังไม่พบมากนัก จริง ๆ แล้วถ้ามีการส่งเสริมการวิจัยสมุนไพรตัวนี้ให้สามารถใช้ได้ ศึกษาเพิ่มเติมทางคลินิกถึงความปลดภัย น่าจะมีอนาคตไกล ที่สำคัญคุณสมบัติอย่างนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชนด้วย วิธีใช้ คัดเลือกใบแก่ ล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดหรืออบให้แห้ง ใช้ต้มดื่มหรือชงแบบชาเป็นประจำเช้า-เย็น วันละ 1 แก้ว ย่านาง เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่รู้จักโดยทั่วไป แต่จะเป็นชาวชนบทส่วนใหญ่ที่ใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรชนิดนี้ ในตำรายาแผนไทยย่านางเป็นหนึ่งในตำรายาเบญจโลกวิเชียรหรือยาห้าราก ที่มีสรรพคุณโดดเด่นในการถอนพิษไข้ ย่านางมีชื่อเรียกหลายชื่อ เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว หญ้าภคินี ปู่เจ้าเขาเขียว ผักจอยนาง เป็นผักพื้นบ้านอีกชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการคือมีวิตามินเอและแคลเซียมสูงมาก ๆ และการประกอบอาหารที่ใช้น้ำคั้นจากย่านางนี้เพื่อเป็นการฆ่าฤทธิ์ของสารบางตัวที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ช่วยลดฤทธิ์ขมเฝื่อน ช่วยให้หน่อไม้มีรสชาติหวานอร่อยขึ้น ในขี้เหล็กก็เช่นกัน ประโยชน์ทางยานั้นจะใช้ราก ซึ่งมีรสจืด ใช้แก้ไข้ทุกชนิด เช่น ไข้ผิดสำแดง คือ อาการไข้ที่เกิดจากการกินอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย ไข้พิษ ไข้เหนือ ถือเป็นยากระทุ้งพิษหรือขับพิษไข้ โบราณใช้ใบย่านางต้มกับใบรางจืดให้ผู้ป่วยดื่มและใช้เช็ดตัวเพื่อแก้ไข้ตัวร้อน ปัจจุบันย่านางได้รับความนิยมสูงในการนำมาดูแลสุขภาพ ลดความร้อนในร่างกาย โดยเอาน้ำคั้นใบย่านางดื่มหรืออาจคั้นร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ยาเย็นเหมือนกัน เช่น ใบเตย ผักบุ้ง ผักบุ้งไทย เป็นผักพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณโดดเด่นแก้พิษถอนพิษ หมอพื้นบ้านหลายท่านแนะนำให้ใช้น้ำต้มผักบุ้งดื่มเพื่อล้างสารพิษจากยาฆ่าแมลง หรือในตำรับยาอบและอาบสำหรับรับบำบัดผู้ติดยาเสพติดก็จะมีผักบุ้งเป็นตัวยาหลัก ผักบุ้งมีหลายชนิด แต่บ้านเราทั่วไปนิยมบริโภคผักบุ้งจีนเพราะมีสีเขียวอวบ น่ารับประทานและรสชาติค่อนข้างจะหวานกว่าเล็กน้อย แต่ผักบุ้งบ้านเรารสชาติค่อนข้างเฝื่อน นิยมรับประทานแกล้มส้มตำมะละกอ หรือลวกจิ้มน้ำพริก สรรพคุณตามตำรายาระบุว่า รากผักบุ้งมีรสจืดเฝื่อน แก้ถอนพิษผิดสำแดง ส่วนลำต้นและใบ มีรสเย็นถอนพิษเบื่อเมา นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยาฆ่าเชื้อ สามารถรักษาแผลเป็นหนองได้ และลดอาการคันจากพิษแมลงกัดต่อยได้ด้วย ในแต่ละมื้อมีผักบุ้งไทยสัก 1 กำมือ รับประทานแกล้มน้ำพริกเป็นประจำทุกวัน ถ้าไม่รับประทานสดก็อาจต้ม แล้วนำน้ำต้มนั้นอย่าทิ้งเด็ดขาด ใช้ดื่มล้างพิษได้ ถ้ารับประทานผักบุ้งทุกวันก็ช่วยลดสารพิษในร่างกายได้แล้วจะในรูปผักสดหรือ ต้มดื่มน้ำก็ใช้ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง http://www.healthcorners.com/2011/article.php (http://www.healthcorners.com/2011/article.php)… (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/v/t1.0-9/11390065_845152025533811_6007785506763422718_n.jpg?oh=63c2e58aaa64a045fa66b75be15c9543&oe=5629938C&__gda__=1443962941_c05091db5d57a3b24af04c8a817ebe33) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 16, 2015, 04:29:02 PM *หลนธัญพืช*
สวนผสมฤทธิ์เย็น 1. ถั่วเขียว 1/2 ถ้วย 2.ถั่วเหลือง 1/3 ถ้วย 3.ถั่วทอง(ถั่วเขียวซีก) 1/3 ถ้วย 4.ลูกเดือย 1/3 ถ้วย ส่วนผสมฤทธิ์ร้อน 1.ข้าวบาเล่ย์ 1/5 ถ้วย 2.ข้าวจ้าวขาว 1/ 5 (ถ้ามีข้าวกล้องข้าวซ้อมมือหรือข้าวหลากสีก็ยิ่งดีค่ะ) 3. หัวกะทิ 200 ml. 4.หอมแดงหัวเล็ก แกะเปลือกสับละเอียด 6 หัว 5. กระเทียม แกะเปลือกสับละเอียด 5 กลีบ (เขียวก็ได้ไม่เจียวก็ใส่แบบสดๆก็ได้) 6.มะขามเปียกแช่น้ำกรองเอาแต่น้ำ 1/2 ถ้วย (ปรับเปรี้ยวมากน้อยตามชอบ) 7.เนื้อมะพร้าวขูดคั่ว(แทนเนื้อกุ้งมีก็ใส่ไม่มีก็ไม่ใส่) 1/3 ถ้วย 8. น้ำตาลทรายไม่ขัดสี 3 ช้อนแกง (ปรับหวานมากน้อยตามชอบ) 9. เกลือ 3 ช้อนชา 10. น้ำมันมะพร้าว สำหรับเจียวกระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ นำธัญพืชและข้าวที่แช่ค้างคืนไว้ไปล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปปั่นให้ละเอียด ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะพร้าวใส่กระเทียมลงเจียว พอเหลืองตักออกผสมลงกับธัญพืช เทหัวกะทิลงกระทะต่อ พอเดือดเทธัญพืชที่ปั่นไว้แล้วลงผัด คลุกเคล้าไปมา พอสุก ใส่เนื้อมะพร้าวขูด เคล้าไปมาให้เข้ากัน พอสุกปรุงรสด้วยเกลือน้ำตาลและน้ำมะขามเปียก คลุกเคล้าไปมาผัดต่ออีกแป๊บพอหอมปิดไฟ ตักเสิร์ฟแกล้มผักสด (เก็บใส่ตู้เย็นไว้ทานได้หลายวันจ้า) *หมายเหตุ* เมนูนี้ดัดแปลงมาจาก หลนเต้าเจี้ยว สามารถเพิ่มลดปรับเปลี่ยนเครื่องปรุงและธัญพืชให้เหมาะสมถูกสมดุลร่างกายนะคะ ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากคุณปิ่น ห้องไลน์ปรุงกิเลสชวนชิม หลนธัญพืช (https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpt1/v/t1.0-9/s480x480/11737898_955180924548356_8062017640551735329_n.jpg?oh=494f7f302bc892c86a0ccd75bafc518b&oe=56164E8F&__gda__=1448180649_7b1feaef0c847bdd9d48c462adfc5ac6) Cr อาหารสุขภาพหมอเขียววใครๆก็ทานได้ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 16, 2015, 04:30:53 PM สารในหอมแดง
หอมแดง (Shallot) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium ascalonicum Linn. อยู่ในวงศ์ Amaryllidaceae ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่มีสมาชิกหลายร้อยชนิด เช่น หอมใหญ่ ต้นหอม หอมจีน กระเทียม กระเทียมใบ เป็นต้น ในหอมแดงสดจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย ไดอัลวินไตรซัลไฟด์ (Diallyltrisulfide) เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม ฟลาโวนอยด์ (Flavonid) กลัยโคไซด์ (Glycosides) เพคติน (Pectin) และกลูโคคินิน (Glucokinin) สรรพคุณทางยา ฟลาโวนอยด์ในหอมแดง มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ การบริโภคหอมแดงเป็นประจำจึงสามารถลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดไขมันในเส้นเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ สามารถป้องกันการติดเชื้อ และช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดได้ ทำให้เจริญอาหาร และช่วยย่อยอาหาร ทั้งนี้ ฟลาโวนอยด์ปริมาณสูงมากๆ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจแล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ด้วย สารต่างๆ ดังกล่าวในหอมแดงยังมีคุณสมบัติต้านหรือยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย ศึกษาโดยใช้น้ำหอมหัวแดงถนอมเนื้อหมูสด โดยใช้เนื้อหมูขนาด 3x3x1 นิ้ว คั้นเอาน้ำหัวหอมประมาณ 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร วางเนื้อหมูลงในภาชนะ เติมน้ำหัวหอมแดงให้ท่วมเนื้อหมู แล้วเก็บใส่กล่องพลาสติกปิดฝา หรือใช้ใบตอง หรือถุงพลาสติกห่อไว้ ผลที่ออกมาหอมแดงจะถนอมเนื้อหมูไม่ให้บูดเน่าได้ก่อนนำไปประกอบอาหารอย่างน้อย 5 วัน โดยไม่ต้องแช่เย็น แต่เนื้อหมูอาจมีสีซีดลงไปบ้าง ในหอมแดงยังมีธาตุฟอสฟอรัสปริมาณสูง ช่วยให้มีความจำดี นอกจากนี้หอมยังใช้บำรุงรักษาหน้าได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ทุบหรือฝานหอมแดงให้เป็นแว่นบางๆ ทาบริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือจุดด่างดำ เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็เห็นผล การรับประทานหอมไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียง แต่เป็นผลดีกับร่างกายมากกว่าเพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก อุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี ในหอมแดง 100 กรัม มีโปรตีน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 11 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม น้ำตาลหลายๆ ชนิดรวม 10.6 กรัม และมีพลังงานเพียง 50-60 แคลอรี เปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมวงศ์ซึ่งละม้ายกันยิ่งแต่ขนาดโตกว่า คือหอมใหญ่ หอมแดงมีคุณสมบัติคล้ายหอมใหญ่มาก แต่มีรสฉุนกว่า และมีความหวานมากกว่าหอมใหญ่ประมาณ 2 เท่า สำคัญที่สุดหอมแดงมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหอมหัวใหญ่ ดังนั้น ควรฝึกให้รู้จักรับประทานหอมแดงตั้งแต่ยังเด็ก บางคนรับประทานหอมไม่เป็นเพราะไม่ฝึกมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง http://daily.khaosod.co.th/view_news.php (http://daily.khaosod.co.th/view_news.php)… (https://scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/11745485_850609041654776_5964065811673333141_n.jpg?oh=f78b71a9b0d61e50ed1a3d3bda69091a&oe=56106CCF) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 18, 2015, 07:53:19 AM หญ้าคา วัชพืชมีคุณค่า
(https://scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xpa1/v/t1.0-9/11760261_850605448321802_4990255582773740815_n.jpg?oh=f5ce8ebf122bb6d6d65aa2d2187f6364&oe=56225968) หญ้าคาเป็นวัชพืชร้ายที่อยู่คู่กับเกษตรกรไทยมาช้านาน สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นพืชที่กำจัดได้ยาก ก่อให้เกิดความรำคาญใจแก่เกษตรกรยิ่งนัก แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นกลับพบว่ามันเป็นพืชที่มีคุณประโยชน์ที่ใครๆต้องการ เนื่องจากมันสามารถนำมาทำเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายชนิด และยังสามารถนำมามุงเป็นหลังคาป้องกันความร้อนจากแสงแดด และฝนตก ที่สำคัญมันได้ชื่อว่าเป็นพืชทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้แก่ผู้คนในหลายๆท้องที่อีกด้วย (https://scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/11698825_850605521655128_7872179612345256332_n.jpg?oh=a33585d593e02a619ae7ae2e0d5d78f4&oe=56576893) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Imperata cylindrica (L.) P. Raeusch. วงศ์ : GRAMINEAE (POACEAE) ชื่อท้องถิ่น : เก้ออี ผกะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) คา, ลาลาง, คาหลวง (มลายู) ลาแล (มลายู-ยะลา) แปะเหม่ากึง, เตี่ยมเชากึง (จีน) (https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xft1/v/t1.0-9/11751765_850605498321797_4530538567440809198_n.jpg?oh=087ddd69657cda2603089120dc7f2265&oe=565010D0&__gda__=1444556122_61d60b27df928e5e18475228a49aadab) ลักษณะ หญ้าคาเป็นพืชล้มลุก สูง 0.3-0.9 เมตร มีเหง้าใต้ดินรูปร่างยาว และแข็ง ใบเดี่ยว แทงออกจากเหง้า กว้าง 1-2 ซม. ยาวได้ถึง 1 เมตร ขอบใบคม ดอกเป็นช่อทรงกระบอกแทงออกจากเหง้า ดอกย่อยติดกันแน่น ดอกแก่มีขนฟูสีขาว ผล เป็นผลแห้ง ไม่แตก หญ้าคาเป็นพวกพืชพวกหญ้า มีลำต้นใต้ดินเป็นเส้นกลม สีขาวทอดยาว มีข้อชัดเจน ผิวเรียบ หรืออาจมีขนบ้างเล็กน้อย แตกกิ่งก้านสาขาเลื้อยแผ่และงอกเป็นกอใหม่มากมายหลายกอ ใบแตกจากลำต้นใต้ดิน ลักษณะแบนเรียวยาว มีใบยาว 20-50 ซ.ม. กว้าง 5-9 ม.ม. ตอนแตกใบอ่อนใหม่ ๆ จะมีปลอกหุ้มแหลม แข็งที่ยอด ยาวประมาณ 1 ม.ม. งอกแทงขึ้นมาจากดิน ดอกออกเป็นช่อทรงกระบอก ยาว 5-20 ซ.ม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5-3 ซ.ม. มีดอกย่อยอยู่ติดกันแน่น เมื่อแก่จะเป็นขนฟูสีขาว เมล็ดจะหลุดร่วงปลิวไปตามลม แพร่พันธุ์ไปได้ไกล ๆ พวกที่ขึ้นในทุ่งหญ้าออกดอกในฤดูร้อน พวกที่ขึ้นในที่ชื้นแฉะออกดอกปลายฤดูร้อนหรือฤดูหนาว นอกจากแพร่พันธุ์โดยเมล็ดแล้ว ยังแพร่พันธุ์โดยลำต้นใต้ดิน ที่งอกลามไปแล้วเจริญเป็นต้นใหม่อีก เป็นพืชชอบแดด และทนทานมาก เผาก็ไม่ตายและดูเหมือนว่าไฟจะไปช่วยกระตุ้นให้มันงอกมากขึ้น และออกดอกแพร่พันธุ์มากขึ้นไปอีก จึงกลายเป็นวัชพืชที่ขึ้นลุกลามไปตามไร่และปราบได้ยากชนิดหนึ่ง พบขึ้นเป็นทุ่งทั่วไป ตามพื้นที่ร้างว่างเปล่า ตามหุบเขาและริมทางทั่วไป การเก็บมาใช้ ใช้ราก ดอก ขน (ดอกแก่) และใบ เป็นยา ดอก เด็ดทั้งก้านตอนดอกบานในฤดูร้อนหรือหนาว ใช้สดหรือตากแห้ง เก็บไว้ใช้ ลักษณะดอกแห้งที่ดี เป็นแท่งทรงกระบอกยาว 5-20 ซ.ม. มีขนที่โคนดอกย่อย ขนมีมากเป็นส่วนใหญ่ของช่อดอก สีขาวออกเทา เป็นปุยเบา ๆ คล้ายนุ่น ดอกย่อยมีสีเหลืองออกเทา มีก้านเกสรตัวเมียเป็นเส้นยาว ๆ 2 เส้น มีกลิ่นอ่อน ๆ รสจืด ควรแห้งสนิท มีก้านดอกสั้น ๆ จึงดี ขน (ดอกแก่) เก็บเมื่อช่อดอกแก่เต็มที่ เป็นขนสีขาวฟู เก็บมาตากแห้ง เก็บไว้ใช้ ราก เก็บในฤดูฝน หรือฤดูหนาว ตัดส่วนเหนือดินทิ้ง ขุดเอารากและลำต้นใต้ดินล้างสะอาด ขูดรากฝอย ๆ ออก ใช้สดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ ลักษณะรากแห้งที่ดี เป็นเส้นกลม ๆ ยาว 30-60 ซ.ม. เส้นผ่า-ศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซ.ม. ผิวนอกมีสีขาวหรือเหลืองขาว มีข้อสีน้ำตาลอ่อนนูนออกมา แต่ละข้อห่างกันประมาณ 3 ซ.ม. เนื้อเหนียว หักยาก เนื้อในตรงกลางมีสีเหลืองอ่อน มีรูเล็ก ๆ 1 รู รอบนอกมีสีขาว มีรูเล็ก ๆ เรียงเป็นวงรอบ มีกลิ่นอ่อน ๆ ต้นที่อวบใหญ่สีขาว ไม่มีรากฝอย มีรสหวานจึงดี ก่อนใช้ผสมยา ใช้รากแห้ง เลือกสิ่งแปลกปนออก ล้างสะอาดพรมน้ำให้ชุ่ม หั่นเป็นท่อน เอาไปตากให้แห้ง ร่อนเศษผงทิ้ง ชั่งไปใช้ผสมยา อีกวิธีหนึ่งหั่นเป็นท่อน ๆ ใส่หม้อดินเผาด้วยไฟแรง ๆ จนดำ พรมน้ำให้เย็น เอามาตากให้แห้ง เรียกว่า ถ้าหญ้าคา ผสมใช้เป็นยา ใบ ตัดมาผึ่งให้แห้ง เก็บไว้ใช้ การขยายพันธุ์ : โดยเมล็ดหรือเหง้า ส่วนที่นำมาเป็นยา : ราก ดอก ขน (ดอกแก่) และใบ สารเคมีที่สำคัญ : มี Arundoin, Cylindrin, กรดอินทรีย์ น้ำตาล สรรพคุณทางยาและวิธีใช้ : แก้ขัดเบา ขับปัสสาวะ: รากและเหง้าสดหรือแห้ง 1 กำมือ (สดหนัก 40-50 กรัม ถ้าแห้งหนัก 10-15 กรัม) หั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา(75 มิลลิลิตร) ก่อนอาหาร เลือดกำเดาออกง่าย ใช้ดอกแห้ง 15 กรัม จมูกหมู 1 อัน ต้มให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมง กินหลังอาหาร หรือใช้ขน (ดอกแก่) 15 กรัม ต้มกับน้ำ รับประทาน และขณะที่เลือดออก ใช้ช่อดอกหรือขนตำอุดรูจมูกด้วยเพื่อห้ามเลือด สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนไทยคือ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้อักเสบในทางเดินปัสสาวะ บำรุงไต แก้น้ำดีซ่าน แก้อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร โดยใช้ 1 กำมือ (สด 40-50 กรัม หรือ แห้ง10-15 กรัม) หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้งละ 1ถ้วยชา(75 มล.) สรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนจีนคือ รสอมหวานเย็น มีฤทธิ์ห้ามเลือด ทำให้เลือดเย็น ใช้รักษาอาการเลือดออกจากภาวะเลือดร้อน เช่น เลือดกำเดา ไอ อาเจียน ปัสสาวะเป็นเลือด และมีฤทธิ์ระบายความร้อน และขับปัสสาวะ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการบวมน้ำ ปัสสาวะร้อนมีสีเข้ม ใช้ 9-30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม ตำรับยา แก้เลือดกำเดาออกง่าย หรือออกไม่ค่อยหยุด ใช้ช่อดอกแห้ง 15 กรัม จมูกหมู 1 อัน ต้มให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมง กินหลังอาหารหลายครั้ง อาจหายขาดได้ หรือใช้ขน (ดอกแก่) 15 กรัม ต้มน้ำกินก็ได้หรือใช้น้ำคั้นจากรากสดกิน 1 ถ้วยชา (15 ม.ก.) หรือใช้รากแห้งบดเป็นผง 2.6 กรัม ผสมน้ำซาวข้าวกินหรือใช้รากสด 30 กรัม ต้มน้ำกิน ขณะที่เลือดกำเดาออก ใช้ช่อดอกหรือขนตำอุดรูจมูก ช่วยห้ามเลือดกำเดาอีกด้วย แก้อาเจียนเป็นเลือด ใช้รากแห้ง 30 กรัม ต้มน้ำกินหรือผสมรากบัว 15 กรัม ต้มน้ำกิน แก้หอบ ใช้รากสด 1 กำมือ เปลือกต้นหม่อน (Morus alba L.) อย่างละเท่าๆ กัน ใส่น้ำ 2 ชาม ต้มให้เหลือ 1 ชาม กินแต่น้ำ แก้ปัสสาวะเป็นหนอง ใช้รากแห้ง 15 กรัม ใส่น้ำ 250 ม.ล. ต้มให้เหลือ 50 ม.ล. รินกินตอนอุ่นหรือเย็นก็ได้ วันละ 3 ครั้ง แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ใช้ราก 1 กำมือ ใส่น้ำ 1 ถ้วยใหญ่ ต้มให้เหลือ 1 ถ้วยชา (15 ม.ล.) รินกินตอนอุ่นๆ หรือใช้รากแห้ง เมล็ดผักกาดน้ำ (Plantago asia-tica L.) อย่างละ 30 กรัม น้ำตาลทราย 15 กรัม ต้มน้ำกิน แก้ตรากตรำทำงานหนัก ช้ำใน ใช้รากสดและขิงสดขนาดเท่าๆ กัน (60 กรัม) ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำ 2 ถ้วย ต้มให้เหลือ 1 ถ้วย กินวันละครั้ง ปัสสาวะขุ่นเหมือนน้ำนม ใช้รากสด 250 กรัม ใส่น้ำ 2,000 ม.ล. ต้มให้เหลือ 1,200 ม.ล. ใส่น้ำตาลพอสมควรแบ่งกิน 3 ครั้ง ให้หมดใน 1 วัน หรือกินแทนชาติดต่อกัน 5-15 วัน เป็น 1 รอบของการรักษา แก้ไตอักเสบ ใช้รากแห้ง 30 กรัม ดอกเจ๊กกี่อึ้ง (Solidago virga-aureus var. leiocarpa (Benth) A Gray) 30 กรัม เปลือกลูกน้ำเต้า 15 กรัม เหล้าขาว 3 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 2 ครั้ง วันละชุด (ห้ามผสมเกลือกิน) หรือใช้รากสด 60-120 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 2-3 ครั้ง ให้หมดใน 1 วัน แก้ปัสสาวะขัด ตัวบวมน้ำ ใช้รากสด 500 กรัม ลอกเปลือกที่อยู่ระหว่างข้ออก หั่นฝอยใส่น้ำ 4 ถ้วยใหญ่ ต้มให้เดือด 10 นาที เปิดดู ถ้ารากยังไม่จมน้ำ ก็ให้ต้มต่อไปจนรากจมน้ำหมด เอากากออกรินตอนอุ่นๆ ประมาณครั้งละครึ่งถ้วย กลางวัน 5-6 ครั้ง กลางคืนอีก 2-3 ครั้ง ต่อเนื่องกันจนครบ 12 ชั่วโมง ปัสสาวะจะถูกขับออกมากขึ้น cdh ดีซ่าน ตัวเหลืองจากพิษสุรา ใช้รากสด 1 กำมือ หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับเนื้อหมู 500 กรัม กิน แก้พิษจากต้นลำโพง ใช้รากสด 30 กรัม ต้นอ้อย 500 กรัม ตำคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำมะพร้าว 1 ลูก ต้มกิน แก้ออกหัด กระหายน้ำ ใช้รากแห้ง 30 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มบ่อย ๆ ข้อควรระวัง : คนที่มีปัสสาวะมาก แต่ไม่กระหายน้ำ ห้ามรับประทานราก http://www.monmai.com/ (http://www.monmai.com/) (https://scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/10407990_850605478321799_6060396084243710861_n.jpg?oh=0780494bc186ca8d359ee49904acef05&oe=56540C7C) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 18, 2015, 08:21:09 AM การใช้สมุนไพร อายุรเวท รักษามะเร็ง
รองศาสตราจารย์ ดร.อ้อมบุญ วัลุต ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล การรักษาผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งตามทฤษฎีการแพทย์แผนตะวันตก มี ๒ วิธีหลักที่ปฏิบัติกันแพร่หลายคือการใช้รังสี และการใช้เคมีบำบัด ซึ่งทั้งสองวิธี ต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือทำลายเนื้อร้าย แต่ทั้งนี้ไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเนื้อร้ายได้ เซลล์ดีจำนวนมากต้องถูกทำลายไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซลล์ที่มีการแบ่งตัวเร็วเช่น เซลล์ผม เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูก จึงเกิดผลข้างเคียงตามมาเช่น ผมร่วง แผลในปาก ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร โลหิตจาง เม็ดเลือดขาวต่ำเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่าย อีกทั้งผู้ป่วยยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีก จากการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเหตุนี้จึงมีผู้ป่วยตายด้วยโรคมะเร็งปีละ ๕๐,๐๐๐ คน นับเป็นการสูญเสียทรัพยากรเนื่องจากเคมีบำบัดล้วนเป็นยานำเข้าทั้งสิ้น ยังไม่นับถึงค่าใช้จ่ายในส่วนบุคลากรที่ต้องใช้เวลาในการอภิบาลผู้ป่วยเหล่านี้เป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตบุคคลเหล่านั้นได้ มะเร็งนับเป็นโรคที่ร้ายแรงและคร่าชีวิตผู้คนมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ต่อเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่ 21 นับเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตในอเมริกา (ร้อยละ 25) ปัจจุบันมีผู้แสวงหาแนวทางอื่นในการรักษามากขึ้น เช่นจากการแพทย์อายุรเวทของอินเดียที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล ในตำราอายุรเวทได้มีการกล่าวถึงมะเร็งว่าเป็นเนื้องอกที่เกิดจากการอักเสบหรือไม่อักเสบก็ได้ อาจเกิดจากความไม่สมดุลย์ของระบบ วาตะ (ระบบประสาท) ปิตตะ (ระบบโลหิตดำ) หรือเสมหะ (ระบบโลหิตแดง) หนึ่งหรือ สองระบบ เป็น benign neoplasm แต่ถ้าเกิดจากความผิดปกติของทั้งสามระบบจะกลายเป็น malignant tumour หรือเนื้อร้ายนั่นเอง สาเหตุของการเกิดมะเร็งนั้นตำราอายุรเวทได้กล่าวถึงการบาดเจ็บของผิวชั้นที่หกที่เรียกว่า โรหิณี (epithelium) ของกล้ามเนื้อและหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการใช้ชีวิตที่ผิดพลาด การกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ สุขอนามัยที่ไม่ดี และ พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องอันก่อให้เกิดความไม่สมดุลย์ของระบบในร่างกาย (dosha) นำไปสู่การเกิดเนื้องอก ในแต่ละคนเกิดมะเร็งแตกต่างกันไปแล้วแต่ปัจจัยเสี่ยงและพันธุกรรมซี่งทำให้แต่ละคนมีการตอบสนองต่ออาหารชนิดเดียวกันได้ต่างกัน (ขึ้นอยู่กับ dosha ของแต่ละคน) ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสื่อมของระบบในร่างกายได้แก่ สิ่งกระตุ้นระบบวาตะ การกินรสขม รสเผ็ด หรือรสฝาดมากเกินไป อาหารแห้ง หรืออยู่ในสภาวะเครียดมากไป สิ่งกระตุ้นระบบปิตตะ การกินรสเปรี้ยว รสเค็มมากเกินไป อาหารทอด หรืออยู่ในสภาวะโกรธมากไป สิ่งกระตุ้นระบบเสมหะ การกินรสหวานมากเกินไป อาหารมัน หรือชอบอยู่นิ่งๆเกินไป สิ่งกระตุ้นระบบเลือด (rakta) กินอาหารที่เป็นกรดหรือเป็นด่างมากเกินไป อาหารทอดหรือย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อารมณ์โกรธหรือโศกเศร้ามากไป การตากแดดจัดหรือทำงานภายใต้ความร้อนนานไป สิ่งกระตุ้นระบบกล้ามเนื้อ (mamsa) การกินอาหารจำพวกเนื้อ ปลา โยเกิต นมและครีมมากไป การนอนกลางวัน และการกินมากเกินไป สิ่งกระตุ้นระบบไขมัน (medo) การกินอาหารประเภทน้ำมัน อาหารหวาน แอลกอฮอลล์และความขี้เกียจ หลักของการรักษามี 4 อย่างคือ บำรุงสุขภาพ (health maintenance) รักษาโรค (disease cure) การคืนสู่สภาพปกติ (Rasayana /restoration of normal function) จิตวิญญาณ (spiritual approach) หลักที่สำคัญคือต้องหาสาเหตุของการเจ็บป่วยที่ทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์และแก้ไขส่วนขาดและลดส่วนเกิน โดยทั่วไปจะเป็นส่วนประกอบของสมุนไพรหลายๆ ชนิด ซึ่งจะเข้าไปช่วยระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายพร้อมๆ กันและบำรุงร่างกายไปด้วย สมุนไพรสามารถออกฤทธิ์ต่างๆ ดังนี้ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 18, 2015, 08:29:47 AM :)ต่อ
ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง (antiproliferative) ระงับการอักเสบ ซ่อมแซม DNA ต้านการอ็อกซิไดส์ กำจัดอนุมูลอิสระ ยับยั้งจุลชีพ เป็นต้น สมุนไพรต่อไปนี้ล้วนมีผลการทดสอบที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษามะเร็ง หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 18, 2015, 09:04:11 AM ต่อ
ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata) ในอินเดียใช้กันมานานรักษาไทฟอยด์ แก้อักเสบ แก้มาเลเรีย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน สารสำคัญคือ andrographolide สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด มะตูม (Aegle marmelos) สารจากผลมะตูมสามารถยับยั้ง thyroid cancer และมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส และต้านการอักเสบ บัวบก (Centella asiatica) มีสาร asiaticoside ที่ช่วยให้แผลเรื้อรังหายได้เร็วขึ้น เพิ่มภูมิคุ้มกัน และในบราซิลมีการใช้เพื่อรักษามะเร็งมดลูก ขมิ้น (Curcuma longa) สารสำคัญคือ curcumin มีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์และต้านการอักเสบที่แรง สามารถทำให้เกิดการตายของเซลมะเร็งหลายชนิดเช่น ผิวหนัง ลำไส้ใหญ่ กระเพาะ ลำไส้เล็ก รังไข่ และยังมีฤทธิ์ต้านไวรัส แบคทีเรียและราอีกด้วย หญ้างวงช้างดอกขาว (Heliotropium indicum) อายุรเวทใช้ใบในการรักษาไข้ ลมพิษ แผล การอักเสบเฉพาะที่ กลาก ปวดข้อ (rheumatism) มีอัลคาลอยด์ Indicine-N-oxide ที่มีฤทธิยับยั้งเนื้องอก มีการทดลองทางคลีนิคในลิวคีเมีย และ solid tumour ว่านหางจรเข้ (Aloe vera) มีสาร aloe-emodin ที่กระตุ้น macrophage ให้กำจัดเซล์ลมะเร็ง และยังมี acemannan ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ว่านหางจรเข้ช่วยกระตุ้นการเจริญของเซลล์ปกติและยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง Rubia cordifolia พืชตระกูลเดียวกับกาแฟมีมากในอินเดียตอนใต้ สารสกัดจากพืชนี้มีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้านมะเร็งหลายชนิดเช่น leukemia, ascetic carcinoma, melanoma, lung and large intestinal tumour เป็นต้น Whitania somnifera หรือ Indian ginseng เป็น adaptogen ที่ช่วยทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ โดยผ่าน Hypothalamic Pituitary Adrenal (HPA) axis มีสารสำคัญคือ whithanolide ซึ่งมีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทาน และสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งผิวหนัง กะเพรา (Ocimum sanctum) เป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์โบราณหลายระบบ เช่นอายุรเวท สิธธา ยูนานนิ กรีก โรมันเป็นต้น ใช้ในระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ หัวใจ ผิวหนัง ฯลฯ ทุเรียนเทศ (Anona muricata) สาร acetogenin จากผลทำให้เซลล์มะเร็งตายได้ ลูกใต้ใบ/หญ้าใต้ใบ (Phyllanthus niruri/amarus) เป็นที่รู้จักว่าเป็น stonebreaker และมีการใช้แพร่หลายทั่วโลก ในระบบปัสสาวะและน้ำดี ตับอักเสบ หวัด วัณโรค และโรคจากไวรัสอื่นๆ ดีปลี (Piper longum) มี piperine ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์ทั้ง in vitro และ in vivo จึงเป็นส่วนประกอบของตำรับยารักษามะเร็งของอายุรเวท Podophyllum hexandrum เป็นพืชบนเทือกเขาหิมาลัย มีสาร podophyllin และ podophyllotoxin ซึ่งยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น sarcomas ,adenocarcinoma และ melanoma มีการเตรียมอนุพันธ์และใช้เป็นยารักษามะเร็งตับคือ etoposide บอระเพ็ด (Tinospora cordifolia) สารสำคัญจากบอระเพ็ดกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว และสามารถลดขนาดเนื้องอกได้ 58.8% เทียบเท่า cyclophosphamide รักขน (Semecarpus anacardium) ผลของรักขนมีการใช้ในอายุรเวทเพื่อรักษามะเร็ง มีงานวิจัยแสดงว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและยืดอายุในกรณี leukemia, melanoma และ glioma ในสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นมะเร็งตับสารสกัดจากรักขนทำให้เนื้อเยื่อตับเป็นปกติ ยาเตรียม anacartin forte นิยมใช้รักษามะเร็งหลอดอาหาร chronic myeloid leukemia, urinary bladder และมะเร็งตับ ยังมีสมุนไพรอีกมากที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งโดยตรงหรือช่วยระงับอาการข้างเคียงต่างๆ ของผู้ป่วยมะเร็งซึ่งรอผลการสนับสนุนจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 29, 2015, 11:11:22 AM สมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์ ของดีจากธรรมชาติ
บรรเทาอาการได้ชะงัด สมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์ อีกหนึ่งทางเลือกในการบรรเทาอาการโรครูมาตอยด์ เลือกให้เป็นกินให้ถูกก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้ โรครูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาหายได้ ดังนั้นการรักษาทางการแพทย์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทว่านอกเหนือจากการใช้ยาแผนปัจจุบันแล้ว สมุนไพรก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ควบคู่กันไปเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด และลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา วันนี้กระปุกดอทคอมเลยหยิบเอา 10 สมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์มาบอกต่อ ใครที่กำลังป่วยด้วยโรคนี้หรือมีคนใกล้ชิดป่วยด้วยโรคนี้ ก็ลองเสาะหาสมุนไพรเหล่านี้ไปใช้กันได้ บอกเลยว่าไม่ใช่สมุนไพรที่หายากอะไรเลย ฟ้าทะลายโจร แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกขมกันแล้วใช่ไหม แต่สำหรับผู้ป่วยโรครูมาตอยด์แล้ว ฟ้าทะลายโจรถือเป็นสมุนไพรยอดคุณเลยเชียวล่ะ เพราะฟ้าทะลายโจรนั้นมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านอนุมูลอิสระ และต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ซึ่งในอดีตมักถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ นอกจากนี้การศึกษาอื่น ๆ แสดงให้เห็นอีกว่าฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาอาการไข้หวัด โรคมะเร็ง หรือแม้แต่ช่วยในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ได้อีกด้วย แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าสารตัวได้ที่อยู่ในฟ้าทะลายโจรที่มีคุณสมบัติเช่นนั้น แต่ในการศึกษาในปี 2009 นั้นก็ทำให้เราได้ทราบกันว่าฟ้าทะลายโจรสามารถลดอาการบวมของข้อต่อและทำให้สามารถเคลื่อนไหวข้อต่อได้ง่ายขึ้น โดยในการวิจัยได้ให้ผู้ป่วยรับประทานฟ้าทะลายโจรวันละ 3 ครั้งติดต่อกัน 14 สัปดาห์ และพบว่าอาการปวดข้อและขยับร่างกายไม่สะดวกอันเนื่องมาจากโรครูมาตอยด์ลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้การรักษาโรครูมาตอยด์ด้วยการใช้ฟ้าทะลายโจรนั้นก็ไม่จำเป็นต้องนำใบสดมาใช้เพียงอย่างเดียว เพราะในปัจจุบันฟ้าทะลายโจรนั้นมีทั้งแบบอัดเม็ดและแคปซูลให้เลือกได้ตามสะดวก แต่ก็ต้องระมัดระวังผลข้างเคียงในการใช้ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องเสีย มีอาการแพ้ หรือแม้แต่ลิ้นเปลี่ยนรสอีกด้วย หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับกลิ่นหอม ๆ ของกำยาน แต่หารู้ไม่ว่าจริง ๆ แล้วสรรพคุณของกำยานนั้นมีมากกว่ากลิ่นนะคะ เพราะแพทย์อายุรเวทของอินเดียได้นำกำยานมาใช้เพื่อต้านการอักเสบมาตั้งแต่โบราณแล้ว โดยส่วนที่นำมาใช้นั่นก็คือยางจากเปลือกของต้นกำยานนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันเราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาต้นกำยานให้ลำบาก เพราะตอนนี้เราสามารถหาสารสกัดจากกำยานในรูปแบบของแคปซูลอาหารเสริมหรือจะเป็นครีมทาได้แล้ว สับปะรด สับปะรดนั้นเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง แถมในแกนสับปะรดยังมีสารโบรมีเลน (Bromelain) มีคุณสมบัติในการช่วยย่อยโปรตีนและต้านการอักเสบได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกนำมาใช้ลดการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ และเมื่อนำมาวิจัยและทดลองกับผู้ที่มีอาการข้ออักเสบนั้นก็พบว่าสามารถบรรเทาอาการได้ดีเลยทีเดียว พริก พริกป่นมีคุณสมบัติที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานนั่นก็คือการช่วยย่อยอาหาร แต่ก็มีการนำมารักษาอาการปวดอย่างกว้างขวางเช่นกัน เนื่องจากในพริกป่นมีสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งปัจจุบันสารแคปไซซินนี้ก็ถูกสกัดมาใช้ในรูปแบบของครีมใช้ทาบรรเทาอาการปวด โดยล่าสุดศูนย์การแพทย์ Lagoneแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ได้ยืนยันว่าครีมที่มาจากสารแคปไซซิน สามารถบรรเทาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมรวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเนื้อเยื่อได้อีกด้วย มีประโยชน์จริง ๆ เลยว่าไหม เมล็ดขึ้นฉ่าย เราอาจจะเคยได้ยินถึงประโยชน์ของขึ้นฉ่าย แต่จริง ๆ เมล็ดขึ้นฉ่ายนั้นถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคไข้หวัด อาหารไม่ย่อย รวมทั้งโรคไขข้อต่าง ๆ มานานนับพันปีแล้ว นอกจากนี้ยังนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งล่าสุดก็ความเชื่อว่าเมล็ดขึ้นฉ่ายมีสรรพคุณอันทรงประสิทธิภาพในการรักษาอาการโรคไข้ข้ออักเสบ โรคเกาต์ รวมทั้งบรรเทาอาการของโรครูมาตอยด์ลงได้ และยังมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกว่ารากของขึ้นฉ่ายนั้นก็มีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและความดันโลหิตลงอีกด้วย ดอกคาโมมายล์ ดอกคาโมมายล์เป็นสมุนไพรโบราณที่ถูกหยิบมาใช้ในการรักษาอาการป่วยสารพัด ไม่เว้นแม้แต่การรักษาอาการอักเสบ ช่วยให้นอนหลับสบาย แก๊สในกระเพาะอาหาร หรือแม้แต่โรครูมาตอยด์ เนื่องจากสารสไปโรเอเทอร์ (Spiroether) หนึ่งในยาคลายการหดตัวของกล้ามเนื้อที่มีอยู่ในธรรมชาติ อันมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งการรับประทานดอกคาโมมายล์นั้นก็สามารถเลือกรับประทานได้หลากหลายทั้งน้ำมันสกัด และชาดอกคาโมมายล์ จะเลือกใช้อย่างไรนั้นก็แล้วแต่จะสะดวกเลย ขิง ขิงเป็นสุดยอดสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคสารพัดมานับกว่าพันปี ไม่ว่าจะเป็นโรคหวัด คลื่นไส้ ไมเกรน ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ หรือแม้แต่ความดันโลหิตสูง ทั้งนี้ ขิงยังมีคุณสมบัติเด่นในการช่วยลดอาการปวด ต้านการอักเสบและต้านสารอนุมูลอิสระ นอกจากนี้โรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยไมอามี่ก็ยังได้ค้นพบอีกว่า การรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของขิง วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 3 เดือนยังช่วยให้อาการปวดของผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ลดลงและช่วยให้การทำงานของข้อต่อต่าง ๆ ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้แพทย์เป็นผู้กำหนดปริมาณการรับประทานจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัย โดยสามารถรับประทานขิงทั้งแบบสด แบบอบแห้ง เป็นผงชงดื่ม หรือจะรับประทานแบบแคปซูลก็ดีทั้งนั้นเลย ชาเขียว ชาเป็นเครื่องดื่มที่คนเราดื่มมากที่สุดในโลกรองจากน้ำเปล่า โดยเฉพาะชาเขียวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบทวีปเอเชีย เนื่องจากรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ชาเขียวยังมีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงสุขภาพ ทั้งช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหารและบำรุงหัวใจ ทั้งนี้การศึกษาจากศูนย์การแพทย์ในมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ก็ยังเปิดเผยให้ทราบอีกว่า ชาเขียวมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ และช่วยป้องการถูกทำลายของข้อต่าง ๆ ที่เกิดจากโรครูมาตอยด์ได้อีกด้วย แต่ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนจะเริ่มดื่มชาเขียวนะคะ เพราะการดื่มมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละคนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องผูกได้ ขมิ้น ขมิ้นถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์มาตั้งแต่ 4,000 ปี โดยถูกนำมาใช้รักษาโรคหลากหลายรวมทั้งในเรื่องของระบบย่อยอาหารหรือแม้แต่รักษาความผิดปกติของตับ เป็นต้น ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ขมิ้นมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ และสารเคอร์คูมินก็ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย วิธีการรับประทานขมิ้นก็ไม่ยาก เพราะนอกจากจะรับประทานสด ๆ แล้ว ก็ยังสามารถนำแบบที่เป็นผงอบแห้งไปปรุงกับอาหาร หรือถ้าจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็สามารถเลือกรับประทานที่เป็นแคปซูลได้เช่นกัน โรสแมรี สมุนไพรจากแถบเมดิเตอร์เรเนียนอย่างโรสแมรีนี้เป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้กันอย่างหลากหลายในวงการอาหารและเครื่องสำอางกันมานาน ทั้งที่จริงแล้วสมุนไพรชนิดนี้ก็มีประโยชน์ทางด้านการแพทย์ไม่แพ้สมุนไพรชนิดอื่น ๆ เลยเชียวล่ะ เพราะเจ้าโรสแมรีนี้มีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงความจำ ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ และช่วยแก้ปัญหาอาหารไม่ย่อยได้ นอกจากนี้การทดลองในห้องปฏิบัติการยังพบว่าโรสแมรีมีคุณสมบัติในด้านการต้านอนุมูลอิสระได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ไม่ต้องหาแบบสด ๆ มารับประทานก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะมีเดี๋ยวนี้มีทั้งแบบเป็นแคปซูลและแบบน้ำมันที่สกัดมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถรับประทานได้เลย แต่ถ้าจะนำโรสแมรีอบแห้งมารับประทาน ศูนย์การแพทย์ในมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ก็เตือนว่าไม่ควรรับประทานเกินวันละ 6 กรัมนะคะ จัดมาให้กันแบบเต็ม ๆ แล้วกับสมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์ ยังไงก็ลองนำไปใช้กันได้ตามสะดวก แต่ก็อย่ามัวแต่พึ่งยาสมุนไพรเพียงอย่างเดียวเพราะยังไงการรักษาด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรง รวมทั้งหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้โรครูมาตอยด์กำเริบ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ใช้วิธีการรักษาหลาย ๆ ด้านร่วมกันก็ดีกว่ามุ่งรักษาไปในทางเดียว http://health.kapook (http://health.kapook)...view123772.html (https://scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xtp1/v/t1.0-9/s526x395/11755920_856801871035493_4345987699704077568_n.jpg?_nc_eui=AWhyQN5TcPl0CR6knGYsPI2M-L_utwj_6QtR_w&oh=81453025c058d3e058773dc0b40e02bd&oe=564A0AC5) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 08, 2015, 05:53:36 PM (https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xpt1/v/t1.0-9/12143251_10153698369982028_4403174152608763303_n.jpg?oh=dd4f0ecc9cbb8ba28ec7a9f91545409a&oe=56960207)
(เครดิตภาพ : เย็นกายสบายใจ, สุชญา, prayod, dailynews) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 22, 2016, 08:39:41 PM (https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfa1/v/t1.0-9/12985623_10154153982867028_1859665362881459862_n.png?oh=d9985cfdffdbe2c54904b0dfe39e4df5&oe=57BB57E0)
แตงโม : ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มากด้วยสารไลโคพีนสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน สรรพคุณเนื้อแตงโม แก้พิษสุรา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการเจ็บคอ ส่วนเมล็ดเป็นยาเย็นและขับปัสสาวะ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การกินแตงโมช่วยบำรุงกำลังและเจริญปัญญาอีกด้วย สรรพคุณทางยาสมุนไพร 1. น้ำคั้นจากผล แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ปากเป็นแผล ขับปัสสาวะ แก้อาการผิดปกติของร่างกายเนื่องจากอากาศร้อน และแก้อาการอึดอัดร้อนรุ่มกลุ่มใจ 2. เปลือกผล แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ปากและลิ้นเป็นแผล ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ ปัสสาวะขับ 3. เมล็ดใน หล่อลื่นลำไส้ แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดความดันโลหิต ขับเสลด แก้อาเจียนเป็นเลือด ไอเรื้อรัง 4. รากและใบ แก้บิด ท้องร่วง ตำรับยา 1. แก้ร้อนจัด ลิ้นคอแห้ง วิงเวียน นอนไม่หลับ พูดไม่ออก คั้นน้ำแตงโมให้กิน 2. แก้ท้องร่วงในฤดูร้อน แก้ร้อนรุ่ม กระวนกระวายใจ ใช้แตงโม 1 ผล หั่นเป็น 10 ส่วน แบ่งเอามา 1 ส่วนรวมกับกระเทียม 7 กลีบ ใช้กระดาษห่อ 7-9 ชั้น เอาดินพอกให้มิด ใส่กระบอกไม่ไผ่เผาให้แห้ง นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำกิน 3. แก้ถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก ใช้แตงโมที่แก่เอาเมล็ดออก เอาเนื้อในคั้นเอาน้ำใส่ขวดเก็บไว้ 3-4 เดือน จนมีรสเปรี้ยวเก็บเอาไว้ใช้แก้แผลถูกความร้อนลวก โดยใช้น้ำเกลือเย็นๆ ชะล้างบาดแผลให้สะอาดก่อน แล้วใช้สำลีชุบน้ำแตงโมเปรี้ยวนี้พอกแผลวันละหลายๆ ครั้ง แผลที่ถูกความร้อนลวกระดับ 1 (ผิวหนังแดงเหมือนแดดเผา) และแผลระดับ 2 (ผิวหนังพุพองและลอก) จะหายใน 1 อาทิตย์ แผลระดับ 3 (ผิวหนังหลุดลอกกินลึกถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง) จะหายใน 2 อาทิตย์ 4. แก้ไตอักเสบ บวมน้ำ ใช้เปลือกแตงโมแห้งมาใหม่ๆ หนัก 40 กรัม ร่วมกับรากหญ้าคาสดหนัก 60 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 3 ครั้งใน 1 วัน 5. คนที่นั่งนานๆ แล้วปวดเอว ยืดหดตัวไม่ได้ ใช้เปลือกแตงโมเขียวๆ มาตากให้แห้งในที่ร่มบดเป็นผงผสมเกลือกิน บางคนกล่าวว่า เอาเนื้อแตงโมหั่นเป็นแผ่นทำให้แห้งกินทุกวันแก้โรคตาต่างๆ ได้ (เครดิตภาพ : narongrits, veggieblly) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** . หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 22, 2016, 08:49:14 PM (https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xpl1/v/t1.0-9/10006226_623804437693727_6976242804174383018_n.jpg?oh=cf1708ec7d1b8320bf3f336faa839170&oe=57A27B07)
(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xtp1/v/t1.0-9/11147138_959382420794873_2985876782662070119_n.jpg?oh=bef7381a4b2fa2ad4ac6a6c5e0802b13&oe=57A71153) แกงเลียงผักหวานป่า ( 4 - 5 คน ) (สูตรล้างพิษ) เครื่องปรุง 1. ผักหวานป่า 1 กำ (ฤทธิ์เย็น) 2. ข้าวโพดอ่อน 3 ฝัก 3. หัวปลี 1/4 หัว 4. บวบเหลี่ยม 1 ลูก 5. เห็ด 1 ถ้วยตวง 6. ฟักทอง 1 ถ้วยตวง (ฤทธิ์ร้อน) 7. มันเทศ 1 หัว 8. ตะไคร้ 1 ต้น 9. หอมแดง 2 หัว 10. เกลือ 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. น้ำใส่หม้อตั้งไฟกลาง พอน้ำร้อนใส่ข้าวโพดอ่อนลงไปต้มจนสุก 2. ใส่ตะไคร้ หอมแดง ต้มจนมีกลิ่นหอมแล้วใส่หัวปลีลงไปต้มให้สุก ตามด้วยมันเทศ เห็ด ฟักทอง บวบเหลี่ยม ปรุงด้วยเกลือ แล้วใส่ใบผักหวาน (หรือจะเพิ่มใบแมงลัก) ปิดไฟ 3. ตักเสริฟ หมายเหตุ 1. น้ำแกงเลียง ความหวานได้จากข้าวโพดอ่อน และผักต่างๆ แค่ปรุงด้วยเกลือก็มีรสชาดที่ดี ได้พลังชีวิตที่ร่างกายต้องการ 2. การปรุงด้วยเกลือเพียงอย่างเดียว ท่านจะสังเกตุตัวเองได้ว่าจะสะอาด โปร่ง โล่ง สบายตัว ทางเข้าเฟส #อาหารสุขภาพหมอเขียวใครๆก็ทานได้ https://www.facebook.com/groups/473948956121406/?fref=ts (https://www.facebook.com/groups/473948956121406/?fref=ts) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 26, 2016, 08:57:46 PM (https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xlt1/v/t1.0-0/p403x403/13100834_1024142684339636_5573451989704049227_n.png?oh=733e3a082c0bcdf4629162456dd936d6&oe=579EC390)
มะละกอยอดอ่อนดองกินได้ ผลดิบนำมาปรุงอาหาร ใช้ปรุงส้มตำ แกงส้ม แกงเหลือง แกงอ่อม ผัดไข่ ต้มจิ้มน้ำพริก หรือจะทานผลสุกก็ได้ น้ำมีรสชาติหวานหอม มีวิตามินเอและแคลเซียมสูง มีไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล และเกลือโซเดียมต่ำ เป็นแหล่งที่ดีของเส้นใยอาหาร มะละกอสุกอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสุขภาพระบบหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก บำรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด มีฤทธิ์ลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด โรคข้อเสื่อม และข้ออักเสบรูมาตอยด์ ช่วยลดอาการของโรคดังกล่าว ปัจจุบันมีการใช้เอนไซม์จากมะละกอไปผลิตเป็นยาเม็ด ลดอาการบวม การอักเสบจากบาดแผลหรือการผ่าตัดแล้ว นอกจากนี้มะละกอสุกยังนำมามาสก์หน้าบำรุงผิวหน้าอ่อนนุ่ม หรือมีปัญหาเรื่องสิวบนใบหน้า ทั้งนี้ ผู้ที่ควบคุมอาหาร ไม่ควรกินมากเกินไป (เครดิตภาพ : isolateboy) มูลนิธิหมอชาวบ้าน ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2016, 06:44:34 PM น้ำหล่อฮั้งก้วย
ส่วนผสม น้ำหล่อฮั้งก้วย • ผลหล่อฮั้งก้วย 2 ผล • น้ำเปล่า 1.5 ลิตร • ดอกเก๊กฮวยตากแห้ง 1 กำมือ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) • น่ำตาลทราย (ตามชอบ) วิธีทำน้ำหล่อฮั้งก้วย • 1. ล้างผลหล่อฮั้งก้วยให้สะอาดแล้วบิให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นนำไปแช่น้ำเปล่าทิ้งไว้ 30 นาที • 2. นำหม้อที่แช่หล่อฮั้งก้วยไปต้มด้วยไฟอ่อนประมาณ 30 นาที (ใส่ดอกเก๊กฮวยตากแห้งลงไปในขั้นตอนนี้เพื่อเพิ่มเติมกลิ่นหอม) เติมน้ำตาลทรายลงไปตามชอบ พอครบเวลาปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นเล็กน้อย • 3. นำไปกรองผ่านตะแกรงเอาเฉพาะน้ำ ตักใส่แก้ว เติมน้ำแข็ง (หรือดื่มแบบอุ่น ๆ ได้) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 27, 2016, 10:13:21 AM https://www.youtube.com/watch?v=ID8PTvA0p4Q (https://www.youtube.com/watch?v=ID8PTvA0p4Q)
สวนสมุนไพรในระเบียงเล็ก หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2017, 10:51:09 AM ������ วิธีหนึ่ง ที่น่า สนใจ และ กำลัง เป็น ที่นิยม ใน ประเทศ ญี่ปุ่น ก็คือ
[バナナ] การ กินกล้วย มื้อเช้า หลายคน อาจทำ หน้างง ๆ ว่า ทำไม ต้องเป็น กล้วย มื้อเช้า เป็น แอปเปิ้ล มะละกอ แตงโม ระกำ บ้างได้ไหม [チェック] ก็ขอ แนะนำ ตรงนี้ เลยว่า กล้วย นับเป็น ผลไม้ ที่อุดม ไปด้วย คุณ ประโยชน์ ที่ สมบูรณ์ แบบ ที่สุด ชนิดหนึ่ง ใน กล้วยนั้น จะมี วิตามิน บี 1 และบี 2 ที่ช่วย ในการ เร่ง เผา ผลาญ น้ำตาล และ ไขมัน ทั้ง ยังช่วย ฟื้นฟู ร่างกาย จาก เหนื่อยล้า อีกด้วย ยังมี โปแตส เซียม ช่วย ในการ ขับ โซเดียม อันเป็นหนึ่ง ใน ตัวการ ที่จะ ทำให้ ความดัน เลือดสูง ออกทาง ปัสสาวะ และ ส่งผล ให้ลด การบวม ของ ร่างกายได้ แมกนีเซียม ในกล้วย ยังช่วย ควบคุม ความดัน เลือด และ การ ทำงาน ของ แคลเซียม ในร่างกาย เส้นใย ที่มีอยู่ ในกล้วย จะส่ง ผลให้ ระบบ การ ขับถ่าย ใน แต่ละวัน ของร่างกาย เราดีขึ้น กล้วย ยังมี เซโร เทนิน ที่ช่วย ลดอาการ หงุดหงิด และ ทำให้ นอนหลับ สบาย ยิ่งขึ้น อีกด้วย กล้วย ยังมี คุณ ประโยชน์ อีกหลาก หลายชนิด ทั้ง ไฟโต เคมิคัล ที่ช่วย ต่อ ต้าน อนุมูล อิสระ ชะลอ ความ แก่ ป้องกัน มะเร็ง มี เอนไซม์ ช่วยในการ ย่อย อาหาร ทำให้ กระเพาะ อาหาร และลำไส้ ทำงาน หนัก ลดลง ใน กล้วยดิบ ยัง มีฤทธิ์ ในการ ขับพิษสูง และหาก กล้วยสุก ก็ทำให้ ร่างกาย สร้างสาร ภูมิ คุ้มกัน ให้ สูงขึ้น กว่าปกติ อีกด้วย ทั้งหมด เป็น ประโยชน์ ที่ได้รับ จากการ กินกล้วย เพียงอย่าง เดียว เท่านั้น [チェック] ซึ่ง กิน ตอนไหน ก็ได้ แต่ หากเรา เฉพาะ เจาะจง ให้การ กินกล้วย ได้ผล สูงสุด [チェック] ต้องเป็น ตอนเช้า ทั้งหมด ก็เพื่อ จำกัด การ ทำงาน ของ กระเพาะ และ ลำไส้ ให้น้อย ที่สุด และ จะ ทำให้ ร่างกาย ได้รับการ ฟื้นฟู สภาพ อย่าง เต็มที่ การ กินกล้วย ตอนเช้านั้น จะทำให้ ร่างกาย ได้รับ ปริมาณ น้ำ ที่พอดี การ ไหลเวียน ของ ของเหลว ในร่างกาย ก็จะ ดีขึ้น และหาก อยากให้ ได้ผล อย่าง จริงจัง ก็ ต้องกิน เฉพาะ กล้วยกับ น้ำเปล่า เท่านั้น รวมทั้ง ต้องนอน ก่อน 4 ทุ่ม อีกด้วย และถ้า เกิดหิวขึ้น กลางดึก ก็ควร จะกิน ผลไม้ เท่านั้น ในยุค ปัจจุบัน ด้วยแล้ว ช่วง เวลา ตอนเช้า เป็น ช่วงเวลา ที่เร่งรีบ ที่สุด บางคน ถึงกับ ไม่กิน อาหาร เช้า กันเลย หรือ ไม่ก็ เลือกกิน เพียงแค่ กาแฟ กับ ขนมปัง เท่านั้น ดังนั้น ถ้าหาก ลองเปลี่ยน ช่วง เวลา แห่งความ เร่งรีบ มากิน กล้วย ตอนเช้า ก็น่าจะ สะดวก ง่ายดาย แถม กล้วย ยังเป็น ผลไม้ที่มี เอนไซม์ เยอะ ทำให้ เมื่อ กล้วย เคลื่อนที่ เข้าไปสู่ กระเพาะ การย่อย ก็ไม่ จำเป็น กล้วย จึง เคลื่อนที่ สู่ลำไส้ และ เริ่ม ดูดซึม ไปใช้ กับ ร่างกาย ได้อย่าง รวดเร็ว การ กินกล้วย มื้อเช้า ยัง มีส่วน ช่วย ทำให้ อาการ ท้องผูก หายไป และส่งผล ให้ อุจจาระ ที่ตกค้าง อยู่ใน ร่างกาย ค่อย ๆ ลดลง อีกด้วย บางคน ที่มี น้ำหนัก เกินนั้น ไม่ได้ เพียง เพราะมี ไขมัน ล้นเกิน เพียง อย่างเดียว แต่ เนื่องจาก มี ของเสีย สะสม อยู่ใน ร่างกาย มาก เกินไป ต่างหาก ( บางคน มีอุจจาระ สะสม อยู่ใน ตัวตั้ง 10 กิโลกรัม ) เพราะฉะนั้น หลังจาก เริ่มกิน กล้วย มื้อเช้า ไปแล้ว ของเสีย ต่าง ๆ จะเริ่ม ค่อย ๆ ถูก ขับออกมา จน น้ำหนัก ลดลง การ กินกล้วย มื้อเช้า เพื่อ หวังผล ในการ ลด น้ำหนัก นั้น อาจจะ ไม่ได้ผล ในช่วง แรก ๆ ไม่ใช่ว่า กินเพียง แค่วัน สองวัน แล้ว จะได้ผล เลยทันที แต่ต้อง ทำ ต่อเนื่อง ติดต่อ กินสัก ระยะ และหาก อยากลด น้ำหนัก อย่าง จริงจัง ลองจด ทุกอย่าง ที่กิน เข้าไป ในแต่ละวัน เริ่มตั้ง แต่ตื่นเช้า จนเข้านอน การจด จะช่วย ทำให้ คุณได้ เข้าใจ มากขึ้น ว่า ใน แต่ละวัน คุณกิน อะไร เข้าไปบ้าง การ กินกล้วย มื้อเช้า นั้น ถือเป็น อีกทางเลือก หนึ่ง ที่จะช่วย ทำให้คุณ ไม่ต้อง อด ไม่ต้อง ทน ไม่ เปลืองเวลา และ ไม่เปลือง เงิน เพราะ ใน ระหว่าง วันนั้น คุณ อยากกิน อะไร อยากทำ อะไร ก็ทำได้ ( ยกเว้น เงื่อนไข ตามที่ บอกไป ตอนต้น ) แต่ ถ้าคุณ อยากรู้ว่า ได้ผล จริง หรือ ไม่ ⭐ วันนี้ กินกล้วย ตอนเช้า ดูนะครับ หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2017, 10:52:49 AM ยอดฟักแม้วผัดเมนูสารพัดประโยชน์
ฟักแม้ว, มะระแม้ว หรือ ชาโยเต้ มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโก นำเข้ามาในประเทศไทยโดยหมอสอนศาสนา และให้ชาวบ้านปลูกเป็นครั้งแรกที่จังหวัดแพร่ ปัจจุบันนิยมปลูกกันในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวในประเทศไทยอย่างภาพเหนือ นอกจากผลแล้วยอดฟักแม้วยังเป็นวัตถุดิบยอดนิยมที่นำมาทำอาหารในปัจจุบัน ยอดฟักแม้วช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวกขึ้น จึงป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี และยังอุมดมไปด้วยวิตามินและกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ www.nextsteptv.com (http://www.nextsteptv.com) Good TV เพย์ทีวีดีๆ จาก Next Step โทร 020263399 ทุกวัน 8:30-19:00 น www.tv.co.th (http://www.tv.co.th) (https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/s720x720/16716109_1575105222504500_9060768486862006569_o.jpg?oh=c12a1b7fe37bd070ffe475f6dc481af4&oe=592CFAFB) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2017, 08:22:20 PM สวนครัวแนวใหม่ สวยและกินได้.
http://mp.weixin.qq (http://mp.weixin.qq)....wechat_redirect หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 27, 2017, 02:36:40 PM มะเขือเปราะ : ลดน้ำตาลในเลือด
ไทยเรากินผลสีเขียวเป็นอาหาร ทั้งจิ้มน้ำพริก ใส่แกงป่า แกงเผ็ด และอื่นๆ เป็นอาหารที่ปราศจากคอเลสเตอรอล ลดมะเร็ง ลด น้ำตาลในเลือด และเสริมสร้างสุขภาพ สรรพคุณทางยา ผลมะเขือเปราะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวกล้ามเนื้อเรียบ ต้านมะเร็งตับและลำไส้ ใหญ่ บำรุงหัวใจ และลดน้ำตาลในเลือด ขณะที่รากใช้รักษาอาการไอ หอบหืด อาการหลอดลมอักเสบ ขับปัสสาวะ และขับลม (เครดิตภาพ : mamchan, ร้อยหมื่นพันไมล์ไกลบ้าน, paula, Insignia_Museum, ปลายแป้นพิมพ์, lekkathaifood) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** (https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/s720x720/17498748_10155209099647028_6416091005378818376_n.png?oh=ec307e9fe83914e9c8cc8be98b6e9737&oe=59998014) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 18, 2017, 07:34:31 PM เชอรี่ไทย : ผลไม้อารมณ์ดี ลดการอักเสบ
ผลไม้สีแดงสด รสเปรี้ยว มีกลิ่นหอม สารที่มีอยู่ในเชอรี่ไทย คือ สารในกลุ่มแอนโธไซยานิน ช่วยลดการอับเสบ การเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ รับประทานเป็นประจำจะมีอารมณ์ดี กระปรี้กระเปร่า และช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้นสำหรับผู้มีอาการท้องผูก ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน ** (https://scontent.fbkk7-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/18447258_10155375851572028_6458674038225759711_n.png?oh=2a8f9eb326a4cba4e81d59f4a0cc33a4&oe=59B59D7F) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 23, 2017, 10:28:45 AM ข่า : รักษาปวดข้อเท้า
ข่าเป็นสมุนไพรเก่าแก่ที่สุดตัวหนึ่งที่คนไทยทั้งกินและใช้กันมานานหลายรูปแบบ ตั้งแต่เป็นเครื่องเทศดับกลิ่นคาว โดยใช้หัวข่าใส่ต้มยำ ต้มข่า ต้มแซ่บ เครื่องแกงน้ำพริกต่างๆ นานา และกินหน่อข่า ดอกข่าเป็นผัก การใช้ข่ารักษาอาการปวดข้อเท้า สามารถทำเองได้ง่ายๆ ดังนี้คือ นำข่าแก่มาโขลก คั้นน้ำออกบ้างแล้วพอกบริเวณที่ปวด พันผ้าทิ้งไว้ สิ่งสำคัญก็คือ ก่อนพอกข่าทุกครั้ง จะต้องทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวบริเวณผิวหนังก่อนเสมอ เพื่อป้องกันผิวหนังพองและไหม้ เนื่องจากข่ามีฤทธิ์ร้อน อย่าใช้ข่าจำนวนมาก หรืออย่าพอกไว้นานเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้ กรณีลืมทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวบนผิวหนัง แล้วพอกข่าลงไปจนเกิดผิวหนังพอง ไหม้ดำเมื่อผิวหนังหายพองแล้วสามารถนำมะขามเปียกมาถูบริเวณผิวไหม้เบาๆ แต่ถูต่อเนื่องจนกว่าผิวหนังจะปกติ (https://scontent.fbkk7-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/s720x720/18620344_10155394092767028_84145713396902337_n.png?oh=2df81d5661a038f9c03680b7129b7d43&oe=59A5CDF1) หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 14, 2020, 11:39:11 AM https://medthai.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87/
สำรอง หัวข้อ: Re: สมุนไพรจ้ะ เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2022, 05:49:25 PM https://www.youtube.com/watch?v=-Ygw_JoH9ek (https://www.youtube.com/watch?v=-Ygw_JoH9ek)
อาหาร สมุนไพรสร้างภูมิคุ้มกัน EP 2 - หมอนัท Live สมุนไพรชนิดใดทดแทน ฟ้าทะลายโจร และ ยาห้ารากได้ 1. การ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันโควิด 2. เมื่อติดโควิด จะใช้สมุนไพรอะไรดี #กองหนุนภูมิคุ้มกัน - ตอนนี้ #ภูมิคุ้มกันของเรา คือ ฮีโร่ ที่เราควรสนับสนุนให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ สถานการณ์ปัจจุบัน มีคนติดมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่ฉีดวัคซีนก็ยังเป็นได้ แต่จะทำอย่างไรให้ ไม่เกิดอาการรุนแรง ------------------------- 0:00 - Intro 01:25 - 1. ป้องกัน การติดเชื้อ เพิ่มอาหารที่มีวิตามินซี เช่น มะขามป้อม(276/100), น้ำฝรั่ง(160/100), น้ำมะกรูด(134 มิลลิกรัม/100 กรัม), น้ำส้ม(53.2/100) ** ไม่ควรทานติดต่อกันทุกวัน จะทำให้เลือดไม่เกาะกัน ** วิธีแก้ คือ ในมื้ออาหารให้ใส่น้ำมันที่ดีเข้าไปด้วย เช่น น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันงา, น้ำมันเมล็ดชา, น้ำมันมะกอก, น้ำมันถั่วดาวอินคา . ดมน้ำมันหอมระเหย ทำเอง ขมิ้น, ข่า, ตะไคร้, ลูกมะกรูด, ใบมะกรูด, ใบส้มซ่า, ใบเตย, หัวแดง, ใบกระเพรา, ใบมิ้นต์(สะระแหน่) น้ำมันหอมระเหยมะกรูด เลมอน เปลือกส้มโอ เปลือกส้ม : ช่วยบรรเทาความเครียด วิตกกังวล บรรเทาอาการคัดจมูก ต้านการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ ซื้อตามร้านขายยา เช่น ยาแก้ไอมะขามป้อม มะแว้ง มะกรูด มะกรูดดองน้ำผึ้ง ประมาณ 15 วัน รสหวานจะหายไป ทาน 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเล็กน้อย วันละ 1-2 ครั้ง ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดี และ ช่วยให้เมือกในคอมีภูมิคุ้มกันที่ดี ทำแบบนี้เพื่อให้ เมือกที่คอจับเชื้อโรคได้ดี และ ช่วยให้ต่อมทอนซิลที่คอทำงานได้ดี ++ ร่วมกับการเลี่ยงการทานของทอด น้ำแข็ง เนื้อสัตว์ปริมาณมาก --------------------------- 17:28 - 2. เมื่อติดโควิด แล้ว ใช้สมุนไพรอะไรดี นอกจากฟ้าทะลายโจร ยาห้าราก จันทลีลา ประสะจันทน์แดง สะเดา - ทุกส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ (ตำราโอสถพระนารายณ์) ลดแบคทีเรียในช่องปาก , นอนหลับได้ดีขึ้น ** รสขมก็จริง แต่ ช่วยให้การย่อยอาหารดีขึ้น กระตุ้นการทำงานของน้ำดี** วิธีทำยา ใบอ่อนทานสดจิ้มน้ำพริก, ใช้ทั้งใบทั้งก้านและดอกนำมาตากแดดจนแห้ง ต้มกับน้ำ 3 แก้ว จนเหลือ 1 แก้ว // ทานวันละ 1 แก้ว 15 วัน สมุนไพรแบบเม็ดให้ทานวันละ 3 ครั้งตอนท้องว่าง ครั้งละ 2 แคปซูล (ทานตามฉลาก) *สำคัญ - ไม่ควรใช้กับ ผู้ที่มีความดันต่ำ ผู้ที่ร่างกายภายในเย็น หนุมานประสานกาย - มีรสเผ็ดปร่า ขมฝาด ช่วยให้เลือดเดินได้สะดวก โบราณใช้รักษาโรคหอบหืด ภูมิแพ้ วัณโรค รสชาติ ขมฝาด ช่วยบรรเทาหวัด ลดอาการไอ แก้ร้อนใน แก้เจ็บคอและคออักเสบได้ ** ช่วยแก้อาการอักเสบบวม ลดอาการปอดชื้น** วิธีทำยา ใบสดเล็ก ๆ 9 ใบ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว แล้วเคี่ยวจนเหลือ 1 แก้ว ใช้รับประทานตอนท้องว่าง ครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ทาน 15 วัน สมุนไพรแบบเม็ดให้ทานวันละ 3 ครั้งตอนท้องว่าง ครั้งละ 2 แคปซูล (ทานตามฉลาก) *สำคัญ - ไม่ควรใช้กับ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีไข้สูง หญิงตั้งครรภ์ แนะนำสมุนไพร ทานคู่กันไป เพื่อเสริมประสิทธิภาพ ตรีผลา - มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม(เปรี้ยวฝาด) - เพิ่มภูมิคุ้มกัน, จับไวรัสไม่ให้เข้าสู่เซลล์, บำรุงปอด, ละลายเสมหะ สมอไทย(เปรี้ยวฝาดขมเผ็ด) - ต้านการอักเสบ ขับน้ำเหลืองเสีย ภุมิแพ้ หอบหืด สมอพิเภก(ผลดิบรสเปรี้ยวผลสุกรสฝาด) - มีฤทธิ์ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา ต้านยีสต์ ต้านไข้มาลาเรีย แก้หืด แก้ไอ แก้หวัด ร่วมกับการ + นอนพักผ่อนให้มาก + ทานอาหารให้หลากหลาย ------------------------------- 40:14 - สรุปการป้องกัน และ รักษา ด้วยสมุนไพร 46:53 - ยารักษาโรคหวัดในเด็กอ่อน ตำรับ หลวงปู่ศุข ส่วนผสม หอมแดง 2 หัว น้ำสะอาด 1 แก้ว วิธีทำ เอาหัวหอมแดงมาปอดเปลือกออก ทุบให้แตกออกมาก ๆ ใส่ลงหม้อดิน เอาน้ำ 1 แก้วเทลงไป ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟจนน้ำเดือดสักครู่ก็ยกลงมา ปล่อยเอาไว้ให้เย็นลง บีบขยี้ หัวหอมแดงให้เละรวมกับน้ำที่ต้ม ขนาดการใช้ เอาน้ำและหัวหอมแดงที่บีบคั้นจนเละแล้วนี้มาพอกทาที่ศีรษะเด็กอ่อนได้ทันที ทา พอก ให้ทั่วถึงทั้งศีรษะ สรรพคุณ รักษาอาการเป็นหวัด คัดจมูกของเด็กอ่อนได้ดีมาก นับว่าเป็นยาไทยโบราณที่ใช้กันมาแล้วช้านาน เด็กอ่อนจะหายใจโล่งจมูก ปลอดโปร่งขึ้นมาทันที จะหายใจคล่องตัว สบายขึ้นทันตาเห็น 53:38 - ตอบคำถามสุขภาพ ---------------------------------------------- ปรึกษาการใช้ยา กับแพทย์แผนไทย สั่งซื้อสมุนไพรได้ที่ line@ : @cheewaherb https://lin.ee/9DLJDgz (https://lin.ee/9DLJDgz) หรือ inbox Facebook cheewaherb https://m.me/cheewaherbthai (https://m.me/cheewaherbthai) |