Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา

เรื่องอาหารการกิน วิธีทํา แนะนําร้านอร่อย => ใครหิวเชิญทางนี้โดยหนูใจ => ข้อความที่เริ่มโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 10:42:13 PM

Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา

หัวข้อ: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 10:42:13 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1460969_245778492249528_1248462691_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1557617_245978882229489_1204359465_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1017393_247287678765276_1524355874_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 10:43:42 PM

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1511138_392642860872729_304987512_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 10:44:08 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1530577_391820100955005_1731662832_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 10:44:45 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1551548_391605307643151_1032391859_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 10:46:30 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/1526598_391226521014363_719861806_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 10:48:33 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1604724_391184441018571_1447180309_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 18, 2014, 12:28:35 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1557713_247974932029884_741932730_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 18, 2014, 12:29:08 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1525417_247926842034693_1342632519_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 18, 2014, 12:30:23 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1512487_247627125397998_1826301973_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 27, 2014, 09:34:41 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1779676_1458207324392271_2101740350_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 30, 2014, 08:18:55 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1724251_582879958463804_404322683_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 30, 2014, 08:26:51 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/527598_10151627612107289_1148233065_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 30, 2014, 08:27:21 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1512320_1456878067874393_1209490621_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2014, 10:37:14 AM


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1185008_248244608687122_1850438312_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 03, 2014, 09:12:36 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1554580_579528028802397_140432680_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 09:42:00 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1623763_527361874027774_1487663387_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1891149_527361904027771_453907955_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 04, 2014, 09:42:29 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1962606_411264785677203_2051264352_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1796489_581857718563860_254657426_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1011401_662346800477906_1166806235_n.jpg)



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2014, 10:44:20 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1533727_281064415381779_1156369200_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 05, 2014, 11:04:56 AM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1610048_582256798523952_520753676_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2014, 08:55:54 AM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1800379_693447550701131_1309870435_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1545598_618255761562210_390911322_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/16619_10202893960928143_274289315_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1897885_694422270603659_1240445580_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1903005_693009154078304_110849358_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1544300_695010037211549_143698179_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1798057_431954633602975_497043420_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1897690_431296157002156_1958222335_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1621947_430623870402718_1923433190_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1888729_429897110475394_1050840954_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1620490_429167263881712_277243868_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1972551_415612558575759_1344349366_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1622176_657271767663425_1881736516_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t34.0-12/10013122_289691697860266_2136689713_n.jpg?oh=6af18455d375452e0b910d469eacf4ef&oe=5330E01A&__gda__=1395738143_a8aa53e7bc1ffe35b5619f9f1619bb39)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 09:23:05 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1507870_252588401568537_1469788994_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 09, 2014, 10:42:01 AM

(https://scontent-b.xx.fbcdn.net/hphotos-frc3/l/t1/1794773_589033971189244_1910364246_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1621887_196064327271319_678972127_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 09, 2014, 10:46:26 AM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/64212_440093202729185_1283716964_n.jpg)


อ่านเพื่อให้เป็นคติเตือนใจ เกิดสติปัญญา..@

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก
คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย
ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า
คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ
ไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น
มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน
แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ
จึงบอกว่า " ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า"

หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า "อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อยไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว"
เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่า ตัดสินใจเองไม่ได้ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่า
"อยากเข้ามา ก็เข้ามา!"

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่า "อาการหนักเลยนะ"

ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า
"โทรมมากเลยนะ" ชายคนนั้นไม่สนใจ
หลวงตาบอกว่า "ไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ"
ชายคนนั้นไม่สนใจ

แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น
ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด

เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ
แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุม
ร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู
เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสาร
จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆ
กอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพ
ของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า "ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน"

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา
เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า "โยมรอดแล้ว
เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว"

ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชติดตามหลวงตาองค์นั้นในที่สุด

 คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย
เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่

ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้
คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน
ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า
ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้
ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า
เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่ 

ทุกๆวจีกรรม กายกรรม และมโนกรรม ที่เรานึกคิด
พูดล้วนเป็นกรรมหมด อยู่ที่เจตนาเป็นบุญหรือบาป ล้วนส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคตทั้งนั้น



thank you


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2014, 05:04:43 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/10748_584331531655380_934851666_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1016561_1460751154153751_1747328130_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1800347_428409950624110_266431786_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1959219_257874307670035_1760312106_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1621713_1408292369425334_2065817183_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1921896_1466932933535573_1959247429_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:15:25 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1904082_676815165695812_776888842_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:16:14 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1560454_676811625696166_51275007_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1604799_693950337317519_2008255150_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:20:05 PM
โทสะ คืออะไร

หมู่บ้านแห่งหนึ่งได้จัดงานบุญประจำปีขึ้น
ก็เป็นประเพณีทุกปีที่บรรดาเจ้าภาพจะนิมนต์พระมาเทศนา
ปีนี้ก็มีสามรูปจากคนละวัด

ก็มีญาติโยมถามไปว่า โทสะ คืออะไร

พระสองรูปจากวัดใกล้หมู่บ้านก็เทศนากันอย่างได้บรรยากาศ
ชาวบ้านที่มาฟังก็หัวร่อตามกันไม่หยุด
จนล่วงไปนานพระรูปที่สามก็นั่งนิ่ง นานเข้าก็ยังนั่งนิ่ง
พระรูปแรกเกิดความสงสัย ว่าเหตุใดท่านจึงไม่พูดจาอันใดเลย
ถามพระรูปที่สามไปว่าโทสะคืออะไร

ได้ยินดังนั้นพระรูปที่สามก็นิ่งอยู่ครู่ แล้วพูดออกมาคำเดียวว่า "ส้นตีน"

คำพูดนี้ทำให้พระรูปแรกถึงกับอึ้ง พูดไม่ออก
ชาวบ้านก็พากันตาค้าง ส่วนท่านเองก็นั่งนิ่งเหมือนเดิม
เล่นเอาคนงงกันทั้งบาง

พระรูปแรก เมื่อถูกย้อนมาดังนั้นก็นั่งนิ่ง
พูดไม่ออกอยู่นาน จนหน้าแดงผาด
ญาติโยมก็เห็นท่านหน้าแดง คงโกรธแต่พูดไม่ออกกระมัง

ความเงียบที่เข้ามาอยู่สักพักก็ถูกทำลายลงโดยพระรูปที่สาม
"นี่ไงล่ะท่าน คือโทสะ ดูเอาเถิด"

หลังจากนั้นพระรูปที่สามก็เทศนาต่อไป
ชาวบ้านญาติโยมจึงได้รู้และเห็นจริงของคำว่า โทสะ

จั่นเจ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:24:19 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1623574_672987319411930_327979597_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1660557_672554599455202_606528825_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1513701_674875059223156_2102491492_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1620391_1466567556905444_1856509688_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/534092_599827543425904_1630955185_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1795788_419663244837357_1656008232_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/v/t34.0-12/1241091_1540860696139616_1842421336_n.jpg?oh=f6fe2e9b5dc5beda975ce89256056f70&oe=53262122&__gda__=1394972221_d1e9f45d74d302e89b933421cc7f7329)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1012282_662781583767761_1091526860_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2014, 09:24:16 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1480686_343275105810389_559091173_n.jpg)


มนุษย์5จำพวก.....(แล้วคุณคือมนุษย์จำพวกใหน?)
มนุษย์ ตามความหมายทางภาษาบาลีมีได้หลายนัย เช่น ผู้มีใจสูง, ผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งทีไม่เป็นประโยชน์, ผู้เป็นเหล่ากอของผู้รู้, ผู้ที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เพราะได้อาศัยธรรมของมนุษย์ ได้แก่ศึล 5 และกุศลกรรมบถ 10 เป็นคุณธรรมที่จะเสกสรรปั้นปรุงให้เป็นคน ถ้าใครขาดธรรมทั้ง 2 หมวดนี้ ก็จัดว่าเป็นคนไม่เต็มคน เหตุดังนี้นท่านจึงแบ่งมนุษย์ออกเป็น 5 จำพวกคือ

1. มนุสฺสเนรยิโก: มนุษย์สัตว์นรก
ได้แก่ มนุษย์ผู้ดุร้ายหยาบคาย เที่ยวฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขา เที่ยวจี้เที่ยวปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนด้วยอาการทารุณดุร้าย เช่น ฆ่าเจ้าทรัพย์ตายบ้าง ทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่น ทรมานผู้อื่นสัตว์อื่น โดยอาการทารุณดุร้ายหยาบคายนานาประการ รวมความว่าเป็นคนไร้ศึลธรรม ไม่มีมนุษยธรรม คือ ศีล 5 ประจำตัวเลย เป็นมิจฉาทิฎฐิ ท่านจึงได้ขนานนามว่า มนุสฺสเนรยิโก คือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทาง กาย วาจา ใจ นั้นเลวทรามต่ำช้าดุร้ายหยาบคายเหมือนกับสัตว์นรกฉะนั้น

2. มนุสฺสเปโต: มนุษย์เปรต
ได้แก่มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อย โลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิง วิ่งราว เป็นต้น แม้พวกที่เที่ยวขอทานมีบาดแผลเกรอะกรังก็สงเคราะห์เข้าประเภทนี้ด้วย

3. มนุสฺสติรจฺฉาโน: มนุษย์สัตว์ดิรัจฉาน
ได้แก่มนุษย์ที่ขวางศีล ขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักคุณของผู้มีคุณ เช่น บิดามารดา คูรบาอาจารย์ เป็นต้น เป็นมนุษย์ไร้ศีลธรรม ดื่มเหล้าเมาสุรา สูบฝิ่น กินกัญชา ทำอะไรทาง กาย วาจา ใจ ก็ขวางๆ ผิดทำนองครองธรรม ท่านจึงได้ขนานนามว่า มนุสฺสติรจฺฉาโน แปลว่า ผู้ไปขวาง คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คนดิรัจฉานก็ฉันนั้น ทำอะไรก็ขวางธรรมขวางวินัย คือผิดศึลธรรมอยู่เสมอๆ

4. มนุสฺสภูโต: มนุษย์แท้ๆ
คือเป็นคนเต็มคน ได้แก่ บุคคลผู้เกิดมาเป็นคนแล้ว ได้รักษาศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ มิได้ขาดมิได้ประมาทต่อศีล เพราะถือว่าเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำคนให้เป็นคน แต่มิได้บำเพ็ญกุศลจริยาอย่างอื่นอีก เช่น ไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้ฟังธรรม เป็นต้น มนุษย์อย่างนี้ท่านขนานนามว่า มนุสฺสภูโต คือ เป็นคนเต็มคน เพราะมีคุณธรรมของคนคือศีล ศีล แปลว่า เศียร คือ หัว ถ้าคนขาดศีล ก็คือคนขาดหัว หัวขาดนั่นเอง เพราะขาดจากคุณธรรมของความเป็นคน

5. มนุสฺสเทโว: มนุษย์เทวดา
ได้แก่มนุษย์ผู้มีศีล 5 มั่นเป็นนิตย์แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้าน ฟังธรรม เรียนธรรมปฏิบัติธรรม ไหว้พระ สวดมนต์ มีหิริ คือความละอายบาป มีโอตตัปปะ คือความสะดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอเรียกว่า เป็นผู้มีใจสูงดุจเทวดา เพราะประกอบด้วยเทวธรรม 7 ประการ คือ
บำรุงเลี้ยงมารดาบิดา
ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้เจริญในตระกูล
พูดจาไพเราะเสนาะหู อ่อนหวาน นุ่มนวล
ละความส่อเสียด
รักษาคำสัตย์
ละความตระหนี่เหนียวแน่น
ไม่โกรธ
มนุษย์ผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านขนานนามว่า มนุสฺสเทโว
เท่าที่่แสดงมานี้ ก็พอชี้ให้เห็นได้เด่นชัดแล้วว่า ศีลธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องวัดบุคคล เป็นเครื่องแบ่งแยกบุคคลให้มีประเภทต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ถ้าผู้ใดไรศีลธรรม ผู้นั้นก็ชื่อว่าเป็นคนไม่เต็มคนบ้าง เป็นคนเปรตบ้าง เป็นคนอสุรกายบ้าง เป็นคนนรกบ้าง เป็นคนดิรัจฉานบ้าง ถ้าผู้ใดมีศีลธรรม มีกัลยาณธรรม มีวัฒนธรรมอันดีงาม ผู้นั้นก็ชื่อว่า เป็นคนเต็มคน เป็นคนแท้ๆ และเป็นคนเทวดา
เพราะฉะนั้นทางไปมนุษย์จึงได้แก่ศีล 5 ซึ่งเป็นมนุษยธรรม คือธรรมประจำมนุษย์ ในพระบาลีท่านเรียกว่า "อริยธรรม" เช่น คำว่า "อริยธมฺเม ฐิโต นโร" นรชนผู้ตั้งอยู่ในอริยธรรม ได้แก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในศีล 5 ดังนี้



‎ธรรมะ จัดสรร


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2014, 09:40:58 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1609851_693955277317025_1132880985_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2014, 09:47:28 PM
วัดเวียง อำเภอไชยา พระครูศรีปริยัติชยาภรณ์


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1796637_586815441413169_872849927_n.jpg)


ลงค่ำนี้ พรุ่งนี้เวียนเทียน*ความรัก* ที่ต้องตามหลักธรรม
ความรัก คือสิ่งดี มีศิลปะ
รักถูกกาละ เทศะ จะเหมาะสม
ความรัก คู่ความคิด จิตไม่ตรม
รักชื่นชม ชนชมชื่น ว่าสิ่งดี
ความรักมี ต่อกัน ช่วยสรรค์สร้าง
รักไม่ว่าง ไม่อ้างว้าง ช่างสุขี
ความรักเกิด จากจิต มิตรไมตรี
รักคนนั้น คนนี้ มีทุกคน
เมื่อมีรัก ต้องรู้จัก คำว่าให้
เมื่อมีรัก ต้องอภัย ได้ทุกหน
เมื่อมีรัก ต้องสละ และอดทน
รักย่อมล้น สุขนาน นิรันดร


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/64645_1463885417157915_173698095_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2014, 09:59:00 PM

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1601280_258223634351298_287857546_n.jpg)

หลวงพ่อดีเนาะ..ผู้มองโลกในแง่ดี

มีหลวงพ่อองค์หนึ่ง ซึ่งเลื่องลือกันว่าว่า เป็นพระที่มีแต่ความสุข ไม่เคยมีความทุกข์ วันหนึ่ง โยมมานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่บ้าน บอกท่านว่าจะมารับแต่เช้า หลวงพ่อก็นั่งรอจนสายโยมก็ไม่มาสักที ท่านจึงว่า "ไม่มา ก็ดีเหมือนกันเนาะ เราฉันข้าวของเราดีกว่า" ท่านฉันข้าวได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับพอดี กราบกรานขอโทษที่มาช้า เหตุเพราะว่ารถเสีย หลวงพ่อจึงหยุดฉัน "ก็ดีเนาะ ไปฉันที่งานเนาะ"

หลวงพ่อนั่งรถไปได้สักพัก เครื่องรถก็ดับ คนขับบอก "รถเสียครับ" หลวงพ่อก็ว่า "ดีเนาะ ได้หยุดพักชมวิวเนาะ" คนขับง่วนอยู่กับรถพักใหญ่ ทำอย่างไรเครื่องก็ไม่ติด จึงออกปากขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ ความจริงหลวงพ่อก็แก่แล้ว ข้าวก็ฉันได้ไม่กี่คำ แต่แทนที่จะบ่น ท่านกลับยิ้ม บอกว่า "โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ" แล้วท่านก็ขมีขมันออกแรงช่วยเข็นรถจนวิ่งได้ ปรากฏว่ากว่าจะถึงบ้านงานก็เลยเที่ยงแล้ว หมดเวลาฉันอาหารไปแล้ว เป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่ออดข้าวทั้งสองมื้อ แต่เนื่องจากได้เวลาเทศน์แล้ว เจ้าภาพจึงนิมนต์ท่านขึ้นเทศน์ทันที

หลวงพ่อก็สนองด้วยดี "ดีเนาะ” มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ” ว่าแล้วท่านก็ขึ้นธรรมมาสน์เทศน์จนจบ มีคนชงกาแฟถวาย แต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาล หลวงพ่อจิบกาแฟไปได้หน่อยก็โยมว่า "ดีเนาะ " แล้วก็วาง ธรรมเนียมของญาติโยมที่ศรัทธาเกจิอาจารย์ เวลาท่านฉันอะไรเหลือ ลูกศิษย์ก็อยากได้บ้าง ถือเป็นสิริมงคล แต่ลูกศิษย์ดื่มกาแฟแค่อึกแรกเท่านั้นก็พ่นพรวดออกมา "เค็มปี๋เลยหลวงพ่อ ฉันเข้าไปได้ยังไง!"

"ดีเนาะ ฉันกาแฟหวานๆมานาน" หลวงพ่อว่า "ฉันเค็มๆมั่งก็ดีเหมือนกัน" ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน จะแย่แค่ไหน หลวงพ่อก็มองเห็นแต่แง่ดี ท่านจึงไม่มีความทุกข์เลย เคยมีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งไปทำผิด ถูกจับติดคุก ท่านก็ว่า "ก็ดีเนาะ มันจะได้ศึกษาชีวิต"

หลวงพ่อดีเนาะมิใช่เป็นหลวงตาธรรมดา ๆ หากเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีชื่อของจังหวัดอุดรธานี ที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือทั่วประเทศ การประพฤติปฏิบัติของท่านเป็นที่เล่าขานกันมากมายหลายเรื่อง เช่นมีผู้ เล่าว่า กุฏิของท่านเป็นที่จับตาของโจรผู้หนึ่ง เพราะเห็นว่ามีสิ่งของมีค่ามากมายที่ญาติโยมนำมาถวาย วันหนึ่งได้โอกาสบุกเข้าประชิดตัวหลวงพ่อบนกุฏิพร้อมปืนในมือ

“นี่คือการปล้น อย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ” หลวงพ่อแทนที่จะตกใจหรือโมโห ยิ้มให้โจรด้วยอารมณ์ดีและกล่าวกับโจรอย่างนิ่มนวลว่า “ปล้นก็ดีเนาะ” โจรแปลกใจในคำพูดและท่าทีของหลวงพ่อ จึงพูดว่า “ถูกปล้นทำไมว่าดีละหลวงพ่อ” หลวงพ่อตอบว่า “ทำไม่จะไม่ดีละ ก็ข้าต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าสมบัติบ้า ๆ นี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมดข้าจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก” โจรตอบว่า “ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียวฉันต้องฆ่าหลวงพ่อด้วย เพื่อปิดปากเจ้าทรัพย์”

หลวงพ่อก็ตอบเหมือนเดิม “ฆ่าก็ดีเนาะ”
โจรแปลกใจจึงถามว่า “ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อตอบ “ข้ามันแก่แล้ว ตายเสียได้ก็ดี จะได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร”
โจรรู้สึกอ่อนใจเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ฆ่าหรอก”
หลวงพ่อก็พูดเหมือนเคย “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ”
โจรถามอีก “ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก”

หลวงพ่อตอบว่า “การ ฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องใช้เวรทั้งชาตินี้และชาติหน้า อย่างน้อยตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุก เข้าตะราง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก” ได้ยินเช่นนี้โจรเลยเปลี่ยนใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว” หลวงพ่อก็ตอบอีกว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ” มี ผู้เล่าต่อมาว่า ในที่สุดโจรคนนั้นก็สำนึกบาปเข้ามอบตัวกับตำรวจ เมื่อพ้นโทษออกมาก็ขอให้หลวงพ่อบวชให้และอยู่ในผ้าเหลืองเป็นเวลานาน ส่วนหลวงพ่อมีคนให้ฉายาท่านว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” มาจนทุกวันนี้

หลวงพ่อดีเนาะ แห่งวัดมัชฌิมาวาส อุดรธานี เป็นผู้ที่มองเห็นข้อดีของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่าน อีกท่านมองคนอื่นในแง่ดีเสมอ ไม่เคยว่าใครหรือจับผิดใคร เจอปัญหาอะไรๆ ก็พูดว่า “ดีเนาะ” ในที่สุดจึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระเทพวิสุทธาจารย์ สาธุอุทานธรรมวาที” ซึ่งแปลว่า ผู้สอนธรรมด้วยการเปล่งคำว่าดีเนาะ

เขียนเล่าเรื่องพระไพศาล วิสาโล(เครดิสโพสต์จากJohn Kham)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1782034_10203143181131526_203051757_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 07:56:10 AM

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1017417_196189583925460_517522356_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1613827_196184750592610_299937563_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1620467_196241570586928_1756491324_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 10:01:48 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1601345_431277417003386_1824842626_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1623600_1435297263373307_1078570908_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 15, 2014, 10:07:11 AM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1620783_694423007270252_817550458_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1891291_694963130549573_1499470053_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1972516_1466570923571774_487838832_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 10:01:38 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1690319_429505130514592_1646091202_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1896756_430325793765859_622355437_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1947809_645049562222145_938964424_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 10:02:06 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1622196_644524378941330_1871074562_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1521580_619823041430967_1259022828_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1798470_231530237030658_1553034565_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1010479_659685884088680_185263635_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 10:04:41 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1795706_644522588941509_1292577139_n.jpg)


@@@กรรมด่าพระ@@@

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

**พระพุทธองค์ทรงตรัสผลกรรมที่ตำหนิพระสงฆ์ ด่าบริภาษ ให้ร้ายแก่พระสงฆ์ ขวนขวายให้พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ ไล่พระสงฆ์ ขวนขวายให้พระสงฆ์เสื่อมจากลาภสักการะ ให้พระสงฆ์เสื่อมเสีย บุคคลผู้นั้นย่อมมีความฉิบหาย ด้วยเหตุดังนี้

๑.ย่อมถูกโรคอย่างหนัก คือ ย่อมป่วยด้วยโรคอันหนักทำให้ถึงแก่ชีวิต

๒.ถึงความเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน

๓.เป็นผู้หลงใหลเมื่อทำกาละ คือ ตายแบบไม่รู้ตัว

๔.เมื่อตายไปแล้วย่อมเข้าถึงนรก หรือหากเกิดมาเป็นมนุษย์ย่อมเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ที่ไม่มีปาก — กับ สุรปัญโญ ภิกขุ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 09:32:49 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/923450_434258760039229_888205156_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/p526x296/1939681_650892398301362_1498127162_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1922478_420886268057865_726902581_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 08:06:01 AM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1888564_588011621287371_1168575635_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10155250_674912285899373_5407359971022917203_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1904119_258299177627548_1089480723_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1656221_658565210867414_1877067501_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1932253_1466400396922160_697545568_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1965083_656832277707374_274455071_n.jpg)


(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/1527031_671940389529896_126779632_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 09:45:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/557678_418127271603573_686800567_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 10:06:52 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/269501_407895815960052_310209699_n.jpg)
.วัดเขาคีรีวงค์..จ.นครสวรรค์


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash2/t1/430009_407895635960070_1321980921_n.jpg)
พระจุฬามณี.


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash2/t1/484824_407895305960103_1040766020_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 19, 2014, 10:23:20 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1969148_1464311267131073_75795182_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1911834_287314361425751_353424555_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1622228_690074411059857_52836122_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1004970_686568081410490_644575917_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1959323_688828554517776_1999419698_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/16603_685704478163517_1987109962_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1606997_685144851552813_482465921_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1794718_688992994501332_1782501598_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1888718_680668552000443_830134945_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1743547_679339405466691_397763983_n.jpg)
ราวๆปี ๒๕๐๕ - ๒๕๐๖

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1012066_678975548836410_164858774_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1622765_285580444932476_1282333018_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:25:42 AM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1656084_218202868381201_1929708036_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1622025_259405800894705_592759193_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1607109_10152190810653446_180897398_n.jpg)


ขอเชิญร่วมโครงการ บรรพชา - อุปสมบทหมู่ ภาคฤดูร้อน ประจำปี 2557
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ณ วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
บวชฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

พระเปิดรับสมัครถึงวันที่ 23 มีนาคม 2557
สามเณรเปิดรับสมัครถึงวันที่ 27 มีนาคม 2557

กำหนดการ
23 มีนาคม 2557
17.00 น. ปิดรับสมัครบวชพระ / นาคเข้าอยู่พิจารณาความประพฤติ และซ้อมขานนาคที่วัด

27 มีนาคม 2557
09.00 น. ผู้สมัครบวชเณรรายงานตัว / ลงทะเบียนสามเณร

29 มีนาคม 2557
09.00 น. พิธีขลิบผมนาค
18.00 น. เทศน์สอนนาค โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ

30 มีนาคม 2557
06.30 น. พิธีขอขมาญาติ
07.00 น. พิธีบรรพชาหมู่ ณ ศาลาปฏิบัติธรรม
08.30 น. พิธีอุปสมบทหมู่ ณ อุโบสถวัดอ้อน้อย

16-25 เมษายน 2557
พระภิกษุ – สามเณรเดินทางสู่ธุดงค์สถานศูนย์ธรรมชาติบำบัด ทองผาภูมิ

27 เมษายน 2557
07.00 น. ปัจฉิมโอวาทและพิธีลาสิกขา

ติดต่อสอบถาม โทร 034-204815

***กำหนดการอาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

คลิ๊กดูคุณสมบัติและหลักฐานในการขอสมัครบวช
https://www.facebook.com/photo.php? (https://www.facebook.com/photo.php?)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:28:09 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/3581_586765561411977_357436164_n.jpg)


(http://width=700 height=464]https://m.ak.fbcdn.net/sphotos-a.ak/hphotos-ak-frc3/t1/1517381_284334408391064_1172367685_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1896978_1466935200202013_394752522_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:42:52 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1012550_414425272027821_1713566018_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1976887_1466532093575657_834779510_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1962737_669745069749428_1787106747_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2014, 10:35:50 PM
เด็กเกาหลีพี่น้องสองคน ที่เกิดมาในตระกูลคนยากจนแบบสุดๆ

แต่พี่น้องสองคนนี้ กลับกลายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศเกาหลี

สวัสดีฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งfหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'

ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
....
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่
บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'...


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1898180_763476217015606_729183446_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:53:08 PM
(http://[img]https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1979692_669408919783043_148629692_n.jpg)[/img]


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1959924_1466886076873592_1575152552_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/10003290_659102304147038_1836590378_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1780661_662703973792612_1066998341_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:53:24 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1972349_747685381909247_706003434_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 09:04:07 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1920329_747641995246919_937833504_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1891170_747573441920441_633337221_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1798879_747171941960591_777162596_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t34/1964261_519345818181340_1269328533_n.jpg?oh=a073d0ae6a3e2ecfe94b742b33f87e3f&oe=530EA350&__gda__=1393467679_e3a2734df71ef682c2f2fe43f77cba19)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1959992_745733862104399_1801205478_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/v/t34/1940287_519345784848010_1178997406_n.jpg?oh=410ea0dd6fdc01f9893f85b28c436a0b&oe=530F2125&__gda__=1393489166_b038199bc5e9d843cd28aff5946781d6)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1888644_744293915581727_354044802_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1795698_743962965614822_1984300571_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1782013_743960615615057_1561689388_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1622655_743675075643611_1237405750_n.jpg)


(https://scontent-b-sjc.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/l/t1/1911665_743234825687636_1601118848_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1939706_743146289029823_1419919076_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1932352_484867834952064_1613489229_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:46:25 AM


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1898189_255699447934905_973787313_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1779870_1467207656841434_690698062_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:41:39 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1901455_1421925731388202_656601774_n.jpg)

มหาสุตตโสม

เรื่องนี้ค่อนข้างยาว พระสิริมังคลาจารย์นำมากล่าวเฉพาะคำคมที่นันทพราหมณ์สอน มหาสุตตโสมว่า การคบกับสัตบุรุษนั้นคุ้มครองเขาได้ดีกว่าสมาคมกับพวกอสัตบุรุษมากมายเสียอีก เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาเมืองพาราณสีชอบเสวยเนื้อทุกวันขาดไม่ได้ พ่อครัวก็ปิ้งเนื้อถวายทุกวัน วันหนึ่งเป็นวันพระหาเนื้อไม่ได้ จึงไปตัดเอาขาคนที่ตายใหม่ๆ ในป่าช้ามาย่างมาปิ้งอย่างดีถวาย พระราชาติดใจในรสเนื้อ จึงซักถามจนได้ความจริงว่าเป็นเนื้อมนุษย์ จึงสั่งให้พ่อครัวไปหามาให้เสวยทุกวัน จนนักโทษในคุกหมด

หลังจากนั้น จึงสั่งให้พ่อครัวดักจับคน ฆ่าเอาเนื้อส่วนที่ดีๆ มาปรุงอาหารถวาย จนลือทั่วเมืองว่าเกิดมีโจรอำมหิตฆ่าคนเพื่อเฉือนเอาเนื้อไปกิน เสนาบดีจึงวางแผนจับได้ สืบไปจนกระทั่งรู้ความจริงว่าพระราชาเป็นตัวการสั่งให้พ่อครัวทำ

เสนาบดีจึงขอร้องให้พระราชาเลิกเสวยเนื้อคน แต่ไม่สำเร็จจนกระทั่งต้องเนรเทศออกจากเมือง เมื่อออกจากเมืองไป เธอก็ไล่จับคนกินเนื้อ จนได้ชื่อว่า มหาโจรโปริสาท (โจรกินคน) เป็นที่หวาดกลัวของประชาชน
 
วันหนึ่งมหาโจรโปริสาทไปจับพราหมณ์ที่กำลังจะข้ามน้ำเอาใส่บ่าแบกหนีไป ชายฉกรรจ์ที่รับจ้างพราหมณ์จะพาข้ามน้ำวิ่งตาม โปริสาทเหยียบตอไม้แหลม ตอไม้ทะลุฝ่าเท้าเลือดอาบจึงปล่อยพราหมณ์ แกโขยกเขยกหนีรอดไปจนได้ ไปพักอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ บวงสรวงเทพบนต้นไม้ว่า ถ้าแผลหายเร็วๆ จะนำเอากษัตริย์จากพระนครทั้งหลายมาเซ่นไหว้บูชา บังเอิญไม่ถึงเจ็ดวันแผลก็หาย แกก็เข้าใจว่า เป็นเพราะอานุภาพเทวดา
จึงไปจับเอากษัตริย์จากเมืองต่างๆ มาผูกเท้าแขวนให้ศีรษะห้อยลง เทวดาที่สิงอยู่บนต้นไม้เห็นความทารุณของโปริสาทจึงจำแลงกายเป็นนักบวช โปริสาทคิดว่านักบวชก็เท่ากับกษัตริย์จับมาเซ่นเทพเจ้าก็คงจะดีเหมือนกัน จึงวิ่งไล่จับ ไล่เท่าไรก็ไม่ทันนักบวชนั้นจึงสำแดงตนว่าคือเทพบนต้นไม้ใหญ่ จึงสั่งว่ายังขาดพระราชาอีกองค์ คือ มหาสุตตโสม ให้ไปนำตัวมา ไม่อย่างนั้นพิธีกรรมนั้นจักไม่สมบูรณ์

โปริสาทจึงไปจับมหาสุตตโสม แต่มหาสุตตโสมรับปากจะฟังธรรมจากพราหมณ์ในวันรุ่งขึ้น มหาสุตตโสมจึงขอให้โปริสาทปล่อยกลับไปฟังธรรมก่อน เสร็จแล้วจะกลับมา โปริสาทขอคำมั่นว่าจะมาแน่ๆ จึงปล่อยตัวไป และแล้ว โปริสาทก็ต้องทึ่งในความเป็นผู้มีสัจจะของมหาสุตตโสม ที่กลับมาตามสัญญา มหาสุตตโสมกล่าวสอนให้โปริสาทเลิกกันเนื้อมนุษย์ ด้วยการยกเหตุผล และเล่าเรื่องในอดีตมาประกอบ โปริสาทขอฟังธรรมที่มหาสุตตโสมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อไปฟังว่าดีอย่างไร มหาสุตตโสมจึงกล่าวให้ฟัง โปริสาทจึงพอใจและจะให้พร ขอให้มหาสุตตโสมขอมา 4 ข้อ

มหาสุตตโสมขอให้โปริสาทมีอายุยืนปราศจากโรค ข้อสอง ขอให้ปล่อยกษัตริย์ทั้งหลายที่จับตัวมา ข้อสาม ขอให้ส่งกษัตริย์เหล่านั้นคืนเมือง ข้อสี่ ขอให้โปริสาทเลิกกินเนื้อมนุษย์ เมื่อโปริสาทอิดออด ไม่กล้าให้พรข้อสุดท้าย มหาสุตตโสมก็ท้วงว่าไม่ควรเสียสัจจะ ตัวท่านเองยังรักษาสัจจะ แล้วโปริสาทก็เคยเป็นกษัตริย์ จะทำลายสัจจะเสียย่อมหาควรไม่ โปริสาทจึงให้พรทั้งสี่ตามที่ขอ ในที่สุดกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนมีศีลธรรม เลิกกินเนื้อมนุษย์ และไม่ทำบาปอีกต่อไป

สรุปว่า การคบบัณฑิตเช่นมหาสุตตโสมนั้น ทำให้คนชั่วคนบาปเลิกทำชั่ว มีสุคติเป็นไปในเบื้องหน้า ด้วยประการฉะนี้แล


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 01, 2014, 09:02:58 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1549290_628323740573812_691706213_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 01, 2014, 09:42:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/s403x403/1795765_544057585711493_270148807_n.jpg)

ยอมเป็นก็เย็นได้

แม่
คำๆแรกที่คนเราทุกคนมักจะพูดถึงบ่อยที่สุดตั้งแต่หัดพูด และเป็นคำพูดเดียวที่ซึ้งกินใจที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใดก็ตาม แม้จะต่างอักขระแต่ถ้าเป็นความหมายเดียวกันแล้วละก็ ใช่เลย
มีคนจำนวนมากพูดและเขียนถึงแม่ได้ลึกซึ้งกว่าเม้า แต่ที่ยังเขียนถึงแม่ของเม้าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านอีกครั้งด้วยความระลึกถึง และรักแม่มากที่สุดในโลกจริงๆ
เผื่อว่าทุกคนจะร่วมระลึกถึงมือสองข้างที่โอบอุ้มพวกเรามาแต่ฝาหอย ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างแสนรัก
มีอะไรที่ดีที่สุดสำหรับแม่ ก็จะให้พวกเราก่อน อย่างไม่ต้องคิดหรือนึกให้เสียเวลาแม้แต่น้อย เพราะหัวใจของแม่มีแต่พวกเราอยู่เต็มหัวใจ
เคยเล่าเรื่องของเม้าในวัยเด็กในตามหาแก่นธรรมมาหลายครั้งแล้ว และเม้าเองก็เคยพูดถึงแม่ไปบ้าง วันนี้มีโอกาสก็เลยเขียนมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนที่เล่าแล้วจะไม่ขอเล่าซ้ำ จะขอผ่านไป
แม่ของเม้าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักษาคำพูดเป็นที่สุด ใจดีต่อทุกคน เป็นนักคิดและนักพัฒนาอย่างเหลือเชื่อ
ด้วยที่ว่าแม่มีลูกเยอะจึงทำให้ต้องแบกภาระหนักอึ้ง เพราะมีแต่งานให้ทำไม่รู้จักจบจักสิ้น ตั้งแต่เช้ายันดึก จนกระทั่งพวกเราพี่น้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและทำงานกันแล้ว ภาระทางกายของแม่จึงเริ่มทุเลาเบาบางลง
ด้วยลักษณะของแม่ที่เม้าเคยเล่าให้ฟัง แม่ก็จะถ่ายทอดให้ลูกแต่ละคนไป แล้วแต่ว่าใครจะรับได้มากน้อยแค่ไหน
ทุกครั้งที่เม้านั่งกระเทาะเปลือกบัวกับแม่ ก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพี่ๆ แต่ละคนว่าไปทำอะไรมา แล้วทำได้ผลเป็นอย่างไรแค่ไหน
เม้าจึงรู้เรื่องราวลูกทุกคนของแม่เป็นอย่างดี และรู้ว่าแม่ห่วงใครมากน้อยแค่ไหน แม้แม่จะไม่พูดอะไรสักคำในเรื่องนี้
แม่มักจะเน้นเสมอเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและจริงใจกับผู้คน จนเพื่อนๆหลายคนที่รักและที่ไม่รักเม้า ต่างพูดที่หลังว่าเม้าใจดีและจริงใจกับทุกๆคน
แม่มักพร่ำสอนให้รู้จักคำว่าช่างมันเถอะและยอม ตอนนั้นเม้าก็ได้แต่รับปากรับคำแม่ แต่เพิ่งมาเข้าใจในภายหลัง ซึ่งมันทำให้เม้ามีเพื่อนมากและคลายทุกข์ไปได้เยอะ แม่สอนเม้าหลายต่อหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องการจัดการ
พอมาได้เรียนหนังสือในภายหลัง จึงสงสัยว่าสิ่งที่แม่สอนทำไมล้วนแล้วแต่อยู่ในหลักสูตรปริญญาโทการบริหารของมหาวิทยาลัยแทบทั้งนั้น ทั้งๆที่แม่นั่งเรือสำเภามาจากเมืองจีน พูดไทยไม่ค่อยได้
ด้วยความเป็นคนรักษาคำพูดเป็นที่่สุด แม่ของเม้าจึงมีเครดิตดีมาก เอ่ยปากกับใครในเรื่องหยิบยืมเงิน ไม่เคยผิดหวัง จนพวกเราผ่านสภาวะนั้นกันมาได้ และที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดก็คือคนที่แม่ไปหยิบยืมเงินมาล้วนกลายเป็นเพื่อนสนิทของแม่กันทั้งนั้น
แม่เป็นคนใจเย็นและมักจะมีคำตอบดีๆเสมอ จึงมีเพื่อนๆของแม่มานั่งปรับทุกข์ด้วยบ่อยๆ และก็หายกลุ้มกลับไป
แม่พูดให้ฟังเสมอว่าในวัยเด็กของแม่ แม่เป็นนักเล่นการพนันที่เก่งคนหนึ่ง แม่จึงเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แต่แม่ก็สอนไม่ให้ลูกๆเล่นการพนัน และด้วยลักษณะเช่นนี้จึงเห็นแม่แสดงความกล้าหาญอยู่บ่อยครั้ง เวลาจะออกหน้าเรื่องใดๆอย่างมีสติ
แม่สอนเม้าแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่การคบเพื่อนจนถึงการตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง แม่คงเป็นต้นแบบในความกล้าหาญของเม้าที่กล้าคิดกล้าทำ เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วจนทุกวันนี้
แม่มีเรื่องสะเทือนใจเข้ามาในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง อย่างเช่นตอนที่แม่เล่าว่าได้ข่าวยายเสียแล้ว และแม่เก็ล่าให้เม้าฟังเพียงครั้งเดียวอย่างซึมๆบ่นเสียดายที่ไม่ได้กลับไปดูใจยายที่เมืองจีน ตั้งแต่นั้นมาแม่จึงตั้งความหวังว่าจะกลับเมืองจีนสักครั้ง
พี่ยีพี่ชายแสนดีของเม้ารู้เรื่องนี้ดี จึงได้ลางานหนึ่งอาทิตย์เพื่อพาแม่กลับไปพบญาติที่เมืองจีนในวัยใกล้ๆหกสิบปี
ตอนแรกแม่ตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเยี่ยมญาติที่โน่น แม่เล่าให้ฟังว่ามีป้าคนหนึ่งที่เป็นพี่สาวของพ่ออายุกว่าเก้าสิบปีแล้ว รักแม่มาก อุตส่าห์เดินข้ามภูเขาตั้งสามลูกเพื่อมาพบแม่ทุกวันในตอนที่แม่กับพี่ยีอยู่เมืองจีน
และที่แม่ดีใจมากก็คือได้จัดโต๊ะจีนราคาเจ็ดร้อยบาทเลี้ยงพวกญาติๆที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น นี่เป็นสิ่งที่แม่มีความสุขมากอย่างหนึ่งในชีวิต แม่จึงเล่าได้หลายๆครั้งไม่รู้จักเบื่อ
เมื่อครั้งที่พี่ยีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่น้ำตาซึมเงียบมาหลายปี และทุกๆครั้งที่พูดถึงพี่ยี น้ำตาของแม่ก็ร่วงออกมาจากหัวใจ เพราะพี่ยีเป็นลูกชายแสนดีของแม่ที่ไม่เคยพูดคำว่าไม่กับแม่เลยสักครั้งเดียว
อีกทั้งพี่ยียังเป็นที่รักในหมู่เพื่อนๆที่เรียกพี่ยีว่าเซอร์วิสแมน แม้กาลเวลาจะผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้วก็ตาม เพื่อนๆของพี่ยีก็ยังพูดถึงและเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของเขา คล้ายๆว่าพี่ยีเป็นตำนานของพวกเพื่อนๆ
จนมาถึงจุดหนึ่งแม่ก็หยุดร้องไห้ให้ดู เมื่อเม้าเป็นตัวแทนของพี่ยีได้ แม้จะไม่เทียบเท่าสักครึ่งหนึ่งของพี่ยีก็ตาม
แม่จะเป็นหลักของคนทั้งครอบครัว และทุกคนก็จะมารวมตัวกันในวันเกิดของแม่ทุกๆปีนอกเหนือการแวะมาเยี่ยมบ่อยครั้ง แม่จะมีความสุขมากในวันนั้น ถึงแม้เวลาลูกๆหลานๆจะทยอยกลับไปกันจนหมด แต่แม่ก็ไม่เคยนั่งซึมเหมือนคนแก่บางคน เพราะแม่เข้าใจความจริงของการแยกย้ายจากกันดี
ทุกๆคำถามจะมีคำตอบดีๆจากแม่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเช่นการลาออกจากงานของเม้า แม่จะพูดสั้นๆว่าเมื่อคิดดีถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจเถอะ แล้วแต่ลูก แม่เชื่อลูกนะ
แม่เป็นคนอดทนมากแม้ยามเจ็บป่วย แม่ก็ยังนิ่งเฉยเสมอ แถมยังพูดอวดบ่อยๆกับเม้าว่าแม่คุมเบาหวานได้ดีจนหมอชม และขอดื่มเป็บซี่ที่แม่ชอบตั้งแต่ไหนแต่ไรหน่อยหนึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ตกเตียง แม่เล่าให้เม้าฟัง แล้วแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร พอเม้าได้ฟังเช่นนั้นก็เลยขอเปิดดูข้างหลังของแม่ เม้าเห็นเนื้อตรงสะโพกเป็นสีม่วงจนตกใจ ก็พยายามชักชวนแม่ให้ไปหาหมอ แต่แม่ไม่ยอมและบอกว่าไม่มีอะไร แข็งแรงดี ภายหลังจากทายาให้แม่แล้วเม้าก็เชื่่อแม่และรอดูอาการก่อน เพราะแม่รู้ตัวเองดีที่สุด
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่เจ็บตรงหัวไหล่แทบทนไม่ไหวและทำให้แม่ยกแขนไม่ขึ้น แม่จึงยอมให้เม้าพาไปหาหมอ ทำกายภาพบำบัดอยู่หลายเดือนจึงหาย แต่แม่ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ
ในวัยเจ็ดสิบสองปีแม่มีอาการเหนื่อยหอบ เม้าพาแม่ไปหาหมอที่ไว้ใจที่คลีนิคใกล้บ้าน หมอบอกว่าแม่ไม่เป็นไร หัวใจยังดี
อีกสักสิบนาทีแม่หมดแรงคอตก เม้าจึงรีบพาแม่ส่งไปโรงพยาบาล ภายหลังจากหาหมอแล้ว หมอจะให้แม่นอนในโรงพยาบาล แต่แม่ปฏิเสธ เม้าต้องให้พี่ชายคนถัดไปเกลี้ยกล่อมแม่เพราะเม้ามีประชุมด่วนใกล้โรงพยาบาล
สักพักแม่มีอาการหัวใจวายแบบนึกไม่ถึงแต่หมอช่วยไว้ทันเพราะรู้อาการดีอยู่แล้ว แม่จึงมีอายุยืนยาวเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกมาถึงอายุแปดสิบหกปี
ในปีที่แปดสิบห้าของแม่ แม่บอกเม้าว่าจะอยู่กับเม้าอีกปีหนึ่งเท่านั้นเพราะร่างกายของแม่ มันไปไม่ไหวแล้ว หมดสภาพที่จะอยู่ต่อ แม่พูดอย่างหน้าตาเฉย แถมยังขอบใจเม้าที่จะอยู่กับแม่จนตายจากไป แม่ยังชมเม้าอีกนะว่าเป็นลูกที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งและหาได้ยาก
วันที่เจ็ดเดือนเมษายนสองพันห้าร้อยสี่สิบห้า แม่มีอาการเดินเซ จะพาไปหาหมอ แต่แม่ว่าไม่เป็นไร พร่งนี้ค่อยไป
วันรุ่งขึ้นเม้าจึงอุ้มแม่ไปหาหมอ หมอบอกให้นอนในโรงพยาบาล แม่บอกไม่เป็นไร และแล้วก็เป็นวันสุดท้ายที่แม่จะคุยกับเม้าในชีวิตนี้
แม่มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบในตอนแรก และติดเชื้อในกระแสเลือดในตอนหลัง อันเป็นระยะสุดท้ายในชีวิตของแม่ เม้าได้ป้อนน้ำส้มให้แม่ในวันที่เก้า ถึงแม่จะไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม แต่แม่ก็ยังรับน้ำส้มจากมือของเม้าอย่างช้าๆ และถึงแม้ว่าเม้าจะได้คุยกับแม่ฝ่ายเดียวก็ตาม แต่เม้าก็ยังบอกแม่ว่าว่าเม้ารักแม่แค่ไหนอย่างไร
ในวันที่สิบเดือนเมษายนแม่ก็จากไป ทุกระบบในร่างกายของแม่หยุดทำงาน แม่ของเม้าสอนลูกทุกอย่าง แม้กระทั่งการตายอย่างงดงาม แม่จ๋า...เม้ารักแม่ที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ

เม้า

คงหายคิดถึงเม้ากันบ้างที่ห่างหายไปจากแก่นธรรม แม้จะไม่ได้ไปไหน เรื่องที่เม้าเล่าเป็นเรื่องที่งดงามที่สุด และมีแม่เป็นอาจารย์คนแรกที่ดีที่สุด แม้กระทั่งลาจาก แม่ยังเป็นบุคคลที่แสดงธรรมได้อย่างงดงามในเรื่องของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องว่าแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พร้อมให้และให้อภัยลูกเสมอ และยังเป็นบุคคลที่แสดงความหมายแห่งคำว่ารักแท้ตรงความหมายที่สุด หากจะเกิดในชาติใดภพใดขอให้เม้ามีแม่เป็นกัลญาณมิตรทุกภพทุกชาติไป
สะมะชัยโย
Thammasatu ธรรมะสาธุ เวบดีดีมีธรรมะ » หมวดหมู่ทั่วไป » ประสบการณ์ที่ผ่านมา » ตามหาแก่นธรรม 82 แม่ บทความแก่นธรรมที่มีผู้อ่านและส่งต่อมากที่สุดตอนหนึ่ง


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/s403x403/10001582_544055909044994_328153331_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 08:28:58 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1912006_628826813856838_2038349866_n.jpg)


อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ
1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่
มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ
1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ
7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ
8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้
 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ
 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ
 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 04, 2014, 09:17:31 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1964829_484671524971695_2059859848_n.jpg)

(ปิด "หู" ปิด "ตา" ปิด "ปาก")

"ปิดหู ปิดตา ปิดปาก กันบ้าง ! แล้วนั่งสบาย สบาย"

"ปิดหูซ้ายขวา"

รู้จักเลือกฟังสิ่งที่ควรฟังที่ควรฟัง สิ่งใดไม่ควรฟัง ก็อย่าไปฟัง ฟังแล้วเป็นทุกข์ฟังทำไม

"ปิดตาสองข้าง"

"รู้จักเลือกดูสิ่งที่ควรดู สิ่งใดไม่สมควรดู ก็อย่าไปดูมัน ดูแล้วเป็นทุกข์ดูทำไม"

"ปิดปาก"

"รู้จักเลือกพูดสิ่งที่ควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด ก็อย่าไปพูด เพราะพูดแล้วมันเป็นทุกข์พูดไปทำไมกัน

# คนสำรวมระวังกิริยา วาจา ใจ นั้น คนยำเกรง ดีกว่าคนพูดมาก ที่แท้ของแน่ ๆ คือ คนที่ หาสาระใดใดไม่ได้เลย #

@ วิสาขา อุบาสิกา




หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 08:16:03 PM
สิ่งที่เกิดมีได้ยากในโลก
ปัญหา อะไรบ้างเป็นสิ่งที่เกิดมีได้ยากในโลก แต่ในปัจจุบันเรามีแล้วควรพยายามฉวยเอาผลประโยชน์ให้เต็มที่ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนมหาปฐพีนี้กลายเป็นน่านน้ำเดียวกัน บุรุษพึงโยนแอกมีช่องเดียวไปในน้ำนั้น ลมในทิศตะวันออก พึงพัดเอาแอกนั้นไปทางทิศตะวันตก
ลมทิศตะวันตกพัดเอาไปทางทิศตะวันออก
ลมทิศเหนือพัดเอาไปทางทิศใต้
ลมทิศใต้พัดเอาไปทางทิศเหนือ
เต่าตาบอดในห้วงน้ำนั้นจะโผล่ขึ้นมาหนึ่งครั้งทุก ๆ ระยะเวลาผ่านไปหนึ่งร้อยปี เธอจะเห็นข้อนั้นอย่างไร
เต่าตาบอดนั้น...จะมีโอกาสสอดคอเข้าไปในแอกที่มีช่องเดียวนั้นบ้างหรือไม่"
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "การที่เต่าตาบอด จะมีโอกาสสอดคอเข้าไปในแอกที่มีช่องเดียวนั้น เป็นของยาก"

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก
การที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกที่เป็นของยาก
การที่พระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็เป็นของยาก

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ท่านได้ความเป็นมนุษย์แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกแล้ว และพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วก็เจริญรุ่งเรืองอยู่ในโลก เพราะฉะนั้นเธอทั้งหลายจึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้นิโรธ นี้อริยมรรคมีองค์ ๘"
ฉิคคฬสูตรที่ ๒

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/10001320_265647293595981_578601985_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 08:17:54 PM
ประโยชน์ของจิตที่ใสสะอาด

ปัญหา จิตที่ใสสะอาดก่อให้เกิดประโยชน์อะไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนห้วงน้ำใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนฝั่งพึงเห็นหอยโข่ง และหอยกาบบ้าง ก้อนกรวดและกระเบื้องบ้าง ถ้วยบ้าง ฝูงปลาบ้าง ซึ่งเที่ยวไปบ้าง ตั้งอยู่บ้าง ในห้วงน้ำนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะน้ำไม่ขุ่นฉันใดภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักรู้จักประโยชน์ทั้งสองบ้าง กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษคือ อุตริมนุสธรรมอันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐ อันเป็นของพระอริยะได้ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัว ข้อนี้เป็นเรื่องที่จะเป็นไปได้ เพราะเหตุใด เพราะจิตไม่ขุ่นมัว..."
บาลีแห่งเอกธรรม


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/p403x403/1012077_265618883598822_1368575079_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 08:46:52 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1920235_567227283373509_1122685185_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 08:49:04 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1653459_667735879939379_1224483586_n.jpg)

คุณย่าชีนารี การุณ

คุณย่าชีนารีได้สมรสกับนายวันดี ซึ่งมีลูกด้วยกัน 6 คน เป็นหญิง 4 ชาย 2 พอคุณย่าชีนารีอายุครบ 40 ปี ก็มีอารมณ์อยากจะบวชโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหน้านั้นท่านได้พบองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ

องค์หลวงปู่มั่นได้เดินธุดงค์ไปพักอยู่ใกล้บ้านๆและได้สอบถามถึงครอบครัวแล้วท่านก็จากไป

คุณย่าจึงขออนุญาตนายวันดีออกบวช นายวันดีให้ข้อแม้ว่าคุณย่าต้องหาภรรยาให้ซัก 3 คน เมื่อถึงวันบวชนายวันดีก็อนุญาตให้ออกบวช หลวงปู่มั่นท่านทราบด้วยญาณจึงส่งพระมา 3 รูป

คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก พร้อมด้วยบริขารมาทำการบวชให้ คุณย่าหลังจากบวชชีแล้ว ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น โดยท่านให้อุบาย ให้คุณย่าภาวนา นะโมและพุทโธ

ท่านภาวนาท่านเห็นอดีตชาติขององค์ท่านเองว่าเคยเกิดเป็นชาวรัฐเซีย ไต้หวัน กษัตริย์ ทหาร แต่ไม่เคยเกิดเป็น 3 อย่างคือ เสือ ไส้เดือน กิ้งกือ

หลังจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ นิพพาน ได้มีการจัดงานประชุมเพลิงที่วัดป่าสุทธาวาส คุณย่าเล่าให้ฟังว่าในงานประชุมเพลิงมีเทพธิดามาร่วมถวายเพลิง 30,000 องค์ ท้าวมหาพรหม 6 องค์ เทพบุตรมา 2 องค์ เกือบทุกชั้นมีเทพประธานมากำกับด้วย ท่านเห็นแล้วชื่นใจ

หลังจากประชุมเพลิงเสร็จ ศิษยานุศิษย์องค์หลวงปู่ได้เข้าไปแย่งขี้เถ้า อัฐิ ตัวคุณย่าเองก็เข้าไปล้วงกับเค้า ได้อัฐิส่วนซี่โครง เศษอัฐิ และอังคาร มา เมื่อคุณย่าเก็บรักษาต่อมาได้แปรสภาพเป็นพระธาตุแก้วใสหมด

หลังจากนั้นท่านก็อยู่วัดป่าสุทราวาสเรื่อยมา เมื่อปีพ.ศ. 2520 สมเด็จพระนางเจ้าราชนีนาถมีศรัทธาสร้างกุฏิ ถวายใหม่ สมเด็จพระเทพมาครั้งใดจับแขน จับขาคุณย่า เห็นคุณย่านุ่งห่มผ้าขาวแทบจะเป็นดำ ก็เข้าไปจัดแจงจะให้คุณย่าเปลี่ยนชุดใหม่

ถึงกับทรงจะผลัดให้เอง คุณย่าต้องห้ามไว้ ท่านเล่าด้วยความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ หลังจากท่านอยู่วัดป่าสุทธาวาสมานาน ท่านก็ย้ายไปจำพรรษาหลายที่ เช่น วัดป่าวังน้ำทิพย์

จนองค์ท่านได้มาหยุดที่สำนักชีบ้านหนองยาง จ.สกลนคร โดยมีคุณยายสมรและคุณตาเพลินเป็นผู้ดูแล หลวงปู่คำคะนิงในอดีตชาติเป็นพี่ชาติขององค์ท่าน ในชาติปัจจุบันนึ้ท่านก็มาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ

และได้นำประคำที่อยู่กับองค์ท่านมาตั้่งแต่สมัยออกปฏิบัติธรรมใหม่ๆให้แด่คุณย่า หลวงปู่หลุย จันทาสาโร นับถือคุณย่าเป็นแม่ เพราะในอดีตชาติคุณย่าเป็นแม่ขององค์หลวงปู่ หลวงปู่จะกล่าวชมให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเป็นแม่ขาวแม่ออกที่ปฏิบัติธรรมจนเห็นธรรม

หลวงปู่หลุยท่านรักและเคารพคุณย่ามากถึงขนาดทำที่ครอบฟันปลอมให้และส่งปัจจัยจำนวน 10,000 บาท ให้คุณย่าทุกเดือน หลวงปู่หลอด ปโมทิโต เคารพในคุณธรรมคุณย่าและมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ

ตอนที่คุณย่าจะนิพพาน หลวงปู่ถวายปัจจัยให้คุณย่า 20,000 บาท หลวงปู่หลุยและหลวงปู่หลอดกล่าวว่าที่ท่านมีทุกวันนึ้ได้ก็
เพราะขึ้มือคุณแม่นั้นแหละ

ก่อนวันที่ท่านจะนิพพาน ท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สติแจ่มใสมาก ท่านบอกให้คุณยายสมรเตรียมน้ำมารับพระเถระบนกุฏิ
คุณยายสมรเตรียมน้ำมาแล้วไม่เห็นใคร ท่านก็บอกให้เอาขึ้นมา พระเถระมาเต็มกุฏิแล้ว หลังจากนั้นวันต่อมา

คุณย่าได้จับมือคุณยายสมรและคุณตาเพลินได้สั่งเสียไว้ว่า ถ้าท่านนิพพานแล้วอย่าทึ้งคุณย่าเขียนน่ะ(ผู้ดูแลคุณย่าตั้่งแต่สมัยวัดป่าสุทธาวาส)

คุณยายสมรและคุณตาเพลินรับคำ ท่านทรงสติมาก แล้วท่านก็ยึ้มงามมาก ยึ้มอย่างไม่อาไรอาวรณ์ไม่สนแก่การตาย พอท่านยึ้ม ลมหายใจและหัวใจก็หยุดเต้น ท่านเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 เวลา 20.25

สิริอายุขัย 123 ปี อยู่ในเพศแม่ชี 83 ปีพอดี

ในวันประชุมเพลิงมี หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป เป็นประธานในฝ่ายบรรพชิต ถวายเพลิง เมื่อไฟไกล้จะมอดเห็นดวงไฟสีเขียว พุ่งออกมา เมื่อเก็บอัฐิพบว่า อัฐิคุณย่าแปรสภาพเป็นพระธาตุทันทีหลังจากประชุมเพลิงเสร็จ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2014, 07:16:23 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1012065_659688884088380_1329497283_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2014, 07:21:13 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1238716_659098260814109_1513394655_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1690170_659091254148143_1796117488_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/10001513_659090034148265_1383682395_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2014, 07:22:31 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1977229_659090997481502_1516530830_n.jpg)
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1897001_659090274148241_255741781_n.jpg)
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1780701_657936924263576_1276947382_n.jpg)
หลวงปู่ดูลย์


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1476339_1458459677717997_1789134215_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1501708_1457370304493601_422648741_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2014, 07:25:55 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1901176_658568984200370_1417997751_n.jpg)

การเจริญสติปัฏฐาน 4 อันได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม หลักการคือ การตามรู้ เพียงแค่รู้ ใช้โยนิโสมนัสสิการ(ดูเหมือนพิจารณาเปลวเทียนที่ไหม้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดแค่รู้) โดยดูรู้อยู่ในอาณาเขตของกายใจตนเท่านั้น จําดีๆหลักคือแค่ในกายกับแค่รอบๆกายกับใจตนเท่านั้น!!! กายเราเป็นดังธาตุ 4 มีดินนํ้าลมไฟ นอกกายที่รอบๆกายก็คือ ดินนํ้าลมไฟ เหมือนกัน ดูการโต้กันของธาตุระหว่างกายกับรอบกาย เป็นการเปิดสัมผัสรู้ เกิดความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวที่ได้ เป็นสติ สติเกิด ปัญญาญาณ จะเกิดตามมา เมื่อมีปัญญาญาณ เป็นปัญญาที่เกิดจากรู้ จะเห็นความจริงไปละอวิชชาได้ .... หมั่นเพียรเจริญในสติปัฏฐานกันครับ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2014, 07:26:55 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1690625_658568534200415_457349889_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2014, 07:31:56 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/10785_657271347663467_1009770573_n.jpg)


เมตตาประกอบด้วยปัญญา เล่าโดย พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

พระธุดงค์รูปหนึ่งอยากจะเจริญเมตตาภาวนา ท่านได้ข่าวเรื่องหลวงปู่องค์หนึ่งอยู่ในวัดที่ห่างไกลจากความเจริญและอัตคัดกันดารมาก หลวงปู่มีชื่อเสียงมากในความมีเมตตาของท่าน พระธุดงค์องค์นี้จึงตั้งใจเดินทางไปหาหลวงปู่ เส้นทางยาวไกลและยากลำบากมาก แต่ท่านก็กัดฟันสู้ ท่านเดินธุดงค์หลายวันกว่าจะถึงวัดของหลวงปู่ เมื่อท่านเดินเข้าไปในเขตวัด ลูกวัดออกมาต้อนรับพาท่านไปพักผ่อนที่กุฏิ บอกให้ท่านเก็บริขารให้เรียบร้อยแล้วจะกลับมานิมนต์ไปกราบหลวงปู่

พระธุดงค์ขึ้นไปบนกุฏิ เปิดหน้าต่างมองลงไปเบื้องล่าง เห็นหลวงปู่กำลังยืนอยู่ที่ชายป่า ท่านรำพึงขึ้นว่า "โอ้ ! นี่คือหลวงปู่ผู้มีเมตตาธรรม" ท่านรู้สึกปีติซาบซึ้งเลื่อมใส พอดีมีกวางตัวหนึ่งเดินออกมาจากชายป่า หน้าตาของหลวงปู่ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมเปลี่ยนไป ท่านยกไม้เท้าของท่านขึ้นตีกวางอย่างแรง ทำให้กวางตกใจวิ่งกลับเข้าป่าไปทันที พระธุดงค์เห็นแล้วรู้สึกหมดศรัทธาทันที...

"โอ้ ! นี่เราโดนหลอกอย่างแรงเลย อุตส่าห์เดินทางมาหาด้วยความยากลำบากแทบตาย ใครๆ ก็ว่าหลวงปู่องค์นี้มีเมตตานัก เราก็อยากจะเจริญเมตตาภาวนา... โอ้ย ! ไม่เอาแล้ว รีบเก็บบริขารแล้วเผ่นเลยดีกว่า ไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับท่าน ท่านทำให้เราผิดหวังสุดๆ เลย" ...หลังจากนั้นไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ไปเจอใคร ท่านก็จะเที่ยวพูดถึงหลวงปู่ว่า "อย่าไปเชื่อเลยนะ หลวงปู่ที่เขาว่ามีเมตตาสุดๆ น่ะ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นี่ผมไม่ได้นินทาท่านนะ ผมไปเจอมาเอง ไม่ใช่ฟังจากคนอื่นนะ ผมเห็นกับตาตัวเอง เห็นชัดๆ เลยนะ ท่านทั้งทรมานสัตว์ ทั้งตีสัตว์ ผมเห็นหน้าท่านผมตกใจเลย" ไปไหนๆ ท่านก็พูดอย่างนี้

ส่วนที่วัดของหลวงปู่ หลวงปู่ถามลูกวัดว่า "พระธุดงค์องค์นั้นอยู่ไหนล่ะ ไหนว่าท่านจะมากราบ" ลูกวัดกราบเรียนท่านว่า "หลวงปู่ครับ ท่านออกจากวัดไปแล้ว" หลวงปู่จึงพูดว่า "โอ... หลวงปู่รู้แล้ว เห็นพระองค์หนึ่งมองลงมาจากหน้าต่าง น่ากลัวท่านจะเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะ" แล้วท่านก็ยิ้มก่อนที่จะพูดต่อว่า "วันนี้ตั้งใจจะตักเตือนพวกท่านอยู่แล้ว เรื่องนี้ว่า พระเรามักจะเทอาหารที่เหลือจากบาตรทิ้งไว้ที่ชายป่า กวางมันชอบมากิน กินบ่อยเข้าๆ จนมันคุ้นเคยกับคน มันก็เริ่มจะเข้าไปแถวๆ หมู่บ้าน ถูกชาวบ้านยิงตายลงหม้อไปหลายตัวแล้ว วิธีแก้มีอยู่เพียงวิธีเดียว เราต้องทำให้กวางมันกลัวคน หลวงปู่สงสารมัน หลวงปู่ก็เลยตีเพื่อให้มันกลัวคน มันจะได้ปลอดภัยจากความโหดร้ายของคน" นี่คือความเมตตาของหลวงปู่ ไม่ใช่เมตตาด้วยการเอาใจ แต่เป็นเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา มองภาพใหญ่หรือภาพรวมเป็นหลัก

ท่านอาจารย์สอนว่า ข้อคิดข้อแรก คือ ในกระบวนการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อจะช่วยคนอื่น ในบางช่วงอาจจะต้องทำสิ่งที่คนอื่นมองได้ว่าไม่น่าจะทำเลย แต่ก็เป็นการทำด้วยเมตตาเหมือนกัน ข้อคิดข้อที่สอง คือ พระธุดงค์ท่านเห็นกับตานะ ไม่ได้ฟังจากคนอื่น แต่ตาตัวเองนี่ก็เชื่อไม่ได้เสมอไป เพราะเราอาจจะเห็นแค่ช่วงสั้นๆ ของเรื่องราวทั้งหมดที่อาจจะสลับซับซ้อน ถ้าเราเห็นเพียงแค่นั้น เราอาจจะด่วนสรุปอย่างผิดๆ ก็ได้

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2014, 09:10:02 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/10013060_669452136453554_1670613060_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2014, 09:10:29 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t1.0-9/1557588_655528354483932_612371682_n.jpg?oh=63c3cc1d0c842008dfea2492c3ebdd86&oe=53B87439&__gda__=1403933551_65b6233002fc282bc1cb6a1b000b5845)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10150568_655118284524939_662347495_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1016310_668363286562439_522552885_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/s526x395/1972504_669065199796914_7989804158842244563_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2014, 09:14:53 PM

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/10007492_666903500041751_1592485783_n.jpg)

การเคาะโลงศพ

"..เวลาทำบุญให้คนตาย เคยพบเห็นบ่อยเวลาพระจะสวดมนต์ ลูกหลานหรือเจ้าภาพก็จะไปเคาะโลงบอก "ฟังสวดมนต์นะ" เวลาพระจะให้ศีลก็ไปเคาะโลงบอก "รับศีลนะ" พอเอาอาหารไปวางก็เคาะโลงบอก "กินข้าวนะ"

ความจริงคนตายแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะกินของที่เอาไปวางให้กิน ผีมีสิทธิ์โมทนาในผลบุญที่มีผู้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้น เราจะทำอย่างไรผู้ตายจึงได้รับ ในชาดกมีเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่างคือ มีอุบาสกคนหนึ่งนั่งเจริญพระกรรมฐานในที่สงัด ปรากฏว่าภรรยาที่ตายไปแล้วมาแสดงตัว มีแต่ซี่โครงขึ้นเป็นแถวและผ้าผ่อนท่อนสไบไม่มีนุ่ง ท่านผู้นี้จึงถามว่า "เธอเป็นใคร" ตอบว่า "ฉันเป็นภรรยาของท่านเมื่อตายไปแล้ว อาศัยที่จิตเป็นอกุศล ขณะมีชีวิตอยู่เป็นคนไม่ทำบุญทำทานและก็เป็นคนใจร้าย จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต เวลานี้มีความหิวโหยมาก หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน มีทั้งหนาวและร้อนเพราะไม่มีผ้าปิดกายและหิวอาหารมาก เพราะไม่มีอะไรจะกิน"

ท่านสามีก็บอกว่า "ไปบ้านสิมีของกินมากมาย เลือกกินเอาตามชอบใจเหมือนกับสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่"

ผีเปรตจึงบอกว่า "สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านจะเอามาวางไว้ในมือของเรา มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินที่จะใช้ในวัตถุ"

ท่านสามีจึงถามว่า "ถ้าฉันต้องการจะสงเคราะห์เธอ ทำอย่างไรเธอจึงจะได้ล่ะ"

เธอก็บอกว่า "ขอให้ท่านนำเอาของไปถวายแก่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใดท่านหนึ่ง คือต้องการให้มีผ้าก็ขอให้นำผ้าไปถวาย ต้องการให้มีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายเป็นทิพย์ก็นำอาหารไปถวาย และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน ฉันจึงจะได้"

ท่านสามีจึงนำของไปถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้เธอ

พอรุ่งขึ้นอีกคืนหนึ่งเธอก็มาแสดงตนใหม่ตอนที่ท่านสามีนั่งเจริญพระกรรมฐาน มาคราวนี้เป็นนางฟ้าสวยแจ๋ว ใสสว่าง มีวิมานทองคำมาปรากฏชัด

ท่านสามีจำไม่ได้จึงถามว่า "เธอเป็นนางฟ้าเพราะบำเพ็ญบารมีอะไร ร่างกายจึงประดับประดาไปด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยสดงดงามมีแสงสว่างไปทั่วทิศ และก็มีวิมานทองคำ"

นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า "ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อคืนที่แล้วที่ผ่านมาน่ะ"

ก็เป็นอันว่าผลที่ผู้ตายจะพึงได้รับ ต้องได้จากการโมทนาในบุญกุศลที่อุทิศไปให้ ไม่ใช่ได้จากการไปเคาะโลงหรือได้จากการเอาของไปให้เฉยๆ.."

จากหนังสือ : ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1891078_667411983324236_451286350_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2014, 09:26:54 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t34/1957514_200265720184518_844561421_n.jpg?oh=58b62bb22a3b7f4949a5adf4c9446d49&oe=53201305&__gda__=1394597803_b28fea427073eed780350e5fcd905750)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 13, 2014, 08:35:22 AM
นิทาน.....กำเนิดต้นข้าว

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1800372_590254251065370_1332966392_n.jpg)

นิทาน.....กำเนิดต้นข้าว

ในสมัยโบราณนานมาเมล็ดข้าวเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องปลูก และมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่ากำมือของมนุษย์ประมาณ 5 เท่า
เมล็ดข้าวนั้นมีสีเงินและมีกลิ่นหอม มนุษย์ก็ได้ใช้หุงกินกันมานาน

ต่อมามีหญิงหม้ายคนหนึ่ง สร้างยุ้งฉางให้ข้าวมาเกิดในยุ้งฉาง แม่หม้ายคนนั้นเป็นคนที่มีจิตใจหยาบช้า ตีข้าวเมล็ดใหญ่ด้วยไม้ เมล็ดข้าวแตกหักและปลิวไป

ที่ปลิวไปตกในป่าก็กลายเป็นข้าวดอย

ที่ปลิวไปตกในน้ำก็กลายเป็นข้าวนาดำมีชื่อว่านางพระโพสพ

นางพระโพสพอาศัยอยู่กับปลาในหนองน้ำ นางพระโพสพโกรธมนุษย์จึงตัดสิ้นใจจะไม่กลับไปอีก มนุษย์จึงต้องอดอยากไม่มีข้าวกินไปถึงพันปี

ต่อมามีลูกชายของเศรษฐีไปเที่ยวป่าแล้วเกิดหลงทางจนมาถึงหนองน้ำก็นั่งร้องไห้ ปลากั้งเกิดความสงสารจึงขอให้นางพระโพสพบอกทางให้และกลับไปอยู่กับมนุษย์

นางพระโพสพจึงได้เล่าถึงความใจร้ายของแม่หม้าย ลูกชายเศรษฐีจึงได้อ้อนวอนให้นางพระโพสพกลับไป

แต่นางก็ไม่ยอมกลับ เทวดาจึงแปลงตัวเป็นปลากับนกแก้วมาอ้อนวอนให้นางกลับไปดูแลมนุษย์และพระศาสนา

เพราะพระพุทธเจ้าจะไปเกิดอีก นางพระโพสพจึงยอมกลับไปเมืองมนุษย์แต่ข้าวนั้นจะเล็กลง และต้องทำการเพาะปลูก

ถ้าจะตำข้าวจะต้องทำพิธีขอเพื่อที่จะขออนุญาตต่อนางพระโพสพ และเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วต้องทำพิธีสู่ขวัญข้าวด้วย


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 13, 2014, 08:37:49 AM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1970810_589066201184175_1465644752_n.jpg)

สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ

มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน.. ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง… เกิดทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่ง..ระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำ ร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”

พวกเขายังคงเดินทางต่อ…กระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ…แต่เกิดอุบัติเหตุคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ รีบลงไปช่วยทันที คนรอดตาย…ยังคงไม่เอ่ยวาจา…กลับสลักลงไปบนหินใหญ่…“วันนี้…เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”

อีกคนไม่เข้าใจ…เลยถามว่า “เมื่อถูกฉันตบหน้า เธอเขียนเรื่องราวลงพื้นทราย แล้วเรื่องที่ได้ช่วยจมน้ำ ทำไมจึงต้องสลักบนหิน”

อีกคนยิ้มพราย…กล่าวตอบ
เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย…เราควรเขียนมันไว้บนพื้นทราย ซึ่ง “สายลมแห่งการให้อภัย” จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ”
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย เกิดขึ้นเราควรสลักไว้บน “ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ” ซึ่งต่อให้มีสายลมแรงเพียงใด ก็ไม่อาจ ลบล้าง ทำลาย

โดย ทางแพทย์สายพุทธ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 15, 2014, 09:14:22 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1382386_742504395782306_57466908_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/p296x100/1975010_821962757833809_1904512498_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10014547_1447527808816677_1670123024_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 17, 2014, 09:30:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/64551_472390996131681_1433307401_n.jpg)


เล่าเรื่องฤษี
ฤๅษี"ผู้สานตำรับตำราพระเวท ความเชื่อจากโบราณสู่ปัจจุบัน
นอกจากพระเกจิอาจารย์แล้ว ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาไม่แพ้กันก็คือ "ฤๅษี" ไม่ค่อยได้เห็นนัก และห่างหายไปนานกับสิ่งคุ้นตา ชายชราหนวดยาวห่มคลุมอยู่ในชุดผ้าลายเสือ ที่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกกันว่า "ฤๅษี" ระยะหลังสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล

สมัยก่อน ฤๅษีจำนวนมากได้รับเชิญเข้าร่วมพิธี มีการทำสิ่งแปลกหลายอย่าง อาทิ นั่งในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ เพื่อบริกรรมคาถา เดินลุยไฟ สาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต ซึ่งก็มีคณะศรัทธาเป็นจำนวนมาก

"ฤๅษี แปลว่า ผู้ที่สืบสานตำรับตำราพระเวท พระคาถาจากครูบาอาจารย์ ตำราจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และผู้ประกอบพิธีกรรม บวงสรวง เชิญเทวดา เจ้าที่ เจ้าแม่ เจ้าปู่ เจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 ภพ คือ สวรรค์ มนุษย์ บาดาล และฤๅษีเป็นผู้ที่ถือสัจจะ สมัยโบราณการสร้างพระ การทำพระ ไม่ว่าจะเป็น พระผงสุพรรณ, พระรอดมหาวัน, พระคงลำพูน ตามใบลานทองที่จารึกว่าให้ฤๅษีเป็นผู้หาว่าน หาสมุนไพร หาโลหธาตุ เช่น เหล็กไหล เป็นต้น การประกอบพิธีบวงสรวงพิมพ์พระ แล้วก็นิมนต์พระเกจิอาจารย์ เจริญพระพุทธมนต์อัญเชิญพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ผ่านสายสิญจน์สู่วัตถุมงคลนั้นๆ ความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์จึงบังเกิดครบทุกประการ

ฤษีได้ถือบวชบำเพ็ญเพียรถือศีล ถือสัจจะ ศึกษาพระเวท จากของเก่าและประกอบพิธีกรรม เช่น หุงน้ำมันมนต์ เป็นตำราจากคัมภีร์โบราณ รวบรวมว่านมหามงคล ผงวิเศษ ผงยาวาสนาจินดามณี น้ำมันลงในกระทะเนื้อสัตตโลหะใบใหญ่ สุมไฟด้วยไม้ที่เป็นมงคล ฤๅษีก็ภาวนาพระคาถาดับพิษไฟ พระเกจิอาจารย์เจริญพระพุทธมนต์ น้ำมันมนต์นำไปใช้แก้เคล็ดขัดยอก แก้แมลงมีพิษ ลมเพลมพัด ป้องกันเสนียดจัญไร เพิ่มพูนเมตตามหานิยม
ส่วนใหญ่ฤๅษีที่มาเปิดอาศรมในสถานที่ต่างๆ

ฤษีในอดีตเคยบวชเป็นพระ เป็นเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส แต่เล็งเห็นว่าพฤติกรรมบางอย่างทำได้จำกัด อาจผิดพุทธบัญญัติ เลยลาสมณเพศมาสู่เครื่องนุ่งห่มฤๅษี คือ ลายเสือ ได้ประกอบกรรมพิธีต่างๆ ตามที่ได้ศึกษาจดจำจากตำราจากครูบาอาจารย์ จากนิมิตที่บังเกิดขึ้นในขณะนั่งกรรมฐานบำเพ็ญเพียรภาวนา

บทไหว้ครูของเก่า
"พุทธวันทิตวา ข้าพเจ้าของอาราธนาบารมีคุณ พระพุทธคุณนัง ธรรมคุณนัง สังฆคุณนัง วันทิตวา ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีคุณ พระสังฆคุณนัง อีกทั้งคุณพระบิดา พระมารดา พระอนุกรรมวาจา อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ อีกทั้งพระฤาษีนารอด พระฤาษีนารายณ์ พระฤาษีตาวัน พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีเกตุ พระฤาษีเนตร พระฤาษีมุชิตวา พระฤาษีมหาพรหมเมศ พระฤาษีสมุหวัน ทั้งพระเพชรฉลูกัน และนักสิทธวิทยา อีกทั้งพระคงคา พระเพลิง พระพาย พระธรณี พระอิศวรผู้เป็นเจ้าฟ้า ขออัญเชิญเสด็จลงมาประสิทธิพระพรชัย ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาวันนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญเทพดาเจ้าทั้งหลายทั่วพื้นปถพีดล พระฤาษี ๑๐๘ ตน บันดาลดลด้วยสรรพวิทยา พระครูยา พระครูเฒ่า พระครูภักและอักษร สถาพรเป็นกรรมสิทธิ์ ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาบัดนี้เถิด
ข้าพเจ้า ขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชิญเสด็จลงมาปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพเจ้าขอเชิญพระพรหมลงมาอยู่บ่าซ้าย ขอเชิญพระนารายณ์มาอยู่บ่าขวา ขอเชิญพระคงคาลงมาเป็นน้ำลาย ขอเชิญพระพายลงมาเป็นลมปาก ขอเชิญพญานาคลงมาเป็นสร้อยสังวาล ข้าพเจ้าขอเชิญพระอังคารมาเป็นด้วยใจ ถ้าแม้นข้าพเจ้าจะไปรักษาไข้แห่งหนึ่งแห่งใด ให้มีชัยชนะแก่โรค ขอจงประสิทธิให้แก่ข้าพเจ้าทุกครั้ง พุทธสังมิ ธรรมสังมิ สังฆสังมิ"
(คัดตามต้นฉบับเดิม)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 17, 2014, 09:31:14 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1470321_1559720644252457_459496506_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 17, 2014, 09:50:41 PM
" คำสัญญา คำสาบาน "
เคยสงสัยตัวเองบ้างไหมว่า ไปสัญญา สาบานกับใครเค้าไว้เมื่อชาติก่อนๆหรือเปล่า ถึงได้ส่งผลให้ชาตินี้ไม่มีคู่ หรือมีความรักก็ไม่สมหวังในความรัก ต้องมีเรื่องให้ทุกข์ใจตลอด ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

การสัญญา สาบาน โดยเฉพาะต่อหน้าพระพุทธรูป มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีอานุภาพอย่างยิ่ง แรงอธิษฐานจะติดตัวเราข้ามภพ ชาติ ไม่ใช่สุขข้ามชาติ แต่มันเป็นทุกข์ข้ามชาติ ทุกข์ที่เกิดจากความรัก มันหนักมากกก ความรักไม่ได้ทำให้เกิดความสุข สมหวังในชีวิตอย่างเดียวนะครับ การเวียนวายตายเกิด ข้ามภพ ข้ามชาติ มันมีอยู่จริง คนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว และตายชาติเดียวนะตัวอย่างก็มีให้รับรู้แล้ว
ชาตินี้มีทุกอย่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าชาติหน้าจะเกิดมาหล่อ สวย รวย มีทุกอย่างเหมือนชาตินี้ เรื่องจริงไม่อิงนิยายเรื่อง สัจจะสัญญา ๑,๔๐๐ ปี มาเล่าให้ฟัง

เรื่องนี้ได้มาจากการเข้ากรรมฐานของท่านหนึ่งได้พบเจ้าของเรื่องใน นิมิต คือ พระนางอุทุมมาพรเทวี มาเล่าเรื่องสัจจะอธิษฐานให้ท่านนั้นฟัง และขอให้ช่วยถอนคำสาบาน เรื่องมีอยู่ว่า

นางอุทุมมาพรหรือพระนางอุทุมมาพรเทวี นางในผู้ดูแลรับใช้พระแม่จามเทวี นครหริภุญไชย (จ.ลำพูน) ได้รับมอบหมายจากพระแม่จามเทวีให้ดูแลการสร้างวัดและพระประธานต่างๆในราช อาณาจักร นางก็ได้ดำเนินการไปด้วยดี แต่ด้วยวิบากกรรมปางก่อน ทำให้นางได้พบรักกับนายทหารหนุ่ม นามว่า อมรเทพ ซึ่งเป็นทหารคู่บารมีของเจ้าชายอนันตยศ พระราชโอรสของพระแม่จามเทวี ทั้งสองรักกันมาก ได้ครองรักกัน หลังจากสร้างวัดเสร็จแล้ว นางอุทุมมาพรและนายกองอมรเทพ ได้อธิษฐานร่วมกันต่อหน้าองค์พระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ ว่า

“เราได้ตั้งจิตไว้ถึงเทพไท้เทวัญ
ขอให้ได้ครองคู่กันทุกครา
และเมื่อเกิดมาทั้งสองตัองพันผูก
หากแม้ว่าผู้ใดมิได้เกิด
ขอทวยเทพโปรดจำคำนี้ไว้
การตั้งสัจจะอธิษฐานทุกคราไป
ขออย่าได้ครองคู่หมู่อื่นเลย
หากแม้ใครคิดตระบัดสัตย์
ขอข้องขัดเรื่องครองคู่ อย่าอยู่เฉย
มันผู้นั้นจงฉิบหายตายไปเลย
อย่าได้เคยเคียงคู่ทุกชาติไป”

ท่านอมรเทพเป็นทหาร จำต้องเดินทางไปรักษาเมืองต่างๆตามที่ได้รับมอบหมาย จึงกล่าวกับนางอุทุมมาพรไว้ว่า หากเราไปทำกิจของเราเสร็จ เราจะกลับมารับเจ้าไปอยู่ด้วยกัน และนางก็ตอบว่า เราจะรอท่านอยู่ที่นครหริภุญไชยนี้ จะรอจนกว่าท่านจะกลับมา (นั้นแน่ ยังสัญญาต่ออีก ไม่รู้ซะแล้ว...)
อมรเทพได้ติดตามเจ้าชายอนันตยศไปสร้างเมืองเขลางค์ แต่เนื่องจากวิบากกรรมเก่าที่ยังมี ทำให้อมรเทพได้เข้าไปในหมู่บ้านในเมืองเขลางค์นคร ได้พบรักหญิงสาวนางหนึ่ง คือ นางแก้วจินดา จึงอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ทั้งๆที่นางก็รู้ว่าอมรเทพมีคู่แล้วรออยู่ที่เมืองหริภุญไชย แต่นางก็รักท่านอมรเทพและพยายามไม่ให้อรมเทพกลับไปที่หริภุญไชย จนกระทั่งท่านอมรเทพเสียชีวิตในป่า เพราะนางจับได้ว่า อมรเทพมีหญิงอื่น จึงหลอกล่อใหท่านเข้าป่า แล้วก็หลงทางตายอยู่ในป่านั้นแหละ

ส่วนนางอุทุมมาพรก็ยังรออมรเทพอยู่โดยไม่รู้ว่าท่านอมรเทพตาย แล้ว นางเฝ้ารอคอยสามีให้กลับมา แต่ไร้วี่แวว รอจนกระทั่งได้ข่าวว่า อมรเทพมีผู้หญิงอื่นอีกหลายคน (ขนาดสัญญา สาบานกันไว้แล้ว ยังกล้ามีคนอื่นอีก นี่เป็นสันดานผู้ชายเจ้าชู้จริงๆค่ะ) และได้เสียชีวิตไปแล้ว นางได้แต่เฝ้าคิดถึงและร้องไห้ถึงท่านอมรเทพ ทำให้ต้องระทมทุกข์อยู่กับอดีต เสียใจอย่างมากมาย หลังจากนั้นนางได้รับพระยศเป็นพระนางอุทุมมาพรเทวี ต่อมาก็ได้ออกบวชพร้อมกับพระนางจามเทวี และได้เสียชีวิตลงในวัย ๘๖ ปี

หลังจากที่พระนางเสียชีวิตลง ด้วยบุญกุศลที่ได้กระทำ (สร้างวัด) มานางก็ได้ไปเกิดเป็นอากาศเทวา ประจำอยู่ที่บริเวณเมืองเวียงท่ากาน (ปัจจุบัน คือ บริเวญรอยต่อระหว่าง อ.สันป่าตอง กับ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน) สถานที่ๆได้ทำการอธิษฐานไว้

หลังจากนั้น พระนางอุทุมมาพรเทวีก็ได้เลื่อนชั้นเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช (สันนิษฐานว่า มีผู้อุทิศบุญกุศลให้พระนางอย่างต่อเนื่อง) แต่ยังไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ส่วนท่านอมรเทพได้เกิดมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม ลูกชาวป่า และมีนิสัยเจ้าชู้เหมือนเดิม พระนางอุทุมมาพรเทวี ได้ติดตามจนทราบว่าท่านอมรเทพมาเกิด ณ หมู่บ้านในเมืองเขลางค์นคร นางก็เฝ้าติดตามดูแลท่านอมรเทพมิได้ห่าง แล้วเห็นพฤติกรรมผิดสัจจะที่เคยให้ไว้แก่พระนาง ทำให้พระนางสะเทือนใจมาก แต่ก็เฝ้ารอคอยว่า ท่านอมรเทพจะระลึกถึงคำสัญญาได้ในวันหนึ่ง
ในชาตินั้น ท่านอมรเทพได้ใช้ชีวิตอย่างประมาท ยังคงเจ้าชู้ มักมาก และก็ไม่สมหวังในความรัก แล้วก็ตายอย่างอนาถ เพราะทะเลาะวิวาทแย่งคนรักกัน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่สักพักใหญ่ๆ

ต่อมาในยุคพระเจ้าอาทิตยราช ได้เกิดมาเป็นลูกชาวบ้าน ณ เมืองมูล ได้ร่วมสร้างวัดศรีสร้อยเมืองมูล (ทำบุญสร้างวัดด้วย) พระนางได้ติดตามท่านอมรเทพ ได้เฝ้าดูแล แต่ก็เห็นพฤติกรรมเจ้าชู้ มากรัก ผิดสัจจะเหมือนเดิม พระนางก็ได้แต่ช้ำใจ และก็รอคอยว่า สักวันหนึ่งท่านอมรเทพจะกลับใจ และระลึกชาติได้ ระลึกถึงคำสัญญา สาบานที่ให้กันไว้ แต่แล้วก็รอเก้อ ท่านอมรเทพลืมทุกอย่าเกี่ยวกับพระนางไปสิ้น สุดท้ายชายมากรัก หลายใจ ก็ผิดหวังในความรักเรื่อยไป แล้วตัดสินใจบวชในพระศาสนา แต่ก็ไม่ได้บรรลุธรรม หรือได้ทิพยจักขุญาณ จึงไม่สามารถระลึกชาติได้
เทพธิดาอุทุมมาพร รู้สึกเสียใจมาก ท่านคิดได้ว่า ไม่น่าเอาความรัก ความบริสุทธิ์ใจของตน ผูกติดกับคำอธิษฐาน สัญญา สาบาน กับชายคนนี้ เพราะแรงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป พระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ทำให้นางไม่สามารถไปเกิดใหม่ ไม่สามารถที่จะยกจิตขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น หรือบรรลุธรรมได้ สุดแสนจะเศร้าใจ ต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าดูชายที่ตนรัก ลืมความรัก ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระนาง ได้แต่มองดูคนรักจากไป ไปหาผู้หญิงอื่น ไปรักคนอื่น รักเรื่อยๆ รักหลายคน แล้วก็รับกรรมของเค้าไป ช่วยอะไรไม่ได้

พระนางจึงได้สติ และคิดว่า เราควรยกเลิกคำอธิษฐานที่มีต่อกัน จึงจะเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย
พระนางอุทุมมาพรเทวีหรือเทพธิดาอุทุมมาพร จึงได้เหาะไปยังสถานที่ๆเคยให้สัจจะ อธิษฐาน แล้วอธิษฐานต่อหน้าพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ว่า

“ข้าฯ แต่พระปฏิมาอันศักดิ์สิทธิ์
ผู้มีฤทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าข้าฯ
โปรดฟังคำขอข้า อีกสักครา
ที่ได้มาอธิษฐานด้วยความทุกข์ใจ
อันตัวข้าและชายโฉด
ท่านเคยโปรดข้าทั้งสองประคองไว้
เราเคยพบรักพ้องด้วยต้องใจ
และจึงได้สัญญาใจ สาบานกัน ด้วยสัจจะวาจา
มาครานี้ตัวข้าขอยกเลิก
ขอฟ้าเบิกคำอ้อนวอนของข้าหนา
อย่าได้ประสบพบกันทุกข์อีกครา
เพราะตัวข้าอิดหนาระอาใจ
จะเกิดมากี่ภพ เกิดกี่ชาติ
เขาไม่อาจเลิกมากรัก เลิกเจ้าชู้ได้
เมื่อเค้านั้นผิดสัจจะทุกคราไป
ตัวข้าไซร้แสนเจ็บปวดรวดอุรา
ขอเทพไท้เทวาอันศักดิ์สิทธิ์
ขอพระปิดคำอธิษฐานของตัวข้า
ขออีกภพที่เขาได้เกิดมาอีกครา
อันตัวข้าจะจะขอติดตามไป
นำตัวเขามาพร้อมกับตัวข้า
เพื่อได้มายกเลิกคำสัญญา สัจจะอธิษฐานไว้
ขอได้โปรดหนุนนำข้าทุกคราไป
ขอให้ได้สัมฤทธิ์ผลในอนาคตกาล..”

เมื่ออธิษฐานแล้ว พระนางก็เฝ้ารอการกลับมาเกิดของอมรเทพอีกครั้ง (รอนานมาก...) จนกระทั่งอมรเทพได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ เทพธิดาอุทุมมาพรได้มาให้พี่คนที่เล่าเรื่องเห็นในสมาธิ ขอให้ช่วยถอนคำสาบานและได้ไปหาอมรเทพ ทำให้อมรเทพทราบในสมาธิ เพื่อจะได้ไปทำพิธียกเลิกคำอธิษฐาน คำสาบานดังกล่าว (ในชาตินี้ท่านอมรเทพในวัยนักเรียนชั้นมัธยมปลายได้เรียนกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง จนสามารถระลึกชาติได้บ้าง ได้รู้อะไรบางอย่าง แต่ยังลังเลสงสัยไม่แน่ใจ จึงสอบถามจากผู้รู้ก็คือ พี่คนเล่าเรื่องกับพระอาจารย์ที่เคารพ
พิธีการถอนคำอธิษฐาน คำสัญญา สาบาน จึงได้เริ่มขึ้น

พวก เราได้รับรู้เรื่องจริงในเรื่องราวของความรัก ความผูกพันที่พันผูกข้ามภพ ข้ามชาติ ติดตามมาพร้อมคำอธิษฐาน สัญญา สาบานต่อหน้าพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางอุทุมมาพรเทวีหรือเทพธิดาอุทุมมาพร กับท่านอมรเทพไปแล้ว แรงอธิษฐานทำให้พระนางเกิดความทุกข์ทรมานยาวนานถึง ๑,๔๐๐ ปี (ไม่ใช่น้อยๆนะคะ แรงจริงๆ) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อคะ พลังแรงอธิษฐานที่เกิดขึ้น ศักดิ์สิทธิ์จริงๆค่ะ ทุกข์จริง เจ็บจริงด้วย โดยไม่ใช้สแตนต์อิน เลิกรักก็ไม่ได้ เลิกรอก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ทุกข์ เศร้า เสียใจ ทุกข์ระทมมานานจนหมดใจยินดีในรักแล้ว ก็ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะพระนางติดอยู่กับคำอธิษฐาน ไปไหนไม่ได้ (เฮ้อ..สุดแสนจะเศร้าใจ เราเคยไปสาบานรักแบบนี้ไว้กับใครบ้างไหมหนอ)

มา เอาใจช่วยพระนางอุทุมมาพรเทวีหรือเทพธิดาอุทุมมาพรกันต่อนะคะว่า เมื่อตัดใจจากอมรเทพแล้ว พระนางจะถอนคำอธิษฐานได้หรือไม่ จะได้ไปเกิดบนสวรรค์หรือไม่ ตามมาอ่านเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ได้มาจากกรรมฐานของคุณพี่เค้ากันต่อเลยคะ
เมื่อ ได้จุดธูป แล้วพนมมือ ก็มีลำแสงสีเหลืองพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและอยู่ใกล้กับน้องอมรเทพ พี่เค้าก็เริ่มพิธีถอนคำอธิษฐาน กล่าวคำอธิษฐาน เพื่อนร่วมคณะต่างพากันได้ยินเสียงผู้หญิงกล่าวว่า “ขอบคุณมากนะ”

เสร็จพิธีแล้วพระอาจารย์ที่ทางคณะนิมนต์มาร่วมเป็นสักขีพยานในการทำพิธีนี้ ก็ได้ทำการกรวดน้ำอุทิศบุกุศลให้ ก่อนเดินทางกลับ
ในที่สุดคำสัญญาที่กลายเป็นคำสาป ทำให้เกิดการจองจำอันยาวนานถึง ๑,๔๐๐ ปีของพระนางอุทุมมาพรเทวีก็ได้สิ้นสุดลง พระนางได้เป็นอิสระจากบ่วงรัก บ่วงทุกข์แล้ว พระนางได้ขึ้นไปอยู่บนวิมานในสวรรค์ชั้นดุสิตและจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป

นี่คือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ ของความทุกข์ทรมานที่เกิดจากความรัก เรื่องนี้เป็นแบบอย่างให้ทุกคนรู้ว่า อย่าล้อเล่นกับคำสัญญา คำอธิษฐาน คำสาบานใดๆ เราควรมีสติ ไม่ไปสัญญา สาบานรักไว้กับใคร และไม่ยอมให้ใครมาสัญญา สาบานรักกับเรา โดยเฉพาะการตั้งสัจจะอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป ทำให้เกิดอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ข้ามภพ ข้ามชาติติดตามกันไม่รู้จบ ถ้าไม่ทำพิธีถอนคำอธิษฐาน ก็อย่าได้หวังว่าจะสุข สมหวังในความรักอีกเลย ก็ต้องทนทุกข์เพราะความรักทุกชาติไปแบบนี้ล่ะ

เพราะ เราไม่อาจจะรู้ใจคนรักของเราได้ว่า ใจจะแปร รักจะเปลี่ยน ไปเมื่อใด จะรักษาความรักไว้ได้นานเท่าใด ที่สำคัญ เราจะตามกันมาเกิดในทุกชาติภพอีกหรือไม่ ชาตินี้เราเกิดเป็นมนุษย์ แต่เค้าล่ะ ชาตินี้เกิดมาเป็นอะไร ใช่เป็นมนุษย์เหมือนเราหรือเปล่า จริงๆแล้ว แน่ใจหรือว่าเค้าได้มาเกิดแล้ว 555 แน่ใจหรือว่าเราจะตามกันทันทุกชาติ ภพ บุญกรรม ทำมาไม่เท่ากัน การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า จะแน่นอน

กฏไตรลักษณ์ของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าบอกเอาไว้แล้วนี้ค่ะ ว่า มันไม่เที่ยง (ไม่แน่นอน) มันเป็นทุกข์ มันบังคับไม่ได้ แล้วจะหวังอะไร กับใครได้ค่ะ กับตัวเองก็หวังพึ่งไม่ได้ค่ะ เราเวียนว่ายตายเกิด แล้วเราก็ลืม แล้วเราก็เกิด แล้วเราก็ลืม แล้วเราก็เกิด วนเวียนอยู่อย่างนี้ในวัฏฏสงสาร น่าอนาถไหมค่ะ
รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มันเป็นเพียงแค่คำพูดค่ะ ให้หลงใหล ให้ติดกับบ่วงรัก บ่วงทุกข์กันเล่นๆ ถ้าเอามาจริงจังถึงขั้นสัญญา สาบาน อธิษฐานกันด้วยแล้ว ระวังจะเป็นอย่างเรื่องพระนางอุทุมมาพร ต้องรออยู่ที่เดิม รอคนเดิมมาเป็นพันปี

ดังนั้น ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท อย่าล้อเล่นกับการตั้งสัจจะอธิษฐาน ผูกจิตวิญญาณของตัวเองกับใครทั้งสิ้น ขอร้องอย่าทำ อย่าได้คิดที่จะทำ
ชีวิตไม่แน่นอน ใจมนุษย์ก็ไม่แน่นอนค่ะ ทั้งใจเราเองและใจคนอื่น มันเปลี่ยนกันได้ จำไว้นะคะ ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทค่ะ เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความรักเหมือนดั่งพระนางอุทุมมาพรเทวี

สำหรับ ใครที่จำได้ว่า เราเอง เคยไปทำสัญญา สาบานไว้ อธิษฐานรักต่อหน้าพระพุทธรูปไว้กับใครบางคน จะทำจริงจังหรือทำเล่นๆก็ตาม ขอแนะนำว่า ให้ไปตามเค้ากลับมา แล้วรีบไปทำพิธีถอนซะ ในสถานที่เดิม เวลาเดิม อย่าได้รีรอ อย่าได้ลองดี อย่าได้ประมาท อย่ารอให้คำอธิษฐานกลายเป็นคำสาปจองจำเราทุกชาติภพ วันนี้อะไรๆ ยังไม่เปลี่ยน แต่วันหน้าอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป รีบๆ ไปถอนคำสาบานรักก่อนดีกว่าค่ะ กันเหนียวค่ะ
สำหรับ ใครที่จำไม่ได้ แต่มีความสงสัยอยู่ว่าเราอาจจะไปเผลอ ขาดสติ ทำอะไรแบบนี้ไว้กับใครๆในชาติก่อนๆ ถึงได้ส่งผลให้ชาตินี้มีรักที่เป็นทุกข์ มีทุกข์กับความรักเสมอ มีทุกอย่าง แต่ไม่มีรักแท้ ไม่มีรักจริง ก็ขอให้ไปเข้ากรรมฐาน ฝึกจิต ระลึกชาติกับครูบาอาจารย์ (พระวิปัสสนากรรมฐาน) จะได้รู้ที่มาที่ไป รู้จัก พบเจอเจ้ากรรมนายเวรตัวจริง แล้วจะได้ขออโหสิกรรมเค้าได้ แต่ถ้าใจร้อน หรือยังฝึกกรรมฐานได้ไม่ดีพอที่จะระลึกชาติเอาเองได้ ก็แนะนำให้ไปหาคนที่มีญาณทิพย์ค่ะ ไปขอให้เค้าช่วยตรวจดู ช่วยหาคนต้นเรื่อง สาเหตุแห่งความทุกข์ของเรา ถ้าเจอจะได้ทำพิธีถอนสัญญาอย่างเป็นทางการค่ะ
ถ้าจะรักกันในชาติปัจจุบันก็ขอ ให้รักกัน อยู่ด้วยกันโดยอาศัยบุญ กรรมในปัจจุบันนะคะ ทาน ศีล ภาวนาให้เสมอกัน ให้บุญรักษา ธรรมคุ้มครองกันและกัน จะดีกว่าผูกวิญาณไว้ด้วยคำอธิษฐาน เพราะสุดท้าย เรื่องอาจจะไม่จบแบบ happy เหมือนในนิทานหรือในนิยาย แบบว่า เราจะรักกันชั่วนิรันดร์ เราจะมีความสุขกันชั่วนิรันดร์
ที่มา:http://www.gotoknow.org/blogs/posts/485505


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1.0-9/1234184_373856376086724_498950899_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 18, 2014, 08:19:06 PM
***40 สถานที่ปฏิบัติกรรมฐานยอดนิยม***

๑. วัดธรรมมงคล
ซอยปุณณวิถี ๒๐ ถ. สุขุมวิท ๑๐๑ บางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ โทร. ๗๔๑-๗๘๒๑-๒, ๓๓๒-๒๘๒๖-๗
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร
แนวการปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
สถานที่ปฏิบัติมีหลายแห่ง คือ ๑. ศาลาปฏิบัติธรรม เป็นห้องมุ้งลวด
๒. ถ้ำวิปัสสนา (จำลอง) ๓. ศูนย์สมาธิวิริยานุภาพ มี ๘๐ ห้องพัก
ทุกห้องมีเครื่องปรับอากาศ ๔. ห้องสำหรับทำสมาธิ
๕. สถานปฏิบัติธรรม จ. เชียงราย ๖. สำนักสงฆ์น้ำตกแม่กลาง

๒. วัดอัมพวัน
๕๓ บ. อัมพวัน ถ. เอเชีย กม. ๑๓๐ หมู่ที่ ๔ ต. พรหมบุรี อ. พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
โทร. (๐๓๖) ๕๙๙-๓๘๑), (๐๓๖) ๕๙๙-๑๗๕
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
แนวการปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ บริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”

๓. ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในราชูปถัมภ์
๕๘/๘ ถ.เพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐ โทร. ๔๑๓-๑๗๐๖, ๘๐๕-๐๗๙๐-๔
วิปัสสนาจารย์ คุณแม่สิริ กรินชัย
แนวการปฏิบัติ แนวสติปัฏฐาน ๔ เจริญสติอย่างต่อเนื่อง
ตามแนวพระธีรราชมหามุนี วัดมหาธาตุ
สถานที่เป็นตึกทันใหม่ทันสมัยหลายหลัง โดยทั่วไปการอบรมใช้เวลา ๘ วัน ๗ คืน

๔. สวนโมกขพลาราม
๖๘ หมู่ ๖ ต. เลเม็ด อ. ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี ๘๔๑๑๐
วิปัสสนาจารย์ ท่านพุทธทาสภิกขุ
แนวการปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา

๕. วัดป่าสุนันทวราราม
บ้านลิ่นถิ่น ต. ท่าเตียน อ. ไทรโยค จ. กาญจนบุรี
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
แนวการปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา
เปิดอบรม “อานาปานสติภาวนา” แก่ผู้สนใจ ครั้งละ ๙ วัน
เปิดรับครั้งละ ๑๐๐-๑๕๐ คน เป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัด กินอาหารวันละ ๑ มื้อ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณดารณี บุญช่วย (๐๒) ๓๒๑-๖๓๒๐

๖. วัดภูหล่น
๙ ต. สงยาง อ. ศรีเมืองใหม่ จ. อุบลราชธานี
ปฐมวิปัสสนาหลวงปู่มั่นฯ (สถานที่หลวงปู่มั่นออกธุดงค์ครั้งแรกกับหลวงปู่เสาร์)
วัดนี้ค่อนข้างจะห่างจากตัวเมือง บรรยากาศดีมาก เย็นสบาย และเงียบสงบ มีสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนเขาไม่สูงนักสามารถกางกลดอยู่ได้ มีโบสถ์บนเขาและมีกุฏิโดยรอบ บ้างก็ซ่อนอยู่ตามซอกเขา ที่นี่เหมาะกับผู้เคยปฏิบัติธรรมมาแล้ว ต้องการมาปฏิบัติขั้นอุกฤษฎ์

๗. วัดถ้ำขาม
บ้านคำข่า หมู่ที่ ๔ ตำบาลไร่ อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
วิปัสสนาจารย์ อาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดมีเนื้อที่ ๘๔๐ ไร่ พื้นที่จรดเขตอุทยานป่าแนวเทือกเขาภูพาน วัดอยู่บนเขาสูง แต่ก็มีบันไดขึ้นลงสะดวก มีลิงป่า และไก่ป่า ที่พัก มีที่พักเป็นกุฏิ (กุฏิละ ๑ คน) หรือพักรวมบนศาลาก็ได้ เหมาะสำหรับไปปฏิบัติแบบอุกฤษฎ์

๘. วัดมเหยงคณ์
ต. หันตรา อ. พระนครศรีอยุธยา จ. พระนครศรีอยุธยา
แนวปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดรู้ รูป-นาม

๙. สำนักปฏิบัติธรรมแสงธรรมส่องชีวิต
ต. โคกแย้ อ. หนองแค จ. สระบุรี ๑๘๒๓๐
โทร. (๐๓๖) ๓๗๙-๔๒๘
แนวปฏิบัติ เน้นให้ผู้ฝึกมีสติรู้ในอิริยาบท
ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันสำคัญทางศาสนา
จะมีการจัดอบรมฝึกวิปัสสนากรรมฐาน บวชชีพราหมณ์ เนกขัมมะ

๑๐. วัดสนามใน
๒๗ ต. วัดชลอ อ. บางกรวย จ. นนทบุรี
โทร. ๔๒๙-๒๑๑๙, ๘๘๓-๗๒๕๑
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
แนวปฏิบัติ เน้นการเจริญสติ วิธีที่เป็นที่นิยมคือวิธีสร้างจังหวะ เป็นวิธีสร้างสติแบบนั่งทำสมาธิแต่ไม่ต้องหลับตา

๑๑. วัดป่านานาชาติ
บ้านบุ่งหวาย หมู่ ๗ ต. บุ่งหวาย อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี (สาขา ๑๑๙ ของวัดหนองป่าพง)
เป็นวัดป่าที่มีต้นไม้ใหญ่มาก มียุงและแมลงต่าง ๆ มาก
คนที่แพ้ยุงก็ควรหายากันยุงไปด้วย อากาศเย็นสบาย ทานอาหารวันละ ๑ มื้อ การไป ให้เขียนจดหมายไปขออนุญาตจากเจ้าอาวาส แล้วจึงเดินทางไปอยู่

๑๒. วัดปทุมวนาราม
ถ. พระราม ๑ ปทุมวัน กรุงเทพฯ ๑๐๓๓๐
โทร. ๒๕๑-๒๓๑๕, ๒๕๒-๕๔๖๕
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์ถาวร จิตฺตถาวโร
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
นั่งปฏิบัติในศาลาพระราชศรัทธา มีอาสนะและผ้าคลุมตักให้หยิบใช้ได้ บริเวณโดยรอบมีการปลูกแต่งด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ร่มรื่นสวยงาม กำหนดการปฏิบัติธรรมที่ศาลาฯ ประจำวันจันทร์ – ศุกร์ วันละ ๓ เวลา
เช้า ๗.๐๐ – ๘.๐๐ น. กลางวัน ๑๒.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. เย็น ๑๗.๐๐ – ๒๐.๐๐ น.

๑๓. วัดปากน้ำภาษีเจริญ
เลขที่ ๘ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ วิปัสสนาจารย์ พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด)
แนวปฏิบัติ ตามแนวธรรมกาย ใช้คำบริกรรม “สัมมาอรหัง”
สถานที่ปฏิบัติ ๑. หอเจริญวิปัสสนาฯ ชั้น ๒ เป็นห้องแอร์ปูพรม
๒. หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิมิต ๓. ตึกบวรเทพมุนี

๑๔. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์
เลขที่ ๓ ท่าพระจันทร์ แขวงมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
แนวปฏิบัติ ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ปฏิบัติ คณะ ๕ สำนักงานกลาง กองการวิปัสสนาธุระ
เปิดทุกวัน สอนเดินจงกรมและนั่งสมาธิ
เช้า ๐๗.๐๐ – ๑๐.๐๐ น. กลางวัน ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. เย็น ๑๘.๐๐ – ๑๙.๐๐ น.

๑๕. วัดอินทรวิหาร
อาคารปฏิบัติธรรม “เฉลิมพระเกียรติ” วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร. ๖๒๘-๕๕๕๐-๒
แนวการปฏิบัติ แนวหลักสูตรของคุณแม่สิริ กรินชัย ๘ วัน ๗ คืน หรือ ๔ วัน ๓ คืน
เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมขยายผล จากผู้ปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ กรินชัย
เป็นอาคารทันสมัย ๕ ชั้น จุได้ประมาณ ๕๐๐ คน

๑๖. สำนักงานพุทธมณฑล
พุทธมณฑล ถ. พุทธมณฑลสาย ๔ ต. ศาลายา อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม โทร. ๔๔๑-๙๐๐๙, ๔๔๑-๙๐๑๒
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ กำหนดรู้อารมณ์ บริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ปฏิบัติ ชั้น ๒ ของหอประชุม มีเครื่องปรับอากาศ ห้องนอน มีเครื่องนอน เช่น หมอน มุ้ง ผ้าห่มให้พร้อม หรือนำไปเองก็ได้ ทานอาหาร ๒ มื้อ

๑๗. ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธฯ เฉลิมพระเกียรติ
คลองสาม จ. ปทุมธานี โทร. ๙๘๖-๖๔๐๔-๕
เป็นสาขาของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย – ภาษีเจริญ

๑๘. วัดอโศการาม
๑๓๖ หมู่ ๒ กม. ๓๑ ถ. สุขุมวิท (สายเก่า) ต. ท้ายบ้าน อ. เมือง จ. สมุทรปราการ
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อลี ธมฺมชโช
บริเวณกว้างขวาง มีสระน้ำใหญ่ในบริเวณวัด
กุฏิพระ แม่ชี และที่พักแยกเป็นสัดส่วนเรียงรายรอบวัดเป็นร้อย ๆ หลัง ส่วนมากอยู่ติดริมทะเลซึ่งเป็นป่าชายเลน

๑๙. วัดญาณสังวรารามวรวิหาร
ต. ห้วยใหญ่ อ. บางละมุง จ. ชลบุรี โทร. (๐๓๘) ๒๓๗-๖๔๒ สถานที่ปฏิบัติ เป็นอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น มีอาคาร ญส. ๗๒ ชาย และ ญส. ๗๒ หญิง
ชั้นละ ๑๐ ห้อง มีห้องน้ำในตัว เรือนปฏิบัติธรรมมี ๑๗ หลัง

๒๐. สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม
ซ. ประชานุกูล ๗ ถ. ชลบุรี-บ้านบึง ต. บ้านสวน อ. เมือง จ. ชลบุรี โทร (๐๓๘) ๒๘๓-๗๖๖
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์ภัททันตะ อาสภมหาเถระ
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ” มีเรือนพักปฏิบัติธรรมทั้งหญิงชายแยกเป็นสัดส่วนอยู่จำนวนมาก การอยู่ปฏิบัติให้พักคนเดียว เน้นการเก็บอารมณ์ ไม่พูดคุยกัน อย่างเคร่งครัด
การรับประทานอาหารจะมีปิ่นโตส่งถึงห้อง ๒ มื้อ
ทุกวันจะมีการสอบอารมณ์กรรมฐานโดยพระอาจารย์
ค่าน้ำไฟ อาหาร วันละ ๕๐ บาท หรือเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ห้ามอยู่เกิน ๙๐ วัน

๒๑. สำนักวิปัสสนาสมมิตร – ปราณี
จ. ชลบุรี โทร. พระอาจารย์ใหญ่ (๐๑) ๙๒๑-๑๑๐๑
เป็นสถานที่ซึ่งมีผู้บริจาคเพื่อขยับขยายมาจากวิเวกอาศรม แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ล้อมรอบด้วยทุ่งและธรรมชาติ มีกุฏิสงฆ์สร้างในแบบธรรมชาติมุงจาก
อาคารปฏิบัติธรรมขนาดกลางและอุโบสถ ยังรับผู้ปฏิบัติธรรมได้ไม่มากนัก

๒๒. วัดเขาสุกิม
ต. เขาบายศรี อ. ท่าใหม่ จ. จันบุรี
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ใช้คำบริกรรม “พุทโธ”
วัดตั้งอยู่สูงขึ้นไปบนเชิงเขา กว้างขวางกว่า ๓,๒๘๐ ไร่
มีทางบันได และรถรางขึ้นไปบนวัด บริเวณร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มีศาลาที่พักที่สะดวกสบาย เป็นห้องมุ้งลวด มีเตียง ที่นอน หมอนให้ หรือพักที่กุฏิว่างต่าง ๆ

๒๓. วัดจันทาราม (วัดท่าซุง)
๖๐ บ้านท่าซุง หมู่ ๑ ต. น้ำซึม อ. เมือง จ. อุทัยธานี
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
แนวปฏิบัติ มโนมยิทธิ บริกรรม “นะ มะ พะ ธะ” และสอนอนุสติ บริกรรม “พุทโธ”

๒๔. สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่สิม พุทธจาโร
สำนักสงฆ์แห่งนี้อยู่บนดอย ทางขึ้นลงเทปูนเป็นบันไดเดินได้สะดวกแต่ค่อนข้างสูง
หลวงปู่เคยเล่าไว้ว่าที่ถ้ำผาปล่อง และถ้ำเชียงดาวนี้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้สำรวมระวัง รักษาความสงบ ไม่ร้องรำทำเพลง เล่นตลกคะนอง เพราะเคยมีพระอรหันต์ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระอรหันต์สมัยพระพุทธเจ้าโกนาคม พระอรหันต์สมัยพระกัสสโป และพระอรหันต์สมัยพระพุทธโคดม มาบำเพ็ญเพียรและละสังขารอยู่หลายองค์
การนั่งภาวนาที่นี่จะทำเหมือนสมัยที่หลวงปู่ยังอยู่ คือ
ท่านจะให้ทุกคนที่ไปภาวนานั่งสมาธิเพชรฟังเทศน์ ด้วยเหตุผลว่า ”การนั่งสมาธิเพชรนั้นเป็นการฝึกฝนคนเราให้เกิดความตั้งใจมั่น”

๒๕. วัดป่าสาละวัน
อ. เมือง จ. นครราชสีมา
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วันที่ ๑-๕ ของทุกเดือน จะมีการอบรมการปฏิบัติแก่อุบาสกอุบาสิกา ที่ใต้ศาลา และบนวิหารชั้น ๒ โดยจะมีพระให้การอบรม

๒๖. วัดสมเด็จแดนสงบ (แสงธรรมเวฬุราราม)
๙๙ ซอย ๑๙ ถ. มิตรภาพ อ. เมือง จ. นครราชสีมา ๓๐๐๐๐ โทร. (๐๔๔) ๒๑๔-๑๓๔, ๒๑๔-๘๖๙-๗๐
วิปัสสนาจารย์ พระครูภาวนาวิสิฐ
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔

๒๗. วัดป่าวะภูแก้ว
ต. มะเกลือใหม่ อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา
แนวปฏิบัติ แนวหลวงปู่เสาร์ - หลวงปู่มั่น ภาวนา “พุทโธ”
วัดอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ มีต้นไม้ใหญ่น้อยมาก สถานที่เงียบสงบ สวยงาม มีอาคารอบรมขนาดใหญ่ สำหรับผู้มาทำสมาธิเป็นหมู่คณะ

๒๘. วัดหนองป่าพง
๔๖ หมู่ ๑๐ ต. โนนผึ้ง อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
แนวปฏิบัติ เน้นให้มีสติสม่ำเสมอ ฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ

๒๙. ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน
บ้านเนินทาง ต. บ้านค้อ อ. เมือง จ. ขอนแก่น ๔๐๐๐๐
โทร. (๐๔๓) ๒๓๗-๗๘๖, ๑๒๗-๗๙๐
เป็นสถานปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสาขา ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ เช่นเดียวกับวัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี

๓๐. วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม
ซ. ศรีจันทร์ ๑๓ ถ. ศรีจันทร์ ต. ในเมือง อ. เมือง จ. ขอนแก่น ๔๐๐๐๐ โทร. (๐๔๓) ๒๒๒-๐๔๒
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”

๓๑. วัดถ้ำผาบิ้ง
ต. ทรายขาว อ. วังสะพุง จ. เลย
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่หลุย จันทสาโร
เมื่อไปถึงจะพบศาลาสร้างด้วยไม้ที่โปร่งสะอาดน่านั่งสมาธิ มีกุฏิหลายหลัง มีถ้ำอยู่ไม่สูงจากเชิงเขา มีบันได้ขึ้นสะดวก เป็นที่สงบวิเวกมาก
เหมาะแก่การปฏิบัติอย่างอุกฤษฎ์ พระในสายพระอาจารย์มั่นมักมากจำพรรษา และปฏิบัติธรรมที่นี่ เพราะเป็นที่สัปปายะ บรรยากาศเงียบสงบ ห่างจากเมือง

๓๒. วัดถ้ำกองเพล
ต. โนนทัน อ. เมือง จ. หนองบัวลำภู ๓๙๐๐๐
โทร. (๐๔๒) ๓๑๒-๓๗๗
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่ขาว อนาลโย
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
เป็นวัดป่ากว้างขวาง พร้อมศาลาปฏิบัติธรรมสร้างภายในถ้ำ ทางไปถ้ำสะดวกอยู่ริมถนน รถเข้าถึงปากถ้ำได้ ไม่ต้องปีน บางกุฏิก็ซ่อนอยู่ตามเหลือบผาต่าง ๆ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เมื่อไปถึงให้ติดต่อศาลาประชาสัมพันธ์เพื่อขออนุญาตก่อน ปฏิบัติธรรมอย่างเข้ม

๓๓. วัดป่าบ้านตาด
ต. บ้านตาด อ. เมือง จ. อุดรธานี
วิปัสสนาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
ในวัดมีกุฏิที่พักหลายกุฏิ มักจะมีลูกศิษย์มาอยู่ปฏิบัติกันมาก แต่ผู้มาปฏิบัติที่นี่ต้องกินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติมาก
กลางคืนมักจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ จนดึก หรือโต้รุ่งก็มี
ไม่ใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน ผู้ปฏิบัติจึงควรจำไฟฉายหรือเทียนติดตัวไปด้วย เพื่อใช้ส่องทางเดิน ทางจงกรม ซึ่งมักจะเป็นทางดิน และอาจมีสัตว์ เช่น งู อยู่บ้าง ต้องเจริญเมตตาไม่เบียดเบียนต่อกัน

๓๔. วัดหินหมากเป้ง
บ้านไทยเจริญ หมู่ ๔ ต. พระพุทธบาท อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
ในวัดมีกุฏิเรือนรับรองอยู่มาก บริเวณกว้างขวาง ประกอบด้วยป่าโปร่ง ป่าไผ่ ทะเลสาบใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เหมาะแก่การอยู่ปฏิบัติ

๓๕. วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก)
อ. บึงกาฬ จ. หนองคาย
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
วัดตั้งอยู่บนภูทอก ทางขึ้นค่อนข้างชัน
สร้างด้วยความอัศจรรย์และด้วยจิตที่เด็ดเดี่ยวของพระเณร ท่านพระอาจารย์จวนได้ทำทางขึ้นเป็นขั้นบันไดและทางเดินด้วยไม้รอบภูจนถึงยอด
บริเวณหน้าผา ท่านใช้ไม้ ๒ ลำมัดให้แน่นยื่นออกไป ๔ เมตร เอาเชือกบังสุกุลผูกปลายไม้ที่ยื่นออกไป ตรึงใส่เสาที่ปักไว้ แล้วไปนั่งที่ปลายไม้นั้น เพื่อตอกหินเจาะหลุมที่หน้าผา ปรากฏว่า ถ้าให้ฆราวาสไปนั่งปลายไม้ครั้งใด
ก็ไม่สามารถควบคุมสติสมาธิได้ เพราะมองไปข้างบ่างก็เกิดความหวั่นไหว จนไม่สามารถตอกหินได้สำเร็จ ผู้สร้างจึงเป็นพระและเณร สิ่งปลูกสร้างนี้มี ๗ ชั้น
มีกุฏิที่พักเชิงเขาที่ชั้น ๒ หรือจะพักกุฏิว่างรอบเขาก็ได้ (ต้องขออนุญาตก่อน)
เหมาะกับผู้ปฏิบัติที่ฝึกมาดีพอสมควร มีความเข้มแข็งพึ่งตนเองได้ เนื่องจากเปลี่ยวและสูงอยู่บนภูเขา แต่บรรยากาศเย็นสบาย เงียบสงบ

๓๖. วัดดอยธรรมเจดีย์
บ้านทาสีนวล หมู่ ๓ ต. ตองโขบ อ. ศรีสุพรรณ จ. สกลนคร วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
ปกติจะปฏิบัติที่ศาลา ส่วนที่พักมีกุฏิ และอาคารคึกสะอาดทันสมัย

๓๗. วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม
ถนน รพช หมู่ ๑ ต. ปทุมวาปี อ. ส่องดาว จ. สกลนคร
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภาวนา “พุทโธ”
ที่นี่มีหลายถ้ำ มีถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำพวง ซึ่งพระอาจารย์มั่นเคยเล่าให้ฟังว่า เป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เคยมีพระอรหันต์ชื่อ พระนรสีห์ มานิพพานที่นี่

๓๘. วัดป่าสุทธาวาส
๑๓๙๖ บ้านคำสะอาด หมู่ ๑๐ ต. ธาตุเชิงชุม อ. เมือง จ. สกลนคร แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ” มีอาคารเป็นตึกปูน ๓ ชั้นหลังใหญ่ จุคนได้หลายร้อยคน เย็นสบาย

๓๙. วัดคำประมง
เลขที่ ๒๐ หมู่ ๔ บ้านคำประมง ต. สว่าง
อ. พรรณนานิคม จ. สกลนคร ๔๗๑๓๐
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่สิม พุทธจาโร
เนื่องจากเป็นวัดที่มีพระจำพรรษาอยู่น้อยในฤดูนอกพรรษา จึงเงียบสงบ มีเจ้าหน้าที่ตัดหญ้า ปลูกดอกไม้สวยงามอย่างดี มีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ และสิ่งก่อสร้างสวยงาม มีสระน้ำทะเลสาบใหญ่ ฝูงปลามากมาย มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมและให้อาหารปลาอยู่เสมอ

๔๐. สำนักปฏิบัติธรรมศิริธรรม (ถ้ำชี)
เขากิ่ว ต. ไร้ส้ม อ. เมือง จ. เพชรบุรี ๗๖๐๐๐
โทร. (๐๓๒) ๔๒๘-๕๒๒
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อกนฺตสิริภิกขุ
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ และอานาปานสติ
เขากิ่วเป็นภูเขาเตี้ย ๆ มีต้นไม้หนาแน่นมาก อยู่ใกล้เมือง เดินทางสะดวก บนเขามีลิงอยู่บ้าง แต่ไม่ทำร้ายคน บนสำนักฯ มีเจดีย์บรรจุสารีริกธาตุ
ศาลา ถ้ำชี ซึ่งใช้เป็นอุโบสถ กุฏิที่พัก ห้องน้ำ-ส้วม พอสะดวกสบายแก่การปฏิบัติ ที่นี่เน้นการปฏิบัติเคร่งครัด กินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติมาก.

(เป็นข้อมูลเก่า บางแห่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามผู้ดูแลใหม่ หรือวิปัสสนาจารย์รุ่นหลัง)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 18, 2014, 08:20:09 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1441393_226538110884935_1315757648_n.jpg)

***พญานาคแสดงอิทธิฤทธิ์***

ในตำนาน พระพุทธชัยมงคลคาถาบทที่ 7 มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคว่า

สมัยหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร วันหนึ่งทรงรับนิมนต์ที่จะเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น

ครั้นเวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงพิจารณาดูหมู่เวไนยสัตว์ปรากฏว่า “พญานันโทปนันทนาคราช” เข้ามาปรากฏอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์

พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า พญานาคราชนี้เป็นสัตว์เดรัจฉานมีวาสนาเข้ามาข้องในข่ายพระญาณของเราตถาคต ควรที่เราตถาคต จะเสด็จไปโปรดแต่พญานันโทปนันทนาคราชนี้ ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิศักดานุภาพยิ่งนักและเป็นมิจฉาทิฐิ

ผู้ที่จะทรมานทำให้หมดพยศร้ายได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยมหิทธิฤทธิ์อันพิเศษ พระโมคคัลลานะเถระมีความสามารถ ที่จะทรมานพญานันโทปนันทนาคราชให้หมดพยศร้ายได้

พอได้เวลาจึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏิ แล้วมีพระดำรัสสั่งให้พระอานนท์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน แล้วทรงอธิษฐานว่า ขอให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นพระตถาคตและพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลบัดนี้

ครั้นทรงอธิษฐานแล้วก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหาะมาโดยทางนภากาศ แล้วมาสู่สวรรค์เทวโลก เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปในอากาศวันนั้น ประกอบด้วยพระรัศมีอันสว่างไสว

วันนั้นพญานันโทปนันทนาคราชได้แลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดความพิโรธยิ่งนัก จึงคำรามว่า สมณะโล้นเหล่านี้ จะได้ยำเกรงเราสักนิดก็ไม่มี พาพรรคพวกเหาะมาบัดนี้ชะรอยว่าจะไปสู่ดาวดึงส์พิภพกระมัง

ถ้าเหาะไปทางอื่นก็ช่างเถิด แต่ถ้าเหาะข้ามเราไปเมื่อไร เป็นต้องผิดใจกัน เพราะเมื่อเหาะข้ามเราไป ผงละอองธุลีในฝ่าเท้าก็จะต้องหล่นลงเหนือหัวของเราเป็นมั่นคง ทางที่ดีเราควรจะไปสกัดหน้าหมู่สงฆ์เอาไว้ อย่าให้เหาะข้ามเราไปได้ เมื่อคิดดังนั้นก็สำแดงมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพ เนรมิตตนให้มหึมาใช้ลำตัวรัดเขาพระสุเมรุราช อันสูงประมาณแปดหมื่นสี่พันโยชน์ด้วยขนดหาง 7 รอบแล้วแผ่พังพานปิดเมืองดาวดึงส์กว้างประมาณได้สิบสองโยชน์ปรากฏอยู่เหนือเขาพระะสุเมรุราชนั้น แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นควันและหมอกมืดมัวไปทั่ว

ฝ่ายพระรัฐบาลอรหันตเถรเจ้า ครั้นเห็นมืดมนอนธการไปทั่วเช่นนั้น จึงกราบทูลถามมูลเหตุแด่องค์สมเด็จศาสดาว่าเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น

สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่าที่มืดมนอนธการเช่นนี้เป็นเพราะ “อานุภาพของพญานาคราชอันมีชื่อว่า นันโทปนันทะ” มีจิตกริ้วโกรธพยาบาทต่อเราผู้ตถาคตยิ่งนัก จึงเอาร่างกายกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุราชไว้ประมาณเจ็ดรอบแล้วแผ่พังพานปกคลุมไปในเขตเมืองดาวดึงส์สวรรค์ แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นหมอกควัน มืดมัวไปทั่วแดนดาวดึงส์สวรรค์ เมื่อพระรัฐบาลอรหันตเถระเจ้าได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธองค์เช่นนั้น จึงกราบทูลอาสาที่จะทรมานพญานาคราชให้พ่ายแพ้สิ้นพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต ต่อจากนั้นพระอรหันตเถระเจ้าทั้งหลายได้กราบทูลขออาสา ที่จะทรมานปราบพญานาคราชนั้นให้เสื่อมหายจากพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต

เดชพระโมคคัลลา

เมื่อพระมหาโมคคัลลานะเถระผู้เป็นอัครสาวกเบึ้องซ้าย ได้กราบทูลขออาสาไปทรมานพญานาคราชนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต

พระมหาโมคคัลลานะเถรเจ้า เมื่อได้รับพระพุทธานุญาตแล้วจึงมาดำริว่า

พญานาคราชตนนี้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานสำคัญตนว่า มีร่างกายยาวใหญ่ยิ่งกว่าพญานาคราชอื่น ๆ ไม่มีผู้ใดที่จะมาต่อสู้ตนด้วยอานุภาพได้ จึงบังเกิดความกำเริบมัวเมาคิดอาละวาด เราจะต้องทรมานให้หมดพยศอันร้ายนี้เสีย

ครั้นคิดเช่นนั้นแล้ว จึงเนรมิตกายให้กลับกลายเป็นพญานาคราชอันเรืองฤทธา มีกายยาวใหญ่กว่าพญานันโทปนันทนาคราชประมาณสองเท่า แล้วเนรมิตพังพานประมาณกว้างแสนหนึ่ง แล้วกระหวัดรัดตัวพญานันโทปนันทนาคราชนั้น ให้แน่นเข้ากับภูเขาพระสุเมรุสี่รอบ แล้วแผ่พังพานออกไปอย่างใหญ่หลวงมหึมาอยู่เหนือเบึ้องบนแห่งพญานันโทปนันทนาคราช แล้วรัดให้แน่นเข้า ๆ กับภูเขาพระสุเมรุราชนั้น

ฝ่ายพระยานันโทปนันทนาคราชให้บังเกิดความอึดอัดประหนึ่งว่าจะขาดใจตาย ทั้งกระดูกนั้นเล่าก็เหมือนจะแตกแหลกลาญเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกายสักนิดก็มิได้ ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเดือดตาลใจเป็นกำลังจึงบันดาลพ่นพิษให้เป็นควัน แผ่ออกไปในระยะไกลได้ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ตั้งแต่พื้นพสุธาถึงภวัคพรหม

พระมหาโมคคัลลานะเถระก็บันดาลมหิทธิฤทธิ่ให้เป็นควันมากขึ้นเป็นสองเท่า ให้ผจญกับฤทธิ์ของพญานันโทปนันทนาคราช

พญานันโทปนันทนาคราช มิสามารถจะผจญกับฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะเถรได้ก็ให้บังเกิดคั่งแค้นอย่างใหญ่หลวง จึงบันดาลเนรมิตให้เกิดเป็นไฟขึ้น เพื่อหวังจะให้เผาผลาญพระเถระเจ้าให้ย่อยยับไป

พระมหาโมคคัลลานะเถระจึงบันดาลให้เกิดเปลวไฟขึ้นบ้าง ลุกลามไหม้กายพญานันโทปนันทนาคราชไพโรจน์โชติช่วงทั้งภายในและภายนอก สร้างความรุ่มร้อนระส่ำระสายสุดที่จะทนทานได้

พญานันโทปนันทนาคราชครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกว่า บุคคลผู้นี้ชื่อใด มาแต่ไหนหนอ จึงประกอบไปด้วยฤทธิ์ศักดาเดชานุภาพมากมายนัก จึงถามไปว่า ท่านมาแต่ไหน มีชื่อเสียงว่าอย่างไร จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบหน่อยเถิด

พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวตอบว่า เราเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อว่าโมคคัลลานะ

เมื่อพญานันโทปนันทนาคราชได้ทราบดังนั้น จึงกล่าวอย่างมีเล่ห์อุบายว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นสมณะ มาทำกรรมอย่างนี้เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง

พระมหาเถระจึงตอบว่า การที่เราต้องกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการจะทรมานท่านให้หมดพยศร้าย หายจากมิจฉาทิฐิ ว่าแล้วพระมหาเถระเจ้าก็บันดาลให้เพศพญานาคราชอันตรธานหายไป กลับกลายเป็นสมณะอย่างเดิม แล้วกล่าวว่า

กัมมวิปากชาฤทธิ์

ท่านพญานันโทปนันทนาคราช ตัวท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีมหิทธิฤทธิ์อานุภาพยิ่งล้นด้วยบุพกรรมเท่านั้น แต่หาได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักคุณพระรัตนตรัย คุณมารดา บิดา กล้าด่าบริภาษแม้กระทั่งองค์สมเด็จครูกับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ นานา

เท่านี้ยังไม่พอท่านยังบังอาจเนรมิตกายให้ยาวใหญ่ด้วยน้ำใจอหังการ์ เพื่อจะไม่ให้พระพุทธองค์กับเหล่าสาวกเสด็จไป ด้วยกลัวว่าธุลีที่ติดอยู่ตามพระบาทนั้นจะตกลงมาใส่หัวแห่งตน

ความจริงท่านควรจะปลื้มปีติใจ ถ้าละอองธุลีที่พระบาทของพระพุทธองค์ตกใส่หัวท่าน เพราะการที่พระบาทยุคลแห่งองค์สมเด็จทศพลถูกต้องศรีษะแห่งใครนั้น ย่อมเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่

ทั้งนี้เพราะผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ ยากนักที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างเกิดมาเปล่าไปเสียหลายหมื่นหลายแสนชาติ จะได้พบพระพุทธเจ้านั้นก็หามิได้

ตัวท่านเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์เดชโดยกำเนิดเกิดแก่ผลกรรมเรียกว่า “กัมมวิปากชาฤทธิ์” ประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิเช่นนี้ ท่านสมควรจะได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส ในปัจจุบันทันตาเห็นบัดเดี๋ยวนี้ เพราะผลแห่งกรรมปัจจุบันอันชั่วช้าของท่าน

ครั้นว่าดังนี้แล้ว พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็เข้าไปในช่องหูข้างขวาของพญานันโทปนันทนาคราช แล้วออกมาทางหูข้างซ้าย แล้วย้อนกลับเข้าหูข้างซ้าย ออกทางหูขวา แล้วเข้าไปทางช่องจมูกข้างขวา ออกทางช่องจมูกซ้าย ย้อนเข้าช่องจมูกซ้าย ออกช่องจมูกขวา

เดินไปเดินมาอยู่อย่างนี้ สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่พญานันโทปนันทนาคราชอย่างแสนสาหัส ถึงกับคร่ำครวญในใจว่า

บรรดาพญานาคทั้งหลายจะมีฤทธิ์เดชานุภาพมากเหมือนตัวเรานี้ย่อมหาไม่ได้ แต่สมณะองค์นี้ทำให้เราได้รับทุกขเวทนาลำบากสุดแสนสาหัสเหลือที่จะอดทนได้ จำเราจะใช้อุบายหลอกลวงสมณะองค์นี้ให้หลงเข้าไปในปากเรา แล้วเคี้ยวให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงไปเสียบัดนี้เถิด

คิดดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่สมณะ ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมปฏิบัติตามคำพูด ก็ท่านพูดว่ามิได้โกรธเคืองแก่ข้าพเจ้าแต่บัดนี้ท่านมากระทำให้ข้าพเจ้าได้รับความลำบากยิ่งนัก

พระโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงตอบว่า การที่เราต้องกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้ท่านละจากมิจฉาทิฐิอันวิปริตผิดจากคลองธรรม นำให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิ เราหวังดีต่อท่านถึงกระนี้แล้ว ตัวท่านยังคิดร้ายจะให้เราเข้าไปในปากของท่าน แล้วท่านก็จะขบกัดเราให้แหลกละเอียดเป็นธุลีไปอีกหรือ?

ว่าแล้วพระมหาเถรเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธานุภาพ ก็ปาฏิหาริย์เข้าไปในปากของพญานาคราชมิจฉาทิฐิตัวนั้น แล้วก็เดินจงกรมไปมาอยู่ในท้องของพญานาคราช

ฤทธิ์ปราบฤทธิ์

ฝ่ายพญานันโทปนันทนาคราชคิดในใจด้วยอุบายว่า ถ้าสมณะองค์นี้มิได้มีใจโกรธเราแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้เบียดเบียนทำอันตรายแก่เราเลย ขอจงออกมาจากในท้องของเราในบัดนี้เถิด

พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าทราบความนึกคิดของพญานาคราชดังนั้น ท่านก็เดินออกมาจากในท้องของพญานาคราชนันโทปนันทะแล้วนั่งอยู่

พญานันโทปนันทนาคราชเห็นดังนั้น จึงรีบฉวยโอกาสพ่นลมพิษออกไป หมายทำร้ายพระอรหันตเถระเจ้า แต่ก็หาทำร้ายพระเถระเจ้าได้ไม่

ต่อจากนั้นพญานาคราชได้สำแดงฤทธิ์ด้วยประการต่าง ๆ ด้วยความเคียดแค้นพยาบาท หวังจะทำลายพระมหาโมคคัลลานะเถระ ให้พินาศย่อยยับไปด้วยฤทธิ์เดชของตน

แต่ผลสุดท้ายก็ถูกพระมหาเถระเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธิ์เดชานุภาพ ทรมานจนหมดพิษสงฤทธิ์ชั่วร้าย ยอมพ่ายแพ้สำนึกผิดกลายเป็นสัมมาทิฐิ เนรมิตกายเป็นมานพหนุ่มน้อย เข้าไปถวายนมัสการลงแทบเท้าของพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า อ้อนวอนขอขมาโทษและขอนับถือเป็นที่พึ่ง

พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงพาพญานันโทปนันทนาคราช ไปสู่สำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงยกโทษให้แก่พญานาคราชนันโทปนันทะ

เมื่อไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงประทานศีลห้า ให้แก่นันโทปนันทนาคราชยึดถือรับไปเป็นหลักปฏิบัติ

แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ไปสู่เรือนของอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี เพื่อรับภัตตาหารสืบไป.


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 19, 2014, 06:54:50 PM
การกำเนิดของมนุษย์และธาตุสี่ตามสายพุทธ ๑

ตามคัมภีร์ปฐมจินดา
กล่าวว่าธาตุทั้ง 4 อันอุดมสมบูรณ์ในหญิงและชายถ้าได้ร่วมประเวณีกัน จะก่อให้เกิดมีการปฏิสนธิระหว่าง "สุขุมังปรมาณู"กับ " เลือดมารดาใน"ครรภ์(ไข่)"ผสมกัน("สุขุมังปรมาณู"คือสิ่งมีชีวิตซึ่งเล็กละเอียดสุดมีขนาดเท่ากับน้ำมันงาที่เหลือ อยู่บนขนจามรี"

ซึ่งนำไปจุ่มในน้ำมันงาแล้วสลัดออก 7 ครั้ง หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึง เชื้ออสุจินั่นเอง ) หลังผสมแล้วจะมีการเจริญเติบโตเกิดชัยเภท

• ไชยเภท (คือ ระยะพลาสโตซิส) = ขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตของไข่ที่ผสมแล้ว จะฟังตัวในมดลูก จะมีเลือดออกนิดหน่อยเป็น ฤดูล้างหน้า (หลังจากไข่ + สเปิร์ม ผสมกันแล้วและเดินทางมาฝังตัวในมดลูก 7 วัน) ขึ้นตามลำดับดังนี้

• หลังปฏิสนธิ7วัน ก้อนเลือดที่ผสมกันจะข้นเข้าเป็นน้ำล้างเนื้อ

• หลังจากนั้นอีก 7 วัน ก้อนเลือดจะมีรูปร่างเปลี่ยนไป มีลักษณะเหมือนไข่งู

• หลังจากนั้นอีก 7 วัน ก้อนเลือดจะมีปัญจะสาขา คือมี หัว มือ 2 ข้าง และเท้า 2 ข้าง

• หลังจากนั้นอีก 7 วัน เกิดมี ผม ขน เล็บ และฟัน

. เมื่อครบ 1 เดือน กับ 12 วัน ก้อนเลือดจะเวียนเข้าเป็นตานกยูงเพื่อรับวิญญาณการเวียนของทารกเพศชาย และหญิงจะแตกต่าง ถ้าทารกเป็นเพศหญิงเลือดที่จะเวียนทางซ้าย หากทารกเป็นเพศชายเลือดจะ เวียนไปทางขวา

• เมื่อครรภ์ครบ 3 เดือนแล้ว เลือดจะไหลเข้าไปใน ปัญจะสาขา

• เมื่อครรภ์ครบ 4 เดือน ทารกจะมีอวัยวะครบ 32 ประการ โดยเริ่มจากมีหน้าผากก่อนแล้วค่อยพัฒนาไป เป็นรูปร่าง และ ร่างกายเหมือนมนุษย์ทั่วไป

• ระหว่างทารกอยู่ในครรภ์มารดา ทารกจะนั่งขดตัว หันหน้าเข้าหากระดูกสันหลังของแม่ โดยกินอาหาร จากแม่ไปจนครบกำหนดคลอด

• เมื่อถึงกำหนดคลอด จะเกิด ลมกัมมัชชาวาต มาพัดพาให้ทารกกลับหัวลงเพื่อคลอดออกมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต(ขันธ์๕)

ใน อินทกสูตร "พัฒนาการแห่งชีวิต"

อินทกยักษ์ทูลถามปัญหา รูปหาชีวะมิได้สัตว์นี้ได้ร่างกายมาแต่ไหน กระดูกและก้อนเนื้อมาจากไหน สัตว์อยู่ในครรภ์อย่างไร

พระ พุทธองค์ตรัสว่า
เบื้องแรกเกิดมี "กลละ" ก่อน
จากนั้นก็เป็น "อัพพุทะ"
จากอัพพุทะเป็น "เปสิ"
จากเปสิเป็น "ฆนะ"
จากฆนะ "เป็นปุ่มห้าปุ่ม"
จากปุ่มห้าปุ่มเป็นผม ขน เล็บ
มารดาดื่มกินอะไร สัตว์ในครรภ์ยังชีพด้วยสิ่งนั้น

พระสูตรนี้ชื่อ อินทกสูตร ตรัสไว้สั้นๆ แต่ทรงขยายความในอีกสูตรหนึ่งชื่อ มหาตัณหาสังขยสูตร ว่า
คนเราจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ
๑ บิดามารดาร่วมกัน
๒ มารดามีไข่สุกพร้อมจะผสม และ
๓ "คันธัพพะ" ปรากฎ "คันธัพพะ"

มีปัจจัยหรือองค์ประกอบ ๓ คือ
กรรมที่สัตว์ทำไว้เปรียบเหมือนที่นา
วิญญาณเปรียบเหมือนเมล็ดพืช
และตัณหาเปรียบเหมือนยางเหนียวในเมล็ดพืช
สรุปแล้วคนจะเกิดเป็นคนขึ้นมาได้ต้องประกอบด้วย
องค์ประกอบทั้งรูปธรรมและ นามธรรม ในขณะที่นักวิชาการสมัยใหม่พูดถึงแต่ในรูปธรรมอย่างเดียว

พัฒนาการของชีวิตในครรภ์ที่ตรัสไว้ข้างบนนั้น
ท่านอธิบายรายละเอียดดังนี้
กลละ มีลักษณะใสสะอาดเหมือนหยาดน้ำมันงา มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเพราะเล็กมาก ท่านเปรียบเหมือนเอาขนจามรีจุ่มน้ำมันใสแล้วสลัด ๗ ครั้ง ที่เหลืออยู่บนปลายขนจามรีนั่นแหละเท่าขนาดของกลละ

เมื่อผ่านไป ๗ วัน จะมีการเปลี่ยนแปลง คือสีจะข้นขึ้น (อัพพุทะ)

ผ่านไปอีก ๗ วัน สีจะแดงเรื่อเหมือนน้ำล้างเนื้อ (เปสิ)

ผ่านไปอีก ๗ วัน จะจับเป็นก้อน (ฆนะ)

ผ่าน ไปอีก ๗ วัน จะมีปุ่ม ๕ ปุ่ม คือ ศรีษะ แขนสอง ขาสอง ต่อจากนั้นก็เกิดผม ขน เล็บ ในระยะนี้อาศัยอาหารผ่านรกมารดาเจริญเติบโตตามลำดับ
ถ้วนทศมาสก็คลอดออกมา


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash2/t1.0-9/149979_488643637839750_1153025787_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2014, 09:15:12 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1959520_630592723674741_705340928_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1653628_631116376955709_2091378095_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1979859_644813538919326_1366987695_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1069828_637860722947941_1422742991_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1911638_644290188971661_466283751_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/1622791_642714812462532_929668061_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1480528_642522689148411_1003012182_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/1901419_642417532492260_2120334211_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2014, 09:16:48 PM
...หลุมไฟที่พรางตา...

กามคุณเป็นของร้อน ทำให้ไหม้เป็นแผลที่ดวงใจ
พอเริ่มรักก็ร้อนเสียแล้ว

"ไม่ได้เห็นหน้าเจ้ากินข้าไม่ลงคอ
พอเห็นหน้าเจ้ากินข้าวได้สองหม้อ"

คนที่ตกในหลุมรัก มีความเร่าร้อนอยู่เหมือนไฟเผาใจกาย
ถ้าได้เข้าใกล้ ยิ่งร้อนหนักเข้าไปอีก
เพราะต้องคิดรักษา ป้องกันอะไรต่างๆ นานา
เพื่อให้พ่องามแม่งามได้อยู่ในสภาพเป็นสุขเสมอ

หลุมถ่านเพลิงที่กำลังลุกแดงอยู่ มีความร้อนสูงมาก
เพียงแค่เดินเฉียด เข้าใกล้ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ผิวหน้า ผิวหนัง

ถ้าเผลอตกลงในหลุมนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นอย่างไร
มีคนตกหลุมถ่านปีหนึ่งไม่กี่คน
แต่คนตาย เพราะหลุมรัก
มีจำนวนเหลือที่จะคณานับได้
...ควรจะเรียกว่า เป็นหลุมไฟที่พรางตา...
(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10003413_270059389821438_1760288898_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2014, 09:31:33 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1960027_231039603765018_1091730198_n.jpg)
ภาพเก่า-ใหม่


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2014, 09:38:29 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1660320_1563699390520841_496666270_n.jpg)

(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/t1.0-9/1922515_1563699407187506_600447203_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 29, 2014, 09:47:53 PM

2. ฤดูร้อน ร้อนมาก
เพื่อนๆหลายคน ไปเดินเล่นกัน
ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน
ปรากฏว่า รองเท้าของ สมศรี ลอยตามน้ำไป
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก
และต้องเดินไกล สมศรีจึงขอให้เพื่อนๆช่วย
แต่ทุกคน มีรองเท้าแค่คู่เดียว
สมศรี ไม่สบอารมณ์
เพราะเธอชอบ ขอให้คนอื่นช่วยเสมอ
และแค่ทำเป็นงอน ก็จะมีคน ยื่นมือเข้าช่วย
แต่ครั้งนี้ไม่ เธอจึงคิดว่า เพื่อนๆทุกคนใช้ไม่ได้ ไม่ยอมช่วยเหลือ
แล้วก็มี สมปอง เอารองเท้าตัวเอง ให้สมศรีใส่
ยอมทนเท้าร้อน เดินต่อ
สมศรี ขอบคุณ สมปอง สมปองบอกสมศรีว่า
“เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใคร มีหน้าที่ต้องช่วยเธอ
ที่ช่วยเธอ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่ช่วยก็ไม่ผิด”
สมศรี จำคำพูดของสมปอง
ต่อแต่นี้ไป สมศรีก็ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆเป็น และด้วยความเต็มใจ
หลายครั้ง เรามักจะหวังให้ คนอื่นดีต่อเรา
ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน
เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา
เหมือนเป็นหน้าที่ ที่เขาต้องดีต่อเรา
เมื่อวันหนึ่ง ไม่ดีต่อเรา เราก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่า คนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว
แต่เป็นเพราะ เราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ
ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ


(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10155089_700308596679802_1113683740_n.jpg)



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 29, 2014, 09:54:38 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/p235x350/1507714_558776604239591_395077140_n.jpg)


1. สมหวัง ไม่ชอบกินไข่
ทุกครั้งที่ได้ไข่มา ก็ให้ สมนึก กิน
แรกๆ สมนึก ก็รู้สึก ขอบคุณสมหวัง
แต่นานๆเข้า สมนึก ก็เคยชิน
เมื่อเกิดความเคยชิน ก็เหมือนกับเป็นหน้าที่
ที่ สมหวัง ต้องทำ
จนมาวันหนึ่ง สมหวัง เอาไข่ให้ สมชาย
สมนึก ก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่า
ไข่นี้เป็นของ สมหวัง สมหวังจะให้ใครก็ได้
สมนึก จึงทะเลาะกับ สมหวัง เพราะเรื่องนี้
แล้วก็เลิกคบกัน


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1922314_736632746367953_1446981104_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 29, 2014, 09:54:51 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/1505523_1490678327822042_1070177394_n.jpg)

3. แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า
หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้
ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆช่วย
วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบๆ
หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อนๆไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย
กลับมาถึงบ้าน เพื่อนๆมาทุก “ตัว”
วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน”
ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน”
ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดังๆ ให้หมาป่าตกใจตาย”
หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป”
กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ”
ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้
ขาดอยู่”ตัว”เดียวคือ หมา
มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน
แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน
พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ
แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณตลอดเวลา
ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ
นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/p526x296/1977132_1405872316346819_2042631562_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 29, 2014, 09:55:27 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/1959427_669405519783383_1076139425_n.jpg)


(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10270830_10152451722932028_3453716900121401859_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:57:19 PM



(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/14583_286843204808065_1543056476_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/s240x240/10014901_1479837312231297_602309226_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10011479_1479840315564330_2092252704_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 05, 2014, 09:18:16 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/s851x315/10007519_672429089481026_2055587168_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10154225_672427759481159_110548418_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10245311_674911882566080_4118083110941928084_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 08, 2014, 10:25:00 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10250270_674032959320639_1059036831_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10173760_672875622769706_1707326744_n.jpg)


(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/t1.0-9/10155541_672875336103068_963700713_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 08, 2014, 10:28:08 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1560608_672871266103475_2010398112_n.jpg)

พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือใคร (จากพระสุตตันตปิฎก)

พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ มีมาในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ โดยสังเขปดังต่อไปนี้

๑. พุทธประวัติพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กกุสันธะ ทรงถือกำเนิดในสกุลพราหมณ์ ในเขมนคร เป็นตระกูลใหญ่ที่ชาวโลกในขณะนั้นถือว่า ประเสริฐสูงสุดกว่าตระกูลอื่น ที่มีชาติสูงสุดและมียศมาก (เรื่องนี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ที่จะถือกำเนิดในพระชาติสุดท้ายเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะเลือกถือกำเนิดในตระกูลที่สูงที่สุดในยุคนั้น หากตระกูลพราหมณ์หรือตระกูลกษัตริย์ ตระกูลใดที่มหาชนยกย่องที่สุดก็จะทรงถือกำเนิดในตระกูลนั้น) พุทธบิดาคือ “อัคคิทัตตะ” พุทธมารดาคือ “วิสาขา” มีปราสาท ๓ หลัง คือ “กามวัฑฒะ”, “กามสุทธิ” และรติวัฑฒะ ทรงครอบครองฆราวาสอยู่ ๔ พันปี ภรรยาชื่อว่า “โรปินี” บุตรนามว่า “อุตระ” ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงเสด็จออกผนวชด้วยรถอันเป็นยานพาหนะ บำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม จึงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ไม้โพธิพฤกษ์ชื่อ “ไม้ซึก” ทรงแสดงปฐมเทศนาคือพระธรรมจักร ณ มฤคทายวัน มีอัครสาวกคือ “พระวิธุรเถระ” และ “พระสัญชีวนามเถระ” พระเถระชื่อ “พุทธิชะ” เป็นพุทธอุปัฏฐาก พระอัครสาวิกาคือ “พระสามาเถรี” และ “พระจัมมปนามาเถรี” อุบาสกเป็นอัครอุปัฏฐาก คือ “อัจจคตอุบาสก” และ “สุมนอุบาสก” อุบาสิกาเป็นอัครอุปัฏฐายิกา คือ “นันทาอุบาสิกา” และ “สุนันทาอุบาสิกา” พระพุทธเจ้ากกุสันธะมีพระองค์สูง ๔๐ ศอก พระรัศมีมีสีเปล่งปลั่งดังทองคำ เปล่งออกไป ๑๐ โยชน์โดยรอบ

๒. พุทธประวัติพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ ทรงถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์แห่งโสภวดีนคร พุทธบิดาคือ “ยัญทัตตพราหมณ์” พุทธมารดาคือ “นางอุตราพราหมณี” มีประสาท ๓ หลัง ชื่อ “ดุสิต”, “สันดุสิต” และ “สันตุฎฐะ” ทรงครอบครองอยู่สามหมื่นปี นาง “รจิคัตตาพราหมณี” เป็นภรรยา “สัตถวาหะ” เป็นบุตร พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ จึงออกบวชด้วยยานคือช้าง บำเพ็ญเพียรอยู่ ๖ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าที่ไม้โพธิพฤกษ์ชื่อ “ไม้มะเดื่อ” ทรงแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรที่มฤคทายวัน พระอัครสาวก คือ “พระภิยโยสเถระ” และ “พระอุตรเถระ” พระอัครสาวิกาชื่อ “พระสมุททาเถรี” และ “พระอุตราเถรี” พุทธอุปัฏฐากคือ “อัคคอุบาสก” และ “โสมเทวอุบาสก” พุทธอุปัฐฐายิกาชื่อ “สีวลาอุบาสิกา” และ “สามาอุบาสิกา” มีพระองค์สูง ๓๐ ศอก ประดับด้วยรัศมีเปล่งปลั่งดังทองที่ปากเบ้า พระองค์มีพระชนมายุสามหมื่นปี ทรงประกาศพระศาสนาโปรดมหาชนให้ข้ามพ้นจากวัฏสงสารหาประมาณมิได้ แล้วเสด็จดับขันธปรินิพพานที่ “ปัพพตาราม” สารีริกธาตุของพระองค์แผ่กว้างไปประดิษฐานในประเทศนั้นๆมากมาย

๓. พุทธประวัติของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
พระกัสสปพุทธเจ้าถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ในพระนครพาราณสี มีพุทธบิดาชื่อ “พรหมทัตตพราหมณ์” และ “นางธนวดีพราหมณี”เป็นพุทธมารดา ทรงมีประสาท ๓ หลังชื่อ “หังสะ”, “ยสะ” และ “สิริจันทะ” ทรงครอบครองอยู่สองพันปี มี “นางสุนันทาพราหมณี” เป็นภรรยา มีบุตรชายชื่อ “วิชิตเสน” พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการจึงออกบวช ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วันจึงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ไม้โพธิพฤกษ์ชื่อ “นิโครธ” ทรงแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรที่มฤคทายวัน มี “พระติสสเถระ” และ “พระภารทวาชเถระ” เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อ “สรรพมิตตะ” เป็นพุทธอุปัฏฐาก “พระอนุลาเถรี” และ “พระอุรุเวลาเถรี” เป็นพระอัครสาวิกา “สุมังคลอุบาสก” และ “ ฆฏิการอุบาสก” เป็นอัครอุปัฏฐาก “วิชิตเสนาอุบาสิกา” และ “อภัททาอุบาสิกา” เป็นอัครอุปัฏฐายิกา” พระองค์ทรงสูง ๒๐ ศอก มีพระรัศมีเปล่งปลั่ง ดังสายฟ้าในอากาศดุจพระจันทร์เต็มดวง มีพระชนมายุสองหมื่นปี ทรงเสด็จนิพพานที่เสตัพยาราม พระสถูปของพระองค์สูงหนึ่งโยชน์ ประดิษฐานอยู่ ณ เสตัพยารามนั้น

๔. พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าโคตมะ
พระโคตมพุทธเจ้าทรงถือกำเนิดในตระกูลกษัตริย์ ในนครกบิลพัสดุ์ “พระเจ้าสุทโธทนะ” เป็นพุทธบิดา “พระนางมายาเทวี” เป็นพุทธมารดา ทรงมีประสาท ๓ หลัง ชื่อ “สุจันทะ” ,”โกกนุทะ” และ “โกญจะ” ทรงครอบครองอยู่ ๒๙ ปี มีมเหสีทรงพระนามว่า “ยโสธรา” และ “พระราหุล” เป็นพระโอรส ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการจึงทรงออกบวชด้วยยานคือม้า ได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปี และเมื่อทรงบำเพ็ญเพียรด้วยทางสายกลางแล้ว จึงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่ไม้โพธิพฤกษ์ชื่อ “อัสสัตถพฤกษ์” ทรงแสดงปฐมเทศนาธรรมจักรที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี มี “อุปติสสะ (พระสารีบุตรเถระ)” และ “โกลิตตะ (พระโมคคัลลานเถระ)” เป็นอัครสาวก “พระอานนทเถระ”เป็นพุทธอุปัฏฐาก “พระเขมาเถรี” และ “พระอุบลวรรณาเถรี” เป็นอัครสาวิกา “จิตตคฤหบดี” และ “หัตถกอุบาสก ชาวเมืองอาฬวี” เป็นอัครอุปัฏฐาก “นันทมารดา” และ “อุตราอุบาสิกา” เป็นอัครอุปัฏฐายิกา ทรงดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ที่เมืองกุสินารา สารีริกธาตุของพระองค์จำนวน ๑๖ ทะนาน ประดิษฐานตามสถานที่ต่างๆที่มีคนรู้จักและเคารพบูชา

๕. พุทธประวัติพระศรีอาริยเมตไตรย์
พระศรีอาริยเมตไตรย์ทรงถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ “สุพรหมพราหมณปุโรหิต” เป็นพุทธบิดา “พรหมวดีพราหมณี” เป็นพุทธมารดา ในนครเกตุมวดี ทรงมีปราสาท ๓ หลัง ชื่อ “สิริวัฑฒปราสาท”, “จันทกปราสาท” และ “สิทธัตถปราสาท” “นางจันทรมุขีพราหมณี” เป็นภรรยา “พรหมวัฒนกุมาร” เป็นบุตร ทรงครอบครองฆราวาสได้ ๘๐,๐๐๐ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ ทรงออกบวช และบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ๗ วัน และเมื่อเสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุนันทาพราหมณีนำมาถวายในวันวิสาขปุณมี แล้วเข้าไปในสาลวัน ครั้นเวลาเย็นทรงรับหญ้าคา ๘ กำ ที่โสตถิยมานพนำมาถวาย แล้วเสด็จไปสู่ไม้มหาโพธิพฤกษ์ ชื่อ “กากะทิง” ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระวรกายของพระองค์สูง ๘๘ ศอก มีพระฉัพพัณณรังสีจากพระวรกาย ทำให้สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน คนทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดด้วยพุทธานุภาพ ในสมัยพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ ทรงตรัสพยากรณ์พระอชิตภิกษุว่า จะเป็นพระศรีอริยเมตไตรย์ในอนาคตข้างหน้าในมหาภัทรกัปนี้ พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ได้ทูลถามถึงบุญบารมีที่พระศรีอริยเมตไตรย์ได้บำเพ็ญ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัสพยากรณ์ถึงอดีตชาติของพระศรีอริยเมตไตรย เมื่อครั้งเสวยชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรพรรดิแห่งอินทปัตถนคร ในสมัยของพระสิริมัตตพุทธเจ้า วันหนึ่งได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมัตตพุทธเจ้า จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม แม้ทรงลำบากพระวรกายก็ไม่ทรงท้อถอย พระพุทธเจ้าเนรมิตเพศเป็นมานพน้อย เนรมิตรถเสด็จออกไปรับพระโพธิสัตว์มาสู่บุพพาราม พระโพธิสัตว์ได้ถวายศีรษะของพระองค์แด่พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์ จุติไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ด้วยอานิสงส์บารมี จึงทำให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 08, 2014, 10:29:53 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1979492_672426349481300_164035401_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 08, 2014, 10:38:21 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10246322_283710381788422_6301561393147478586_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 10, 2014, 02:23:51 PM


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1013867_565528323564419_6797526041448715793_n.jpg)


ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยกระตือรือร้น และค่อนข้างขี้เกียจ
ทุกๆเช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่าง แทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นล่ะ เจี๊ยบถึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที ..

"คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น .. "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้ 1 นาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นแล้วแกจะรู้สึก" ...

การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน .. และการทำโทษให้วิ่งรอบสนามก็ไม่ได้ทำให้เจี๊ยบจดจำเลยแม้แต่น้อย .. เขากล้าต่อรองเวลาแม้แต่กับครู ?? ..

"ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วเจี๊ยบ" ครูร้องเตือนเมื่อเห็นเจี๊ยบยังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในสนามหญ้า .. ทั้งๆที่ออดเรียกเข้าชั้นเรียนดังไปพักหนึ่งแล้ว ..

"ขออีก 1 นาทีครับครู" .. เจี๊ยบบอกโดยไม่ทุกข์ร้อน

วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน .. เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย .. แต่พอรุ่งเช้า เจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที.. ขออีก 1 นาที" ตลอด .. ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว .. เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยาก ...

สักพักเจี๊ยบ ก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน .. เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า

"แม่ล่ะครับพ่อ"
"แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก
"อ้าว ทำไมแม่ไม่รอผม" เจี๊ยบร้อง เขาอยากไปบ้านสวนของยายมาก ..

"แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอก็ทำให้แม่ตกรถได้ .. นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปสายรถประจำ.. แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่ ...

"แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอก

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ .. เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง .. จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของพ่อซีดขาวราวกับกระดาษ (゚ ロ゚ ;)a

"รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" .. พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน (;ノ゚Д゚)ノ .. เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้ง ..

ทันทีที่สองพ่อลูก ไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน .. แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป ..

"แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก ... บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น .. (。>д<)a

"แม่ แม่ .. ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" .. เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่เขาต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่" ...

พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบ ซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้" !!! ..

คำพูดนั้น ทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่า เขาอาจจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีก ..

"เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า "ผมรักแม่ " ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา ... แต่ไม่มีใครฟัง

พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัด .. และหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า .. "แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่าตัด"

เจี๊ยบมารู้อีกในภายหลังว่า "รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ" คนๆนั้นอยากได้เงินมาก ๆ แต่ไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุ ...

พ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด .. แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตัวเอง .. เพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงได .. เพราะ "1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่"

ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น .. กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริงๆ เขากลับ "ไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่" .. ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ำไป ... ไม่มีเลย (T ^ T)
______________________________________

* บทสรุปของผู้แต่ง
- เงยหน้ามองเข็มวินาทีอันเล็กๆ ที่เดินอยู่ในนาฬิกาสิ .. นั่นล่ะ คือ เวลาในชีวิตของเรา

ทันทีที่คุณคิดว่า "เดี๋ยว ขอเวลาอีกหน่อย" หรือ "เดี๋ยว เอาไว้ทำวันหลัง" .. รู้ไว้เลยว่า คุณกำลังสูญเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตไปมากมาย .. คนที่ตื่นตั้งแต่เช้ามาทำงานย่อมทำงานได้มากกว่าคนนอนตื่นสายอย่างไม่ต้องสงสัย .. เด็กที่ทำการบ้านเสร็จมาจากโรงเรียนก็ได้วิ่งเล่นในตอนเย็นกับเพื่อนๆ อย่างเต็มที่ .. คนที่รู้คุณค่าของเวลามักได้เปรียบคนอื่นและเสียสิ่งดีๆ ในชีวิตไปน้อยมาก .. แน่นอนว่า ชีวิตของคนแบบนี้ย่อมเปรมไปด้วยความสุขสมหวัง

เข็มวินาทีเดินเร็วกว่าจังหวะการหายใจอีก .. ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนั้น มักมีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และบางทีก็เกิดขึ้นเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทัน .. เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่า "พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร" แต่ถ้าวันนี้เราไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่พูดว่า "เดี๋ยว" และใช้เวลาอย่างคุ้มค่า .. ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร เราก็ไม่กลัวที่จะรับมือกับมัน .. และไม่ต้องตั้งคำถามที่ไร้ประโยชน์ในภายหลังว่า "เมื่อวานเรามัวทำอะไรอยู่" ...
______________________________________

https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1013867_565528323564419_6797526041448715793_n.jpgขอขอบคุณ "ชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" .



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2014, 09:59:42 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10259729_506324206145806_240239586937222498_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10151851_461374913993636_88079850611341168_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10178074_10152451714907028_8685562354050634661_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2014, 10:00:25 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10001517_503688643076029_2604655830866662007_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2014, 10:02:00 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/t1.0-9/10015010_1489678854594314_5018596557177239974_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/p75x225/10150699_1425394927716459_3583252445867968731_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 18, 2014, 10:23:27 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1461561_10202936538486278_283863655608491277_n.jpg)

"อานิสงส์การปล่อยสัตว์ให้รอดชีวิต"

ถาม : ตอนนี้มีเคราะห์กรรมเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องทำบุญอะไรที่ว่ามีอานิสงส์สูงมากเพื่อที่จะให้เจ้ากรรมนายเวร ?

ตอบ : คืออันนี้จริงๆ มันไม่ใช่ว่าทำบุญที่มีอานิสงส์สูง แต่ว่าทำให้ถูก คือว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนใหญ่ เป็นเศษกรรมปาณาติบาต คือ การเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์มาก่อนในอดีต อันนี้ต้องใช้ชีวิตให้เขาอย่างเช่นว่า ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่ที่เขาจะฆ่า ต้องเป็นที่ๆ เขาจะฆ่ากินด้วยนะ หรือไม่ก็จะทำร้ายที่ให้มันถึงแก่ชีวิตพวกนั้น เราช่วยให้เขารอดชีวิตไปได้ กุศลตัวนี้จะไปบรรเทาเบาบางกรรมตัวนั้นได้เยอะ

อาตมาเองสมัยเป็นฆราวาสมันป่วยเรียกว่าหัวอาทิตย์ถึงท้ายอาทิตย์เลย แล้ววันหนึ่งหลวงพ่อก็แนะนำให้ว่า แกเองเป็นทหารมาทุกชาติฆ่าเขาไว้เยอะ เศษกรรมตัวนี้จะทำให้ป่วยบ่อย แกควรจะไปปล่อยปลาเดือนละตัวสองตัวก็ได้ เป็นปลาที่เขาจะขายเพื่อฆ่าแล้วจะไปทำอาหาร

ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับการปล่อยปลามันเป็นการต่ออายุไม่ใช่หรือครับ ? ผมเองไม่อยากจะอยู่แล้วจะไปปล่อยทำไม ท่านบอกว่าแกอย่าเพิ่งเข้าใจผิดอย่างนั้น การปล่อยปลาจะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่ออุปฆาตกรรม คือ กรรมที่เราเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตมันตามทันมาช่วงนั้นจะมาตัดรอนชีวิตของเราลง ถ้าอย่างนั้นการปล่อยชีวิตเขาก็จะเป็นการต่ออายุของเรา

แต่ถ้าหากว่าในช่วงนั้นไม่มีอุปฆาตกรรมเราเองได้ปล่อยชีวิตเขาให้รอดไป ให้ได้รับความสุข ให้ได้รับความสะดวกสบาย ต่อไปทำอะไรก็สบายก็ง่ายไปหมด เลยปล่อยมาเรื่อย ๆ จะ ๒๐ ปีเต็มอยู่แล้ว ปล่อยทุกเดือนๆ ละเยอะๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ค้าก็ยืดคอรอแล้ว ...(หัวเราะ)...

เดือนหนึ่งหลายพัน บางทีถึงเจ็ดแปดพัน ถ้าปล่อยวัวด้วยก็ตัวละหมื่นกว่า ปล่อยวัวนี่ชอบใจของมูลนิธิ...(ไม่ชัด)...ก็มีสัญญากันว่าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้ดีแล้วก็ห้ามขายห้ามฆ่า ยกเว้นว่าแก่ตายเอง

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 18, 2014, 10:34:11 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10150661_10202936532006116_314712668182522253_n.jpg)

ว่าด้วยพระพุทธเจ้าไม่รับคำด่าของพราหมณ์

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวันอันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์.

อักโกสกภารทวาชพรหมณ์ได้สดับมาว่า ได้ยินว่า พราหมณภารทวาช-โคตรออกจากเรือบวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระสมณโคดมแล้ว ดังนี้ ก็โกรธ ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอันหยาบคาย มิใช่ของสัตบุรุษ.

เมื่ออักโกสกภารทวาชพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน มิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกของท่าน ย่อมมาบ้างไหม.

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ตอบว่า พระโคดมผู้เจริญ มิตรและ
อำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกของข้าพระองค์ย่อมมาเป็นบางคราว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านจัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับมิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างหรือไม่.

อ. พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์จัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับมิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างในบางคราว.

พ. ดูก่อนพราหมณ์ ก็ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับ ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้นจะเป็นของใคร.

อ. พระโคดมผู้เจริญ ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับ ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้น ก็เป็นของข้าพระอย่างเดิม.

พ. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่ ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับเรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้น ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นก็เป็นของท่านผู้เดียว แล้วตรัสต่อไปว่า ดูก่อนพราหมณ์ ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่ หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่ ดูก่อนพราหมณ์ ผู้นี้เรากล่าวว่าย่อมบริโภคด้วยกัน ย่อมการทำตอบกัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้เดียว ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้เดียว.

อ. บริษัทพร้อมด้วยพระราชา ย่อมทราบพระโคดมผู้เจริญ อย่างนี้ว่าพระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระโคดมผู้เจริญจึงยังโกรธอยู่เล่า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ผู้ไม่โกรธ ฝึกฝนตนแล้ว มีความเป็น
อยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ชอบ
สงบ คงที่อยู่ ความโกรธจักมีมาแต่ที่ไหน
ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็น
ผู้ลามก กว่าบุคคลนั้นแหละ เพราะการ
โกรธตอบนั้น บุคคลไม่โกรธตอบบุคคล
ผู้โกรธแล้ว ชื่อว่า ย่อมชนะสงครามอัน
บุคคลชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธ
แล้วเป็นผู้มีสติสงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อม
ประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือ แก่
ตนและแก่บุคคลอื่น เมื่อผู้นั้นรักษา ประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย คือ ของตนและของบุคคลอื่น ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดใน
ธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลาดังนี้.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเจ้าอย่างนี้แล้ว อักโกสกภารทาวชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า าแต่พระโคดมผู้เจริญ

ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก

เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุย่อมเห็นรูปฉฉะนั้น

ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ.

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้ว ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ท่านอักโกสกภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นานแล หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษยอดเยี่ยม เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ ด้วยปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้เข้าถึงอยู่ ได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แหละ ท่านพระอักโกสกภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ดังนี้แล.

จบอักโกสกสูตร


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 04:50:06 PM


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10296560_1504659729756015_2556512823125269822_n.jpg)

"""""อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันวันตาย""""

มีเรื่องมาเล่า..
"แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำทุกวัน...
คืนหนึ่งหลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน พอแม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราปกติ ที่โต๊ะอาหารแม่วางจานที่มีปลาทูที่ไหม้เกรียม บนโต๊ะต่อหน้าพ่อและทุกๆคน....
ผมรอว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร.....
แต่...พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตา กินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
คืนนั้นหลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้...
....และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบปลาทูทอดเกรียมๆ ...อร่อยมากนะแม่"

คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจ ก่อนนอน และถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ"
พ่อลูบหัวผม และ ตอบว่า...."แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดที่ต่อว่ากันต่างหากที่จะทำร้ายกัน"

"#ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ #และแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ #ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ"

"พ่อเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยลืมวันเกิดแม่ วันครบรอบวันแต่งงาน และ
แม้แต่พ่อเองยังเคยลืม ทำบุญวันเกิดของพ่อและแม่ของพ่อเองตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เลย”
แต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้ ในช่วงชีวิตคือ.....การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และของตัวเอง
การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและยืนยาว

“ชีวิตเราสั้นเกินกว่า ที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรา ให้ดูแลและทะนุถนอมคนที่รักเรา และพยายามเข้าใจและให้อภัยจะดีกว่า"

****#ถ้าเรารู้เราจะทำไหม?***

• เราจะบีบแตรใส่คนที่ยืนยึกยักริมถนนแยกที่ผ่านมาไม๊ – ถ้าเรารู้ว่าเค้าใส่ ขาเทียม
• เราจะเบียดชนคนข้างหน้าที่เดินช้ามากไม๊ – ถ้าเรารู้ว่าเค้าเพิ่งตกงาน
• เราจะขำคนที่แต่งตัวเชยไม๊ – ถ้าเรารู้ว่าเค้ามีชุดเก่งแค่ชุดเดียว
• เราจะรำคาญสาวโรงงานที่มาเดินพารากอนไม๊ – ถ้าเรารู้ว่านั่นคือการฉลองวันเกิดของเธอ
• เราจะหมั่นไส้ลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่นคนนั้นไม๊ – ถ้ารู้ว่าแกเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
• เรารู้แจ่มชัดเสมอ…ว่าชีวิตเรากำลังเจออะไร
แต่เราไม่มีวันรู้ว่า "คนที่เราเจอ – กำลังเจอกับอะไร"

**โลกกว้างกว่าเงาของเรา และโลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา

**มองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆไปบ้าง ให้โอกาสและให้อภัย มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะได้รักและอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน ยาวนาน.....


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 04:58:27 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/s526x395/1491715_516673228442365_7734935372551972982_n.jpg)


พระไตรปิฎก ภาษาไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย
ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
**************************
การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไปเราแสวงหานายช่างเรือนอยู่ เมื่อยังไม่ประสบ แล่นไปแล้วสู่สงสารมีชาติไม่น้อยความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป แน่ะนายช่างเรือน บัดนี้เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้องสร้างเรือนอีก ซี่โครงของท่านทั้งหมดเราหักแล้ว ยอดเรือนเราขจัดเสียแล้ว
จิตของเราถึงแล้วซึ่งนิพพานอันปราศจากสังขาร เราบรรลุความสิ้นแห่งตัณหาแล้ว คนพาลทั้งหลายไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวเป็นหนุ่ม ย่อมซบเซา เหมือนนกกะเรียนแก่ ซบเซาอยู่บนเปือกตม ซึ่งสิ้นปลาแล้ว ฉะนั้น คนพาลทั้งหลายไม่ประพฤติ
พรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวเป็นหนุ่มย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่าเหมือนลูกศรสิ้นไปแล้วจากแล่ง ฉะนั้น ฯชราวรรคที่ ๑๑


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:27:19 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10155279_1418203398448065_1166400802704625459_n.jpg)



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 29, 2014, 12:44:29 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1911763_733069536744791_3427227035548741147_n.jpg)
หลวงปู่พุทธะอิสระ กับ โยมแม่
cr เกาะติดชาวสวนยาง


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 30, 2014, 11:05:27 AM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10329311_308335065990998_7193985836060854855_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 02, 2014, 10:38:56 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/251839_362188560518580_1146420079_n.jpg)


เหตุการณ์จริง ที่เตือนสติ
แนะนำให้อ่านครับ ใช้เวลาไม่กี่นาที คุณได้กำไรชีวิตมากมายเลย อย่าลืมแชร์สิ่งดีๆเหล่านี้ให้แก่คนที่คุณรักนะครับ...ขอบคุณครับ (^_^)~
---------------------------------------
...ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะ
มาเรียนที่อเมริกา
เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู
ว่าสะอาดจริงมั้ย
กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย
มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย
ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ
เขียนไว้สามแผน
แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง
แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย
แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา
มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง
แกมีทุกอย่าง
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย
ลูกเมียไปขอพบ
บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต
วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง
ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป
ภรรยาพาเข้าโรงบาล
ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย
จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน
บันทึกชีวิตแก
ก่อนจะเสียชีวิต
แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่
กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่า ...
เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

1...ปริญญาใบที่หนึ่ง ....
"ปริญญาวิชาชีพ"
เราจะต้องทำมาหากินเป็น
กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้
อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง
แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

2...แต่"ปริญญาวิชาชีวิต" ..
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก
เพราะอะไร
เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง
บ้าน รถ
มอบมันให้กับลูกและภรรยา
แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

...นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ...
ธรรมะเราจะต้องมี
ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง
ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี
ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว
อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
แต่ละวันควรจะมี
ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต
ดูใจตัวเอง
ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์
มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้
เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ
เพื่อที่ว่าอะไร
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต
หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง
มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง
คือวิชาธรรมะ
สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป
ทำอะไรให้พอดี
พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว
อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด
และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี
เพราะอะไร
เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า..
ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด
บางคนก็ตอบเงิน
บางคนก็ตอบเพชร
บางคนก็ตอบทอง
บางคนก็ตอบอำนาจ
บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่
สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต..
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย
คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ
และก็ชีวิตของเรา

หากบุญกุศลอันใดจะเกิดได้จากการเผยแพร่เรื่องราว ผู้บันทึกก็ขอให้กุศลผลบุญนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเพื่อปัญญาของเพื่อนผู้ร่วมวัฏฏะทุกท่าน และขอให้ ดร.อนุวัฒน์ ไม่ว่าจะไปอยู่ภพไหนหนใดก็ขอให้มีปัญญาเท่าทันต้นเหตุแห่งทุกข์เช่นที่ท่าน ได้ถ่ายทอดเรื่องราวเตือนสติผู้อื่นไว้...
...ขอขอบพระคุณในข้อคิดดีดี...


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:30:04 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1511408_294267434064737_638716146482122787_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:34:20 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10252029_1450994321811980_3411535238299781814_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:34:49 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10300322_1430229120565324_8294328343189477140_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:58:18 PM

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10169353_291776297654804_3117669582299194316_n.jpg)

ก็มีแต่คนไม่ฉลาดเท่านั้นแหละ
ถึงไม่รู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มีดีอะไร

พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (ถ้ำพวง) อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 02:04:18 PM



(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10012469_687725264618075_2024987730453255276_n.jpg)

ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน
หลวงพ่อปราโมทย์: ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา ถ้าไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความคิดนะ กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เนี่ย พอเราเห็นซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นะ ถึงจุดหนึ่งจิตมันจะรวมเข้ามา มันจะเข้าสมาธิ รวมเอง ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จิตมี ปีติ สุข เอกัคคตา มีวิตกวิจารณ์คือการตรึกถึงอารมณ์ การตรองเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้น อารมณ์อะไร อารมณ์นิพพาน จิตจะรวมเข้ามานะ ขั้นแรกพอรวมเข้ามาปั๊บ มันจะเห็นสภาวธรรม อะไรก็ไม่รู้ นะ ไม่รู้ว่าคืออะไร นะ ถ้ายังรู้ว่าคืออะไรนี่ยังเจือด้วยสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ของจริง จิตจะเห็นสภาวธรรมบางอย่าง เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ขึ้นมา บางคนเห็นสองครั้ง บางคนเห็นสามครั้ง
เห็นสองทีเนี่ย จิตก็วางการรับรู้อารมณ์นั้นแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ทวนกระแสเข้ากลับมาหาธาตุรู้ จากนั้นสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังธาตุรู้ไว้ จะถูกแหวกถูกทำลายออกชั่วขณะ จะแหวกออก จิตที่เป็นอิสระล้วนๆเลยที่สัมผัสกับธรรมะคือนิพพานล้วนๆเลยจะปรากฎขึ้นมา
เสร็จแล้วจิตจะถอยออกมานะ ตรงนี้ไม่มีคำพูดนะ แว้บเดียวเอง แต่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พร้อมอยู่ตรงนี้เลย พอถอยออกมากลับมาสู่โลกภายนอก จิตจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่า อ้อ..เมื่อตะกี้นี้เกิดอริยมรรคขึ้นแล้ว สังโยชน์เบื้องต้นถูกละไปแล้ว ความเห็นผิดถูกละไปแล้ว กายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ดูยังไงก็ไม่เป็นเราอีกต่อไปแล้ว จะละความเห็นผิดได้ จะหมดความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรายังลังเล รู้สึกมั้ย ฝึกๆไปช่วงหนึ่งก็รู้สึก เอ้อ.. จริง ไม่จริงว้า.. จริง ไม่จริงว้า.. อั้นนั้นเป็นธรรมชาตินะ ต้องมี ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่มี
หรือเราเคยงมงาย เห็นว่าต้องปฎิบัติอย่างนี้แล้วจะดี ปฏิบัติแล้วจะดี ต้องทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี จะหมดความงมงายอย่างนี้เลย รู้แต่ว่ามีแต่การเจริญสติรู้กายรู้ใจทางสายเดียว ทางสายเอก มีอันนี้อันเดียว ไม่มีอันอื่นอีกแล้ว เนี่ย พระโสดาบันละสิ่งเหล่านี้ได้ ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยได้ ละการถือศีลบำเพ็ญพรตแบบงมงาย ลูบๆคลำๆ ว่าทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี รู้แล้วว่าไม่มีทางอื่นเลยนอกจากการมีสติรู้กายรู้ใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง
เพราะฉะนั้นเวลาที่บรรลุพระโสดาบันไม่ใช่จิตดับนะ ทุกวันนี้มีคำสอนเรื่องจิตดับมากมาย คิดว่าภาวนาไปเรื่อย กำหนดไปเรื่อยนะ อย่างจะหยิบอะไรสักอันหนึ่ง กำหนดไปเรื่อยให้จิตมันแนบอยู่ที่มือเนี่ย เพ่งมากๆนะ จิตจะดับลงไป จิตดับแล้วสำคัญมั่นหมายว่าบรรลุธรรมแล้ว ดับ ๔ หน ก็เป็นพระอรหันต์นะ ออกมาจากพระอรหันต์ก็มาทะเลาะกับเมียเหมือนเดิมแหละ นะ ละกิเลสไม่ได้จริง
ในขณะที่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน มีจิตนะ ไม่ใช่ไม่มีจิต ขณะที่บรรลุอริยมรรค นะ ก็มี มรรคจิต ขณะที่บรรลุอริยผล มีผลจิต มรรคจิตมี ๔ ดวง ผลจิตอีก ๔ ดวง นี่เรียก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คนโบราณชอบพูด
ถ้าพูดอย่างละเอียด ก็มี ๒๐ อย่างละ ๒๐ เพราะว่ามันเจือด้วยฌานเข้าไปในแต่ละชนิด ฌานมันไม่เท่ากัน มีฌาน ๕ อย่าง เพราะฉะนั้นจิตที่บรรลุมรรคผลเนี่ย รวมแล้วมีจิตตั้ง ๔๐ ดวงแหน่ะ ทีนี้พวกเรารุ่นหลังๆนะ เชื่อคำสอนของอาจารย์มากไป เลยคิดว่าเวลาบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตดับวูบลงไปหมดสติ พอรู้สึกตัวขึ้นใหม่ บอกบรรลุไปแล้ว ตรงที่จิตดับลงไปนั้น คือ อสัญญสัตตาภูมิ คือ พรหมลูกฟักนะ
มีองค์หนึ่งท่านเล่น เมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านอนุสรณ์ เนี่ย ท่านลองเล่นๆของท่านนะ ดับปั๊บเลย และท่านรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ เพราะมันขาดสติ ออกมาแล้วไม่เห็นจะละกิเลสอะไรเลย ดับไปเฉยๆ ฝึกไม่กี่วันก็เป็นแล้ว นี่คือการเพ่งกาย เพ่งกายแล้วลืมจิต จนจิตดับลงไป เหลือแต่กายอันเดียวล้วนๆ
เพราะฉะนั้นเวลาบรรลุมรรคผลนิพพานมีจิต ไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่มีจิตแล้วใครจะรู้นิพพาน นิพพานเป็นอารมณ์นะ มีอารมณ์ต้องมีจิต เป็นกฎนะ กฏของธรรมะ ชื่อภาษาแขกเพราะๆเรียกว่า “ธรรมนิยาม” กฎของธรรมะ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 02:05:28 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10276036_687725107951424_5215020303857570192_n.jpg)


" เมื่อเห็นทางแล้ว ต้องทําด้วยตนเอง "

เมื่อทุกคนเห็นทางแล้ว การจะพบธรรมะอันวิเศษแจ้งแก่ใจตนเองได้นั้น ต้องลองปฏิบัติเอง ซึ้งจะเป็นเส้นทางเดินเฉพาะของตนเอง เพราะแต่ละท่านมีจริตสะสมมาไม่เหมือนกัน ในการปฏิบัติจริงๆนั้นยังมีรายละเอียดย่อยที่ต้องไปปรับไปสัมผัสให้เข้าและตรงกับจริตตนเอง เช่นบางคนต้องเจริญปัญญาถึงดี หรือบางคนต้องเพียรสมถะทําสมาธิเพื่อให้ไม่วอกแวก ซึ้งก็มากน้อยหรือไม่ต้องทํา แตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงบอกทางไว้แล้ว แต่เวลาที่จะเดินข้ามไปต้องเดินไปด้วยตนเอง แล้วจะเดินยังไงให้เหมาะกับตนเองหรือจะวิ่งหรือจะพกอุปกรณ์ช่วยอะไร นั้นคือสิ่งที่แต่ละคนต้องไปปรับกันเอง การปฏิบัติถึงจะก้าวหน้าได้เร็วครับ การถามกับผู้สอนไม่สามารถจะช่วยอะไรตรงนี้ได้มากนั้น ตนเองจะเป็นคนที่พาตนเองไปให้พ้นได้เองครับ พระพุทธเจ้าเองยังไม่สามารถช่วยให้พระอานนท์ได้เป็นพระอรหันต์หรือได้นิพพานเลย พระอานนท์รู้ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทั้งหมดแล้ว แต่จะพ้นได้พระอานนท์ต้องกระทําด้วยตนเองที่พอเหมาะกับจริตของตนเอง จึงพ้นได้เองครับ และในกรณีนี้ใครที่บอกว่าพาไปนิพพานไปหาพระพุทธเจ้าได้ ก็ไปคิดเอาเองนะครับ เพราะพระพุทธเจ้าเองยังทําให้คนอื่นไม่ได้เลย ต้องทําด้วยตนเองจึงไปนิพพานได้เองครับ พ้นของตนเองไม่ใช่พ้นของคนอื่นครับ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 04:20:56 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1.0-9/10320548_617103738358689_4551673449002182453_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 08:59:37 PM
กรรมที่เคยเจ้าชู้

เรื่องมีอยู่ว่า พระเถรีรูปนี้ท่านระลึกชาติไปดูพบว่า ท่านเคยสร้างบารมีมาในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ หลายพระองค์ทีเดียว และเคยเกิดเป็นผู้ชายมาแล้วหลายภพหลายชาติ ได้เคยสั่งสมบุญกุศลที่เป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาตลอด

ครั้นพอมาถึงใน ๗ ชาติสุดท้าย ท่านได้เกิดในนครเอรกัจฉะ เป็นลูกชายนายช่างทอง มีสมบัติมาก และถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ คือมีรูปร่างหน้าตาดี จึงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งหลาย ลูกชายช่างทองได้ประพฤติผิดในกาม เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ครั้นละโลกไปแล้ว ทำให้ไปบังเกิดในนรก ต้องหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นยาวนาน

พอพ้นจากอัตภาพของสัตว์นรกแล้ว บุญที่เคยทำเอาไว้ในอดีต ได้พยุงท่านให้มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๓ ชาติ คือได้เกิดเป็นลูกวานร พอคลอดได้เพียง ๗ วันเท่านั้น วานรจ่าฝูงก็กัดอวัยวะเพศของลูกวานรทิ้ง กลายเป็นลิงตอนตลอดชาติ นี่ก็เป็นเพราะผลกรรมของความเจ้าชู้มาก่อน

ครั้นจุติจากกำเนิดวานร ก็ไปเข้าท้องของแม่แพระตาบอดและเป็นง่อย มีความเป็นอยู่ลำบากมาก พวกเด็กๆ ได้ชักชวนกันมาเล่นขี่หลังแพะตัวนี้ และเพราะกรรมที่เคยเจ้าชู้นั่นเอง ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ของแพะเป็นโรคมีหนองไหล ได้รับทุกข์ทรมานมาก จึงเป็นอวัยวะใช้การไม่ได้จนตลอดชีวิต

ชาติถัดมาก็ได้มาเกิดในกำเนิดโคของพ่อค้าโค เป็นลูกโคขนแดงเหมือนสีน้ำครั่ง ได้รูปทรงสมส่วน และเป็นที่ดึงดูดใจของโคตัวเมียทั้งหลาย ทำให้ถูกตอนตั้งแต่ยังไม่โตเป็นโคหนุ่ม จากนั้นก็ถูกใช้ให้ลากไถและลากเกวียนทำงานหนักจนตาบอด

พอจุติจากกำเนิดโคแล้ว ชาติที ๕ ได้ไปเกิดเป็นลูกของนางทาสีเป็นหญิงก็ไม่ใช่ เป็นชายก็ไม่เชิง คือเกิดเป็นกะเทยนั่นเอง ได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากสังคมในยุคนั้นมาก และก็ไม่เป็นที่รักของคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นชีวิตจึงพบแต่ความทุกข์ตรมระทมใจมาโดยตลอด จะรักชายหนุ่ม เขาก็ไม่รัก จะคบกับหญิง เพื่อนหญิงก็หวาดระแวง พออายุได้ ๓๐ ปี ก็ล้มป่วยตาย

จากนั้นในชาติที่ ๖ ได้มาเกิดเป็นเด็กผู้หญิงในตระกูลช่างทำเกวียนเข็ญใจ ถูกเจ้าหนี้มารุมทวงหนี้ทุกวัน เมื่อหนี้สินพอกพูนมากขึ้น นายกองเกวียนก็ริบสมบัติ พร้อมกับเอาลูกสาวไปเป็นคนรับใช้ที่บ้าน ลูกชายของนายกอดเกวียน ชื่อคิริทาส เห็นนางซึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่นอายุ ๑๖ ปี ก็มีจิตปฏิพัทธ์ ขอไปเป็นภรรยาน้อย

เมื่อนางไปเป็นภรรยาน้อยของเขาแล้ว ได้พูดยุยงให้สามีแยกทางกับภรรยาหลวง จนกระทั่งภรรยาหลวงต้องแยกทางกับสามี ทั้งที่จริงแล้วภรรยาหลวงเป็นคนมีศีล มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ต่อสามี การที่นางพูดยุยงให้เขาแตกกัน จึงเป็นการสร้างกรรมใหม่

พอมาถึงสมัยพุทธกาล ก็ได้ไปบังเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงอุชเชนี นางมีชื่อว่า อิสิทาสี ได้รับยกย่องว่าเป็นคนที่มีศีลมีธรรม เมื่อเติบโตเป็นสาวได้แต่งงานกับลูกเศรษฐีที่มีสมบัติทัดเทียมกัน เมื่อมีสามีแล้ว นางก็ตั้งใจทำหน้าที่เป็นศรีภรรยาเคารพสามีประดุจเทวดา เป็นคนไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่คิดนอกใจสามีเลย แต่เพราะกรรมเจ้าชู้ และด้วยกรรมที่ทำให้สามีภรรยาเขาแยกทางกันนั่นเอง บีบคั้นให้สามีเกิดความเบื่อหน่าย อยู่ร่วมกันได้เพียงเดือนเดียว สามีก็บอกให้นางกลับไปอยู่บ้านตามเดิม

พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกสาวเป็นหม้าย ก็เลยให้แต่งงงานครั้งที่สองกับคนฐานะปานกลาง นางก็ไม่รังเกียจ ตั้งใจทำหน้าที่ศรีภรรยา ปรนนิบัติดูแลสามีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ไม่เป็นที่รักของสามีเหมือนเดิม ถึงแม้ว่านางจะเป็นที่รักของพ่อแม่สามีและคนในบ้านก็ตาม แต่เมื่อไม่ถูกใจสามีเสียแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่เป็นหม้ายสาวตามเดิม

บิดาของนางเห็นว่า ถ้าให้ลูกสาวแต่งงงานกับคนที่ยากจนเข็ญใจ ลูกเขยคนใหม่นี้ไม่น่าจะทอดทิ้งนาง จึงไปหาหนุ่มขอทานหน้าตาดีมาเป็นเขย หนุ่มขอทานคนนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพราะอยู่ดีๆ ก็มีเศรษฐีมาขอร้องให้ไปเป็นลูกเขย เหมือนหนูตกถังข้าวสาร โชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เสียอีก

พอได้ไปอยู่กับลูกสาวเศรษฐี อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาเพียงครึ่งเดือนก็เกิดความเบื่อหน่ายอีกแล้ว นี่เป็นเพราะกรรมที่นางเคยทำให้สามีเขาทะเลาะและแยกทางกัน ในที่สุดหนุ่มขอทานก็ขอแยกทางกลับไปเป็นขอทานเหมือนเดิม

ลูกสาวเศรษฐีมีความรู้สึกละอายใจมาก ที่นางแต่งงานมาถึง ๓ ครั้งแล้ว แต่ต้องถูกทอดทิ้งในระยะเวลาอันสั้นทุกครั้งไป และด้วยบุญที่นางสั่งสมมาดีในภพชาติอดีต ทำให้นางปรึกษากับพ่อว่าจะออกบวชเป็นภิกษุณี แต่พ่อกลัวลูกสาวจะลำบาก เลยแนะนำว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นคฤหัสถ์ก็สามารถประพฤติธรรมได้ ลูกจงเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำเถิด ไม่ต้องบวชก็ได้”

นางให้เหตุผลแก่พ่อว่า “ความจริงลูกก็ทำบาปมามากแล้ว ลูกจะชำระบาปนั้นให้เสร็จสิ้นไปเสียที”

บิดาเมื่อเห็นความตั้งใจจริงที่จะออกบวชให้ได้ของลูกสาวแล้ว ก็ไม่ขัดข้อง ได้อนุญาตและอวยพรว่า “ขอลูกจงบรรลุธรรมอันเลิศ และให้ได้พระนิพพานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำให้แจ้งแล้วเถิด”

เมื่อได้รับอนุญาตจากบิดาแล้ว นางก็ไปบวชในสำนักของภิกษุณี และด้วยบุญเก่าที่เคยสั่งสมมาในอดีต ครั้นบวชได้เพียง ๗ วัน ก็ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันตเถรี

เราจะเห็นว่า การประพฤติผิดในกาม นอกจากจะทำให้ไม่เป็นที่รักแล้ว ยังเป็นเหตุให้บาปอกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตได้ช่องตามมาส่งผลถึงในภพชาติปัจจุบันอีกด้วย ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบารมี ซึ่งกรรมบางอย่างที่แรงกล้ามากก็สามารถตามส่งผลถึงภพชาติสุดท้ายทีเดียว

เพราะฉะนั้นดีที่สุดอย่าไปสร้างบาปกรรมอีก ให้ตั้งใจสั่งสมแต่กรรมดี อย่าประมาทในชีวิต เพราะถ้าประมาทพลั้งเผลอ การดำเนินชีวิตมีสิทธิ์ผิดพลาด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอบาย ไม่พ้นวิบากกรรม ดีที่สุดต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมอันจะนำออกจากวัฏฏสงสารได้ บาปกรรมทั้งหลายจะได้ตามไม่ทัน ยิ่งถ้าหมดกิเลสก็หมดกรรม หยุดการเวียนว่ายตายเกิด สุดท้ายจะถึงซึ่งพระนิพพานได้ในที่สุด

ที่มา gconnex.com


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 06, 2014, 03:36:50 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/q71/s720x720/10346006_671698482866919_1260412738427769730_n.jpg)


หน้าที่ปลูก หน้าที่ตาย
มีครั้งหนึ่งสมัยก่อนองค์หลวงปู่ลี ได้นำพาลูกศิษย์ไปปลูกต้นไม้ไว้จำนวนมากมายถวายหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นที่รู้ดีกันว่าสภาพดินแถวนั้นไม่ค่อยเหมาะกับการปลูกต้นไม้ใหญ่ หรือไม้ยืนต้น ชาวบ้านจะนิยมทำนาปลูกข้าว ปทุมธานีไม่ค่อยมีสวนผลไม้ เพราะดินเปรี้ยว
สังเกตดูเวลาปลูกต้นสัก ต้นตะเคียน ฯลฯ พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งต้นไม้ก็ตาย สาเหตุเพราะรากมันลงไปถึงดินเปรี้ยว รากมันเน่าก็ตายหมดเลย ตายทุกปีทุกครั้ง ปลูกต้นไม้ไม่รู้กี่หนก็ตาย จากนั้นต่อมาองค์หลวงปู่ก็ไม่ได้ลดละความพยายาม ท่านก็ได้พาลูกศิษย์ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนลูกศิษย์ที่ติดตามไปช่วยปลูกต้นไม้เกิดความท้อใจและเกิดความสงสัยในใจ จึงได้ขอโอกาสกราบเรียนถามองค์หลวงปู่ลี เพื่อให้เกิดความกระจ่างว่า
ลูกศิษย์ : ปลูกไปแล้วก็ตาย ไม่ทราบจะปลูกทำไมครับผม
หลวงปู่ลี : หน้าที่ปลูกเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ตายเป็นหน้าที่ของต้นไม้
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
จากหนังสือ ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม
ณ ปัจจุบันวันนี้ องค์หลวงปู่ลี ในวัย ๙๑ ปี องค์ท่านก็ยังนำลูกหลานปลูกป่า ปลูกต้นไม้อยู่ตลอด โดยเฉพาะช่วงก่อนหน้าฝนจะมา


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 04:43:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash2/t1.0-9/302886_276121649191518_33057054_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1.0-9/s851x315/10268609_805974622765765_2945674527211321660_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/247091_276164905853859_945936781_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:14:49 PM
(http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/668923.jpeg)


พบหมู่บ้านถือศีล 5 กินมังสวิรัติทั้งหมู่บ้าน 10,000 หลังคาเรือน อยู่ที่ ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน ทั้งยังยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของ“ในหลวง” ในการใช้ชีวิต คณะสงฆ์ภาค 7 เตรียมเสนอ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ประกาศยกย่องเป็นหมู่บ้านต้นแบบการถือศีล 5

วันพุธ 7 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:52 น.


เมื่อวันที่ 7 พ.ค. พระธรรมคุณาภรณ์(พิมพ์ ญาณวีโร) เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร รองเจ้าคณะภาค 7 (เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน) กล่าวว่า จากการที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีนโยบายให้คณะสงฆ์ดำเนินการโครงการหมู่บ้านศีล 5 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ปฏิบัติศีล 5 อย่างจริงจัง เนื่องจากทุกวันนี้สังคม ประชาชนขาดศีลธรรม และเกิดความแตกแยก นั้น จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยอบรมประชาชน ประจำตำบล(อ.ป.ต.) ที่จ.ลำพูนและแม่ฮ่องสอน และตรวจเยี่ยมชุมชนร่วมกับพระเทพวรสิทธาจารย์ (ธงชัย สุวณฺณสิริ )เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร รองเจ้าคณะภาค 7 เมื่อช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ได้พบ หมู่บ้านที่น่าสนใจ คือ หมู่บ้านในตำบลนาทราย จำนวน 10 หมู่บ้าน รวมกว่า 10,000 หลังคาเรือน มีการรักษาศีล 5 โดยไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ไม่นำสัตว์มาเลี้ยงในหมู่บ้าน ไม่ดื่มสุรา ไม่เสพสิ่งเสพติดทุกชนิด ประกอบสัมมาอาชีพ และทำสวนทำไร่ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจว่า ยังมีหมู่บ้านเช่นนี้หลงเหลืออยู่ในประเทศไทย เพราะสังคมไทย ได้มีการพัฒนาไปมาก โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุ

พระธรรมคุณาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ชาวบ้านในทั้ง 10 หมู่บ้านดังกล่าว ทุกคนจะยึดหลักศีล 5 ในการดำรงชีวิต โดยทุกวันพระจะหยุดทำงาน แล้วพากันไปวัดปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิภาวนา ยังวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน นอกจากนี้ยังมีการจัดรายการท่องเที่ยวทางธรรม โดยมีกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ขับเคลื่อน ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานราชการ จนเกิดผลเป็นรูปธรรม

พระธรรมคุณาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้จากการสอบถามข้อมูลจากนายอุดม จันตาใหม่ นายอำเภอลี้ ทราบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าปอเกอญอในจ.ตาก และมาอยู่ที่นี่เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว โดยติดตามมากับครูบาชัยวงศาพัฒนา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งครูบาชัยวงศาพัฒนา ได้ชวนให้มาอยู่พร้อมกับมอบที่ดินให้ทำกินครอบครัวละ 1 ไร่ โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องรักษาศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งตอนแรกมีอยู่ไม่กี่ครัวเรือน จนมาถึงปัจจุบันมีมากถึง 10,000 ครัวเรือน ที่สำคัญชุมชนแห่งนี้ ไม่มีปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด มีแต่ความรัก สามัคคีกัน ดังนั้นตนจะนำเรื่องนี้รายงานยังสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อดำเนินการจะยกย่องให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบ หมู่บ้านศีล 5 เพื่อให้หมู่บ้านอื่นได้มาเรียนรู้วิธีการส่งเสริม ให้ประชาชนเข้าถึงศีล 5 และทำให้สังคมเกิดความสงบสุข

ด้านพระครูอุปถัมภ์ สังฆกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ในฐานะเจ้าคณะตำบลนาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่ต.นาทรายกลุ่มดังกล่าวทั้ง 10 หมู่บ้าน จะใช้ชื่อรวมกันว่าหมู่บ้านพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งมีความศรัทธาใน ครูบาชัยวงศาพัฒนา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาก และยึดถือแนวทางในการปฏิบัติการถือศีล 5 กินอาหารมังสวิรัตตามครูบาชัยวงศาพัฒนามาตั้งแต่ครูบาชัยวงศาพัฒนา ยังไม่มรณภาพ และแม้ว่าครูบาชัยวงศาพัฒนาจะมรณภาพไปแล้วกว่า 10 ปี ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวก็ยังถือแนวปฏิบัตินี้อยู่ โดยจะมีการคอยว่ากล่าวตักเตือนกันอยู่ตลอด และในหมู่บ้านจะไม่มีการเลี้ยงสัตว์ไว้กินเนื้อ เช่น หมู เป็ด ไก่ ซึ่งในแต่ละวันผู้ใหญ่บ้านทั้ง 10 หมู่บ้านจะมีการออกตรวจพื้นที่ในหมู่บ้านทุกวันด้วย


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 09, 2014, 03:55:07 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10314567_1490738101144757_8800701574962153035_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 09, 2014, 04:08:50 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10330269_10152036624310877_1953415710527401774_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10322713_10152034621595877_1978453002562217760_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10322713_10152034621595877_1978453002562217760_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10341768_10152034621360877_2038101858275708512_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1017753_10152034621280877_7254399626584976239_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10155308_10152034621045877_7539346297716965089_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/v/t1.0-9/10336830_10152034620665877_2529062876330166037_n.jpg?oh=db353e7dd8ffe755811888408512da6d&oe=53DBAEA6&__gda__=1407110424_6392344845fb95107656039850e08a34)



(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10174906_10152033711700877_8881346301360960888_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10177466_10152028906445877_7282577039938052192_n.jpg)


(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10172806_10152033711430877_2421003339449399015_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1017739_10152028906135877_4805400339419599311_n.jpg)

(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/t1.0-9/10345755_10152028906070877_2383504008024667027_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10312665_10152033711400877_3199245342345938724_n.jpg)


(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/1175594_10152033710955877_8932861439423099721_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10167995_10152028911785877_6809837929257293269_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10303777_10152028908120877_1129565847815340751_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10245402_10152028908100877_1491161532585820162_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10325389_10152028906655877_3956451757077142361_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10174938_10152028908150877_5401125660343846823_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1557696_10152028908050877_4931792600343913699_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1.0-9/10342004_10152028908035877_6811979591681725774_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10300324_10152028906615877_4096123552857399595_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/v/t1.0-9/1014476_10152017540410877_8419316091019531579_n.jpg?oh=5d486a085308663b0f59d2cd9a1fd54d&oe=53CCA406&__gda__=1405042887_68bfc8b1c54c7cb3660c9ebff345b931)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10247209_10152017540230877_1468903238770659001_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10314768_10152017540075877_7801476153097895549_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1.0-9/10320415_10152017538955877_988228761616572082_n.jpg)


(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10303742_10152017537305877_2414210561679907589_n.png)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 11, 2014, 09:50:55 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc1/t1.0-9/10155113_648702665219416_6872462937038703007_n.jpg)

ยายครับ,,,,,,,ยายยังขาดอะไรในชีวิต ครับ,,,,,,ยายตอบอย่างภาคภูมิใจ ยังขาดความทุกข์
ฝากพิจารณาอ่านครับ,,,,,ได้สาระอย่างมหาศาล

ชอบประโยคนี้จัง

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
"แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หาเลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้ ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธารหล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์ และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าวตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้ ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้

ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่ม ชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝายเวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเ ล่นเอาเหงื่อตก แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ
ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่
พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 11, 2014, 10:12:43 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10303179_10152040583090877_7991373505297071737_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10294269_10152040583030877_2079781450976278129_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10298888_10152040583035877_2147228203208488751_n.jpg)


(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/v/t1.0-9/10176088_10152040583380877_2914847058694296516_n.jpg?oh=12a404316b376d45c8f7d918a63e687b&oe=53F6E83D)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/v/t1.0-9/1511346_10152040583150877_569446110749867792_n.jpg?oh=f7e129db775b93eed4137c14ad78be53&oe=54005948&__gda__=1409386584_c9d0e3d694eca9f443c4806e4666b516)


(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/t1.0-9/1907317_10152040583230877_4088535071151034340_n.jpg)


(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10366197_10152040583375877_873029223716991317_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10300014_10152040583565877_7385473668794091666_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10338875_10152040583675877_5777324894452360186_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 11, 2014, 10:17:09 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10295666_1433659346890017_5906184760114442282_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/1948253_470095136469450_5367066837252515351_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10322726_1504632689764695_3566431244564594739_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 12, 2014, 10:02:30 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1391683_523943507715337_2235158313214393275_n.jpg)

+++มรณสติ+++
ภิกษุทั้งหลาย ! มรณสติ (การระลึกถึงความตาย) อันบุคคลเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่หยั่งลงสู่นิพพาน มีนิพพานเป็นที่สุด. พวกเธอเจริญมรณสติอยู่บ้างหรือ ?ภิกษุทั้งหลายกราบทูลตอบ และพระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า;ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุพวกที่เจริญมรณสติอย่างนี้ว่า“โอหนอ เราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงวันหนึ่ง คืนหนึ่ง...ดังนี้ก็ดี, เราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วเวลากลางวัน... ดังนี้ก็ดี, เราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะที่ฉันบิณฑบาตเสร็จมื้อหนึ่ง... ดังนี้ก็ดี, เราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะที่ฉันอาหารเสร็จเพียง ๔-๕ คำ เราพึงใส่ใจถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด การปฏิบัติตามคำสั่งสอนควรทำให้มากแล้วหนอ” ดังนี้ก็ดี,ภิกษุเหล่านี้ เราเรียกว่า ยังเป็นผู้ประมาทอยู่ยังเจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะช้าไป.
ภิกษุทั้งหลาย ! ฝ่ายภิกษุพวกที่เจริญมรณสติอย่างนี้ว่า “โอหนอ เราอาจจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะที่ฉันอาหารเสร็จเพียงคำเดียว” ดังนี้ก็ดี, ว่า “โอหนอ เราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะที่หายใจเข้า แล้วหายใจออกหรือชั่วขณะหายใจออกแล้วหายใจเข้า. เราพึงใส่ใจถึงคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด, การปฏิบัติตามคำสอนควรทำให้มากแล้วหนอ” ดังนี้ก็ดี;ภิกษุเหล่านี้ เราเรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว,เป็นผู้เจริญมรณสติเพื่อความสิ้นอาสวะอย่างแท้จริง.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจไว้ว่า“เราทั้งหลาย จักเป็นผู้ไม่ประมาทเป็นอยู่,จักเจริญมรณสติ เพื่อความสิ้นอาสวะอย่างแท้จริง”ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล.
***********************
อฏฺฐก. อํ. ๒๓/๓๒๗/๑๗๐


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 12, 2014, 10:15:14 PM
" สติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้ "
ญาติโยม เอ๋ยโปรดได้ทราบไว้เถอะ บุญกรรมมีจริง บาปกรรมมีจริง ยมบาลจดไม่มี จิตนี้เป็นผู้จด จดทุกวัน คืออารมณ์ เรื่องจริงแน่ จดทุกกระเบียดนิ้ว บาปบุญคุณโทษบันทึกเข้าไว้ พอวิญญาณออกจากร่างไป มันก็ขยายออกมาใช้กรรมไป ถ้าเราทำดี ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรกไปแบบนี้
อาตมามาคิดดูนะว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดินก็คงไม่ใช่ ดูตัวอย่างที่เคยเล่าให้ญาติโยมฟัง
ตาเล่งฮ่วย ผูกคอตาย วิญญาณไปเข้ายายเภา ยายเภาเป็นคนไทยแท้ ๆ เกิดพูดภาษาจีนได้ ตอนนั้นอาตมาอยู่วัดพรหมบุรี
มี คนมาตามอาตมาไป พอไปถึง ยายเภาพูดภาษาจีน เลยต้องให้เรือไปตามตาแป๊ะเลี่ยงเกี๊ยกไว้ผมเปีย เป็นลุงเขยอาตมาให้มาเป็นล่าม เขาบอกไม่ต้องไล่เขา เขาอยู่กับฮ่วยเซียเถ้า อยู่ตรงใกล้วัดพรหมบุรีนี่เอง
“ชื่อ หลวงตามด เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางพรหมนคร อยู่เหนือตลาดปากบางนี่เอง อยู่ด้วยกัน ๒ คน ขุดดินถมถนนทุกวัน ถ้าไม่ขุดดินเขาเฆี่ยนตี และฮ่วยเซียเถ้าก็ขุดดินด้วย”
อาตมาได้ถามคนเฒ่าคนแก่ชื่อ บัวเฮง อยู่ตลาดปากบาง บอกว่า ฮ่วยเซียเถ้ามีจริง ชื่อสมภารมด อยู่วัดกลางเป็นสมภารวัด จะสร้างถาวรวัตถุของวัด แต่เงินทองถูกมัคทายกโกงไปหมดไม่รู้จะทำอย่างไร เสียใจเลยผูกคอตาย
“อั๊วมาบอกให้ลื้อไปบอกหลานสาวอั๊วนะ ว่าทำบุญไปให้อั๊วไม่ได้นะ อย่าทำเลย”
“แล้วกินที่ไหนล่ะ”
“อั๊วกับฮ่วยเซียเถ้าไปกินตามกองขยะที่เขาเอาเศษอาหารมาทิ้ง กินกับหนอน”
“เอ้า! ที่ดี ๆ ทำไมไม่กินล่ะ”
“ไม่ มีใครให้กิน มีอีกพวกหนึ่งขุดถนนเหมือนกัน แต่เขามีข้าวกิน พวกอั๊วไม่มีข้าวกิน ต้องไปกินที่มันเหลือๆ จึงจะกินได้ ไปบอกหลานสาวอั๊วชื่อ “เจีย” นะ บอกว่าไม่ต้องทำบุญไปอั๊วไม่ได้ ถ้าลื้ออยากทำบุญให้อั๊วนะ ฮ่วยเซียเถ้ามดบอกกับอั๊ว บอกให้ลูกหลานเจริญวิปัสสนานะ และอั๊วจะได้”
อาตมาถามว่า “ลื้ออยู่วัดไหนล่ะ”
“อั๊วอยู่ตรงนี้เอง อั๊วเห็นลื้อทุกวัน ลื้อเดินไปอั๊วก็ทักลื้อ ว่าอีไปไหนนะแต่ลื้อไม่พูดกับอั๊ว”
อาตมา ถามว่า “ขุดถนนไปไหน” ก็ชี้ที่ตรงนั้น แต่ไม่เห็นมีถนน ก็ได้ความว่าเราเดินไปตลาดบ้านเหนือบ้านใต้ เขาเห็นเราหมด เขาทักแต่เราไม่รู้เรื่อง อาตมาถามต่อไปว่า
“ลื้อมีความเป็นอยู่อย่างไร”
เขา บอกว่า “ถ้าถึงวันโกนวันพระเขาให้หยุดงาน ที่มานี่เป็นวันโกนหยุดงานแล้ว เดี๋ยวอั๊วต้องรีบกลับ เดี๋ยวเขาจับได้เขาตี อั๊วหนีมาบอกหน่อยเท่านั้นเอง”
สรุป ได้ความว่า การที่ฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย ญาติพี่น้องทำบุญ ให้ไม่ได้ผลแน่ ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานแผ่ส่วนกุศล จึงจะได้รับผล เพราะผีมาบอกอย่างนี้ โยมจะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไรนะ ก็นึกว่าโยมทำวิปัสสนากรรมฐานไปก็จะได้รับผล ว่าบุญบาปมีจริง นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ประการใด
วันนี้อาตมาก็ขออนุโมทนาสาธุการ ส่วนกุศล ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญกุศล เจริญวิปัสสนากรรมฐานให้แก่ตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี่ เจริญกาย เวทนา จิต ธรรม ตั้งพิจารณา โดยปัญญา ตลอดกระทั่ง ยืน เดิน นั่ง นอน จะคู้เขียดเหยียดขา ทุกประการ ก็มีสติครบ
รับรองได้เลยว่า ถ้าโยมทำถึงขั้น ปิดประตูอบายได้เลย นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน โยมจะไม่ไปภูมินั้นอย่างแน่นอน
เพราะเหตุใด เพราะอำนาจกิเลสทั้งหลาย โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นโยมก็กำหนดได้ไม่มีโลภะ ขณะมีโลภะก็กำหนดโลภะ ก็หายไป
จิต วิญญาณตายขณะมีโลภะตายไปเป็นเปรต กำลังมีโทสะ ตายไปขณะนั้นลงนรก มีโมหะรวบรวมอยู่ในจิตใจไว้มากต้องไป เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างแน่นอน
ถ้า มีสติปัฏฐานสี่ มีสติสัมปชัญญะดี อบายภูมิก็ไม่ต้องไป ปิดนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานทางอายตนะ ธาตุอินทรีย์ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ทุกประการ
( หลวงพ่อจรัญ )


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10253866_541191089324644_4012677258133220315_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:13:59 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc1/t1.0-9/10246810_735585876491769_5288928950301305698_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:33:37 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/s261x260/1016959_246743622198359_991250407622338934_n.jpg)

(https://fbcdn-photos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-0/p118x90/10376286_1492061464342215_7796173655122433806_a.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:35:42 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc3/t1.0-9/10325331_674755695894531_6344126537043689900_n.jpg)


วันประสูติ

เหตุการณ์ในวันประสูติเป็นเหตุการณ์สำคัญลำดับแรกของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในวันเพ็ญ เดือนวิสาขมาส โดยพระพุทธเจ้าหรือพระนามเดิม "เจ้าชายสิทธัตถะ" ได้ประสูติในศากย เป็นพระราชโอรสแห่งพระเจ้าสุทโธทนะศากยราชา ผู้ทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และ พระนางสิริมหามายา ศากยราชเทวี ผู้เป็นพระราชมเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะ โดยเจ้าชายสิทธัตถะทรงดำรงตำแหน่งศากยมกุฏราชกุมาร ผู้จักได้รับสืบพระราชบัลลังก์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์สืบไป

จากหลักฐานชั้นบาลี (พระไตรปิฎก) และอรรถกถา กล่าวว่า หลังจากพระโพธิสัตว์ผู้ดำรงอยู่ในดุสิตเทวโลกได้บำเพ็ญพระบารมีครบถ้วนแล้ว ได้ทรงรับคำอาราธนาเพื่อจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์จึงได้จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาสู่พระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา เมื่อเวลาใกล้รุ่ง วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปี ระกา ก่อนพุทธศักราช 80 ปี

เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงพระครรถ์ครบถ้วนทศมาส (10 เดือน) ในวันเพ็ญ เดือนวิสาขมาส (ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี) พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประสูติพระราชบุตรยังเมืองเทวทหะอันเป็นเมืองบ้านเกิดของพระองค์ แต่ขณะเสด็จพระราชดำเนินได้เพียงกลางทางหรือภายในพระราชอุทยานลุมพินีวันซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะต่อกัน พระองค์เกิดประชวรพระครรภ์จะประสูติ อำมาตย์ผู้ตามเสด็จจึงจัดร่มไม้สาละถวาย พระนางจึงประสูติพระโอรส ณ ใต้ร่มไม้สาละนั้น โดยขณะประสูติพระนางประทับยืน พระหัตถ์ทรงจับกิ่งสาละไว้ เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้ว (โดยอาการที่พระบาทออกจากพระครรภ์ก่อน) พระโพธิสัตว์ได้ทรงพระดำเนินไปได้ 7 ก้าว และได้ทรงเปล่งอาสภิวาจา (วาจาประกาศความเป็นผู้สูงสุด) ขึ้นว่า

" อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส.
อยมนฺติมา ชาติ. นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว.

คำแปล : เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก ราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มี ดังนี้ "
-สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. อจฺฉริยอพฺภูตธมฺมสุตฺต อุปริ. ม. 14/249-251/366-7-8-9, 371

โดยการทรงเปล่งอาสภิวาจาเป็นอัศจรรย์นี้ นับเป็นบุรพนิมิตแห่งโพธิญาณ ที่เจ้าชายน้อยผู้เป็นโพธิสัตว์จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลอีกไม่นาน
ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:36:57 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10264802_674751329228301_7807895300586274996_n.jpg)

"วันวิสาขบูชา วันนี้เป็นวันสำคัญของพระพุทธเจ้า ซึ่งอุบัติก็วันนี้ ตรัสรู้วันนี้ ปรินิพพานวันนี้ พวกเราทั้งหลายถวายบูชาธรรมท่านทางภาคปฏิบัติจิตตภาวนานะวันนี้ ให้พากันภาวนาสงบใจๆ ระงับเรื่องการงานทั้งหลายที่เคยยุ่งมาตั้งแต่วันเกิด วันนี้ให้ระงับงานการยุ่งเหยิงทั้งหลาย เอางานทางด้านธรรมะที่จะพาเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เข้ามาสู่ใจ
วันนี้เป็นงานของธรรมเข้าสู่ใจ งานของโลกเข้าสู่ใจเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วดินแดน งานของธรรมเข้าสู่ใจสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน วันนี้เป็นวันสำคัญมากของพระพุทธเจ้า ประสูติก็วันนี้ ตรัสรู้วันนี้ ปรินิพพานก็วันนี้ วันประสูติก็กระเทือนโลกเหมือนกัน วันตรัสรู้ละสำคัญมากทีเดียว ได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลก
ก่อนที่จะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ทรงทำความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามา เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขย คือมี ๓ ประเภทบรรดาพระพุทธเจ้า ประเภทที่หนึ่ง ๑๖ อสงไขย ปลีกแยกได้ แสนมหากัปๆ แล้วก็ ๘ อสงไขย ๔ อสงไขย พระพุทธเจ้าของเรา ๔ อสงไขย ได้ตรัสรู้เป็นศาสดาสอนโลก ๑๖-๘-๔ อสงไขย อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารที่นำสัตว์โลกออกไปได้มากน้อยต่างกัน
เช่น พระพุทธเจ้าองค์ ๑๖ อสงไขยนี้ทรงสั่งสอนสัตว์โลกได้มากมายที่สุด เป็นอันดับหนึ่งของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันดับสองก็ ๘ อสงไขย อันดับสามคือพระพุทธเจ้าของเรา พระชนมายุก็เพียง ๘๐ ปี จึงทรงวางแนวทางบันไดเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่มรรคผลนิพพานให้พวกเราทั้งหลาย เป็นเวลา ๕๐๐๐ ปี
คำว่า ๕๐๐๐ ปี คือทรงเล็งญาณดูเรียบร้อยแล้ว พอถึง ๕๐๐๐ ปีแล้ว พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือธรรมทั้งหลายที่เคยไหลเข้าสู่ใจจะพรากจากกันทันที มีแต่กิเลสเข้ารุมล้อมหัวใจ เป็นฟืนเป็นไฟเหมือนกันหมด ๕๐๐๐ ปีแล้วหมด ศาสนาไม่มี คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่มีในหัวใจ มีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจของโลก แล้วเป็นไฟไปในตัวเผาแหลกไปหมดเลย ให้พากันเข้าใจเอาไว้
วันนี้ก็เป็นวันวิสาขบูชา วันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วย วันปรินิพพานของพระพุทธเจ้าด้วย วันประสูติด้วย วันตรัสรู้นี้สำคัญมาก ธรรมะกระจายสอนโลกอยู่นี้จากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านะ สอนโลกมาเป็นเวลา ๒๕๐๐ กว่าปี ถึง ๕๐๐๐ ปีก็หมด นิสัยวาสนาของสัตว์จะหมดไปๆ กิเลสจะเหยียบย่ำทำลายเข้าไป คำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะไม่มีในใจของสัตว์ มีตั้งแต่กิเลสกับฟืนกับไฟเผาไหม้อยู่ในหัวใจ ใครเกิดในสมัยนั้นแล้วเป็นความทุกข์ร้อนมากที่สุดเลย"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:38:23 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10363267_674503675919733_6976875314351004963_n.jpg)

๑. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี

๒. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย

๓. หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ ๔๕ ปี พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง ๓ เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖ ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 06:03:47 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t34.0-12/10259408_1411974219079699_349130769_n.jpg?oh=0c276bcdb036f04fabae2fd67369d973&oe=5373C7E9&__gda__=1400092012_56418e7ef0128103aa413f6b89e172e9)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10364177_10201318813847263_8436727243146911107_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 10:46:54 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10325607_440592672743982_2609615711739851537_n.jpg)

*** ในหลวงกับวาจาสิทธ์ของพระอรหันต์ ***
"ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนานิมนต์ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์
วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช เข้าพระราชวัง

กิตติศัพท์ทางคุณงามความดีของพ่อท่านคล้ายทรงทราบถึงในหลวง
รัชกาลปัจจุบัน ทรงมีความสนพระทัยและศรัทธาจึงทรงพระกรุณา
ให้นิมนต์พ่อท่านคล้ายเข้ารับพระราชทานภัทรกิจ ในวังสวนจิตรลดา

เมื่อพ่อท่านคล้ายกลับวัดลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบที่บนกุฏิ
เพื่อให้ท่านเล่าให้ฟัง

ท่านลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เจ้าพนักงานนำท่านเข้าไปนั่งรอภายใน
ห้องต้อนรับ ขณะที่รอในหลวงเสด็จออก ท่านว่าหัวใจมันเต้นแรง
เหมือนนั่งอยู่ปากถ้ำพระยาราชสีย์ยังไงยังงั้น”

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ก้มกราบทำให้อิ่มใจพองคับอก
ชื่นชมในพระบารมี ช่างงดงามเป็นสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก
ในหลวงทรงสนทนาไต่ถาม โดยมีพระปลัดสุพจน์คอยชี้แจงถวาย
ระหว่างสำเนียงปักษ์ใต้กับภาษากลาง

จนในที่สุดในหลวงทรงก้มพระเศียรเข้าใกล้พ่อท่านคล้ายด้วยพระราช
ประสงค์ให้ท่านรดน้ำมนต์ พรมพระเศียรให้พร ด้วยทรงพระราชศรัทธา
เคารพ ถึงตรงนี้พ่อท่านคล้ายพูดว่า “กูขนพองไปหมด พระมหากษัตริย์
ผู้ทรงกฤดาภินิหาร ครองบ้านครองเมือง จะมาก้มให้พระป่าสามัญ
ลูบพระเศียรได้ ท่านเป็นเทวดาของปวงชน”

ท่านเลยทูลว่า “มหาบพิตรได้ทรงโปรดยื่นพระหัตถ์มาเถิด”
ในหลวงทรงเงยพระพักตร์ยิ้ม และทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองให้พ่อท่านคล้าย
จับขึ้นเสมออกอธิษฐานพระชัยมนต์คาถาถวาย แล้วรดน้ำมนต์ใส่ฝ่า
พระหัตถ์ของพระองค์เอง พร้อมถวายพระพรตลอดเวลา

ในหลวงทรงอิ่มเอิบปลาบปลื้มพระราชหฤทัย และทรงปวารณาทรงรับ
อุปัฏฐากเป็นส่วนพระองค์

ครั้นลูกศิษย์ถามท่านว่า “พ่อท่านถวายของดีอะไรหรือเปล่า” ท่านตอบว่า
“ไม่ให้เทวดาผู้เป็นยอดคนแล้ว จะให้ใครเล่า”

และกล่าวอีกว่า “ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”
แบ่งปันจากเพจ อ. Danai Chanchaochai



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:18:36 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10313836_765201143511113_6728224688275598956_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:24:35 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10369603_773672862684659_1797288939670777937_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:30:21 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1476186_772508512763113_750103332_n.jpg)

"วัดป่าภูก้อน" วัดใจกลางหุบเขา จ.อุดรธานี


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/940820_772631056084192_1505491925_n.jpg)

วัดผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์


(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc1/t1.0-9/1979766_767157753318187_5099230453655567036_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:42:21 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10291224_670609922974836_4347030396672562597_n.jpg)

วันอัฏฐมีบูชา ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือนวิสาขะ (เดือน ๖ ของไทย) คือวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๘ วัน) ถือเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง เป็นวันควรแสดงธรรมสังเวชและระลึกถึงพระพุทธคุณให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศล

วันถวายพระเพลิงศพของพระพุทธเจ้า มีพระเจ้ามัลละเป็นองค์ประธาน ท่ามกลางความโศกเศร้าของพุทธศาสนิกชน ภิกษุสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวการปรินิพพาน ต่างก็เดินทางมาถวายความเคารพศพ รวมถึงเหล่าพระอินทร์ พระพรหม เทพยดา นางฟ้าจากสวรรค์ ตลอดจนสามัญชน มีโอกาสถวายความเคารพศพเช่นเดียวกัน

จุดสำคัญของงานคือ เหตุอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า ๒ ประการ ประการแรก เมื่อพระเจ้ามัลละได้พระราชทานเพลิงให้ทิศาปาโมกข์ไปจุดถวายพระเพลิงทั้ง ๔ ทิศ ปรากฏว่า จุดเท่าไรไฟก็ไม่ติด พระอนุรุทเถระ ประธานฝ่ายบรรพชิตกล่าวว่า ถ้าพระอริยกัสสปยังมาไม่ถึงและยังไม่ได้มากราบบังคมเบื้องพระยุคลบาท พระเพลิงจะไม่ติด และเหตุอัศจรรย์ที่สองนั่นคือ ภายหลังที่พระอริยกัสสปนำพาพระภิกษุเข้าเฝ้าถวายความเคารพศพ ขณะก้มลงกราบที่เบื้องพระยุคลบาท พระเตโชธาตุของพระองค์ก็แตกขึ้นเอง เผาผลาญศพจนหมดสิ้น โดยมิได้มีใครจุดถวาย

วันอัฏฐมีบูชา พุทธศาสนิกชนควรได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาขึ้น ด้วยการบำเพ็ญกุศลเช่นเดียวกับการประกอบพิธีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันอื่น ๆ ที่มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และเวียนเทียนในตอนค่ำ และปฏิบัติอย่างเดียวกันกับการประกอบพิธีวิสาขบูชา

ในประเทศไทยพบประเพณีการถวายพระเพลิงศพจำลองที่วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยประเพณีนี้มีมาเมื่อใดไม่ปรากฏชัดเจน ในปัจจุบันประเพณีนี้ได้รับการสนับสนุนจากทางหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยจัดเป็นงาน "วันอัฏฐมีบูชารำลีก เมืองทุ่งยั้ง" ณ วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นประจำทุกปี โดยกำหนดจัดงานในวันวิสาขบูชา คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ถึงวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ รวม ๙ วัน

นอกจากนั้น วันนี้เป็นวันคล้ายวันที่พระนางสิริมหามายา องค์พระพุทธมารดาสิ้นพระชนม์ (หลังประสูติ) และเป็นวันคล้ายวันที่พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสุขตลอด ๗ วัน (หลังตรัสรู้) อีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://th.wikipedia.org/wiki/ (http://th.wikipedia.org/wiki/)วันอัฏฐมีบูชา

ภาพ: “มกุฏพันธนเจดีย์” เมืองกุสินารา คนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแห่งองค์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:46:53 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10366314_467881893346795_3472942663062988291_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:56:07 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10410149_642428489187281_8760215075895465022_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 22, 2014, 01:30:47 PM
พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
ชดใช้กรรม หรือ เลือกทำความดี

พยาบาลผู้หนึ่งเมื่อรู้ว่าคนไข้ของตนอยู่ในระยะสุดท้าย
เธออยากทำความประสงค์ครั้งสุดท้ายของเขาให้เป็นจริง นั่นคือ
ขอกลับไปตายที่บ้านท่ามกลางญาติพี่น้อง แต่เขาเป็นคนยากจน
ไม่มีเงินจ้างรถจากหาดใหญ่ไปยังบ้านเกิดที่ชัยภูมิซึ่งไกลกว่าพันกิโลเมตร
เธอจึงวิ่งเต้นขอเงินช่วยเหลือจากโรงพยาบาล แต่ก็ยังไม่พอ
ต้องเรี่ยไรเพิ่มเติมจากผู้มีจิตศรัทธา
ขณะเดียวกันก็ต้องติดต่อประสานงานกับโรงพยาบาลตำบลที่ชัยภูมิ
เพื่อให้การดูแลเขาเมื่อกลับถึงบ้าน รวมทั้งจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ออกซิเจน
เพื่อให้เขาจากไปอย่างสงบ

ทั้งหมดนี้เธอต้องทำเองหมดเพราะโรงพยาบาลของเธอไม่มีระบบรองรับสำหรับกรณีแบบนี้
งานประจำของเธอก็มากอยู่แล้ว เมื่อมาช่วยเหลือคนไข้รายนี้ให้กลับถึงบ้านด้วยดี
ซึ่งเป็นเรื่องนอกเหนือความรับผิดชอบของเธอ เธอจึงเหนื่อยมาก
เพื่อนหลายคนยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ แต่มีบางคนไม่เพียงยืนดูเฉย ๆ แต่ยังพูดว่า
สงสัยเธอเคยทำกรรมกับคนไข้คนนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว
ชาตินี้ก็เลยต้องชดใช้กรรมด้วยการวิ่งช่วยเขาจนเหนื่อยอ่อน

คำพูดดังกล่าวนับว่าน่าสนใจ เพราะระยะหลังมีคนคิดแบบนี้มากขึ้น เคยมีสามีผู้หนึ่งทิ้งงานมาดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นมะเร็งด้วยความใส่ใจ เขาทุ่มเทให้กับเธอตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เว้นแม้กระทั่งเช็ดอุจจาระปัสสาวะให้เธอ เพื่อนบ้านหลายคนเมื่อรู้เช่นนี้ก็พูดขึ้นว่า ชาติที่แล้วเขาคงทำกรรมกับผู้หญิงคนนี้เอาไว้ ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรม ด้วยการรับใช้เธออย่างลำบากลำบน

อันที่จริงสิ่งที่พยาบาลและสามีผู้ป่วยทำนั้น เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
แต่เมื่อมองว่าทั้งสองท่านกำลังชดใช้กรรม(ไม่ดี)ที่เคยทำในอดีต
การกระทำซึ่งควรถือเป็นแบบอย่างที่พึงปฏิบัติตาม
จึงมีสถานะไม่ต่างจากชะตากรรมจากของนักโทษที่กำลังชดใช้ความผิดที่ได้ทำ
คำพูดเช่นนี้แทนที่จะให้กำลังใจเขา กลับเป็นการซ้ำเติมเสียอีก
คำถามก็คืออะไรทำให้ผู้คนมีความคิดเช่นนั้น

คำตอบเห็นจะอยู่ตรงที่ว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีความคิดเหมารวมว่า เมื่อใดที่ใครก็ตามประสบความยากลำบาก แม้เป็นผลจากการทำความดี ก็ถือว่าเป็นการใช้กรรมไปหมด แต่เหตุใดจึงไม่มองว่า การทำความดีแม้ประสบความยากลำบากนั้น เป็นการสร้างกรรมดี หาใช่การชดใช้กรรมไม่ พูดอีกอย่างก็คือ ทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมาก แยกไม่ออกระหว่าง การสร้างกรรมดี กับ การชดใช้กรรม

การชดใช้กรรมนั้น หมายถึง การ “ถูกกระทำ”
หรือจำต้องเผชิญกับสภาพที่ไม่พึงปรารถนาอันเป็นผลจากการกระทำของตน
อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้( เช่น ขโมยที่ถูกจำคุกเพราะลักทรัพย์ หรือป่วยหนักเพราะติดเหล้า)
ส่วนการสร้างกรรมดีนั้น หมายถึงการ “เลือกที่จะทำดี”
ทั้ง ๆ ที่ไม่ทำก็ได้ ดังเช่นพยาบาลและสามีผู้ป่วยที่กล่าวถึง หากจะนิ่งดูดาย
ไม่ยอมขวนขวายช่วยเหลือคนไข้และภรรยา ก็ย่อมได้ แต่ทั้งสองเลือกทำสิ่งตรงข้าม
ไม่มีอะไรมาบังคับหรือกระทำให้ทั้งสองต้องเสียสละอย่างนั้น
นอกจากมโนธรรมสำนึกหรือเมตตากรุณาในจิตใจของตน

พระไพศาล วิสาโล


(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/10320550_914868178540500_7817094110144173785_n.png)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 24, 2014, 10:26:34 PM
(https://scontent-b-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/10277823_642505895817534_5492317406630038980_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 10, 2014, 09:56:02 AM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xpa1/t1.0-9/10313742_304401019727079_2379079423863534861_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/t1.0-9/10463895_304401029727078_9190647187868715017_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 11, 2014, 01:31:21 PM

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/t1.0-9/10373715_1461152957463709_1475671932234802259_n.jpg)


พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่บริเวณวัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ระยะทางจากตัวเมืองร้อยเอ็ดประมาณ80 ก.ม มีลักษณะเป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสานเป็นการผสมกันระหว่างพระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม ใช้งบประมาณก่อสร้างถึงปัจจุบันกว่า 3,000 ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดย “พระอาจารย์ศรี มหาวิโร” ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

พระมหาเจดีย์ชัยมงคลออกแบบโดยกรมศิลปากร เป็นสีขาวตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศสร้าง ในเนื้อที่ 101 ไร่ กว้าง 101 เมตร ยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร รวมยอดทองคำเป็น 109เมตร ใช้ทอง คำหนัก 4,750 บาท หรือประมาณ 60 กิโลกรัม ภายในองค์พระมหาเจดีย์เหมือน อยู่บนวิมานแดนสวรรค์

ชั้นที่ 1 เป็นห้องโถงกว้างใหญ่ โอ่อ่า ผนังจารึกนามทานาธิบดีต่าง ๆ ใช้เป็นห้องประชุม บำเพ็ญบุญ

ชั้นที่ 2 เป็นห้องโถงโอ่อ่าเช่นกัน ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติ ลวดลายไทยวิจิตรพิสดาร

ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐานรูปพระณาจารย์ ปราชญ์ อีสานในอดีต เป็นรูปเหมือนสลักหินอ่อน และหุ่นรูปเหมือนพระสุปฏิปันโน 101 องค์

ชั้นที่ 4 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัดวาอาราม สถานปฏิบัติสม ถะวิปัสสนา กรรมฐานที่หลวงปู่ศรี เคยบำเพ็ญธรรมมา

ชั้นที่ 5 บันไดเวียน 119 ชั้น เป็นห้องโถงรูประฆัง 8 เหลี่ยมบรรจุสารีริกธาตุ



(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/9/94/Jadi1.jpg)


(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/5/5a/Jadi2.jpg)


(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/4/47/Jadi3.jpg)


(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/7/76/Jadi4.jpg)


(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/4/4e/Jadi5.jpg/800px-Jadi5.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 11, 2014, 01:35:51 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t34.0-12/10446357_1471757089736086_1578656548_n.jpg?oh=c8b825cc6c2456af6af2538d4c05057d&oe=5399F95D&__gda__=1402580073_381a141068d22f4c7ba8593a1e44a0a9)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 08, 2014, 08:12:40 AM
(http://watbowon.com/Monk/ja/06/images/som0098.jpg)


(http://sangharaja.org/images/stories/pic/20131024-1-1.jpg)


(http://sangharaja.org/home/_admin/photo/SiamPhoto0000025.jpg)


คติธรรมท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ

"...พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนว่า ทรงมีพุทธานุภาพให้ผู้นับถือไปรบใครแล้วก็ชนะ
หรือว่าไปแข่งขันอะไรกับใครแล้วก็ชนะ มีพุทธานุภาพที่จะทำให้ไม่ต้องเจ็บไม่ต้องตาย
มีพุทธานุภาพที่จะทำให้พ้นจากผลกรรมของตนที่พึงได้รับ ปัดเป่าให้พ้นจากผลร้าย
อันจะเกิดจากผลกรรมที่ตนเองทำไว้ได้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน
ทำกรรมดีจักได้ดี ทำกรรมชั่วจักได้ชั่ว
เพราะฉะนั้น ถ้าพระองค์ไปทรงช่วยได้ว่าทำกรรมชั่วแล้วไม่ต้องได้ชั่ว
ธรรมที่พระองค์ทรงสอนไว้กลับกลายเป็นไม่จริง ไม่ใช่เป็นสัจธรรม ธรรมที่เป็นตัวความจริง

 พระพุทธเจ้าได้ทรงชนะ คือทรงชนะพระหฤทัยของพระองค์แล้ว
ด้วยพระบารมีคือความดีที่ทรงสร้างมาจนบริบูรณ์
ใครมีเรื่องจะต้องผจญใจก็ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพิชิตมารดังกล่าวนี้เถิด
จะสามารถชนะใจตนเอง และจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้
แต่ขอให้ระลึกถึงด้วยความตั้งใจจริง จนเกิดความสงบ แล้วจักเห็นหนทางชนะขึ้นเองอย่างน่าอัศจรรย์

 ผู้ชนะนั้น มักเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้ได้ แต่โดยที่แท้เป็นผู้เสีย
คือเสียไมตรีจิตของอีกฝ่ายหนึ่งไปหมดสิ้น หรือจะเรียกว่าได้ก็คือได้เวร
เพราะผู้แพ้ก็จะผูกใจเพื่อจะเอาชนะต่อไป จึงเป็นอันว่าไม่ได้ความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ส่วนผู้ที่ละได้ทั้งแพ้และชนะ จึงจะได้ความสงบสุข ทั้งนี้ก็ด้วยการไม่ก่อเรื่องที่จะต้องเกิดมีแพ้มีชนะกันขึ้น
แต่เมื่อจะต้องให้มีเรื่องให้แพ้ฝ่ายหนึ่งชนะฝ่ายหนึ่งก็ควรจะต้องมีใจหนักแน่นพอที่จะเผชิญได้ทุกอย่าง..."

เกล้ากระหม่อมขอถวายอภิสัมมานสักการะ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ด้วยสำนึกในพระเมตตาคุณและพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ด้วยเศียรเกล้าฯ






หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 08, 2014, 08:22:22 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/310035_441047209261581_1238607457_n.jpg)



ความกลัว

(http://th02.deviantart.net/fs38/200H/i/2008/357/1/c/green_light_black_trees_by_KeMuRii.jpg)

 ความกลัว เป็นสิ่งที่มีอำนาจมากสิ่งหนึ่ง
 ในบรรดา สิ่งที่ทำลาย ความสุข สำราญ
 หรือ รบกวนประสาท ของมนุษย์ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยกัน

ความกลัวนี้ ย่อมมีลักษณะ และพิษสง มากน้อยกว่ากัน เป็นขั้นๆ
 ตามความรู้สึก อันสูงต่ำ ของจิต

 
(http://ts1.mm.bing.net/th?id=HN.608022663349403872&w=262&h=188&c=7&rs=1&pid=1.7)

เด็กๆ สร้างภาพ ของสิ่งที่น่ากลัว ขึ้นในใจ ตามที่ผู้ใหญ่ นำมาขู่
 หรือได้ยิน เขาเล่า เรื่อง อันน่ากลัว เกี่ยวกับผี เป็นต้น สืบๆ กันมา
 แล้วก็กลัว เอาจริงๆ จนเป็นผู้ใหญ่ ความกลัวนั้น ก็ไม่หมดสิ้นไป

ความกลัว เป็นสัญชาตญาณ อันหนึ่งของมนุษย์ เหมือนกันหมด
 แต่ว่า วัตถุที่กลัว นั่นแหละต่างกัน ตามแต่เรื่องราวที่ตนรับ
 เข้าไว้ในสมอง

วัตถุอันเป็น ที่ตั้งของความกลัว ที่กลัวกันเป็นส่วนมากนั้น
 โดยมากหาใช่วัตถุ ที่มีตัวตน จริงจัง อะไรไม่ มันเป็นเพียงสิ่งที่ใจสร้างขึ้น
 สำหรับกลัวเท่านั้น ส่วนที่เป็น ตัวตน จริงๆ นั้น ไม่ได้ ทำให้เรากลัวนาน
 หรือ มากเท่าสิ่งที่ใจสร้างขึ้นเอง มันมักเป็น เรื่องเป็นราวลุล่วงไปเสียในไม่ช้านัก

บางที เราไม่ทันนึก กลัว ด้วยซ้ำไป
 เรื่องนั้นก็ได้มาถึงเรา เป็นไปตามเรื่องของมัน
 และผ่านพ้นไปแล้ว มันจึงมิได้ทรมานจิตของมนุษย์
 มากเท่าเรื่องหลอกๆ ที่ใจสร้างขึ้นเอง


(https://c2.staticflickr.com/4/3075/2434322351_26268159d3.jpg)


เด็กๆ หรือคนธรรมดา เดินผ่านร้านขายโลง ซึ่งยังไม่เคย ใส่ศพเลย
 ก็รู้สึกว่า เป็นที่น่ารังเกียจ หรือเป็นที่ อวมงคล เสียจริงๆ
 เศษกระดาษ ชนิดที่เขา ใช้ปิดโลง ขาดตก อยู่ในที่ใด
 ที่นั้น ก็มี ผี สำหรับเด็กๆ

(http://i91.photobucket.com/albums/k300/xoxpashyxox/Creepy/Skulls%20and%20Skeletons/Graphics%20and%20Clipart/burning_skulls-2412.gif)


เมื่อเอาสีดำ กับกระดาษ เขียนกันเข้า เป็น รูปหัวกระโหลก ตากลวง
 ความรู้สึกว่าผี ก็มาสิง อยู่ใน กระดาษ นั้นทันที

เอากระดาษฟาง กับกาวและสี มาประกอบกัน เข้าเป็น หัวคนป่า ที่น่ากลัว
 มีสายยนต์ ชักให้แลบลิ้น เหลือกตา ได้ มันก็พอที่ทำให้ใคร ตกใจเป็นไข้ได้
 ในเมื่อนำไปแอบ คอยที่ชักหลอกอยู่ในป่า หรือที่ขมุกขมัว
 และแม้ที่สุด แต่ผู้ที่เป็นนายช่าง ทำมันขึ้นนั่นเอง ก็รู้สึกไปว่า
 มันมิใช่กระดาษฟาง กับกาวและสี เหมือนเมื่อก่อน เสียแล้ว
 ถ้าปรากฏว่า มันทำให้ใคร เป็นไข้ ได้สักคนหนึ่ง

เราจะเห็นได้ ในอุทาหรณ์ เหล่านี้ ว่า
 ความกลัวนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยสัญญาในอดีตของเราเอง ทั้งนั้น
 เพราะปรากฏว่า สิ่งนั้นๆ ยังมิได้เนื่องกับผีที่แท้จริง แม้แต่นิดเดียว และ

(http://1.bp.blogspot.com/_0JLIW4vXe10/SwornJDkRPI/AAAAAAAAADk/4P2OxMZi0nU/s320/p14ju5.jpg)


สิ่งที่เรียกว่า ผี ผี , มันก็ เกิดมาจากกระแส ที่เต็มไปด้วย อานุภาพอันหนึ่ง
 อันเกิดมาจาก กำลังความเชื่อแห่งจิต
 ของคนเกือบทั้งประเทศ หรือ ทั้งโลก เชื่อกันเช่นนั้น
 อำนาจนั้นๆ มัน แผ่ซ่าน ไปครอบงำจิตของคนทุกคน
 ให้สร้าง ผีในมโนคติ ตรงกันหมด
 และทำให้เชื่อ ในเรื่องผี ยิ่งขึ้น และผีก็มีชีวิต อยู่ในโลกนี้ได้

(http://fisho.com/blog/zeng/image/5733_1.jpg)

จนกว่าเมื่อใด เราจะหยุดเชื่อเรื่องผี หรือ เรื่องหลอก นี้กันเสียที ให้หมดทุกๆ คน
 ผีก็จะตายหมดสิ้นไปจากโลกเอง จึงกล่าวได้ว่า
 ความกลัวที่เรากลัวกันนั้น เป็นเรื่องหลอก ที่ใจสร้างขึ้นเอง
 ด้วยเหตุผล อันผิดๆ เสียหลายสิบเปอร์เซ็นต์



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 08, 2014, 09:30:40 AM
(http://www.likemax.com/pics/herb/g10_01.jpg)

ความกลัว เป็นภัยต่อความสำราญ เท่ากับความรัก โกรธ เกลียด หลงใหล และอื่นๆ
 หรือบางที จะมากกว่าด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่า
 ธรรมชาติ ได้สร้างสัญชาตญาณ อันนี้ให้แก่สัตว์ ตั้งแต่ เริ่มออกจากครรภ์ ทีเดียว,
ลูกนก หรือ ลูกแมว พอลืมตา ก็กลัวเป็นแล้ว แสดงอาการหนี
 หรือป้องกันภัย ในเมื่อเราเข้าไปใกล้

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608045542641370681&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

เด็กๆ จะกลัวที่มืด หรือการถูกทิ้ง ไว้ผู้เดียว
 ทั้งที่ เขายังไม่เคย มีเรื่องผูกเวร กับใครไว้
 อันจะนำให้กลัวไปว่า จะมีผู้ลอบทำร้าย
 เพียงแต่ผู้ใหญ่ ชี้ไปตรงที่มืด แล้วทำท่ากลัว ให้ดูสักครั้งเท่านั้น
 เด็กก็จะกลัว ติดอยู่ในใจไปได้นาน
 คนโตแล้วบางคน นั่งฟังเพื่อนกันเล่าเรื่องผีเวลากลางคืน
 มักจะค่อยๆ ขยับๆ จนเข้าไป นั่งอยู่กลางวง โดยไม่รู้สึกตัว
 และยังไปนอนกลัว ในที่นอนอีกมาก กว่าจะหลับไปได้

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608052358759842194&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)


เดินผ่านป่าช้าโดยไม่รู้ เพิ่งมารู้และกลัวเอาที่บ้านก็มี
 สำหรับบางคน ทั้งหมดนี้ เป็น เครื่องแสดงว่า
 ความกลัว เป็นเรื่องของจิต มากกว่า วัตถุ
 ผู้ใด ไม่มี ความรู้ ในการควบคุม จิตของตน ในเรื่องนี้
 เขาจะถูกความกลัวกลุ้มรุมทำลายกำลังประสาท
 และความสดชื่นของใจเสียอย่างน่าสงสาร

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608009250171194142&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

ในทำนอง ตรงกันข้าม สำหรับผู้ที่มีอุบายข่มขี่ความกลัว
 ย่อม จะได้รับ ความผาสุก มากกว่า มีกำลังใจ เข้มแข็งกว่า
 เหมาะที่จะเป็น หัวหน้าหมู่ หรือ ครอบครัว

เมื่อปรากฏว่า ความกลัว เป็นภัย แก่ความผาสุก เช่นนี้แล้ว
 บัดนี้ เราก็มาถึง ข้อปัญหาว่า เราจะเอา ชนะความกลัว ได้อย่างไร สืบไป
 เพราะเหตุว่า การที่ทราบแต่เพียงว่า
 ความกลัว เป็นภัย ของความผาสุกนั้น
 เรายังได้รับผลดีจากความรู้นั้น น้อยเกินไป
 เราอาจปัดเป่า ความกลัวออกไปเสียจากจิต โดยววิธีต่างๆ กัน

แต่เมื่อจะสรุปความ ขึ้นเป็นหลักสำคัญๆ แล้ว อย่างน้อย เราจะได้สามประการ คือ

๑. สร้างความเชื่ออย่างเต็มที่ ในสิ่งที่ยึดเอาเป็นที่พึ่ง
 ๒. ส่งใจไปเสียในที่อื่น ผูกมัดไว้กับสิ่งอื่น
 ๓. ตัดต้นเหตุ ของความกลัวนั้นๆ เสีย

ในประการต้น อันเราอาจเห็นได้ทั่วไป คือ วิธีของ เด็กๆ ที่เชื่อตะกรุด หรือ
 เครื่องราง ฯลฯ ตลอดจน พระเครื่ององค์เล็ก ที่แขวนคอ
 และเป็นวิธีของผู้ใหญ่บางคน ที่มีความรู้สึกอยู่ในระดับเดียวกับเด็กด้วย

(http://ts3.mm.bing.net/th?id=HN.608055760370206326&pid=1.7)


คนในสมัยอนารยะ ถือภูเขาไฟ ต้นไม้ ฟ้า หรือ สิ่งที่ตนเห็นว่า มีอำนาจน่ากลัว
 ควรถือเอา เป็นที่มอบกายถวายตัว ได้อย่างหนึ่ง นี่ก็อยู่ในประเภทเดียวกัน
 ที่ยังเหลือมาจนทุกวันนี้ เช่น พวกที่บนบานต้นโพธิ์ พระเจดีย์ เป็นต้น
 เพื่อความเบาใจของตน ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
 วิธีนี้ เป็นผลดีที่สุด ได้ตลอดเวลา ที่ตน ยังมีความเชื่อมั่นคงอยู่
 ความเชื่อที่เป็นไปแรงกล้า อาจหลอกตัวเอง
 ให้เห็นสิ่งที่ควรกลัวกลายเป็นสิ่งที่ไม่ควรกลัวไปก็ได้
 ถ้าหากจะมีอุบายสร้างความเชื่อชนิดนั้น ให้เกิดขึ้นได้มากๆ

เมื่อใดความเชื่อหมดไป หรือมีน้อย ไม่มีกำลังพอที่จะหลอกตัวเองให้กล้าหาญแล้ว
 วิธีนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ กลายเป็นของน่าหัวเราะเท่านั้น




(http://www.likemax.com/pics/herb/g10_04.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 08, 2014, 10:26:33 AM
(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608028203865737828&w=315&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

เล่ากันมาว่า เคยมีคนๆ หนึ่ง อมพระเครื่อง เข้าตะลุมบอน ฆ่าฟันกัน
เชื่อว่า ทำให้อยู่คง ฟันไม่เข้า เป็นต้น ดูเหมือนได้ผล เป็นที่น่าพอใจ เขาจริงๆ
 ขณะหนึ่ง พระตกจากปากลงพื้นดิน ในท้องนา
 ตะลีตะลานคว้าใส่ปากทั้งที่เห็นไม่ถนัด

(http://ts1.mm.bing.net/th?id=HN.608019575269428423&w=177&h=177&c=7&rs=1&pid=1.7)

 แทนที่ จะได้พระ กลับเป็นเขียดตัวหนึ่ง เข้าไปดิ้นอยู่ในปาก
 ก็รบ เรื่อยไป โดยยิ่งเชื่อมั่นขึ้นอีกว่า พระในปาก แสดงปาฏิหาริย์
 ดิ้นไปดิ้นมา เมื่อเลิกรบ รีบคายออกดู เห็นเป็นเขียดตาย
 ก็เลยหมดความเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา
 ไม่ปรากฏว่า พระเครื่ององค์ใด ทำความพอใจ ให้เขาได้อีก

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608017921706036556&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า วิธีนี้ ไม่ใช่ ที่พึ่ง อันเกษม คือ
 ทำความปลอดภัยให้ได้อย่างแท้จริง
 ไม่ใช่ วิธีสูงสุด, เนตํ สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ

ประการที่สอง สูงขึ้นมาสักหน่อย พอที่จะเรียกได้ว่า
 อยู่ในชั้นที่จัดว่า เป็นกุศโลบาย
หลักสำคัญอยู่ที่ส่งความคิดนึก ของใจไปเสียที่อื่น

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608046100986135798&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

ซึ่งจะเป็นความรักใครที่ไหน โกรธใครที่ไหน เกลียดใครที่ไหน ก็ตาม
 หรือหยุดใจเสียจากความคิดนึก ทุกอย่าง (สมาธิ) ก็ตาม เรียกว่า
 ส่งใจไปเสียในที่อื่น คือจากสิ่งที่เรากลัวนั้นก็แล้วกัน
 ที่เราเห็นกันได้ทั่วไป เช่น กำลังเมารัก บ้าเลือด เหล่านี้เป็นต้น
 จะไม่มีความกลัวผี กลัวเสือ กลัวเจ็บ
 แม้เรื่องราวในหนังสือข่าวรายวัน ก็เป็นพยาน ในเรื่องนี้ได้มาก
 แต่เรื่องชนิดนี้ เป็นได้โดย ไม่ต้องเจตนา ทำความรู้สึก เพื่อส่งใจไปที่อื่น
 เพราะมันส่งไปเองแล้ว ถึงกระนั้น


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608044413072705928&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

 ทุกๆ เรื่อง เราอาจปลูกอาการเช่นนี้ขึ้นได้ในเมื่อต้องการ
 และมันไม่เป็นขึ้นมาเอง การคิดนึกถึงผลดีที่จะได้รับ คิดถึงสิ่งที่เรารักมาก
 จนใฝ่ฝัน คิดถึง ชาติประเทศ คิดถึงหัวหน้าที่กล้าหาญ ดูสิ่งที่ยั่วใจให้กล้า เช่น
 ระเบียบให้มองดู ธงของผู้นำทัพ ในเมื่อตนรู้สึกขลาด
 อันปรากฏอยู่ในนิยาย เทวาสุรสงคราม ในพระคัมภีร์ เป็นต้น
 เหล่านี้ ล้วน แต่ช่วยให้ใจแล่นไปในที่อื่น จนลืมความกลัว ได้ทั้งนั้น ในชั้นนี้
 พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ระลึกถึงพระองค์
 หรือพระธรรม หรือพระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง
 ในเมื่อภิกษุใดเกิดความกลัวขึ้นมา ในขณะที่ตนอยู่ในที่เงียบสงัด
 เช่นในป่าหรือถ้ำ เป็นต้น

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.607989312931365456&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

 อาการเช่นนี้ทำนองค่อนไปข้างสมาธิ แต่ยังมิใช่สมาธิแท้ทีเดียว
 แต่ถ้าหากว่า ผู้ใดแม้ระลึกถึง พระพุทธองค์ก็จริง แต่ระลึกไปในทำนองเชื่อมั่น
 มันก็ไปตรงกันเข้ากับประการต้น คือความเชื่อ เช่น
 เชื่อพระเครื่อง หรือคนป่าเชื่อปู่เจ้าเขาเขียว
 ต่อเมื่อระลึก ในอาการเลื่อมใสปิติในพระพุทธคุณ เป็นต้น
 จึงจะเข้ากับประการที่สองนี้

ส่วนอาการที่สงบใจไว้ด้วยสมาธินั้น เป็นอุบายข่มความกลัว ได้สนิทแท้
 เพราะว่า ในขณะแห่งสมาธิ ใจไม่มีการคิดนึก อันใดเลย
 นอกจากจับอยู่ที่สิ่งซึ่งผู้นั้น ถือเอาเป็นอารมณ์ หรือนิมิต
 ที่เกาะของจิตอยู่ในภายในเท่านั้น

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608052543438458679&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

แต่ว่าใจที่ เต็มไป ด้วยความกลัว ยากที่จะเป็นสมาธิ
 เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสมาธิ ที่ชำนาญ อย่างยิ่งจริงๆ
 จนเกือบกลายเป็นความจำอันหนึ่งไป พอระลึกเมื่อใด
 นิมิตนั้นมาปรากฏเด่นอยู่ที่ "ดวงตาภายใน" ได้ทันที
 นั่นแหละ จึงจะเป็นผล แม้ข้อที่ พระองค์สอนให้ระลึกถึงพระองค์
 หรือพระธรรม พระสงฆ์ ตามนัยแห่งบาลี ธชัคคสูตรนั้น ก็หมายถึง
 พุทธานุสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ อยู่แล้ว
 แม้ว่าจะเป็นเพียง อุปจารสมาธิ ยังไม่ถึงขึดฌาณก็ตาม
 ล้วนแต่ต้องการความชำนาญ
 จึงอาจเปลี่ยนอารมณ์ที่กลัวให้เป็นพุทธานุสสติ เป็นต้นได้

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608017840102507043&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

ส่วนสมาธิ ที่เป็นได้ถึงฌาณ เช่น พรหมวิหาร เป็นต้น
 เมื่อชำนาญแล้ว สามารถที่จะข่มความกลัว ได้เด็ดขาดจริงๆ
 ยิ่งโดยเฉพาะ เมตตา พรหมวิหาร ยิ่งเป็นไปได้ง่ายที่สุด

แต่พึงทราบว่า ทั้งนี้เป็นเพียงข่มไว้เท่านั้น เชื้อของความกลัว ยังไม่ถูกรื้อถอนออก
 เมื่อใดหยุดข่ม มันก็เกิดขึ้นตามเดิม อีกประการหนึ่ง ไม่ใช่วิธีที่ง่ายสำหรับคนทั่วไป
 สำหรับการข่มด้วยสมาธิ
 คนธรรมดาเหมาะสำหรับเพียงแต่เปลี่ยนเรื่องคิดนึกของใจเท่านั้น 
หาอาจทำ การหยุด พฤติการของจิต ให้ชะงักลงได้ง่ายๆ เหมือน นักสมาธิไม่
 และค่อนข้าง จะเป็นการแนะให้เอา ลูกพรวน เข้าไปแขวนผูกคอแมวไป
 ในเมื่อสอนให้ คนธรรมดาใช้วิธ๊นี้

และน่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งว่า วิธีที่สาม ที่จะกล่าวต่อไปข้างหน้า
 ฃึ่งเป็นวิธีที่สูงนั้น กลับจะเหมาะสำหรับคนทั่วไป และได้ผลดีกว่าเสียอีก
 วิธีนั้น คือ ตัดต้นเหตุ แห่งความกลัวเสีย ตามแต่ที่กำลังปัญญาความรู้ของผู้นั้น
 จะตัดได้มากน้อยเพียงไร ดังจะได้พิจารณากันอย่างละเอียด กว่าวิธีอื่น ดังต่อไปนี้


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608048458928621213&w=303&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 08, 2014, 11:19:17 AM
(http://keji.siamganesh.com/wp-content/uploads/2012/10/Buddhadas.jpg)

เมื่อมาถึงประการ ที่สามนี้ ขอให้เราเริ่มต้นด้วย อุทาหรณ์ง่ายๆ
 ของท่านภิกขุ อานันท เกาศัลยายนะ
[เขียนไว้ในเรื่อง คนเราเอาชนะความกลัวได้อย่างไร ในหนังสือพิมพ์มหาโพธิ
 และบริติชพุทธิสต์ แต่เขียนสั้นๆ เพียงสองหน้ากระดาษเท่านั้น และกล่าวเฉพาะ
 การประพฤติ กายวาจาใจ ให้สุจริตอย่างเดียว ว่า เป็นการตัดต้นเหตุแห่งความกลัว]
เขียนไว้เรื่องหนึ่งเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายในข้อที่ว่า
การสะสางที่มูลเหตุ นั้นสำคัญเพียงไร


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608052577799438687&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

อุทาหรณ์ นั้น เป็นเพียงเรื่องที่ผูกขึ้นให้เหมาะสมกับความรู้สึกของคนเราทั่วไป
 เรื่องมีว่า เด็กคนหนึ่งมีความกลัวเป็นอันมาก ในการที่จะเข้าไปใน ห้องมืดห้องหนึ่ง
 ในเรือนของบิดาของเขาเอง เขาเชื่อว่า มีผีดุตัวหนึ่งในห้องนั้น และจะกินเขา
 ในเมื่อเขาเพียงแต่เข้าไป บิดาได้พยายามเป็นอย่างดีที่สุด ที่จะทำได้ ทุกๆ ทาง
 เพื่อให้บุตรของตน เข้าใจถูกว่า ไม่มีอะไร ในห้องนั้น เขากลัวไปเอง
 อย่างไม่มีเหตุผล แต่เด็กคนนั้น ได้เคยนึกเห็นตัวผีมาแล้ว เขาเชื่อว่า
 ไม่มีทางใดที่จะช่วยบุตรของตน ให้หลุดพ้นจากการกลัวผี


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.607994217785003684&w=303&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

 ซึ่งเขาสร้างขี้นเป็นภาพใส่ใจของเขาเองด้วยมโนคติได้จริงแล้ว
 ก็คิดวางอุบาย มีคนใช้คนหนึ่ง เป็นผู้ร่วมใจด้วย ฤกษ์งามยามดีวันหนึ่ง
 เขาเรียกบุตร คนนั้นมา แล้วกล่าวว่า "ฟังซิ ลูกของพ่อ ตั้งนานมาแล้ว
 ที่พ่อเข้าใจว่า พ่อเป็นฝ่ายถูก เจ้าเป็นฝ่ายผิด ก่อนหน้านี้ พ่อคิดว่า
 ไม่มีผีดุ ในห้องนั้น บัดนี้ พ่อพบด้วยตนเองว่า มันมีอยู่ตัวหนึ่ง
 และเป็นชนิดที่น่าอันตรายมาก เสียด้วย พวกเราทุกคน จักต้องระวังให้ดี"

ต่อมาอีกไม่กี่วัน บิดาได้เรียกบุตรมาอีก ด้วยท่าทาง เอาจริงเอาจัง กล่าวว่า
"หลายวันมาแล้ว ผีพึ่งปรากฏตัววันนี้เอง พ่อคิดจะจับและฆ่ามันเสีย
 ถ้าเจ้าจะร่วมมือกับพ่อด้วย ไปเอาไม้ถือ ของเจ้า มาเร็วๆ เข้าเถิด
 ไม่มีเวลาที่จะรอ แม้นาทีเดียว เพราะมันอาจหนีไปเสีย" เด็กน้อยตื่นมาก
 แต่ไม่มีเวลาคิด ไปเอาไม้ถือมาทันที พากันไปสู่ห้องนั้น เมื่อเข้าไปก็ได้พบผี
(ซึ่งเรารู้ดีว่า เป็นฝีมือของคนใช้ทำขึ้น และคอยเชิดมันในห้องมืดนั้น)
สองคนพ่อลูกช่วยกันระดมตีผี ด้วยไม้ถือ และไม้พลอง จนมันล้มลง
 มีอาการของคนตาย พ่อลูกดีใจ คนในครอบครัวทั้งหลาย มีการรื่นเริง
 กินเลี้ยงกันในการปราบผี ได้สำเร็จ ฉลองวันชัย และเป็นวันแรก ที่เด็กนั้น
 กล้าเข้าไปในห้องนั้น โดยปราศจากความกลัวสืบไป
 นี่เราจะเห็นได้ว่า เพียงทำลายล้างผี ที่เด็กสร้างขึ้น ด้วยมันสมองของเขาเอง
 บิดาต้องสร้างผี ขึ้นตัวหนึ่งจริงๆ จึงทำลายได้สำเร็จ โดยอาศัยความฉลาด
 รู้เท่าทันการ รู้จักตัดต้นเหตุ คนโง่ กับคนฉลาด นั้น ผิดกันในส่วนที่ ระงับเหตุร้าย ลงไปจากทางปลาย หรือตัดรากเหง้า ขึ้นมาจากภายใต้


(http://ts1.mm.bing.net/th?id=HN.607997374581244064&w=250&h=185&c=7&rs=1&pid=1.7)

เสือย่อมกระโดด สวนทาง เสียงปืน เข้าไปหาผู้ยิง ในเมื่อรู้สึกว่า ตนถูกยิง
 แต่สุนัข ย่อมมัว ขบกัด ตรงปลายไม้ ที่มีผู้แหย่ ตนนั่นเอง
 หาคิดว่าต้นเหตุสำคัญ อยู่ที่ผู้แหย่ไม่


เมื่อเราพบจุดสำคัญว่า การตัดต้นเหตุเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดังนี้แล้ว
 เราก็ประจัญกันเข้ากับปัญหาว่า อะไรเล่า ที่เป็นต้นเหตุแห่งความกลัว ?

เมื่อเราคิดดูให้ดีแล้ว อาจตอบได้ว่า เท่าที่คนเราส่วนมาก จะคิดเห็นนั้น
 ความกลัวผี มีต้นเหตุมากมาย คือ ความไม่เข้าใจในสิ่งนั้นบ้าง
 การมีความกลัวติดตัวอยู่บ้าง ใจอ่อนเพราะเป็นโรคประสาทบ้าง
 อาฆาตจองเวรไว้กับคนไม่ชอบพอกันบ้าง รักตัวเองไม่อยากตายบ้าง
 เหล่านี้ ล้วนเป็น เหตุแห่งความกลัว


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608024965458429482&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

มูลเหตุอันแท้จริง เป็นรวบยอด แห่งมูลเหตุทั้งหลาย คืออะไรนั้น
 ค่อนข้างยากที่จะตอบได้ เพราะเท่าที่เห็นกันนั้น เห็นว่า มันมีมูลมากมายเสียจริงๆ
 แต่แท้ที่จริงนั้น ความกลัวก็เป็นสิ่งที่ เกิดมาจากมูลเหตุอันสำคัญอันเดียว
 เช่นเดียวกับ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด และ ความหลง
 เพราะว่า ความกลัว ก็เป็นพวกเดียวกันกับ ความหลง (โมหะ หรือเข้าใจผิด)
มูลเหตุอันเดียวที่ว่านั้น ก็คือ อุปาทาน
 ความยึดถือต่อตัวเองว่า ฉันมี ฉันเป็น นั่นของฉัน นี่ของฉัน เป็นต้น
 อันเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัสมิมานะ (เรื่องนี้ ข้าพเจ้าเคย อธิบายไว้บ้างแล้ว
 ในเรื่อง "สุขกถา" ที่คณะธรรมทาน เคยพิมพ์โฆษณาแล้ว)

ความรู้สึก หรือ ยึดถืออยู่เอง ในภายในใจ ตามสัญชาตญาณนั้น
 มันคลอดสิ่งที่เราเรียกกันว่า "ฉัน" ขึ้นมา และความรู้สึกนั้น ขยายตัวออกสืบไปว่า
 ฉันเป็นผู้ทำเช่นนั้น เช่นนี้ ฉันจะได้รับนั่น รับนี่ หรือเสียนั่น เสียนี่ไป
 นั่นจะส่งเสริมฉัน เป็นมิตรของฉัน นี่จะตัดรอนฉัน ทำลายฉัน เป็นศัตรูของฉัน
"ฉัน" สิ่งเดียวนี้ เป็นรากเหง้า ของความรัก โกรธ เกลียด กลัว หลงใหล  
 อันจักทำลาย ความผาสุก และอิสรภาพ ของคนเรา
 ยิ่งไปกว่าที่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันทำแก่เรา มากกว่ามากหลายเท่า หลายส่วนนัก

อุปาทาน ผูกมัดเรา ทำเข็ญให้เรา
 ยิ่งกว่าที่หากเราจะถูกแกล้งหาเรื่องจับจองจำในคุกในตะรางเสียอีก
 เพราะปรากฏว่ามันไม่เคยผ่อนผันให้เราเป็นอิสระ หรือพักผ่อน แม้ชั่วครู่ชั่วยาม

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608034646315109161&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

เมื่อมี "ฉัน" ขึ้นมาในสันดานแล้ว "ฉัน" ก็อยากนั่น อยากนี่
 อยากให้เปนอย่างนั้นอย่างนี้ อยากไม่ให้ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ซึ่งเมื่อพิจารณาดู ซ้ำอีกทีหนึ่งแล้ว จะเห็นว่า เต็มไปด้วย ความเห็นแก่ตนเอง
 หรือ "ฉัน" นั้น ร้อยเปอร์เซ็นต์ "ฉัน" ไม่อยากเจ็บปวด ไม่อยากตาย
 หรือแหลก ละลายไปเสีย ฉัน จึงกลัวเจ็บกลัวตาย เป็นสัญชาตญาณ ของ "ฉัน"
เมื่อกลัวตายอย่างเดียว อยู่ภายในใจแล้ว ก็กลัวง่าย ไปทุกสิ่งที่เชื่อกันว่า
 มันจะทำให้ตาย หรือทำให้เจ็บป่วย ซึ่งเป็นน้องของตาย ทำให้ฉันกลัว
 ผีจะหักคอฉัน กินฉันหลอกฉันขู่ฉัน กลัวเสือซึ่งไม่เคยปรากฏว่าเป็นเพื่อนกันได้


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608051134692983528&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

และ
 กลัวสัตว์อื่นๆ แม้แต่งูตัวนิดๆ กลัวที่มืดซึ่งเป็นที่อาศัยของสิ่งน่ารังเกียจเหล่านั้น
 กลัวที่เปลี่ยว ซึ่งไม่มีโอกาส ที่ตนจะต่อสู้ป้องกันตัวได้
 กลัวคู่เวร จะลอบทำฉันให้แตกดับ
 กลัวฉันจะอับอายขายหน้าสักวันหนึ่ง เพราะฉัน มีความผิดปกปิดไว้  
บางอย่าง ฉันกลัว เพราะไม่เข้าใจว่า สิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ เช่น
 ผลไม้ดีๆ บางอย่าง แต่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ถ้ารูปร่าง หรือ สีมันชอบกลแล้ว
 ฉันก็กลัว ไม่กล้ากิน หรือแม้แต่จะชิมก็ขนลุก และในที่สุดเมื่อ
"ฉัน" ปั่นป่วน ในปัญหาการอาชีพ หรือ ชื่อเสียงเป็นต้นของฉัน
 กลัวว่า ฉันจะเสื่อมเสียอยู่เสมอ ฉันก็เป็นโรคใจอ่อน หรือโรคประสาท
 สะดุ้งง่าย ใจลอย ความยึดถือว่า ฉันเป็นฉัน เหล่านี้เป็น มูลเหตุของความกลัว
 ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ก็กวาดความสดใส ชุ่มชื่นเยือกเย็น ให้หมดเตียนไปจากดวงจิตนั้น


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608003524981753081&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

เมื่อพบว่า ต้นเหตุ ของความกลัว คืออะไร ดังนี้แล้ว
 เราก็มาถึง ปัญหา ว่าจะตัดต้นเหตุนั้นได้อย่างไร เข้าอีกโดยลำดับ
 ในตอนนี้เป็นการจำเป็น ที่เราจะต้องแบ่งการกระทำ ออกเป็นสองชั้น
 ตามความสูงต่ำ แห่งปัญญา หรือความรู้ ของคนผู้เป็นเจ้าทุกข์
 คือถ้าเขามีต้นทุนสูงพอ ที่จะทำลายอุปาทาน ให้แหลกลงไปได้
 ก็จะได้ ตรงเข้าทำลาย อุปาทาน ซึ่งเมื่อทำลายได้แล้ว
 ความทุกข์ทุกชนิด จะพากันละลายสาบสูญไปอย่างหมดจดด้วย นี้ประเภทหนึ่ง
 และอีกประเภทหนึ่ง คือ พยายาม เพียงบรรเทาต้นเหตุให้เบาบางไปก่อน
 ได้แก่ การสะสางมูลเหตุนั้น ให้สะอาดหมดจด ยิ่งขึ้น



(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608036222568369194&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)


ประเภทแรก สำเร็จได้ด้วยการปฏิบัติธรรมทางใจ ให้ก้าวหน้าสูงขึ้นตามลำดับๆ
 จนกว่าจะหมดอุปาทาน ตามวิธีแห่งการปฏิบัติธรรม อันเป็นเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่ง
 ผู้สำเร็จ ในประเภทนี้ คือ พระอรหันต์ จึงเป็นอันว่า จักงดวิธีนี้ไว้ก่อน
 เพราะไม่เป็นเรื่องที่สาธารณะแก่บุคคลทั่วไป
 และเป็นเรื่องที่เคยอธิบายกันไว้อย่างมาก ต่างหากแล้ว

ส่วนประเภทหลัง นั้นคือ การพยายาม ประพฤติ ความดี ทั้งทางโลก และทางธรรม
 ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ จนตนติเตียนตนเองไม่ได้ ใครที่เป็นผู้รู้ แม้จะมีทิพยโสต
 หรือทิพยจักษุ มาค้นหา ความผิด เพื่อติเตียนก็ไม่ได้
 เป็นผู้เชื่อถือ และเคารพตัวเองได้เต็มเปี่ยม ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนท่าน
 ไม่มีเวรภัยที่ผูกกันไว้กับใครรู้กฏความจริงของโลกศึกษาให้เข้าใจในหลักครองชีพ
 หาความ หนักแน่น มั่นใจให้แก่ตัวเอง ในหลักการครองชีพ และรักษา ชื่อเสียง
 หรือคุณความดี พยายามทำแต่สิ่งที่เป็นธรรมด้วย ความหนักแน่น เยือกเย็น
 ไม่เปิดโอกาสให้ใครเหยียดหยามได้ ก็จะไม่ต้องเป็นโรคใจอ่อน หรือโรคประสาท
 เพราะมีความ แน่ใจตัวเอง เป็นเครื่องป้องกัน และสำเหนียก อยู่ในใจ เสมอว่า
 สิ่งทั้งปวงเป็น อนัตตา เป็นไปตามเรื่อง คือ เหตุปัจจัยของมัน ไม่เป็นของแปลก
 หรือได้เปรียบ เสียเปรียบ อะไรแก่กัน ในเรื่องนี้


(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608054802590666017&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความกลัว ก็หมดไป ใจได้ที่พึ่ง ที่เกษม ที่อุดม ยิ่งขึ้น
 สมตาม พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสการเห็นแจ้ง อริยสัจ สี่ประการ ไว้ในรองลำดับ
 แห่งการถือ ที่พึ่งด้วยการถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ
 อริยสัจ ก็คือการรู ้ เหตุผลของความทุกข์ และของความพ้นทุกข์
 ความกลัว ก็รวมอยู่ในพวกทุกข์ เห็นอริยสัจอย่างเพลา
 ก็คือ การเห็น และตัดต้นเหตุแห่งความกลัว
 ประเภททีหลังนี้ เห็นอริยสัจ เต็มที่ถึงที่สุด ก็คือ
 พระอรหันต์ หรือ การตัดต้นเหตุประเภทแรก ได้เด็ดขาด

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608053883472317210&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

ข้าพเจ้าขอจบ เรื่องนี้ลง ด้วย พระพุทธภาษิต
 ที่เราควร สำเหนียก ไว้ในใจ อยู่เสมอ
 อันจะเป็นดุจ เกราะ ป้องกันภัย จาก ความกลัว ได้อย่างดี ดังต่อไปนี้

"มนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ถูกความกลัว คุกคาม เอาแล้ว
  ย่อม ยึดถือเอา ภูเขาบ้าง ป่าไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง
  สวนที่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง รุกขเจดีย์บ้าง เป็นที่พึ่งของตนๆ
  นั่นไม่ใช่ ที่พึ่ง อันทำความ เกษม ให้ได้เลย
  นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด ผู้ใดถือสิ่งนั้นๆ เป็นที่พึ่งแล้ว
  ก็ยังไม่อาจ หลุดพ้น ไปจากความทุกข์ ทั้งปวงได้




(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.607997743949154742&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)


  ส่วนผู้ใดที่ถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว
  เห็นอริยสัจทั้งสี่ ด้วยปัญญาอันถูกต้อง คือ เห็นทุกข์ เห็นเหตุ
  เครื่องให้เกิดทุกข์ เห็นการก้าวล่วงไปเสียได้จากทุกข์ และ
  เห็นหนทาง อันประกอบด้วยองค์แปดประการ อันประเสริฐ
  อันเป็นเครื่องยังผู้นั้น ให้เข้าถึง ความรำงับแห่งทุกข์ นั่นแหละ
  คือ ที่พึ่งอันเกษม นั่นแหละ คือที่พึ่งอันสูงสุด
  ผู้ใด ถือเอา ที่พึ่ง นั้นแล้ว ย่อมหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวงได้ (ธ. ขุ. ๔๐)

  ความโศก ย่อมเกิดแต่ความรัก
  ความกลัว ย่อมเกิดแต่ความรัก
  สำหรับผู้ที่พ้นแล้ว จากความรัก
  ย่อมไม่มีความโศก
  ความกลัว จักมีมาแต่ที่ไหนเล่า

(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608014283869848773&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)

 ความโศก ย่อมเกิดมาจาก ตัณหา (ความอยากอย่างนั้นอย่างนี้)
   ความกลัว ย่อมเกิดมาจาก ตัณหา (เพราะกลัวไม่สมอยาก)
   สำหรับผู้ที่พ้นแล้วจาก ตัณหา ย่อมไม่มีความโศก
  ความกลัว จักมีมา แต่ที่ไหนเล่า " (ธ. ขุ. ๔๓)



ขอให้ความกลัว หมดไปจากจิต ความสุข จงมีแต่ สรรพสัตว์ เทอญ

 

พุทธทาสภิกขุ


๑ สิงหาคม ๒๔๗๙



(http://ts1.mm.bing.net/th?&id=HN.608007484935242661&w=300&h=300&c=0&pid=1.9&rs=0&p=0)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 19, 2014, 04:14:01 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/p75x225/10603630_802302239800749_8942821144256946574_n.jpg?oh=5826a73c801d240ab22899659eccf077&oe=54CE49A0&__gda__=1422820391_c79cfe69ea4766c7f2324695cd73e7ad)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 23, 2015, 06:59:43 PM
(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQm-AIcWWtdRuyNmYDmQMYvdAnYMbCyCVjGzC2WNcJil9Cgz_gNzQ)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 30, 2015, 01:03:34 AM
(https://scontent-kul1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xft1/v/t1.0-9/11760186_884422028291808_6056558301419004019_n.jpg?_nc_eui=AWh0twnxM3fNFFr0mnJ7NZMlpdWaRw512gPypw&oh=45f94cb5b085f97d13cf120691fdab31&oe=56542893)
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน
"ความกตัญญู" เป็นพื้นฐานของความดี..
คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้ คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร ถ้าไม่ขออโหสิกรรมฯ
ขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆ น้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษอันใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า


นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้... ให้... ให้... ฯลฯ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น..
ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัว ไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไร ต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ลฯ
ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อ จรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี..
คำสอน..หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 05, 2015, 09:51:45 PM
(https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xft1/v/t1.0-9/11822788_897426886999183_5206418304017572538_n.png?oh=882e22c37a0cccd9bd8ac5adc65b37e5&oe=5647D600)
บูชาคุณหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ก า ย เ ค้ า ก็ แ ส ด ง ใ จ เ ค้ า ก็ แ ส ด ง
เค้าไม่หลบไม่ลี้ไปไหนหรอก แสดงก็แสดงแบบโง่ๆ

ก็ต้องมีสติเห็น เห็นชัดถึงสุด
เห็นสุขก็เห็นว่าเป็นสุข เห็นทุกข์ก็เห็นว่าเป็นทุกข์
เห็นร้อนเห็นหนาวก็เห็นว่าเป็นร้อนเป็นหนาว

เราก็เห็นเรื่อยไป เห็นเรื่อยไป อะไรที่เขาแสดง
เขาแสดงหลายครั้งหลายหน ก็เหลวใหลทั้งนั้นแหละ
เหมือนเราไปดูหนัง เรื่องเดียว สองรอบสามรอบ

หรือเหมือนกับวิทยากรพวกอบรมนักเรียน
ที่ไปอบรมที่ไหนก็เอาเรื่องเก่าเรื่องเก่าไปอบรม
นักเรียนเขาก็รู้ล่วงหน้าแล้ว ต่อไปก็จะเป็นอย่างนั้น
ต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้
มันก็เบื่อ ไม่อยากฟัง ไม่อยากสนใจ

เราเห็นตัวเราหลอกตัวเรา
เราเห็นตัวเราทำให้เราเป็นทุกข์ เราก็ถูกความทุกข์หลอก
เราเห็นเราทำให้เราเป็นสุข ถูกความสุขหลอก

ถ้ามีสติมันหลอกไม่ได้ถึงไหนหรอก
เหมือนคนที่หลอกเรา มันหลอกไม่ได้ถึงไหน
แต่มันก็จะมีปัญญาตรงนั้นด้วย
การปฎิบัติธรรมมันเป็นไปทำนองนี้

ฟังได้ที่นี่ค่ะ
23 พบกัน ณ ที่มีสติ: หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ
https://www.youtube (https://www.youtube)....h?v=SyqZwdWGeqQ
นาทีที่ 4:00 - 5:20


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 01, 2015, 09:44:13 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpl1/v/t1.0-9/11952033_1141802385831506_3454522502391051855_n.png?oh=015b295517fcb44d65ac7411e28115fe&oe=566720E1&__gda__=1449655109_831c85e900f99c730c790353ec828397)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 12, 2015, 04:16:28 PM
(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/e7/fe/81/e7fe81f7aebc68b47eb7793ad861ee43.jpg)

มีพระหนุ่มรูปหนึ่ง..... อารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ในแต่ละวันจะมีเรื่องที่ขุ่นเคืองไม่พอใจอยู่เสมอ

เวลานั่งสมาธิ หากได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน
เสียงดังก็ไม่พอใจ บางทีก็ตบะแตกต่อว่าคนที่พูดคุยกัน

เวลากวาดใบไม้ก็บ่นว่าไม้ใบเยอะ
กวาดไปก็หงุดหงิดไป

บางทีก็ต่อว่าเพื่อน
หาว่าเพื่อนกินแรง

ไม่ว่าจะทำอะไร
ถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกใจก็จะโมโหง่าย
แม้แต่บางทีใช้ปากกาแล้วเขียนฝืด
ก็ขว้างปากกาทิ้ง

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้
อยู่ในสายตาของหลวงพ่อตลอด

วันหนึ่งหลวงพ่อจึงบอกให้พระหนุ่มนี้
ไปเอาเกลือจากในครัวมาห่อหนึ่ง
และให้ไปรินน้ำมาแก้วหนึ่ง
แล้วให้โรยเกลือลงไปในแก้วน้ำนั้น

สักพักหลวงพ่อให้พระหนุ่มชิมน้ำในแก้วนั้นดู
พระหนุ่มบอกว่าเค็มมาก

หลวงพ่อจึงพาเดินไปที่ลำน้ำหน้าวัด
แล้วให้พระหนุ่มเอาเกลือที่เหลือโรยลงไปในลำน้ำนั้น
แล้วให้ชิมน้ำนั้นดู หลวงพ่อถามว่าเป็นอย่างไร
พระหนุ่มบอกว่าจืด

ตอบไปก็งงไป
ว่าหลวงพ่อตั้งใจจะบอกอะไรแก่ตน

หลวงพ่อให้เวลาพระหนุ่มคิดสักพัก
แต่พระหนุ่มก็คิดไม่ออก

ท่านจึงบอกว่าความทุกข์ในชีวิตคนเรา
เหมือนกับเกลือ คือว่าจะเค็มหรือจะจืด
ขึ้นอยู่กับภาชนะที่ใส่น้ำด้วย

ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะเป็นน้ำแก้วหนึ่ง
หรือจะเป็นลำน้ำสายหนึ่ง

แล้วให้พระหนุ่มลองพิจารณาดูว่า
ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่
สิ่งที่ไม่ถูกใจเรา ไม่เป็นไปดั่งใจเรา
จะว่าไปก็เหมือนกับเกลือ
แต่จะเค็มหรือจืดขึ้นกับภาชนะที่ใส่น้ำ

ความทุกข์ก็เช่นกันจะจืดหรือจะเค็ม
ขึ้นอยู่กับใจของเรา
ว่าใจของเราเหมือนแก้วน้ำเล็กๆ
หรือเหมือนกับลำน้ำ ซึ่งมีขนาดต่างกันมาก

เวลาที่เราเจอเหตุการณ์อะไรก็ตาม
หากเรามีความขุ่นเคืองหรือมีความทุกข์มาก
นั้นแสดงว่าใจเราเล็ก ใจเราแคบเหมือนกับแก้วน้ำ

หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าสิ่งที่มากระทบเรา
หรือเกิดขึ้นกับเราจะทำให้เราเจ็บปวดหรือไม่
ขุ่นเคืองหรือไม่นั้น

ขึ้นอยู่ที่ใจเราด้วย
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่สิ่งที่มากระทบเท่านั้น

ใบไม้จะเยอะ เพื่อนร่วมงานจะไม่น่ารัก
หรือดินฟ้าอากาศจะไม่เป็นใจ
แต่มันทำให้เราทุกข์ไม่ได้
หากใจเราใหญ่เหมือนแม่น้ำหรือลำน้ำ

พูดง่ายๆ ว่าสุขหรือทุกข์นั้น
ขึ้นอยู่กับคุณภาพจิตของเรา

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่มากระทบ
หรือเกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นอย่างไร

ใจที่เล็กกับใจที่กว้างใหญ่นั้น ส่งผลให้เรา
เป็นคนทุกข์ง่ายหรือไม่

คนที่ใจแคบใจเล็ก คิดถึงแต่ตัวเอง
เมื่อเจออะไรมากระทบก็ทุกข์ไปหมด โกรธ
ไม่พอใจไปหมด

แต่คนที่ใจกว้างใหญ่
แม้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ก็รู้สึกปกติ เฉยๆ ได้

พระไพศาล วิสาโล


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 16, 2016, 10:09:53 AM
(https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-9/10312564_977131775667799_4782712183112696596_n.jpg?oh=0b79f92306bcbeaf93d6010fc041a237&oe=578997B5)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 16, 2016, 07:37:03 PM
คืนฟ้าฉ่ำฝน ตอนที่ 1

รวมบทกวีของ

เรียวกัน

พระโง่ผู้ยิ่งใหญ่

พระมหาสมภาร พรมทา

แปลและเรียบเรียง

จาก ONE ROBE ONE BOWL

The Zen Poetry of Ryōkan



(https://i1.wp.com/upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/e/ec/Ryokan-Sculpture.jpg)


Ryōkan (Photo credit: Wikipedia)


ของ John Stevens

จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์จตุจักร

ตีพิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2525



ประวัติย่อเรียวกัน

พระเซนสังกัดนิกายโซโต เกิดเมื่อ พ.ศ. 2301 และมรณภาพ
เมื่อ พ.ศ. 2374 เรียวกันไม่ใช่ชื่อจริง เป็นศาสนฉายา หมายความ
ว่าผู้มีใจที่เปิดกว้างต่อคุณธรรม เดิมเรียวกันมีชื่อจริงว่า เออิโซ
เป็นชาวจังหวัดเอชิโกะ เกิดที่หมู่บ้านอิสึโมซากิ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่ง
ตะวันตกของเกาะญี่ปุ่น

ชีวิตในวัยเด็ก แตกต่างจากเด็กทั่วไป เป็นคนช่างคิดและสนใจใน
ศาสนธรรม กับ วรรณคดี  มักจะปลีกตัวไปอ่านคำสอนของขงจื๊อ
หรือกวีนิพนธ์โบราณอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง

เรียวกันบวชเป็นพระอยู่ในวัดประจำหมู่บ้าน เป็นเวลาสี่ปี วันหนึ่ง
มีอาจารย์เซนท่านหนึ่ง ชื่อ โกกุเซน จาริกผ่านมา หลังจากสนทนา
กัน เรียวกันก็ตัดสินใจออกติดตามเป็นศิษย์ เพราะเลื่อมใสใน
จริยวัตรและปฏิภาณในการแสดงธรรมของอาจารย์เซนท่านนั้น
อาจารย์โกกุเซน เป็นเจ้าอารามเอนซูจิ หมู่บ้านตามาชิมะ
ในจังหวัดบิตชู เรียวกันศึกษาธรรมอยู่กับอาจารย์โกกุเซน ที่
อารามเอนซูจิเป็นเวลา 12 ปี ยามว่างก็ฝึกหัดเขียนบทกวี
และคัดลายมือพู่กันอยู่เสมอ


ต่อมาในปี พ.ศ. 2333 อาจารย์โกกุเซน ได้มรณภาพ เรียวกันจึง
ตัดสินใจออกจาริกไปในที่ต่างๆ เป็นเวลา 5 ปี และในปีสุดท้าย
เรียวกัน ก็ได้ประสบข่าวร้าย อันนำความสะเทือนใจมาสู่ชีวิตเป็น
คำรบสอง หลังจากที่ต้องสูญเสียมารดาไป ในปี พ.ศ. 2326
กล่าวคือ บิดาที่หนีระหกระเหินจากอำนาจป่าเถื่อนของรัฐบาล
ขุนศึก ไปใช้ชีวิตบั้นปลาย ณ เมืองเกียวโต ได้ฆ่าตัวตาย ด้วย
การกระโจนลงไปในแม่น้ำกัตซูระ เพราะทนความคับแค้นบีบ
คั้น ของรัฐบาลไม่ไหว เรียวกันเดินทางไปจัดการศพบิดา ตาม
ประเพณีเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ตัดสินใจเดินทางจากเกียวโต
กลับคืนสู่มาตุภูมิ

ที่บ้านเกิด เรียวกันได้ปลูกกระท่อมเล็ก ๆ ที่เชิงเขากุกามิ ห่าง
จากหมู่บ้านประมาณ 6 ไมล์ ขนานนามว่า โกะโกอัน แปลว่า
อาศรมของผู้ใฝ่สันโดษที่ยังชีพด้วยข้าววันละ 1 โกะโก
กระท่อมของท่านตั้งอยู่บนริมผา หันหน้าออกไปทางทะเล เมื่อ
มองจากกระท่อมลงไปจะเห็นทัศนียภาพที่สวยงามมากฟองคลื่น
สีขาวซัดสาดโขดหินไม่ขาดระยะ ลมทะเลพัดโชยทิวสนดังหวีด
หวิว ผสานกับเสียงนกร้องท่ามกลางดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่ง
ที่นั้น เรียวกันได้ใช้ชีวิตอันสุขสงบเยี่ยงอนาคาริกผู้ละเคหสถาน
บ้านเรือน ออกประพฤติสมณพรตอยู่กับ ป่าไม้และขุนเขา เรื่อย
มาจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิต

โกะโกอัน
เรียวกัน สิ้นลมหายใจในวันที่ 6 มกราคม 2374 รวมอายุได้
73 ปี

บทกวีบทสุดท้ายที่เรียวกันร้อยกรองออกมาก่อนสิ้นชีวิต ว่า

ชีวิตเปรียบเหมือนหยาดน้ำค้าง

   ที่วันหนึ่งต้องถึงคราวเหือดแห้ง
   วันคืนผ่านไปไม่หวนกลับ
   เช่นชีวิตและร่างกายของฉัน
   ที่ค่อย ๆ ทรุดโทรมผุพัง
   รอเวลาเปื่อยเป็นธุลีดิน

เรียวกันเขียนผลงานไว้มากมาย และใช้รูปแบบการเขียนที่
หลากหลาย รูปแบบกวีนิพนธ์คลาสสิคของจีน มีจำนวนกว่า
400 ชิ้น นอกนั้น เป็นบทเพลงพื้นบ้าน ไฮกุ และวากะ มี
จำนวนนับไม่ถ้วน เรียวกัน มีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือเป็น
กวีที่ไม่ยึดติดในฉันทลักษณ์

งานส่วนใหญ่ มักมีเนื้อหาง่าย ๆ เกี่ยวกับ ชีวิตประจำวันของ
เรียวกันเอง ธรรมชาติป่าไม้ขุนเขา และอารมณ์อ่อนไหวต่อ
ความทุกข์เข็ญของเพื่อนร่วมโลก มีเพียงบางชิ้นที่พูดถึง
ปรัชญาอันลึกซึ้งในพุทธศาสนา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอิทธิพลของ
นิกายโซโตที่เรียวกันสังกัดอยู่ ที่มีคำสอนต่างจากนิกายอื่น อยู่
 
2 ประการด้วยกัน คือ•นิกายโซโตถือว่า ในการปฏิบัติสมาธินั้น การขบคิด

โกอานหรือปริศนาธรรมพร้อม ๆ กันไปด้วย เป็นสิ่งที่ไร้
ประโยชน์ ก่อให้เกิดความสับสนวู่นวายขึ้นในจิตใจ นิกายโซโต
เห็นว่าการปฏิบัติสมาธิอยู่ที่การปล่อยวางทั้งร่างกายและจิตใจ
ให้ว่างเปล่า อิสระจากกฎเกณฑ์ทั้งปวง•พระในนิกายนี้ จะใข้ชีวิตเรียบง่าย เรื่อย ๆ อยู่กับการงาน
อย่างมีสติ

เรียวกันคือตัวแทนของความรู้สึกนึกคิด
ส่วนลึกของคนญี่ปุ่นรุ่นเก่า

   ยาสึนาริ คาวาบาตะ
ผู้ที่เข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของเรียวกัน
ชื่อว่าเข้าถึงจิตวิญญาณของประชาชาติญี่ปุ่น
   ไดเซตส์ ที. ซูสุกิ

บทกวี “คืนฟ้าฉ่ำฝน” (บางบท)

2
ฝนหยุดแล้ว
เมฆลอยล่องลม
ฟ้าแจ่มอีกครา
ถ้าใจของท่านผ่องใส
ทุกสิ่งในโลกย่อมพลอยสดใส
ลืมโลกที่สับสน
และลืมตัวท่านเอง
แล้วดวงเดือนและดอกไม้
จะจูงมือท่าน
เข้าสู่หนทางแห่งสัจธรรม
3
เงียบงัน
ฉันนั่งฟังเสียงใบไม้หล่น
กระท่อมโดดเดี่ยวหลังหนึ่ง
กับชีวิตที่โลดลิ่วเป็นอิสระชีวิตหนึ่ง
อดีตที่เลือนราง
ความทรงจำที่ล่องลอย

ชายแขนเสื้อคลุมฉัน
ชุ่มน้ำตา

5
คืนฟ้าฉ่ำฝน
น้ำหลากท่วมทางเดินเข้าหมู่บ้าน
เช้าวันนี้
กอหญ้าข้างกระท่อมของฉัน
เย็นเยียบเพราะละอองฝน
ที่หน้าต่าง
เขาครามมองเห็นลิบลับ
สลัวเลือนในสายฝน
ปานหยกเขียวในสายหมอกขาว
ข้างนอกกระท่อม
ธารน้ำใสไหลริน
เลาะเลี้ยวตามเกาะแก่ง
ระยิบระยับดังสายไหม
ยามต้องแสงแดด
ใต้หุบผาใกล้กระท่อม
ฉันก้มล้างฝุ่น
ที่จับเป็นคราบข้างซอกหู
ด้วยน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ที่เย็นฉ่ำใสสะอาด
บนต้นไม้
จักจั่นเริงรำขับขาน
ฉันฉวยเสื้อคลุมหยิบไม้เท้า
เตรียมออกเดินเล่น
แต่ความงามแห่งธรรมชาติยามอรุณ
สะกดฉันให้ตะลึงลานเงียบงัน
อยู่ที่นั้นเอง

7
…..
บาตรของฉัน
อบอวลด้วยกลิ่นข้าวจากหมู่บ้าน
หัวใจของฉัน
โลดทะยานออกจากห่วงโซ่
แห่งความฟุ้งเฟ้อและเกียรติยศแบบโลก ๆ
ถนอมความรำลึก
ที่มีต่อเหล่าอดีตพุทธะไว้ทุกยาม
แม้ในเวลาเข้าไปในหมู่บ้าน
เพื่อภิกขาจาร

9
…..
เกล็ดน้ำแข็งบนเสื้อคลุมบาง
คือของกำนัลที่ฉันได้รับ
เพื่อนเก่าหายหน้า
เพื่อนใหม่ไม่มี
ฉันเดินเข้าไปในเพิงพักร้อน
ที่ถูกทิ้งให้ว่างเปล่า
วังเวง อ้างว้าง
…..

ขอขอบคุณ ดร. สมภาร พรมทา ผู้แปลและเรียบเรียง
เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้

..


 


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 16, 2016, 07:39:51 PM
คืนฟ้าฉ่ำฝน ตอนที่ 2



คืนฟ้าฉ่ำฝน


รวมบทกวีของ

เรียวกัน

พระโง่ผู้ยิ่งใหญ่


(https://i2.wp.com/upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/e/ec/Ryokan-Sculpture.jpg/300px-Ryokan-Sculpture.jpg)
Ryōkan (Photo credit: Wikipedia)

12
…..
ถ้ามีใครถามฉันว่า
อะไรคือเครื่องหมาย
บอกให้รู้ว่า
นี่คือมายา นี่คือการรู้แจ้ง
ฉันก็ตอบไม่ได้
ฉันทราบเพียงว่า
สำหรับฉันนั้น
ฝุ่นธุลีกับทรัพย์สินเกียรติยศ
หามีความแตกต่างกันไม่
…..
15
หอบสังขารที่ทรุดโทรมขราภาพ
และไร้ประโยชน์มานานแล้ว
วันแล้ววันเล่า
ภายในกระท่อมที่เงียบเหงาหลังนี้
ฉันเฝ้ามองมวลบุปผาบานสะพรั่งในภายนอก
หากฤดูใบไม้ผลิมาเยือน
และหากยามนั้นฉันยังมีลมหายใจอยู่
แน่ใจได้เลยว่า
ฉันจะมาเยี่ยมท่านอีก
รอฟังเสียงไม้เท้าของฉันให้ดีนะ

17
เมื่อมีความงาม
ความน่าเกลียดย่อมตามมา
เมื่อมีความถูกต้อง
ย่อมมีความผิดพลาด
ปัญญากับอวิชชาเป็นของคู่กัน
ภาพลวงกับการรู้ทันความลวง
แยกจากกันไม่ได้
นี่คือสัจธรรม
ที่มีมานานนับอสงไขยกาล
“ฉันอยากได้นี่
กูต้องการนั่น
หาใช่สิ่งอื่นใด
แท้คือความงมงาย
หลงละเมอมายา
ฟังนะ ฟังเอาไว้
ฉันจะบอก
อมตวจนะประโยคหนึ่งให้
“สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน”

24
…..
ณ ที่นี่ฉันใช้วันคืน
อยู่กับชีวิตที่สมถะสุขสงบ
มีเพียงเสียงนกดุเหว่าขับขาน
เป็นเพื่อนยามราตรี

26
ชีวิตของคนเรา
เปรียบได้กับแสงตะเกียง
บางคราวก็โชติช่วงรุ่งเรือง
บางครั้งก็ริบหรี่ เศร้าหมอง
…..

31
เรียวกันคนนี้
คล้ายคนบ้า
เหมือนคนโง่
ร่างกายและจิตใจของเขา
ได้รับการกล่อมเกลา
ให้หลับสนิทแล้ว
(หมายเหตุ : ร่างกายและจิตใจของเขาได้รับการกล่อมเกลาให้หลับสนิทแล้ว
เป็นคำที่รู้จักกันดีในหมู่นักปฏิบัติธรรมของเซนนิกายโซโต การปฏิบัติสมาธิ
คือ การกล่อมเกลาร่างกายและจิตใจให้หลับ)

34
…..
ปีที่แล้ว ฉันคือพระโง่
ปีนี้ เหมือนเดิม

35
เจ็ดสิบปีแล้วสินะ
ที่ฉันเลิกใส่ใจ
ถึงความดี
และความเลว
ของคนอื่น
หันมาเฝ้ามองตนเอง
อย่างจริงจัง
ผู้ที่คอยจับผิดคนอื่น
จนลืมสำรวจตัวเอง
คือคนอ่อนแอ
…..

37
…..
ชีวิตของพระเซนรูปหนึ่ง
ช่างสมถะเรียบง่าย
และสุขสงบอะไรเช่นนี้

50
กลับจากเที่ยวบิณฑบาตเช้านี้
ขณะเดินเข้าประตูกระท่อม
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น
ไม้ป่าเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง
งอกอยู่ซอกประตูกระท่อม
ภายในกระท่อม
ฟืนแห้งกับใบไม้สด
ถูกโยนเข้าเตาไฟ
ฉันนั่งอ่านบทกวีของกันซาน
อยู่หน้าเตาไฟ
ลมฝนพัดพลิ้วหอบละอองน้ำ
ปะทะต้นกกไหวเอนไปมา
เพลินอ่านบทกวีจนหลังเมื่อยขบ
ฉันเหยียดขาออก
เอนตัวลงบนแคร่
สำรวมใจเป็นสมาธิ
อา ฉันเข้าใจแล้ว
ฉันเข้าใจ
ความเร้นลับของสรรพสิ่งแล้ว

52
ใครหนอว่าบทกวีของฉันเป็นบทกวี
บทกวีของฉันไม่ใช่บทกวีดอก
เมื่อใดที่ท่านเข้าใจว่าทำไม
บทกวีของฉันจึงไม่ใข่บทกวี
เมื่อนั้นเราค่อยมาคุยกัน
ถึงเรื่องกวีนิพนธ์

ขอขอบคุณ ดร.สมภาร พรมทา ผู้แปลและ

เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 16, 2016, 07:59:08 PM
แนะนำหนังสือเก่าหายาก … คืนฟ้าฉ่ำฝน ตอนที่ 3   

 คืนฟ้าฉ่ำฝน   
รวมบทกวีของ

เรียวกัน

พระโง่ผู้ยิ่งใหญ่


(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto2/bphoto180.jpg)


55   

ภาพลวงกับการรู้ทันความลวง   

เปรียบได้กับเหรียญเงิน   

ที่มีสองหน้า   

ปรมัตถสัจจะ   

ที่เป็นกฎของสากลจักรวาล   

หาได้แตกต่าง   




จากโลกียสัจจะไม่   

.....   




59   

กระท่อมน้อยหลังนี้   

โดดเดี่ยวมานาน   

วันแล้ววันเล่า   

ไม่มีโครผ่านมา   


ฉันนั่งเหม่อ   

อยุ่ริมหน้าต่าง   

มีเพียงเสียงใบไม้หล่น   

ผสานเสียงลมหวีดหวิว   

เป็นเพื่อนคลายเหงา   

62   

.....   

ณ หุบเขาแห่งนี้   

ฉันใช้เป็นที่พักพิงทั้งกายและใจ   

พร้อมกับใช้เป็นที่หวนรำลึก   

ไปหาอดีตอันยาวนาน   

63   

ท่ามกลางป่าเปลี่ยวแห่งนี้   

กระท่อมน้อยของฉัน   

แอบตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ   

ตัดขาดจากโลกภายนอก   

กระท่อมซอมซ่อหลังนี้   

มีเถาวัลย์เป็นรั้ว   

มีเสียงเพลงของคนตัดฟืน   

เป็นมโหรีขับกล่อม   

มีแสงเดือนแสงตะวัน   

เป็นโคมส่องต่างตะเกียง   

ยามกลางวัน   

ฉันทำงานไปตามเรื่อง   

เช่นปะชุนเสื้อผ้าที่ขำรุด   

ตกกลางคืน   

ก็ดื่มด่ำอยู่กับความงาม   

ของบทโศลกแห่งพุทธธรรม   

สหายเอ๋ย   

ทั้งหมดแห่งชีวิตของฉัน   

สามารถถ่ายทอด   

ออกมาเป็นคำพูด   

ได้เพียงเท่านี้   

หากเพื่อนต้องการทราบว่า   

อะไรคือแก่นแท้ของชีวิต   

ก็จงหยุดวิ่งไล่   

สิ่งที่เป็นมายาทั้งปวงเถิด   

69   

นับแต่ฉันหนีความพลุกพล่าน   

และวุ่นวายสับสนแห่งนาคร   

มาใช้ชีวิตอันสงบอยู่ที่นี่   

วันเวลาก็ผ่านเลย   

ไปหลายปีแล้ว   

ภายในกระท่อมสันโดษหลังนี้   

ฉันใช้ชีวิตเรียบง่าย   

อยู่กับธรรมชาติ   

ทำงานเหนื่อย   

ฉันก็หยุดพัก   

ยามจิตใจปลอดโปร่ง   

ฉันก็ท่องไปในหุบเขา   

แสวงหาความวิเวก   

เสียงนินทาว่าร้าย   

หรือแซ่ซ้องสรรเสริญ   

ไม่มีความหมายสำหรับฉัน   



วันหนึ่ง ๆ ฉันใส่ใจ   

อยู่แต่กับความเป็นไปของฉันเอง   

ซึ่งถือกำเนิดมา   

ในฐานะรางวัลแห่งความรัก   

ของพ่อและแม่   

ขอจารึกแรงรักแรงถนอม   

ของท่านทั้งสอง   

ไว้ชั่วกัลปาวสาน   

70   

.....   

บทกวีอันเป็นผลจากแรงบันดาล   

ของความงามแห่งธรรมชาติ   

คือรางวัลของชีวิตอันสงบ   

.....   
73   

.....   

วันแล้ววันเล่า   

ราคาของชีวิตที่แท้จริง   

นับแต่จะเลื่อนมลาย   

พร้อมกับความไม่มีแก่นสารของชีวิต   

ที่พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ   

ทรัพย์สินเกียรติยศ   

จะมีค่าอยู่หรือ   

เมื่อเจ้าของของมัน   

หมดลมหายใจแล้ว   

ก็อาจมีค่ามีความหมายอยู่ดอก   

สำหรับให้คนข้างหลัง   

ยื้อแย่งกันต่อไป   

คนหนอคน   

น่าอนาถอะไรเช่นนั้น   

74   

.....   

สิ่งที่ฉันได้รับเป็นรางวัล   

แห่งชีวิตของผู้ละเคหสถาน   

คือความสุขุมเยือกเย็น   

ที่ค่อย ๆ สะสมขึ้นในใจอย่างเงียบ ๆ   

76   

.....   

ชีวิตนะชีวิต   

ดูแล้วก็น่าขำดี   

ทั้งหมดของชีวิต   

มีเพียงกระบอกใส่น้ำดื่ม   

กับบาตรอย่างละใบ   


บางครั้ง   

ฉันเคยเปรียบตัวเอง   

ว่าเหมือนกระท่อมผุพัง   


ที่ผ่านลมและแดดมานาน   

มอซอ คร่ำคร่า   

แต่สุขสงบ   

77   

หนทางสู่พุทธภูมิ   

มีเพียงหนึ่งเดียว   

เมื่อแทงทะลุ   

มายาของสรรพสิ่ง   

ศาสนาทุกศาสนา   

ย่อมไม่มีความแตกต่างกัน   

ในการเข้าสู่พุทธภูมิ   

ไม่มีสิ่งที่ต้องสละออก   

และไม่มีสิ่งที่ต้องไขว่คว้า   

การไขว่คว้าฉวยยึด   

คือการถอยหลัง   

ออกจากพุทธภูมิ   

.....   

78   

แน่แท้ทีเดียว   

สิ่งที่ฉันรักที่สุดในชีวิตนี้   

คือความสันโดษเรียบง่าย   

.....   

ชีวิตของคนที่นี่   

เป็นชีวิตที่สมถะสุขสงบ   

อันได้รับถ่ายทอดเป็นมรดก   

ทางจิตวิญญาณ   

มาหลายชั่วอายุคน   


ภายในกระท่อมหลังน้อย   

อบอวลด้วยกลิ่นไอของศานติ   

หนังสือกวีนิพนธ์โบราณ   

วางกองเป็นระเบียบอยู่บนพื้น   

ยามที่ฉันต้องการหลีกเร้น   

ออกหาวิเวกธรรม   

ฉันมักจะมาที่นี่เสมอ   


ชีวิตทุกชีวิตที่นี่   

เป็นชีวิตที่แนบสนิท   

และประสานกลมกลืน   

เป็นหนึ่งเดียว   

กับเซน   



(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto2/bphoto182.jpg)

84   

ถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี   

แต่ร้อยปีนั้น   

หมดเปลืองไปกับ   

สิ่งที่ไร้แก่นสาร   

คนผู้นั้นจะแตกต่างอะไร   

กับเศษสวะ   

ที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ   

.....   


85   

เมื่อคำพูดออกมาจากอวิชชา   

ทุกสิ่งอย่างย่อมเป็นเพียงภาพลวง   

แต่หากคำพูดนั้นออกมาจากสัจจะ   

สรรพสิ่งย่อมเป็นความจริง   


100   

พุทธะอยู่ในใจ   

หนทางสู่พุทธภาวะอยู่ในกาย   

อย่ามองไปที่อื่น   

จงย้อนกลับมามอง   

ภายในของตนเอง   



(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/597/14597/images/sphoto2/bphoto179.jpg)
ที่ฝังศพเรียวกัน   




หนังสือที่แนะนำเล่มนี้ เป็นหนังสือเก่า เป็นหนังสือดี   

มีคุณค่า และ หายากมากในปัจจุบันเล่มหนึ่ง พิมพ์เมื่อ   25 ปีที่แล้ว   



(http://images.photowall.com/products/48115/calm-zen-lake-and-bonzai-trees-in-tokyo-garden.jpg?h=650&q=90&)


ขอขอบคุณ ดร.สมภาร พรมทา ผู้แปลและ



เรียบเรียงหนังสือเล่มนี้ เป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 20, 2016, 10:23:04 PM
อ้างอิง : หนังสือ “รอยรำลึกที่ผ่านเลย” บทกวีเซนของ เรียวกัน
 พระมหาสมภาร พรมทา แปลและเรียบเรียง
 พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2526
ขอขอบคุณ พระมหาสมภาร พรมทา ไว้เป็นอย่างสูง ณ ที่นี้

 “รอยรำลึกที่ผ่านเลย” รวมบทกวีเซนของเรียวกัน เป็นบันทึกความรู้สึกและ
อารมณ์ขณะใช้ชีวิตบั้นปลายเพียงลำพัง ณ ชนบทแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เมื่อ
สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา

งานเหล่านี้ แฝงไว้ด้วยความเศร้า ความอ้างว้าง ความชื่นบาน ตลอดจน
ความคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตอันยาวนาน

ทัศนะของพุทธศาสนา ได้จำแนกวิถีชีวิตมนุษย์ ออกเป็น 2 สายทางใหญ่ ๆ

สายทางแรก คือ แนวทางของบุคคลผู้ปล่อยตัวให้เลื่อนไหลไปกับกระแสสังคม
อันเชี่ยวกราก ชีวิตเช่นนี้จะเต็มไปด้วยการต่อสู้ แย่งชิง ฉกฉวย สิ่งที่สังคม
ยอมรับว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ได้แก่ เกียรติยศ ความมั่งคั่ง
ซึ่งมีคนเลือกเดินแน่นขนัดทั้งกลางวันและกลางคืน

ส่วนอีกสายทางหนึ่ง คือ แนวทางของผู้มองเห็นความไม่เป็นแก่นสารของ
การแสวงหาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น บุคคลเช่นนี้จะปลีกตัวออกมาจากการต่อสู้
แย่งชิง มาดำรงตนอยู่ด้วยความสันโดษในอาชีพอันสุจริต สะอาด อุทิศตน
เข้าหาความดีงามของชิวิต ซึ่งมีคนเลือกเดินเพียงหยิบมือเดียว

เรียวกัน พระเซนเจ้าของบทกวี คือ หนึ่งในจำนวนคนอันน้อยนิดนั้น

กวีนิพนธ์ชุด “รอยรำลึกที่ผ่านเลย” นี้เป็นงานสืบเนื่องจากกวีนิพนธ์
ชุด “คืนฟ้าฉ่ำฝน”
ภาพ : จากอินเตอร์เน็ต ขอขอบคุณ


(http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201502/01/61951b1c1.jpg)
(http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201501/31/619512d65.jpg)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 31, 2016, 11:56:51 AM
ตามดูตามเห็นอยู่เป็นปกติ

จงตั้งใจดูสิ่งทั้งปวงหรือธรรมทั้งปวงให้เห็นตามที่เป็นจริงว่า สังขารธรรมเหล่านี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อะไรมาปรากฏในสายตาก็ดูให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ดูแล้วก็เห็นอยู่อย่างนี้ในลักษณะที่เรียกว่าตามดูตามเห็นอยู่เป็นปกติ ครั้นถึงขนาดถึงระดับ มันก็จะเกิดวิราคธรรม...คือความเบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น กำหนดความเบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือมั่น

 ฉะนั้นการพอกพูนเพิ่มพูนความเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละเป็นตัวการปฏิบัติที่ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป เพิ่มความเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มากขึ้นเท่าไร วิราคะ ความคลายกำหนัดก็จะเป็นไปยิ่งขึ้นมากขึ้น จนกระทั่งสูญสิ้นความยึดมั่นถือมั่น นี้ก็เรียกว่า นิโรธะ คือ ความดับแห่งความยึดมั่นถือมั่น ความดับแห่งความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน และก็เป็นความดับแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลง และเป็นความดับแห่งความร้อน คือกิเลส มันก็กลายเป็นความเย็น คือพระนิพพาน มาจบลงที่ตรงนี้ แล้วก็เรียกว่าบรมธรรม ธรรมะอันสูงสุด

 พุทธทาสภิกขุ


(https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xpt1/v/t1.0-9/1453219_573667366143073_6694983741155243020_n.jpg?oh=7e17f32df8ec44e99a8b44563d497c32&oe=577AA3F3)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 05, 2016, 05:03:04 PM
(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/12920514_10154033558348446_3283212539432757382_n.jpg?oh=41542d72845e1372e198b7213b0a6602&oe=5782E586)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 05, 2016, 05:04:19 PM
(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/12439276_10153992610235535_3898442200113970505_n.png?oh=7c9c8628f2a548c202c93412defa3025&oe=577FEC71)

เราได้ไปเสียเวลามากมายเกินไปในการกระทำอย่างไรบ้าง แล้วเราก็ยังไม่เคย ก็ยังไม่ได้รับผลในพระพุทธศาสนาตามที่ควรจะได้รับ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราไปทำผิดเสียบ้าง เราไปเสียเวลาในส่วนที่ไม่ควรจะทำเสียบ้าง จึงเกิดผลอย่างนี้ ไม่ได้ประสบผลทันตาเห็นในการที่จะดับทุกข์ของตนของตน

ถ้าเราพิจารณาดูอีกสักนิดหนึ่ง ก็จะพบว่าเราไปสนใจในส่วนที่เป็นข้อปลีกย่อย ที่ไม่ใช่หัวใจของพระพุทธศาสนากันเป็นเสียกันเสียเป็นส่วนมาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราอยากจะเป็นนักปราชญ์มากกว่าที่จะอยากดับความทุกข์ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
 เพราะว่าเราเคยชินจากการที่จะมีหน้ามีตา ว่าเป็นคนมีความรู้มาก เป็นคนผู้เด่น เป็นคนทำอะไรที่เก่งๆหลายๆอย่าง เราก็ไปสนใจกันแต่ในเรื่องที่เขานิยมกันว่าจะทำให้เป็นคนเก่ง แล้วเราก็เลยไม่มีโอกาสไม่มีเวลาที่จะไปสนใจในเรื่องอันเกี่ยวกับความดับทุกข์นั้นโดยตรง มันจึงเสียเวลาไปมากเพราะเหตุนี้

 เมื่อเราจะศึกษาพุทธศาสนา เราก็มีเรื่องราวเป็นอันมากที่จะต้องศึกษาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ละเรื่องยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรด้วยซ้ำไป เพราะว่าต้องทนศึกษาไปอย่างมากมาย จะต้องท่องจะต้องจำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็มีเรื่องที่ทำให้เข้าใจยากยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ในที่สุดก็ไม่เข้าใจอะไรได้

 นี่แหละมีอาการเหมือนกับคนบ้าหอบฟาง ไม่มีเมล็ดข้าวสักเม็ดเดียวอยู่ในฟางนั้น อย่างนี้ก็มีอยู่เป็นส่วนมาก ถ้ามองไม่ดีก็ไม่อาจอาจจะไม่เห็น แต่ถ้ามองให้ดีแล้วก็อาจจะเห็นในข้อที่เราทำอะไรได้มากๆ แต่มันก็ไม่มีความดับทุกข์รวมอยู่ในนั้น นี้ก็นับว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน จึงต้องระวังให้ดีๆ

 ถ้าจะตั้งคำถามกันขึ้นว่า การที่จะศึกษาปฏิบัติพุทธศาสนานี้ จะต้องเรียนอะไรบ้าง เราก็ตอบกันอย่างนั้นอย่างนี้ มีเรื่องที่จะต้องเรียนจะต้องปฏิบัติมากมายเหลือเกิน แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรมากมายอย่างนั้น

 มันควรจะตั้งต้นกันด้วยเรื่องเพียงเรื่องเดียวว่า อย่าไปฟัง อย่าไปคิด อย่าไปนึกอะไรหมดเลย มาคิดมานึกแต่เรื่องที่ว่าเรามีความทุกข์หรือไม่ แล้วก็ดูว่ามันมีความทุกข์เพราะเหตุอะไร เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว เรื่องที่จะมีความทุกข์หรือไม่นั้น ดูจะไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะว่ามันก็รู้สึกกันอยู่ชัดๆว่า ยังมีจิตใจที่เร่าร้อนกระวนกระวาย ส่วนข้อที่ว่าความทุกข์นั้นมาจากอะไรนั้น มันเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณากันสักหน่อยจึงจะเห็นได้ แต่แล้วก็ไม่ยากเย็นเกินไปในการที่จะพิจารณา ยิ่งได้รับคำสั่งสอนกันมามากมายถึงอย่างนี้แล้ว มันก็ยิ่งเป็นการง่ายขึ้น

 คือว่าให้พิจารณาดูให้เห็นแต่เพียงว่า เมื่อใดมีความยึดมั่นสิ่งใดว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา เมื่อนั้นก็มีความทุกข์ทันที เพียงเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับที่จะรู้ จะเข้าใจ และจะปฏิบัติพระพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้เราต้องไปท่องไปจำไปพูดไปจาเรื่องที่ยากยิ่งขึ้นทุกที ยากยิ่งขึ้นทุกที เป็นปรมัตถ์ เป็นอะไรที่สูงลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปทุกที จนกลายเป็นบ้าหอบฟาง ท่วมหัวท่วมหูท่วมตัว มองไม่เห็นตัว เพราะไม่มีข้าวสารอยู่ในนั้นสักเม็ดหนึ่ง ทีนี้ถ้าเราจะเอากันแต่เนื้อข้าวสาร เราก็ไม่ต้องไปดูอะไร นอกจากที่จะดูแต่เพียงว่า ความทุกข์นี้เกิดมาจากอะไร จนพบแล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์นั้น จิตใจก็จะเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในทำนองที่จะหมดกิเลส มีกิเลสอันเบาบางไปตามลำดับ

 พุทธทาสภิกขุ

 ที่มา ธรรมเทศนาวิสาขบูชา ปี พ.ศ ๒๕๑๓ ชื่อ ความเชื่อและการปฏิบัติเพียงข้อเดียว กัณฑ์ ๒
 ฟังได้ที่ http://sound.bia.or (http://sound.bia.or)....e=1215130520020


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 05, 2016, 05:22:56 PM
(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/12417733_10153994650095535_3710177545048147106_n.png?oh=63d46e590be99d853498669a4526abaf&oe=57BDF150)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2016, 05:40:52 PM
วัว 2 แม่ลูกหนีตายจากโรงฆ่าสัตว์เข้าวัด ด้านพระและชาวบ้านร่วมเรี่ยไรเงินไถ่ชีวิต พร้อมช่วยกันตั้งชื่อ ดวงดีกับดวงมี
วันที่ 26 เมษายน 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีพระสงฆ์และชาวบ้านต่างพากันมามุงดูวัว 2 แม่ลูกที่ทุกคนเพิ่งจะช่วยกันระดมเงินบริจาคมาไถ่ชีวิต หลังจากเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา วัวทั้ง 2 ตัว เป็นวัวแม่-ลูก เพศเมียทั้งคู่ ตัวแม่อายุประมาณ 3 ปี ส่วนตัวลูกอายุประมาณ 1 ปี ได้หลุดออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ในบริเวณใกล้เคียง เข้ามาหลบอยู่ภายในวัดท่ามะยม ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา

ต่อมาชาวบ้านได้ช่วยกันจับวัว 2 แม่ลูกไว้ และนำมาให้เจ้าอาวาสวัดท่ามะยมดูแลไว้ หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้มาแสดงตัวเป็นเจ้าของวัว พร้อมขอวัวคืน เนื่องจากจะนำไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ จนเจ้าอาวาสวัดและญาติโยมต้องขอร้องเจ้าของวัวไม่ให้พาส่งโรงฆ่าสัตว์ พร้อมขอเวลาในการระดมเงินบริจาคมาไถ่ชีวิตไว้ ซึ่งได้ข้อตกลงกันว่า จะต้องนำเงินมาไถ่ชีวิตวัวทั้ง 2 ตัว ในราคา 40,000 บาท
 โดย พระวินัยธรดนัย ยโสธโร เจ้าอาวาสวัดท่ามะยม เล่าว่า วัว 2 แม่ลูกเพิ่งหนีออกมาจากโรงฆ่าสัตว์ที่อยู่ห่างจากวัดนี้ไปประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งชาวบ้านได้ช่วยกันจับและนำมาฝากไว้ที่วัด ก่อนจะช่วยระดมรับบริจาคเงินไปไถ่ชีวิตไว้ ซึ่งในตอนแรกเจ้าของวัวตั้งราคาไว้ที่ 60,000 บาท เพื่อไถ่ชีวิตวัวทั้ง 2 ตัวนี้ แต่ตนได้ขอบิณฑบาตไว้ จึงลดเหลือ 40,000 บาท
ภายหลังที่ตกลงเรื่องไถ่ชีวิตวัว 2 แม่ลูกกับเจ้าของเรียบร้อย ก็ได้มีการปรึกษากับชาวบ้านว่า จะทำอย่างไรให้ได้เงินจำนวนนี้มา เนื่องจากเงินของวัดก็มีเงินจำนวนไม่มากขนาดนั้น จึงได้มีการประกาศระดมเงินบริจาคไถ่ชีวิตผ่านเฟซบุ๊กของวัด เมื่อข่าวแพร่ออกไปก็ชาวบ้านผู้ใจบุญพากันบริจาคเงินตามกำลังที่ตนมี กระทั่งช่วงบ่ายสามารถระดมเงินบริจาคได้มากถึงกว่า 100,000 บาท จึงทำให้รู้สึกตกใจมาก ไม่นึกว่าจะมีผู้ใจบุญมากขนาดนี้ ทำให้มีเงินนำไปไถ่ชีวิตวัว 2 แม่ลูก ส่วนเงินที่เหลือ ก็จะเก็บไว้ทำคอกให้อยู่ รวมทั้งไว้ใช้ซื้อหญ้ามาเป็นอาหาร
 นอกจากนี้ ชาวบ้านได้ช่วยกันตั้งชื่อวัว 2 แม่ลูกแล้ว โดยตัวแม่มีชื่อว่า "ดวงดี" ส่วนตัวลูกชื่อว่า "ดวงมี" โดยทางวัดจะเลี้ยงทั้ง 2 แม่ลูกไว้จนแก่ตายไปตามธรรมชาติเอง
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา เพจเฟซบุ๊ก พระวินัยธรดนัย ยโสธโร เจ้าอาวาสวัดท่ามะยม ได้รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเจ้าดวงดีและเจ้าดวงมี ว่า ขอขอบคุณแทนเจ้าดวงดีกับดวงมี ที่มีผู้จิตใจดีทั้งหลายได้ร่วมบริจาคปัจจัยคนละเล็กคนน้อย เพื่อมาไถ่ชีวิตเจ้าดวงดีกับดวงมี ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมพิธีไถ่ชีวิตเจ้าดวงดีกับดวงมี ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2559 (วันฉัตรมงคล) เวลา 09.00 น. เพื่อเป็นการถวายเป็นพุทธบูชาและถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 CR: Kapook


(https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13076758_1006188406138184_8310609395466240872_n.jpg?oh=5dd037ad9362cc5647d0378084a7e117&oe=579D494A)
(https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-9/13076536_1006188446138180_1947445927314325700_n.jpg?oh=aec89d7bd31904e496086c25a3892ed5&oe=57AC5064)
(https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13095817_1006188506138174_5847291066612032294_n.jpg?oh=3e584bf0da19b79366cfa228079cd0b6&oe=57B176FD)

(https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/13124722_1006188556138169_5103360899992478061_n.jpg?oh=2fba0566c0d5d79df896ec1a8295b9a7&oe=57B0F3F2)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 13, 2017, 08:55:57 AM
(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/17201260_10209007533569171_2060462101693210339_n.jpg?oh=271bb7172217986b6a8beb44165cf5c0&oe=596A77F3)

ทำให้มาก พิจารณาให้มาก   
รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี ทุกอย่างเลย เรารู้อันเดียวรู้หมดเป็นลักษณะอันเดียวกันทั้งนั้น   
คล้ายกับว่า โยมจำไก่ตัวนี้ได้ว่ามันมีลักษณะอย่างนี้ จำตัวเดียวเท่านี้ล่ะ จะไปหลายจังหวัดไปพบสัตว์ชนิดนี้มันก็อย่างเดียวกันนี้ ไก่มันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปจำว่าอันนั้นไม่ใช่เป็ดหรอก เป็นไก่ มันแน่เข้าไปอย่างนี้   

เมื่อเรานั่งเมื่อมีเสียงเข้ามา ไม่ใช่เขาไปกวนเรา ความรู้อันนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วคือเราไปกวนเขา เราก็แก้ตรงนี้ ปัญญามันจะค่อยๆ เกิดขึ้นทีหลัง ค่อยๆ วิจัยพิจารณาเอาเอง ขัดข้องตรงไหนก็แก้ตรงนั้น หน้าที่ปฏิบัติสมาธิไม่ต้องทำอะไรมาก ทำจิตให้เป็นหนึ่ง ลม-เข้า, ลม-ออก ให้รู้จัก บางทีมันพะวงไปอย่างอื่นให้กำหนดใหม่ บางทีมันหลงลม ลม-เข้า ลม-ออก ก็ไม่รู้ ก็ตั้งสติใหม่   
***********************
 จากหนังสือ ความผิดในความถูก หลวงปู่ชา สุภัทโท หน้าที่ ๕๕
 ภาพงานอาจริยบูชา หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑๒ -๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ โดยคุณ เจียมรัตน์ ศรีธัญ      


(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t31.0-8/q89/p843x403/16463405_1212909082139308_2489573962962748593_o.jpg?oh=b6c5aafccf69818eed8afd6daddcf039&oe=592FF6D4)
Ink, 38x28 cm   

(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/16387363_1215146148582268_1005010993200300293_n.jpg?oh=a6719d4872d1d260fa3ab7c07a1237fc&oe=595CC380)
Thank.....   
Ink, 28x38 cm   
ARTIST © Endre Penovác -   

(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/16711572_1223262647770618_2256207205197292583_n.jpg?oh=a689b8ce249d17044429230218bd2e48&oe=5932E0C6)
Ink, 38x56 cm





หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 10, 2017, 10:57:26 AM
(https://scontent.fbkk2-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-0/p480x480/18342655_1329620513799433_4642636712917486848_n.jpg?oh=8b649d5a27d4e48dbe160b0942d7408e&oe=59B7F7E5)

เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันคือ วัฎจักรของชีวิต
#มนุษย์ทุกคนล้วนเดินหน้าสู่ความตายด้วยกันทั้งนั้น


KhunGap Sky


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 18, 2017, 07:36:52 PM
(https://scontent.fbkk7-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/18010196_1662171453794713_785985014193106211_n.jpg?oh=2d7fda32794532e593e3684f39e3d190&oe=59A951E0)

600516 พุทธศาสนาตามภูมิ กิจวัตร พ่อครู พักฟื้น ๘ พ.ค. ๖๐ ภูผาฟ้าน้ำ
https://www.youtube (https://www.youtube)....eature=youtu.be


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 22, 2017, 03:21:30 PM
(https://scontent.fbkk7-3.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/18527942_818509461658861_4746046107598895872_n.jpg?oh=eb1d60adf78a0408e5242c83bf5f4572&oe=59A69A2E)

จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า

เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บตาย ของเรา

เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ด้วยกันกะเรา

เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง

 เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา

 เขาย่อมพลั้งเผลอ บางคราวเหมือนเรา

 เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา

 เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่

เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ

 เขาก็อยากดีเหมือนเรา ที่อยาก ดี -เด่น -ดัง

เขาก็มักจะกอบโกย และเอาเปรียบเมื่อมีโอกาสเหมือนเรา

เขามีสิทธิที่จะบ้าดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา

 เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆเหมือนเรา

 เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา

 เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา

เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลันเหมือนเรา

 เขามีหน้าที่รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา

 เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา

 เขามีสิทธิ ที่จะเลือก(แม้ศาสนา) ตามพอใจของเขา

 เขามีสิทธิ ที่จะใช้สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา

 เขามีสิทธิ ที่จะเป็ฯโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา

 เขามีสิทธฺ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา

 เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี

 เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา

 เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น

เขามีสิทธิ แห่งมนุษยชน เท่ากันกับเรา,สำหรับจะอยู่ในโลก

 ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.

#๑๑๑ปีพุทธทาส #พุทธธรรมกับสังคม



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 06, 2019, 10:43:40 AM
ฝรั่งเขียนเรื่อง ความจริง และ จุดเด่น ของ พุทธศาสนา 19 ประการที่ต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

๑.พระพุทธศาสนา  ปฏิเสธว่า  มีผู้สร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้าม โลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุธาตุทั้ง4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา

๒.พระพุทธศาสนา  ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้  หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก

๓.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์เท่านั้น

๔.พระพุทธเจ้า  ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร

๕.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์  ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้

๖.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ  ตรงข้าม ทรงสอนให้ใช้ปัญญา พิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า  ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง  ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น

๗.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็น และมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา

๘.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน

๙.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ

๑๐.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ  ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ

๑๑.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์  เป็นตัวอธิบายว่า  เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน  กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด

๑๒.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ  ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท ๑๐ และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ ๑๐

๑๓.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น

๑๔.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร  การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา

๑๕.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด  ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลส
ที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป

๑๖.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่างๆ ขึ้นมา

๑๗.การฝึกสมาธิ  สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า  ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ

๑๘.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา) หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน  สรรพสิ่งในโลก  จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม  จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน

๑๙.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา  ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด  ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์  จึงต้องช่วยตนเอง  เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ

~ เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่ ก็แสดงว่า มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา มาก ขอกราบคารวะ และ ขอชื่นชมด้วยใจจริง


Thank you  Kha


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 11, 2020, 07:57:09 PM
http://m.horoworld.com/seamsi (http://m.horoworld.com/seamsi)

ท่านที่ชื่นชอบการ
เสี่ยงเซียมซี
เดียวนี้ไม่ต้องไปนั่งเขย่าไม้ไผ่ที่วัดแล้ว
14 วัดดัง ได้ส่งมาให้เขย่าได้ในโทรศัพท์ของท่านเอง
เชิญกดปุ่มเลือกวัด
และเขย่าเซียมซีตามใจชอบ ให้ทำนายแม่นๆ โดยไม่ต้องไปที่วัด

http://m.horoworld.com/seamsi (http://m.horoworld.com/seamsi)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2020, 11:37:36 PM
เพิ่งรู้นะนี่ว่า พระพุทธศาสนาของเรา แผ่ไปกว้างไกลแล้ว
(ประเมินจากการเข้าร่วมสังเกตุการณ์ในการประชุมเตรียมจัดงานวันวิสาขบูชาโลก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 63 ที่ห้องประชุมชั้น 4 สำนักงานอธิการบดี มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร. ที่วังน้อย อยุธยา) ว่า

~ ในงานวันวิสาขบูชาโลก  ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2563 นั้น จะมีชาวต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ จะเดินทางมาร่วมงานในฐานะผู้แทนชาวพุทธ ที่อยู่ในประเทศนั้นๆ หรือ อยู่ในเขตปกครองพิเศษนั้นๆ รวม 84 แห่ง รวมจำนวน 1,246 คน จะมาประชุมกันที่ หอประชุมใหญ่ มจร.วังน้อย อยุธยา ใน 2 วันแรก ในวันสุดท้าย วันที่ 3 พฤษภา 63 จะย้ายมาประชุมที่ศูนย์การประชุม UN  ที่ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ และ จะมีการประกาศปฏิณญาสากลกรุงเทพฯ ในการตกลงที่จะจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาษาอังกฤษ ที่แปลจากพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐในวันสุดท้ายของการประชุม โดยมีชาวต่างประเทศจากประเทศต่างๆ และเขตปกครองพิเศษมาร่วมงานในครั้งนี้ เป็นผู้แทนชาวพุทธ จาก

1. อาเจนตินา 2 คน 
2. อัลมาเนีย 3 คน
3. ออสเตรีย 2 คน
4. ออสเตรเลีย 2 คน
5. บังคลาเทศ 22 คน
6. เบลารุส 5 คน
7. เบลเยี่ยม 5 คน
8. ภูฏาน 17 คน
9. โบลิเวีย 3 คน
10. บราซิล 6 คน
11. บัลกาเรีย 3 คน
12. กัมพูชา 52 คน
13. คานาดา 3 คน
14. จีน 88 คน
15. เขตปกครองพิเศษฮ่องกง 51 คน
16. เขตปกครองพิเศษไต้หวัน 16 คน
17. เขตปกครองพิเศษมาเก๊า 7 คน
18. ชิลี 4 คน
19. โคลัมเบีย 3 คน
20. คองโก 3 คน
21. คอสตาริก้า 4 คน
22. โครเอเทีย  4 คน
23. คิวบา 4 คน
24. สาธารณรัฐเช็ค 4 คน
25. เดนมาร์ค 3 คน
26. อียิปต์ 3 คน
27. อีคัวดอร์ 2 คน
28. เอลซาวาดอร์ 3 คน
29. อังกฤษ 10 คน
30. เอสโทเนีย 3 คน
31. เอธิโอเปีย 3 คน
32. ฟินแลนด์ 3 คน
33. ฝรั่งเศส 14 คน
34. เยอรมัน 3 คน
35. กาน่า 3 คน
36. กรีก 3 คน
37. กัวเตมาลา 3 คน
38. ฮังการี 5 คน
39. อินเดีย 37 คน
40. อินโดนีเซีย 36 คน
41. ไอร์แลนด์ 3 คน
42. อิสราเอล 3 คน
43. อิตาลี 3 คน
44. ญี่ปุ่น 257 คน
45. เคนย่า 5 คน
46. เกาหลีใต้ 27 คน
47. เกาหลีเหนือ 4 คน
48. ลาว 37 คน
49. ลัธเวีย 5 คน
50. ลิธัวเนีย 5 คน
51. มาเลเซีย 25 คน
52. เม็กซิโก 9 คน
53. มองโกเลีย 13 คน
54. เมียนม่าร์ 52 คน
55. เนปาล 18 คน
56. เนเธอร์แลนด์ 5 คน
57. นิวซีแลนด์ 5 คน
58. นอร์เวย์ 7 คน
59. ปารากัว 3 คน
60. เปรู 3 คน
61. ฟิลิปปินส์ 6 คน
62. โปแลนด์ 4 คน
63. โปตุกัล 3 คน
64. เปโต ริโก้ 3 คน
65. โรมาเนีย 3 คน
66. รัสเซีย 18 คน
67. สก้อตแลนด์ 5 คน
68. เซอร์เบีย 3 คน
69. สิงคโปร์ 35 คน
70. สโลวาเกีย 3 คน
71. สโลวีเนีย 3 คน
72. อัฟริกาใต้ 3 คน
73. สเปน 3 คน
74. สวีเดน 3 คน
75. สวิสเซอร์แลนด์ 3 คน
76. ศรีลังกา 61 คน
77. ตุรกี 3 คน
78. อาหรับเอมิเรต 3 คน
79. อูกานดา 3 คน
80. ยูเครน 3 คน
81. อุรุไกว 3 คน
82. สหรัฐอเมริกา 18 คน
83. เวเนซูเอล่า 3 คน
84. เวียตนาม 115 คน

~โครงการจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อถวายพระราชกุศลและเฉลิมกระเกียรติ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ที่ประกาศพระองค์เป็น พุทธศาสนูปถัมภก  แปลเพื่อเผยแพร่ให้ถึงชาวต่างประเทศ เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต โดยแปลจากพระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ เป็นต้นแบบ โดยมี  คณะกรรมการอำนวยการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานอำนวยการจัดทำ กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นกรรมการ และ พระพรหมบัณฑิต เป็นกรรมการและเลขานุการ

~ คณะกรรมการฝ่ายอุปถัมภ์ โครงการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย นายก รมต. หรือ รองนายก รมต. ที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน  รมต. กระทรวงวัฒนธรรม เป็นรองประธาน คนที่ 1 รัฐมนตรีสำนักนายกฯ เป็นรองประธานฯ คนที่ 2 ปลัดกระทรวง 20 กระทรวง เป็น กรรมการ และ กรรมการอื่นๆ  ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา และ อธิบดีกรมการศาสนา   เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม

~ ในปี 63-64 จะมีการเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงาน คณะบรรณาธิการ คณะอนุกรรมการแปล และ คณะทำงานฝ่ายต่างๆ เพื่อดำเนินการแปลพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐ เป็นภาษาอังกฤษต่อไป

~ โดยรัฐบาลให้งบฯเพื่อการแปลพระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ เป็นภาษาอังกฤษนี้ เป็นเงิน 80 ล้านบาท โดยกำหนดทำการเผยแพร่ พระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ  ได้ภายในปี 2564


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 04, 2020, 10:15:58 PM
“อานาปานสติกับไวรัสโคโรน่า”

โดยส่วนตัวในทุกวันนี้ ผมอยู่กับลมหายใจ (อานาปานสติ) ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนนอน

ที่ทำได้เพราะฝึกฝน

ที่ฝึกฝนเพราะเชื่อพระพุทธเจ้า และต้องการพิสูจน์จนประจักษ์กับตนเอง

และที่สำคัญ เมื่อผมศึกษาเรื่องกลไกของร่างกาย สมอง และสารเคมีในสมอง

มันเลยทำให้ผมเข้าใจจริงๆว่า

“ทำไมพระพุทธเจ้าถึงสรรเสริญบุคคลผู้ทำอานาปานสติยิ่งนัก”

สิ่งที่ทำได้ง่าย และทำได้ตลอดเวลา ที่อยู่ในตัวเรา ทำไมถึงมีอานุภาพมากมายมหาศาล ถึงเพียงนี้? สามารถทำให้มนุษย์ปุถุชน กลายเป็นอริยบุคคลก็ยังได้ หรือแม้กระทั่งมีร่างกายที่แข็งแรงมหาศาลก็ได้

วันนี้ผมจะมาเฉลยทั้งหมด และให้คุณเอาอานาปานสติไปช่วยชีวิตตนเองและคนรอบข้างได้แล้ว

ในแง่ของวิทยาศาสตร์

หากเราอยู่กับลมหายใจธรรมชาติเมื่อใดก็ตาม (ลมธรรมชาติคือลมที่ไม่ฝืน ไม่ควบคุม ฝึกทั้งวันแค่ 1 วัน เราก็จะจับหลักถูกจนทำให้ลมที่บังคับกลายเป็นลมธรรมชาติได้จริง) ร่างกายของเราจะสงบ สมองจะทำงานน้อยลง

และเมื่อลมหายใจตามธรรมชาติเริ่มเป็นลมยาวมากขึ้นๆ

ลมที่ลึกและยาวนั้นจะสร้างออกซิเจนจำนวนมหาศาลเข้าไปฟอกเลือด และไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆอย่างทั่วถึง ฉะนั้นภูมิคุ้มกันต่างๆในร่างกายจะฟื้นตัวและดียิ่งขึ้น

ที่สำคัญ ลมที่ลึกและยาวอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะขึ้นไปเลี้ยงสมอง ปรับนิวรอนในสมอง และกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขชนิดต่างๆออกมา มันจึงทำให้เราอารมณ์ดี ผ่อนคลาย คิดดี และมีความสุขได้จริง

แถมสมองของเรามีกระแสไฟฟ้า และคลื่นแม่เหล็ก ที่จะดึงธาตุต่างๆที่ตรงกับในสมองเข้ามา เพิ่มขึ้นๆ ฉะนั้น ถ้าในสมองมีแต่สิ่งที่ดี มันก็จะดึงสิ่งที่ดีเข้ามาไว้รวมกันเป็นธรรมดา

ในแง่ของพุทธศาสนา

สิ่งที่พระพุทธเจ้าอยากให้พวกเราเจริญที่สุด นั่นก็คือ

“สติ”

การรู้สึกถึงลมหายใจ (อานาปานสติ) เป็นการเจริญสติที่ดีที่สุด ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญผู้ใดก็ตามที่เจริญอานาปานสติให้มาก

ฉะนั้นแล้ว ขนาดมหาบุรุษอย่างพระพุทธเจ้ายังทรงสรรเสริญ จะกล่าวไปใยกับ เทวดา และพรหมต่างๆ

ยิ่งหากใครก็ตามที่สามารถอยู่กับลมหายใจได้ตลอดวันตั้งแต่ตื่นจนนอน

บุคคลผู้นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับสหายแห่งพรหม ผู้เจริญฌานอยู่เป็นนิตย์

ซึ่งอยู่เหนือว่าเทวดาในทุกภพภูมิ

ความถี่ แสงสว่างจากจิต และกายของเรา ที่เปล่งออกมาจากการทำอานาปานสติเสมอ

จะเหมือนสัญญาณโทรทัศน์ ที่ทำให้เทวดาและพรหมมองเห็น และอยากจะช่วยเหลือ

เนื่องจากพวกเค้าประทับใจ ที่มีมนุษย์ที่สามารถอยู่กับลมหายใจได้จนจิตปล่อยคลื่นความถี่ที่ละเอียดจนพวกเค้ารับรู้ได้

พวกเค้าจะอยากช่วยเหลือ เพราะรู้ว่า หากช่วยคนๆนี้ เค้าก็จะได้บุญได้กุศลมาก

ไม่ต่างอะไรกับผู้คน ที่อยากช่วยเด็กกตัญญู ที่ทำงานหาเงินแต่เด็ก แถมยังเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่อีก

เทวดาจะเอ็นดู และรักเรา

จนไปถึงเคารพหรือสรรเสริญเราเลยก็มี

โดยส่วนตัว
เหตุผลที่ทำให้ลมหายใจมีอานุภาพมากขนาดที่พระพุทธเจ้าและเทวดาทั้งหลายสรรเสริญ นั่นก็คือ

ลมหายใจ เป็นธาตุลมที่มีความเป็นธรรมชาติ

เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกถึงเค้า โดยปราศจากความคิด แต่เป็นเพียงแค่การอยู่ และเห็นเค้าจนจิตของเราและลมหายใจ กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อนั้นจิตของเราจะไปรวมกับธรรมชาติ

เมื่อจิตไปรวมกับธรรมชาติ

มันจะมีการเชื่อมต่อกัน ในระดับธรรมชาติในตัวเรา และธรรมชาติทั้งหมดในสากลโลก

ดังนั้น มันจึงเป็นคลื่นความถี่ที่ละเอียด มีพลัง และมีผลบุญมหาศาล

เพราะบุญที่สูงที่สุดในพุทธศาสนาก็คือ

บุญจากการเจริญภาวนา ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขา

การเห็นลมหายใจไปรวมกับธรรมชาติได้

ต้องเกิดจากจิตที่เป็น อุเบกขา

ที่มีความเป็นกลางอย่างถึงที่สุด

และนั่นเอง มันจะทำให้เราได้เข้าใจมากขึ้นๆว่า

เราคือ “ธรรมชาติ”
และ “ธรรมชาติคือเรา”

และสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือธรรมชาติ

ฉะนั้น ถ้าเราเข้าถึงความจริงว่า “เราคือธรรมชาติ”

นั่นก็คือเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมพระพุทธเจ้าและเทวดาทั้งหลายจึงสรรเสริญ บุคคลผู้ทำอานาปานสติจนเป็นวสี

ในส่วนของพุทธศาสนา

ทุกท่านยังไม่จำเป็นต้องเชื่อผม

ค่อยเชื่อเมื่อประจักษ์กับตนเอง

แต่ในแง่ของวิทยาศาสตร์

ท่านสามารถพิสูจนได้เลย และทั้งหมดเป็นสิ่งที่เชื่อได้ มีวิจัยรับรอง มีการเผยแพร่วิจัยนี้ให้ทราบกันทั่วโลก

ฉะนั้น

สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์สามารถช่วยตัวเองได้ในขณะนี้ก็คือ

“การฝึกเจริญอานาปานสติครับ”

ไม่มีอะไรยาก

แค่ผ่อนคลายร่างกายให้สบาย ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้สึกถึงร่างกายโดยความเป็นขอบเขตทั้งหมด

แล้วก็แค่ทำความรู้ตัวไปว่าร่างกายกำลังหายใจ

ระลึกรู้ว่าร่างกายกำลังหายใจไปสบายๆ  รู้ให้เบาที่สุด ออกแรงรู้ให้น้อยที่สุด

แล้วมันจะเป็นลมหายใจแห่งความสุข

ที่ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก ยิ่งมีความสุข ยิ่งรู้สึกดี

ฉะนั้น เราก็จะยิ่งทำได้ดียิ่งๆขึ้น ผ่อนคลายยิ่งขึ้น สบายยิ่งขึ้น แข็งแรงยิ่งขึ้น

อานาปานสตินี้ คือบุญใหญ่ ที่ยิ่งกว่าให้เงินทอง หรือสร้างวัด และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
ี่สำคัญ มันอยู่กับเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

และมันสามารถเพิ่มภูมิต้านทานไข้หวัดโคโรน่าให้เราได้จริง

ผมทำได้แค่มาบอก

ที่เหลือ อยู่ที่การตัดสินใจของทุกคนแล้วนะครับ

ขอให้ทุกท่านผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้ด้วยสติปัญญา และลมหายใจของเราทุกคนนะครับ

ป้อง

fb สถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ


ขอขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 24, 2020, 09:13:33 PM
https://www.youtube.com/watch?v=cAEJ6wDIMb4&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=cAEJ6wDIMb4&feature=youtu.be)
ตาย อย่าง ดี - Die So Well [HD]

..เสถียรธรรมสถาน คือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างศานติ ทํางานสร้างชีวิตตั้งแต่ปฏิสนธิจิตจนคืนชีวิตสู่ธรรมชาติ เพื่อพุทธกิจการ สร้างสร้างสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข พ้นทุกข์ร่วมกัน...
ในวาระก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ ๓ ของเสถียรธรรมสถาน
ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน ได้มีดําริให้จัดสร้างภาพยนตร์ สารคดีขนาดสั้น ในชื่อ “ตาย อย่าง ดี ( Die So Well)”
ถ่ายทอดเรื่องราว ปรากฏการณ์ของชีวิต การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย บริเวณแม่นํ้าคงคา เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย ด้วยความเชื่อ ความศรัทธาในความจริงของชีวิต และความงดงามของวัฒนธรรม ผ่านมุมมองของผู้กํากับ ทีมงาน ก่อนจะนําไปสู่ผู้ชมให้ตระหนักรู้ถึงความดีในการใช้ชีวิตที่
เหลือต่อไปอย่างไรไม่ให้ตายทั้งเป็น…



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 02, 2020, 10:27:31 AM
       
@วันเสาร์..เข้าใจ@
   **********
   @เสาร์..เข้าใจตน ฝึกฝนจิต@
    เสาร์..เข้าใจมิตร จิตแจ่มใส
    เสาร์..เข้าใจงาน สำราญใจ
 เสาร์..เข้าใจ ใช้ศีลธรรม อำนวยพร
  @พรวันเสาร์เช้าสายบ่ายเย็นค่ำ@
 พรวันเสาร์  เราพึ่งธรรม คำพุทธสอน
     พรวันเสาร์ เรามีสุข ทุกบาทจร
    พรวันเสาร์ เราสังวร ก่อนคิด-ทำ
      @เสาร์..เบาใจ ในชีวิต@
        เสาร์..เบากิจ จิตชื่นฉ่ำ
       เสาร์..เบาบาง ล้างบาปกรรม
         เสาร์..เบาคำ จำนรรจา
   @เสาร์..เข้าใจตน และคนอื่น@
      เสาร์..เราหยิบยื่น ชื่นหรรษา
      เสาร์..เรามอบสุข ถูกเวลา
      เสาร์..เราเมตตา เอื้ออาทร
  @คุณไตรรัตน์ขจัดภัยในวันเสาร์@
     ทุกค่ำเช้า แจ่มจรัส ประภัสสร
  จงแข็งแรง รวยเลิศล้ำ เกียรติกำจร
   ส่งเป็นพร สุนทรสุข ทุกท่านเอยฯ
      ************
พระครูนิโครธบุญญากร ดร.
มหาน้อย ณ วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี
     วันเสาร์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 31, 2020, 04:37:10 PM
https://www.youtube.com/watch?v=LJ9lx-7e7rI&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=LJ9lx-7e7rI&feature=youtu.be)
ใจที่ไม่ได้แบก - ธรรมะสัญจร เมตตาธรรมค้ำจุนโลก - ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมภาณ วัดพระพุทธแสงธรรม

สามารถรับชมคลิ้ปต้นฉบับได้ที่
เฟสบุ๊ควัดพระพุทธแสงธรรม :

https://www.facebook.com/buddhasangdh... (https://www.facebook.com/buddhasangdh...)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 23, 2020, 07:52:13 AM
เล่าสู่กันฟัง...เรื่อง “เหตุใดพระพุทธรูปประจำวันเกิดจึงเป็นปางนั้นๆ

http://www.culture.go.th/culture_th/ewt_news.php?nid=5215&filename=index (http://www.culture.go.th/culture_th/ewt_news.php?nid=5215&filename=index)

  หากเอ่ยถึงพระพุทธรูปประจำวันเกิด เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี เพราะปัจจุบันเวลาไปวัดเรามักจะเห็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดตั้งเรียงรายให้ศาสนิกชนได้ทำบุญตามแต่ศรัทธา โดยมากจะมี ๗ + ๑ ปางตามวันในสัปดาห์คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ โดยมีวันราหูคือพุธกลางคืนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปาง รวมเป็น ๘ วัน ๘ ปาง
 
     ทำไมต้องมีวันพุธกลางคืนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ก็เพราะว่าในวิชาโหราศาสตร์ถือว่าดวงดาวสำคัญมีอยู่ ๘ ดวง โดยราหูเป็นดาวดวงที่ ๘ แต่ในสัปดาห์หนึ่งมีเพียง ๗ วันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เพียงให้มีวันครบตามดวงดาวดังกล่าว เขาจึงได้แบ่งวันกลางสัปดาห์ออกเป็น ๒ ส่วน (คงเพราะง่ายต่อการแบ่งและสะดวกต่อการจดจำ) ซึ่งวันที่ถูกแบ่งก็คือวันพุธนั่นเอง เพราะอยู่กลางสัปดาห์พอดี ทั้งนี้ ตามความเชื่อโบราณ ช่วงเวลากลางวันจะนับตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๑๗.๕๙ น. (ก่อน ๖ โมงเย็น) และช่วงกลางคืน ตั้งแต่ ๑๘.๐๐ -๐๕.๕๙ น. (ก่อน ๖ โมงเช้า)
 
     การกำหนดพระพุทธรูปแต่ละปางให้ตรงกับแต่ละวันในสัปดาห์นั้นมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏแน่ชัด เพราะการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆก็มีมาแต่สมัยโบราณแล้ว โดยเชื่อว่าพระพุทธรูปซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์จะเป็นพุทธานุสติน้อมนำใจให้คนปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน อีกทั้งยังเป็นโบราณอุบายของคนสมัยก่อนที่จะหาที่พึ่งทางใจให้แก่ตนเองและลูกหลาน รวมทั้งเชื่อว่าการบูชาพระพุทธรูปประจำวันเกิดจะเป็นมงคล ช่วยปัดเป่าเหตุร้ายต่างๆให้กลายเป็นดี
 
     พระพุทธรูปปางใดประจำวันใดในสัปดาห์ และเหตุใดจึงต้องเป็นปางนั้น จะขอนำแนวคิดและมุมมองบางส่วนของอาจารย์เล็ก พลูโต ที่ได้ศึกษาความหมายของดวงดาวตามหลักโหราศาสตร์ และได้อธิบายไว้ได้อย่างน่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
 
     ๑.ปางถวายเนตร เป็นพระประจำวันอาทิตย์ มาจากเมื่อครั้งศาสดาได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (ความสุขอันเกิดจากความสงบ) อยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗ วัน จากนั้นได้เสด็จไปประทับยืน ณ กลางแจ้งทางทิศอีสานของต้นศรีมหาโพธิ์ และทอดพระเนตรต้นศรีมหาโพธิ์ดังกล่าวโดยไม่กระพริบพระเนตรเลยเป็นเวลา ๗ วัน ซึ่งสถานที่ประทับยืนนี้ได้มีชื่อเรียกว่า "อนิมิสเจดีย์”
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้เป็นพระประจำวันอาทิตย์ น่าจะมาจากการน้อมบูชาพระอาทิตย์ด้วยการเพ่ง "อาโลกกสิณ” (เพ่งแสงสว่าง) เพราะการเสด็จยืนและลืมพระเนตรเพ่งต้นศรีมหาโพธิ์ทางทิศอีสานนั้น เป็นทิศเดียวกับดวงอาทิตย์ในภูมิทักษา (การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ที่ใช้ดาวพระเคราะห์ ๙ ดวงเป็นเกณฑ์) และดวงอาทิตย์ยังมีความหมายถึงดวงตาด้วย ทั้งนี้ อ.เล็กได้กล่าวว่าการบูชา "สุริยเทพ”นี้มีมาแต่โบราณ ด้วยเห็นว่าดวงอาทิตย์เป็นบ่อเกิดแห่งพลังงาน และให้แสงสว่างแก่โลก จึงเป็นดังผู้มีคุณ ดังนั้น การบูชาสิ่งที่มีคุณจึงเป็นสิ่งสมควร แม้พระพุทธองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มิได้เย่อหยิ่ง ถือองค์ว่าเหนือกว่า ดังนั้น ปางนี้จึงเป็นเสมือนอุทาหรณ์สอนใจให้ผู้ที่เกิดวันนี้ ซึ่งมักมีอุปนิสัยรักเกียรติ รักศักดิ์ศรี ชอบเป็นผู้นำ และมักหยิ่งทะนงตนว่าให้รู้จักเจริญรอยตามพระพุทธองค์ที่ทรงนอบน้อม ถ่อมตน ไม่ถือดี และว่าการบูชาพระปางนี้ก็เพื่อเสริมบารมีด้านความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้าด้วยเกียรติยศ ขจัดความมืดบอด และปัญหาอุปสรรคต่างๆ
 
     ๒.ปางห้ามญาติหรือปางห้ามสมุทร เป็นพระประจำวันจันทร์ จะมีลักษณะต่างกันเล็กน้อย คือ ถ้าเป็นปางห้ามญาติจะยกมือขวาขึ้นเพียงมือเดียว แต่ถ้าเป็นปางห้ามสมุทรจะยกมือขึ้นห้ามทั้งสองข้าง ความเป็นมาของปางห้ามญาติสืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งกรุงกบิลพัสดุ์ พระญาติฝ่ายพุทธบิดา กับกรุงเทวทหะ พระญาติฝ่ายพุทธมารดา มีเรื่องทะเลาะแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีเพื่อไปเพาะปลูก แล้วตกลงกันไม่ได้ ถึงกับเตรียมยกทัพเปิดศึกกันขึ้น พระพุทธองค์จึงต้องเสด็จไปเจรจาห้ามทัพมิให้พระญาติฆ่าฟันกันเอง ส่วนปางห้ามสมุทร เป็นช่วงที่เสด็จไปโปรดพวกชฎิล ๓ พี่น้องอันได้แก่ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราพร้อมบริวาร ๑,๐๐๐ คน ครานั้นได้ทรงแสดงพุทธปาฏิหารย์เพื่อทำลายทิฐิมานะของเหล่าชฎิลทั้งหลาย ด้วยการห้ามฝน ห้ามลม ห้ามพายุ และห้ามน้ำมิให้ท่วมบริเวณที่ประทับ ทำให้พวกชฎิลเห็นเป็นที่อัศจรรย์และยอมบวชเป็นพุทธสาวก
 
     เหตุที่กำหนดทั้งสองปางนี้ประจำวันจันทร์ ก็เพราะทางโหราศาสตร์ ดาวจันทร์จะมีความหมายถึงรูปร่างหน้าตา ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการ ผู้ที่เกิดวันนี้จึงมักมีอารมณ์อ่อนไหว ปรับตัวง่าย นอกจากนี้ดาวจันทร์ยังหมายถึงญาติพี่น้อง และจัดเป็นธาตุน้ำ ซึ่งทั้งสองปางนี้ตามพุทธประวัติล้วนเกี่ยวข้องกับน้ำและญาติ ซึ่งนัยก็คือการเตือนให้ระลึกถึงความสามัคคีในหมู่พี่น้อง และยังได้พูดถึงอานิสงส์แห่งการบูชาพระปางนี้ว่าจะช่วยห้ามทุกข์ ห้ามโศก ห้ามโรคห้ามภัย ฯลฯ ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามน้ำ ห้ามฝนพายุ ครั้งทรมานให้พวกชฎิลยอมละทิฐิ
 
     ๓.ปางไสยาสน์ เป็นพระประจำวันอังคาร บางแห่งก็เรียก ปางปรินิพพาน ความเป็นมาของปางดังกล่าวมี ๒ นัย นัยแรกคือเมื่อครั้งพระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระจุนทะเถระปูอาสนะระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง แล้วทรงประทับ บรรมแบบสีหไสยาสน์ ตั้งพระทัยว่าจะไม่ลุกอีก แต่ก็ยังได้โปรดสุภัททะปริพาชกจนได้เป็นอรหันต์องค์สุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน อีกนัยหนึ่งเล่าถึง "อสุรินทราหู” หรือพระราหู ผู้ครองอสูรพิภพ ได้ยินคำสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าจากเทพยดาทั้งหลาย ก็อยากไปเฝ้าบ้าง แต่ก็คิดเองว่าพระองค์เป็นมนุษย์ คงจะมีพระวรกายเล็ก ถ้าต้องไปเฝ้าก็ต้องก้มเศียรลง ก็รู้สึกถือตน ไม่อยากไป จนได้ยินคำสรรเสริญอีกก็ทนไม่ได้ จึงไปเข้าเฝ้าในที่สุด ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงทราบความในใจนี้ จึงทรงเนรมิตพระวรกายให้ใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูหลายเท่า และเสด็จบรรทมรอรับ เมื่ออสุรินทราหูเข้าเฝ้าก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ ที่ต้องแหงนหน้ามองดูพระพุทธเจ้าแทนที่จะต้องก้มมอง พระองค์จึงได้ตรัสสอนและพาไปเที่ยวพรหมโลกเพื่อให้เห็นว่ามีผู้ที่มีร่างกายใหญ่กว่าอสุรินทราหูมากมาย จนอสุรินทราหูลดทิฐิลงได้และหันมาเลื่อมใสศาสดา
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันอังคาร ก็เพราะดาวอังคารจัดเป็นดาวพิฆาตหรือดาวมรณะ และยังเป็นดาวเกี่ยวกับสงคราม และอุบัติเหตุ ดังนั้น ปางนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้คนวันนี้ดำรงชีวิตด้วยความมีสติ ระมัดระวังไม่ไปก่อเหตุกับใคร อีกทั้งวันที่พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานก็ตรงกับวันองคาร ส่วนที่กล่าวถึงการโปรดอสุรินทราหู นั้นน่าจะหมายถึงการขจัดความมัวเมาลุ่มหลง เห็นผิดเป็นชอบ อันเป็นลักษณะของพระราหูด้วย
 
     ๔.ปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันพุธกลางวัน มาจากเมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้สำแดงอิทธิปาฏิหารย์เหาะขึ้นไปในอากาศต่อหน้าพระประยูรญาติทั้งหลายเพื่อให้คลายทิฐิ พร้อมทั้งได้เทศนาสั่งสอนว่าด้วยเรื่องพระเวสสันดรชาดก ครั้นเสร็จสิ้นต่างพากันแยกย้ายกลับโดยไม่มีผู้ใดทูลอาราธนาให้ฉันพระกระยาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์และพระสาวกจะต้องฉันภัตตาหารที่มีเตรียมไว้ในพระราชนิเวศน์เอง แต่พระองค์กลับพาพระภิกษุสาวกเสด็จจาริกไปตามถนนหลวงเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ อันเป็นกิจของสงฆ์ และเป็นครั้งแรกที่ประชาชนได้เห็นพระจริยาวัตรขณะอุ้มบาตรโปรดสัตว์ จึงต่างกันแซ่ซ้องอภิวาท พระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาทรงทราบเข้า ก็โกรธและเข้าใจผิดหาว่าพระองค์ออกไปขอทานชาวบ้าน ไม่ฉันภัตตาหารที่เตรียมให้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงอธิบายถึงการออกบิณฑบาตว่าเป็นการออกไปเพื่อโปรดสัตว์ มิใช่การขอทาน จึงเข้าใจกันได้ในที่สุด
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันพุธกลางวัน ด้วยดาวพุธเป็นตัวแทนของการติดต่อสื่อสาร การเดินทาง พาหนะ พืชพันธุ์ธัญญาหารและเรื่องที่เกี่ยวกับปากท้อง ซึ่งตรงกับลักษณะการออกไปบิณฑบาตที่ต้องออกไปหาอาหารเพื่อปากท้อง ขณะเดียวกันก็ถือเป็นการไปโปรดสัตว์ คอยสังเกตุทุกข์สุขของชาวบ้านเพื่อสอนธรรมะในการดับทุกข์ ปางนี้ถือกันว่าเมื่อบูชาแล้วจะประสบแต่ความอุดมสมบูรณ์ ไม่อดอยาก และมีเสน่ห์เมตตามหานิยม
 
     ปางป่าเลไลยก์ เป็นพระประจำวันพุธกลางคืน (ราว ๑๘.๐๐ น.วันพุธ -๐๖.๐๐ น.เช้าพฤหัสบดี) มาจากเมื่อครั้งพระพุทธองค์ประทับอยู่เมืองโกสัมพี แล้วพระภิกษุซึ่งมีอยู่มากรูปด้วยกันชอบทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่เชื่อฟัง และยังประพฤติตนตามใจชอบ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในป่าที่ชื่อว่าปาลิไลยกะตามลำพังพระองค์เดียว เวลานั้นได้มีพญาช้างชื่อเดียวกับป่ามาคอยปรนนิบัติและพิทักษ์มิให้สัตว์ร้ายมากล้ำกรายพระองค์ ต่อมาพญาลิงเห็นเช่นนั้น ก็เกิดกุศลจิตทำตามอย่างบ้าง ส่วนชาวบ้านเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้า และทราบเหตุก็พากันติเตียนและไม่ทำบุญกับพระเหล่านั้น จนพระเหล่านี้ได้สำนึก จึงได้ขอให้พระอานนท์ทูลเชิญเสด็จกลับมา พญาช้างได้ตามมาส่งเสด็จ และเกิดความเศร้าโศกเสียใจจนหัวใจวายตาย ด้วยผลบุญที่ทำจึงได้ไปเกิดเป็น "ปาลิไลยกะเทพบุตร”
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันพุธกลางคืน หรือวันราหู ก็ด้วยพระราหูมีความหมายถึงอบายมุข สิ่งเสพติด นักเลงอันธพาล อันส่งผลให้เกิดความมัวเมา ลุ่มหลง เชื่อคนง่าย เอาแต่ใจตนเอง ไม่มีเหตุผล ดังนั้น ปางป่าเลไลย์ฯอันเป็นเวลาที่พระพุทธองค์ทรงปลีกวิเวก หนีไปจากพระสงฆ์ที่ชอบทะเลาะวิวาท ไม่ฟังโอวาท ถือทิฐิ จนเป็นเหตุให้ต่างต้องได้รับความลำบากกันเองนั้น จึงเสมือนการเตือนสติให้เราอย่าหลงผิด อย่าดื้อดึงจนเป็นเหตุให้ตัวเองต้องเดือดร้อน
 
     ๕.ปางสมาธิ เป็นพระประจำวันพฤหัสบดี บางทีก็เรียกว่า "ปางตรัสรู้” มาจากเมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้าคาใต้ต้นมหาโพธิ์ ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา และได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ หรือที่เรียกว่า "วันวิสาขบูชา” นั่นเอง
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันพฤหัสบดี ก็เพราะดาวพฤหัสบดีมีความหมายถึง ความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ศาสนาศีลธรรม และสติปัญญา ฯลฯ อีกทั้งยังถือเป็นวันครู ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นครูที่ทรงสั่งสอนพุทธบริษัทและเหล่าเวไนยสัตว์ ซึ่งปางตรัสรู้นี้จึงสอดคล้องกับลักษณะดาวพฤหัสบดีพอดี
 
     ๖.ปางรำพึง เป็นพระประจำวันศุกร์ โดยคำว่า "รำพึง" ตรงกับความหมายว่า ครุ่นคิด ตรึกตรอง ใคร่ครวญถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งในครั้งนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงคิดพิจารณาว่าธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งยากที่มนุษย์ปุถุชนจะรู้ตามได้ จึงเกิดความท้อพระทัยคิดจะไม่สั่งสอนชาวโลก ร้อนถึงท้าวสหัมบดีพรหมได้มากราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม โดยทูลว่าในโลกนี้ยังมีบุคคลที่มีกิเลสเบาบางสามารถฟังธรรมของพระองค์เข้าใจได้อยู่ พระองค์จึงทรงรำพึงถึงธรรมเนียมพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน ว่าตรัสรู้แล้วย่อมแสดงธรรมโปรดสัตว์เพื่อประโยชน์สุขแก่โลก จึงทรงเปลี่ยนพระทัยและเห็นชอบที่จะเสด็จออกไปแสดงธรรมแก่คนทั้งปวงตามคำอาราธนานั้น
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันศุกร์ ก็เพราะดาวศุกร์เป็นตัวแทนเกี่ยวกับโลกีย์ ที่ต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงจินตนาการเข้าช่วย แล้วยังพ้องเสียงกับคำว่า "สุข” ที่มักไปในทางโลก รวมถึงการเกี่ยวข้องกับเรื่องศิลปะ บันเทิงด้วย ดังนั้น การที่กำหนดปางรำพึงอันเป็นปางที่พระพุทธเจ้าทรงครุ่นคิดถึงธรรมะที่ทรงตรัสรู้อันเป็นเรื่องทวนกระแสใจของมนุษย์ จึงคล้ายๆกับการคิดในทางตรงกันข้าม เป็นการเตือนให้เราอย่าหลงระเริงไปในทางโลกให้มาก และให้ระลึกถึงหลักธรรมคำสั่งสอนไว้อยู่เสมอ ชีวิตจึงจะมีความสุข
 
     ๗.ปางนาคปรก เป็นพระประจำวันเสาร์ มาจากเมื่อครั้งพระพุทธองค์เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ในสัปดาห์ที่ ๓ ได้ไปประทับอยู่ใต้ต้นมุจลินทร์ (ต้นจิก) ขณะนั้นฝนได้ตกลงมาไม่หยุดเป็นเวลา ๗ วัน พญานาคตนหนึ่งชื่อว่า "มุจลินท์นาคราช” ก็ได้ขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์เข้าไปวงขนด ๗ รอบและแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าไว้ จนฝนหาย จึงได้แปลงร่างเป็นมานพเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันเสาร์ ก็เพราะวันเสาร์เป็นวันแข็งและดาวเสาร์ก็เป็นดาวบาปเคราะห์ใหญ่ ผู้ที่เกิดวันนี้จึงมักอาภัพ มักมีเรื่องทุกข์ใจ ผิดหวัง และพบเจออุปสรรคอยู่เสมอ ดังนั้น โบราณจึงให้พระนาคปรก ประจำวันนี้ เปรียบเสมือนให้พญานาคราชได้แผ่พังพานปกป้องคุ้มครองให้เจ้าชะตาพ้นทุกข์และภัยพิบัติต่างๆ อีกทั้งดาวเสาร์ยังใช้เลข ๗ เป็นสัญลักษณ์ซึ่งตรงกับเศียรพญานาคและการวงขนดเป็น ๗ รอบ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าพระปางนี้ศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตา ซึ่งสอนทางอ้อมให้ระลึกถึงอานิสงส์ของความเมตตาที่จะเกิดผลดีต่อ ผู้ปฏิบัติ ดังที่พญานาคยังขึ้นจากน้ำมาถวายอารักขาพระพุทธเจ้าก็ด้วยพลานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่สัมผัสได้ ดังนั้น คนวันเสาร์ที่มักเป็นคนเจ้าทุกข์ เขาจึงให้ฝึกมีเมตตาอยู่เสมอ เพื่อให้ทุกข์คลายลง
 
     ทั้งหมดข้างต้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นอุบายธรรมของคนโบราณ ที่จะทำให้ผู้สักการะได้ทราบพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับปางนั้นๆ ส่วนเหตุผลที่ว่าปางใดตรงกับวันไหนนั้นเป็นการกำหนดจากลักษณะนิสัยความเชื่อทางโหราศาสตร์ ซึ่งบางท่านอาจจะเห็นต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นความคิดแบบใด การบูชาพระพุทธรูปอันเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ก็ล้วนให้ผลดีต่อเราทั้งสิ้น
 
.................................................
 
น.ส.ทัศชล เทพกำปนาท ที่ปรึกษากรมส่งเสริมวัฒนธรรม
ที่มา : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 05, 2020, 12:28:00 PM
#วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ เชตวัน ของอนาถบิณฑกะ

เทวดาได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแปลงกายเป็นพราหมณ์ที่มีใบหน้าสว่างสไว สวมชุดสีขาวราวหิมะ
เทวดาทูลถามปัญหาต่อพระพุทธเจ้าว่า
“อะไรคือดาบที่คมที่สุด
อะไรคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด
อะไรคือไฟที่ร้ายที่สุด
อะไรคือคืนที่มืดที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า :
“วาจาที่กล่าวด้วยความโกรธคือดาบที่คมที่สุด
ความโลภคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด
ความปรารถนาคือไฟที่ร้ายที่สุด
ความหลงผิดคือคืนที่มืดที่สุด”

เทวดาทูลถามว่า
“ใครคือผู้ที่ได้มากที่สุด
ใครคือผู้ที่เสียมากที่สุด
อะไรเป็นเกราะที่แข็งกร่งที่สุด 
อะไรคืออาวุธที่ดีที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“คนที่ให้คือคนที่ได้มากที่สุด
คนที่เอาแต่ได้โดยไม่ตอบแทน
คือคนที่เสียมากที่สุด
ความอดทนคือเกราะที่แข็งแกร่งที่สุด
ปัญญาคืออาวุธที่ดีที่สุด

เทวดาทูลถามว่า
“ใครคือโจรที่อันตรายที่สุด
อะไรคือทรัพย์ที่มีค่าที่สุด
ใครที่สามารถที่สุดในการยึดครอง
ไม่ว่าบนโลกหรือสวรรค์
อะไรคือขุมทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“ความคิดร้ายคือโจรที่อันตรายที่สุด
คุณธรรมคือทรัพย์อันมีค่าที่สุด
ใจคือผู้ยึดครองทุกสิ่งไม่ว่าบนโลกนี้หรือสวรรค์
อมตะนิพพานคือขุมทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด

เทวดาทูลถามว่า
“อะไรคือสิ่งที่น่ารัก
อะไรคือสิ่งที่น่ารังเกียจ
อะไรคือความทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุด
อะไรคือความสุขที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“ความดีคือสิ่งที่น่ารัก
ความชั่วคือสิ่งที่น่ารังเกียจ
มิจฉาสติคือความทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุด
ความหลุดพ้นคือความสุขที่สุด”
เทวดาทูลถามว่า
“อะไรทำให้โลกพินาศ
อะไรที่ทำลายมิตรภาพ
อะไรคือไข้ที่ร้ายแรงที่สุด
ใครคือแพทย์ที่ดีที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“อวิชชา (ความไม่รู้แจ้ง) ทำให้โลกพินาศ
ความริษยาและความเห็นแก่ตัวทำลายมิตรภาพ
ความเกลียดชังคือไข้ที่ร้ายแรงที่สุด และ
พระพุทธเจ้าคือแพทย์ที่ดีที่สุด”

เทวดาจึงทูลว่า
“บัดนี้ข้าพเจ้ายังมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่ง ที่ต้องการคำตอบให้แจ่มแจ้ง อะไรที่ไม่ไหม้ด้วยไฟ ไม่สลายด้วยน้ำ ไม่แตกกระจายด้วยลม แต่สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผลแห่งกรรมดี ไม่ว่า ไฟ น้ำ หรือ ลม ก็ทำลายผลแห่งกรรมดีไม่ได้ และผลแห่งกรรมดีสามารถเปลี่ยนโลกได้”

เทวดาเมื่อได้สดับดังนี้ ก็เกิดปิติเป็นล้นพ้น ประณมหัตถ์น้อมลงถวายอภิวาทต่อศาสดา และร่างเทวดาก็หายไปจากตรงนั้น

Cr : ตามรอยพระอรหันต์


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 09, 2020, 08:02:35 PM
คนโดยมากมักเข้าใจผิดในผลของความดี คือมักไปเข้าใจ "ผลพลอยได้" ว่าเป็นผลโดยตรง และมักมุ่งผลพลอยได้เป็นสำคัญ
เมื่อไม่ได้ผลเป็นวัตถุจากการทำความดี ก็จะบ่นว่าทำดีไม่เห็นได้อะไร รักษาศีลไม่เห็นร่ำรวยอะไร เป็นเพราะไม่เข้าใจว่า ผลของความดีคืออะไร
ผลของความดี คือความหลุดพ้น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 28, 2020, 10:46:24 PM
https://www.youtube.com/watch?v=A_VrJxKKlJs (https://www.youtube.com/watch?v=A_VrJxKKlJs)
เจริญสติอยู่กับปัจจุบันคือความสุข "พศิน อินทรวงศ์" (2 ม.ค. 63)

https://www.youtube.com/watch?v=pa2ZY6JuLzA (https://www.youtube.com/watch?v=pa2ZY6JuLzA)
บรรยายหัวข้อศิลปะแห่งความสุข โดย อ พศิน อินทรวงค์ ณ เฮือนตะวา วันที่ 7 มีนาคม 2563

https://www.youtube.com/watch?v=wwXr7goLrbQ (https://www.youtube.com/watch?v=wwXr7goLrbQ)
ปาฏิหาริย์แห่งการมีชีวิตอยู่(ตอนที่ 1)

https://www.youtube.com/watch?v=MRsJANZdhNk (https://www.youtube.com/watch?v=MRsJANZdhNk)
ปาฏิหาริย์แห่งการมีชีวิตอยู่(ตอนที่ 2)

https://www.youtube.com/watch?v=SbGcjVr_Yno (https://www.youtube.com/watch?v=SbGcjVr_Yno)
ศิลปะแห่งความสุข โดย คุณ พศิน อินทรวงค์

https://www.youtube.com/watch?v=iuvcwlCCbog (https://www.youtube.com/watch?v=iuvcwlCCbog)
อาจารย์พศิน อินทรวงค์ • บ้านจิตสบาย • ศิลปะแห่งการใช้ชีวิต • 630809

https://www.youtube.com/watch?v=JlIClybxWAQ (https://www.youtube.com/watch?v=JlIClybxWAQ)
เรื่อง กระแสวัตถุ วิปัสสนาและการไล่ล่าของโลกอนาคต โดย คุณพศิน อินทรวงค์ (๐๒/๐๘/๖๓)

https://www.youtube.com/watch?v=OINqC8jydy4 (https://www.youtube.com/watch?v=OINqC8jydy4)
เจาะใจ LIFE HACKS : EP.5 "คำถามสำคัญในชีวิต...ตัวเราคืออะไร" กับ พศิน อินทรวงศ์ [ 3 ธ.ค.63 ]


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 03, 2021, 05:48:13 PM
“เพื่อรอยยิ้ม เมื่อสิ้นลม”

หลายคนอาจสงสัยว่า
ทำไมต้องบริหารจิต

คำตอบก็คือ
จะได้เอาใช้ ในเวลาที่สำคัญ ที่สุดของชีวิต คือ
ตอนสภาวะจิต ณ ขณะใกล้ตาย ซึ่งจิตก็จะไปตามสภาวะนั้นๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่ในวัยชราภาพด้วยแล้ว ย่อมมีโรคภัย ที่จะมาสร้างความเจ็บปวด ตอนจิตจะดับ

ดังนั้น ถ้าจิตไม่ได้รับการฝึกหัดมา บ่มบุญ บ่มสติมา ก็เป็นการยากที่จะตั้งจิตไว้ ในทางที่ดีได้

โดยปกติแล้วห้องไอซียู มักมีแต่ความตึงเครียด หดหู่ น่ากลัว จึงเป็นธรรมดาที่ห้องไอซียู จะเป็นความทรงจำ ที่ผู้ผ่านประสบการณ์ มักต้องการลบและลืม


แต่สำหรับคุณยายพิสมัย และลูกหลานอีกสองคน กลับเป็นความประทับใจ ที่ต้องจดจำไปอีกยาวนาน คงเป็นเพราะในชีวิต คุณยายคงจะทำบุญมาดี เลยมีพระดีๆมาโปรด ทำให้คุณยายพิสมัยมาป่วยพร้อมๆ กับพระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ ผู้เป็นเสาหลัก ของการเผยแผ่ธรรมจากภูโค้ง จ.ชัยภูมิ

ซึ่งท่านมีลูกศิษย์มาก ด้วยเหตุนี้ภายในห้องไอซียู จึงมีพระสงฆ์อยู่เฝ้าไข้เป็นประจำ

ในค่ำคืนนี้ เป็นเวรของพระอธิการครรชิต อกิญฺจโน เจ้าอาวาสวัดป่าสันติธรรม ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

แต่ด้วยเหตุห้องไอซียู
ไม่เอื้อต่อบรรยากาศ ในการสนทนาความ และสนทนาธรรม
อาการชักของคุณยายพิสมัย จึงอยู่เพียงในสายตา การเฝ้ามองของพระอธิการครรชิต เท่านั้น
ท่านได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ คอยแผ่เมตตา ส่งแรงใจช่วยเท่านั้น

ตลอดคืนนั้นอาการของคุณยายพิสมัยไม่ดีขึ้น อาการชักกระตุกยังมีต่อเนื่องไม่ผ่อนคลาย มาตรวัดที่จอมอนิเตอร์ข้างเตียง บ่งบอกถึงอาการ ไม่น่าไว้วางใจ จนแพทย์เวร ต้องมาเปรยๆกับลูกหลาน ว่า คุณยายควรทำสังฆทานได้แล้วนะ

เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกหลานของคุณยายพิสมัย ได้เข้ามาอาราธนาท่าน ให้ไปรับสังฆทานจากคุณยาย แม้ว่าจะเห็นหน้ากันคุ้นเคย แต่การสนทนาที่แท้จริง เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
พระอธิการได้สอบถามถึง เหตุอาการป่วยไข้ จึงรู้ว่า เป็นด้วยอาการชราภาพ แขนขาอ่อนกำลัง มิใช่ความผิดปกติจากโรคภัยไข้เจ็บใดๆ
อาการชักนั้นไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แพทย์บอกได้เพียงว่า มาจากสภาพเสียสมดุลของปฏิกิริยาเคมีภายในร่างกาย

ลูกหลานจึงนิมนต์ขอให้พระอธิการครรชิต โปรดรับสังฆทาน แล้วช่วยสวดมนต์ให้คุณยายด้วย

พระอธิการตอบรับ แต่ในใจนั้นท่านมีวิธีการอื่น ที่คิดว่าน่าลองทำมากกว่า

พระอธิการได้ถามถึงกิจวัตรของคุณยาย จึงรู้ว่า คุณยายชอบใส่บาตร ในตอนเช้าไม่เคยขาด
คุณยายเคยผ่านการอบรมกรรมฐานมาบ้าง และชอบไปไหว้หลวงพ่อทองคำ ที่วัดไตรมิตรฯ เป็นประจำ

ณ ข้างเตียงของคุณยายพิสมัย ในห้องไอซียู
คุณยายยังคงอยู่ในสภาพที่ร่างกายกระตุกตลอดเวลา

พระอธิการครรชิตได้พิจารณาอาการ และคิดหาหนทางแก้ไข และเห็นว่า การน้อมนำจิตของคุณยาย ออกจากทุกข์เวทนาทางกาย ไปสู่ที่หมายใหม่ ให้จิตได้ตั้งมั่น และที่ง่ายที่สุดน่าจะพึ่งอานิสงส์ จากการใส่บาตรเป็นประจำทุกๆเช้านี่แหละ

ท่านนั่งลงที่ข้างเตียงแล้วเริ่มบทสนทนา แน่นอนว่า เป็นการพูดข้างเดียว เพราะคุณยายมีสายยางสอดผ่านลำคอ แต่ยังดีที่คุณยายมีสติพยักหน้ารับรู้

“คุณโยม อาตมาเป็นพระนะ วันนี้ มาเยี่ยมไข้คุณโยม คุณโยมรับรู้หรือไม่ ถ้ารับรู้ช่วยพยักหน้ารับทีได้ไหม”
พระอธิการเริ่มการสนทนา

คุณยายผงกศีรษะรับรู้
พระอธิการจึงเข้าเรื่องทันที
“คุณโยม วันนี้ วันพระนะ เช้าแล้วไปใส่บาตรกันดีไหม”

คุณยายผงกศีรษะรับอีก

“เข้าครัวกันดีกว่า หาขันข้าวเจอหรือยัง กับข้าวอยู่ไหน เรียงใส่ถาดให้ครบนะ ค่อยๆ ใจเย็นๆ ”

พระอธิการเริ่มนำจินตนาการ เป็นจังหวะช้าๆ หน่วงเวลาให้คุณยายได้สร้างมโนภาพตาม ด้วยความคุ้นเคยในกิจวัตรที่กระทำในทุกๆเช้า จึงไม่ยากเลยที่คุณยายจะคล้อยตาม

“ไปหน้าบ้านกันดีกว่าโยม ใกล้เวลาพระมาแล้ว เอาเก้าอี้ไปด้วยนะ จะได้นั่งให้สบาย”

คุณยายผงกศีรษะรับ

“ไหนคุณโยมพระมาหรือยัง หันไปทางซ้ายดูซิ มีพระมาไหม”

คุณยายสั่นศีรษะ พระอธิการรู้ทันทีว่า ที่บ้านของคุณยายทุกเช้าพระบิณฑบาต จะเดินมาจากทางขวามือ

“ทางขวาล่ะ พระมาหรือยัง”

คราวนี้คุณยายผงกศีรษะรับ

“คุณโยมพระมาแล้ว ท่านมายืนข้างหน้าเปิดฝาบาตรรอแล้ว คุณโยม.. ยกขันข้าวขึ้นอธิษฐานก่อน”

คราวนี้คุณยายเลื่อนมือที่เคยวางทอดอยู่ข้างเตียง ขึ้นมาประสานกันที่บริเวณหน้าท้อง ในลักษณะประคองขันข้าว

พระอธิการได้กล่าวคำอธิษฐานนำ ซึ่งมีแต่สิ่งดีงามเพื่อน้อมนำจิตใจ

“อ้าวคุณโยมตักข้าวใส่บาตรนะ ใส่กับข้าวด้วย เอาดอกไม้ธูปเทียนวางบนฝาบาตรเสร็จแล้วองค์ที่หนึ่ง พระไปยืนรอทางซ้ายแล้ว”

“องค์ที่สอง ตักข้าวใส่บาตรนะใส่กับข้าวด้วย  อย่าลืมดอกไม้ธูปเทียนวางบนฝาบาตร เสร็จแล้วองค์ที่สอง พระไปยืนรอทางซ้าย”

พระอธิการนำจินตนาการใส่บาตรทีละองค์ ทีละองค์ จนครบหกองค์ เป็นการพูดนำทีละขั้นตอน เป็นจังหวะที่เนิบช้าอยู่หกรอบ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการย้ำภาพเดิมๆ ที่คุณยายคุ้นเคย เพื่อปลุกเร้าจินตนาการ ให้เกิดนิมิตอันแรงกล้าขึ้น

เพียงการนำจินตนาการ ใส่บาตรพระผ่านไปยังไม่ทันครบ ผลที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดก็คือ อาการกระตุกของร่างกายคุณยาย เริ่มลดลง คุณยายเริ่มมีความผ่อนคลายมากขึ้น แล้วเมื่อการนำจินตนาการใส่บาตรครบสมบูรณ์ทั้งหกองค์

“คราวนี้กรวดน้ำรับพรนะ เตรียมตัวพระจะสวดแล้ว  ยะถา วาริวะหา ปูรา ปาริปูเรนติ”

พระอธิการสวดอนุโมทนา ยะถาสัพพีทั้งบท อย่างสมจริง เพื่อให้คุณยายได้ตั้งจิตรับพร

ไม่น่าเชื่อว่า ความปกติได้หวนคืนกลับมา คุณยายพิสมัยไม่มีอาการกระตุก หลงเหลืออีกแล้ว

“คุณโยม ใส่บาตรรับพรจากพระเรียบร้อยแล้ว อิ่มอกอิ่มใจกันแล้ว วันนี้เราไปไหว้พระ ที่วัดไตรมิตรฯ กันต่อดีไหม”

คุณยายผงกศีรษะรับ พระอธิการจึงพาไปเที่ยวไหว้พระต่อ ที่วัดไตรมิตรฯ ทันที

ที่วัดไตรมิตรฯ ตามจินตนาการ พระอธิการครรชิต ได้พาคุณยายพิสมัย กราบหลวงพ่อทองคำ

ท่านถามคุณยายว่า พระพุทธรูปงามไหม คุณยาย ผงกศีรษะรับว่างดงาม พระอธิการยังได้ชวนคุณยาย นั่งลงภาวนาพุทโธ ที่หน้าองค์พระทองคำ โดยที่ท่านนำการภาวนาด้วยตัวเอง โดยออกเสียง พุท – โธ
พุท – โธ เป็นจังหวะช้าๆ

เมื่อการภาวนาผ่านไปไม่นานนัก สิ่งที่พระอธิการสังเกตเห็นก็คือ เส้นกราฟแสดงผลการเต้นของหัวใจที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ข้างเตียงนั้น จากที่เคยยุ่งเหยิงสับสน ก็เริ่มจัดระเบียบตัวเอง และเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เส้นกราฟก็เริ่มขยับเป็นจังหวะ สอดคล้องตรงกับจังหวะเสียง พุท – โธ ที่ท่านพูดนำ

ท่านรู้ทันทีว่าจิตของคุณยาย ได้ดิ่งลงสู่สมาธิภาวนาที่สมบูรณ์แบบแล้ว ในขณะนั้น ท่ามกลางความเป็นไปในห้องไอซียู ความเคลื่อนไหวรอบกายยังคงยุ่งเหยิง ไปตามปกติ ของภารกิจในหมู่พยาบาลและแพทย์

แต่ที่เตียงของคุณยายพิสมัยนั้น เป็นข้อยกเว้น ทุกอย่างสงบและควบคุมอยู่ในอาการภาวนา พุท – โธ ที่ราบเรียบ
โชคดีที่ไม่มีใครในห้องหันมาให้ความสนใจ หรือเข้ามารบกวน ขัดจังหวะ มีแต่ลูกหลานทั้งสองที่สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด เกิดปีติจนน้ำตาพรั่งพรู เพราะนี่คือความสงบระงับของคุณยาย อันน่าอัศจรรย์ เนื่องด้วยร่างกายของคุณยาย ได้กระตุกต่อเนื่องมานานหลายเวลาแล้ว

เวลาล่วงเลยไปนานหลายนาน การภาวนา พุท – โธ ยังคงดำเนินต่อเนื่อง มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จอมอนิเตอร์ ระดับชีพจรของคุณยายเริ่มช้าลง แรงดันโลหิตลดระดับลง และลดลงอย่างต่อเนื่อง

จนในที่สุด ความเคลื่อนไหวทั้งหมด ได้หยุดนิ่งลง
เส้นกราฟราบเรียบเป็นเส้นตรง ตัวเลขทุกตัวแสดงค่าเป็นศูนย์ บ่งชี้ว่า คุณยายพิสมัยได้สิ้นลมแล้วอย่างสงบ

เป็นการละสังขาร ในขณะที่ยังตั้งมั่นอยู่ในจิตภาวนาที่สมบูรณ์แบบ อันเป็นสภาวะที่หาได้ยากยิ่งโดยเฉพาะสำหรับปุถุชน ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนจิตอย่างช่ำชอง
ความเป็นไปทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในห้องไอซียู ห้องที่มักพบแต่ความอาภัพอับเฉาของชีวิตผู้คน

แต่สำหรับวันนี้ของคุณยายพิสมัย ด้วยการนำจินตนาการของพระอธิการครรชิต ที่ไม่เคยเสวนาธรรมกันมาก่อนเลยในชีวิต

วันนี้พระอธิการได้พาคุณยายก้าวเดินสู่การละวางสังขาร ที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้อารมณ์ของการภาวนาอย่างแท้จริง

พระอธิการครรชิต ได้อรรถาธิบายว่า อาการกระตุกของคุณยายเกิดจากเวทนา ด้วยความเสื่อมไปของสังขารร่างกาย เมื่อเวทนาแรงกล้า จิตย่อมขาดที่พึ่งพิง การน้อมนำสู่จินตนาการใส่บาตรที่คุ้นเคย เป็นการสร้างปุญฺญานุสสติ ใช้ความดี ใช้บุญกุศลเป็นที่ตั้ง เมื่อจิตมีที่หมายที่แรงกล้าได้พักพิง จิตย่อมสงบ เมื่อจิตสงบ กายย่อมระงับเป็นธรรมดา เมื่อกายระงับและจิตสงบ ย่อมง่ายที่จะน้อมนำไปสู่สมาธิภาวนาได้ในท้ายที่สุด

 คุณยายทำบุญมาดี เลยมีพระดีมาโปรด

แล้วเราจะโชคดีแบบคุณยายกันไหม


ท่านพระอธิการครรชิต อกิญฺจโน ท่านเป็น
เจ้าอาวาสวัดป่าสันติธรรม ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

จากหนังสือ
“เพื่อรอยยิ้ม เมื่อสิ้นลม”


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 16, 2021, 02:48:56 PM
ღ อิ่มเดียว หลับเดียว : ในหลวงทรงสอน ღ

เรื่อง "อิ่มเดียว หลับเดียว"

ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ใหม่ๆ ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น ( กางเกงขาสั้น ) ในยามดึกเวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับต่างทำหน้าที่กันตามจุดต่างๆไม่มีบกพร่อง ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกัน เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัย แด่องค์พระประมุขของชาติ จอมคนของปวงชนชาวไทย แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี

ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก ใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา ทรงพระราชดำเนินไปรเวท ( เดินเล่น ) บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ

แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวร ประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบ ที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี

ตอนนั้นทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า....

"ชีวิตมนุษย์เรานี่ อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น"

ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป จนลับพระองค์ ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไร จนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้าน อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า...

"...ท่านมหาขอรับ คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่ หมายความว่าอย่างไรขอรับ..."

ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า...

"...โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ..."

ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า...

"...โยมเฉลิมศักดิ์ คำนี้น่ะผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น มาจากพระพุทธพจน์ ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ชีวิตเป็นสุข ให้รู้จักคำว่าพอ เพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้น

มนุษย์เรานั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จักอิ่ม ได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีก นอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยากได้ให้มันมากขึ้นไปอีก ถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียวโลกก็จะเป็นสุข ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว

คนเรานะโยมจะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุกน้ำปลา หรือ กินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น กินเข้าไปไม่ได้แล้ว จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ นอนในสลัม หรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ..."

ที่มา จากบางส่วนของหนังสือเรื่องหลังจากวังหลวง บันทึกความทรงจำของอดีตตำรวจหลวง เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท


ขอขอบคุณบทความดี ๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยเจ้าค่ะ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: paul711 ที่ สิงหาคม 24, 2021, 02:07:10 PM
ขอบคุณครับคุณ หนูใจ นําบทความดีๆมาให้อ่าน  :-*


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 02, 2021, 11:18:55 AM
“อย่ากังวลใจกับอุปสรรคใดๆ  ที่เข้ามาในชีวิต  ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา  เป็นกฎของกรรม  อดทนไปสักระยะหนึ่ง  เหตุการณ์ทั้งหมดก็จักคลี่คลายไปได้ด้วยดี”


 
(พระราชพรหมญาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 02, 2021, 11:21:28 AM
“การยอมโง่ในสายตาคนอื่น  แต่เพื่อความสบายใจ  และไม่กระทบกระทั่งกันนั้น  เป็นอุบายที่ฉลาด  รู้หลบรู้หลีก  รู้ผ่อนสั้นผ่อนยาว  อย่างนี้เป็นทางของคนดี  และนักปราชญ์ชื่นชม”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 02, 2021, 11:24:18 AM
. สุดท้ายชีวิตก็ไม่มีอะไร ..
ชีวิตของเราไขว่คว้าหาสิ่งต่าง ๆ มากมาย ..
ทั้งสิ่งของ ความรู้ เพื่อนฝูง ลาภยศ สรรเสริญ ..
แต่สุดท้ายเราเหลืออะไร

แต่สุดท้ายสิ่งของที่หามาได้ก็เป็นเพียงแค่วัตถุที่สนองตัญหาของเราเท่านั้น ..

จะมีคุณค่าก็แค่ตอนได้มาใหม่ๆ เมื่อนานไปเราก็จะลืม ..
ลืมไปว่าเราเคยชื่นชมสิ่งนั้นๆ มากแค่ไหน ..
และสุดท้ายก็จะเหมือนไม่มีอะไร ..

ความรู้ .. เราเรียนกันมากมาย ..
ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ..
แต่สุดท้ายเราไม่เคยเรียนรู้ตัวเองได้เลย ..
เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากมาย แต่ไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ ..
สุดท้ายการเรียนรู้ก็ไม่มีอะไร ..(ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง) ..
ลาภยศ สรรเสริญ ..สูงสุดคืนสู่สามัญ .. เป็นคำที่ดีที่สุด ..
เมื่อเราขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต ..แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นคนที่ไม่มีอะไร ..

เพราะ ทุกอย่างเป็นของสมมติทั้งนั้น ..
เค้าให้เราได้ .. เค้าก็เอาคืนไป ..สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร ..
คนเรามาแต่ตัวก็ไปแต่ตัวกันทั้งนั้น ..
สิ่งที่จะติดตัวเราไปตลอดคือคุณงามความดีที่เราได้เคยทำไว้เพียงเท่านั้น ..

ได้มาจากไลน์ ขอขอบคุณเจ้าของบทความไว้ ณ ที่นี้ ค่ะ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 02, 2021, 11:25:22 AM
“ให้อภัย” สิ่งที่ผมเรียนรู้จากเด็ก ป.1

ผมเคยเขียนเล่าเรื่องนี้ลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวเมื่อหลายปีก่อน วันนี้ขอนำมาถ่ายทอดใหม่ในเพจนี้อีกครั้งเผื่อจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านนะครับ

ลูกผมเรียนที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนนี้มีสัดส่วนนักเรียนต่างชาติที่เป็นฝรั่งถึง 94% มีนักเรียนไทยอยู่เพียง 6%

ปัญหาที่ลูกเจอตอนอยู่ ป.1 คือลูกมักถูกเด็กฝรั่งซึ่งตัวใหญ่กว่ารังแกอยู่เสมอ และลูกมาเล่าให้ผมฟัง

ผมจึงสอนลูกไปว่า อย่าไปยอมมันเราต้องสู้ให้เห็นว่าเราไม่กลัว มันจะได้ไม่กล้ารังแกเรา

ตกเย็นลูกกลับมาบอกว่าวันนี้ลองสู้แล้วแต่สู้ไม่ไหวเพราะเพื่อนตัวใหญ่กว่ามาก

ผมบอกลูกว่างั้นเอาใหม่ขู่มันไปว่าถ้ารังแกอีกจะแจ้งตำรวจจับ ยูเป็นต่างชาติรังแกคนไทยไม่ได้ผิดกฏหมาย

พอเลิกเรียนลูกกลับมาบอกว่าขู่แล้วเพื่อนไม่กลัว แถมยังแกล้งหนักขึ้นอีก

ตอนนั้นผมสงสารลูกมาก แต่ไม่รู้จะช่วยลูกยังไงจึงบอกลูกไปว่าถ้าเพื่อนแกล้งอีกให้ไปฟ้องครู

หลังจากนั้นผมไม่เคยเห็นลูกบ่นเรื่องถูกเพื่อนรังแกอีกเลย จนผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

วันหนึ่งตอนไปรับลูกที่โรงเรียนผมสังเกตเห็นลูกหยอกล้อเล่นกับเพื่อนอย่างมีความสุขมาก ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าลูกเคยมีปัญหาถูกเพื่อนรังแกนี่นาทำไมวันนี้กลายเป็นซี้กันซะงั้น

“เดี๋ยวนี้เพื่อนไม่รังแกลูกแล้วหรอ” ผมถามหลังจากลูกขึ้นมานั่งบนรถ

“ไม่แล้วครับ” ตอบเสร็จลูกก็นั่งกินขนมพร้อมกับอ่านหนังสือการ์ตูนไปด้วยเหมือนทุกๆวัน

“ที่พ่อบอกให้ฟ้องครูเวลาเพื่อนแกล้งมันได้ผลใช่มั๊ยครับ” ผมถาม

“วิธีที่พ่อสอนมันไม่ได้ผลสักวิธีเลยครับ” ลูกตอบโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือการ์ตูน และยังคงกินขนมไปด้วยเหมือนเดิม

“อ่าว แล้วลูกทำยังไงครับเพื่อนถึงเลิกแกล้ง แถมยังซี้กันด้วย” ผมถามต่อด้วยความสงสัย

“อ๋อกัสจังให้อภัยเค้าครับ” ลูกตอบโดยสายตาไม่ยอมละจากหนังสือการ์ตูน และมือก็ยังคงหยิบขนมใส่ปาก

อะไรวะ “ให้อภัย” ผมคิดในใจ

ด้วยความอยากรู้ผมเลยซักต่อว่า “ยังไงครับ “ให้อภัย” ลูกทำยังไงครับ”

“อ๋อ เวลาเพื่อนแกล้งกัสจังก็บอกว่า ok ไอให้อภัยยู แต่ต่อไปยูอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

“ห๊ะ แค่เนี้ยอ่ะนะ” ผมถาม

“ครับแค่นี้ครับ” ลูกตอบ

“แค่บอกว่าให้อภัยเนี่ยนะเพื่อนเลยเลิกแกล้ง” ผมถามย้ำ

“ครับบอกแค่นี้ครับ” ลูกเริ่มรำคาญแล้วก้มหน้าอ่านการ์ตูนต่อไป มือก็หยิบขนมเข้าปาก

ผมเลิกเซ้าซี้ลูก และออกรถพร้อมกับคำถามในหัวเต็มไปหมด

“ให้อภัย” ??!!

ทำไมตลอดชีวิตที่ผ่านมา 40 กว่าปี ผมไม่เคยคิดถึงคำๆนี้เลย ที่ผ่านมาผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ใครทำอะไรไม่ดีกับผม ผมจะตอบโต้กลับไปทุกครั้ง บางครั้งก็ไม่เคยคำนึงถึงผลที่ตามมา นั่นทำให้ชีวิตผมล้มลุกคลุกคลานมาตลอด

แถมผมยังไปสอนให้ลูกทำอย่างที่ผมทำอีก นี่ผมเป็นพ่อแบบไหนกัน

ระหว่างขับรถกลับบ้านผมแอบมองลูกที่นั่งเบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง ผมเห็นลูกนั่งอ่านการ์ตูน และกินขนมอย่างมีความสุข

ขอบคุณนะลูกที่สอนให้พ่อรู้จักคำที่ทรงพลังคำนี้

จากวันนั้นผมเรียนรู้ที่จะ “ให้อภัย” ผมฝึกตัวเองใหม่ ผม “ให้อภัย” ทุกคนในทุกครั้งที่มีโอกาส หลังจากนั้นโลกของผมก็เริ่มเปลี่ยน ชีวิตเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

เรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผมยังจำได้ดีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน คำว่า “ให้อภัย” จากปากลูกยังก้องอยู่ในหู

ที่เล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้ใครหลงทางไปตั้งครึ่งค่อนชีวิตกับเรื่องแบบนี้เหมือนผม

สงครามไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้นต่อให้คนที่ชนะจะเป็นคุณก็ตาม

หวังว่าเรื่องของผมกับลูกจะพอเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง

ยังมีอีกหลายเรื่องครับที่ผมเรียนรู้จากลูกชาย ไว้มีโอกาสจะทยอยเล่าให้ฟังครับ

ธีรพงศ์ เธียรพัฒนพล


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2022, 12:35:20 PM
https://www.youtube.com/watch?v=6-eAOXtet-k (https://www.youtube.com/watch?v=6-eAOXtet-k)

#วันมาฆบูชา #โอวาทปาติโมกข์ #โอวาท๓
เดินให้ถูกทิศ ชีวิตก็ถูกทาง โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ไร่เชิญตะวัน (พระมหาวุฒิชัย - พระเมธีวชิโรดม)
การดู 11,498 ครั้ง15 ก.พ. 2022


ชีวิตจะมุ่งไปถึงเป้าหมายได้ ก็ต้องมีเข็มทิศนำทาง เข็มทิศนี้ก็คือเข็มทิศความคิด ถ้าคิดถูกชีวิตก็ไปถูกทิศถูกทาง ถ้าคิดผิดชีวิตก็ไปผิดทิศผิดทาง (ท่าน ว.วชิรเมธี)

เหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา



หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2022, 05:53:31 PM
"การทำบุญทำทาน  การรักษาศีล  การฟังธรรมและการปฏิบัติธรรม  เป็นเหมือนการให้ยาป้องกันโรคทางจิตใจ  ไม่มีอะไรจะระงับหรือป้องกันความทุกข์ใจได้  นอกจากบุญกุศลเท่านั้น"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2022, 05:12:11 PM
วัดความดัน(@)
กัน..ไว้บ้าง

อายุย่าง ปัจฉิมวัยไม่ประมาท
 เพื่อมีภูมิ คุ้มขันธ์ กันอาพาธ
โรคระบาดทุกพันธุ์ อันตรธาน

 (@)พฤหัสฯ..วัดความดี(@)
             ที่..กาย-จิต
สุจริต คิดพูดทำ นำสุขศานติ์
เลี้ยงกายวาจาใจใสเบิกบาน
 สุขสำราญ งาน-เงิน เจริญดี

 (@)พฤหัสฯ..วัดระดับ(@)
        ปรับ ปรุง เปลี่ยน
 ทุกบทเรียน สมควร รู้ถ้วนถี่
ถึงโทษคุณบุญบาปผลลัพธ์มี
   ธรรมวิถี พุทธะ ละสมมุติ

    (@)พฤหัสฯ..วัดทุน(@)
             บุญ..กุศล
เบื้องต้นท่ามกลางถึงหลังสุด
 ควรภูมิใจ ได้เกิด เป็นมนุษย์
ใต้ร่มพุทธ ศาสนา ล้ำค่าเอย

(@)มหาน้อย(@)
 :วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี :
 พฤหัสฯที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๕


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2022, 05:14:54 PM
"อะไรมันจะมาศักดิ์สิทธิ์เท่าตัวเรา  ไม่มีหรอก  ตัวเรานั้นแหละเป็นของศักดิ์สิทธิ์  กรรมดีเราทำมาตั้งแต่ก่อน  ชาตินี้ทำเพิ่มใหม่  นั้นแหละเป็นของดีของเราแท้"

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 10, 2022, 05:19:24 PM
(sun over mountain)(sunflower)(bow)(smiley face)
“การใช้ชีวิตอย่างมีสติ  เป็นการแก้ปัญหาของโลกไปในตัว  เพราะเมื่อมีสติแล้ว  ก็จะปฏิบัติต่อคน  ต่อสัตว์  ต่อสิ่งแวดล้อม  อย่างระมัดระวัง  เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ”

ท่าน ว.วชิรเมธี


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 30, 2022, 09:02:41 AM
อุณหิสสวิชะยะคาถา พุทธมนต์ แก้ดวงตก คนชะตาขาด

ที่มาของ บทสวด อุณหิสสวิชะยะคาถา อันมีความโดยสังเขปว่า เมื่อครั้งพุทธกาล เทพบุตรนามว่า “สุปติฏฐิตา” มีความวิตกกังวลที่กำลังจะสิ้นบุญ ต้องลงไปเสวยกรรมในนรกถึงแสนปี และต้องใช้วิบากกรรมเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหลายชนิดอีกหลายร้อยชาติ เทพบุตรจึงพยายามหาทางป้องกันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น    ด้วยความเมตตา พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์จึงได้พาเทพบุตรไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และทูลขอความเมตตาให้พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อให้เทพบุตรยังไม่สิ้นอายุขัยลงในเจ็ดวัน พร้อมกับมีโอกาสใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้บำเพ็ญภาวนาใช้หนี้กรรมที่มีอยู่ให้หมดไป ครั้นแล้วการก็เป็นไปดังที่ทูลขอ

บทสวด อุณหิสสวิชะยะคาถา

อัตถิ  อุณหิสสะ  วิชะโย       ธัมโม  โลเก  อะนุตตะโร
สัพพะสัตตะหิตัตถายะ         ตัง  ตวัง  คัณหาหิ  เทวะเต
ปะริวัชเช  ราชะทัณเฑ         อะมะนุสเสหิ  ปาวะเก
พะยัคเฆ   นาเค  วิเส          ภูเต    อะกาละมะระเณนะ  วา
สัพพัสมา  มะระณา  มุตโต    ฐะเปตวา  กาละมาริตัง
ตัสเสวะ  อานุภาเวนะ          โหตุ  เทโว  สุขี   สะทา
สุทธะสีลัง  สะมาทายะ         ธัมมัง สุจะริตัง  จะเร
ตัสเสวะ  อานุภาเวนะ          โหตุ  เทโว สุขี  สะทา
ลิกขิตัง  จินติตัง ปูชัง          ธาระณัง  วาจะนัง คะรุง
ปะเรสัง  เทสะนัง  สุตวา      ตัสสะ  อายุ  ปะวัฑฒะตีติ


สำหรับคำแปล อุณหิสสวิชะยะคาถา มีดังนี้

ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญของข้าพเจ้าทุกชาติให้กับบิดามารดา ครูอาจารย์ เทพเทวดา เชื้อโรคในตัวข้าพเจ้า คู่เวรคู่กรรม เจ้าบุญนายคุณของข้าพเจ้า ขอให้คู่เวรคู่กรรม เจ้าบุญนายของคุณข้าพเจ้า ได้โปรดอนุโมทนาบุญ และอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เถิด


  แม้แต่กรรมใดที่ใครทำไว้แก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมทั้งสิ้น ยกถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมใดๆ ต่อไป
  ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ คุ้มครองข้าพเจ้า บิดามารดา ครูบาอาจารย์ คู่ครอง ญาติมิตร บุตรบริวาร ตลอดจนผู้อุปถัมภ์ข้าพเจ้า มีความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง มีดวงตาที่เห็นธรรมพบเจอแต่กัลยาณมิตร เทอญ


บทสวด อุณหิสสวิชะยะคาถา เป็นพระคาถาที่นิยมสวดเพื่อสืบชะตาต่ออายุในคนที่กำลังจะหมดอายุขัย ชะตาขาด มีเคราะห์ และยังเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยป้องกันภัยจากภูตผีปีศาจและสิ่งไม่ดีทั้งปวงได้อีกด้วย พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงให้เทวดาได้สดับรับฟัง จนหลุดพ้นจากอำนาจเครื่องพัธนาการและเกิดในสุคติภูมิที่ดี ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธส่วนหนึ่ง จึงมีความศรัทธาและนิยมนิมนต์พระมาสวดเสมอ เพื่ออาศัยอำนาจคุณพระรัตนตรัยบันดาลให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน แคล้วคลาดปลอดภัยจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย

ที่มา
https://www.komchadluek.net/amulet/527415 (https://www.komchadluek.net/amulet/527415)
ไปติดตามอ่านเพิ่มได้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 30, 2022, 10:49:28 AM
ตัดจุดเดียว

เคล็ดลับในการปฏิบัติอย่างง่ายที่สุด ถ้าท่านไปเปิดในขันธวรรค พระไตรปิฏก ที่พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายได้รวบรวมไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาว่า พระพุทธองค์ทรงสอนไว้มีมากมาย ชอบใจแบบไหน ก็ปฏิบัติแบบที่ถูกนิสัยของท่าน

มีคนถามปัญหาพระพุทธเจ้าว่า กิเลสร้อยแปดพันเก้าทั้งหลายนั้น จะตัดกิเลสทั้งหมดออกจากจิตใจ ตัดด้วยอะไร

พระพุทธองค์ตอบว่า ตัดจุดเดียว คือ ขันธ์ 5 รูปร่างกาย ให้พิจารณาว่า
1. รูปร่างกาย คือ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
2. เวทนา ความรู้สึก สุข ทุกข์ หนาว ร้อน
3. สัญญา คือ ความจำได้ หมายรู
4. สังขาร คือ ความคิดดีคิดชั่ว คิดเฉย ๆ
5. วิญญาณ ระบบประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความเจ็บปวดทางประสาท สมอง ไขสันหลัง

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเขา ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่ใช่ขันธ์ 5 เราคือ จิตที่มาอาศัยขันธ์ 5 ชั่วคราว ถ้าจิตไม่ผูกพันในขันธ์ 5 อารมณ์นั้นเมื่อไร จิตก็จะพ้นจากกิเลสสังโยชน์ 10 เป็นพระอริยเจ้าทันที

ท่านกล่าวว่า ไม่มีอะไรยาก พระอรหันต์ทุกพระองค์ ท่านมีจุดตัดอย่างเดียว คือ ขันธ์ 5 เท่านั้น

พระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุง อุทัยธานี


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 30, 2022, 11:06:01 AM
ขออนุญาตแชร์เขามา :

“ถ้าอ่านจบแล้วจะพบสัจธรรม”

" นกชนิดเดียวกัน

จะอยู่ในฝูงเดียวกัน

คนที่เคยมีบุพกรรม

ร่วมกัน จะถูกดึงดูด

เข้ามาอยู่ใกล้กัน”

เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง (แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์

ซึ่งความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า

ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง)
ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง)
และไม่มีตัวตน (อนัตตา)

สามสภาวะนี้เรียกรวมกัน
ว่า “กฎไตรลักษณ์”

กฎข้อนี้ในบางส่วน นักจิตวิทยาก็ค้นพบ เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น

คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น

ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ

1. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”

2. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน” เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์”

ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า

นามนั้นประกอบด้วย ความรู้สึก (เวทนา), ความจำ (สัญญา), ความคิด (สังขาร), การรับรู้ (วิญญาณ)

ข้อดีของสัจธรรมก็คือ เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ มาทำงานร่วมกับคนๆนี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน

หรือใครก็ตาม ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะเรายังมี “กายภายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา

“คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน
จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”

เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง

เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี

นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น

ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรายังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป

และวิธีการสลัดตนให้หลุดพ้นจากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น

แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ “ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ

โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

“ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ ว่ายน้ำ ดูปะการัง ปลูกต้นไม้ อะไรก็ว่าไป

ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอ คนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”

ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก” แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕)

ทาน บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี

ศีล บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก

สมาธิ บอกระดับความสุขสงบเย็น

ปัญญา บอกระดับความรู้
ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง

ขอย้ำอีกสักครั้ง
 “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูด
เข้ามาอยู่ใกล้กัน”

ตามระดับคุณธรรม
ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือน
อยู่ตลอดเวลา

เครดิต : นิรนาม


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 30, 2022, 11:11:50 AM
อยากให้อ่านจนจบ แล้วใคร่ครวญดู
หากเห็นว่า “ใ่ช่” ก็เผยแพร่กันด้วย


อ่านเถอะครับดี,มีประโยชน์ (ผมอ่านช้าๆยังใช้เวลาแค่ "3 นาทีจบ"เลย)ครับ

หลวงปู่ ชนะฯ  แห่งวัดป่า โนนหมากอื้อ  อ. เมือง
จ. มหาสารคาม
พระสงฆ์รูปนี้ สมเป็นสาวกของ "ตถาคต"  โดยแท้  ท่านสอนพระ และญาติโยมว่า...

"ทุกวันนี้ ญาติโยมไหว้พระ   ก็ไปวุ่นวาย แต่กับดอกไม้ ธูป เทียน
ไม่รู้ว่า ทำไมต้องวุ่นวาย กับของพวกนี้  ไม่มี..ดอกไม้
ไม่มี..ธูป เทียน
ก็ไหว้ได้  กราบได้
...ไหว้พระ...
...กราบพระ...
ไหว้..ที่ใจ    กราบ..ที่ใจ
...เคารพในคุณงาม ความดีของพระพุทธเจ้าของเรา และพระธรรมคำสอนของท่าน

พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไหม  ว่า.. ไหว้พระ จำเป็นต้องมี ดอกไม้ ธูปเทียน  อามิสต่างๆ
ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีกำหนดไว้
ไปเสียเงิน เสียทองซื้อมาทำไม
อย่าว่า แต่ญาติโยมเลย พระนี้แหละ  ตัวสำคัญ
สำคัญ อย่างไร 
ทุกวันนี้  พระก็จัดดอกไม้ เป็นบ้า หลงไหลไปกับ..
-การทำบายศรี
-จัดผ้า
-ตกแต่งสถานที่  ให้มันสวยงาม หรูหรา แต่บางทีกลายเป็นความรกรุงรังแทน
...หลง..ในความงาม
…หลง..ในความสวย

พระพุทธเจ้าท่านชวน ท่านพาให้ พวกเราละความหลงต่างๆ  หลงในความสวยความงาม  ให้อยู่อย่างสงบ มีสมาธิ  มีสติ แล้วจะได้มีปัญญา  ให้อยู่ป่า  ให้อยู่ในวิเวก แล้วดูใจตัวเอง
เป็นบ้า..อะไร กับของพวกนี้ บางวัด เอาบายศรี ไปตั้งข้างพระประธาน   บางทีตั้ง สูงกว่าพระพุทธรูปเสียอีก
พยายามตกแต่วให้... สวยงาม
ทำเพื่ออะไร...ทำเอาอะไร เอา..มรรคผล  นิพพาน.. ไหม
...พระพุทธเจ้าท่าน...สั่ง
ท่าน…สอน…มั๊ย  ในพระวินัย ก็ไม่ได้สั่งสอน ให้พระ…ทำบายศรี จัดดอกไม้  นี่มันบวชมาปรุงแต่ง   มันบวชมาเอากิเลส กระนั้นหรือ?
หลวงปู่ขาว ท่านก็ไม่ได้สอนนะ...ว่าให้พระ ให้ญาติโยมทำบายศรี จัดดอกไม้ แทนการภาวนา

หลวงปู่ฝั้น…
ท่านก็ไม่สอน ท่านสอนให้ภาวนา รักษาศีล
แต่ทุกวันนี้เรื่อง...การบวชเข้ามา เพื่อปฏิบัติ ตามปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์  มันไม่มี
บอกให้ภาวนา...เหมือนคุยกับหมา
คุยกับหมา  บางทียังรู้เรื่องกว่า
หลวงปู่สอนว่า... ให้ตื่นตี 3  มาภาวนา  เดินก็ได้
นั่งก็ได้ พอตี 5… 6โมงให้เตรียมบิณฑบาต
เสร็จจากฉันอาหาร
ให้เดินจงกรม หรือนั่งภาวนาจนถึง 11 โมง  แล้วจึงขึ้นไปพัก
บ่าย 3 ให้ออกมาทำข้อวัตรปฏิบัติอีก
กลางคืน ให้ภาวนา ถึงเที่ยงคืน หรือ จนสว่าง... ตามแต่กำลัง

แต่ไม่ทำตาม

ตื่น ก็ ตื่นสาย
ฉันเสร็จ ก็ไปหาที่พักผ่อน นอนเล่น เล่นโทรศัพท์
พวกนี้ ไปอยู่กับหลวงปู่บัว วัดป่าหนองแซง ไม่ได้หรอก
นี่มันบวชมาหาความสบาย ไม่ได้บวชมา เพื่อการปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส
ไม่ได้บวชมาเพื่อพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร
เอาแต่ว่าแล้วแต่กิเลสของตัวเอง จะพาไป

พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรมก็ด้วย…
-การปฏิบัติ
-การภาวนา
-การดูตัวเอง-ดูใจตัวเอง
ไม่ได้บรรลุด้วยโทรศัพท์
ไม่ได้บรรลุ ด้วยการหลอกขอเงิน ขออาหารจากญาติญาติโยม เหมือน จี้ ปล้น จากญาติโยม
ไม่เคยสร้างปัญญาให้แก่ญาติโยม  ไม่ทำหน้าทีของสงฆ์ ที่ควรเป็นผู้ถ่ายทอดพระธรรมของศาสดา
บางวัด  กลับสอนให้ญาติโยม หลงผิดในบุญ ในการทำบุญ  หลงในความรวย
ขนาด เอากิเลศมาตั้งชื่อพระพุทธรูป... เช่น ...
-หลวงพ่อรวย
-หลวงพ่อทันใจ
-หลวงพ่อพันล้าน

ทำไม มันไม่ตั้งว่า... หลวงพ่อบอกหวย…ไปเลยเล่า

แทนที่พระจะสอนญาติโยมว่า..พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทน องค์ของพระพุทธเจ้า เรานะ ขณะที่เรากราบ   เราไหว้
ก็ให้ระลึกถึงคุณงาม ความดี ของท่าน 
นึกถึงคำสอนของท่าน
ที่ให้ละชั่ว ทำดี ละอายต่อการทำบาป
แต่กลับไม่คิด  ไม่ทำ!
กลับไปสอนว่า...ให้ไหว้เพื่อขอพร 'หลวงพ่อรวย' หากกราบไหว้ ซื้อดอกไม้ ธูปเทียนไป…ไหว้แล้ว…รวย
มันจะไปรวยอะไร ถ้ามัน.. ไม่ทำงาน หาเงิน รู้จักเก็บ รู้จักใช้
กลับกลายเป็นว่า..
คนที่รวย ก็คือ  พวกขายดอกไม้ ธูป เทียน บางทีก็วัด  บางทีก็พระ  ร่วมด้วย

ถ้ามันอยากได้บุญจริง
ให้ไหว้พระ สวดมนต์.. แล้ว ไปบริจาคทาน..ให้โรงพยาบาล ให้สถานที่เด็กกำพร้า คนพิการ คนตกทุกข์ได้ยาก
นั้นละ..บุญ
ไม่ต้องไปเสียเงินกับของไร้ประโยชน์ อย่าง..ดอกไม้ ธูป เทียน
จุดธูปเยอะๆ​ ก็ไม่ใช่เรื่องดี นั้นละ ตัวก่อมะเร็ง
จะทำบุญ ทำทาน อะไรก็ให้พากัน… มีสติ พิจารณาดูให้ดี  ถึงความสมเหตุ สมผล ให้ใช้ปัญญาดีๆ

*..หลวงปู่ชนะ อุตตมลาโภ..*
วัดป่าโนนหมากอื๋อ
อ.เมือง จ.มหาสารคาม
(ท่านเป็นศิษย์ ในองค์ท่านหลวงปู่วัน อุตตโม  และ
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 07, 2022, 08:28:23 AM
“ความอยากที่น่ารัก”

ชายหนุ่มคนหนึ่งกําลังตื่นเต้นดีใจที่ได้รับรถสปอร์ต ยี่ห้อปอร์เช่จากพี่ชาย พี่ชายของเขาเพิ่งจะขายกิจการหนึ่ง ไปได้กําไรงดงาม จึงซื้อรถในฝันให้น้องชายที่รักเป็นของขวัญ ขณะที่เขากําลังยืนลูบ ๆ คลําๆ รถสปอร์ตใหม่เอี่ยมของเขา อยู่ที่หน้าบ้าน เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา

เด็กชาย “ว้าว! รถพี่สวยจังเลยครับ สวยจริงๆ”
ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงภูมิใจ “เจ๋งมั้ยล่ะ พี่ชายของพี่เค้า ซื้อให้พี่เป็นของขวัญ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายทําตาโตเท่าไข่ห่าน
เด็กชาย “ว้าว! ผมอยาก...”
ทันทีที่เด็กชายเอ่ยว่า “ผมอยาก...” ชายหนุ่มเจ้าของ รถก็เดาทันทีว่าเขาต้องพูดว่า “ผมอยากมีพี่ชายอย่างนั้นบ้าง” แต่ ...พลิกล็อก...เด็กชายไม่พูดเช่นนั้น
เด็กชาย “ว้าว! ผมอยากเป็นพี่ชายอย่างนั้นบ้างจังเลย”
ชายหนุ่มอึ้งไปด้วยความผิดคาด เขารู้สึกซึ้งใจมาก เด็ก คนนี้ช่างเป็นเด็กที่น่ารักเหลือเกิน เขารู้สึกเมตตาเด็กจึงเอ่ย ปากชวน ชายหนุ่ม “อยากนั่งรถเล่นมั้ยล่ะ พี่จะขับพาไปเที่ยว เอามั้ย”
เด็กชายดีใจมาก “เอาสิครับ ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยครับ” ทั้งสองจึงขึ้นรถไปด้วยกัน นั่งไปได้สักพัก....
เด็กชาย “พี่ครับ ขอโทษนะครับ บ้านผมอยู่แถวนี้เอง พี่ช่วยขับรถผ่านไปที่หน้าบ้านผมซักหน่อยได้มั้ยครับ”
ชายหนุ่ม “ได้ซิ”
เขาตอบพลางคิดในใจ (อีกแล้ว !) ว่า ‘เจ้าหนูนี่คง อยากจะอวดคนที่บ้านนะว่ามีโอกาสได้นั่งรถปอร์เช่สวยๆ อย่างนี้ เอ้า! ให้เค้าได้อวดคนซะหน่อย’
เมื่อถึงหน้าบ้าน เด็กชายขอให้เขาจอดรถสักแป๊บหนึ่ง แล้วรีบเปิดประตูรถวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น เมื่อเขากลับออกมา เขาจูงมือเด็กเล็กๆ คนหนึ่งออกมาด้วย เขาพาเด็กน้อยมาที่รถปอร์เช่ของชายหนุ่ม
เด็กชาย “รถคันนี้สวยมั้ยน้อง พี่คนนี้เขาได้รถคันสวยนี้ เป็นของขวัญจากพี่ชายเค้า ถ้าพี่โตเมื่อไหร่นะ พี่ก็จะซื้อรถสวย ๆ อย่างนี้ให้น้องเหมือนกัน”

ท่านอาจารย์ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างความ อยากได้กับความอยากให้ ท่านถามว่าอย่างไหนมันจะ งามกว่ากัน

จากหนังสือ เรื่องท่านเล่า
พระอาจารย์ชยสาโร

สาธุค่ะ


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 02, 2022, 02:06:04 PM
(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/277437903_2864818087149244_4791794995817397918_n.jpg?stp=dst-jpg_s720x720&_nc_cat=108&ccb=1-7&_nc_sid=8bfeb9&_nc_eui2=AeFBXTA5aKqSFs5zF8wDQYsEYNh81ZxUdi5g2HzVnFR2Lou5dTAB-8Pd57Zez_FNtQ4wUB-BnKZNTJkojqzubKGO&_nc_ohc=Cd-LcqG8LMAAX-_0plN&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.fna&oh=00_AfCy_WiIG7oy-jOjk0XF6tMBL-RC3UXEsMtc_MZbNmP2ew&oe=6367EF8E)

ที่มา
https://www.facebook.com/profile.php?id=100028607456484 (https://www.facebook.com/profile.php?id=100028607456484)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 02, 2022, 02:07:42 PM
(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/277220982_2860545444243175_950174152039672612_n.jpg?stp=dst-jpg_p526x296&_nc_cat=101&ccb=1-7&_nc_sid=8bfeb9&_nc_eui2=AeH4MK6YpWqwW9WTWg142O_Y0lU-YbOKOpvSVT5hs4o6m99-cB_sBvZpDMEkJLfJ8qXDkJZNnSh2eOu42RuUZOrn&_nc_ohc=jlnnU-q2VoUAX9fXemY&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.fna&oh=00_AfBJUz0hTvFpqjmjtbvDqZgDff9Infz8YAoQUrZGLXWQDw&oe=6366AF37)

ที่มา
https://www.facebook.com/profile.php?id=100028607456484 (https://www.facebook.com/profile.php?id=100028607456484)


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 16, 2022, 08:07:43 PM
มนุษย์อาบน้ำชำระกายวันละสองครั้ง
เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย
แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังษี)


ทำใจให้สบาย
ร่างกายก็สบาย
แม้จะขาดวัตถุไปมากหรือน้อย
...ก็ไม่เป็นทุกข์...
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ

อย่าคิดว่าเราเป็นคนสำคัญ
ให้ทำตนเป็นแบบปกติธรรมดา ๆ นี่แหละดีที่สุด
เมื่อเราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญแล้ว
เมื่อผู้อื่นไม่ให้ราคาเรา
ไม่นับถือ ให้ความสำคัญเราแล้ว
จิตใจเราจะเป็นทุกข์ร้อน
สับสนวุ่นวายไปตามกระแสโลกธรรม
ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร


โกรธทำไม เสียสมองเปล่า ๆ
ทะเลาะทำไม เสียเวลาเปล่า ๆ
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม


เราสร้างความดีกับใคร เราก็ดีใจ
ถึงเขาไม่รู้ เราก็รู้
ในทำนองเดียวกัน
การทำความชั่ว
ถึงเขาไม่รู้ เราก็รู้
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

เวลาที่เราไม่มีอะไรเป็นของเราเลย
นั่นแหละเป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุด
พุทธทาสภิกขุ

คนจำนวนมาก
ทำบุญเพื่อให้ตนดีใจ
แต่ไม่ได้ทำบุญเพื่อให้ใจตนดี
พุทธทาสภิกขุ

ธรรมสำหรับคนชั่วนั้น
ไม่มีความหมายใด ๆ
เหมือนเทน้ำใส่หลังหมา
มันสลัดออกเกลี้ยง ไม่มีเหลือ
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


จงพากันมีสติคอยระวังตัว
อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่า ๆ
เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า
ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัวอย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ
ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียว
ใครจะว่าดีหรือชั่วไม่มีความสำคัญ
เขาจะประณามว่าเลว มันก็เลวไม่ได้
มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลา
ถ้าจิตของเราชั่ว เขาจะสรรเสริญว่าดี
มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

อย่าหยุดตัวเองไว้กับความทุกข์
คุณมีสิทธิ์ที่จะมีความสุขไม่น้อยไปกว่าคนอื่น
ว.วชิรเมธี


อย่าพยายามทำตัว
เป็นเจ้าของใคร หรืออะไร
เพราะสิ่งที่เราจะเป็นเจ้าของได้
มีเพียงลมหายใจของตัวเอง
แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

ดูไม้ท่อนนี้ซิ สั้นหรือยาว
สมมุติว่า คุณอยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้ ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น
แต่ถ้าอยากได้ไม้ที่สั้นกว่านี้ ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว
หลวงพ่อชา สุภัทโท

ใครจะรู้สึกกับคุณอย่างไร
ก็อย่าไปใส่ใจมาก
หากคุณเอาความสุขของคุณ
ไปผูกติดกับสายตาของคนอื่น
คุณจะหาความสุขได้ยาก
พระไพศาล วิสาโล

ชีวิตนี้ไม่มีใครที่ได้สมปรารถนาในทุกเรื่อง
สิ่งสำคัญก็คือ ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่
อย่ามัวหมกมุ่นกับสิ่งที่หายไป
พระไพศาล วิสาโล


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 06, 2023, 10:48:53 AM
วันมาฆบูชา เดิมเรียกว่า วันมาฆปุณณมี

วันมาฆบูชา   หมายถึง วันที่พระจันทร์เพ็ญเต็มดวงในเดือนมาฆะ
ส่วนมาฆบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ คือ วันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งวันมาฆบูชานี้ เราทราบกันว่า เป็นวันที่พระภิกษุ 1250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และมีเหตุอัศจรรย์พร้อมกัน 4 ประการ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต การประชุมพร้อมกันด้วย องค์ 4 และในวันนี้ พระพุทธเจ้าทรงกระทำวิสุทธิอุโบสถ ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเราถือกันว่า เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา

ประวัติวันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือน 3 เนื่องในโอกาสคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ แก่พระภิกษุจำนวน 1,250 รูป

"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน 3 มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญเดือน 3 วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือนแปดสองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา

ความสำคัญวันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน 1,250 รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ โดยมิได้นัดหมายกันพระสงฆ์ ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์

ผู้ได้อภิญญา 6 และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบท โดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น ซึ่งเป็นทั้งหลักการอุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่ นำไปใช้ได้ทุกสังคม มีเนื้อหา โดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด ทำความดี ให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส

ความเป็นมาวันมาฆบูชา

ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 9 เดือนขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ เดือนมาฆะหรือเดือน 3 ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า มาประชุม พร้อมกัน ณ ที่ประทับของพระพุทธเจ้า นับเป็นเหตุอัศจรรย์ ที่มีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ เรียกว่าว่า วันจาตุรงคสันนิบาต

คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ

 "จาตุร" แปลว่า 4

 "องค์" แปลว่า ส่วน

 "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม

ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ

- เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย

- พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น

- พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์

- เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ

มูลเหตุวันมาฆะบูชา

หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธาพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจากพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย


หัวข้อ: Re: ศรัทธา ธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 06, 2023, 10:52:36 AM
*ลักษณะคนสงบ 16 อย่าง
บุคคลที่มีความสงบสำรวมมักเป็นผู้ที่มีแต่คนอยากอยู่ใกล้ เพราะอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีพลังงานด้านลบออกมาจากตัวตนของคนผู้นั้น

1. เป็นผู้ไม่ฉุนเฉียว

2. เป็นผู้ไม่หวาดหวั่น

3. เป็นผู้ไม่โอ้อวด

4. เป็นผู้ไม่ก่อความรำคาญ

5. เป็นผู้พูดด้วยปัญญา

6. เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน

7. เป็นผู้มีวาจาอันสำรวมแล้ว

8. เป็นผู้วางตัวเป็นกลาง

9. เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ

10. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าเสมอกับเขา

11. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าวิเศษกว่าเขา

12. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าต่ำกว่าเขา

13. เป็นผู้ไม่มีโทษอันทำให้มืดมัวดุจฝ้า

14. เป็นผู้ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกว่าเป็นของตน

15. เป็นผู้ไม่เศร้าโศกเพราะสัตว์และสังขารที่เสื่อมไป

16. เป็นผู้ไม่ถึงอคติในธรรมทั้งหลาย

โอวาทหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต