Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา

เรื่องอาหารการกิน วิธีทํา แนะนําร้านอร่อย => ใครหิวเชิญทางนี้โดยหนูใจ => ข้อความที่เริ่มโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 09:31:49 PM

Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา

หัวข้อ: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2014, 09:31:49 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1977250_629931057042302_1317993829_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:08:40 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1239376_1424440991135701_1688865658_n.jpg)



หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 01, 2014, 09:04:12 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1779162_289612821193605_1170436291_n.jpg)




หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 01, 2014, 09:12:11 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1982132_289526041202283_775430361_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 02, 2014, 09:02:57 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1964900_768962756466952_1408392290_n.jpg)(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1653434_768962826466945_1724483636_n.jpg)


ความมีเหมือนกันของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดคือสัญชาตญาณ(Instinct)ซึ่งทั้งมนุษย์และสัตว์ทั่วไปแสดงออกไปในลักษณะเดียวกัน มีกิริยาอาการที่สังเกตได้เหมือนกันคือความรัก ความกลัว ความห่วงใย เอื้ออาทร ความโกรธฯลฯ แต่สำหรับมนุษย์พระพุทธเจ้าสอนให้พัฒนาคุณธรรมเพื่อสามารถนำไปรักษาสัญชาตญาณฝ่ายดีไม่ให้เสื่อมสลายไปและควบคุมฝ่ายชั่วไม่ให้มีอำนาจดังนี้...




หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 04, 2014, 08:57:39 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/1380698_349658931836887_672063490_n.jpg)


(http://www.thaitritonclub.com/forum/attachment.php?attachmentid=158669&d=1340518343)
แล้วเรายังจะกล้าท้อแท้กันอีกเหรอ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 08:49:24 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1779195_415700608574201_678392761_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 25, 2014, 08:51:40 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1966750_635713639811151_947819872_n.jpg)
คุณสามารถ มีความสุขได้เสมอ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 25, 2014, 08:57:05 PM

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/p600x600/1504937_734650449899516_235033896_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 25, 2014, 09:12:26 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1501732_298549566966597_2144049314_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 29, 2014, 09:56:05 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10170990_736657413032153_1664547090_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 08:43:15 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10014705_442465319232006_1945457767_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 05, 2014, 09:22:52 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1977483_281580138676456_8326671584413492232_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 08, 2014, 10:09:04 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10170704_570849189697048_2629387993479260501_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 08, 2014, 10:21:18 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1979866_674033565987245_1993828515_n.jpg)
โลกนี้มีไว้เพื่อแบ่งปัน อย่ารอจนเขาต้องร้องขอ...บางทีเราอาจเข้าใจถึงความหมายของคำว่า "ให้" ไม่ใช่เพราะมีมากพอ แต่เพราะเรารู้ซึ้งถึงการ "ไม่มี" ช่วยกันแบ่งปันสิ่งดีดีให้กับทุกสรรพสิ่งครับ.


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 08, 2014, 10:41:03 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10152005_290379891121063_3726238708006093009_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 10, 2014, 01:42:38 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc1/t1.0-9/1959466_1410739855856350_5866459359713132094_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 18, 2014, 10:15:28 AM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10246624_279866135523488_7846072194752766585_n.jpg)

มนุษย์เผาป่าเพื่อล่าสัตว์ แต่ในขณะเดียวกัน พ่องูและแม่งู กำลังเฝ้ารักษาลูกในไข่ด้วยความทะนุถนอม และ ยอมตายไปกับลูก


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 23, 2014, 03:32:35 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10151136_1445095522396528_6563358747992798695_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 04:53:23 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10155802_1503205546568100_4210088144336303924_n.jpg)

Shivram และ Shivnath ฝาแฝดตัวติดกันในอินเดีย บอกถึงแม้จะเกิดมาแบบนี้ก็ไม่เคยคิดแยกจากกัน ถือว่าพระเจ้ากำหนดมาให้แล้ว จะอยู่กันไปจนแก่ จนตาย


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:11:30 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/1907307_786223558072922_1535628176_n.jpg)

อดีต และ ปัจจุบัน....(ของคนชอบอะไรเดิมๆ) ^-^


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:13:12 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1535028_785682938126984_1591707381_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 29, 2014, 12:43:18 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10262206_732631616788583_4038831630316358874_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 30, 2014, 11:03:48 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10245427_788672601167657_8706384324278846301_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 05, 2014, 01:55:29 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10295719_629196813839432_1140331336716493469_n.jpg)


บันไดวัดใจคน


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:07:03 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1010402_596190380459559_1772111455_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:07:23 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1622834_602327099845887_723265552_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:07:43 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/1959388_609320612479869_1752748605_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:08:30 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1904172_609810035764260_604699640_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:08:56 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1743532_613472798731317_852382568_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/296290_477485468996718_271067879_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/936814_464457170299548_2119871000_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:09:15 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10152387_638228346255762_4782161271335681588_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:09:36 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/t1.0-9/10171738_648196461925617_3535302282971224162_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 05:18:18 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10297629_1418341405096983_3643451931426086144_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 09:54:38 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10308134_10152046704271332_8353868891513022943_n.jpg)

รูปนี้น่าจะเป็นรูปบัณฑิตใส่ชุดครุยที่งดงามมากที่สุดรูปหนึ่ง
...
พ่อผู้เป็นชาวเขาทำแต่นาแต่สวน ซึ่งอย่าว่าแต่จะหาเสื้อเชิร์ตสวยๆกางเกงขายาวรีดเรียบใส่ไปงานรับปริญญาของลูกเลย แม้แต่รองเท้าแตะจะใส่สักคู่หนึ่งก็ไม่มี
"ความภูมิใจสูงสุดในชีวิตจากหยาดเหงื่อที่ตัวเองหลั่งรินไป
เดินทางกลับมาหาอ้อมอกที่บ้าน"
แม้ท่าทางพ่อจะดูเคอะเขินเพราะไม่เคยถ่ายรูป แต่ก็พอให้เราได้เห็นแววตาของความภูมิใจของคนเป็นพ่อได้


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2014, 09:55:17 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/v/t34.0-12/967752_1415908542011988_1691259889_n.jpg?oh=e0d574f07daf4cb7bcc631dbe8a41ccd&oe=536D6F9A&__gda__=1399705068_66e34fd58aee5bc7f7381cc5fcbdfb8f)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 11, 2014, 09:41:17 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/10246580_10152142444327017_7879324989383060944_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 11, 2014, 10:16:26 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1979762_686945884699179_6034576636174545035_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:13:08 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/q77/s480x480/10305077_755538574468049_6196757059806271968_n.jpg)

"จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน"

ทารกแฝดหญิงที่สหรัฐ เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีความแปลกคือ เกิดร่วมรก ร่วมถุงน้ำคร่ำ หรือที่เรียกว่า monoamniotic birth หรือ mono mono ถือเป็นกรณีหายาก พบในการเกิดเพียง 1 ใน 1 หมื่นราย และที่พิเศษคือ คู่นี้จับมือกันอยู่ตอนที่หมอผ่าคลอด

หลังคลอดยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่เมื่อวันที่ 11 ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันแม่ที่สหรัฐฯ แฝดคู่นี้หายใจได้เองแล้ว

ถือเป็นของขวัญวันแม่ที่น่าชื่นใจนัก


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 11, 2014, 12:57:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/t1.0-9/983694_1481648775385927_6803888363822302078_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 11, 2014, 01:36:42 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/t1.0-9/10365838_1481649888719149_4726370318245616614_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:36:50 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/t1.0-9/10468090_313451955480523_1537138631607129227_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:38:58 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/t1.0-9/10370993_312254008933651_7485000496494653666_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:42:58 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/t1.0-9/10262113_308071339351918_5344115123998217781_n.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 26, 2014, 04:03:50 PM
(http://1mpics.com/UploadedPhotos/Large/1965_6222014113906am982.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 10, 2014, 07:12:44 AM
(http://1mpics.com/UploadedPhotos/Large/9_615201475128pm666.jpg)
ปกป้อง คุ้มครองด้วยรัก
 แม่ฮีโร่ของลูก
1,000,000 pic


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 11, 2014, 05:38:17 AM
น่ารัก....ขอคลานเป็นเพื่อนนะครัชฃ
https://www.facebook (https://www.facebook)...&type=2


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 02, 2014, 03:40:45 PM

https://www.facebook (https://www.facebook)...&type=2

ณ สวนสัตว์ฮังการี อีกาตกน้ำ โชคดีพี่หมีช่วย


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 06, 2014, 01:34:26 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/1908403_10152700888807450_4013427835479857730_n.jpg?oh=be058bb36a8a2645ca284b80ad99014c&oe=54645DBA)


 เด็กหญิงบาสเก็ตบอล...ชนะเลิศว่ายน้ำ แม้ไม่มีขา

เรื่องโดย Nation TV | ภาพโดย People's Dailys
วันที่ 4 กันยายน 2557 15:01 น.


ชื่อของ เควี่ยน หงเยี่ยน (Qian Hongyan) ที่คนจีนรู้จักเธอในนาม"เด็กหญิงบาสเก็ตบอล" หรือ Basketball Girl ถือเป็นแบบอย่างของคนสู้ชีวิตในประเทศจีน


เพราะไม่มีขาหลังประสบอุบัติเหตุตอนอายุ 3 ขวบ
เธอจึงใช้ลูกบาสเก็ตบอลเป็นอวัยวะท่อนล่างจนกลายเป็นเสมือนชื่อเล่นของเธอ

เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับลูกบอลนานถึง 5 ปี และเปลี่ยนลูกบาส 7 ลูก
ก่อนที่จะโตพอที่ทีมแพทย์ในศูนย์พักฟื้นกรุงปักกิ่ง จะสามารถสร้างขาเทียมให้เธอใช้ได้
และเมื่อเธอเดินเหินได้ เธอก็ใช้เวลาส่วนใหญ่แวะเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจคนพิการในเมืองจีนให้สู้ชีวิตต่อไป

จากเมืองจีน โลกรู้จัก Basketball Girl เมื่อเธอเข้าร่วมทีมว่ายน้ำของจีน ลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิคคนพิการ
หรือ Paralympic 2012 ที่กรุงลอนดอน โดยเธอใช้ลูกบาสในระหว่างฝึกซ้อม แทนขาเทียม และฝึกว่ายน้ำวันละ 2 กิโลเมตร
ยกดรัมเบลเพื่อฝึกกำลังแขน ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแห่งความสุข
ล่าสุด เธอถูกยกย่องและกล่าวขานถึงอีกครั้งเมื่อชนะเลิศการแข่งขันว่ายน้ำ 100 เมตรหญิงประเภทว่ายกบ
ในการแข่งขันว่ายน้ำกีฬาคนพิการที่เมืองยูนนาน เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา

เธอ..Basketball Girl เด็กหญิงผู้ไม่ยอมแพ้
Nation Channel





หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 11, 2014, 06:47:06 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-9/10626667_10152875028553322_1656352593770342598_n.jpg?oh=fa6319e374b6fe2d12ae1d4c07ec2c1b&oe=548BC5A2&__gda__=1418555471_33a5bab9a29a86eafcadf3f6b4dd4eaf)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 11, 2014, 07:01:44 PM
ทุกชีวิตล้วนมีความรักความผูกพันธ์
 มีความห่วงใยกัน เหมือนกันทั้งในคนและสัตว์

 สัตว์ทุกชนิด มีชีวิต มีสังคม มีความห่วงหาอาทรเหมือนๆกันกับเรา
 หากเรามองให้ลึกซึ้งเราจะรู้ได้




(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xaf1/v/t1.0-9/10704126_710443319010004_3734432126309363752_n.jpg?oh=1b7e02cea875fe8647d2cd727e641d7c&oe=548386F6)


 :'(


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 13, 2015, 07:05:15 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/10351801_769993909740821_4373960752638364054_n.jpg?oh=0663ff3a9532216a0f65ef55dedcf3e8&oe=55269642&__gda__=1429730810_89d379aa207546eb428413ce007f8297)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2015, 09:35:57 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-9/10481679_905326439564307_4917916299095299824_n.jpg?oh=b8028c3548e4960148a0b69972946720&oe=55860D52&__gda__=1434680420_e9670dfac271516a3d31b3f9ba192011)

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/v/t1.0-9/10421386_905326459564305_981142762872814254_n.jpg?oh=858c0ab7d25e5b31966ad2fbff5f7793&oe=55816349&__gda__=1437870034_bb33c8746683cdd6f1e714c4964ea5c3)

(https://scontent-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/10981960_905326476230970_2811107616331043851_n.jpg?oh=c2d50f192c36643455521f6839383568&oe=55808F8B)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-9/22828_905326499564301_7204586699623212736_n.jpg?oh=6960f3fe6d158f918a9410646750d9d5&oe=55BACA1F&__gda__=1433845688_c238de6b24ee861019732ffe16483ded)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/v/t1.0-9/11058069_905326566230961_3394466142778353147_n.jpg?oh=043f974a9970f09999b323ec55aea42d&oe=55744239&__gda__=1437703344_c1cbb7348d55e2a9d9bd23d0f41c8f10)

[size=140pt]อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน
เป็นสิ่งดีสองชั้นพลันปลื้มใจ แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล
เป็นกำลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา
ประดุจทรงวราภรณ์สุนทรสวัสดิ์ เรืองจรัสยิ่งมงกุฎสุดสง่า
พระแสงทรงดำรงซึ่งอาชญา เหนือประชาพสกนิกร
ประดับพระวรเดชวิเศษฤทธิ์ ที่สถิตอานุภาพสโมสร
แต่การุณยธรรมสุนทร งามงอนกว่าพระแสงอันแรงฤทธิ์
เสถียรในหฤทัยพระราชา เป็นคุณของเทวาผู้มหิทธิ์
และราชาเทียมเทพอมฤต ยามบพิตรเผยแผ่พระกรุณา
ฉะนั้นยิวแม้อ้างยุติธรรม จงกำหนดจดจำไว้ด้วยว่า
ในกระแสแห่งยุติธรรมา ยากจะหาความเกษมเปรมใจ

เวนิสวาณิช

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว,
[/size]


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2015, 09:38:17 PM
(https://scontent-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/v/t1.0-9/10978647_916362108394596_1989455732172135224_n.jpg?oh=a11081a31eb6cec06d2dd8d0815799f4&oe=55892F69)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 22, 2015, 11:57:46 AM
ขออนุญาติสร้างภาพให้ตัวเองดูดีครับ ลุงคนนี้นั่งอยู่ที่ปากทางเข้าตลาดบองมาเช่(ประชานิเวศน์1) ไม่แน่ใจว่ามาทุกวันมั้ยเพราะเราเห็นลุงแค่เสาร์-อาทิตย์ วันธรรมดาเราไม่ได้ผ่าน ลุงรับจ้างลับมีด ยังไม่เคยเห็นมีลูกค้า หน้าตาดูอิดโรย เหนื่อยล้าเพราะอากาศมันคงร้อนมากๆ ผมว่าจะเอามีดที่บ้านไปให้แกลับถือว่าช่วยเหลือกัน เพราะคิดว่าให้เงินอย่างเดียวอาจดูน่าเกียดและเป็นการดูถูกลุงรึเปล่าไม่แน่ใจ ยังงัยใครอยู่แถวนี้สนใจมาใช้บริการลุง หรือซื้อข้าวซื้อน้ำมาฝากก้อได้ครับ – [@Lerkchai Yoshiki Limthongkum] กล่าว . . . ' [19/4/58]
 CREDIT: www.facebook.com/Yoshikiii (http://www.facebook.com/Yoshikiii)
 *************************
ขอบคุณเรื่องแนะนำจาก –– @Arm Peerapong



(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xtf1/v/t1.0-9/p480x480/11150982_1457152771072055_657639004026695659_n.jpg?oh=b8da1acc3bdaa77452a7eeb161d55c47&oe=55D85D36&__gda__=1436387352_b328347ba9fa8ac5c4f87b7aa56dfa17)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 22, 2015, 03:31:29 PM
(https://scontent-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/11149286_424584271035580_4451468987172934547_n.jpg?oh=ca9ee4b6f59165ab5471ff2357d56bec&oe=55DA970C)


วันนี้มีเรื่องราวชาวต่างชาติใจดีอีกคน มาเล่าให้ฟังครับ

Mr.Tim lamdre วัย 66 ปี เป็นชาวแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
กลายเป็นอีกหนึ่งความประทับใจของชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ไปแล้ว
เมื่อชายชราคนหนึ่งลงทุนปั่นจักรยานระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร
เพื่อเก็บขยะ และกวาดเศษข้าวของที่นักท่องเที่ยวทิ้งเรี่ยราดตามรายทาง เขาทำเช่นนี้ทุกวัน มาเป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว

แรงบันดาลใจที่ทำให้ชายชราคนนี้ลุกขึ้นมาช่วยเหลือสังคม เพราะ
เมื่อก่อนตอนเริ่มปั่นจักรยานออกกำลังกายใหม่ๆ เย็นวันหนึ่ง เขาบังเอิญผ่านไปทางน้ำตกวังหินหอ แล้วได้พบกับเศษขยะ รวมทั้งเศษแก้ว เศษขวดกระจายเต็มพื้น ที่นักท่องเที่ยวทิ้งไว้ อันเป็นที่มาของอุบัติเหตุ และชวนให้แหล่งท่องเที่ยวไม่น่าดูชม จากวันนั้น Tim จึงลงมือทำความสะอาดช่วยสังคมมาจนถึงวันนี้

พลเมืองดีรายนี้เคยประกอบอาชีพผู้เชี่ยวชาญด้านช่วยเหลือแพทย์ในการผ่าตัดเขารู้สึกชอบ และผูกพันกับเมืองไทย เพราะเป็นเมืองที่สงบร่มเย็น อากาศบริสุทธิ์ ผู้คนมีความรักให้แก่กัน

เมื่อเกษียณอายุ Mr.Tim จึงตัดสินใจเดินทางมาขอลงหลักปักฐานอยู่ที่บ้านซำอีเลิศ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งในครั้งนั้น การดูแลจากผู้ใหญ่บ้าน และคนในชุมชนเป็นอย่างดี ยิ่งทำให้เขารู้สึกรักคนไทย และรักประเทศไทยยิ่งขึ้น จนถึงขั้นเจ้าตัวจะขออาศัยอยู่ในประเทศไทยตลอดไป


ขอบคูนข้อมูลจาก: MGR Fell Good


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 09, 2015, 11:28:43 AM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/11201199_968763129835413_1633684165002343874_n.jpg?oh=c8b9d06b91121d1bb459c0da2e5c957f&oe=55CBB4D5&__gda__=1439166729_dc4e454c068b669ea3a472684cb3875f)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/v/t1.0-9/11206026_968763926502000_4233460303161967304_n.jpg?oh=d82486faf1a817c54922906eed6b0916&oe=55CF8D4B&__gda__=1439703802_b6ba2a28d4e0a5aa099053dac797eaca)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xta1/v/t1.0-9/11109200_968763309835395_470354508666209855_n.jpg?oh=243af4e3a688176741f285540d295852&oe=55C55939&__gda__=1443621127_fd4f3b2401a0ff0cf1f73b486b5cf139)


(https://scontent-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xat1/v/t1.0-9/11235446_968763456502047_5794011645405888861_n.jpg?oh=4b0ee76e6c78c0a86103a38ce20c61f3&oe=55C82206)



(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/11000109_968763853168674_8105940544910853903_n.jpg?oh=d15674b55bfccc5fd30a048ce4e08aac&oe=55D51D33&__gda__=1439154777_00fa58440bd1cb0977d282b9715799d7)


คนใจสู้ ที่น่านับถือ
Cr Ju Ju Ju Ju


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 02, 2015, 06:57:08 PM
''...สังคมจะดีกว่านี้ได้ ถ้าหากเพียงรู้จักการแบ่งปัน อยากร่วมบุญก็ช่วยกันแชร์นะครับ
คนโคราชบ้านผมน้ำใจงามเสมอ เห็นแล้วรู้สึกภาคภูมิใจในความคิดดีๆ เป็นประโยชน์มอบให้แก่สังคมวงกว้างอย่างมาก ช่วยกันคืนชีวิตสู่สัตว์เลี้ยงพิการซึ่งเขาก็มีหนึ่งชีวิตเหมือนกับเรา มาร่วมกันสาธุบุญและปรบมือให้พี่เขาดังๆๆ ...กันเลยครับ
หนุ่มโคราชน้ำใจงามและกลุ่มเพื่อนร่วมกันออกแบบและผลิต “วีลแชร์”

แจกฟรีสำหรับสัตว์พิการทั่วประเทศ ( ขอย้ำนะครับ..แจกฟรีๆๆ )
เผยใช้เงินส่วนตัวทั้งหมด ต้นทุนทำคันละ 300 บาท ผลิตได้ 20 คัน/สัปดาห์
ใครอยากได้บุญอยากร่วมทำบุญแก่สัตว์พิการ แชร์บอกต่อกันได้ครับ
สนใจข้อมูลติดต่อไปได้ที่เพจนี้ครับhttps://www.facebook...al.rescue.Korat


(https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-9/11949386_1018640118154528_1225059947869204946_n.jpg?oh=bdc072f8a82172d2dbf908bed1cf177b&oe=56837B9A)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xat1/v/t1.0-9/11990394_1018640144821192_6382117055369754799_n.jpg?oh=a288f245b920987279dcb161602bfe5e&oe=56625246&__gda__=1449203278_fcea5b6a87ec473910580f3286b33ea6)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpa1/v/t1.0-9/10885381_1018640161487857_523041146295755477_n.jpg?oh=020422fb2a99d5694f6ded18bb046a84&oe=566EB2A5&__gda__=1449943837_2ace2b5f3ecfd564296c18352808418f)

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/11061308_1018640091487864_6483533582292676629_n.jpg?oh=e51aa47c23bd7a0f8775e4ed4562a469&oe=56743C06&__gda__=1450498105_9c43c2f0d2635bc1a3da34965faf1592)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 03, 2015, 05:08:10 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-9/12189895_1158342740861962_5796889409506034423_n.jpg?oh=ca391a52827abe12f1fe3c2aaee0b3eb&oe=56CD15FA&__gda__=1454566769_863110531f8afa8bb0c83ff256724ab5)

"รถเมล์เที่ยวสุดท้าย.." ‪#‎Lovefact‬
●●เธอคนนั้นนั่งพิมพ์โทรศัพท์ไป พร้อมกับชะเง้อดูรถเมล์ที่จะมาเป็นระยะๆ ผมไม่รู้เธอมารอนานเท่าไหร่แล้ว รู้แต่ว่าเกือบเที่ยงคืนที่ผมลงรถเมล์มาเพื่อต่อรถที่ป้ายนี้...เธอก็นั่งอยู่ก่อนหน้า

ส่วนผมเองก็กำลังตัดสินใจว่าาจะเรียกแท็กซี่ต่อไปยังจุดหมายปลายทางหรือจะรอรถเมล์ที่จะกลับที่พัก ซึ่งแม้นานๆจะมาสักคันแต่ก็เป็นสายที่วิ่งรับผู้โดยสารทั้งคืน... เธอก็คงไม่ต่างจากผม
เกือบ 10 นาที มีแสงไฟบอกลักษณะเป็นรถเมล์ วิ่งพ้นโค้งมาจากไกลๆ ทั้งผมและเธอรีบลุกขึ้นยืนเพื่อจะเพ่งตาดูว่าเป็นสายที่ต้องการหรือไม่ เมื่อเห็นว่าน่าจะใช่สายที่เราต้องการโดยสาร พวกเราสองคนช่วยกันโบก แต่รถก็วิ่งด้วยความเร็วออกเลนขวาสุด แต่ก็ทันเห็นคนขับมองมาที่ป้ายโดยสารแวบหนึ่ง วินทีนั้นเหมือนวัดใจกันว่า ถ้าเขาจอดเลยป้าย พวกเราจะวิ่งไปขึ้นหรือเปล่า...
สุดท้ายรถก็เลยไป
ผมสบตากับเธอแวบหนึ่ง ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ พูดเบาๆกับตัวเองแต่ดังพอที่เธอจะได้ยิน "รอนาน แถมไม่จอดอีก.." ผมเตรียมมองหาเรียกแท็กซี่ แต่ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อได้ยินเสียงเธอพูดโทรศัพท์
"ลูก..นอนไปก่อนนะ ไม่ต้องรอแม่" แล้วเสียงเธอก็พูดต่อ
"ขอโทษที วันนี้แม่ต้องทำโอดึก รถเมล์ก็เลยหมด"
เสียงปลายสายคงบอกแนะนำเธอ
"นั่งแท็กซี่ก็เป็นร้อยน่ะลูก..ลูกนอนเถอะนะ"
ผมเปลี่ยนความคิดที่กำลังเรียกแท็กซี่ รอขึ้นรถเมล์เป็นเพื่อนเธอดีกว่า ยังไงผมก็ไม่ได้มีใครรอ และถึงผมจะไม่รู้ว่าปลายทางเธอคือที่ไหน แต่รับรองได้ว่าจากสารรูปของผม เธอคงไม่กล้าร่วมโดยสารรถไปกับผมแน่ แม้ว่าจะชวน
ผมไม่รู้ว่าเธอจะทำโอที แล้วได้ค่าแรงเพิ่มอีกเท่าไหร่?
แต่มันคงมีความหมายมากๆกับความเป็นอยู่ของเธอ
 แล้วถ้าจะต้องเอามาเสียให้กับค่าแท็กซี่ มันคงไม่คุ้มกับที่เธออุตส่าห์ลงแรงไป
 โดยเฉพาะที่ยอมต้องให้ลูกรอแม่กลับบ้าน...
คนขับรถเมล์คงไม่ได้มีฐานะต่างกับพวกเราเท่าไหร่?
แต่ทำไม...พวกคุณถึงไม่มองเห็นผู้โดยสาร ที่รอคุณอยู่บ้าง
 จริงสินะ..พวกคุณอาจไม่ได้รู้เรื่องอะไร ?
ถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดฝัน ระหว่าที่คนๆนั้นยังกลับไม่ถึงบ้าน
 ผมเชื่อว่าไม่ใช่แต่เวลากลางคืน..
แม้แต่เวลากลางวันที่คนรอรถโดยสารต้องพลาดอะไรหลายๆอย่าง
 เพียงเพราะคุณอยากขับไปถึงปลายทางเร็วๆ จนลืมหน้าที่
อยากให้รถเมล์เที่ยวนั้นเป็นรถเมล์เที่ยวสุดท้าย..ที่ไม่จอดรับผู้โดยสาร
‪#‎ขสมก‬ ‪#‎ป้ายหน้าธนาคารทหารไทยจตุจักร‬ ‪#‎อยากให้คนขับรถเมล์อ่าน‬
Cr. ชินภัทร ตันศรีสกุล


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 05, 2015, 08:43:15 PM
มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ
September 17, 2013 ·


เขื่อนไม่จำเป็นต้องสร้างแล้ว ป่าต่างหากที่เราต้องการ ขุดหนองเอาดินทำโคก ปลูกป่าบนโคกบ้านใคร บ้านมัน แล้งก็รอด ท่วมก็รอด
จากการอบรม Crisis Management and Survival Camp ขยายผลไปสู่การสร้าง "ฐาน 4 พอ" เพื่อเป็นคลังอาหารที่พอกิน พออยู่ พอใช้ และสร้างความ พอร่มเย็น ให้กับโลก ... คนหนึ่งคนที่พาตนมาเรียนรู้แล้วกลับไปพากเพียร ขยายผลไปสู่คนหมู่กลุ่มหลากหลาย จาก 1 เป็น 100 จาก 100 เป็น 1,000 มุ่งมั่นเดินไป ตามรอยทาง...ศาสตร์พระราชา
"อาจารย์ยักษ์สอนว่า (สู้ อยู่ หนี)
1. ก่อนเกิดเหตุการณ์เราจะเตือนภัยกันด้วยทุกศาสตร์ เพื่อให้คนอย่าประมาท
2. เราเตรียมเผชิญเหตุ ถ้าต่อสู้ได้ เราจะหยุดยั้งไม่ให้มันเกิด ขณะเกิดภัยพิบัติ อาหารไม่มีพลังงานไม่มีเราจะดูแลกันอย่างไร
3. ฟื้นฟู เมื่อเกิดความแห้งแล้ง พื้นที่แร้นแค้น เราจะฟื้นฟูให้สมบูรณ์อย่างไร เพื่อสร้างเป็น "ค่ายพักพิง" เตรียมพร้อมไว้วันวิกฤต

 เรื่องราวเหล่านี้เริ่มนับหนึ่งก่อนที่จะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพ จนน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ เปิดมาบเอื้องเป็นศูนย์พักพิง รับคนจากกรุงเทพไปพักมากมาย จนเกิดเป็น "ชุมชนกสิกรรมวิถีมาบเอื้อง" เมื่อคนกรุงอยากมีทีพักเอาไว้ให้ใจอ่น เกิดชุมชน เกิดวัด (สถานปฏิบัติธรรมมาบเอื้อง) เกิดศูนย์ฝึก อบรม Crisis Management and Survival Camp จน สสส. เข้ามาสนับสนุน ขยายผลไปทั่วประเทศ"
วันนี้ ศิษย์ CMS มาบเอื้อง ที่อบรมไปแล้ว 9 รุ่น กลับมา ส่งงานอาจารย์ยักษ์ เพื่อบอกว่า เขาได้ทำแล้ว ขยายผลแล้ว สร้างฐานพอกินให้กับตนเอง และเป็นคลังอาหารยามวิกฤต
 วันนี้ ศิษย์ CMS จากฐานเรียนรู้ 4 ภาค ขยายผลไปสร้าง คลังอาหาร ฐาน 4 พอ และเปิดศูนย์อบรม CMS เพิ่มขึ้นอีกทั้งภาคเหนือ ใต้ อีสาน ...
หนึ่งคนกล้า หนึ่งคนนำ ล้านคนทำตาม ...
ไม่มีใครหนุนเราก็จะทำ มีคนทำตามก็เกิดผล ช่วยคนได้มากขึ้น ให้มนุษย์ สัตว์ และสรรพชีวิตได้มีโอเอซิสเป็นที่พักพิงกายและใจ ในสังคมที่นับวันจะยิ่งแห้งแล้ง....
เป้าหมายของภารกิจชีวิต จึงมีเพียงนี้ ....

(https://fbcdn-photos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-0/s480x480/11002624_1055110781213178_7208112327024555459_n.jpg?oh=8f49c3510811c6d96c19638ca3fa9dc0&oe=56BE1AAE&__gda__=1456143109_79cffb20be877c92790125ec7f3d498a)

โครงการจัดตั้ง ศูนย์ปูทะเลย์มหาวิชชาลัยมีเจริญ กาญจนบุรี ขอเชิญมาร่วมทำงานอาสา... ในการทาสี อาคารเอนกประสงค์ และ ทำแท้งก์เก็บน้ำขนาดใหญ่ ตามวิธีของพี่โจน "แท้งก์ยักษ์มาตรฐานโจน"... ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ที่เวปไซต์ ธนาคารจิตอาสา... มี 2 รุ่นด้วยกัน คือ
 รุ่น1: 21-22 พฤศจิกายน 2558 (www.jitarsabank.com/event/view/1882 (http://www.jitarsabank.com/event/view/1882))
รุ่น2: 28-29 พฤศจิกายน 2558 (www.jitarsabank.com/event/view/1892 (http://www.jitarsabank.com/event/view/1892))
โดยจะเป็นการพาทำกิจกรรมทาสี และทำแท้งก็ประมาณ 1 วัน และวันสุดท้ายจะพาไปเที่ยว "อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ (ถ้ำธารลอด)"
โดยมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าเหมารถตู้ ค่าอุปกรณ์ ค่าอาหาร ค่าเข้าชมอุทยานคนละ 1000 บาท

@@@
สำหรับพื้นที่ของศูนย์ปูทะเลย์มหาวิชชาลัยมีเจริญ กาญจนบุรี แห่งนี้อยู่ที่ บ้านพยอมงาม ต.หนองปลาไหล อ.หนองปรือ จ.กาญจนบุรี
 เดิมเป็นสำนักสงฆ์ ชื่อว่า สำนักสงฆ์มีเจริญ (ไม่มีพระจำพรรษา) โดยผู้บริจาคที่ดิน คือ คุณฉอ้อน มีเจริญ ได้มีศรัทธาในเศรษฐกิจพอเพียง และพระพุทธศาสนา จึงได้เชิญ อ.ยักษ์ และหลวงพ่อสังคม ธนปัญโญ พร้อมด้วยคณะครูโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัยมาบเอื้อง ไปเยี่ยมชม และตัดสินใจ ยกถวายที่ดิน 40 ไร่ ให้ในความดูแลของศูนย์ปฏิบัติธรรมมาบเอื้อง โดยมีพระสังคม ธนปัญโญ เป็นผู้ดูแล และ อ.ยักษ์ เป็นประธานที่ปรึกษา...
ในการนี้จึงขอเชิญชวน ผู้ที่มีจิตศรัทธา สนใจงานการศึกษา และการพึ่งตนเอง ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ได้เสียสละเวลาของท่าน มาร่วมกันทำความดีร่วมกัน รวมทั้งได้เรียนรู้วิธีการทำ "แท้งก์ยักษ์มาตรฐานโจน" ไปพร้อมๆกัน
 วิทยากรและผู้นำทำกิจกรรม: ครูกร และครูนิตยา โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัยมาบเอื้อง
 สอบถามเพิ่มเติม โทร 081-4495836 (ครูกร)

(https://fbcdn-photos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpt1/v/t1.0-0/s480x480/12193309_1058263060897950_1719771799579523973_n.jpg?oh=b48732a52e513742135d9d57f720a829&oe=56BCD783&__gda__=1454800271_70e9309d1d6286892e4c0a6c9707b704)

https://www.facebook.com/agrinature.or.th/videos/587552021302392/?fref=nf (https://www.facebook.com/agrinature.or.th/videos/587552021302392/?fref=nf)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 18, 2015, 06:53:57 PM
Lifestyle 2 Lifester : ท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจ
Nation Channel

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZCzN.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZsir.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZCzP.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZzZz.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZsiy.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f&x=321&y=196)


(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZxto.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZxtq.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZxts.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZzZJ.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/BBmZuWg.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

หาสิ่งที่ตัวเองรักให้เจอ แล้วลงมือทำมัน พอเจอแล้วจะรู้ว่ามี "ความสุข"การที่คนเราจะทำอะไรหลายๆอย่างไปพร้อมๆ กัน แต่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย คงไม่ใช่เพราะร่างกายอึด ถึก ทนโดนบังคับ แต่เป็นเพราะรักในสิ่งที่ทำ ผลงานที่ได้ก็เจือปนไปด้วยความสุขแบบนี้ใครๆ ก็ทำๆได้ไม่รู้เบื่อ จริงมั้ย?? ถามคนที่ไม่มีฝันไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่อยากทำอะไรมากมายนัก ก็อาจจะได้คำตอบไปอีกแบบ หรือถามคนที่ทำอะไรหลายๆ อย่างแต่ไม่ได้ชอบสิ่งที่ทำไปซะทุกอย่าง ก็อาจจะได้คำตอบไปอีกแบบ แต่ถ้าถามคนที่มีฝันมีแรงบันดาลใจ เลือกยิบจับและลงมือทำในสิ่งเหล่านั้นก็คงจะได้คำตอบที่แตกต่างออกไป

ดาว - นัฐณัณฏ์ พุทธมาลีเกษม สาวสวยรวยความฝันสลัดเวลาเสี้ยวหนึ่งมาพูดคุยกับเรา ทำให้ได้เห็นมุมมองของคนที่มีความสุขกับทุกๆสิ่งที่ได้ทำ นับจากเรียนจบมาจากออสเตรเลีย เธอก็ร่วมหุ้นกับเพื่อนๆเปิดบริษัรับตกแต่งภายใน The Mitch Design ภายใต้สโลแกน Do more of what makes you HAPPY สามารถติดตามรายละเอียดงานของพวกเธอได้ในเว็บไซด์ www.themitchdesign.com (http://www.themitchdesign.com) นอกจากนี้เธอยังเปิดร้านดอกไม้ออนไลน์ www.lanaflowers.com (http://www.lanaflowers.com)ใครสนใจก็เลือกดูแล้วติดต่อสั่งซื้อไป เพราะสมัยนี้เปิดอินเตอร์เน็ท เห็นรูป เห็นแบบเลือกซื้อได้ง่าย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง พอสั่งซื้อ ทางร้านก็จะจัดดอกไม้และไปส่งให้ทั่วกรุงเทพมหานครส่วนต่างจังหวัดคงต้องรออีกสักพักหนึ่ง

และที่สุดของเธอ ที่ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ต้องหาเวลาเพื่อสิ่งนี้จนได้ นั่นก็คือ การออกท่องเที่ยวเดินทางกระทั่งเปิดเว็บไซด์ขึ้นมาเพื่อเก็บรวบรวมเรื่องราว การเดินทางท่องเที่ยวไว้ส่วนหนึ่งเพื่อความทรงจำดีๆ ของเธอและเพื่อน และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ อ้อ ... เธอยังบอกว่าพอมีเวลาเหลือ ฉะนั้น วันอาทิตย์รับสอนพิเศษภาษาอังกฤษด้วย"ตอนที่เรียนจบออสเตรเลีย กลับมา เพื่อนคนหนึ่งมีหลาน ก็ขอให้มาสอนทำไปทำมาตอนนี้มามา 5 ปีแล้ว เพราะทำไปแล้วมันก็รัก สอนแล้วสนุก มีความสุข ก็เลยทำไปเรื่อยๆ"

สมัยนี้คนส่วนใหญ่นิยมแบ่งปันเรื่องราวท่องเที่ยวเดินทาง ผ่านสื่ออนไลน์ อย่าง

Pantip.com หรือ Facebook.comแต่ดาวเลือกที่จะเปิดเว็บไซด์ ซึ่งมาจากการออกแบบ และเขียนขึ้นเองในชื่อ www.whenwewander.com (http://www.whenwewander.com) แบ่งปันเรื่องราวการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ พอนำรูปที่ไปเที่ยวมาเก็บรวบรวมไว้

"คิดว่ามันสะดวกกว่า เพราะเข้ามาเปิดดูทีเดียวมีเรื่องราวและรูปสวยๆ วีดีโอ ที่นำมาลงไว้ให้ความรู้สึกเหมือนมันเป็นบ้านของเราเอง เป็นไดอารี่ออนไลน์พออยากอ่านก็มาเปิดอ่านได้ ซึ่งพอทำขึ้นมาคนก็ชอบ ที่สำคัญออกแบบเองด้วยค่ะ"

พอเปิดเข้าไปดูในหน้าเว็บจะเห็นการจัดแบ่งหมวดหมู่หน้าตาของเว็ปดูสดใส ไม่วุ่นวายไปด้วยตัวหนังสือ จนอยากเข้าไปอ่านเนื้อหาข้างในที่มีการแนะนำตัวเอง และเรื่องราวการเดินทางในแต่ละทริป เพื่อให้คนตามรอยได้

ดาวบอกว่าจากความที่เป็นคนชอบท่องเที่ยวอยู่แล้ว พอยิ่งได้เดินทางก็ยิ่งหลงใหล เพราะเหมือนเป็นการเปิดโลกกว้างเปิดมุมมองใหม่ๆ ได้ไอเดียเพิ่มเติมที่สามารถนำมาใช้กับงานของเธอได้แต่ถ้าถามว่าชอบที่ไหนที่สุด คงบอกยากเพราะแต่ละสถานที่แต่งต่างกันไปไหนก็ชอบหมดแต่ที่คิดถึงน่าจะเป็นนิวซีแลนด์ปัจจุบันก็ยังทำให้คิดถึง เพราะไปใช้ชีวิตอยู่เกือบดือน

"เวลาไปเที่ยวจะไปกับตาล เพราะชอบถ่ายรูปเหมือนกัน หรือถ้าเป็นทริปที่ตั้งใจจะไปถ่ายรูปก็จะเลือกไปกับเพื่อนๆ ที่ชอบถ่ายรูปเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นทริปทั่วๆไปก็จะไม่ค่อยเน้นถ่ายรูป มันเป็นความรู้สึกที่ดีนะที่เที่ยวกับคนที่ชอบเหมือนกันมีเพื่อนตื่นเต้นเหมือนกัน"

จากการท่องเที่ยวและความที่ชอบถ่ายรูปนี่เองทำให้เธอหันมาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องกล้องอย่างจริงจัง เมื่อต้นปี 2557 นี่เองแม้ว่าก่อนหน้านั้นจะถ่ายรูปมานานแต่ไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการตั้งค่าอะไรมาก

เมื่อก่อนถ่ายรูปไปเรื่อยจนมารูปตัวอย่างชอบถ่ายรูปก็เลยสนใจศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายภาพอย่างจริงจังเมื่อปีที่แล้วนี่เองเดี๋ยวนี้ง่ายมาก เซิร์ซหาทางอินเตอร์เน็ท แล้วฝึกถ่าย ไม่นานก็ทำได้ จากที่เริ่มต้นจับ

DSLR ของ Canon EOS 60D ขยับชั้นขึ้นมาเล่นกล้องฟูลเฟรม ซึ่งเธอเลือกจับ Canon EOS 5D Mark III พ่วงตามมาด้วยเลนส์ 24-70 F 2.8 Lll USM , .16-35 F2.8 Lll USM , 50 1.2 L USM และ 70-200 F4 นอกจากนี้ ยังมีเลนส์อื่นๆอีกอย่างน้อย 4 ตัว คือ 27-55 F 2.8 IS , Macro EFS 60 2.8 , 28-135 F 3.5 และ EF 40 F 2.8 และแน่นอนว่า กล้องตัว 60D ถูกลดชั้นลงไปเป็นตัวสำรอง

ดาวบอกว่าที่เลือกแคนนอนเพราะชอบโทนสี เนื่องจากเป็นคนชอบถ่ายรูปคน และวิวซึ่งแคนนอนจะให้อารมณ์สีรูปคนสวย

"ดาวเป็นแฟนพันธ์แท้แคนนอนไปแล้วเพราะนอกจากถ่ายรูปคนสวย ยังมีฟังก์ชั่นที่ใช้งานง่าย เรียกกว่าจับถนัดที่สุดส่วนเลนส์ก็ชอบเพราะเป็น F กว้างๆ ถ่ายรูปแฉกสวยเฉพาะตัวของแคนนอน"

เห็นเลนส์เยอะแยะมากมายแต่ดาวบอกว่า ใช้ทุกตัว ยิ่งเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวจะขนไปหมด เพราะเลนส์แต่ละตัวจะใช้งานต่างกันบางมุมจำเป็นต้องใช้เทเล เพราะเลนส์ธรรมดาถ่ายไม่สวย หรือบางทีอยากถ่ายทางช้างเผือก ก็ต้องใช้เลนส์ไวด์

"ไหนๆ เราจ่ายตังค์ค่าทริปมาตั้งแพงก็เสียดายถ้าไม่ได้ถ่ายรูปอย่างที่ต้องการ เลยต้องยอมแบกนิดหนึ่ง (แต่ส่วนใหญ่ก็มีคนช่วยแบกนะ)เรียกว่าติดไปก่อน เป็นต้องได้ใช้แน่ แต่ตัวที่ใช้บ่อยสุดก็คือ 24-70 F 2.8 Lll USMเพราะเป็นเลนส์กลางๆ ใช้ได้หลากหลายกว่า"

เห็นไลฟ์สไตล์แบบนี้ ดาว-นัฐณัณฏ์ ให้นิยามของความเป็น Lifesterในมุมมองของเธอว่า ควรจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทำในสิ่งที่ชอบแต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานได้ดีอยู่เรียกได้ว่าเป็นการทำความฝันกับความจริงให้เป็นไปได้ด้วยดี "เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมเราทำอะไรเยอะแยะแต่พอมาดูเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเราชอบ ทำแล้วสนุก ก็เลยไม่เกิดความรู้สึกว่ามันเป็นงานเป็นหน้าที่ แต่มันเป็นความสุขที่ได้ทำ"

เห็นทำอะไรมากมายฝันของเธอยังบรรเจิดเสมอ และต่อยอดจากสิ่งที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ไปเรื่อยๆ ดาวบอกว่าถ้ามีเวลา หรือหาเวลาได้ ก็อยากจะเปิดสตูดิโอสอนการถ่ายภาพ และอีกอย่างที่อยากทำเมื่ออะไรๆ ลงตัวแล้ว คือจะไปเรียนวาดภาพเพื่อจะได้นำเสนอทริปที่ไปท่องเที่ยวออกมาเป็นภาพวาดได้ด้วย "แต่ทั้งหมดนี้เราต้องแบ่งเวลาให้เป็นโชคดีบริษัทที่ทำนั้น เป็นหุ้นส่วนกับเพื่อน ไม่ได้เป็นลูกจ้าง ช่วงที่หมดโปรเจ็คแล้วยังไม่มีงานใหม่เข้ามา เราก็อาจจะไปเที่ยวเป็นเดือนได้ แต่ถ้ามีงานก็อดไปยกเว้นไประยะสั้นๆ 3-4 วัน ยังพอทำได้"

การเดินทางท่องเที่ยวและได้มีโอกาสไปถ่ายภาพตามสถานที่ต่างๆ เพื่อนำมาแบ่งปัน และอย่างการไปต่างประเทศก็ได้เห็นอะไรแปลกใหม่ กลายเป็นไอเดียให้เธอนำมาใช้กับงานของเธอได้เช่นกัน ฉะนั้นดาวจึงอยากฝากถึงทุกคนที่มีฝันมากมายเหมือนเธอ หรือ อยากมีฝันเธอบ้างว่าจะต้องหาสิ่งที่ตัวเองรักให้เจอ แล้วลงมือทำมัน พอเจอแล้วจะรู้ว่ามีความสุขซึ่งก็จะทำให้เรามีความสุขกับทุกๆ วัน แรงบันดาลใจทั้งหลายก็เริ่มจากความสุข

"อยากให้ทุกคนทำตามฝันและแบ่งเวลาให้ดี อย่างที่เธอไปเที่ยวต่างประเทศ บางครั้งอยู่ที่การจัดการหาข้อมูลและเตรียมตัว ตั๋วเดินทางโปรโมชั้น ที่พักราคาประหยัดแค่นี้เราก็ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากนัก"

นอกจากฝัน ลงมือทำแล้ว ยังต้องศึกษาไปเรื่อยๆอย่างเรื่องกล้องที่เธอชอบ ก็ยังต้องศึกษาเทคนิกการถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ ลองติดตามดูไลฟ์สไตล์ผ่านรูปภาพสวยๆ กับ ดาว นัฐณัณฏ์ ใน www.whenwewamder.com (http://www.whenwewamder.com) แล้วคุณจะเกิดแรงบันดาลใจอีกมากมาย รวมถึง ชมภาพถ่ายของเหล่า Lifster ได้ที่ Life.canon.co.th


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 22, 2015, 09:06:03 AM
https://www.youtube.com/watch?v=i7e1cQl5ETM (https://www.youtube.com/watch?v=i7e1cQl5ETM)


ถึงแม้ว่า หนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกา คนนี้จะไม่ได้เกิดที่ไทย แต่ก็ยังรักและคิดตอบแทบบุญคุณแผ่นดินไทย ด้วยการเป็นทหารรับใช้ชาติที่ไทย ซึ่งเป็นอะไรที่น่าคิดสุดๆ เลยทีเดียว

คลิปจาก Oam Common Man


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 23, 2015, 12:07:19 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/v/t1.0-9/11165241_1594336124167000_5257946422750703541_n.png?oh=0abd3e99ff382bfaaa4d51df25059ddd&oe=56E48213&__gda__=1458102680_c18b96e5979cef094dab615cfbe7fc4d)

ลองดู
เพจนี้ มีไว้แบ่งปันLike Page
May 10 ·


น้ำยาเร่งราก ทำเอง ประหยัดค่าใช้จ่าย มีสูตรไม่มาก
- กะปิ ยี่ห้อใดก็ได้
- เครื่องดื่มชูกำลัง ยี่ห้อใดก็ได้
- น้ำเปล่า

- กะปิเพียวๆ เพียงปลายนิ้ว เอามาพอกตรงกิ่งตอนแล้วพอกซ้ำด้วยขุยมะพร้าวชุ่มน้ำ มัดให้แน่น เร่งรากได้
- เครื่องดื่มชูกำลัง ผสมน้ำอัตราส่วน 1ต่อ5 แช่ขุยมะพร้าวสำหรับพอกกิ่งตอนให้ชุ่ม เร่งรากได้ดี
- กะปิ 1 เครื่องดื่มชูกำลัง 1 ผสมเข้ากัน ใช้เป็นหัวเชื้อ นำไปผสมกับน้ำอีกในอัตรา 1 ฝาต่อน้ำ 5 ลิตร หรือหัวเชื้อ 2 ฝา ต่อน้ำ 5 ลิตร ทำน้ำยาเร่งรากได้ดีมาก
นำน้ำที่ผสมฉีดพ่นกล้วยไม้ เร่งรากได้ดี แช่กิ่งชำ หน่อสำหรับเพาะ เร่งรากได้ดี
ข้อมูลเพิ่มเติม ที่http://goo.gl/bBKiZI / ติดตามเพจ


https://www.facebook.com/kasetorganic (https://www.facebook.com/kasetorganic)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 23, 2015, 05:18:12 PM
"เกษม" เกษตรกรทฤษฎีเกษตรอินทรีย์ และผู้อนุรักษ์ม้าไทย 22-11-58

https://www.youtube.com/watch?v=6X9uYVkcugI (https://www.youtube.com/watch?v=6X9uYVkcugI)

"อ.เกษม สมชาย"


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 24, 2015, 04:53:50 PM
ปรับสมอง เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน (1/2)



https://www.youtube.com/watch?v=9_t0l2ECT7E (https://www.youtube.com/watch?v=9_t0l2ECT7E)

https://www.youtube.com/watch?v=yqGIvP1csNg (https://www.youtube.com/watch?v=yqGIvP1csNg)


(https://yt3.ggpht.com/-iE0gu_IMeQ4/AAAAAAAAAAI/AAAAAAAAAAA/411IQsfWT3g/s88-c-k-no/photo.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 06, 2015, 11:12:58 AM
https://www.youtube.com/watch?v=MQAB4LKvcqk (https://www.youtube.com/watch?v=MQAB4LKvcqk)

The kitten made a miracle recovery and it back from the dead


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 06, 2015, 11:14:21 AM
https://www.youtube.com/watch?v=T0xb2FpVMwc (https://www.youtube.com/watch?v=T0xb2FpVMwc)

Awe-inspiring recovery of a dog turning to stone from mange


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 18, 2015, 10:47:28 AM
คีอานู รีฟส์ เผยข้อคิดเด็ดยุคสังคมก้มหน้า-รีบเร่ง ทุกวันมีค่า จงใช้ชีวิต !

(http://f.ptcdn.info/742/007/000/1375001200-7-o.jpg)

(http://img.kapook.com/u/2015/surattana/21_7_2558/pic_1.jpg)


คีอานู รีฟส์ เผยคำพูดโดนใจสำหรับชีวิตที่แสนรีบเร่งยุคสังคมก้มหน้า จงเงยหน้าขึ้นมาแล้วสัมผัสกับความงดงามของชีวิต ทักทายใครสักคนรอบข้าง ใช้ชีวิตให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย

                ช่างเป็นพระเอกฮอลลีวูดที่หล่อทั้งภายนอกและภายในจริง ๆ สำหรับ คีอานู รีฟส์ พระเอกสุดหล่อตลอดกาลที่แม้ว่าจะโด่งดังอย่างไรก็ยังคงได้รับการพูดถึงอยู่เสมอในเรื่องนิสัยที่ติดดิน ไม่ถือตัว และความเป็นผู้ชายแสนดีของเขา จนทำเอาผู้คนปลื้มกันไปทั่ว ล่าสุด ดูเหมือน คีอานู รีฟส์ จะยิ่งทำให้หลาย ๆ คนปลื้มมากขึ้นไปอีก เมื่อเพจ Keanu Reeves Online ได้เผยแพร่คำพูดของเขาที่พูดถึงเรื่องชีวิตในยุคสังคมก้มหน้าไว้อย่างโดนใจ โดยคำพูดของคีอานู รีฟส์ มีใจความว่า...

                "คุณเห็นผู้คนด้านหลังผมไหม พวกเขาต่างรีบเร่งไปทำงานและไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวเลย บางครั้งคนเราก็เอาชีวิตไปผูกติดไว้กับอะไรบางอย่างในชีวิตประจำวันจนเราลืมที่จะให้เวลากับการดื่มด่ำความงดงามของชีวิต มันเหมือนเราเป็นซอมบี้ เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอาหูฟังออกซะเถอะ แล้วทักทายกับใครสักคนที่คุณพบ และอาจจะเข้าไปกอดใครสักคนที่เขามีท่าทีเหมือนคนกำลังเจ็บปวด จงช่วยใครสักคนเถอะ คุณต้องใช้ชีวิตทุก ๆ วันให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย สิ่งที่ผู้คนไม่รู้เกี่ยวกับตัวผมก็คือผมเป็นโรคซึมเศร้าในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยบอกใครเลย ตอนนั้นผมต้องต่อสู้เพื่อหลุดออกจากภาวะซึมเศร้านั้น คนที่ฉุดตัวผมจากความสุขก็คือตัวผมเอง ทุก ๆ วันมีค่า ดังนั้นจงใช้มันอย่างมีค่า ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับวันพรุ่งนี้ จงใช้ชีวิตในวันนี้เถอะ ผมหวังว่าคุณจะแชร์โพสต์นี้เพื่อส่งต่อความรักในช่วงวันหยุดนี้นะ"

(http://f.ptcdn.info/812/007/000/1375157914-keanureeve-o.jpg)

คีอานู รีฟส์ เป็นพระเอกที่ประสบความสำเร็จในวงการบันเทิงอย่างมาก เขาเป็นที่รู้จักมาอย่างเนิ่นนานจนกล่าวได้เลยว่าไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อของเขา แต่ถึงจะมีชื่อเสียงอย่างไร เขายังคงมีชีวิตที่เรียบง่าย ติดดิน หลังจากที่โลดแล่นในวงการจนสร้างรายได้มหาศาล เงินก็กลายเป็นสิ่งที่คีอานู รีฟส์ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากมาย เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า "เงินเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดถึง เพราะที่ผมมีอยู่ก็ทำให้ผมอยู่ได้อีก 2-3 ร้อยปีแล้ว"

                ทุกวันนี้ คีอานู รีฟส์ ยังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง มีแฟน ๆ ไปพบเขานั่งพูดคุยและดื่มกับคนไร้บ้านริมถนนในนครลอสแอนเจอยู่เนือง ๆ และเช่นเดียวกันคนก็ยังพบเห็นเขาใช้รถสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าใต้ดิน แถมเมื่อคนเริ่มแน่น เขายังมีน้ำใจสละที่นั่งให้กับสุภาพสตรีด้วย

                จากนิสัยที่เรียบง่ายและการใช้ชีวิตอย่างปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้วิเศษหวือหวาไปกว่าใครนี้ ทำให้คีอานู รีฟส์ ได้ใจใครหลาย ๆ คนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพูดถึงชื่อของเขาทีไร คำว่า Nice Guy ก็มักจะปรากฏขึ้นเสมอ


(http://f.ptcdn.info/783/007/000/1375088862-article238-o.jpg)

kapook.com


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2016, 11:20:53 AM
ตูบตัวนี้ถูกพบผอมโซใกล้ตาย แต่ 2 เดือนต่อมากลายเป็นตูบตัวใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ

https://www.youtube.com/watch?v=hViMtuZFi0M (https://www.youtube.com/watch?v=hViMtuZFi0M)

Fostering and letting go of Billy


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 19, 2016, 11:37:05 AM
คนจนผู้ยิ่งใหญ่!อาม่าจีนขายอาหารเช้าไม่ขึ้นราคามา 20 ปี
ที่ตำบลหวงถันโข่ว เมืองฉีว์โจว มณฑลเจ้อเจียง มีคุณยายท่านหนึ่งชื่อ “เหมา ซือฮวย” วัย 83 ปี ตั้งแผงขายอาหารเช้าใกล้โรงเรียนประถมในราคาถูกแสนถูกมานานร่วม 23 ปีแล้ว อาทิ บะจ่างลูกละ 0.5 หยวน โรตีจีนใส่ไข่ก็ 0.5 หยวนเช่นกัน ชาวเน็ตต่างยกนิ้วให้กล่าวและว่าน่าจะเป็นอาหารเช้าราคาถูกที่สุดในมณฑลเจ้อเจียง
โดยคุณยายจะลุกจากเตียงมาเตรียมของขายตอนตีหนึ่ง ทั้งทำน้ำเต้าหู้ บดแป้ง หั่นผัก เตรียมไส้บะจ่าง เป็นต้น และราวตี 4.30 น. ก็จะนำของที่เตรียมและแผงตั้งร้านขึ้นรถ 3 ล้อถีบออกจากบ้าน มาหยุดตั้งร้านใกล้โรงเรียนประถมเพื่อขายให้กับเด็กนักเรียน พอถึงเวลา 8 โมงเด็ก ๆ เข้าเรียนแล้ว คุณยายก็จะเก็บร้านเก็บของขึ้นรถ 3 ล้อกลับบ้าน

หลายคนสงสัยว่า ช่วง 23 ปีมานี้ ราคาข้าวของเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัวแล้ว ทำไมคุณยายจึงยังคงราคาไว้เท่าเดิมไม่ยอมขึ้นเหมือนคนอื่นๆ ยายเหมาตอบว่า เพราะเมื่อได้ยินเด็กๆเรียกว่า คุณยายๆ ก็จะรู้สึกสุขใจมาก เด็กๆ เหล่านี้ก็เหมือนหลานๆ และว่าบางคนโตไปเรียนต่อในโรงเรียนมัธยมศึกษาที่อื่นแล้ว ยังมีแวะกลับมาเยี่ยมในวันหยุดสัปดาห์ด้วย เป็นความสุขทางใจที่มีค่ามากกว่าเงินทอง
(ขอบคุณข่าวจาก China Face by CRI)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/12509711_1705645559651459_4126786177270709037_n.jpg?oh=800399eb236b2ea400bbeb640d576d64&oe=57495635&__gda__=1464473612_8a82f3854713d812fbe88365453ce2a3)

(https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xtf1/v/t1.0-9/12439210_1705645539651461_8221104541185988163_n.jpg?oh=dbae1aac858ef529bfef0aa886f22589&oe=570BB7AD)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/12507192_1705645509651464_4076229705703188503_n.jpg?oh=fb395fe1b8d6f9d2ee341e05924c9724&oe=56FEB854&__gda__=1460043117_ee46892baa1dac2c9ee001577dbead39)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 03, 2016, 07:04:51 AM
https://www.facebook.com/payong.mnre/videos/749520948486973/?fref=nf (https://www.facebook.com/payong.mnre/videos/749520948486973/?fref=nf)


โปรดดูไว้...จะได้ไม่ดูถูกตัวเองครับ สุดยอดชีวิตจริงๆ (ขอบใจน้องชายที่ส่งมาให้ด้วยครับ)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 12, 2016, 10:38:18 AM
30 ปีที่รอคอย จากหมีที่ถูกขังแบบสิ้นไร้ สู่ความอิสระที่เหมือนเกิดใหม่ !!She waited to be rescued for 30 long years. 


(https://assets.rbl.ms/4433314/980x.jpg)

(https://assets.rbl.ms/4433298/980x.jpg)

(https://assets.rbl.ms/4432999/980x.jpg)

(https://assets.rbl.ms/4432849/980x.jpg)
Fifi takes her first look at her new home.

(https://assets.rbl.ms/4433282/980x.jpg)

(https://assets.rbl.ms/4432835/980x.jpg)

(https://assets.rbl.ms/4433357/980x.jpg)

(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xap1/v/t1.0-0/s552x414/10653407_10153844585689485_1216321010585708407_n.jpg?oh=d6f5c17f461570c7edaffe9b0157e3ec&oe=5753F6D5)
Picture of The Day! "FiFi"


https://www.thedodo.com/bear-sad-eyes-rescued-1654041994.html (https://www.thedodo.com/bear-sad-eyes-rescued-1654041994.html)



หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 12, 2016, 11:46:14 AM
เพนกวินยอดกตัญญู ว่ายน้ำไกลเกือบหมื่นกิโลเมตรเพื่อกลับมาหาผู้ช่วยชีวิต

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. สถานีโทรทัศน์ Globo เผยแพร่ภาพเพนกวินที่แสดงความรักต่อชายคนหนึ่ง และรายงานว่าเพนกวินมาเจลลันตัวนี้ว่ายน้ำมาไกลถึง 8,000 กิโลเมตรในทุกปีเพื่อเยี่ยมเยียน Joao Pereira de Souza ชายชาวบราซิลที่เคยช่วยชีวิตมันในอดีตนั่นเอง
เมื่อปี 2011 de Souza วัย 71 ปี ช่างก่ออิฐที่เกษียณและผันตัวเองมาเป็นชาวประมงนั้น พบเพนกวินตัวนี้กำลังจะขาดใจเนื่องจากน้ำมันและพยายามไต่ขึ้นไปบนโขดหินในชายหาดแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองรีโอเดจาเนโร เขาจึงช่วยชีวิตมันไว้ รักษาพยาบาลและตั้งชื่อให้ว่า “Dindim”

เขากล่าวว่า หลังจากนั้นเกือบหนึ่งปี เพนกวินก็กลับลงไปในทะเล ถึงแม้ทุกคนจะกล่าวว่าไม่พบมันอีกหลังจากนั้น แต่ความจริงพวกเขาคิดผิด โดย Dindim กลับมาเซอร์ไพรส์ทุกคนอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น และทุกปีก็ว่ายน้ำกลับมาหา de Souza และอยู่กับเขานาน 8 เดือน ก่อนที่จะมุ่งหน้าลงสู่ใต้เพื่อไปผสมพันธุ์บริเวณริมชายฝั่งทะเลของชิลีและอาร์เจนตินา
ทั้งนี้ การเดินทางไป-กลับระหว่างคาบสมุทรปาตาโกเนียในอาร์เจนตินา ซึ่งเป็นบ้านของเพนกวินมาเจลลันจำนวนมาก และเมืองรีโอเดจาเนโร มีระยะทางไกลถึง 8,000 กิโลเมตร
de Souza กล่าวว่า “ผมรักเพนกวินตัวนี้เหมือนเป็นลูกของผมเอง และผมก็คิดว่ามันรักผมเหมือนกันนะ เพราะมันไม่ยอมให้ใครจับตัวมัน แต่ยอมให้ผมอาบน้ำและกินอาหารที่ผมให้”


https://www.youtube (https://www.youtube)....h?v=vTCKyVYYr0U

(https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xtp1/v/t1.0-9/12791087_1725500404332641_6688173911081684713_n.jpg?oh=21b88ba14d0aaa12150ae24a18d8eefd&oe=574D8CE9)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 12, 2016, 01:22:59 PM
คุณยายสกลนคร เก็บผักหาปลาขาย บริจาคที่ดินมูลค่าร้อยล้านให้ราชการ
Nation Channel

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/AAgGxHS.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f&x=136&y=80)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/AAgGfj2.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/AAgGfj4.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f)

(http://img-s-msn-com.akamaized.net/tenant/amp/entityid/AAgGhNa.img?h=373&w=624&m=6&q=60&o=f&l=f&x=379&y=306)

พบคุณยายวัย 70 ปี อาชีพเก็บผักขายตามตลาด บริจาคที่ดินกว่า 100 ล้านให้สร้างห้องสมุด"เฉลิมราชกุมารี" อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

คุณยายทองสวรรค์ วงษ์รัตนะ แม่เฒ่าวัย 70 ซึ่งมอบที่ดินให้กับทางราชการ เพื่อให้เป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ จำนวน 12 ไร่เศษ เมื่อปี 2556 และได้มีการก่อสร้างเป็นศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และก่อสร้างเป็นห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี อำเภอเมืองสกลนคร และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม และคุณยายได้เข้ารับพระราชทานเหรียญที่ระลึกจากพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบคุณยายทองสวรรค์ ที่ยังพักอาศัยอยู่บริเวณด้านหลังของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.) อ.เมืองสกลนคร ที่ยังเหลือที่ดินให้สร้างบ้านอยู่แบบพอเพียง ในวันที่คุณยายได้รับเชิญให้มาร่วมงานที่ศูนย์ กศน.เมืองสกลนคร ที่สร้างบนที่ดินที่คุณยายบริจาคให้ และเป็นกิจกรรมที่คุณยายได้รับเชิญเป็นเกียรติทุกครั้งที่มีการจัดกิจกรรม ซึ่งคุณยายทองสวรรค์ได้เล่าความรู้สึกให้กับผู้สื่อข่าวฟังด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขถึงสาเหตุของการบริจาคที่ดินในครั้งนี้ว่า เป็นความต้องการของตนและน้องสาว ที่เห็นดีด้วยที่จะร่วมบริจาคที่ดินให้กับทางราชการ เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯให้กับสมเด็จพระเทพฯ เพื่อจะได้นำไปใช้เพื่อสาธารณะ

คุณยายทองสวรรค์เล่าต่อว่า ตนเองตัดสินใจกับน้องสาวเพียงไม่กี่วัน ก็ได้ไปเดินเรื่องเพื่อขอแยกโฉนดที่ดินให้ง่ายกับการบริจาค แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะบริจาคให้ใครหรือหน่วยงานไหน แต่เมื่อทราบว่า ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดสกลนคร กำลังมองหาพื้นที่ก่อสร้างห้องสมุดประชาชน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ตนเห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงตัดสินใจบริจาคให้ โดยได้ขอความมั่นใจจาก ผอ.ศูนย์ กศน.ขณะนั้นว่า เมื่อได้รับที่ดินไปต้องมีการก่อสร้าง ไม่ใช่รับบริจาคไปแล้วไม่ทำอะไรเลย เพราะตนและน้องสาวต้องการเห็นว่าที่ดินดังกล่าวได้สร้างประโยชน์ให้กับชุมชนและสังคม ในช่วงเวลาบั้นปลายของชีวิต

"ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เคยมีคนมาขอซื้อที่ดินเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว มูลค่ากว่าร้อยล้านบาท แต่มองว่าเมื่อได้เงินมาแล้วปัญหาต่างๆจะตามมาอีกมากมาย ในชีวิตอายุ 70 ปี และน้องสาวอายุ 60 ปี ที่อยู่ด้วยกันเพียงสองคน แม้จะเป็นพี่น้องคนละพ่อ แต่ก็รักกันดี ไม่เคยทะเลาะกัน อีกทั้งไม่มีครอบครัวและไม่มีลูก จึงอาศัยทำนาและปลูกผัก เก็บผัก หาปลา ตามท้องทุ่งมากิน และเมื่อเหลือจะนำไปขายที่ตลาดสด ชีวิตจึงไม่ได้เดือดร้อนอะไร" คุณยายทองสวรรค์เล่า

คุณยายเล่าอีกว่า หลังจากบริจาคที่ดินไปก็มีการก่อสร้างเป็นศูนย์ กศน.อ.เมืองสกลนคร และก่อสร้างเป็นห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี แล้วเสร็จ และมีการใช้ประ โยชน์ตามเจตนารมณ์ที่ตนเองและน้องสาวตั้งใจไว้ก็รู้สึกสบายใจ หมดห่วง และภูมิใจในชีวิต แม้ช่วงแรกจะมีคนมาทักท้วงว่าพื้นที่ดังกล่าวมีมูลค่ามหาศาล แต่เมื่อตัวคุณยายกับน้องสาวตั้งใจแล้วก็ต้องทำ

สำหรับพื้นที่ที่ดินที่บริจาคดังกล่าว ด้านหน้าอยู่ติดริม ถ.สกลทวาปี ซึ่งเป็นถนนตัดใหม่ โดยสำนักงานทางหลวงชนบทสกลนคร ได้เวนคืนเพื่อก่อสร้างเป็นถนนเลี่ยงเมืองชั้นในรองรับการขยายตัวของชุมชนเมือง จุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมต่อกับสี่แยกถนนคูเมือง เขตเทศบาลนครสกลนคร ปัจจุบันเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ มีทั้งห้างสรรพสินค้า ย่านตลาดสด ตลอดจนพื้นที่ก่อสร้างหมู่บ้าน ที่อยู่อาศัย มีบ้านเรือนประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ปัจจุบันมีมูลค่านับร้อยล้านบาท


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 15, 2016, 04:24:02 PM
เมื่อชีวิตคือการพัฒนา ผมจึงปิดบริษัทที่ทำรายได้ปีละ 20 ล้าน มาเป็นเกษตรกร และเปิดโรงเรียนให้กับลูกชาย

ก่อนหน้านี้มีการ Post ไปแล้วรอบหนึ่งแต่โดนลบไปเนื่องจากเข้าข่ายการขายของ รอบนี้เลยมาแบ่งปันแต่แนวคิดและสิ่งที่ผมทำ


       ก่อนอื่นผมแนะนำตัวสั่นๆว่าผมเองเปิดบริษัททำงานได้ IT เป็นงานให้บริการเป็นหลักนะครับ ผมทำมาตอนนี้ปีที่ 8 รวมกับทำงานบริษัทมาก่อน 3 ปี รวมประสบการณ์ทำงานทั้งหมดคือ 11 ปี  ชีวิตผมก็เป็นโครตคนเมืองคนหนึ่ง คือได้ทุกอย่างที่อยากได้ มีรถหรูๆ บ้านหรูๆ คอนโดหรูๆ ของทุกอย่างที่อยากได้ผมได้หมด เวลาแฟนถามว่าวันเกิดอยากได้อะไรบอกได้เลยคิดไม่ออกเพราะทุกสิ่งที่อยากได้ผมได้มันเดียวนั้นมาตลอด

      ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตอนที่ผมเริ่มมีลูกคนแรก ป้จจุบันอายุ 3 ปี 4 เดือน 



(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3psn45hiTz5hPJ6hk2-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/749/040/000/o3pr052blj84EhgIiOC-o.jpg)

ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปอีก 8 ปีที่แล้วตอนช่วงที่ผมเริ่มเปิดบริษัทใหม่ๆผมเองนั้นอยากมีครอบครัวและก็อยากมีความรู้ที่จะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ด้วย ตัวเองจึงไปลงเรียน ป.โท คณะจิตวิทยา สาขา พัฒนาการ  ที่มหาลัยใจกลางกรุงแห่งหนึ่งซึ่งผมเองก็ได้ทั้งความรู้และแม่ของลูกมาด้วย ด้วยความรู้ที่ได้มาจากตอนไปเรียน รวมกับความรู้จากการฟังธรรม จากท่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)  ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการทำงานและการใช้ชีวิตนั้น มันควรจะอยู่ในหลักสิขา คือการเรียนรู้และพัฒนาชีวิต ถามว่าและการเรียนรู้กับการพัฒนาชีวิตคืออะไร คำตอบสั่นๆพอจะตอบได้ดังนี้คือ การทำให้ชีวิตมีความสุขง่ายขึ้น และทุกข์ยากขึ้น สุขที่ง่ายขึ้นนั้นต้องพัฒนามาจากการที่มีความสุขจากการให้ ไม่ได้มีความสุขจากการเสพวัตถุ พอเข้าใจหลักการดังนี้ผมจึงเริ่มมองหาและเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ว่าเงินไม่ใช่จุดหมาย แต่เงินคือปัจจัยในการใช้ชีวิต พอผมมองว่าเงินคือปัจจัยในการใช้ชีวิต ผมจึงเริ่มรู้ว่าเงินนะพอแล้ว เริ่มเข้าสู่จุดหมายได้เลย

         จุดหมายแรกมันก็มาจากการย่อยข้อมูลที่มีอยู่ในสังคมที่ผมได้มีโอกาสรับรู้จากสื่อต่างๆทำให้ผมตั้งเป้าว่าผมจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็น Self Sufficient Environment คือผมต้องอยู่ได้โดยใช้เงินน้อยที่สุดในเรื่องอาหาร ดังนั้นผมจึงต้องสร้างอาหาร ซึ่งเบื้องต้นก็คือการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์เพื่อให้ได้เนื้อนมไข่กิน
 ผมเริ่มซ้อมปลูกข้าวที่บ้าน กทม. ในหมู่บ้านเลย (เพื่อนบ้านตอนแรกงงว่าผมทำอะไรผ่านไป 90 วันถึงรู้กัน )



(http://f.ptcdn.info/749/040/000/o3priy4alpI9o4uZPAb-o.jpg)

ปลูกผักที่ไร่
(http://f.ptcdn.info/749/040/000/o3prjum2vHm1VIw7qXB-o.jpg)

เลี้ยงไก่  เลี้ยงแพะนม
(http://f.ptcdn.info/749/040/000/o3prmibqpZlIFjU4jmy-o.jpg)


ตรงนี้เองผมมองว่าถ้าผมทำแบบนี้ได้แล้วผมจะฝึกให้ลูกผมสามารถใช้ชีวิตอยู่รอดในธรรมชาติได้ โดยการอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ ในการเปลี่ยนมาเป็นอาหารโดยเรามีหน้าที่จัดสรรปัจจัยให้พร้อม และถ้ามันไม่พร้อม เราก็พร้อมที่จะศึกษาว่าที่ไม่พร้อมนั้นเราขาดปัจจัยอันได  ผมอยากจะเน้นตรงนี้มากเพราะผมมองเรื่องนี้เป็นความมั่นคงในชีวิตเลยทีเดียว เพื่อนๆผมที่ กทม. มองว่าความมั่นคงคือการซื้อประกันให้ลูก ผมบอกได้เลยว่าถ้าอีก 3 ปีข้างหน้าลูกผมอายุ 6 ปี ถ้ายังอยู่ กทม. เค้าจะอยู่ อนุบาล 3 และถ้าผมตายวันนั้นเงินทองที่มีให้ ประกันที่มีให้ เค้าก็คงใช้ได้อีกไม่กี่ปีก็หมด ถ้าอยู่ใน รร. แพงๆก็คงต้องลาออกมาเปลี่ยน รร. และก็ไม่รู้ว่าจะใช้เงินที่มีได้อีกนานแค่ไหน แต่ผมคิดว่าไม่เกิน 10 ปีเงินที่สะสมมาไม่ว่ามากขนาดไหนก็หมด ถ้าเค้ายังจะเสพวัตถุเพื่อความสุขอยู่   
          ที่ผมมองต่างคือถ้าลูกผมอายุ 6 ขวบโดยอยู่ที่ไร่กับผมนั้น ถ้าผมตายไป ลูกผมจะสามารถไปปลูกผักกินต่อได้ เก็บไข่กิน ตกปลามากิน รีดนมแพะมากิน จะเห็นว่านี่แหละคือความมั่นคงในชีวิตในมุมมองผม เค้าสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยเริ่มไม่ต้องพึ่งผมแล้ว คือผมใช้เวลาไม่มากฝึกลูกผมให้เค้ามีความสามารถในการให้ตัวเองพึ่งพาตัวเองได้

          ขั้นที่สองที่ผมจะสอนลูกคือ ตอนนี้ใน รร. หรือ มหาลัยส่วนใหญ่นั้นจะสอนให้คนหาเงิน และเอาเงินมาซื้ออาหาร และการหาเงินนั้นก็ต้องหาจากในตึกใน Office คือเอาเวลาไปแลกเงินออกมา  เพื่อซื้ออาหาร ส่วนอาหารเองนั้นก็ขายกำไรกันมาหลายต่อ ตั้งแต่ที่ไร่ เดินทางมาที่ตลาด ร้านอาหารไปซื้อที่ตลาดอีกที และเอามาขายเราอีกรอบ จะเห็นว่ามันทำไมต้องแพงเพราะการเดินทางของอาหารนั้นไกลเหลือเกิน และถ้าจะถูกเพื่อแข่งขันกันได้ ก็จะได้ของไม่ดีมีสารเคมีเยอะ  --> สิ่งที่ผมมองต่างคือผมจะสอนให้ลูกเห็นว่าเงินมันอยู่ในดิน  อยู่ในน้ำ อยู่ในอากาศ เราเองต้องหาวิธีดูดเงินออกมาจาก ดิน น้ำ อากาศ ผมยกตัวอย่างแบบนี้  ถ้าผมเอาเมล็ดผักสลัดไปวางบนดินและรดน้ำ พอมันโตมาก็มีค่า 30 บาทใน กทม.  ปลาคร๊าฟผมไปซื้อมาตัวเล็กๆ 60 70 บาท เลี้ยงไป 1 ปีให้มันกินขี้ไก่ ก็จะขายได้ประมาณตัวละ 700 บาท  ต้นไม้
ใหญ่ๆ ผมสามารถเก็บเมล็ดมาเพาะกล้า ต้นหนึ่งให้เมล็ดหลายร้อยเมล็ดมาเพาะกล้าใส่ถุงซัก 4 - 6 เดือนก็จะขายได้ต้นละ 20 บาท  เหมือนเงินมันอยู่ในดิน น้ำ อากาศจริงๆ เราเป็นเพียงผู้สังเกตุและจัดสรรเหตุปัจจัยให้เหมาะสมเพื่อดึงเงินออกมา  ตรงนี้ผมอาจจะต้องสอนเค้าเรื่องวิธีทำตลาด ผมเองงไม่ได้จะละทิ้งความทันสมัยขอโลกปัจจุบัน แต่ผมจะให้เค้ารู้และเข้าใจและใช้มันมาเกื้อกูลกับการใช้ชีวิตเพื่อให้ตัวเองพึ่งตนเองได้

            และเมื่อผมสอนลูกได้ดังนี้แล้วผมเองก็จะเปิด รร. ซึ่งให้ลูกผมมาสอนเด็กๆอีกที จริงๆตอนนี้แอบคิดชื่อ รร. ไว้แล้วครับชื่อว่า พุทธิจริตสิขาลัย โดยจะเน้น 4 ขบวนท่าของทางพุทธคือ
 พรหมวิหาร ๔
 อิทธิบาท ๔
 โยนิโสมนสิการ
 อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุป โท

 นี่แหละหลักสูตรผม อ๋อผมอาจจะลืมบอกว่า ผมทำ Home school กับลูกนะครับไม่ส่งลูกเข้า รร.

          ต่อไปก็จะถึงในส่วนของการแบ่งปันและหารายได้เพื่อทำประโยชน์กับสังคมให้มากขึ้น คือผมจะเปิดสิ่งแวดล้อมของผมเพื่อให้ผู้ที่สนใจในการพัฒนามาฝึกฝนและกระจายความรู้นำไปพัฒนาต่อยอดและสร้างเครื่อข่ายต่อๆไป


(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3psha7tsi0aW78nR35-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3pshjm5v4uESSr4xtV-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3pshp37gV1aRmq3i93-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3psi04cyV5e3IUg5Iy-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3psi75fe15Ddja6DuC-o.jpg)

และตอนนี้ผมก็ได้ทำฝันเล็กๆคือการเลี้ยงม้า ที่เด็กๆหลายๆคนอยากเลี้ยงแต่เลี้ยงไม่ได้เพราะพื้นที่ใน กทม. ไม่เอื้ออำนวย


(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3psqdms37LE1oJ2egi-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/750/040/000/o3pspo4eeq021pcnVbO-o.jpg)

สุดท้ายแล้วผมบอกได้เลยว่าสิ่งที่ผมทำและสิ่งที่ผมเปลี่ยนแปลงกับชีวิตนี้มันทำให้ผมเป็นคนที่สามารถให้แบ่งปันได้ง่ายเพราะ เพราะผักหรือไข่หรือนมนั้นมันสูบมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ความที่ผมรู้สึกเป็นเจ้าของมันก็น้อยลงและสามารถให้ฟรีๆกับคนอื่นได้เยอะๆ ไม่เหมือนใน กทม. ที่ทุกอย่างต้องเป็นการซื้อมาทั้งหมด การให้จึงจำกัดปริมาณและความถี่ด้วยตัวของมันเอง

 และลูกผมกับภรรยาผมก็เช่นกัน

 ปล. ภรรยาผมกว่าจะเห็นด้วยกับผมก็ไม่ใช่ง่าย ผมเองพาเค้าไปคุยกับพี่ๆที่อยู่ใน กทม. และย้ายไปอยู่ในต่างจังหวัดหลายคนมากและส่งไปเรียนการปลูกผักอินทรีย์ ใช้เวลาเป็นปีกว่าเค้าจะเริ่มเห็นว่าในระยะยาวแบบนี้แหละคือสิ่งที่ดีกับชีวิต  และยอมย้ายตัวเองไปกันผม

 ส่วนชีวิตที่บ้านใหม่ตอนนี้ก็สนุกมาก

 ิฝึกเดินป่า

(http://f.ptcdn.info/751/040/000/o3pt7km5mRc6AlkUo1O-o.jpg)

ทำบ้านดิน
(http://f.ptcdn.info/751/040/000/o3pt7z2gwRVKuiayyq5-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/751/040/000/o3pt874cnYdzYEp4J12-o.jpg)

ขี่ม้าบ้าง
(http://f.ptcdn.info/751/040/000/o3ptam37iGXr5wp9P47-o.jpg)

เล่นน้ำหลังบ้าน
(http://f.ptcdn.info/751/040/000/o3ptb2k9l76dmA6VWy6-o.jpg)

พอว่างก็ไปขอเก็บฟางจากชาวบ้าน
(http://f.ptcdn.info/759/040/000/o3q6eh11iqOaf8Y24T2y-o.jpg)

หมดแรง
(http://f.ptcdn.info/751/040/000/o3ptbl4cwjriPPpVA0z-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rlx2a259AxO2cx3w1-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rlxea1lV5ROK4xCf6-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rlyqh5g2bBpxGmo0d-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rlz7dieFiib9IgFv4-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rm00b7dbjue7d2Crx-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rm0e9pb7gnsyfX1j-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rm0rixxDgGbksU7CT-o.jpg)

(http://f.ptcdn.info/778/040/000/o3rm15a27bwmcD0vDD-o.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 16, 2016, 10:11:37 AM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xft1/v/t1.0-9/535347_1243402302354448_1778075445475618860_n.jpg?oh=32fed9548973e210cc7481db078256c8&oe=57553FE4&__gda__=1464839106_be9838406bf663e1c35376c2376d64bb)
เพื่อน คือ.... ....
cr ศักดิ์ เกื้อกูล


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 16, 2016, 08:07:01 PM
(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/56/98/20/5698208ca9d88fcd6f4552e58a797624.jpg)



(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/d5/72/5e/d5725e19e87e4424b447d4aab212aeb8.jpg)


(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/40/c8/a7/40c8a7b764ace6ac02d18b67d22ee9af.jpg)


(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/a6/7e/b7/a67eb7525cbd00c038af55011adce154.jpg)




วิธีปลูกผักชีและสมุนไพรต่างๆในกระถาง
สนใจวิธีทำอาหาร ไทย ญี่ปุ่น ขนมแบบง่ายๆเข้าไปดูที่แฟนเพจของแหม่มก็ได้นะคะhttps://www.facebook.com/pages/Simple-Easy-Recipes/786172134727843


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 24, 2016, 04:16:19 PM
รถขยะ(อ่านให้จบ แล้ววันนี้ทั้งวันจะเป็นวันที่ดีของคุณ)
วันนั้นผมได้ใช้บริการรถแท็กซี่เพื่อไปสนามบิน
ขณะที่เรากำลังวิ่งมาดีๆนั้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากซอยตัดหน้าเราอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย
โดยสัญชาตญานโชเฟอร์แท็กซี่กระทืบเบรกอย่างแรงจนรถไถลไปหยุดห่างจากรถคันนั้นแค่คืบเดียว แต่กลับเป็นเจ้าของรถคันนั้นที่ทำสีหน้าขึงขังพร้อมตะโกนด่าใส่เราอย่างน้ำไหลไฟดับ
ขณะที่โชเฟอร์แท็กซี่ยิ้มตอบให้เขา
ผมสังเกตุเห็นว่าโชเฟอร์แท็กซี่ไม่มีอารมณ์โกรธตอบเลยแม้แต่น้อย


(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/53/54/b7/5354b742d990d5af0f7d8d2505262ae8.jpg)

หลังจากนั้นผมถามโชเฟอร์ว่าทำไมคุณถึงทำอย่างนั้น
ชายคนนั้นเกือบทำให้รถคุณพังและคุณกับผมอาจต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยซ้ำ...

โชเฟอร์ตอบกลับมาว่า
คนสมัยนี้เหมือนกับรถขยะที่บรรทุกล้นปรี่ไปด้วยความโกรธ ความเกลียด ความเครียด
ความกลุ้มใจ ความผิดหวัง วิ่งพล่านเต็มไปหมด
เมื่อขยะของเขาเพิ่มขึ้นๆ เขาก็ต้องหาที่ปลดปล่อยมันบ้าง
ซึ่งบางครั้งเขาก็อาจเทมันลงมาที่คุณก็อย่าไปถือสาเลย

ยิ้มและอวยพรให้เขาโชคดีก็พอ
จงอย่าเก็บเอาขยะนั้นมาและไปโปรยให้คนที่ทำงาน ที่บ้าน หรือที่ถนนต่อล่ะ..
สังเกตุมั้ยว่าคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ จะไม่ยอมให้รถขยะมาทำให้วันดีๆ
ของเขาต้องเสียไปครับ

ชีวิติเรานี้มันแสนสั้นเกินกว่า ที่จะตื่นขึ้นมาด้วยความโศรกเศร้าเสียใจ
จงรักและตอบแทนให้กับคนที่ทำดีกับเรา และอำนวยอวยพรให้กับคนที่ทำไม่ดีกับเรา
และ...ขอให้วันนี้ของทุกคน เป็นวันที่ดีและปลอดขยะตลอดทั้งวันนะครับ ^_____^

Cr: สมุดปกขาว


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 04, 2016, 10:08:13 PM
น้ำตาไหล! แม่ค้าบะหมี่จนๆ คบกับ ลูกค้าประจำ มา 2 ปี ไม่มีอะไร แต่พอเข้าบ้าน พ่อสะใภ้ พูดบางอย่าง

(http://cdn10.siamupdate.com/image_article/big/24012016_IMG_1453609515_686.jpg)

ศาสนาพุทธบอกให้เราทราบอยู่เสมอว่า หากเราทำความดี เมื่อเวลาผ่านไปยังไงผลกรรมดีก็จะส่งผลดีให้กับตัวเรา การกระทำคือผลที่เราจะได้รับ เรื่องราวนี้เธอมีชีวิตที่ลำบาก เธอเป็นคนที่มีจิตใจดี ชอบทำความดี ส่งผลให้อนาคตของเธอเปลี่ยนไป


ทุกวันเธอจะแขนรถไปขายหมี่ข้างทาง เธอหาเงินเพื่อรักษาแม่ที่ป่วยและให้น้องชายได้เรียนมหาลัย

มีชายคนหนึ่งมักมาที่ร้านเธอกินหมี่ และมีบางครั้งชายคนนี้ก็จะคุยกับเธอ เขาแต่งตัวธรรมดาๆ และกินหมี่ที่ราคาถูกที่สุด เธอจึงคิดว่าชายคนนี้เป็นคนที่จนมาก

อยู่มาวันหนึ่ง ชายคนนี้ถามเธอว่ามีแฟนหรือยัง เธอตอบว่าเธอหน่ะจนมาก มีแม่ที่ป่วยต้องหาเงินรักษา และยังมีน้องชายที่ต้องเรียน จะมีใครกล้ามาคบ จากนั้นชายคนนี้จึงพูดกลับไปว่า[ ผมกล้าคบกับคุณ] จากวันนั้น เวลา6โมงเย็นชายคนนี้จะมาช่วยเธอขายหมี่ทุกวัน

ช่วงเวลาที่ทั้งสองคบกัน เขาบอกเธอหลายครั้งว่าอยากพาเธอไปแนะนำให้คนที่บ้าน แต่เธอก็ไม่กล้า คอยหาข้ออ้างเพื่อไม่ไป ผ่านไป2ปี สุขภาพของแม่เธอดีขึ้น เธอจึงตัดสินใจไปพบครอบครัวฝ่ายชาย เธอตกใจเมื่อไปถึงบ้าน บ้านของแฟนของเธอคือวิลล่า หรู

พ่อแม่ของเขาต้อนรับเธอด้วยความดีใจ เธอควรจะมาพบครอบครัวแฟนเธอตั้งนานแล้ว เพราะทั้งสองแก่มากมักมีอาการหลงๆลืมๆ ดีบ้าง

เป็นบางครั้ง แต่ก็เคยออกไปข้างนอกแล้วจำทางกลับบ้านไม่ได้ มีครั้งหนึ่งที่พ่อของเขาหลงทาง และมาถึงร้านของเธอ พ่อของเขากินหมี่ที่เหลือจากลูกค้าก่อนหน้ากิน ขณะนั้นเธอไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เก็บถ้วยไปทำหมี่ถ้วยใหม่มาให้พ่อของแฟนเธอกิน หลังจากที่เธอรู้ว่าคุณตาหลงทางกลับบ้านไม่ถูก จึงพาไปส่งที่โรงพัก


(http://www.mx7.com/i/df0/VVVNDX_7DEdZU.jpg)

หลังจากที่คุณตากลับบ้านจึงได้เล่าเรื่องเธอให้ฟัง หลังจากนั้นลูกชายจึงไปกินหมี่ที่ร้านเธอประจำ เพื่อที่จะตอบแทนในสิ่งที่เธอทำ

ปัจจุบันทั้งสองได้อยู่อาศัยเป็นครอบครัวเดียวกัน เขายังหาร้านดีๆที่สามารถให้เธอขายหมี่ เธอรู้สึกดีใจมาก และชีวิตความเป็นอยู่ก็มีความสุขมาก



(http://www.mx7.com/i/c92/VVVNDX_xx30Cr.jpg)

เธอช่วยเหลือคนแก่โดยไม่ได้คิดถึงผลตอบแทนอะไร เพียงต้องการทำในสิ่งที่ดี หากคุณยินดีที่จะมอบความดีให้ผู้อื่น คุณก็จะได้รับผลดีกลับมาเช่นกัน





Source : http://www.siamupdate.com/news-180439 (http://www.siamupdate.com/news-180439)
 


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 22, 2016, 08:37:35 PM
(http://1.bp.blogspot.com/-2X_c4sE-Pug/U_NjJKWj8aI/AAAAAAAAF0M/usJgDThKwBc/s1600/IMG_3375.JPG)

ขนมถ้วยใบเตย ...อร่อยสุดๆ

http://yualabama.blo (http://yualabama.blo)...og-post_19.html
==


❉❉...หลังพ่อตาย แม่มีภาระใหญ่หลวง คือ ลูก 10 คน ยายจึงแบ่งผมกับพี่ชายอีก 2 คนมาเลี้ยง ยายก็ไม่ใช่เศรษฐีที่ไหน เราจึงได้เรียนรู้การ "หาเลี้ยงชีพ" มาตั้งแต่เล็ก
....
❉❉...ยายขายอาหารที่โรงเรียนประถมใกล้บ้าน เมนูหลักๆ ที่ขายคือ ข้าวต้มเครื่อง ขนมถ้วย ลอดช่องรวมมิตร มันเทศต้ม มันเทศเชื่อม พุทราเชื่อม
....
❉❉...แทบทุกอย่างเริ่มจาก "ไม่มีอะไร" รวมถึงชีวิตของพวกเราด้วย แต่ใน "ความไม่มี" เราทำให้มัน "มี" ขึ้นมาได้
....
❉❉...ที่ดินแปลงเล็กมาก ถูกยกร่อง และปลูกมันเทศ เมื่อโตได้ที่ก็ทยอยขุด หัวเล็กต้ม เสียบไม้ขาย หัวใหญ่ หั่น แช่น้ำปูนใส แล้วเชื่อมขาย
....
❉❉...ขนมถ้วย ก็ต้องโม่แป้งเอง ปอกมะพร้าว ขูดมะพร้าว คั้นกะทิเอง, ลอดช่อง เม็ดทับทิม ก็ต้องนวดแป้ง คลึง แล้วตัดเป็นเส้นหรือเป็นเม็ดทับทิม จากนั้นลวกน้ำร้อน ใส่ลงในกะทิ น้ำเชื่อมก็เคี่ยวเอง ทั้งหมดทำให้เป็นเรื่องสนุก อย่าทำให้เป็นเรื่อง "ภาระ"
....
❉❉...เมื่อเราสนุกที่จะ "ทำกิน" เราก็จะ "มีกิน
....
❉❉...ปีนต้นพุทรา เก็บลูกมาเชื่อม เจออะไร คิด แล้วแปลงให้เป็นรายได้ให้เป็น ในวัยเด็ก เรื่องพวกนี้เป็น magic เป็นเรื่องสนุกสำหรับเราสามคนพี่น้อง
....
❉❉...ยายบอกชีวิตจริงกับเรา เพื่อให้เรา "สู้ชีวิต"
การที่เรายอมรับความจริงของชีวิตแล้วกล้าที่จะสู้ เราจะไม่อาย ไม่เหนื่อย ไม่เอาแต่ "วาดวิมานในอากาศ"
....
❉❉...โตหน่อยมาอยู่กับแม่ ก็ต้องสอยมะพร้าว หาบมะพร้าว บางช่วงเปลี่ยนเป็น "ทำตาล" คือ ทำน้ำตาลมะพร้าว วิชาใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นกับเรา แม่ปลูกพริก เราก็ต้องเก็บพริก แถมไปรับจ้างไร่อื่นเก็บ เพื่อหารายได้เป็นเงินออมส่วนตัวด้วย ปลูกมะเขือ ปลูกฝ้าย ปลูกหอม ปลูกแตงโม ฯลฯ บางครั้งก็นึกอัศจรรย์ใจว่า ผู้หญิงที่จบแค่ ป.4 ทำไมทำมาหากินได้หลายอาชีพ โดยไม่เคยจำนนกับชีวิตเลย
...
❉❉...ไม่เหมือนคนสมัยนี้ รู้ไม่กี่เรื่อง หากินไม่เป็น ใจไม่สู้ อยู่ก็ท้อ เพราะ "ฝันไม่เป็นจริง" สักที
....
❉❉...หากคุณเป็นพ่อคนแม่คน จงให้ลูก "รู้จักชีวิต" ตามความเป็นจริง คุณไม่สามารถปั้นแต่งชีวิต เพียงเพราะว่าคุณรักลูก อยากให้ลูกสุขสบาย ไปได้ทั้งชีวิตของคุณหรอก วิชาที่ดีที่สุดที่พ่อแม่พึงให้แก่ลูก นอกเหนือจากวิชา "รู้จักลำบาก" แล้ว ต้องให้เขา "รู้จักชีวิต-ยอมรับชีวิต" และ "สู้ชีวิต" ให้เป็นด้วย
....
❉❉...แม่ไม่เคยจำนน ไม่เคยยอมแพ้ และไม่เคยทำตัวเป็นวีรสตรี ให้ลูกๆ อยู่สบาย โดยที่แม่จะแบกรับทุกอย่างไว้เอง
....
❉❉...แต่แม่ให้เราเห็นชีวิต และเข้ามามีส่วนสู้ชีวิต เพื่อทำชีวิตให้ "ดีกว่าเดิม" ไปด้วยกัน ไม่ใช่ว่าเราจะชนะมันได้ทุกครั้ง แต่เมื่อยามแพ้ เราก็มีกันและกัน เดินหน้าต่อไปด้วยกัน
...
❉❉...ปลูกนี่ ขายไม่ได้ ก็เปลี่ยนใหม่ไปทำอย่างอื่น นี่ขายไม่ได้ ก็เปลี่ยนไปขายห่อหมก ฯลฯ
...
❉❉...คนทำกิน ไม่มีวันอดกิน ทั้งแม่และยายบอกกับเรา
....
❉❉...ผ่านชีวิตล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่เล็ก แต่เราถูกหล่อหลอมให้เป็น "นักสู้" เราจึงเรียนรู้ที่จะสู้ต่อได้เสมอ ไม่จำนน ไม่พ่ายแพ้ ไม่ท้อแท้ ไม่คิดทำลายชีวิตของตัวเอง
...
❉❉...ไม่เอาจมูกพ่อแม่มาหายใจ แต่หายใจและเหนื่อยหอบไปด้วยกัน มันทำให้ลูกๆ รู้ค่าและซึ้งในคำว่า "พระคุณ" และมันทำให้พ่อแม่ "เคารพในชีวิตของลูกๆ" ไม่พันผูกเสมือนว่า ฉันสร้างพวกแกมา พวกแกเป็นของฉัน จนพ่อแม่หลายคน "ฝันแทนลูก" ลูกจึงไม่ต่างจาก "สัตว์เลี้ยงที่น่าเอ็นดู"
....
❉❉...เรียนรู้จะเป็น "พรหมของลูก" ด้วยการทำให้ลูก "เห็นโลก" พระพรหมไม่เพียงแต่สร้างโลก แต่ทำให้คนเห็นโลก เข้าใจโลก และจรรโลงโลกต่อไป ไม่งั้นท่านก็เป็นได้แค่ "พรมของลูก" เท่านั้นเอง แล้วท่านจะเป็นพรมปูทางให้ลูกเหยียบเดินไปได้ไกลสักแค่ไหน วันหนึ่งคุณก็ต้องแก่ เจ็บ และตายจากไป ถึงเวลานั้น พวกเขาจะเดินต่อเองได้อย่างไรกันล่ะคุณ?
....
❉❉...คลอดเขาออกมาครบ 32 ก็ให้เขาใช้ทั้ง 32 นั้นให้ครบ อย่าเลี้ยงลูกให้งอมืองอเท้าหรือไม่รู้จักใช้มือใช้เท้า เพราะพ่อแม่เป็นมือเป็นเท้าให้ตลอด
....
❉❉...รักลูก อย่าทำร้ายลูก สอนให้ลูก "รักชีวิตและสู้ชีวิต" ให้เป็น ^^

.


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2016, 07:49:46 PM
นี่คือภาพถ่ายครอบครัวหมา ..ตามสถานที่ต่างๆในประเทศไทย
 .
 .

สวัสดี ...เราคือเด็กสองคนที่เก็บหมาจรจัดมาเลี้ยงในวัยที่ยังเป็นนักศึกษา และตั้งชื่อเขาว่า กลูต้า กับ กอลลั่ม ทั้งคู่เป็นหมาไม่มีเจ้าของตัวหนึ่งป่วยเป็นมะเร็ง อีกตัวขาหักเกือบโดนตัดขาหลังข้างขวา เหตุผลที่เราเก็บเขามาเลี้ยงมีเพียงเหตุผลเดียว คือเราชอบนิสัยเขา เหตุผลเดียวเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเขาสวย เขาน่ารัก หรืออะไรเลย
 .
 .

หลังจากทั้งคู่หายดี เราได้พาพวกเขาออกเดินทาง เพราะเราคิดว่า สุนัขอายุจะสั้นสักเพียงไหน แต่เรายังสามารถยืดอายุเขาได้ โดยการให้เวลาเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และการใช้เวลาที่คุ้มค่า อาจเป็นการไปประสบกับสิ่งที่ไม่เคยพบเจอพร้อมๆกัน ออกไปเก็บประสบการณ์ร่วมกัน การถ่ายรูปเก็บไว้อาจเป็นเครื่องยืนยันความทรงจำที่เราได้ใช้ร่วมกัน เราจึงพยายามถ่ายรูปเก็บเอาไว้ให้มากที่สุด เพราะเรารู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่จะอยู่กับเราไปตลอดนั้นไม่ใช่ชีวิต หากแต่เป็นความทรงจำ ความทรงจำที่เราได้ไปก่อสร้างไว้ร่วมกัน
 .
 .

วันเวลาเดินผ่านไป เราได้กลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง เรากับพบว่า กลูต้ากับกอลลั่ม ช่างมีความสวยและน่ารัก สองสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เราเคยมองข้ามไป แต่มันกลับมาเบ่งบานได้ในภายหลัง เราจึงค้นพบคำตอบ คำตอบว่าการเลี้ยงสุนัข มันไม่ใช่การเลี้ยงที่ร่างกายของเขาเลย แต่เรานั้นกำลังเลี้ยงที่หัวใจของเขา เลี้ยงความรู้สึกของเขา มันจึงไม่มีเหตุผลเท่าไหร่สำหรับเรา ที่จะเลือกเลี้ยงสุนัขจาก ร่างกาย เปลือก หรือ ความน่ารัก ที่มันเป็นแค่สังขารของเขา แต่เราน่าจะเริ่มเลือกเขาจากจิตใจ และเลี้ยงดูหัวใจของเขาด้วยหัวใจเรา มิใช่หรือ

..... หมาพันทาง มีนิสัยที่ดี นิสัยเขากลมกล่อม และเข้ากับเราได้เสมอ มีความซื่อสัตย์ กตัญญู และเมื่อมีนาย เขาจะรักจนสุดหัวใจ
 ..... หมาพันทาง จึงก็ไม่ธรรมดาในมุมมองของเรา

.
 .
 .
 ..

ปัจจุบัน กลูต้ากับกอลลั่มเป็นหมาพันทางที่ได้เดินทางไปยังหลายจังหวัดในประเทศไทย
 พวกเขาเป็นหมาที่ติดเที่ยว ชอบนั่งรถ และเรามักจะตื่นเต้นเสมอเวลาเห็นเขาตื่นเต้นกับสถานที่ที่พาไป ถึงแม้บางที่เราจะเคยไปแล้วก็ตาม

FB : Gluta Story

These are photos of our family in many places of Thailand
 .
 .
 Hello everyone. We adopted these 2 strayed dogs since we were student at a University. We named them Gluta & Gollum. Gluta was suffered with cancer and Gollum almost got operate to cut her broken leg. The only reason for us to adopt them is we like their character, we looked over how beautiful they are or the cuteness they have. Just their character…
 .
 .
 After their sickness gone, we bring them out to see the world outside. We’re thinking that we can lengthen dogs’ life by spending most of our precious time together, finding new experiences, explore a new places and taking photos together as much as we could. As you know that dog’s age is shorter than human but all good memories and photos are forever.
 .
 .
 Time passes by, we look again at both of them and found out that Gluta & Gollum are so cute. The cuteness that we have never seen when we first met. They are now blooming because their hearts full with our love. Not only food you need to feed but also need to feed them with your love.

…. Stray Dogs are humble. They can adapt themselves to show us love. They are honest and respect to their future Master. They will love you with all their hearts could give.
 … So, Stray Dogs are Special in our opinion
 .
 .
 ...
 And now, Gluta and Gollum are the EX Strayed dogs that travel around Thailand. They love to ride! They always get excited in wherever we go (even it's their 2nd time)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xaf1/t31.0-8/13072731_1079718445418748_2217724630803977305_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13055711_1079718635418729_252104159612235802_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xlt1/t31.0-8/13047971_1079717578752168_8225211049247083993_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13086889_1079717815418811_6231999768568711440_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xpa1/t31.0-8/13112942_1079718448752081_2605162304069361267_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xap1/t31.0-8/13062958_1079718782085381_4200173054053846403_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13055937_1079716988752227_7958785554559478573_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13116010_1079717372085522_3378637514537532390_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13055845_1079717775418815_2965707457540306899_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13087068_1079717695418823_4818130088365836419_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/hphotos-xaf1/t31.0-8/13055242_1079718142085445_4251989604016284863_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13048261_1079717958752130_5972309765787812942_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13087214_1079718405418752_2667943789892575231_o.jpg)

(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13055708_1079718745418718_3776562920035248593_o.jpg)
https://www.facebook.com/GlutaStory (https://www.facebook.com/GlutaStory)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2016, 05:27:27 PM
https://vimeo.com/152985022

หนังสั้น3เกือบ4นาที อารมณ์ดี สร้างแรงบันดาลใจ ได้มา59 รางวัล

เรื่องมีอยู่ว่าคุณแม่ให้ลูกหมาเป็นของขวัญแก่ลูกชายที่เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมออกไปไหนเลย แต่หมาเจ้ากรรมดันมีแค่3ขา เด็กชายจึงไม่อยากเล่นกับมันและหันหน้ากลับมาเล่นเกมของเขาต่อไปแบบไม่แยแสเจ้าตูบตัวนี้แม้แต่น้อย

แต่ด้วยความซนตามประสาหมาเด็ก บวกกับความทะเยอทะยานไม่ยอมแพ้ที่จะเล่นกับเจ้านายน้อยคนนี้ให้ได้ แม้ตูบตัวน้อยจะต้องวิ่งหกคะเมนตีลังกาจนหน้าคะมำลงกับพื้นหลายครั้งหลายคราเพราะมีแค่สามขาก็ตาม

และนั่นแหละคือจุดเริ่มของความงดงาม ส่วนจุดจบนั้นก็ต้องลองติดตามดูในหนังสั้น3เกือบ4นาทีเรื่องนี้ดูกันเองนะครับ ... อ่อเกือบลืม ชื่อเรื่อง The Present


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 16, 2016, 09:17:50 AM
(https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13310382_1086377804781816_4865357572815651971_n.jpg?oh=cf2ea8d370e48e56b7feaa0eb7fe279b&oe=582F4343)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/1_78.jpg)

"ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบเตียน" - ยายยิ้ม
ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
 อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
 จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/2_58.jpg)

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
 ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน
 แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก
 ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.
และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ
 ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา
ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ
 ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
 ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
 "แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย
 เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก
 พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา
 เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง
 หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/400_15.jpg)

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
 แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้
 ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร
 หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
 และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก



(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/1_80.jpg)

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าว
 ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้
 ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้

ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน
 ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย
 เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ
 พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่มชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
 ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย
 เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน
 ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/100_36.jpg)

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
 บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง
 แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว
 จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเล่นเอาเหงื่อตก
 แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก
 ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/Untitled-2_6.jpg)

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
 จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
 รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด
 ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที
 ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง
 และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง
เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ
 เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์


(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/150_83_1287985673.jpg)

(http://hilight.kapook.com/img_cms2/News%202/2_57.jpg)
สร้างจากเรื่องจริงของผู้หญิงที่อยู่กลางป่าคนเดียว 40 ปี - YouTube
คลิปย่ายิ้ม : ภาพยนต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างสังคมให้ตระหนักถึงการทำความดีจากเรื่องจริงของย่ายิ้ม เพื่อเป็นของขวัญแด่คนไทยที่มีในหลวงเป็นแบบอย่างแห่งอัจฉริยะบุคคลผู้นำแห่งการสร้างความดี
 ขอขอบคุณ : ภัทร์ภัสสร ธนาเสฎฐ์หิรัญ







หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 04, 2016, 03:23:34 PM
(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/14991861_987380661390707_9003821862788428033_n.jpg?oh=7f6138e03de7a58a330a6011a1005e56&oe=58B28DF1)

(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/14980619_987380678057372_10586117313632878_n.jpg?oh=7b4b5d91ef112bdb078068a10d060d36&oe=58CAB301)

(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/15032260_987380748057365_180379170545139555_n.jpg?oh=1f04d2fe4fe61a2f896bd23c77e8f46f&oe=58FC28BD)

พวกเราไม่มีโดรน แต่เรามีเสาธง และหัวใจจงรักภักดีเปี่ยมล้น ครูไทยนักเรียนไทยทำได้ทุกอย่าง โรงเรียนบ้านหนองมะค่า อ.โคกเจริญ จ.ลพบุรี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
cr เรารัก'ลพบุรี'


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 06, 2016, 09:03:00 AM
(https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/564x/4b/87/9f/4b879f2458b234f53049e37f9a492d53.jpg)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 11, 2017, 09:27:30 PM
อ่านให้จบนะ


คำไว้อาลัยงานพระราชทานเพลิงศพนายแพทย์ สุรพล รักปทุม

 "ท่านเป็นหมอ ทำงานรักษาคนไข้มาตลอดชีวิต เปิดคลีนิคของตัวเอง ร่วมธุรกิจกับพอล-ภัทรพล

 เปิดบริษัทผลิตยา เปิดคลีนิคสุขภาพ เป็นที่ปรึกษาให้เหล่าดารา ไปฉีดสเตมเซลล์เพื่อรักษาสุขภาพชลอความแก่ มีลูกค้าเป็นดารามากมาย และเงินทองก็มีมากเช่นกัน แต่กลับพบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ และใช้เงินที่หามาทั้งชีวิตพยายามรักษาตัวเองด้วยการไปผ่าตัดเปลี่ยนตับที่เมืองนอก กลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่นาน ตรวจพบมะเร็งรุกลามมาที่ปอด ก็ยังพยายามหาวีธีต่อสู้กับมะเร็งร้ายเรื่อยมา สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะมันได้

ท่านเสียชีวิตในที่สุด ท่านฝากให้พวกเราทั้งหลายระลึกไว้ว่า

อย่าคิดว่าหมอจะช่วยชีวิตคุณได้ หมอที่ดีคือตัวคุณ ดูแลชีวิตดีกว่าให้ใครมาช่วยชีวิต

อย่าเห็นการทักทายของใครเป็นสิ่งน่ารำคาญ คนที่ส่งข้อความให้คุณเสมอเพราะคุณยังอยู่ในใจเขา

คำถามที่น่าคิด คุณมีเงิน แต่คุณมีค่าไหม? เรามักแสวงหาสิ่งที่เราคิดว่า มีค่ามากที่สุดในชีวิต แต่สุดท้าย ทุกคนหนีไม่พ้นอนิจจัง หมั่นคิดดี พูดดี ทำดี คุณค่าของชีวิต สร้างได้โดยไม่ต้องใช้สุขภาพดีมาจากไหน ?

พื้นฐาน 4 ประการ​ในชีวิตประจำวัน คือ

-สภาวะจิตที่สงบสุข
-มีโภชนาการที่สมดุล
-ออกกำลังกายพอเหมาะ
-นอนหลับให้เพียงพอ

คนเราจะอยู่ได้​อย่างมีคุณภาพ​ต้องอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต

บรรดาโรคหัวใจ  โรคความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน  เกิดจากการกินทั้งนั้น  ในเมื่อกินแล้ว​ทำให้เกิดโรคได้  ก็ต้องกินแล้ว​รักษาโรคได้เช่นกั

เรากินอาหารเพื่ออวัยวะ​ชิ้นไหนกันแน่ ?

เราอยู่ได้  เพราะอาศัยพลังงาน​จากอวัยวะทั้ง 5 
 
•  ตับดีชอบให้กินสีเขียว
•  หัวใจดีชอบให้กินสีแดง
•  ม้ามดีชอบให้กินสีเหลือง
•  ปอดดีชอบให้กินสีขาว
•  ไตดีชอบให้กินสีดำ

คำว่าดุลยภาพ หมายถึง​กินหลากหลายชนิด

• ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว
• หัวใจมีปัญหา     สีหน้าจะออกแดง
• ม้ามมีปัญหา      สีหน้าจะออกเหลือง
• คนไข้หอบหืด    สีหน้าจะออกขาว
• คนไข้ไตเสื่อม    สีหน้าจะออกดำ

ว่าด้วยเรื่องอาหาร

• ถั่วเขียวบำรุงตับ
 
คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียว​จนเละซึ่งไม่ถูกต้อง
วิธีที่ต้มถั่วเขียว​ที่ได้ประโยชน์  ที่ถูกคือ ต้มให้น้ำเดือดประมาณ 5-6 นาที​ ก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด  รินเอาน้ำออก​จะได้น้ำถั่วเขียว  ที่มีสีเข้มข้นที่สุด  ดื่มแล้ว  มีสรรพคุณขับพิษสูงสุด  จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำ  ต้มต่อจนเละ  กินเป็นอาหาร

•  หัวใจชอบสีแดง    ให้กินถั่วแดง
•  ม้ามชอบสีเหลือง  ให้กินถั่วเหลือง
•  ปอดชอบสีขาว     ให้กินถั่วขาว
•  ไตชอบสีดำ         ให้กินถั่วดำ
 ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว ? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า “คนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุข ”

โภชนาการแผนจีน ก็เน้นว่า “กินไม่พ้นถั่ว”
 
ดังนั้น เราควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต​
ในตำรายาจีน  ได้พูดถึง รสชาติ ไว้ดังนี้

•  เปรี้ยวบำรุงตับ       (หากกินมาก ตับพัง)
•  ขมบำรุงหัวใจ     (หากกินมาก หัวใจพัง)
•  หวานบำรุงม้าม      (หากกินมาก ม้ามพัง)
•  เผ็ดบำรุงปอด      (หากกินมาก ปอดพัง)
•  เค็มบำรุงไต         (หากกินมาก ไตพัง)

หมายความว่า  ต้องกินให้ครบทุกรสชาติ

กินอาหารอย่างไร​จึงจะเหมาะ ?
ง่ายนิดเดียว ขอแนะนำว่า   แต่นี้ไป​ ให้กินผักดิบผลไม้สด แต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้  ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี 
เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า  กินของดิบลดอาการร้อนใน   แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบ​ให้วิตามินดีกว่า

ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้
“ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา  โรงพยาบาลที่ดีที่สุด คือ ห้องครัว ยาที่ดีที่สุด คือ อาหาร ที่มีคุณค่า  การรักษาที่ดีที่สุด คือเวลา ”
ินแสจีนแนะนำดังนี้
1. หลังจากฟัง​คำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
2. เขียนข้อความ “ก่อนถึงอายุ​ 99 ห้ามเข้า (โลง) เด็ดขาด” ติดไว้หน้าเตียง เพื่อสั่งจิตใต้สำนึกของเรา​ให้ดูแลร่างกายของเรา

สรุปว่าต่อไปนี้​
ินอาหารให้เป็นยา  ไม่ใช่กินยา เป็นอาหาร
อารมณ์ดี หัวเราะ สามเวลา เพื่อห่างไกลจาก โรคและยา
บริโภคถั่ว ตลอดชีวิต เพื่อบำรุง​อวัยวะทั้ง 5  คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต  ควรกินทั้ง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วขาว และ ถั่วดำ นั่นเอง !!!
ให้กินผักดิบ ผลไม้สด​ที่สะอาดปลอดสารพิษ ถ้าเปลือกกินได้  ก็กินทั้งเปลือก
กินอาหารให้ถูกต้อง  เปรียบเสมือน กินยาจากธรรมชาติ​ที่ดีที่สุดนั่นเอง !


ขอขอบพระคุณคุณหมอไว้ ณ ที่นี้ค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 11, 2017, 09:30:42 PM
Nice line from Ratan Tata's Lecture- in London


1.
Don't educate
your children
to be rich.
Educate them
to be Happy.
So when
they grow up
they will know
the value of things
not the price

2.
"Eat your food
as your medicines.
Otherwise
you have to
eat medicines
as your food"

3.
The One
who loves you
will never leave you
because
even if there are
100 reasons
to give up
he will find
one reason
to hold on

4.
There is
a lot of difference
between
human being
and being human.
A Few understand it.

5.
You are loved
when you are born.
You will be loved
when you die.
In between
You have to manage...!

If u want to Walk Fast,
Walk Alone..!
But
if u want to Walk Far,
Walk Together..!!


Six Best Doctors in the World-
   1.Sunlight
              2.Rest
          3.Exercise
             4.Diet
   5.Self Confidence
                   &
          6.Friends
Maintain them in all stages of Life and enjoy healthy life


If   you   see   the   moon ..... You   see    the    beauty    of    God .....   If    you   see    the   Sun ..... You   see    the    power   of    God .....   And ....    If   you   see   the   Mirror ..... You   see     the    best    Creation of   GOD .... So    Believe   in     YOURSELF..... :) :) :).


We all are tourists & God is our travel agent who

already fixed all our Routes Reservations & Destinations
So!
Trust him & Enjoy the "Trip" called LIFE...

send to all people who are important to you..
I just did


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 08, 2017, 08:32:17 AM
https://www.youtube.com/watch?v=b2OcKQ_mbiQ (https://www.youtube.com/watch?v=b2OcKQ_mbiQ)

“Slap her": children's reactions มาดูปฏิกริยาของเด็กๆ เมื่อถูกสั่งให้ทำร้ายเด็กผู้หญิง


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 28, 2018, 08:22:14 PM
ทฤษฎีแมลงสาบ (Cockroach Theory)
Aspeech by Sundar Pichai, CEO Google-an IIT-MIT Alumnus and Global Head Google Chrome:
ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ขณะนั่งจิบกาแฟอย่างสงบ
อยู่ๆก็มีแมลงสาปจากไหนไม่รู้ บินเข้ามาเกาะผู้หญิงโต๊ะข้างๆแบบไม่ทันตั้งตัว

ผู้หญิงคนนี้กรีดร้อง กระโดดโลดเต้น โหวกเหวก โวยวาย สะบัดไม้ สะบัดมือ หวังให้แมลงสาปบินออกไป

ในตอนนั้น
ท่าทางที่เธอแสดงออกมา ทำให้เพื่อนๆที่นั่งอยู่ด้วยกัน รู้สึกตกใจและหัวเสียเป็นอย่างมาก

หลังจากเธอใช้ความพยายามสักครู่หนึ่ง แมลงสาปก็บินออกไป

แต่เดี๋ยวน้ะ!!!!
มันไม่ได้ไปไหนไกลเลย มันแค่เปลี่ยน เป้าหมายไปเกาะผู้หญิงข้างๆแทน

ทันทีที่แมลงสาปเริ่มเกาะอีกคนปุ๊บ เหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเดิมแป๊ะ

ผู้หญิงคนใหม่ร้องโหวกเหวกโวยวาย กระโดดโลดเต้น
พยายามทุกวิธีทาง สลัดแมลงสาป ให้หลุดอกไปเหมือนคนก่อน


เด็กเสริร์ฟเห็นเข้า ก็ตกใจ
รีบวิ่งตรงดิ่งมาที่โต๊ะลูกค้าทันที

เหมือนแมลงสาปจะรู้ว่าเหยื่อรายใหม่ กำลังจะมา
มันเลยบินออกจากตัวผู้หญิงคนที่สอง แล้วมาเกาะที่เด็กเสิร์ฟคนนั้นแทน

เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดก็เกิดขึ้น.........

แทนที่เด็กเสิร์ฟจะสบัดแมลงสาปตัวนั้นทิ้งในทันที
เขากลับยืนมองนิ่งๆ เฉกเช่นเพื่อนที่คุ้นเคยกัน
สังเกตุพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของแมลงสาปบนเสื้อเขา


เมื่อเด็กเสิร์ฟมั่นใจในทิศทางการเคลื่อนที่ของแมลงสาปแล้ว
เด็กเสิร์ฟ จึงค่อยเอามือคว้าแมลงสาปอย่างรวดเร็ว

พร้อมกับนำไปโยนทิ้งนอกร้านในทันที


สิ่งที่ CEO Google  คนนี้ตั้งคำถามคือ แมลงสาปคือต้นเหตุของความโกลาหลครั้งนี้รึเปล่า?


ถ้าใช่.......แล้วทำไมเด็กเสิร์ฟคนนี้ถึงยืนนิ่งๆ

พร้อมกับรับมือกับเจ้าแมลงสาปตัวนี้ได้อย่างสบายๆ
ในขณะที่ผู้หญิงสองคนนั้นกระโดด โลดเต้น วิ่งไปมา
เพื่อให้แมลงสาปบินออกไป

จริงๆแล้วปัญหามันไม่ใช่อยู่ที่  "แมลงสาป"
แต่มันอยู่ที่ความสามารถในการรับมือกับปํญหาที่เข้ามารบกวนมากกว่า

Sundar Pichai เลยเริ่มตระหนักว่า.....

ที่ผ่านมา....สิ่งต่างๆที่ทำให้ตัวเค้าหัวเสีย ไม่ว่าจะเสียงบ่นจากเจ้านาย พ่อแม่ ลูกค้า หรือ คนใกล้ตัว
หรือความเครียดต่างๆที่เกิดขึ้นกับเขา จริงๆแล้วมันอาจไม่ใช่ปัญหาเลยก็เป็นได้

อารมณ์ หรือความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้นเกิดจากเราเอง
เรานี่แหล่ะ ที่ไม่สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้
เพราะจริงๆแล้วเราคือคนที่เลือกเองว่า จะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งรบกวนเหล่านั้น

มันไม่ใช่เพราะรถติด แล้วทำให้เราหัวเสีย

แต่มันคือปฎิกิริยาของเราที่ใช้ในการรับมือกับปัญหาต่างหาก
บางทีถ้าไม่มีสติ เราอาจหงุดหงิด อารมณ์ร้อนมากยิ่งขึ้น

พอรถยิ่งติด เรายิ่งรีบ สุดท้ายบานปลายนำไปสู่อุบัติเหตุรถชน

หรือในกรณีของแมลงสาป ยิ่งพยายามปัดออกจากเสื้อ

สุดท้าย มันอาจบินมาเกาะหน้า หรือบินเข้าปาก
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณพยายามวิ่งหนี

คุณอาจสะดุดล้ม เป็นแผลใหญ่โตก็ได้



ดังนั้น จงจำไว้ว่า.....
ยิ่งวิธีการรับมือที่ไม่ถูกต้อง ยิ่งทำให้ ปัญหายุ่งเหยิงใหญ่โต
สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ใช่แค่การ #React
หรือแค่ตอบสนองปัญหาด้วย สัญชาตญาณ

แต่มันต้องเป็นการ #Respond
หรือรับมือด้วยกระบวนการคิดที่ถูกต้อง
ผ่านการใช้สมองไตร่ตรอง เพื่อควบคุม ต้นตอของปัญหา
ไม่ใช่ให้มันบานปลายเกินแก้ไข

คนที่มีความสุข ไม่ใช่เพราะทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตมีเเต่เรื่องที่ถูกต้องตามแผนที่วางไว้หรอกนะ

แต่ที่เขามีความสุข เพราะสติและทัศนคติที่ดีที่มีต่อปัญหาต่างๆในชีวิตมากกว่า

คุณเลือกเอาเองละกันว่าอยากรับมือกับปัญหาแบบ React หรือ Respond

#YenGraisit


Ref: https://youtu.be/v4m-bgf6fT8

(Rewrite จากบทความที่ผมคยเขียนไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในเพจรู้รอบตอบโจทย์ธุรกิจ)





หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 02, 2018, 10:04:51 AM
ทำดี ดี

 มีกวีวรรคทอง อยู่สองวรรค
ให้ตระหนักลึกซึ้งถีงความหมาย
ว่า "...น้ำยังหลั่งไหลลอดใต้ทราย
เดือนยังหงายกลางป่าลับตาคน"

  คือ "น้ำลอดใต้ทราย" ค่อยไคลคลา
กับ "เดือนหงายกลางป่า" เวหาหน
วิถีแห่งธรรมดา มาบันดล
ดังไกกลจักรวาล บันดาลเป็น

  ไปตามกฎตามเกณฑ์ ตามเป็นไป
ไม่ต้องคอยให้ใครมาแลเห็น
เหมือนทำดีทำไป ไม่วายเว้น
ไม่หวังเด่นหวังดัง หวังสำคัญ

  ทำความดี ย่อมดี อยู่ที่ทำ
ไม่ต้องนำคำว่า "ได้" มาหมายมั่น
ได้ทำดี ดีแล้ว ก็แล้วกัน
ดีจักรบันดาลดี ทุกทีไป

  วาทะท่านพุทธทาส กล่าวชัดชี้
ว่าทำความดี ไม่ต้องให้ ใครรู้ก็ได้
ไม่ให้รู้แม้ความคิด ที่คิดไว้
ที่คิดว่า ไม่ต้องให้ใครรู้นั้น!

 เนาวรัตน์ พงไพบูลย์.




หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 02, 2018, 10:10:45 AM


สุนทรพจน์ของ Tshering Tobgay นายกรัฐมนตรีภูฏาน เวที TED Talk


https://www.youtube.com/watch?v=LaDVIcGEAYc (https://www.youtube.com/watch?v=LaDVIcGEAYc)




หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 03, 2018, 11:51:53 AM
https://www.postyim.com/ (https://www.postyim.com/)
“เธอฉันพบกันได้ เพราะบุญสัมพันธ์” ทุกตัวหนังสือคือเรื่องจริงอ่านแล้วรู้สึกใช่



ชีวิตคนเรา…

ไม่มีหรอกที่ไม่ทุกข์ เมื่อใดที่เจอความทุกข์ กัดฟันทนเอาเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ทุกข์สิ้นสุขย่อมเกิด

ไม่มีงานใดที่ทำแล้วไม่เหนื่อย เมื่อใดที่เหนื่อยก็หาเวลาพัก พักแล้วก็หายเหนื่อย

เพราะทุกข์จึงเรียกว่าชีวิต เพราะเหนื่อยคุณค่าจึงเกิดขึ้น

วันใดตายจากโลกนี้ไป

มีเงินมากเพียงใด ก็เอาไปด้วยไม่ได้

มีรถหรูเพียงใด ก็ขับไปด้วยไม่ได้

ตำแหน่งสูงส่งเพียงใด ก็เอาไปเบ่งในยมโลกไม่ได้

ใช้กายนี้เป็นเนื้อนาบุญ สร้างบุญสร้างคุณธรรม

ถนอมกายนี้ไว้สร้างคุณ อะไหล่หายาก ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะหามาเปลี่ยนใหม่ได้

โลกนี้มีสองสิ่งที่ยากมาก ไปสวรรค์ที่ว่ายาก พึ่งพาคนอื่นกลับยากยิ่งกว่า

โลกนี้มีสองสิ่งที่ขมขื่นมาก ยาสมุนไพรที่ว่าขม ไม่มีเงินกลับขมขื่นมากยิ่งกว่า

โลกนี้มีสองสิ่งที่อันตรายมาก สังคมที่ว่าอันตราย ใจคนกลับอันตรายมากยิ่งกว่า

โลกนี้มีสองสิ่งที่บางมาก เช็คธนาคารที่ว่าบาง น้ำใจคนกลับบางมากยิ่งกว่า

จิตใจดี อะไรก็ดีตาม

จิตใจดี มนุษย์สัมพันธ์ย่อมดีตาม

อย่าปล่อยให้นิสัยใหญ่กว่าความสามารถ

ยิ่งมากความสามารถ นิสัยเลวๆควรยิ่งน้อยตาม

คนที่จิตใจดี ย่อมจัดการเรื่องราวได้ดี ถึงจะเด็ดบัวก็ไม่ช้ำ ถึงจะกวนน้ำก็ไม่ขุ่น

จิตใจดี คือทรัพย์ติดตัวที่ใช้ไม่มีวันหมด

การมีชีวิตอยู่คือกำไร หาเงินได้เท่าไหร่ก็เหมือนการเล่นเกมส์

สุขาพดีคือจุดหมาย ความสุขในชีวิตคือเส้นชัย

เพราะหลังจากนี้ร้อยปี เธอนอนในที่ของเธอ ฉันนอนในที่ของฉัน

คำดีหวานหูสักเพียงใด ก็สื่อสารให้เธอฟังอีกต่อไปไม่ได้ เพราะเราต่างคนต่างหลับไหล นานแสนนาน

เคารพผู้มีพระคุณ ถนอมคนที่คอยค้ำจุน เพราะเวลาของเขาและเธอ ยิ่งมายิ่งน้อย ทุกครั้งที่ฉีกปฏิทินทิ้ง อายุของเธอเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น แต่เวลาของเธอกลับลดลง

อย่าแก่งแย่ง อย่าใช้วาจาเฉือดเฉือน เพราะคำพูดเหมือนดาบ แทงเขาวันนี้ได้วันหน้าจะย้อนกลับ แรงเหวี่ยงแห่งกรรมไม่เคยบังเอิญ

ใช้ความเข้าใจโอบอุ้มคนรอบกาย

ใช้ความรักหลอมละลายความแค้นเคืองในใจ

“เธอฉันพบเจอกันได้เพราะบุญสัมพันธ์”



thank you too much kha


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 13, 2018, 07:51:31 PM
https://www.youtube.com/watch?v=2r6x84NcQVU (https://www.youtube.com/watch?v=2r6x84NcQVU)

น้ำมันมะพร้าวเป็นยาพิษหรือ? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ Suthichai Live สุทธิชัย Live


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 17, 2018, 10:07:46 PM
https://www.youtube.com/watch?v=Knbd9Ki8e4s (https://www.youtube.com/watch?v=Knbd9Ki8e4s)

เพลง ไม่ได้ดั่งใจ #StillOnMyMindTheMusical

เพลง ไม่ได้ดั่งใจ
อะไร ๆ ก็ไม่เคยได้ดั่งใจสักนิดเดียว
อาจเพราะเราลืมคิดถึงมุมมองบางมุมไป

เป็นฉากคุณพ่อสอนลูกที่จะตราตรึงอยู่ในหัวใจ


ละครเวทีโดนใจที่สุดแห่งปี ต้องมาชมสด ๆ ใน #StillOnMyMindTheMusical



หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 25, 2018, 10:13:47 AM
 https://www.posttoday.com/life/life/571147 (https://www.posttoday.com/life/life/571147)

สมบูรณ์ พุกชาญค้า ออกกำลังกายสลายมะเร็ง

“พออาการดีขึ้นก็มีกำลังใจขึ้นบ้าง ใครๆ มักจะพูดว่าเป็นมะเร็งแล้วตาย เราก็นึกในใจว่าเราจะไม่ยอมตาย จะลองสู้ให้ถึงที่สุด ถ้าทำเต็มที่แล้วจะตายก็ช่างมัน แต่ขอทำให้เต็มที่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ที่กังวลตอนนี้คือบ้านเราผักปลอดสารพิษมันแพงมาก ที่ขายๆ ทั่วไปนี่ก็สารเคมีเยอะ กลัวเรื่องคุณภาพอาหารนี่ล่ะที่ฝรั่งเศสมันดีเรื่องผักผลไม้เขาส่วนใหญ่ปลอดสารพิษ กลับมานี่ก็ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดเรื่องการกินการนอน หวังพึ่งหมอให้น้อยที่สุด และคิดว่ากีฬานี่ละคือยาวิเศษ” เขาเล่าอย่างตั้งใจ








หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 06, 2019, 10:37:32 AM
ปัจจุบันผมอายุ39ปี เรียนจบปริญญาตรี และโทจากมหาวิทยาลัย top5 ในสาขาวิชาชีพที่ตลาดต้องการ ผมได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทต่างชาติ และเป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการก่อสร้างปั้มน้ำมันในเมืองไทย
.

เดือนสิงหาคม ปี2561 ตาผมเริ่มมองอะไรไม่ชัด ภาพทุกอย่างเบลอโดยที่สายตาผมไม่ได้สั้นหรือยาวไปกว่าเดิม คอแห้งกระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะทุก2ชั่วโมง และเป็นตะคริวที่ขาทุกเช้าหลังตื่นนอน ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะการทำงานหนัก พักผ่อนน้อย เลยตั้งใจว่าจะรีบเคลียงานให้เสร็จแล้วค่อยลาพักร้อนสัก2-3วัน ก็น่าจะหายเป็นปกติ
.

ช่วงสุดสัปดาห์ผมมีนัดต้องขับรถไปบรรยายที่ต่างจังหวัด ระหว่างขับรถผมรู้สึกอ่อนเพลียมาก จนต้องจอดพักระหว่างทาง พร้อมๆกับอาการคอแห้งและกระหายน้ำตลอดเวลา ตาผมเริ่มมองเห็นชัดแค่ไม่กี่เมตร ผมตัดสินใจฝืนขับรถไปโรงพยาบาล เพราะคิดว่าอย่างน้อยถ้าได้วิตามิน หรือยาบำรุง ก็น่าจะดีขึ้น
.

ทางโรงพยาบาลสั่งให้ผมเจาะเลือดทันที ค่าน้ำตาลในเลือดผมสูงถึง 659 mg/dL (คนปกติไม่ควรเกิน 100 mg/dL และอาจจะช๊อคตายได้ถ้าระดับน้ำตาลสูงเกิน400 mg/dL) หมอฟันธงว่าผมเป็นเบาหวานขั้นวิกฤติ!!! และผมยังมีภาวะความดันสูง ไขมันเกาะที่ตับ และเริ่มมีอาการอักเสบที่ไต แถมมาอีกด้วย !!!
.

ใครไม่เป็นอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับผมมันเหมือนโดนฟ้าผ่าจังๆ ตอนที่หมอบอกผมว่า ถ้าผมยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ผมน่าจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 5ปี ถ้าไม่ช๊อคตาย (เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงกว่าคนปกติถึง 6เท่าครึ่ง!!!) ก็น่าจะตายด้วยอาการไตวาย โรคตับอักเสบ โรคหัวใจ หรืออาจพิการเพราะเส้นเลือดในสมองอุดตัน หรือไม่ก็โดนตัดขา หรือตาบอด!!! สิ่งที่ผมรู้สึกตอนนั้น คือ #ความสำเร็จในชีวิตของผมมันเหลือศูนย์ ถ้าผมตาย หรือ ต้องนอนพิการอยู่กับบ้านภายใน 5ปีนี้ !!!
.

ผมกลับมาบ้าน หาข้อมูลอ่านทั้งของไทยและต่างประเทศจากหลายๆแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพราะผมไม่ต้องการเป็นภาระให้ใครต้องมาดูแล ผมยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมยังไม่อยากตาย
.

ผมเริ่มออกไปวิ่งที่สวนลุมฯ ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสำหรับคนอ้วนหนัก 125กก. ที่ต้องวิ่ง ผมเปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าคุณหนัก 75กก. ให้คุณลองแบกข้าวสารสัก 50กก. แล้วลองวิ่งดู นั่นแหล่ะครับ มันใช่เลย สิ่งที่ผมเป็น!!!
.

วันแรก ผมวิ่งได้แค่กิโลเดียว เพราะมันทั้งเหนื่อยและปวดขา ผมเป็นตะคริวที่ขาทั้ง2ข้าง ปวดจนฝืนวิ่งต่อไม่ไหว กัดฟันเดินลากขา จากกลางสวนลุมฯ มาที่รถใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ฝนก็ตก ตะคริวก็ไม่หาย ปวดขาจนเดินน้ำตาคลอ แต่ก็กัดฟันบอกตัวเองว่า #ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาวิ่งใหม่
.

ผมเริ่มหาข้อมูลเพิ่ม เริ่มฝึกวิ่ง และฝึกการรับประทานอาหารวิธีใหม่เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน ทำอย่างไรจะวิ่งได้นานขึ้น วิ่งแล้วไม่ปวดเข่า ไม่เป็นตะคริว ทำอย่างไรจะคุมระดับน้ำตาลได้ ผมใช้เวลา 1-2ชั่วโมงหาข้อมูลอ่าน/ฟัง ทุกวัน
.

30วันต่อมา ผมเหนื่อยน้อยลง วิ่งได้ไกลขึ้น นานขึ้น ผมวิ่งเฉลี่ยวันล่ะ 10กิโลเมตร แทบจะทุกวัน ผมสมัครลงวิ่งตามรายการต่างๆ ที่จัดขึ้นเดือนล่ะ2ครั้ง (เพื่อให้รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา) ช่วงแรกที่ผมวิ่ง ผมวิ่งสลับเดิน ด้วยความเร็วที่คนทั่วไปเรียกว่าเต่าคลาน มีอาม่าคนหนึ่งวิ่งแซงผมไป ผมเจออาม่าอีกครั้งที่จุดพัก ผมบอกกับอาม่าว่าผมอายที่โดนอาม่าวิ่งแซง ทำยังงัยผมจะวิ่งชนะอาม่า และคนอื่นๆได้ แต่อาม่าบอกผมว่า : "เธอไม่ได้วิ่งแข่งกับฉัน เธอไม่ได้วิ่งแข่งกับใคร แต่เธอกำลังวิ่งแข่งกับตัวเธอเอง และวิธีที่จะเอาชนะตัวเองได้ก็คือ #อย่าหยุดวิ่ง"
.

จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมไม่เคยหยุดวิ่ง ผมวิ่งอย่างน้อยสัปดาห์ล่ะ 5-7วัน เดือนล่ะไม่ต่ำกว่า 300กม. ทุกเดือน 120วันที่ผ่านมา ผมตั้งเป้าหมาย และวิ่งไปแล้ว 1,240กิโลเมตร
.

#ผลการตรวจร่างกายจากวันแรกที่เจาะเลือด
*ระดับน้ำตาลในเลือด(fasting) = 659 mg/dL
*ระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobolin A1c) =12.5
*ความดันสูง ไขมันเกาะตับ ไตอักเสบ
.

#60วัน ต่อมา
*ระดับน้ำตาลในเลือด(fasting) = 90 mg/dL
(และไม่เคยขึ้นสูงกว่านี้อีกเลย)
*ระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobolin A1c) =6.7
*ความดันปกติ ไม่มีไขมันเกาะตับ ไตไม่อักเสบ
.

#120วัน ต่อมา'
*น้ำหนักลดลงจาก 125kg เหลือ 85kg
(ลดลง 40kg ภายใน 4เดือน)
*ระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobolin A1c) =5.5

ผมไม่ต้องกินยาลดน้ำหนัก ไม่ต้องซื้ออาหารเสริม ไม่ต้องอดอาหาร และไม่ต้องเจ็บตัวให้หมอผ่าตัด แต่น้ำหนักผมก็ลดลงเฉลี่ยเดือนล่ะ 10kg ตลอด 4เดือน
.นอกจากน้ำหนัก และระดับน้ำตาลในเลือด (fasting)ที่ลดลงอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน ค่าความดัน ภาวะไขมันที่ตับ อาการตาเบลอ หรืออาการอักเสบที่ไต ที่ผมเคยเป็นก็หายเป็นปกติ จนกระทั่งค่าระดับน้ำตาลสะสม (Hemoglobin A1c) =5.5 (คนปกติไม่ควรเกิน6.5) หมอบอกผมว่า ผมไม่จำเป็นต้องกินยาลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกแล้ว หยุดทานยาได้เลย และจะเรียกว่า ผมหายจากโรคเบาหวานแล้วก็ได้
.

จากข้อมูลที่ผมศึกษามาตลอด 4เดือน ทำให้ผมรู้ว่าผมเรียนและเชื่อแบบผิดๆ มาตลอด อย่างเช่น
.

1.) เบาหวาน เป็นโรคที่เป็นตลอดชีวิต เป็นแล้วรักษาไม่หาย ❌ (ความจริงคือ #เบาหวานสามารถรักษาให้หายขาดและกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ)
.

2.) สาเหตุของเบาหวานเป็นเพราะพันธุกรรม ❌ (ความจริงคือ #สาเหตุของเบาหวานส่วนใหญ่เป็นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลในสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งการกินบ่อย กินจุบกินจิบ ยิ่งกระตุ้นให้อินซูลินหลั่งบ่อยจนเป็นสาเหตุหลักของการดื้ออินซูลิน
.

3.) การกินยาหรือฉีดอินซูลินช่วยให้อาการของเบาหวานดีขึ้น ❌ (ความจริงคือ #ไม่เคยมีใครหายจากเบาหวานด้วยการกินยาหรือฉีดอินซูลิน_คนไข้จะต้องเพิ่มยามา
กขึ้น_ระดับน้ำตาลจะมีแนวโน้มสูงขึ้นและคุมยากขึ้น)
.

4.) ระดับน้ำตาลในเลือดที่ต่ำลงเพราะผลของยาหรืออินซูลินที่ฉีดเข้าไป ช่วยลดระดับน้ำตาลในร่างกาย ❌ (ความจริงคือ #ยาและอินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงด้วยการพยายามดันน้ำตาลจากในเลือดเข้าไปในเซลล์ร่างกาย_จึงเป็นผลให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะนั้นนั้น_และทำให้อวัยวะนั้นเสื่อมสภาพหรือเป็นมะเร็ง)
.

5.) เมื่ออายุมากขึ้นทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคไต โรคตับ หัวใจ ความดัน ❌ (ความจริงคือ #โรคเหล่านี้สาเหตุมาจากเบาหวาน หรือ ผลของอินซูลินที่มากขึ้น และการพยายามดันน้ำตาลเข้าไปในเซลล์ คนที่เป็นเบาหวานเมื่อกินน้ำตาล ระดับน้ำตาลจะขึ้นสูง 2-3เท่า ถึงจะกินยาช่วยให้ระดับน้ำตาลลดลงมา แต่ทุกครั้งที่ระดับน้ำตาลขึ้นสูงจะทำให้เกิดการอักเสบที่ไต จึงเป็นสาเหตุให้คนที่เป็นเบาหวานนนหลายปี มักจะเป็นโรคไต ถึงแม้จะกินยาคุมระดับน้ำตาลได้ก็ตาม)
.

#การวิ่ง (หรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ) สามารถดึงเอาน้ำตาล และไขมันที่สะสมออกจากเซลล์ในร่างกายได้จริง จึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงตามไปด้วย และทำให้ลดอาการดื้ออินซูลินในร่างกาย และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจโรคไต และโรคหลอดเลือด ทุกประเภท
.

ผมชวนคนมากมายที่ไม่เคยวิ่ง ให้ออกมาวิ่งกับผม หรือวิ่งที่อื่นๆ ในสถานที่ที่เขาสะดวก ผมเคยทำเสื้อวิ่งแจกฟรีให้กับคนที่ออกมาวิ่งครบ 10กม. ภายใน 10วัน คน3คนบอกผมว่า #เขาอยากได้เสื้อ ผมเลยตั้งกติกา ว่าต้องเอา 10กิโล ***มาแลกกัน!!!
.

#คนแรก บอกผมคืนนั้นว่าเมื่อตอนเย็น เขาวิ่งบ้างเดินบ้าง หยุดพักบ้าง แม้จะเหนื่อยและเมื่อยมาก แต่เขาก็วิ่งจนครบ 10กิโล ==> ผมเอาเสื้อให้เขาไป
.

#คนที่สอง กลับมาหาผมอีก 10วัน แล้วบอกผมว่าเขาวิ่งวันล่ะ 1กิโลเมตร ทุกวันจนครบ 10กิโล ==> ผมก็เอาเสื้อให้เขา
.

#คนที่สาม บอกผมตั้งแต่วันแรกว่า "มันยากจัง เขาไม่มีเวลา ยังไม่ได้ซื้อรองเท้า วิ่งแล้วปวดเข่า ไม่มีที่วิ่ง บ้านอยู่ไกล ==> ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เขาก็ยังไม่คิดจะวิ่ง (แต่เขาก็บอกผมว่า ยังอยากได้เสื้อฟรีอยู่)
.

บางทีผมก็นึกเปรียบเทียบ ถ้าผมจะทำธุรกิจ มอบหมายงานให้ใคร หรือ รับใครเข้าทำงาน คน 3แบบนี้ ก็มักจะมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ...
.

คนส่วนใหญ่ที่ไม่ยอมออกกำลังกาย เป็นเพราะข้ออ้าง มากกว่าเหตุผล ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า ถ้าเราลงวิ่งมาราธอนได้สำเร็จ หรือ วิ่งสะสมระยะทางได้ครบ 1,000 กิโลเมตรแรก ได้เมื่อไร ในโลกนี้ก็คงไม่มีอะไรที่ยากเกินที่ผมจะทำไม่ได้
.
.

***ผมตั้งเป้าหมายในปี2019 ผมจะชวนคนมาวิ่งกับผมให้ได้10,000คน ภายใน 360วัน ผมขอแค่คนล่ะ 360กิโลเมตร ใครสนใจอยากลองเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ให้ลงแอ๊ปในมือถือ ชื่อแอ๊ป : Endomondo
.

แล้วค้นหาชื่อ Challenge : 360 Challenge your self to running
.

***หรือหลังจากลงแอ๊ปในมือถือแล้ว พิมพ์ชื่อ Account ที่คุณสมัครในแอ๊ปไว้ให้ผมใต้โพสต์นี้ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมแอ๊ดเป็นเพื่อน แล้วดึงคุณเข้ากลุ่ม (วิ่งที่ไหน เมื่อไรก็ได้ จับระยะทางผ่าน GPS) แล้วเรามาวิ่งด้วยกัน ^_^
.
.

***สิ่งที่ยากที่สุดของการวิ่ง ไม่ใช่ระยะทาง แต่คือ #การเปลี่ยนรองเท้า เช่นเดียวกับงานที่เราทำ แค่เราตัดสินใจแล้วลงมือทำทันทีโดยเลิกหาข้ออ้าง ข้อแก้ตัวให้ตัวเอง ==> ชีวิตคุณจะเปลี่ยน จนคุณเองต้องทึ่งกับผลลัพธ์ของมัน !!!
.

เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริง โดยมีหลักฐานยืนยันคือรูปถ่าย และผลการตรวจเลือดของผม ตลอดจนงานวิจัยทางการแพทย์หลายๆงานที่ผมใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และทดลองทำด้วยตัวเอง
.

ผมเชื่อว่าเรื่องราวของผมสามารถช่วยชีวิตคนได้อีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าคุณจะเป็นเบาหวาน ภูมิแพ้ หัวใจ ความดัน หรือมีอาการอักเสบที่ตับ หรือไตในระยะเริ่มต้น รวมถึงคนที่อ้วนลงพุงที่กำลังจะป่วย หรือแม้แต่คนปกติที่อยากจะมีสุขภาพดี ถ้าคุณรักตัวเองและเป็นห่วงคนรอบข้าง พรุ่งนี้ขอให้คุณเริ่มออกมาวิ่ง จะกี่กิโลเมตร ไม่สำคัญในวันแรก ใครจะวิ่งแซงคุณก็อย่าไปสนใจ เพราะคุณไม่ได้แข่งกับใคร นอกจาก #ตัวคุณเอง สู้และเอาชนะให้ได้ เพราะมันจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณครับ
.

ชลาธิป อินทรมารุต
จากคนเคยอ้วนหนัก125กก.
และเป็นเบาหวานขั้นวิกฤต ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
.
ปล. ล่าสุดเมื่อ 3วันก่อน แพทย์ที่รักษาผมบอกว่า ผมยังอยู่ได้อีกนานครับ ^^

Thank you so much Kha.


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 27, 2019, 09:05:01 PM
อาจารย์ใหญ่ ครูผู้ให้ The Everlasting Teacher (Version เต็ม)

https://www.youtube.com/watch?v=Fc8CaO0LgXA (https://www.youtube.com/watch?v=Fc8CaO0LgXA)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 06, 2019, 09:28:35 AM
https://www.youtube.com/watch?v=oEADoiYcNGU (https://www.youtube.com/watch?v=oEADoiYcNGU)
ประวัติอ.ฟูจิ เริ่มจาก0มาเป็นเงิน1000ล้าน

ประวัติอ.ฟูจิ เริ่มจาก0มาเป็นเงิน1000ล้าน - https://www.facebook.com/Drfujifujisaki/ (https://www.facebook.com/Drfujifujisaki/) - If you're searching for ประวัติอ.ฟูจิ เริ่มจาก0มาเป็นเงิน1000ล้าน then watch this video to learn everything you need to know about ประวัติอ.ฟูจิ เริ่มจาก0มาเป็นเงิน1000ล้าน



หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 23, 2019, 10:33:06 PM
ปฎิทินตั้งโต๊ะปีเก่า….เราขอ
เพื่อเป็นสื่ออักษรเบรลล์
สำหรับผู้พิการทางสายตา

บริจาคได้ที่ ห้องสมุดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
(ชั้น1 อาคารเทียมคมกฤส)ธา ถนนพหลโยธิน
แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
สอบถามข้อมูล โทร 02-579-4301,02-561-0777 ต่อ 1249
[@DNPLIBRARY]


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2020, 09:27:50 PM
ทำไมซีอีโอของโฮล ฟูดส์ ไม่เคยกินอาหารว่าง ไม่ค่อยจะดื่มน้ำ

เมื่อจอหน แมคคีย์ ได้เจริญเติบโตเมื่อ ค.ศ 1950 และ 1960 ภายในฮูสตัน เท็กซัส อาหารเย็นแช่แข็งจะเป็นบรรทัดฐาน "แม่ของผมจะทำอาหารแปรรูป  เธอสามารถทำอาหารเย็นได้รวดเร็ว อาหารหลักตอนวัยเด็กของเขาจะเป็นขนมพายโกโก้ เป็นอาหารเช้า และมักกะโรนีกล่องและชีสเป็นอาหารเย็น

ปัจจุบันนี้จอห์น แมคคีย์ อายุมากกว่า 65 ปีแล้ว ไม่เคยกินอาหารแช่แข็งหรืออะไรก็ตามที่แปรรูป ที่จริงแล้วผู้ก่อตั้งและซีอีโอของโฮล ฟูดส์ จะกินออร์แกนิค มังสวิรัต สามมื้อต่อวันเท่านั้น - ไม่ค่อยดื่มน้ำ และไม่เคยกินอาหารว่าง หรือของหวาน ยกกเว้นบางโอกาส
อาหารพืชเป็นหลักจะมีน้ำสูงมาก ดังนั้นข้อเท็จจริงที่แท้จริงคือผมไม่ต้องการดื่มน้ำส่วนใหญ่ของเวลา และถ้าเขากินอาหารว่างนอกจากอาหารสามมื้อของเขา เขาจะมีอาการปวดท้อง

  จอห์น แมคคีย์ ผู้ก่อตั้งร่วมและซีอีโอของโฮล ฟูดส์ มาร์เก็ต ได้เปลี่ยนแปลงวิถีทางที่ชาวอเมริกันกินได้ดีขึ้น โฮล ฟูดส์ จะเป็นผู้นำภายในขบวนการออร์แกนิค และไม่เคยขายอาหารที่ใส่สีปลอม รสปลอม สารกันบูด หรือรสหวาน ร้านค้าทุกแห่งภายในอาณาจักรของพวกเขาจะใช้ผู้เพาะปลูกและซัพพลายเออร์ท้องที่ และโฮล ฟูดส์ จะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรกที่ได้ใช้มาตรฐานการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีมนุษยธรรม ภายใต้ความสำเร็จเหล่านี้ จอห์น แมคคีย์์ ไม่ได้หยุดความต้องการให้บุคคลกินอย่างมีสุขภาพ เขาได้เขียนหนังสือ The Whole Foods Diet  โฮล ฟูดส์ ไดเอทจะอยู่บนพื้นฐานของการกินอาหารที่เป็น 90+ ร้อยละของพืช ไม่ใช่อาหารแปรรูป มันจะเป็นการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด

 เราได้เสนอแนะว่าเราจะได้ 90% หรือมากว่าของแคลอรี่ประจำวันของเราจากอาหารพืช หมายว่าการรักษาอาหารสัตว์ - เนื้อ ปลา ไข่ และนม - เป็น 10% หรือน้อยกว่าของแคลอรี่ของเรา โฮล ฟูดส์ ไดเอท ไม่ได้เกี่ยวกับการขาดแคลน การจำกัด หรือการสูญเสียความสุข มันจะเป็นวิถีทางที่กินวงกว้างและสามารถปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการและความพอใจของบุคคลได้

  จอห์น แมคคีย์ได้ประมาณว่าเขาจะกินผลไมและผักประมาณ 15 อย่างต่อวัน  เขาได้ทุ่มเทต่ออาหารและสุขภาพประจำวันอย่างเข้มงวด เมื่อเขาเดินทางไปทำงาน โดยปรกติเขาจะพกหม้อหุงข้าวไปกับเขาที่จะทำไอริสโอ้ตตอนเช้าของเขา ถ้าเป็นอาหารเย็น บุคคลทุกคนรู้ว่าผมเป็นพวกมังสวิรัต ดังนั้นพวกเขาจะออกไปร้านอาหารมังสวิรัต แต่กระนั้นเขายอมรับที่จะดื่มเบียร์บางโอกาสแต่นานครั้ง

  จอห์น แมคคีย์ ได้กล่าวว่า เราจะไม่มีอาหารอย่างเดียวที่จะทำให้เรามีสุขภาพดีตลอดกาล ไม่ว่าเราจะปราถนามันแค่ไหน มันจะเกี่ยวกับการสอนตัวเราเองที่จะรักความหลากหลายของอาหารสุขภาพดีที่สุดภายในโลก


  เมื่อเราได้เริ่มต้นกินอาหารที่แท้จริงและลดอาหารที่ไม่มีสุขภาพให้น้อยที่สุด เราจะเริ่มต้นรู้สึกดีขึ้น เมื่อเราเริ่มต้นรู้สึกดีขึ้น และเรามีพลังมากขึ้น เราน่าจะกลายเป็นความสุขและมองในแง่ดีมากขึ้น  ทั้งการทำงานและอยู่บ้าน เราจะลดน้ำหนักลงอย่างแน่นอน ถ้าน้ำหนักของเรามากกว่ามาตรฐาน เราจะไม่เจ็บป่วยบ่อยครั้ง เพราะว่าเราได้บำรุงอาหารร่างกายของเรา และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราเข้มแข็งขึ้น การปรับปรุงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  นั่นคือความประหลาดใจของผมภายในการเดินทางการกินอย่างมีสุขภาพของผมเอง มันจะไม่ใช้เวลาหลายปี ร่างกายของเราต้องการสุขภาพดี และมันจะรักษาอย่างรวดเร็วเมื่อเราได้เริ่มต้นให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ

เมื่อมาถึงจำนวนของอาหารและอาหารว่าง  จอห์น แมคคีย์ ได้กล่าวว่า บุคคลทุกคนมีความต้องการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตและความพอใจของบุคคล ภายในหนังสือ The Whole Foods Diet  เราได้แนะนำการได้อย่างน้อยที่สุด 90% ของแคลอรี่ประจำวันของเรา จากอาหารที่แท้จริงพืชเป็นหลักและไม่แปรรูป สูงสุดของ 10% ของแคลอรี่ของเราจะมาจากโปรตีนสัตว์เช่นปลาหรือเนื้อที่เลี้ยงด้วยหญ้า ภายในหนังสือของเรา เราจะรวมทั้งสิ่งเหมือนเช่น ธัญพืชเต็มเม็ด ถึ่วแห้ง ถั่วเลนทิล ข้าวโอ้ตบด และลูกนัต  และผลไม้และผักสดจำนวนมาก

 นับตั้งแต่อายุ 23 ปี จอห์น แมคคีย์ได้กินอาหารสุขภาพพืชเป็นหลัก  เขาได้ยกย่องภายในส่วนที่สำคัญต่อความสำเร็จของเขาในฐานะของผู้ประกอบการ
เขาได้ก่อตั้งร่วมโฮม ฟูดส์ มาร์เก็ตเมื่อ ค.ศ 1980 ร่วมกับบุคคลสามคนที่เขาเรียกว่าเพื่อน "ฮิปปี้"  เมื่อ ค.ศ 2017 อเมซอน ได้ซื้อโฮล ฟูดส์ ราคา  13.7 พันล้านเหรียญ ปัจจุบันนี้วารสารฟอร์บได้ประมาณว่าจอห์น แมคคีย์ จะมีความมั่งคั่งมากกว่า 75 ล้านเหรียญ ภายในการสัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี  จอห์น แมคคีย์ ได้กล่าวว่าสองปีที่ผ่านมาภายใต้อเมซอนจะคล้ายกับการแต่งงาน 29 ปีกับภรรยาของเขา ผมรักทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับภรรยาของผมหรือ คำตอบคือผมรักประมาณ 98% เราจะมีสิ่งเล็กน้อยที่ผมปราถนาให้เปลี่ยนแปลง แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบุคคลได้อย่างแท้จริง อเมซอนจะคล้ายกับการแต่งงาน เรารักทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับอเมซอนหรือ ไม่ เราน่าจะรัก 98%

จอห์น แมคคีย์ จะตื่นตีห้าและทำการปฏิบัติทางจิตวิญญานของเขาประมาณสามสิบนาทีถึงหนึ่งชั่วโมง การนั่งสมาธิ อ่านหนังสือจิตวิญญาน และปฏิญานตนประจำวัน  จอห์น แมคคีย์จะวางโทรศัพท์ของเขาตอนสามทุ่ม และบอกว่า อย่ารบกวน เขาจะไม่ตอบอีเมลส์จนกระทั่งเจ็ดโมงเช้า

Cr :  รศ สมยศ นาวีการ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2020, 09:30:33 PM
https://www.youtube.com/watch?v=Zh3Yz3PiXZw&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=Zh3Yz3PiXZw&feature=youtu.be)

Alternative Math | Short Film
7,545,182 views
•Sep 19, 2017

น่าสนใจ ลองดูกันค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2020, 09:31:55 PM
ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา #ActionYouTubeByธนาธาร
79,201 views
•Jan 12, 2020

https://www.youtube.com/watch?v=YfD2l-XfyAU&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=YfD2l-XfyAU&feature=youtu.be)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2020, 09:33:39 PM
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธียืดอายุ 10 อวัยวะในร่างกายให้ใช้งานได้นานๆ และไม่ให้เสื่อมพังก่อนหมดอายุขัย

https://www.youtube.com/watch?v=9Ao5bHE6sR0&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=9Ao5bHE6sR0&feature=youtu.be)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2020, 09:35:01 PM
https://www.youtube.com/watch?v=CbyUC0yiAsQ&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=CbyUC0yiAsQ&feature=youtu.be)
TH
0:03 / 9:28
#เซเว่นอีเลฟเว่นเชิดชูพระคุณครู #ครูผู้เสียสละ #เชิดชูพระคุณครู
ครูผู้เสียสละ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 17, 2020, 09:46:18 PM
https://www.youtube.com/watch?v=_TyvWKewHOQ&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=_TyvWKewHOQ&feature=youtu.be)

ทำ 3 ท่านี้ จะช่วยท่านโบกมือลาเลิกกินยาเลย
โบกมือลาหลายโรค ทั้ง
-เบาหวาน
-ความดัน
-ระบบทางเดินอาหาร
-ระบบขับถ่าย
-กรดไหลย้อน
-โรคปวดหลัง
-ปวดเข่า
-ต่อมลูกหมาก
-อัมพฤกษ์ อัมพาต

ทั้งหมดนี้เป็นผลงาน วิจัยของอาจารย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
http://youtu.be/_TyvWKewHOQ (http://youtu.be/_TyvWKewHOQ)
ง่ายๆ แต่ได้สุขภาพดี
"เริ่มทำทันทีนะ"


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2020, 12:23:29 PM
https://www.youtube.com/watch?v=InwmDl_jhcc&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=InwmDl_jhcc&feature=youtu.be)

เพลงอู่ฮั่น《武汉伢》:บทเพลงจากหัวใจคนอู่ฮั่นที่ต้องเผชิญกับไวรัสโคโรนา หรือไวรัสอู่ฮั่น (cover subtitle)

ช่วยส่งกำลังใจไปกันน้ะค่ะ

ขอบคุณมากๆค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2020, 12:54:39 PM
อ่านให้จบนะจ๊ะ...แล้วคุณจะรักตัวเอง

ขึ้นอีกเยอะ...!!

สรุป :-
ชีวิตที่เรียบง่าย ให้ความสุข ความสะดวกกับ
การใช้ชีวิต
ที่เหลืออยู่...

ไม่เจ็บปวด
แต่ก็ต้อง :
บำรุง


ไม่กระหาย
แต่ก็ต้อง :
ดื่มน้ำ


ว้าวุ่นแค่ไหน
ก็ต้อง :
ปล่อยวาง


มีเหตุมีผล
แต่ก็ต้อง :
ยอมคน


มีอำนาจ
แต่ก็ต้องรู้จัก :
ถ่อมตน


ไม่เหนื่อย
แต่ก็ต้อง :
พักผ่อน

ไม่รวย
แต่ก็ต้อง :
รู้จักพอเพียง


ธุระยุ่งแค่ไหน
ก็ต้อง :
รู้จักพักผ่อน


หมั่นเตือนตน :
ชีวิตนี้สั้นนัก


หากเวลาของคุณ
ยังมีเหลือเฟือ ส่งต่อข้อความ
เหล่านี้
ให้เพื่อนของคุณ ให้เพื่อนได้อ่านบ้าง เพื่อจะได้ใส่ใจ
ตัวเองบ้าง

ดังนั้น


อยากกิน...กิน


อยากเที่ยว....เที่ยว

เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้


สุขสบายทุกเพลา


เวลาที่ยังจับมือไหว

ให้เชิญเพื่อน
มาสังสรรค์


เวลาที่ยังกอดไหว

ให้โอบกอดให้ชื่นใจ


ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา พี่ น้อง

เพื่อนที่ดีต่อไป

เวลาที่อยู่ด้วยกัน

อย่าได้โกรธกัน
ง่ายๆ

..นี่คือ.......
ความสุข
อย่างแท้จริง
ของชีวิต.




ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2020, 09:47:59 PM
https://today.line.me/TH/pc/article/qXZqjk?utm_source=lineshare

20 ข้อคิด โปรดจงรู้ไว้ สิ่งนี้เรียกว่า ความเมตตา | พศิน อินทรวงค์ #LINETODAy


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 20, 2020, 11:01:02 PM
คบ ‘คน 5 แบบ’ นี้ แล้วชีวิตจะ ‘ง่าย' ขึ้น !

1.'คนตรงไปตรงมา'

คิดอะไรรู้สึกยังไงก็พูดออกมา ไม่เสแสร้ง ตลบแตลง ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง อ้อมค้อม หรือดีแต่พูดสอพลอ อาจพูดไม่เข้าหูเราทุกอย่าง แต่พูดออกจากใจจริง พวกนี้อาจดูขวานผ่าซาก แต่สุดท้ายจะเป็นคนที่เรานับถือที่สุด น่าคบว่ะ !

2.'คนไม่ดราม่าเยอะ'

พูดจริงๆ ชีวิตมันดราม่าอยู่แล้ว แต่คนดราม่าเยอะจะทำให้มันยิ่งดราม่าขึ้นไปอีก ดังนั้น อย่าคบคนคิดลบ ขี้ประชด ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา มองโลกในแง่ร้าย หดหู่ จมปลัก งี่เง่า พูดง่ายๆ โคตรดราม่า คบพวกตรงข้ามดีกว่า สบายใจกว่ากันเยอะ !

3.'คนง่ายๆ เซอร์ๆ ติดดิน'

ไม่ชอบสร้างภาพ ไม่ชอบยุ่งยาก และไม่ได้แคร์ว่าคนอื่นต้องมาชอบฉัน ฉันถึงจะมีความสุข แต่มีความสุขเองได้ด้วยการเป็นตัวของตัวเอง เงินมี แต่ไม่เน้นฟุ้งเฟ้อ ของหรูมี แต่ไม่เน้นโชว์ เพราะไม่มีปมด้อย เป็นคนมีความสุขแบบธรรมดาๆ ถ้าเจอแบบนี้ คบเลย !

4.'คนกล้า บ้า ลุย'

ถ้าเราเป็นพวกลังเล ขี้ขลาดนิดๆ อ่อนแอนิดๆ คบพวกนี้เลย จะเติมเต็มเราได้ดีมาก เพราะจะช่วยให้เรากล้าตัดสินใจ กล้าเสี่ยง กล้าลอง กล้าคิด กล้าทำ มันอาจทำให้เราล้มเหลว (ครั้งแรกในชีวิต) ใช่ ! เราอาจบอกว่า พระเจ้าจอช ! ไม่น่าเชื่อมันเลย ! แต่มันนั่นแหละ ที่จะถีบเราไปสู่จุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตเต็มที่จริงๆ วันนึงเราจะขอบคุณมัน !

5'คนโฟกัสที่ตัวเอง ไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น'

พูดง่ายๆ เป็นคนไม่สนใจใคร และไม่แคร์เรื่องคนอื่น เพราะไม่ว่าง ไม่มีเวลา ไม่มีสมอง ไม่มีอารมณ์ เป็นคนมีเป้าหมาย ไอเดียบรรเจิด แผนในหัวเยอะ มีงานต้องทำ ยุ่งกับการพัฒนาตัวเอง ขี้เกียจวิจารณ์คนอื่น พวกนี้คือของดี คบไว้ ไม่นานเราจะเป็นเหมือนเขา เท่มาก !

ถ้าคุณคบใครที่เป็นเหมือนบางข้อหรือทุกข้อที่กล่าวมา Tag ไปหาเขาเลย แทนคำชม แต่ถ้าคบคนแบบตรงข้ามกับที่กล่าวมา Tag ไปกระแนะกระแหนได้ ถ้ากล้า 555 แต่ที่สำคัญ ก็เหมือนที่เคยบอกทุกครั้ง ว่าสำคัญที่สุดคือ
.
.
'ดู... ตัว... เอง' !

#พิมพ์ Yes !

เฌอมาณย์ รัตนพงศ์ตระกูล
.
.
>>>ติดตามเกรซทาง ig

ig เพจ: www.instagram.com/chermarnrtofficial (http://www.instagram.com/chermarnrtofficial)
ig ส่วนตัว: www.instagram.com/chermarnrt (http://www.instagram.com/chermarnrt)



หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 14, 2020, 07:34:04 PM
ขอเชิญทุกท่าน ถวายมาลัย&สรงน้ำพระออนไลน์ ในเทศกาลสงกรานต์ ค่ะ

https://www.songkran2563.com/pray (https://www.songkran2563.com/pray)

https://www.songkran2563.com/pray (https://www.songkran2563.com/pray)

ความหมายของสงกรานต์

กรานต์ แปลว่า ก้าว สัง แปลว่า ดี แปลว่า ก้าวไปด้วยดี ... ก้าวไปในความเจริญงอกงาม ในความสุข ก็ก้าวไปด้วยธรรมะ ด้วยการที่ประพฤติตัวให้ดีงาม มีศีล มีจิตใจที่ดี พัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญา ให้ปัญญานำชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง

สงกรานต์ แปลอีกอย่างหนึ่ง สัง แปลว่า ด้วยกัน

สงกรานต์ก็แปลว่าก้าวไปด้วยกันก็ได้ พอรวมสองคำก็แปลว่า ก้าวไปด้วยกันด้วยดี หรือ ก้าวไปด้วยดีด้วยกัน หมายความว่า ไม่ใช่เฉพาะตัวเราคนเดียวก้าวไป แต่เราคำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ สังคม ตั้งแต่ครอบครัวเป็นต้นไป ก็พากันก้าวไปโดยคำนึงถึงคนอื่น

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)


13 เมษายน เป็น วันมหาสงกรานต์ ทางจันทรคติตรงกับวันจันทร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 5 เวลา 20 นาฬิกา 48 นาที

   นางสงกรานต์ปีนี้ ทรงนามว่า โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดาหาร ภักษาหาร น้ำมัน พระหัตถ์ขวาทรงธนูหรือไม้เท้า พระหัตถ์ซ้ายทรงพระขรรค์ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร มาเหนือหลังพยัคฆะ เป็นพาหนะ

   วันที่ 16 เมษายน เวลา 09นาฬิกา 24 นาที 36 วินาที เปลี่ยนจุลศักราช ใหม่ เป็น 1382 ปีนี้ วันพฤหัสบดี เป็น ธงชัย , วันอาทิตย์ เป็น อธิบดี , วันพุธ เป็น อุบาทว์ , วันอังคาร เป็น โลกาวินาศ

   ปีนี้ วันศุกร์ เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า ตกในมหาสมุทร 120 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 180 ห่า ตกในเขาจักรวาล 250 ห่า นาคให้น้ำ 1 ตัว เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๐ ชื่อ ปาปะ ข้าวกล้าในภูมินาจะได้ผล 1 ส่วน เสีย 9 ส่วน มหาชนร้อนใจด้วยอาหารแล เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีวาโย (ลม) น้ำน้อย  คือการที่ให้ระวังเรื่องของอาหารการกิน กันดารอาหาร น้ำแล้ง


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 14, 2020, 07:43:34 PM

#การฝากคนอื่นทำบุญแทนตัวเอง

"หลวงพ่อพุธ" ท่านเมตตาตอบปัญหาเรื่อง "การฝากคนอื่นทำบุญ" มีประโยชน์มาก แก้วอยากให้กัลยาณมิตรได้อ่านกันค่ะ

 ถ้าให้คนอื่นทำบุญแทน เราจะได้บุญหรือเปล่า?

หลวงพ่อพุธ : ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราให้คนอื่นเขาทำแทน เราจะได้บุญหลายทอด

ทอดที่ 1 เป็นบุญเพราะสละสมบัติของเราออกไป ทอดที่ 2 เป็นการแบ่งบุญให้เขา เมื่อเราให้คนอื่นเขาทำ เราก็ได้บุญเพิ่มขึ้น เป็นการแบ่งปันความสุขให้กันและกัน

 ถ้าฝากคนอื่นเขาทำบุญ แล้วเราจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลได้หรือไม่?

หลวงพ่อพุธ : ทำได้ มีปัญหาอยู่ว่าคนเฒ่า - คนแก่โบราณมักจะพูดว่า "ทำบุญแล้วไม่กรวดน้ำจะไม่ได้บุญ" อันนี้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็แก้กันอยู่บ่อยๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทำดีได้ดี - ทำชั่วได้ชั่ว" ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เราทำอะไรลงไปแล้ว เราจะได้รับผลอย่างแน่นอน เราไม่ต้องการกรวดน้ำเราก็ได้

แต่หากเราจะทำบุญเพื่ออุทิศให้ใครสักคนหนึ่ง ถ้าเราไม่น้อมใจนึกถึงเขา เขาก็จะไม่ได้รับส่วนบุญจากเรา จึงมี "พิธีกรวดน้ำ" เพื่ออุทิศส่วนกุศล

แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องส่วนตัว เราจะกรวดก็ตาม ไม่กรวดก็ตาม ทำลงไปแล้วจะได้ผลเฉพาะตัวเรา ถ้าจะให้คนอื่นด้วย ต้องตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะให้ส่วนบุญแก่คนๆนั้น เขาก็จะได้รับส่วนบุญจากเรา

 ถ้าอุทิศส่วนกุศลไปแล้ว บุญของเราจะเหลืออยู่หรือเปลา?

หลวงพ่อพุธ : สำหรับการให้ส่วนบุญ เป็นการแบ่งส่วนความดีที่เราทำให้กับคนอื่น "บุญที่เราทำนั้นไม่ได้หมด" แต่ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น

แทนที่จะได้เฉพาะส่วนที่เราทำอย่างเดียว แต่เราได้ให้ส่วนบุญแก่คนอื่นด้วย การให้ส่วนบุญคนอื่นนั้น เรียกว่า "ทานบุญ" ให้บุญเป็นทาน

และถ้าสมมุติว่าเราเดินไปในที่ไหนๆก็ตาม ไปเห็นใครเขาทำบุญสุนทาน คนที่เขาทำจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่เราเห็นแล้ว "เราอนุโมทนา" แสดงความยินดีในบุญที่เขาทำ เราก็ได้บุญเหมือนกัน คือ "บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา"

 การทำบุญจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำกับพระสงฆ์ ถ้าทำกับคนทุกข์คนยากจะได้บุญหรือไม่?

หลวงพ่อพุธ : "การทำบุญ" คือ "การให้" ไม่เฉพาะแต่ในพระพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่เป็นอุบายผูกมิตรไมตรีระหว่างเพื่อนมนุษย์ เราอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างให้ซึ่งกันและกัน ให้วิชาความรู้ ให้สิ่งของ ให้การช่วยเหลือ ได้ชื่อว่า "การให้ทาน" ทั้งสิ้น

ผู้ใดมีศรัทธาบริจาคทรัพย์สร้างถนนหนทาง / สร้างโรงพยาบาล / สร้างสาธารณะประโยชน์ ฯลฯ นับเป็น "การให้ทาน" เป็น "การทำบุญ" ได้บุญเหมือน

โอวาทธรรม : หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 14, 2020, 07:47:35 PM
■หนุ่มจบนอก” พูดดูถูก “ลุงแจวเรือ” แต่กับอึ้งไปเลย เมื่อเจอลุงพูดสวนกลับไปแบบนี้ !?

■เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นชาวสงขลา เรียนเก่งมาก ได้ทุนไปเรียนอเมริกาตั้งแต่เด็กจนจบด็อกเตอร์ จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน บ้านของเด็กหนุ่ม อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบสงขลา ต้องนั่งเรือแจวข้ามไป ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง

●“เรือที่ติดเครื่องยนต์ไม่มีเหรอ ลุง? ”

●“ไม่มีหรอกหลาน ที่นี่มันบ้านนอก มันห่างไกลความเจริญมีแต่เรือแจว”

●“โอ…ล้าสมัยมากเลยนะลุง โบราณมาก ที่อเมริกาเขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก ไปส่งผมฝั่งโน้น เอาเท่าไหร่ลุง?”

●“80 บาท”

●“OK…ไปเลยลุง”

■ในขณะที่ลุงแจวเรือ หนุ่มนักเรียนนอกก็เล่าเรื่องความทันสมัย ความก้าวหน้า ความศิวิไลช์ ของอเมริกาให้ลุงฟัง

●“เมืองไทย…เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้วล้าสมัยมาก ไม่รู้คนไทยอยู่กันได้ยังไง? ทำไมไม่พัฒนา ทำไมไม่ทำตามเขาเลียนแบบเขาให้ทัน? ลุง…ลุงใช้คอมพิวเตอร์ ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นไหม? ”

●“ลุงไม่รู้หรอก…ใช้ไม่เป็น”

●“โอโฮ้…ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ ชีวิตลุงหายไปแล้ว 25%”

●“แล้วลุงรู้ไหมว่า เศรษฐกิจของโลกตอนนี้เป็นยังไง? ”

●“ลุงไม่รู้หรอก”

●“ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ ชีวิตของลุงหายไป 50%”

●“ลุง…ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหมลุง? ”

●“ลุง.ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหมลุง? ”
●“ลุงไม่รู้หรอก…หลานเอ๊ย”

●“ชีวิตของลุง ลุงรู้อยู่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้ ชีวิตของลุงหายไปแล้ว 75%”

■พอดีช่วงนั้นเกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง คลื่นลูกใหญ่มาก ท้องฟ้ามืดครึ้ม

●“นี่พ่อหนุ่มเรียนหนังสือมาเยอะจบดอกเตอร์จากต่างประเทศ ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม? ”
●“ได้…จะถามอะไรหรือลุง? ”

●“เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม? ”
●“ไม่เป็นจ๊ะ…ลุง”

●“ชีวิตของเอ็งกำลังจะหายไป 100% แล้วพ่อหนุ่ม”

■จากเรื่องนี้ทำให้เรารู้ได้เลยว่า อย่าคิดว่าตัวเราเหนือกว่าคนอื่นเพียงแค่มีการศึกษาสูง ยังมีประสบการณ์ชีวิตที่ต้องศึกษาอีกมาก จะเรียนจบสูงขนาดไหนแต่ถ้าขาดประสบการณ์ชีวิตบางอย่างไป ก็อาจจะไม่มีประโยชน์อะไร  เพราะเรื่องบางเรื่องก็ต้องเรียนรู้และ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 05, 2020, 05:52:19 PM
#เมรุปันสุข #เมรุข้าวสารอาหารแห้ง #ยุคCovid19
แปลกแต่เกิดประโยชน์จริง สุขใจผู้ให้..ผลบุญส่งถึงผู้วายชนม์

บริษัท ภัณฑโชค ฟิวเนอรัล จำกัด ประดับตกแต่งเมรุด้วยข้าวสารกว่า 500 กิโลกรัม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกว่า 5,000 ซอง โจ้กกึ่งสำเร็จรูปกว่า 2,000 กระป๋อง และอาหารแห้งอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งหลังจากเสร็จงานฌาปนกิจ จะแจกจ่ายชาวบ้านในพื้นที่ต่อไป

งานศพงานนี้จัดขึ้นที่วัดบ้านทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี มองเผินๆก็เหมือนงานศพที่ตกแต่งด้วยดอกไม้แบบทั่วๆไป เมื่อมองใกล้ๆ กลับเป็นข้าวสาร อาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำตาลทราย มาประดับเมรุ โดยไม่มีดอกไม้มาประดับเหมือนงานศพทั่วๆไป

ซึ่งทางเจ้าภาพได้แจ้งว่า อยากให้จัดเมรุโดยที่ไม่ต้องใช้ดอกไม้เลย ให้ใช้แต่ #อาหารแห้ง ที่จะนำไปใส่ #ตู้ปันสุข แจกจ่ายชาวบ้านมาประดับตกแต่งแทนดอกไม้ แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด ทีมของเรามีเวลาเตรียมงานเพียง 1 วัน ออกซื้อสินค้าตามงบประมาณที่เจ้าภาพได้กำหนดไว้ และออกแบบวางแผนงานด้วยหัวใจนักศิลปะ ประกอบกับความรู้ด้านการบริหาร ผนวกกับพรสวรรค์ด้านการจัดดอกไม้ และทีมงานที่พร้อมด้วยความสามารถทำให้ทุกอย่างนั้นลงตัวเสร็จก่อนเวลาที่กำหนด จนแขกที่มาร่วมงานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มองมาแต่ไกล ยังคิดว่าเป็นดอกไม้ จัดได้อย่างสวยงาม” ทั้งๆที่จริงแล้วเมรุนี้ถูกตกแต่งด้วยอาหารแห้งที่จะนำไปแจกจ่ายชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือในช่วงที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19

นอกจากใจรักในงานดอกไม้แล้ว งานนี้ยังต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ลงมือทำด้วยสมองและสองมือด้วยหัวใจช่างดอกไม้นักศิลปะ นำทีมพนักงาน #ภัณฑโชค สร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ถูกใจตามคอนเซ็ปของเจ้าภาพ

*สำหรับอาหารแห้งทั้งหมดเป็นสินค้าผลิตใหม่ และในช่วงเวลาตกแต่งเมรุจนถึงเวลาฌาปนกิจ ทางบริษัทได้ตรวจสอบพยากรอากาศแล้ว พบว่ามีเมฆมากไม่มีฝน มีแดดอ่อนๆ จึงทำให้อาหารทั้งหมดที่ตกแต่งเมรุไม่มีการเน่าเสียจากสภาพอากาศ สามารถนำอาหารที่ประดับไปบริโภคได้ทั้งหมด


https://www.panthachok.co.th/news/8710/ (https://www.panthachok.co.th/news/8710/)
ไอเดียสุดยอด สวยงามค่ะ สาธุค่ะ
-thank you-


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 18, 2020, 11:02:45 PM
ถึงพ่อแม่ทุกคน

มีเด็กชายฉลาดอัจฉริยะที่ได้100%ในด้านวิทยาศาสตร์ได้รับคัดเลือกเรียนใน IIT Madras และได้คะแนนดีเยี่ยมในด้านนี้มาตลอด เรียนต่อและจบ MBA ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

ได้งานที่มีรายได้สูงมากในอเมริกาและตั้งรกรากที่นี่

แต่งานกับสาวสวยชาวทมิฬ
ซื้อบ้านหลังใหญ่ และรถหรูราคาแพง

มีทุกอย่างที่ทำให้ประสบความสำเร็จ แต่2-3ปีหลังจากนั้น เขาฆ่าตัวตาย หลังจากฆ่าลูกและภรรยา

*** เกิดอะไรขึ้น มีอะไรผิดพลาดในชีวิตเขาหรือ?****

สถาบันจิตวิทยาของแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Clinical Psychology )ได้ทำการศึกษากรณีนี้ และ พบว่า อะไรคือความผิดพลาด

นักวิจัยได้คุยกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนของผู้ชายคนนี้ พบว่า เขาตกงานเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจของอเมริกา  ต้องอยู่เฉยๆโดยไม่มีงานทำเป็นเวลานาน

ถึงแม้จะลดค่าตัว(เงินเดือน)ลง เขาก็ยังไม่ได้งาน

การผ่อนบ้านจึงยุติลง เขาสูญเสียบ้านไป

ครอบครัวเขาอยู่รอดมาได้อีก2 -3เดือนด้วยเงินจำนวนน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาและภรรยาร่วมกันตัดสินใจฆ่าตัวตาย

เขาเริ่มด้วยการยิงภรรยาและลูก และโดยยิงตัวเองเป็นคนสุดท้าย

ผลงานวิจัยสรุปว่า เขาถูกโปรแกรมเพิ่อ "ความสำเร็จ"แต่ไม่ถูกโปรแกรมให้เรียนรู้ที่จะ "ฝึกการรับมือกับความล้มเหลว"

ขอกลับมาสู่คำถามที่แท้จริงว่า

อะไรคือนิสัยของผู้ประสบความสำเร็จ

อย่างแรก ฉันขอบอกคุณว่า
ถ้าคุณประสบความสำเร็จทุกอย่าง  คุณก็มีโอกาสที่จะสูญเสียทุกอย่างเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่า เมื่อไรวิกฤตเศรษฐกิจของโลกจะเกิดขึ้นอีก

นิสัยที่ดีที่สุดของผู้ประสบความสำเร็จคือ การฝึกที่จะรับมือกับความล้มเหลว

ฉันอยากวิงวอนพ่อแม่ทุกคนได้โปรดอย่าโปรแกรมลูกคุณเพียงเพื่อ "ความสำเร็จ" แต่ "สอนเขาถึงวิธีที่จะรับมือกับความล้มเหลว" และ ช่วยสอนเขาเรื่องบทเรียนที่เหมาะสมเกี่ยวกับชีวิตด้วย

ระดับความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่สูงจะช่วยเขาได้ในเวทีการแข่งขันขันการสอบ แต่ความรู้เรื่องชีวิตจะช่วยให้เขาเผชิญกับทุกปัญหาได้

สอนเขาให้รู้ว่า " บทบาทของเงินเป็นอย่างไร" แทนการสอนให้ " ทำงานเพื่อเงิน"

ช่วยเขาให้ค้นหาแรงบันดาลใจของตัวเอง เพราะปริญญาเหล่านี้ มิได้ช่วยเขาได้ในวิกฤตโลกครั้งต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร

*ความสำเร็จเป็นครูที่แย่มาก ความล้มเหลวสอนเราได้มากกว่า

ขอช่วยแบ่งปันไปยังพ่อแม่ด้วยนะคะ
,​To all parents


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 02, 2020, 11:26:27 AM
อาเตี่ยกับอาหมวย

                     เดินจากตลาดมาถึงบ้าน ก็พอดีฝนเทลงมา สองพ่อลูกหันมายิ้มด้วยกัน เหมือนกับจะบอกว่า " เรารอดแล้ว " รอดจากการเปียกฝน   อาหมวยหิ้วตะกร้าตรงเข้าครัว จัดการล้างผักให้เตี่ย โดยมีเตี่ยเป็นผู้กำกับ

" ผักมีดินติดอยู่ ต้องล้างผ่านน้ำก่อน แล้วค่อยลงแช่น้ำผสมด่างทับทิมนะ "
" ค่ะ เตี่ย เตี่ยบอกทุกครั้ง อั๊วจำได้ "
" เอาน่า เตี่ยยังอยู่เตือนลื้อ ก็รับฟังเอาไว้ วันหนึ่งข้างหน้า เสียงของเตี่ยก็ไม่มีแล้ว "

อาหมวยหยุดมือ มองหน้าเตี่ย

" เตี่ย เตี่ยพูดแบบนี้อีกแล้ว อั๊วไม่ชอบฟัง "

เตี่ยไม่ตอบอะไร แค่อมยิ้ม มือยังคงล้างซี่โครงหมูผ่านน้ำ

" ซี่โครงหมูนี่นะ ต้องล้างผ่านน้ำ เอามือถูให้ทั่วๆ เอาสิ่งสกปรกออก แล้วก็ซับให้แห้ง แบบนี้ "

เตี่ยวางซี่โครงลงบนเขียง ที่มีผ้าสะอาดปูบนหน้าเขียง จับชายผ้าทั้งซ้ายและขวา ขึ้นมาซับน้ำออกจากซี่โครงหมู จากนั้นดึงผ้าออก แล้วจึงสับให้พอดีคำ

" ทำไมต้องซับด้วยผ้าคะ ประเดี๋ยวลงหม้อ ก็เปียกอยู่ดี "

อาหมวยถามด้วยความสงสัย

" ถ้าเปียก เวลาสับ น้ำจะกระเด็น เปรอะเปื้อน เสื้อผ้า ยังไงหล่ะ "

เตี่ยหยิบซี่โครงหมูที่สับแล้ว ใส่ลงหม้อทีละชิ้น ปากก็พูดว่า

" ปัญหาแต่ละอย่าง มันมีวิธีแก้ไขที่ไม่เหมือนกัน แต่ความรุนแรงของปัญหา จะเบาบางลงหากเราใช้วิธีที่นุ่มนวล เหมือนการที่เราเอาผ้าซับน้ำ ต่อให้ปังตอสับแรงแค่ไหน น้ำและเลือดจากซี่โครง ก็ไม่กระเด็นมาโดนเรา จริงไหม "

อาหมวยยิ้ม พยักหน้า ตอนนั้น ยิ้มเพราะไม่เข้าใจ ยิ้มไปอย่างนั้น แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป นึกถึงทีไร ก็ยิ้ม ยิ้มให้กับความคิดแยบยลของเตี่ย ที่สั่งสอนธรรมะให้ลูก ผ่านการทำอาหาร  เตี่ยค่อยๆ หยิบผักแต่ละชนิด จากกะละมังน้ำผสมด่างทับทิมที่แช่ผักเอาไว้ นำขึ้นมาล้างอย่างเบามือ ทีละชนิด แล้ววางลงบนตะกร้า เพื่อสะเด็ดน้ำ ต่อจากนั้น เตี่ยบรรจงหั่นผักแต่ละชนิด ที่ต้องใช้คำว่าบรรจง เพราะเตี่ยบรรจงจริงๆ การทำอาหารของเตี่ย ดูแล้วเหมือนงานศิลปะ นุ่มนวล เนิบนาบ ตามนิสัยเตี่ย

" ใส่ซี่โครงหมูลงไป แล้วเติมน้ำสักครึ่งหม้อ ยกไปตั้งบนเตาให้เตี่ยที "

อาหมวยทำตามที่เตี่ยสั่ง

" ตั้งไฟแรงก่อน คอยดูไว้นะพอเดือดต้องเบาไฟ แล้วช้อนฟองออกทิ้ง จากนั้นก็แง้มฝา ความร้อนจะได้ระอุอยู่ในหม้อ ปล่อยให้เคี่ยวไปเรื่อยๆ ความหวานจากซี่โครงหมูจะค่อยๆออกมา "

" บางสิ่ง บางอย่าง ต้องรอเวลา อย่ารีบร้อน มันถึงจะหอมหวาน "

เตี่ยพูดเบาๆเหมือนรำพึงกับตัวเอง มือยังคงหั่นผักไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไป ผักทั้งหมดนอนอวดตัวในถาด

" เอาไชเท้านี่ หย่อนลงหม้อก่อน ไชเท้าเนื้อแน่น หนา สุกยาก ต้องใส่ก่อน "
 " ค่ะ เตี่ย "

แต่ อาหมวยก็เผลอเทพรวดลงทั้งตะกร้า น้ำซุปร้อนๆกระเด็นโดนแขนหลายที่ รีบวางตะกร้าเอามือลูบแขนให้คลายร้อน เตี่ยยืนมองแล้วยิ้ม พูดเบาๆว่า

 " เพิ่งสอนไปหยกๆ ว่าความรุนแรงมักก่อปัญหา ความเดือดร้อน เข็ดไหม อาหมวย "

อาหมวยพยักหน้าที่งอหงิก เพราะความร้อน
เตี่ยยกกระทะมาตั้งบนเตาไฟอีกเตา ตักน้ำมันหมูใส่ ตามด้วยกระเทียมสับ

" นี่เป็นก้านผักคะน้า และกวางตุ้ง ต้องแยกจากใบ เพราะก้านแข็งกว่าใบ ผัดแล้วต้องแยกไว้ ก้านใส่ก่อน ใบใส่ทีหลัง ส่วนกะหล่ำปลีเตี่ยฝานให้ติดใจผัก จะได้ไม่แยกออกจากกัน เดี๋ยวต้องเอามานาบกับกระทะ ใส่น้ำมันนิดหน่อย สีจะสวยน่ากิน และไม่เหม็นเขียว ส่วนคึ่นช่ายนั่นผัดเอาไว้ ใส่หลังสุด เพราะสุกง่ายที่สุด "

เตี่ยใช้มือทำงานไป พร้อมกับใช้คำพูดสอนลูกไป

" ทำไมต้องแยกคะ เดี๋ยวก็ลงหม้อเดียวกัน "

 อาหมวยถามด้วยความสงสัย

" ใช่ ใส่พร้อมกันได้ เป็นวิถีของคนชุ่ยๆ ที่แปลว่า มักง่ายยังไงหล่ะ ลื้ออยากเป็นคนมักง่ายหรือไม่ "

 อาหมวยส่ายหน้า คำว่าชุ่ย คำว่ามักง่าย อาหมวยว่าเป็นคำด่าที่รุนแรง มันหมายถึงคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน หรือ คนที่ไม่รับฟังคำสั่งสอน
เมื่อโตเข้าวัยทำงาน หากใครถูก อาหมวยตำหนิว่า มักง่าย นั่นหมายถึงรุนแรงแล้ว
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง

" เตี่ย กินได้หรือยังคะ อั๊วอยากกินแล้ว "
" กินได้ แต่ยังไม่อร่อย ยังไม่ถึงเวลาของมัน อดทนไหม ถ้าอดทน ก็จะได้กินของอร่อย "

อาหมวยพยักหน้า ใครๆก็อยากกินของอร่อยทั้งนั้น
บ่ายคล้อยแล้ว ตอนนี้จับฉ่ายของเตี่ย ปรุงเสร็จแล้ว
เตี่ยปรุงรสเพียงเติมดอกเกลือเล็กน้อย ใช้เวลาเคี่ยวจนความหวานของผักเผยตัวออกมา รสชาติอ่อนๆ ผักทุกชนิดเปื่อยนุ่ม เท่าๆกัน ละมุนลิ้น ละมุนคอ นี่กระมังที่เค้าเรียกว่า " นวลลิ้น "

เตี่ยนั่งลง ตรงข้ามอาหมวย เอ่ยถามว่า

 " อร่อยไหม อาหมวย "

อาหมวยเงยหน้าจากชามข้าว ใช้ตะเกียบคีบกะหล่ำปลีใส่ในชามข้าวของเตี่ย แล้วตอบ

" ที่สุดค่ะเตี่ย ผักทุกอย่างนุ่มกำลังดีค่ะ "
" นุ่มเท่าๆ กันด้วย ใช่ไหม "
" ค่ะ "

เตี่ยวางตะเกียบลงบนปากชามข้าว ก่อนจะเอ่ยว่า

" การทำอาหาร ก็เหมือนการใช้ชีวิต แต่ละช่วงวัย ก็ทำหน้าที่ตามวัย ไม่ก้าวข้าม ไม่ต้องรีบโต ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆเรียนรู้ จากการดู การฟังตามจังหวะของชีวิต ไม่ก้าวกระโดด เติบโตตามวัยนั้น รับผิดชอบในหน้าที่ตนให้ดีที่สุด รู้จักคิด รู้จักลำดับความสำคัญ อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำทีหลัง เป็นการสร้างวินัยในการดำเนินชีวิต อะไรก็ตาม ที่ถูกที่ ถูกเวลา สิ่งนั้นจะสมบูรณ์ งดงามเสมอ "
 " ค่ะ เตี่ย "

เตี่ยทิ้งท้ายอีกว่า

" สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรฝึกให้ลูก คือ ระเบียบ วินัย ความอดทน ต้องฝึก ต้องปลูกฝังกันให้เป็นนิสัย เพราะเป็นยาขนานเอก ที่จะปกป้องลูก ไม่ให้เป็นคน มักง่าย โกรธง่าย"

ด้วยความปรารถนาดี
เพจ รอยทางของเตี่ย


*ขอขอบคุณบทความดีๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยเจ้าค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 12, 2020, 07:07:25 PM
“ลืม” กับ “จำ” อะไรสำคัญกว่ากัน

เราเคยคิดว่าการมีความ “จำ” ดี เป็นสิ่งที่พิเศษ
แต่เมื่อเราเข้าใจมันมากขึ้น

“ลืม” ต่างหากที่เป็น สิ่งที่พิเศษอย่างแท้จริง!

หากลืมไม่ได้ ชีวิตเราก็เหมือนกับอยู่ในโลกสีเทา

ลืมความรุ่งเรืองในอดีตได้
นี่คือ การปล่อยวาง

ลืมความล้มเหลวในอดีตได้
นี่คือ ความกล้าหาญ

ลืมบาดแผลที่ใครๆฝากไว้ได้
นี่คือ การให้อภัย

ลืมความผิดพลาดของคนอื่นในอดีตได้
นี่คือ ความเมตตา

ลืมความไม่ใส่ใจที่มิตรสหายมีต่อเราได้
นี่คือ ความใจกว้าง

ลืมความแค้นชิงชังที่ผู้อื่นมีต่อเราได้
นี่คือ ความกรุณา

ลืมการทะเลาะเบาะแวงกับคนที่เรารักได้
นี่คือ การให้ความรักอันยิ่งใหญ่

“ลืม” ยากกว่า “จำ” มากมายหลายเท่านัก

จำ คือ ฉลาด
ลืม คือ ปัญญา

ชีวิตเหลืออีกไม่นาน ที่สำคัญอย่าลืมยิ้มให้กันไว้นะ

Cr. Line forward


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 31, 2020, 04:09:20 PM
ชอบมาก
เลยแชร์มาต่อ

"Money is yours but resources belong to the society" .. หลายๆโรงเรียนในไทยจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนใหญ่โตด้วยเงินผู้ปกครอง อาหารเหลือมากมาย แล้วยังขี้นเวทีพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ลองอ่านดูข้างล่างครับ ยาวหน่อยแต่ได้ข้อคิด
.. สรายุทธ พุธ 19/4/2560 #SKunlong


เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของผู้ที่ไปดูงานที่เยอรมันท่านหนึ่ง และคิดว่าอยากจะแชร์ให้หลายๆท่านได้อ่านกันครับ....

เยอรมันนี เป็นประเทศซึ่งพัฒนาอุตสาหกรรมไปไกลแล้ว
ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำอย่างเช่น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีเมนส์ เป็นต้น

ปั๊มพ์ที่ใช้ในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของประเทศนี้
ในประเทศซึ่งมีการพัฒนาไปไกลเช่นนี้ คนส่วนใหญ่คงคิดว่าประชาชนชาวเยอรมันคงใช้ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย
อย่างน้อย นั่นเป็นความรู้สึกของผมก่อนเดินทางไปศึกษาดูงานที่นั่น

เมื่อผมเดินทางถึงฮัมบูร์ก
เพื่อนร่วมชาติซึ่งทำงานอยู่ที่นั่นจัดให้มีการเลี้ยงต้อนรับผมที่ภัตตาคาร
ขณะที่เราเดินเข้าไปในภัตตาคาร เราพบว่าโต๊ะจำนวนมากว่างอยู่
มีโต๊ะหนึ่งมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งกินอาหารกันอยู่
บนโต๊ะของทั้งคู่ มีอาหารอยู่เพียงสองจาน และเบียร์อีกสองกระป๋อง

ผมคิดสงสัยอยู่ในใจว่า อาหารมื้อง่ายๆ อย่างนี้
จะทำให้เกิดบรรยากาศโรแมนติคขึ้นได้อย่างไร
และสาวน้อยคนนี้จะเลิกคบกับหนุ่มขี้เหนียวคนนั้นหรือไม่

มีหญิงสูงอายุสองสามคนนั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง
เมื่อคนเสิร์ฟนำอาหารมาบริการ เขาจะทำการแบ่งอาหารให้แก่ลูกค้าเหล่านั้น
และทุกคนจะกินอาหารจนหมดสิ้น ไม่มีเศษเหลืออยู่บนจานให้เห็น

พวกเราไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้คนเหล่านั้นมากนัก
เพราะเรากำลังนั่งรออาหารหลายจานที่ได้สั่งไปแล้วด้วยความหิวโหย
อาหารเสิร์ฟออกได้รวดเร็วดี คงเป็นเพราะภัตตาคารมีแขกน้อย
เราใช้เวลาในการกินอาหารเย็นมื้อนั้นไม่นาน เพราะเรายังมีกิจกรรมอื่นรออยู่
ขณะที่เราลุกออกจากโต๊ะ ยังมีอาหารเหลือคาจานอยู่อีกราวหนึ่งในสาม

ขณะที่เดินออกจากภัตตาคาร เราได้ยินเสียงใครร้องทักให้หยุด
เราหันมอง เห็นเป็นหญิงสูงอายุกลุ่มนั้นกำลังพูดกับเจ้าของภัตตาคารด้วยภาษาเยอรมัน
เมื่อเขาเริ่มพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ เราจึงเข้าใจที่เขาไม่พอใจการกินทิ้งกินขว้างของพวกเรา
เราออกอาการหงุดหงิดทันทีที่เขาเข้ามายุ่มย่ามเกินกว่าเหตุ
 "พวกเราจ่ายค่าอาหารแล้ว ไม่ใช่กงการอะไรของพวกคุณสักหน่อย"
เพื่อนของเราคนหนึ่งชื่อ กุย ( Gui) ตอกหน้าหญิงสูงอายุเหล่านั้น

หญิงเหล่านั้นโกรธกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที หนึ่งในนั้นหยิบมือถือขึ้นมา ต่อสายถึงใครบางคน
ไม่นานช้า ชายในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่องค์กรสวัสดิการสังคม ( Social Security organization) ก็มาปรากฏกาย ภายหลังจากฟังความจนรู้เรื่องว่าอะไรขึ้น เขาก็สั่งปรับพวกเราเป็นเงิน 50 มาร์ค

พวกเราทุกคนต่างเงียบกริบ
เพื่อนซึ่งพักอยู่ในเมืองนี้หยิบเงิน 50 มาร์คส่งให้ไปพร้อมกล่าวขอโทษขอโพยซ้ำๆ
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกล่าวกับเรา ด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดว่า

"สั่งอาหารเท่าที่พวกคุณจะกินได้หมด เงินทองเป็นของคุณก็จริง แต่ทรัพยากรเป็นสมบัติส่วนรวม มีคนอีกจำนวนมากในโลกนี้ที่อดอยากหิวโหย พวกคุณไม่มีเหตุผล ที่จะใช้ทรัพยากรอย่างทิ้งๆขว้างๆ "

สีหน้าพวกเราเปลี่ยนเป็นสีแดง เราเห็นด้วยกับคำพูดของเขาหมดหัวใจ
ทัศนคติของผู้คนใ  นประเทศร่ำรวยแห่งนี้ทำเอาพวกเราอับอายขายขี้หน้า
เราต้องทบทวนพิจารณาตัวเองกันจริงๆ จังๆ ในประเด็นนี้

พวกเรามาจากประเทศด้อยพัฒนาที่มีทรัพยากรไม่อุดมสมบูรณ์นัก แต่เพื่อปกปิดปมด้อยเหล่านี้ เราจึงสั่งอาหารมามากมาย และจงใจให้เหลือในยามจัดเลี้ยงผู้อื่น บทเรียนนี้สอนเราให้คิดอย่างจริงจังเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยไม่ดีเหล่านี้
เพื่อนผู้จ่ายค่าปรับถ่ายสำเนาใบเสร็จค่าปรับแล้วมอบให้พวกเราทุกคน
พวกเราทุกคนรับเก็บไว้โดยดุษณี และนำแปะไว้ข้างฝา เพื่อเตือนใจตลอดไปว่า
เราจะไม่ทำตัวเป็นคน "กินทิ้งกินขว้าง"อีกเด็ดขาด....
"Money is yours but resources belong to the society"
เงินทองเป็นของคุณก็จริง แต่ทรัพยากรนั้นเป็นสมบัติของสังคมส่วนรวม

Cr: Online

บทความดีๆ  โปรดช่วยกันแชร์  เพื่อส่วนรวม  ค่ะ


นู๋จัยว่าน่าจะเอามาหั้ยอ่านแย้ววน๊าา แต่อ่านอีกก้อชอบอีก อิ อิ ว่างๆก้ออ่านเน้อะ อิ อิ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 31, 2020, 04:11:19 PM
https://www.youtube.com/watch?v=A3W4dFGoWJw&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=A3W4dFGoWJw&feature=youtu.be)
โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา: ทุกคาบคือทักษะชีวิต•18 ส.ค. 2019


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 31, 2020, 04:15:04 PM
จากเหตุการณ์ แบล็กแพนเทอร์  กษัตริย์และผู้พิทักษ์แห่งประเทศวาคานดา ตาย เพราะ มะเร็งลำไส้. เกิดความวิตกมากมาย ในการศึกษา และ ปัจจัยที่จะเกิด

E-Book: แนวทางการตรวจคัดกรอง วินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง

ไปดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ

http://www.nci.go.th/th/cpg/Cervical_Cancer3.pdf (http://www.nci.go.th/th/cpg/Cervical_Cancer3.pdf)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 31, 2020, 04:18:31 PM
ได้มากกว่า 500 คะแนน
ยังห่างไกลอัลไซเมอร์

ได้มากกว่า 600 คะแนน
คุณเป็นวัยกลางคน

ได้ 700 คะแนน
วัยคุณจะลดลงเป็นวัยเด็ก


http://www.wesane.com/game/88/?from=groupmessage&isappinstalled=0 (http://www.wesane.com/game/88/?from=groupmessage&isappinstalled=0)

http://www.wesane.com/game/88/?from=groupmessage&isappinstalled=0 (http://www.wesane.com/game/88/?from=groupmessage&isappinstalled=0)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 31, 2020, 04:40:15 PM
นิทานสองเรื่อง ข้อสรุปเดียวกัน"
#สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด”

นิทานเรื่องแรก

หากคุณรู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังตั้งครรภ์ แต่หล่อนเคยมีลูกมาแล้วแปดคน มีสามคนหูหนวก สองคนตาบอด อีกคนปัญญาอ่อน และตอนนี้หล่อนก็กำลังป่วยเป็นโรคซิฟิ ขอถามว่าคุณอยากแนะนำให้หล่อนไปทำแท้งไหม ?

เรากำลังจะตอบ แต่เพื่อนห้ามไว้ก่อน และเขาก็ขอเล่าเรื่องถัดไป

นิทานเรื่องที่สอง

ตอนนี้พวกเรากำลังเลือกผู้นำประเทศ คะแนนหนึ่งเสียงของคุณมีความหมายมากในการตัดสินการเลือกครั้งนี้ และต่อไปนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลือกทั้งสามคน

คนแรก มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับนักการเมืองที่มีประวัติไม่สะอาดนัก ดูดวงเก่ง มีกิ๊ก สูบบุหรี่จัด ต้องดื่มมาร์ตินี่ 8-10 แก้วทุกคืน

คนที่สอง มีประวัติถูกนายจ้างไล่ออกจากงานมาแล้วสองหน นอนขี้เซาต้องตื่นหลังเที่ยงวันแทบทุกวัน เคยสูบฝิ่นตอนเป็นนักศึกษา ดื่มวิสกี้ทุกเย็นวันละครึ่งค่อนขวด

คนที่สาม ประวัติเคยรับเหรียญกล้าหาญจากสงคราม ทานมังสวิรัติเป็นนิจ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเบียร์บ้างบางครั้ง ไม่มีประวัตินอกใจภรรยา

ขอถามว่าคุณจะเลือกใครเป็นผู้นำประเทศในสามคนนี้ ???

เราเขียนคำตอบไว้ในกระดาษ ก่อนที่เพื่อนจะบอกเราว่า......

คนแรกที่เอ่ยถึงคือ แฟรงคลิน รูสเวลด์ ประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา

คนที่สองคือ วินสตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีคนดังของอังกฤษ

ส่วนคนสุดท้ายคือ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ จอมเผด็จการที่ทำให้โลกสะท้านมาแล้ว !!!

เราได้แต่อ้าปากหวอหลังทราบคำเฉลย เพื่อนถามว่า เราเลือกฮิตเลอร์เป็นผู้นำใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น ก็คงอยากแนะนำผู้หญิงจากนิทานเรื่องแรกไปทำแท้งแน่นอน ใช่ไหม?

เราอธิบายว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่ต้องคิดมาก เราได้รับการศึกษาอย่างดีเป็นเวลาสิบๆปี ย่อมแยกแยะถูกผิดชั่วดีได้ชัดเจน ฉะนั้นเราต้องเสนอให้หล่อนไปทำแท้งแน่นอน ชัวร์

เพื่อนบอกว่า ถ้าเช่นนั้นคุณก็ได้สั่งฆ่าบีโธเฟ่น......นักเปียโนเอกของโลก และคีตกวีอันลือนามชาวเยอรมันคนนั้น
เพราะหล่อนคือมารดาของบีโธเฟ่นนั่นเอง !!!

เราได้แต่อ้าปากหวออีกครั้ง เพื่อนบอกว่าคำตอบที่คุณคิดว่าดีและถูกต้องที่สุดนั้น ผลของมันคือสั่งฆ่าบีโธเฟ่นทิ้ง และสนับสนุนให้ฮิตเล่อร์เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ในโลกใบนี้ บางครั้งบางครา เรื่องบางเรื่องมันเป็นเรื่องซับซ้อนและละเอียดอ่อน แยกแยะลำบาก เพราะฉะนั้น มันยากที่จะตัดสินความถูกผิดชั่วดีด้วยข้อมูลที่มีจำกัด หรือมุมมองเพียงด้านเดียว

สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
อาจผิดแปลกไปในปัจจุบัน
และสภาพในปัจจุบัน
ก็อาจไม่สามารถตัดสินอนาคตได้
ไม่ว่าจะเป็นของคนอื่น หรือตัวเราเอง

#สิ่งที่เห็นจึงอาจไม่ใช่อย่างที่คิด

"ขจรศักดิ์"


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: paul711 ที่ ตุลาคม 02, 2020, 12:05:01 AM
 :) ขอบคุณครับ คุณหนูใจ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 11, 2020, 11:35:20 AM
คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์พูดดี ได้เนื้อหาและแรงบันดาลใจยิ่ง

ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าต้องเร่งยกระดับการศึกษาของชาติ แต่คุณอนันต์ ตั้งคำถามว่า คนที่ประสบความสำเร็จ
จะต้องเรียนเก่งจริงหรือไม่ ?

ประเทศไทยเน้นเรื่องการศึกษามาก จนลืมเรื่องความสำคัญของการฝึก "นิสัย" คนไทยควรจะมีนิสัยอย่างไร จึงจะเจริญก้าวหน้าในชีวิต

คนที่มีนิสัยดีเหมือนเรามีเครื่องจักรที่ดีในตัวไม่ว่าไปทำอะไรก็จะดี

นิสัยที่ดี ฝึกไม่ยาก

เช่น การฝึกล้างห้องน้ำให้เป็น จะช่วยฝึกให้เราไม่ดูถูกคน เป็นคนไม่เลือกงาน ไม่มีทิฐิ

"ทุกวันนี้โลกวุ่นวายไม่ใช่เพราะคนไม่มีการศึกษา แต่เพราะคนนิสัยไม่ดี และมีการศึกษาเยอะต่างหาก"
ความสุขคืออะไร ?

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้แนะนำ การสร้างนิสัยแห่งความสุข 20 ประการ ปี 2016 ไว้ ..

1. Be Grateful
..สำนึกบุญคุณคนที่ดีต่อเรา

2. Choose Your Friends Wisely
 ..เลือกเพื่อนอย่างชาญฉลาด

3. Cultivate  Compassion
.. ให้ความเห็นอกเห็นใจ แก่คนอื่น

4. Keep Learning
..หมั่นเรียนรู้

5. Become a Problem Solver
 .. เป็นผู้แก้ปัญหาได้

6. Do What You Love
 ..ทำในสิ่งที่คุณรัก

7. Live in the Present
 ..อยู่กับปัจจุบัน

8. Laugh often
 ..หัวเราะบ่อยๆ

9. Practice Forgiveness
 ..ฝึกการให้อภัย

10. Say Thanks often
..กล่าวขอบคุณเสมอ

11. Create Deeper Connections
..สร้างความสัมพันธ์ลึกล้ำ

12. Keep Your Agreement
 ..รักษาสัญญา คำพูด

13. Meditate
 ..ทำสมาธิ

14. Focus on What You're Doing
 ..ตั้งมั่นในสิ่งที่กำลังทำ

15. Be Optimistic
 ..มองโลกในแง่ดี

16. Love Unconditionally
 ..รักอย่างไม่มีเงื่อนไข

17. Don't Give up
 ..อย่ายอมแพ้

18. Do Your Best and then Let it Go
 ..ทำดีที่สุดแล้วอย่ายึดติด

19. Take Care of Yourself
  ..ดูแลตัวเอง

20. Give back to society
 ..ตอบแทนสังคม

ถ้าดี ถ้าชอบ แชร์ต่อกันเยอะๆๆ นะครับ


แชร์มาจากคุณpatค่ะ
ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 11, 2020, 11:39:56 AM
1
เพื่อนคนหนึ่งอายุครบ 42 ปี บ่นว่าปีนี้เป็นปีที่อกหักเรื่องงาน นับเป็นทุกข์หนัก ทำให้ 'คนที่ชีวิตทำแต่งานอย่างเดียว ไม่ได้สนใจอย่างอื่น' อย่างเขารู้สึกหนักหนา แต่แล้วการมาของลูกชายที่เพิ่งคลอดออกมาดูโลกก็ทำให้เขาได้พบความสุขเรียบง่าย เช่น แอบมองตอนลูกหลับ ได้เห็นลูกยิ้มหรือหัวเราะ ทั้งยังเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว จนทำให้รู้สึกว่า ปีนี้เป็นปีที่มีความสุขที่สุด

2
ผมไถฟีดเฟซบุ๊กลงมาเรื่อยๆ พบเพื่อนที่เพิ่งย้ายไปอยู่แม่สอดกับภรรยาและลูกเล็กที่คลอดออกมาต่อจากเพื่อนคนแรกไม่นาน เพื่อนโพสต์ถึงงานศพของชาวพม่าที่จัดขึ้นที่แม่สอด ความน่ารักในงานคือผู้คนที่ไม่ใช่ญาติมิตรของแรงงานชาวพม่าต่างให้กำลังใจกัน เพื่อนคนนี้ก็ห่างกรุงเทพฯ ไปนานเสียจนเราล้อกันว่าคงไม่ได้เจอหน้ามันแล้ว จนกว่าลูกจะโต นี่ก็อีกความเปลี่ยนแปลงใหญ่

3
เพื่อนอีกคนลงรูปคู่กับภรรยาซึ่งตัวติดกันเสียยิ่งกว่าเงา เพราะเงาจะเห็นได้เฉพาะกลางวันหรือในที่มีแสง แต่เพื่อนคนนี้เจอมันที่ไหนเจอเมียที่นั่นไม่ว่ากลางวันหรือห้องมืด เป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัว ความสุขของเขาก็คือได้ไปไหนมาไหนกับเมีย (อาจเป็นความสุขที่แปลกเสียหน่อยสำหรับผู้ชายอีกหลายคน) เพื่อนคนนี้ทำธุรกิจโรงแรม แน่นอนว่ากระทบหนัก แต่ก็ยังยิ้มสู้เพราะมีเมียเคียงข้าง

4
เพื่อนคนที่สี่มีความสุขกับการทำอาหาร กินคนเดียวบ้าง กินกับเมียบ้าง นี่คืออีกด้านของเหรียญ แม้แต่งงานไปเกือบสิบปี แต่โอกาสจะเห็นรูปคู่ของมันกับเมียนั้นนานๆ มาทีเหมือนดาวหาง เขาเคยเปรียบการทำอาหารเหมือนการบำบัดจิต จอจ่อ มีสมาธิ จัดจานให้งาม สวาปาม แล้วมันก็สิ้นไป ความสุขของมันคล้ายกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งมักเข้าครัวตอนเที่ยงคืน

5
เพื่อนอีกคนอวดใบ Certification ครูโยคะ ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนยาวนาน อีกคนซื้อกีตาร์ใหม่ อีกคนมีความสุขกับการถ่ายภาพสัตว์ใต้ทะเล อีกคนฮึกเหิมไปกับการวิ่งซิตี้รันในกรุงเทพฯ 60 กิโลเมตร บางคนมีความสุขกับการไปม็อบ และอื่นๆ อีกมากมาย นี่แค่ที่เห็นผ่านหน้าเฟซบุ๊กเท่านั้น

6
พอเดินทางมาถึงอายุ 40 ปี ผมพบว่า 'ความสุข' ของเพื่อนพ้องแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง ความสนใจ การให้คุณค่า ใช้เวลา และพึงพอใจนั้นหลากหลายขึ้นกว่าในวัยหนุ่มสาวมากมายนัก งานและการพิสูจน์ตัวเองดูเหมือนเป็นเป้าหมายหลักในช่วงเริ่มต้นชีวิต เหลือบเหล่มองความก้าวหน้า เงินเดือน รถ บ้าน นาฬิกา ข้าวของ รางวัล ตำแหน่ง ชื่อเสียง แม้ไม่ตั้งใจจดจ้องแต่ก็เหลือบมองอยู่ลึกๆ แต่ทุกวันนี้การเปรียบเทียบเหล่านั้นน้อยลงมาก แต่ละคนเปิดสำนักฝึกวิชาความสุขในแนวทางของตัวเองอยู่เงียบๆ ซึ่งแน่นอนแหละว่า มีความทุกข์เข้าแทรกอยู่เป็นระยะ แต่เป็นทุกข์จากสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่เกิดจากการเปรียบประชันอะไรกันเหมือนวันก่อน

7
บางทีผมอดคิดไม่ได้ว่า พวกเราล้วนเติบโตมากับเกณฑ์มายาบางอย่างที่ขีดเส้นไว้ว่า 'แบบนี้ดี' เช่น คุณต้องทำงานเก่งถึงจะดี ต้องประสบความสำเร็จเร็วถึงจะดี ต้องมีเงินเก็บเท่านั้นเท่านี้ถึงจะดี ต้องมีฟอลโลเวอร์เท่านี้ถึงจะดี ฯลฯ อีกมากมายที่ทำให้ทุกคนวิ่งไปไขว่คว้าในสิ่งเดียวกัน ทั้งที่ 'พื้นที่' ที่ทุกคนอยากไปยืนอยู่ตรงนั้นมันไม่ได้กว้างขวางพอสำหรับทุกคน

8
ผมเป็นมนุษย์ที่ความรู้เรื่องไวน์น้อยมาก เวลาซื้อไวน์ ดื่มไวน์ แต่ก่อนจะกังวลว่าต้องแบบไหนถึงจะดี ปลูกที่ไหน ปีไหน กินกับอะไรจึงจะถูกต้องตามสูตร เรื่องไวน์ก็ไม่ต่างอะไรกับ 'ความดีงามของชีวิต' ที่มีค่านิยมบางอย่างกำหนดสูตรตายตัวเองไว้ หน้าที่ของทุกคนคือเรียนรู้ 'สูตร' นั้นแล้วกระทำตัวตาม

9
ผมเพิ่งได้อ่านคำนำในหนังสือ 'I Drink Therefore I am' ภาคภาษาไทยที่เขียนโดยอาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับกรอบความคิดเกี่ยวกับไวน์ที่เปลี่ยนไปด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และสำนึกประชาธิปไตยว่า มีหลายอย่างที่มีผลต่อการรับรสไวน์ ตั้งแต่ดีเอ็นเอของแต่ละคน สภาวะจิตวิทยาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สภาวะเหล่านี้ก็มีผลมาจากข้อมูลที่สัมพันธ์กับสังคม การรับรสชาติของมนุษย์ในแต่ละเขตแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกัน เช่น บางพื้นที่ชอบเผ็ด บางพื้นที่มีรสขม บางพื้นที่ไม่มี การเปรียบเทียบรสไวน์จึงผูกพันกับความทรงจำของแต่ละคนด้วย จึงไม่มี 'มาตรฐานเดียว' ใครจะกินไวน์อะไร กินกับอะไร กินกับใครก็แล้วแต่ร่างกายและการทำงานของประสาทรับรสของคนแต่ละคน - สรุปว่า ไวน์ดีต้องแบบนี้ ไวน์นี้ต้องกินกับเนื้อกับปลา มันเป็นแค่มาตรฐานที่ถูกตั้งขึ้นโดยคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

10
กลับมาที่หน้าจอเฟซบุ๊ก, ผมสนใจที่เพื่อนคนแรกได้พบความสุขชนิดใหม่ในชีวิต เพราะมันก็เป็นแบบที่มันบรรยายตัวเองมาตลอด คือโฟกัสที่งานเป็นหลักใหญ่ในชีวิต การได้เห็นเพื่อนแฮปปี้กับลูกชายตัวน้อยนับเป็นเรื่องใหม่ที่น่าชื่นใจไปด้วย ทำให้ผมมองเห็นความสุขที่แตกต่างกันของเพื่อนอีกหลายคน ไม่เพียงต่างจากคนอื่น แต่ยังต่างจากตัวของเพื่อนๆ เองในวัยก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นสิบปีที่แล้วมีคนมาบอกเพื่อนๆ ว่า อีกหน่อยจะมีความสุขกับการปั่นจักรยาน วิ่งไกล โยคะ ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร ถ่ายรูปสัตว์ใต้ทะเล ฯลฯ เพื่อนอาจส่ายหัวยิก แต่วันนี้มันก็เป็นไปแล้ว

11
ผมคิดว่าเราทุกคนล้วนตามหา 'บ้านของหัวใจ' บางสถานที่ บางสภาวะ บางกิจกรรม และบางผู้คนที่เราใช้เวลาด้วยแล้วรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน มันแตกต่างจาก 'เวที' ที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นตลอดเวลา ซึ่งเหนื่อยและหนัก

ตัวตนบนเวทีคือตัวตนที่เราอยากเป็น และอยากให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นอย่างนั้น ขณะที่ตัวตนที่ 'บ้าน' คือตัวตนที่เราเป็นจริงๆ ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องดัดแปลงตัวเองไปเป็นอะไรที่เก่ง สวย หล่อ ฉลาดไปกว่าที่เป็นอยู่

อยู่บนเวทีนานเกินไป ใครก็อยากกลับบ้าน

12
เงื่อนไขในชีวิตของเราไม่เหมือนกัน ดีเอ็นเอในตัวเราไม่เหมือนกัน เราเติบโตหล่อหลอมมาจากพื้นฐานที่ต่างกัน กระทั่งการอยู่ในสถานที่เดียวกัน คนสองคนยังร้อนหนาวไม่เท่ากัน การพยายามมีความสุขในแบบเดียวกันที่มีคนเซ็ตมาตรฐานเอาไว้จึงเป็นเรื่องน่าตลกมากกว่าน่าภาคภูมิใจ

เมื่อประกวดประชันกันบนเวทีมาเนิ่นนาน ถึงวัยหนึ่งเราก็แค่เดินลงจากเวที แล้วกลับไปที่บ้าน กลับไปในที่เล็กๆ เงียบๆ ที่สร้างความสุขที่แท้จริงให้ตัวเอง - โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครอื่น

13
ความสำเร็จของเราอาจเป็นการกล่อมลูกให้หลับ เป็นท่าโยคะที่พยายามมาหลายเดือน เป็นดอกกุหลาบที่ตูมขึ้นให้ชื่นใจ เป็นใบใหม่ของไทรใบสัก เป็นอาหารจานเด็ดที่ทำเสร็จพร้อมเสิร์ฟ เป็นเพลงใหม่ที่เพิ่งแกะไปเล่นกับเพื่อน เป็นรูปถ่ายปลาใต้ทะเลตัวจิ๋วรูปแรกในชีวิต ฯลฯ อีกมากมาย

14
ไวน์อร่อยอาจไม่ใช่ไวน์ที่คนอื่นบอกว่าดี แต่เป็นไวน์ที่เราชิมเองแล้วอร่อย มันอาจไม่แพง ไม่มีประวัติหรูหรา ไม่ได้รับตราประทับจากใคร แต่ลิ้นของเราบอกว่าอร่อยนั้นก็คือไวน์อร่อยสำหรับเรา

กินกับอะไร กินกับใคร ก็อยู่ที่เรา

15
เส้นทางสู่ยอดเขาอาจมีเส้นทางเดียว และอาจมีผู้คนมากมายตะเกียกตะกายไต่ขึ้นไป แต่เส้นทางสู่ 'บ้านของหัวใจ' นั้นหลากหลายเหลือเกิน ต่างคนต่างเดิน และชื่นชมเส้นทางของกันและกัน

ความสุขในวัย 40 คือได้รู้ว่า 'ความสุข' นั้นมีทางเลือกมากกว่าหนึ่ง และความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีความสุขมากกว่า เพราะความสุขของเรานั้นต่างกัน สร้าง 'บ้านของหัวใจ' ของตัวเอง ว่างๆ ก็ไปเยี่ยม 'บ้านของหัวใจ' ของเพื่อนๆ

เมื่อมี 'บ้านของหัวใจ' ของตัวเองแล้ว 'ยอดเขา' ก็เป็นสถานที่ที่...ไม่ไปก็ได้

#นิ้วกลม
#Roundfinger
---
#คติธรรมคำคม


แชร์มาจากคุณป๋าขร้าค่ะ
ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 11, 2020, 12:01:23 PM
"เพิ่งเข้าใจชีวิต เมื่ออายุ 60 ปี"

มีเพื่อนคนหนึ่งของผมอายุ 60 ปีแล้ว ผมถามเขาว่า…ที่ผ่านมาในชีวิตคุณได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง และมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหลังจากที่คุณได้เรียนรู้ชีวิต

เขาอธิบายสรุปออกมาเป็นข้อ ๆ ได้ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้คือ..

  1. เมื่อก่อนผมรักพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูงมากที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ เมื่ออายุมากขึ้น สุขภาพเริ่มถดถอย ผมจะหันกลับมารักตัวเองให้มากขึ้น

  2. ผมจะไม่ต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายผักขายผลไม้การจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อยไม่มีผลกระทบกับชีวิตผมแต่อาจจะส่งผลต่อพวกเขาเงินเพียงเล็กน้อยเหล่านี้อาจหมายถึงค่าเล่าเรียนในอนาคตของลูก ๆ เขา

  3. เวลาจ่ายค่าแท็กซี่ ผมจะไม่รอให้โชเฟอร์หาเศษเหรียญมาทอน แต่จะให้ทิปเขาเล็กน้อย อาจจะได้รับรอยยิ้มตอบแทน เพราะยังไงเขาก็คงจะหาเลี้ยงชีพลำบากกว่าผม

  4. ผมจะไม่พูดกับผู้สูงอายุอีกว่า 'นิทานเรื่องนี้ท่านได้เล่าหลายครั้งแล้วนะ' เพราะนิทานเหล่านี้จะช่วยฟื้นความทรงจำ และการรำลึกอดีตที่ประทับใจของพวกท่าน

  5. ผมจะไม่พยายามแก้ไขคนอื่นอีกต่อไป แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะทำอะไรผิดๆ เพราะการทำให้ทุกคนสมบูรณ์แบบไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม

  6. ผมจะมองโลกในแง่บวกและชื่นชมผู้อื่นมากกว่าตำหนิ เพราะนั่นไม่เพียงแต่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอารมณ์ดี แต่เป็นประโยชน์กับจิตใจตัวเราเองด้วย

  7. ผมจะไม่กังวลกับจุดเปื้อนบนเสื้อหรือ ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆของคนอื่น เพราะจิตใจสำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอก ผมจะมองไปที่นิสัย และข้อดีที่แท้จริงของคนๆนั้นมากกว่า

  8. ผมจะอยู่ห่าง ๆ กับคนที่เขาดูถูกเหยียดหยามผม เพราะพวกเขาไม่เข้าใจคุณค่าในตัวผมแล้วยังทำให้จิตใจขุ่นมัวเปล่าๆ

  9. ผมจะไม่ยึดถือความคิดเห็นของตัวเอง จนต้องทำลายมิตรภาพ ท้ายที่สุดการมีความสุขอยู่คนเดียว ก็ไม่สู้มีความสุขกันทั่วหน้า

  10. ผมจะถือว่าทุกๆวันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพราะท้ายที่สุดวันสุดท้ายของชีวิตก็จะมาถึงสักวันหนึ่ง นั่นคือผมจะมีความสุขกับปัจจุบันให้มากที่สุดไม่ต้องรอวันในพรุ่งนี้

ย้อนมองเส้นทางแห่งชีวิต
เพื่อน ๆ บางคนที่เคยทำงานด้วยกันมา ยังไม่ทันได้เกษียณก็ลาจากโลกไปแล้ว บางคนเพิ่งจะเกษียณไม่นานก็ต้องไปใช้ชีวิตในโรงพยาบาล
ส่วนผมโชคดีมากที่ยังคงสัญจรไปมาอย่างร่าเริง ต้องขอบคุณทุกสิ่งที่ผ่านมา ที่ทำให้ตัวผมได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ต้นฉบับภาษาจีน หม่าหุ้ย
หัวหน้าบรรณาธิการสำนักพิมพ์ชิงหัว
ขอบคุณเจ้าของบทความค่ะ

ซ้ำก็อย่าว่ากันน้ะ ชอบอ่ะ ;D


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 07, 2020, 01:11:40 PM
ไทยสร้างหนังสั้น.เพื่อปลุกจิตสำนึกของพ่อแม่เยาวชนคนรุ่นใหม่เพื่อวางรากฐานของสังคมไทยในอนาคต

ส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมไทย
ซึมซับ

https://youtu.be/q1qjqP0xJgA (https://youtu.be/q1qjqP0xJgA)
https://www.youtube.com/watch?v=q1qjqP0xJgA&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=q1qjqP0xJgA&feature=youtu.be)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 22, 2020, 01:18:53 PM
https://www.youtube.com/watch?v=GUJEBDpqFQQ (https://www.youtube.com/watch?v=GUJEBDpqFQQ)

#ก๋วยเตี๋ยวเรือกัปตัน #ผลกระทบโควิด19 #ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร
ก๋วยเตี๋ยวเรือกัปตัน : ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร (10 พ.ย. 63)

อดีตกัปตันสายการบินพาณิชย์ชื่อดัง ที่ต้องผันตัวมาจับตะกร้อลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว เพราะพิษเศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 มรสุมที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ได้พลิกชีวิตและเปลี่ยนความคิดให้เขามองชีวิตต่างไปจากเดิม

ติดตามชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ตอน ก๋วยเตี๋ยวเรือกัปตัน วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2563 เวลา 21.00 น.
 ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมย้อนหลังทาง http://www.thaipbs.or.th/Real (http://www.thaipbs.or.th/Real)

ไทยพีบีเอสออนไลน์


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 29, 2020, 08:32:49 AM
https://www.youtube.com/watch?v=6wUvvLYZU7s (https://www.youtube.com/watch?v=6wUvvLYZU7s)

รายการเจาะใจ : พศิน อินทรวงศ์ - วันนี้ ที่มีความสุข (13 ม.ค 61)
734,497 views•Jan 13, 2018

ายการเจาะใจ ออกอากาศ ทุกวันเสาร์ เวลา 21.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD


“เจาะใจ” พบกับ “พศิน อินทรวงศ์” อดีตเป็นนักแต่งเพลง ปัจจุบันผันตัวเองเป็นนักเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะและการพัฒนาตัวเอง รวมทั้งเป็นวิทยากรเพื่อชี้ทางแห่งความสุขให้ผู้คนมากมาย สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาคนนี้เชื่อว่ามนุษย์เราสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ มีศักยภาพที่สร้างชีวิตที่มีแต่ความสุขได้ โดยที่ไม่ต้องมีชีวิตที่สุขๆ ทุกข์ๆ อย่างทุกวันนี้


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 30, 2020, 09:54:16 AM
ไม้คานที่หัก....

                      ยังจำอาแปะขายก๋วยเตี๋ยวแคะได้ไหมคะ อาแปะผู้มีอัธยาศัยดี เขย่าลวกเส้นไปยิ้มไป ใจดีแถมลูกชิ้นให้อาหมวยบ่อยๆ สั่งกินทีไร ได้ปริมาณมากกว่าคนอื่นทุกที

"อาเฮียครับ ไม่ต้องแถม กำไรไม่มาก หาบมาก็หนัก ให้อาหมวยเหมือนคนอื่นๆ ถ้าอีไม่อิ่ม ก็ซื้ออีกชาม " เตี่ยเอ่ยกับอาแปะ อาหมวยกำลังคีบเส้นหมี่อยู่คาปากยังส่งยิ้มพยักหน้ากับคำว่า อีกชามของเตี่ยได้ คิดในใจว่าแห้งชาม น้ำชาม กำลังดี

  อาแปะยิ้ม บอกกับเตี่ยว่า
" อาหมวยใจดี เอาน้ำชาเย็นๆมาให้อั๊วทุกครั้ง เปิดน้ำก๊อกให้ล้างหน้าคลายร้อน อีใจดีกับอั๊ว อั๊วก็ต้องใจดีกับอี "
เตี่ยยิ้ม หันมาบอกอาหมวยว่า" อาหมวย ขอบคุณอาแปะซิ อาแปะชมเชยลื้อ " อาหมวยวางชามลงบนตัก ยกมือไหว้ กล่าวขอบคุณอาแปะ

   อาหมวยคิดเอาเองว่า หาบของอาแปะนั้นต้องหนักมากๆ และเดินมาไกล คงทั้งเหนื่อยและเมื่อย แถมเตาก็ส่งไอร้อน และ มีควัน น้ำชาเย็นๆกับน้ำจากก๊อก คงช่วยทำให้คลายร้อน หายเหนื่อยลงได้บ้าง  ที่สำคัญ อาแปะไม่เคยร้องขอ ไม่เคยเดินไปเปิดก๊อกเองในยามที่อาหมวยไม่ว่างมาเปิดให้ อาหมวยมองว่า อาแปะเป็นคนมีมารยาทที่ดี ไม่ถือวิสาสะ ให้ก็รับ ไม่ให้ก็ไม่เรียกร้อง คนแบบนี้อาหมวยชอบ ชอบมาจนถึงปัจจุบัน   หากใครเดินเข้ามาเพื่อเรียกร้องmอาหมวยจะรู้สึกว่า น่ารังเกียจ แต่ถ้าคิดแล้วว่า สมควรให้ อาหมวยจะให้เอง

    อาแปะ มาวางหาบทีไร ก็ขายหมดทุกที อาหมวยดีใจด้วยทุกครั้ง อาแปะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินขายอีก  ครั้งหนึ่ง เมื่อฝนตกหนัก อาแปะถอดเสื้อยืดออกมาบิดน้ำ อาหมวยมองเห็นบ่าทั้งสองข้างของอาแปะเป็นรอยด้าน บ่งบอกถึงน้ำหนักของหาบที่แบกมานานวัน กว่าจะได้เงินแต่ละบาท ต้องใช้ความอดทนมากเพียงใด  แต่อาแปะก็ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าซ่อนความเหนื่อยไว้ภายใน

   ด้วยอัธยาศัยที่ดี รสชาติก๋วยเตี๋ยวก็แสนอร่อย ลูกค้าย่อมมีมากเป็นธรรมดา แถมอาแปะยังใจดี บ้านไหนยากจนมีลูกมาก หิ้วหม้อมาซื้อเกาเหลา อาแปะจะทำให้ในปริมาณมากเป็นพิเศษ แต่คิดในราคาธรรมดา  ในยุคนั้น น้ำใจไมตรี เบ่งบาน กว่าน้ำเงินเสมอ

   แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับอาแปะ    วันนั้น อาแปะมาวางหาบ ที่หน้าบ้านอาหมวย ผู้คนในวันนั้น ไม่ค่อยคึกคักหมือนเช่นทุกวัน  ขายได้ไม่กี่ชาม นั่งคุยกับเตี่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยลา อาแปะบอกว่า

" วันนี้เตรียมของมามากกว่าทุกวัน ต้องรีบไปเดินขาย ต้องไปให้ทันโรงงานซอยโน้น แล้วจะเลยไปขายที่ตลาด จะได้กลับบ้านเร็วหน่อย "

    กล่าวจบ อาแปะส่งยิ้ม แบกหาบขึ้นบ่า มือข้างหนึ่ง หิ้วถังน้ำ ออกก้าวเดินได้เพียงสามสี่ก้าว ไม้คานก็หัก ตู้ทองเหลืองทั้งสองฝั่งหล่นลงกระแทกพื้น ถังน้ำหลุดจากมือ ร่างอาแปะทรุดลงกับพื้น   อาหมวย กับ อาแหมะ ร้องออกมาด้วยความตกใจ เตี่ยสติดีกว่าใคร วิ่งเข้าไปประคองร่างอาแปะขึ้นนั่ง

" อาคิ้ม เปิดประตูให้กว้าง จะพาอาเฮียเข้าในบ้าน "
 พูดจบเตี่ยอุ้มอาแปะ ก้าวเข้าบ้าน วางลงบนเสื่อน้ำมัน อาแหมะเอาหมอนวางรองใต้หัวอาแปะ  เตี่ยเอาเซียงเพียวอิ๊วทาที่จมูก ขมับ และนวดเบาๆตรงหลังหู ปากก็พร่ำเรียก
" อาเฮีย อาเฮีย ได้ยินผมไหม อาเฮีย "

 แต่อาแปะยังคงเงียบ เตี่ยหันมาสั่งอาแหมะ และ อาหมวย
" อาคิ้ม อาหมวย มานวดแขนขาให้อาแปะ เตี่ยจะไปแต่งตัว เตรียมรถ "

 บ้านใกล้เรือนเคียง ต่างมามุงดู อยู่หน้าบ้าน อาแหมะส่งเสียงออกไป
" ใครมีแรง ยกหาบมาเก็บในบ้านอั๊วให้ที "

 หลายคนช่วยกัน ดีว่าตู้ทองเหลืองไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่ ข้าวของยังอยู่ครบ อาจเพราะน้ำหนักมาก เวลาอาแปะหาบ อยู่สูงจากพื้นแค่คืบกว่า ความเสียหายจึงน้อยนิด  แต่ไม้คานคงนำกลับมาใช้ไม่ได้แล้ว ใครคนหนึ่งส่งเสียงมาว่า

" เจ้ ไม้คานหักแล้ว ทิ้งเลยนะ "
อาแหมะรีบโบกมือส่งเสียงปราม
" ไม่ได้ ไม่ได้ เก็บเข้ามาก่อน เผื่ออาเฮียแกอยากจะเก็บไว้ "

 เตี่ยเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เดินไปที่รถ ปรัปเบาะข้างคนขับให้เอนนอน แล้วเดินกลับมาอุ้มอาแปะไปนั่งในรถ อาหมวยเห็นเตี่ยจับที่ข้อมืออาแปะ
หันมาบอกอาแหมะ

" ชีพจรยังดี เฮียจะพาไปโรงพยาบาลใกล้ๆ ดูแลข้าวของอาแปะดีดี แล้วปิดประตูบ้านซะ "
  พอเตี่ยก้าวขึ้นรถ อาแปะก็ส่งเสียง

" อาเฮีย อาเฮีย ไม่ต้องไปโรงหมอ อั๊วไม่เป็นไร "
เตี่ยเดินอ้อมมา นั่งลงข้างตัวรถ

" อาเฮีย ตอนนี้รู้สึกยังไง เจ็บที่หลังหูมากไหม ปวดหัวหรือเปล่า "
" อั๊วมึนๆหัว ลืมตาไม่ขึ้น "
" ไปให้หมอตรวจเสียหน่อย เรื่องของไม่ต้องห่วง ให้อาคิ้มอีจัดการนะ "

 เตี่ยพูดจบ ปิดประตูรถ เดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ  รถของเตี่ยเคลื่อนตัวออกไป อาแหมะหันมาสั่งอาตั่วเฮีย
" อาตั่ว ลื้อขี่จักรยานไปที่โรงงานซอยโน้น บอกคนงานว่า อาแปะก๋วยเตี๋ยวแคะ ไม้คานหัก วันนี้ขายหน้าบ้านเรา แม่ค้าคนสวยจะเขย่าก๋วยเตี๋ยวขายแทน ไปรีบๆไป "

 อาหมวยกับอาตั่วเฮีย ยิ้มขำกับคำว่า แม่ค้าคนสวย
" อาหมวย วันนี้ขายก๋วยเตี๋ยวกัน "
" อาแหมะทำเป็นเหรอ "
" ง่ายกว่าตัดเสื้อตั้งเยอะ แต่จำไม่ได้ว่าใส่ลูกชิ้นกี่ลูก "
" ถ้าใส่ทุกอย่าง ก็อย่างละลูกค่ะ อาหมวยกินบ่อย จำได้ค่ะ "
" ตกลงวันนี้ลื้อช่วยอาแหมะขายของล้างถ้วยด้วยนะ "
" ได้เลยค่ะ"

   พอเที่ยงๆ ชาวโรงงานก็เดินเรียงแถวกันมา อาแหมะขายไปก็เล่าเหตุการณ์ไป ดูอาแหมะจะสนุกกับการขายก๋วยเตี๋ยว อาหมวยก็สนุกไปด้วย  เพียงชั่วโมงกว่าๆ ตู้ก๋วยเตี๋ยวก็ว่างเปล่า อาแหมะกับอาหมวย ช่วยกันเก็บล้าง  แล้วนั่งรอการกลับมาของเตี่ย

   บ่ายแก่ๆ เตี่ยก็พาอาแปะกลับมา เมื่อจอดรถสนิท อาแปะก้าวลงมาได้เองพร้อมรอยยิ้ม   สายตาอาแปะมองไปที่ตู้ทองเหลือง แววตาสลดลงทันที พูดออกมาเบาๆเหมือนรำพึงกับตัวเอง
" ข้าวของ คงเสียหายหมด "

 อาแหมะส่งยิ้มมาจากโต๊ะกินข้าว บอกกับอาแปะว่า
" อาเฮีย มากินข้าวต้มก่อน ไปหาหมอหลายชั่วโมง คงหิวแล้ว "

เตี่ยประคองอาแปะ นั่งลงที่เก้าอี้ ปล่อยให้อาแปะนั่งกินข้าว ส่วนเตี่ย เปิดท้ายรถ จัดเรียงข้าวของของอาแปะใส่ท้ายรถและเบาะด้านหลัง
ส่วนไม้คานที่หักทั้งสองท่อน  เตี่ยนำมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว อาแปะกินข้าวกินน้ำเสร็จแล้ว อาแหมะยกกระป๋องสตางค์มาวางตรงหน้าอาแปะ
" อาเฮีย เงินค่าก๋วยเตี๋ยว "
อาแปะทำตาโต คงจะทั้งดีใจ ทั้งสงสัย อาแหมะจึงบอกว่า
" ตู้ก๋วยเตี๋ยวแค่หล่นลงพื้น บุบนิดๆหน่อยๆ น่าจะซ่อมแซมได้ ส่วนก๋วยเตี๋ยวอั๊วขายให้หมดแล้ว "
อาแปะกลืนน้ำลายลงคอ ยิ้มของอาแปะมาพร้อมน้ำใสๆที่ไหลเอ่อที่ดวงตา
" อาซ้อ อาซ้อ ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ อั๊วขอบคุณ ขอบคุณ "
" ไม่ต้องขอบคุณอั๊ว ขอบคุณคนโรงงานซอยโน้นเถอะ พวกเค้ารู้ว่าอาเฮียเจ็บ ก็เดินมาอุดหนุน ทุกๆคนเป็นห่วงอาเฮียนะ "

อาแปะยิ้ม ก้มหน้าลงดึงคอเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา  เสียงสะอื้น รอยยิ้ม พยักหน้าซ้ำ อากัปกิริยาที่อาแปะทำนั้น อาหมวยแปลออกว่า แกตื้นตันใจ
 เตี่ยลงมานั่งข้างๆอาแปะ
" อาเฮียเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ ยามเดือดร้อนก็มีแต่คนอยากช่วยเหลือ ถึงได้มีคนเปรียบเอาไว้ว่า คนดีนั้นตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ "
  อาแปะพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เตี่ยเอาไม้คานมาวางบนตัก พลิกดูไปมา เตี่ยชี้ที่อักษรจีน ที่แกะสลักในเนื้อไม้ อ่านออกเสียงเบาๆแปลว่า " อดทน "
" คงใช้ไม่ได้แล้วครับ หักแบบนี้ ดามแล้วคงได้แค่เก็บไว้เป็นที่ระลึก คงรับน้ำหนักอะไรไม่ได้ แล้ว"
อาแปะยื่นมือรับไม้คานจากเตี่ย
" เก่ามากแล้วอันนี้ อยู่ด้วยกันมานาน "

 เตี่ยมองอาแปะแล้วถอนหายใจ อาแปะเล่าว่า ระยะหลังสุขภาพไม่ค่อยดี ลูกๆโตแล้ว แต่ยังไม่เป็นโล้เป็นพายแกกลัวลูกๆจะลำบาก แกจึงเพิ่มจำนวนของในแต่ละวัน เพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น จะเก็บหอมรอมริบเอาไว้ให้ลูก เพราะเกรงว่า วันข้างหน้าลูกๆจะลำบาก เตี่ยฟังจบ ถอนหายใจเป็นครั้งที่สองก่อนจะเอ่ยว่า

" อาเฮีย ไม้คานอันนี้ เป็นไม้เนื้อแข็ง ยังหักลงได้ หากน้ำหนักที่ต้องแบกนั้นมากเกินไป ร่างกายคนเราเป็นเพียงก้อนเนื้อ มีเส้นเอ็นบางๆอยู่ภายใน
วันหนึ่งต้องทรุดโทรมตามกาลเวลา การเป็นพ่อคน ก็เปรียบเสมือนหาบคอนลูกไว้บนบ่า แต่เมื่อพิจารณาว่าลูกโตพอที่จะเดินเองได้ เราก็ได้แต่เฝ้ามอง ชี้ทางที่ถูกที่ควรให้เค้า ส่วนเค้าจะแข็งแรง ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง เค้าจะต้องมีประสบการณ์จากการเรียนรู้ ผมว่า อาเฮียควรเอาไม้คานอันนี้ เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจ บรรดาลูกฯว่า วันหนึ่งข้างหน้า พ่อแม่ที่เคยแข็งแรงก็จะต้องป่วยไข้ หมดประโยชน์ และหักโค่นลงในที่สุด เปรียบเหมือนไม้คานอันนี้ให้พวกเค้าได้คิด จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งดีดีที่พ่อแม่สอนไว้ ไปดำเนินชีวิต ด้วยความอดทน อดกลั้น และมีความเข้มแข็ง รู้หน้าที่ตน วันที่หมดพ่อแม่จะได้ไม่ลำบาก "
 อาแปะนิ่งฟัง แล้วพยักหน้า เห็นด้วย

  เย็นวันนั้น เตี่ยขับรถไปส่งอาแปะที่บ้าน เมื่อกลับมาถึง เตี่ยเล่าว่า ลูกๆอาแปะโตมากแล้ว ย่างเข้าวัยรุ่น แต่ดูท่าทีไม่ค่อยสนใจห่วงใยผู้เป็นพ่อเท่าไหร่ อาแหมะฟังแล้วก็ส่ายหน้า ส่วนอาหมวย เองก็รู้สึกเห็นใจอาแปะ

" คนเป็นพ่อที่ดี ก็เหมือนแบกลูกไว้บนบ่า เป็นพ่อนั้นไม่ยาก แต่เป็นพ่อที่ดีนั้นลำบากเหลือหลาย ต้องใส่ใจทั้งเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่  อบรมสั่งสอนวางอนาคตที่ดีให้ลูก และต้องถามตัวเองเสมอว่า เหนื่อยคือแค่ไหน แค่ไหนเรียกว่า... เหนื่อย "

  อาหมวย รู้เต็มอกตั้งแต่เล็กจนปัจจุบันว่า เตี่ยนั้น เหนื่อยหนักหนา เหนื่อยจนกลายเป็นความเคยชิน   สองบ่าของเตี่ย แบกชีวิตลูกๆเอาไว้ เฉกเช่นเดียวกับพ่อที่ดีทุกคน ที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อลูก


  
เขียนมาถึงตรงนี้ คิดถึง
" พ่อ "
ท่านหนึ่ง ที่เหนื่อยเพื่อลูกตลอดทั้งชีวิต
" พ่อ "
ที่แบกลูกหลายสิบล้านชีวิต
ไว้บนบ่า
" พ่อ "
ที่ดีที่สุดในโลก
" พ่อ "
ที่เป็น King of King

บทความนี้
แด่.... พ่อที่ดีทุกคนบนแผ่นดินสยาม

                     ด้วยความปรารถนาดี
          เพจ รอยทางของเตี่ย
ขอขอบคุณบทความดีๆค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 04, 2020, 05:38:59 PM
11 อย่าง เมื่ออายุมากขึ้น

1.อย่าเลิกสวย
    สวยมากสวยน้อย
ก็ให้สวยดูดีในแบบของเราไว้ก่อน วัยขนาดไหนก็ต้องสวยดูดีตามวัย อย่าปล่อยตัวโทรมเป็นวัตถุโบราณประจำบ้านเด็ดขาด

2.อย่าเลิกเที่ยว
    ไปเที่ยวไกลไม่ได้ ก็เที่ยวใกล้ๆบ้านเรานี่ละ อย่าจุ้มปุ๊กอยู่แต่บ้านจนเหี่ยวเฉาแห้งตาย เลยระยะกักตัวแล้ว ก็ออกไปโลดแล่นให้มันลั่ลล้าบ้าง

3.อย่าเลิกกินอร่อย
    ทำอะไรอร่อยๆให้เป็นรางวัลกับตัวเองบ้าง อย่าทำตัวอดอยากปากแห้ง กินกร่อยๆ เพราะกลัวอ้วน กลัวป่วย จนชีวิตแห้งเหี่ยวตั้งแต่ข้างนอกยันข้างใน

4.อย่าเลิกคบเพื่อน
    เหตุเพราะไปเจอเพื่อนไม่ดีบางคนเพียงคนเดียว เลยพาลไม่กล้าคบหาเพื่อนดีๆคนอื่นๆไปด้วย
    เพื่อนดีๆยังมีอีกเยอะให้เราคบหา พูดคุยปรึกษาหารือทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นครับ

5.อย่าเลิกหัวเราะ
    อย่าให้ความสูงวัย มาทำให้เราแก่จนลืมเสียงหัวเราะไป มีโอกาสหัวเราะได้  หัวเราะดังๆเลย เพราะเสียงหัวเราะรักษาได้หลายโรคเลยทีเดียวนะ จะบอกให้ แถมทำให้อายุยืนอีกด้วย

6.อย่าเลิกทำงาน
    อย่าเลิกทำงาน แม้จะเกษียณแล้วก็ตาม มีงานอะไรที่ไม่ผิดกฎหมาย ทำไปเถอะ แม้งานนั้นจะทำเอาสนุกๆก็ตาม

7.อย่าเลิกทำที่ชอบ
   มีสิ่งอะไรที่เคยชอบทำ ถ้าหากยังรักที่จะทำ ทำต่อไป  อย่าหยุดทำ เช่น ร้องเพลง ขี่จักรยาน เขียนรูป เล่นดนตรี เป็นต้น ทำต่อไปให้มีความสุข

8.อย่าเลิกออกกำลัง
    โดยเฉพาะการเดิน อย่าหยุดเดิน พยายามเดินบ่อยๆ ถ้าเดินไม่ค่อยไหว ก็หาวิธีการออกกำลังที่เหมาะกับวัยหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการออกกำลัง อย่าหยุดนอนอยู่นิ่งๆเด็ดขาด เอาไว้เวลานั้นมาถึงก่อน ค่อยนอนยาวไปเลย

9.อย่าเลิกขี้เล่น
    บ้าบอคอแตกบ้างในบางเวลากับเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยกันมานานแสนนาน ป้องกันโรคเครียด โรคซึมเศร้าฯ ติดทะลึ่งตึงตังบ้างก็ดี สำหรับเพื่อนสนิท สุขภาพจิตจะแจ่มใสไปเองครับ

10.อย่าเลิกรัก
      รักให้เป็น และอย่าเลิกรักใครเพียงแค่อายุมากขึ้น เริ่มรักตั้งแต่รักคนใกล้ๆตัวก่อน แล้วขายวงไปรักเพื่อนบ้าน รักคนที่มีน้ำใจต่อเรา รักคนที่ควรรักที่ดี
      เลิกจงเกลียดจงชังผู้คนไปเรื่อย เพราะไม่ถูกใจเรา เดี๋ยวเครียดตาย!

11.อย่าเลิกดูสีของอุจจาระตัวเองเวลาถ่ายเสร็จ
     เมื่อถ่ายเสร็จตอนเช้าทุกครั้ง อย่าเพิ่งรีบกดชักโครกทันที ให้หันดูสีของอุจจาระของเราเสียก่อนว่ามีสีอะไร เหลือง เขียว ดำ หรือมีเลือดติดออกด้วยหรือไม่

      ถ้าสงสัยให้เอาอุจจาระไปให้แพทย์ตรวจทันที เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน เช่น ถ้าอุจจาระสีดำ ต้องคาดคะเนได้เลาๆว่า ดำมาจากอะไร เรากินอะไรที่มีสีดำหรือเปล่า ถ้าไม่ อาจมีเลือดจากแผลออกจากภายในกระเพาะหรือที่ใดสักแห่งด้านในร่างกายของเราก็ได้

      อายุมากขึ้น ก็ต้องดูแลสุขภาพใจ สุขภาพกายเรามากขึ้นนะครับ

             ดร.พนม ปีย์เจริญ
                  22-11-2020


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 04, 2020, 05:44:21 PM
อยากให้ได้อ่านค่ะ
เลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา)

โดย ศ.นพ.วิทยา นาควัชระ


เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง

ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร เพราะตัวละครแต่ละคนในเรื่องก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ถือว่าเป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน

ตัวอย่างที่ 1 พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดีแต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่
ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี ลูกทั้งคู่แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง พ่อแม่เริ่มปวดหัวที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียงหรือไม่สนใจ ครั้งล่าสุดนี้ ลูกชายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น แถมเดินหนีออกจากบ้านไป

พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว
ผมถามว่าแล้วทำอย่างไรต่อ
เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูกด้วยการไม่ลงโทษเลย
ครั้นโตแล้วจึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆไม่อยู่ในโอวาท ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้และหนีไปเฉยๆ จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า
ทำไงดี…หมอครับ?

 ตัวอย่างที่ 2 พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่

ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตกและหนีออกจากบ้านไป
พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก
แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าเป็นลูกทรพี
เธอถามผมว่า…หมอ…ทำไงดี?…อยากฆ่าตัวตายอยู่แล้ว !!!

จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้ แต่ขาดวินัยกับตัวเอง

ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ ซึ่งถ้าเติบโตต่อไปก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษาของที่ทำงานและแม้แต่กฏหมายบ้านเมือง

เรียกว่าเติบโตต่อไป ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก เผลอๆก็ทำ
ผิดกฏหมายบ่อยๆโดยอ้างว่า ไม่เจตนา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ลงโทษ เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆและไม่ชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี

ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมากเรื่องการเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย ซึ่งก็คือการตีลูกนั่นเอง พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์ เชื่อถือกันมากและเลี้ยงลูกโดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย แต่จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอกในตอนเด็กๆ

ในช่วงนั้นๆผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางฝ่ายกายเมื่อทำผิด

ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า แหมมจัง!!

แต่ผมเชื่อว่า การถูกตีหรือการถูกลงโทษทางฝ่ายกายตั้งแต่เด็กๆนั้น เด็กจะตระหนักและรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่าและเร็วกว่าการลงโทษทางจิตใจและทางสังคม เพราะเด็กนั้นเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย

ผมยังพูดอีกด้วยว่า "จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด สักวันหนึ่งสังคมจะลงโทษลูกของคุณ ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่าที่คุณลงโทษเขาเสียอีก"

สิบกว่าปีผ่านไป เด็กๆยุคนั้นก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี

ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก มีพ่อแม่นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย ท้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา

มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผมด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด ซึ่งหลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้เพราะมาหาแล้วคุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ

โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่นและกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมาในทุกๆรูปแบบและต้องเข้าใจหรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ

สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพราะมองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้ ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไขโดยจิตแพทย์หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริงและต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย

ในอเมริกาก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆที่ผมเคยได้ไปศึกษามาวัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆราย ก็ช่วยเหลือได้ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ

บางรายก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย

และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย

แต่ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก

จงมาตั้งใจอบรมลูกให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆดีกว่าครับ

จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า เลี้ยงลูกผิด

ซึ่งถือว่าเป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ หรืออย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าเป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพีโดยไม่เจตนาก็ได้

ผมหนาวในหัวใจจังครับ

นำมาแบ่งปันเพราะชอบ เผื่อคนที่กำลังจะมีลูกมีหลาน จะได้มีแนวทางสอนลูกให้สอนหลานได้ต่อไป

thank you


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 14, 2020, 11:03:21 AM
ก่อนปี 2550 ผู้ป่วยโรคเอดส์ในประเทศไทยเสียชีวิตราวกับใบไม้ร่วง ปีละ 5 แสนราย
.
สาเหตุหลักคือ “ยาต้านไวรัสเอชไอวี” มีราคาแพงจนผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึง
.
แม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) มาตั้งแต่ปี 2545 ทว่าในช่วงแรกระบบก็ยังไม่รองรับการจ่ายยาต้านไวรัสฯ ให้กับผู้มีสิทธิ
.
แน่นอนว่า ก็เพราะยาดังกล่าวแพงหูฉี่ชนิดที่ระบบแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว
.
ภาพที่เกิดขึ้นในขณะนั้น คือผู้ป่วยเอดส์จำนวนมากต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อรักษา ก่อหนี้ ล้มละลาย ขายทุกอย่างแม้แต่ลูกสาว
.
จนเมื่อเดินมาถึงทางตัน ทางเลือกสุดท้ายที่หลงเหลือก็คือการกลับไปจบชีวิตลงที่บ้าน
.
เพื่อหยุดยั้งการล่มสลายและการล้มละลายของผู้คน “นพ.มงคล ณ สงขลา” ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข จึงตัดสินใจประกาศมาตรการบังคับใช้ “สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา” หรือซีแอล (Compulsory Licensing: CL)
.
การดำเนินนโยบายดังกล่าว สร้างแรงสั่นสะเทือนออกไปทั่วทั้งโลก
.
แม้ในมุมหนึ่งจะถูกโจมตีว่าประเทศแห่งนี้เพิกเฉยต่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา แต่อีกมุมหนึ่งได้จุดประกายความหวังให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะกับประเทศที่ยากจนแร้นแค้น
.
ความกล้าหาญทางจริยธรรมครั้งนั้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้ในราคาที่ถูกลง นำไปสู่อัตราการเสียชีวิตที่ต่ำลง
.
เวลา 22.52 น. ของวันที่ 11 ธ.ค. 2563 “นพ.มงคล” ออกเดินทางไกลแล้ว ร่างกายบริจาคให้เป็นอาจารย์ใหญ่แก่คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตามความประสงค์
.
 “The Coverage” ขอแสดงความอาลัย และขอบันทึกวีรกรรมบางช่วงบางตอนของท่านไว้เพื่อสดุดี
.
บรรทัดถัดหลังจากนี้คือเรื่องราวและบทสัมภาษณ์ของ “นพ.มงคล” ก่อนที่ท่านจะเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งที่ไต
.
--- ‘ซีแอล’ สะเทือนโลก ---
.
แม้ประเทศไทยถูกโจมตีว่าเพิกเฉยต่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา แต่ก็เป็นเพราะเงื่อนไขของบริษัทยาเองที่ทำให้การประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิกลายเป็น “หนทางเดียว” ที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้
.
ตั้งแต่มีการทำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2544 เรื่อยมาจนมี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ข้อเท็จจริงที่พบก็คืองบประมาณที่มีอยู่ในขณะนั้นไม่สามารถซื้อยาให้ครอบคลุมผู้ป่วยโรคเรื้อรังและร้ายแรงได้
.
นโยบาย 30 บาทจึงยังไม่สามารถรักษาทุกโรคได้จริงอย่างที่ประกาศไว้
.
“เราพยายามต่อรองมา 10 ปี แต่ไม่ได้ผล” นพ.มงคล หมายถึง “การต่อรองราคาต้านไวรัส”
.
ก่อนที่ นพ.มงคล ซึ่งขณะนั้นอยู่ในตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข จะตัดสินใจประกาศซีแอลยาราคาแพง มีการเชื้อเชิญบริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตรเข้ามาพูดคุยเพื่อเจรจาต่อรองราคายาเป็นครั้งสุดท้าย
.
การพูดคุยในครั้งนั้น “นพ.มงคล” ได้นำรายการยาที่ “นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์” เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในขณะนั้น คัดเลือกมาแล้วว่ามีความจำเป็นต่อผู้ป่วยจำนวนมาก พร้อมกับราคาที่ สปสช.จ่ายไหวมาเป็นฐานในการเจรจา
.
แต่สุดท้ายเจรจาไม่เป็นผล นพ.มงคลคว้าน้ำเหลว
.
“บริษัทยาไม่สนใจข้อมูล เขาไม่ลดแม้แต่บาทเดียว” นพ.มงคล บอกว่า สาเหตุที่บริษัทยาไม่ยอมลดราคาเนื่องจากมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก หากลดให้ประเทศไทยก็จะทำให้ประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าขอลดราคาด้วย
.
ไม่ใช่แค่บริษัทยาที่ไม่เคยลดราวาศอก แต่ รมว.สาธารณสุข ก่อนหน้านั้นหลายต่อหลายคนก็ไม่กล้าพอที่จะประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิ เพราะนั่นหมายถึงผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเศรษฐกิจการค้าของไทย
.
ทว่า สำหรับ “นพ.มงคล” แล้ว คงไม่อาจปล่อยให้การล่มสลายและการล้มละลายของผู้คนดำเนินต่อไปได้
.
เดือนพฤศจิกายน 2549 รัฐบาลไทยจึงได้สร้างความสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งโลก ด้วยการประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 51 ของ พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522
.
ยาที่ถูกทลายกำแพงราคา คือเอฟฟาไวเรนซ์ (Effavirenz) ชื่อทางการค้าคือ Stocrin เป็นยาต้านไวรัสสูตรพื้นฐานที่ใช้รักษาการติดเชื้อเอชไอวี ช่วยลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกายและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
.
ถัดมาอีกไม่ถึง 2 เดือน คือมกราคม 2550 รัฐบาลไทยประกาศเพิ่มอีก ได้แก่ ยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) ชื่อทางการค้าคือ Plavix เป็นยาละลายลิ่มเลือดใช้รักษาและป้องกันการอุดตันในเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ และยาสูตรผสมระหว่างโลพินาเวียร์และริโทนาเวียร์ (Lopinavir & Ritonavir) ชื่อทางการค้าคือ Kaletra ยาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ดื้อยาสูตรพื้นฐาน
.
“พอยาเอฟฟาไวเรนซ์เข้ามา โรคเอดส์ที่เคยตายกันปีหนึ่งสี่แสนห้าแสนคนกลับเหลือไม่ถึงแสน ที่ตายก็เพราะป่วยระยะสุดท้ายแล้ว แต่หลังจากนั้นเกือบพูดได้ว่าจนถึงวันนี้ไม่มีใครตายจากโรคเอดส์อีก” นพ.มงคล เล่าถึงดอกผลที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจ
.
--- แรงปะทะ ---
.
ทันทีที่รัฐบาลประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิ บริษัทยาต่างประเทศได้ออกข่าวโจมตีและร้องเรียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ กล่าวอ้างว่ากระทรวงสาธารณสุขของไทยไม่ได้ทำตามขั้นตอนในกฎหมายสิทธิบัตร
.
เพราะไม่ได้เจรจากับบริษัทยาอย่างถึงที่สุดก่อน แต่กลับประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยลำพัง
.
แน่นอนว่า อาการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาปกติที่ นพ.มงคล รู้ดีว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
.
“มีการโจมตีเยอะแยะเลย โดนทั้งรัฐบาลและตัวบุคคล เรื่องส่วนตัวก็มีบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมได้คุยกับท่านนายกฯ (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) ไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าถ้าประกาศซีแอลจะลดคนตายในบ้านเราได้ไม่น้อยกว่าปีละ 5 แสนราย จากโรคมะเร็ง โรคเอดส์ และการล้มละลายจากการรักษาจะหมดไป ท่านนายกฯ ก็โอเค”
.
ทันทีที่ประกาศซีแอล ประเทศไทยถูกตั้งคำถามจากนานาประเทศอย่างไม่ไว้หน้า บุคคลที่มีส่วนช่วยในการชี้แจงข้อเท็จจริงในเวทีโลกก็คือ ทูตแสบ – “วีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
.
สิ่งที่ท่านยืนยันหนักแน่นมาโดยตลอดคือ ประเทศไทยทำถูกต้องตามกฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังเป็นไปตามกฎหมายขององค์การการค้าโลก
.
มีอยู่ครั้งหนึ่ง นพ.มงคล ท่านทูตวีรชัย พร้อมคณะ ได้รับเชิญให้ไปตอบคำถาม ณ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือยูเอสทีอาร์ (United States Trade Representative: USTR) ซึ่งเมื่อคณะของประเทศไทยเดินเข้าไปในห้องก็ถูกชี้หน้าตำหนิ
.
“You are the bad guy.” ยูเอสทีอาร์เปิดฉายทักทายคณะของประเทศไทยด้วยประโยคนี้
.
นพ.มงคล โค้งรับ
.
ยูเอสทีอาร์ยืนกรานว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยทำผิดกฎหมาย ทูตวีรชัยจึงแจกแจงกฎหมายต่างประเทศ กฎหมายองค์การการค้าโลก และกฎหมายไทย สรุปแล้วประเทศไทยทำถูกต้องทั้ง 3 ฉบับ และตอบคำถามได้ทุกประเด็น ซึ่งเจ้าหน้าที่องค์การการค้าโลกที่ร่วมคณะไปด้วยกันก็ยืนยันความถูกต้องนี้
.
“ใครยังมีข้อข้องใจเรื่องการทำซีแอลของไทยอีกบ้าง” เอกอัครราชทูตไทยถาม ถึงตอนนั้นไม่มีใครแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกแล้ว
.
ก่อนจะแยกย้าย นพ.มงคล เดินกลับไปหาคนของยูเอสทีอาร์พร้อมชี้หน้า
.
“You are the real bad guy.”
.
แล้วผู้แทนสองคณะก็ลาจากกัน
------------------------------
The Coverage ขอแสดงความอาลัย และขอให้ดวงวิญญาณของ นพ.มงคล ณ สงขลา ไปสู่สุคติ ในสัมปรายภพ ณ แดนสรวงสวรรค์ ด้วยเทอญ

#หมอมงคล #บัตรทอง #ยาต้านไวรัสเอชไอวี


คุณธนโชตินำมาให้อ่านในไลน์ กลุ่มผักอินทรีย์ 15.15 ค่ะ
อ่านให้รู้ว่ายังมีคนดีๆ ที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
นำมาให้อ่านเพื่อเป็นความรู้ ไม่มีเจตนาอย่างอืนค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 16, 2020, 06:26:15 PM
เคล็ดไม่ลับ ของ ผู้เฒ่าอายุ 111

ผู้เฒ่า "โจวเอี่ยวกวง"
ในวีดิโอ อายุ 111 ปี ให้ข้อคิด 5 ข้อแก่ท่านที่อยากมีอายุยืนยาวเกิน 100 ปี !

"โจว"
เป็นผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ-การเงิน เคยทำงานธนาคารและเป็นอาจารย์
"โจว"
เมื่ออายุได้ 50 เขาได้เบนเข็มชีวิตเปลี่ยนไปศึกษา อักษรศาสตร์ อยู่ 3 ปี และได้คิดค้น "พจนานุกรมการออกเสียงภาษาจีน" ซึ่งได้รับการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา จนเขาได้รับการยกย่องว่า เป็น "บิดาแห่งการออกเสียงภาษาจีน"
"โจว"
เป็นคนรอบรู้และหมั่นศึกษาในทุกๆ เรื่อง เขาเคยนัดพบปะพูดคุยกับ "ไอสไตน์" ถึง 2  ครั้ง 2 ครา
"โจว"
อายุหลัง 100 ปี ยังคงเขียนหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์ให้สังคมสม่ำเสมอ
ปัจจุบันอายุ 111 ปี ยังคงสมองแจ่มใส ตาดี ทานได้นอนหลับ...

เคล็ดไม่ลับ 5 ข้อ ของ "โจว"  ......

1. คนไม่ได้ตายเพราะ "อด"
 แต่ตายเพราะ "กิน"
เขาบอกว่า เขาไม่กินยาบำรุงเลย รวมทั้งทั้งอาหารเลิศรสทั้งหลาย เขาบอกสมัยทำงานแบงค์ มีงานเลี้ยงมากมาย แต่เขาเลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่ใช่เพราะรสชาติหรือหายากราคาแพง...
โรค เข้าทางปาก ไม่ว่าจะ ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน ...ล้วนเป็นเพราะ ปาก 

2. ใจกว้างอายุยืน
คนเรา ต้องไม่โกรธ หรือ อารมณ์เสียง่าย
เขาเชื่อตามคำสอนของ "พุทธ" ที่สอนให้ปล่อยวาง ไม่ทุกข์กับสิ่งนอกกาย ช่วงหนุ่มๆ เขาเคยเป็นแล้วนอนไม่หลับ ช่วงหลังเมื่อคิดได้ ก็ไม่เคยนอนไม่หลับอีกเลย ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร อย่าผิดหวัง อย่าเสียใจ  อย่าโกรธหรืออารมณ์เสีย ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้าย อุบัติเหตุ ถูกคนกลั่นแกล้ง ...ก็ไม่ท้อแท้สะทกสะท้าน หรือโกรธเคือง...
นี่คือ บททดสอบชีวิต เราต้องไม่กลุ้มใจด้วยการเอาเหตุการณ์ภายนอกมาลงโทษตัวเอง

3. ชีวิตยิ่งง่ายยิ่งดี
"โจว"
มีชิวิตประจำวันที่ง่ายๆ ไม่ว่าจะ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย..คือ กินนอนง่ายๆ ไม่เรื่องมาก
เขาชอบอ่าน และยังคงเขียนบทความลงหนังสือทุกๆ เดือน
"โจว"
ไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวมากมาย ส่วนใหญ่จะอยู่บ้าน อ่าน เขียน จิบชากาแฟ และออกกำลังกาย...
สมัยแต่งงานใหม่ๆ แม่เขาเคยให้หมอดูดูดวง หมอดูบอกเขาจะมีชีวิตได้อีก 35 ปีเท่านั้น เขาบอกหมอดูดูไม่ผิด แต่อายุส่วนที่เกินนั้น เขาเป็นคนเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเขาเอง..

4. คนชราต้อง "3 ไม่"
เพื่อให้ชีวิตยามชราภาพ ง่ายๆ ไม่วุ่นวาย เขายึดหลัก "3 ไม่"  คือ.-
   ไม่ทำพินัยกรรม
   ไม่ฉลองวันเกิด
   ไม่ฉลองวันตรุษ

5. ชีวิตคู่ ที่ สอดคล้องต้องกัน
ภรรยา "โจว" อายุ 93 ปี ภรรยาชอบดื่มชา ส่วนเขาชอบดื่มกาแฟ แต่เขาทั้งคู่ก็ยกแก้วขึ้นดื่มให้กัน และพูดคุยกันได้ด้วยดี
คู่ชีวิตไม่ใช่อาศัยเพียงความรัก ต้องเคารพนับถือซึ่งกันและกันด้วย
การร่วมดื่มด้วยการชูถ้วยแก้วขึ้นพร้อมๆ กัน เป็นกิริยาน้อยๆ ที่ให้เกียรติกัน ซึ่งเขาทำต่อเนื่องกันมาตลอด...
คู่สมรส จำนวนมากอยู่ด้วยกันยาวนานมากกว่ากับ พ่อแม่ พี่น้อง ด้วย จึงมีความสำคัญต่อความสุขในชีวิตมาก
ถ้า 3 วันทะเลาะกันที
     5 วันตบตีกันครั้ง
     แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร

โลกนี้ไม่มีอะไรราบรื่น เราต้องยอมเสียสละหรือเสียเปรียบบ้าง ดูทุกอย่างให้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีปัญหา ทุกอย่างปรับได้แก้ได้ อารมณ์ย่อมไม่ขุ่นมัว ไม่เศร้าหมอง ไม่กังวล...

(จิตแกร่งใจกว้าง ...
  ผมเขียนเพิ่มเอง)

แปลโดย ประทีป ตั้งมติธรรม.


https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1962964437133998&id=151454231618370


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 03, 2021, 10:29:11 AM
ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์กับความผูกพัน

เมื่อร้อยยี่สิบกว่าปีที่แล้ว นักบวชอินเดียรูปหนึ่งที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาสอนธรรมะที่อเมริกาจนโด่งดังถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าวคนหนึ่งจากนิวยอร์ก

นักข่าวคนนั้นเริ่มต้นสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่เตรียมมาว่า
"สวามีครับ จากการเทศน์ครั้งล่าสุดท่านพูดถึง ความสัมพันธ์กับความผูกพัน ผมรู้สึกสับสนระหว่างสองคำนี้ ขอคำอธิบายด้วยครับ"

ท่านยิ้มให้พร้อมถามกลับว่า
"เธอมาจากนิวยอร์กใช่ไหม?"

"ครับ" นักข่าวตอบ

ท่านถามต่อว่า
"ที่บ้านมีใครอยู่บ้าง?"

แม้นักข่าวจะรู้สึกท่านพยายามหลี่ยงเลี่ยงคำถามด้วยการถามกลับในเรื่องส่วนตัว แต่นักข่าวก็ยอมตอบว่า
"ผมมีพ่อกับน้องชายสามคน น้องสาวหนึ่งคน ทุกคนแต่งงานแล้ว ส่วนแม่ล่วงลับไปแล้วครับ"

พร้อมรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ท่านถามนักข่าวว่า
"คุยกับพ่อบ้างไหม?"

เห็นชัดว่านักข่าวเริ่มแสดงอาการอึดอัด
ท่านถามอีกว่า  "ครั้งสุดท้ายเมื่อไร?"

"เมื่อเดือนที่แล้วมั้งครับ"  นักข่าวตอบอย่างเสียไม่ได้

"กับพี่น้องล่ะ เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาครั้งสุดท้ายเมื่อไร?"  ท่านถามอย่างจริงใจ

เหงื่อผุดบนหน้าผากนักข่าวที่ดูเหมือนจะโดนสัมภาษณ์แทน
"ช่วงคริสต์มาสเมื่อ 2 ปีที่แล้วครับ"  นักข่าวตอบ

"อยู่ด้วยกันกี่วัน?"
นักข่าวเริ่มปาดเหงื่อพร้อมตอบว่า  "3 วันครับ"

"เธอนั่งข้างๆ พ่อกี่ครั้ง?" ท่านถามอีก

นักข่าวเริ่มวางตัวไม่ถูกงงงวย เขาอึดอัด เสขีดเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษ

ท่านถามต่อว่า
"เคยทานข้าวกับพ่ออีกไหม เคยถามท่านไหมว่าท่านเป็นอยู่อย่างไรหลังจากแม่ของเธอเสีย?"

คราวนี้นักข่าวเริ่มหลั่งน้ำตา

ท่านกุมมือนักข่าวพร้อมกล่าวว่า
"อาตมาเสียใจถ้าทำให้เธอเจ็บปวดโดยไม่ตั้งใจ ไม่ต้องละอาย ไม่ต้องเสียใจ และนี่คือคำตอบของอาตมาต่อคำถามของเธอ

"เธอสัมพันธ์กับพ่อกับพี่น้องแต่เธอขาดความผูกพัน
ความผูกพันเป็นเรื่องของใจสู่ใจ นั่งด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน ใส่ใจต่อกัน สัมผัส กุมมือ สบตา ใช้เวลาร่วมกัน"

นักข่าวกล่าวอย่างซาบซึ้งว่า
"ขอบคุณสำหรับบทเรียนอันล้ำค่าและยากที่จะลืมที่สวามีให้กับผมในวันนี้ครับ"

นี่คือความจริงในปัจจุบันทั้งในครอบครัว และในสังคม
ทุกคนต่างสัมพันธ์กันแต่ไม่ผูกพันกัน
ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตนเองและโลกส่วนตัว

นักบวชรูปนั้นคือ สวามีวิเวกนันทะ (1863-1902)

ปัญหาครอบครัวของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ คือคนเป็นลูกสัมพันธ์กับพ่อแม่ แต่ไม่ผูกพันกับพ่อแม่
อย่าไปประณามพวกเขา แต่จงพยายามเข้าใจความทุกข์ของพวกเขาเถิด

สุวินัย ภรณวลัย


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 10, 2021, 05:04:36 PM
COVID-19 สอนให้เรา รู้ว่า ...

1. มี "เงิน" อย่าใช้หมด ต้องคอย "เก็บเงิน" ไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วย เพราะเวลาเกิดวิกฤตคนมีเงินอยู่บ้าง กับคนที่ไม่มีเงินเลย ทุกข์ต่างกันมากมาย

2. มี "งาน" ต้องรักงาน ต้องขยัน ต้องเต็มที่ เพราะต่อจากนี้ไม่มีอะไรการันตีความมั่นคงอีกแล้ว ต้องเป็นพนักงานที่องค์กรเห็นว่าทำงานให้เขาได้ "คุ้มค่า" เขาจึงจะจ้างไว้ต่อ

3. มี "คนที่รัก" ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติ คู่รัก หรือเพื่อนรัก ต้องสร้าง "สัมพันธ์" กันให้ดี หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แสดงความรักที่มีต่อกันออกมาตั้งแต่วันนี้ เพราะการลาจากโดยไม่ได้ร่ำลา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก

4. มี "เวลา" ต้องใช้ให้ดี อย่างปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะที่เคยคิดกันว่าทุกคนมีเวลาอย่างน้อย 70-80 ปี ต่อจากนี้จะไม่แน่เช่นนั้นอีกแล้ว

5. มี "ร่างกาย" ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ร่างกายที่แข็งแรงจะเป็น "ภูมิต้านทาน" ต่อโรคต่าง ๆ การมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่างกายที่แข็งแรง จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี

6. มี "จิตใจ" ต้องทำให้ "สดชื่น" ไม่ทุกข์ ไม่กังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับคนไม่ดี  และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน โดยไม่จมอยู่กับอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

7. มี "ชีวิต" ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต่อไปไม่มีใครรู้ว่า เรามีเวลาของชีวิตแค่ไหน ขอให้ "รู้สึกดีกับชีวิต" ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเราเอง รักตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง ภูมิใจในทุกๆ ด้านของชีวิตเราเอง

      มีหลายคนบอกว่า เมื่อไหร่ COVID-19 จะจบๆ ไปเสียที จะได้กลับไปใช้ชีวิต "เหมือนเดิม" ได้ไปเที่ยว ได้ไปกิน ได้ไปสังสรรค์

      ถ้าเป็นแบบนี้ แปลว่าเราอาจจะไม่ได้ "เรียนรู้" จากเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้เลย  หาก COVID-19 ผ่านไป ขอให้ทุกคนตั้งมั่นว่า เราจะไม่ใช้ชีวิต "เหมือนเดิม" อีก

       เราจะใช้ชีวิตให้ "ดีขึ้น" ใช้ชีวิตอย่างมี "คุณค่า" มากขึ้น โดยการมีความสุขง่ายๆ สุขจาก "สิ่งที่เรามี" ในชีวิต  ทำดีที่สุดกับ "คนที่เรารักและรักเรา"  เก็บ "เงินสำรอง" ไว้บ้างในชีวิต และที่สำคัญ "ช่วยเหลือผู้อื่น" ในทางที่เราช่วยได้

       มีคนบอกว่า COVID-19 ทำให้โลกของเราจะไม่มีวัน "เหมือนเดิม"  แต่เราก็จะบอกว่า เราก็ไม่มีวันเหมือนเดิมเช่นกัน เพราะชีวิตเรานับจากนี้ มีแต่จะ "ดีขึ้น" และ "ดีที่สุด" ในแบบที่ชีวิตของเราจะเป็นได้

ขอบคุณผู้เขียนบทความดี ๆ บทนี้...


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 10, 2021, 05:14:33 PM
บทความดีๆที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง
สำหรับคนไทย
ในเวลานี้...
—————
Cr: คุณหมอChamnan Bhu-eiam
———————
“คนไทยควรทำอย่างไรในภาวะวิกฤติ”

ในวิกฤติการณ์ของประเทศชาติเช่นนี้ คนไทยควรทำอย่างไร?

สภาพความเป็นจริง :

-เราควบคุมแรงงานเถื่อนไม่ได้

-เราควบคุมบ่อนการพนันไม่ได้

-เราควบคุมพฤติกรรมนักพนันไม่ได้

-เราควบคุมผู้ละเมิดมาตรการรัฐไม่ได้

-เราควบคุมจิตสำนึกของผู้อื่นไม่ได้

-เราควบคุม TIME LINE ผู้อื่นไม่ได้

การแก้ปัญหา :
ในเมื่อเราควบคุมพฤติกรรมคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องหันมาใส่ใจควบคุมตนเอง...

1. ”อย่าตกใจกับจำนวนผู้ติดเชื้อ” เราต้องยอมรับและทำใจว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยเราอาจต้องพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากมายกว่าที่คาดคิด
- เพราะในแง่ความเป็นจริง สังคมไทยไม่ใช่ปลอดเชื้อโควิดมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ตรวจหาหรือสุ่มตรวจหาโควิด-19 เชิงรุกอย่างจริงจัง และโดยสถิติทุกประเทศที่ทำการตรวจเชิงรุก “ยิ่งตรวจจะยิ่งพบผู้ติดเชื้อ”

- จำนวนการพบผู้ติดเชื้อมากเท่าไรไม่สำคัญ สำคัญที่เราต้องป้องกันตนเอง ทุกคนต้องระวังตนเอง และ ป้องกันตนเองโดยไม่ไว้ใจผู้อื่น (Universal Precaution) ให้คิดอยู่เสมอว่าผู้ที่อยู่ใกล้เราคือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ถ้าเรามีวินัย ป้องกันตนเองตลอดเวลาโอกาสที่เชื้อโรคจะทำร้ายเราได้ ก็เป็นไปได้ยาก

“ต่อให้น้ำท่วมโลก ก็ไม่สามารถทำให้เรือของเราล่มได้ ถ้าเราไม่ปล่อยน้ำให้ไหลเข้ามาในเรือเรา โควิด-19 ก็เช่นกัน มันไม่สามารถทำร้ายเราได้เลย ถ้าเราไม่เผลอตัวไปให้โอกาสมัน”

2. ”ต้องช่วยกันชลอการติดเชื้อ” ถ้าเราชลอไม่ได้ คือ “ความหายนะของชาติ” เราต้องยอมรับว่า ขณะนี้เราไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อภายในประเทศได้ และไม่สามารถทำให้สงบโดยในระยะเวลาอันสั้น
 (ตราบใดที่เราไม่สามารถจัดการแรงงานเถื่อน ไม่สามารถจัดการบ่อนการพนัน)

- แต่เราสามารถ”ชลอการติดเชื้อ”ได้โดยให้คนไทยช่วยกันด้วยเทคนิคง่ายๆ คือ “การลดการเคลื่อนย้ายประชาการ ลดการไปมาหาสู่กัน”สักระยะหนึ่ง..จะเรียกชื่อว่า”ล๊อคดาวน์”หรือไม่ ไม่สำคัญ ไม่ต้องมาเถียงกันให้เสียเวลา

 - เพราะหลักการป้องกันโรคติดต่อ มีอยู่นิดเดียว คือ..”โรคติดต่อ.. ถ้าเราไม่มีการติดต่อ โรคก็จะไม่ติดต่อ”

- การชลอการติดเชื้อ เป็นเสมือนการชลอน้ำที่ไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำด้วยความเร็วที่ช้าลง.. ป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรุนแรงพร้อมกันทั้งแผ่นดิน

- ประโยน์ของ”การชลอการติดเชื้อ” คือ ทำให้โรงพยาบาลมีเตียง มีอุปกรณ์การแพทย์ และ กำลังบุคลากรทางการแพทย์รองรับพอเพียง และ ได้สัดส่วนกับผู้ป่วย  รวมทั้งอัตราการหายป่วยมีมากกว่าการเจ็บป่วย

- อยู่บ้านให้มากขึ้น ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด ถ้าคนไทยเราช่วยกันทำตรงนี้กันอย่างจริงจัง นั่นคือความหวังสู้โควิดได้ (อย่าให้ใครเขาบังคับ เหมือนคนไร้จิตสำนึก)

3. เราต้อง SAVE ตนเองให้นานที่สุดเพื่อรอรับวัคซีน ซึ่งความหวังอยู่แค่เอื้อม

- Dose แรกจะเริ่มปลายกุมภาพันธ์นี้แล้ว อย่าให้พลาดท่าป่วยด้วยโควิด-19 เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าป่วยแล้วไม่ตาย แต่อวัยวะต่างๆ อาจโดนทำลาย ไม่ว่าสมอง เส้นเลือด หัวใจ ไต อาจถูกทำลาย ไม่กลับสู่สภาพเดิมได้ (และ อย่าหวังมีภูมิต้านทานจากการติดเชื้อ เพราะอันตรายมาก)

4.ในภาวะวิกฤติ คนไทยจะต้องรู้จักอดทนอดกลั้น มีวินัย อย่าโอดครวญ โวยวาย ขัดขวางมาตรการรัฐ ควรรู้จักเก็บอาการกันไว้บ้าง

- ที่สำคัญคือ ควรมีจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ และ รับผิดชอบต่อสังคมกันมากกว่านี้

- ประเทศญี่ปุ่นช่วงที่เผชิญสึนามิ-แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ล่าสุด คนญี่ปุ่นร่วมกันเผชิญวิกฤติการณ์ด้วยสติ..มีความอดทนอดกลั้น-มีความสามัคคี-มีวินัย-มีน้ำใจ-ห่วงใยต่อกัน

- จงอดทนอดกลั้น มีน้ำใจ ห่วงใยต่อกัน

บทสรุป :
   การสู้กับโควิด-19 ไม่ใช่การสู้กับเชื้อโรคร้ายอย่างตรงไปตรงมา โควิดเป็นเพียงครึ่งร่าง ที่มาอาศัยมนุษย์เราเพื่อการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์เท่านั้น   แต่มันทำให้มนุษย์เราต้องต่อสู้กับจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
  การสู้กับโควิด-19 จะเป็นการพิสูจน์ต้นทุนทางจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ในแต่ละสังคมว่า จะมีมากน้อยเพียงใด

  สำหรับประเทศไทย
ถ้าผลออกมาไม่ดีอย่างไร เราก็ต้องทำใจยอมรับมัน เพราะต้นทุนเรามีกันเพียงเท่านี้ อย่าได้คิดค้ากำไรเกินควรเลย

Chamnan.
นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม
6/01/64


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 13, 2021, 11:17:40 AM
รักษาขาของคุณให้แข็งแรง
 - บทความต้องอ่าน

 ▪️เมื่อเราแก่ตัวลงเท้าของเราจะต้องแข็งแรงอยู่เสมอ

 ▪️เมื่อเราอายุมากขึ้น / อายุมากขึ้นเราไม่ควรกลัวผมจะเปลี่ยนเป็นสีเทา (หรือ) ผิวหนังหย่อนคล้อย (หรือ) มีริ้วรอย

 ▪️ในบรรดาสัญญาณของ  อายุที่ยืนยาว  ตามที่สรุปโดยนิตยสาร "Prevention" ของสหรัฐอเมริกานั้น  กล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง  อยู่ในอันดับต้นๆ  สิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุด

 ▪️หากไม่ขยับขาเป็นเวลาสองสัปดาห์ ความแข็งแรงของขาจะลดลง 10 ปี

 ▪️การศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนในเดนมาร์กพบว่าทั้งคนแก่และเด็กในช่วงสองสัปดาห์ของการไม่ออกกำลังกาย  ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาลดลงถึง 1 ใน 3 _ ซึ่งเท่ากับ  เทียบเท่ากับอายุมากขึ้นถึง 20-30 ปี

 ▪️หากกล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแรง การฟื้นตัวจะใช้เวลานานแม้ว่าเราจะออกกำลังกายฟื้นฟูในภายหลังก็ตาม

 ▪️ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเช่นการเดินจึงสำคัญมาก

 ▪️น้ำหนักตัวทั้งหมด/การลงน้ำหนักอยู่ที่ขา

 ▪️เท้าเป็น  เสาหลัก  ในการรับน้ำหนักของร่างกายมนุษย์

 ▪️เป็นที่น่าสนใจว่า 50% ของกระดูกมนุษย์ และกล้ามเนื้อ 50% อยู่ที่ขาทั้งสองข้าง

 ▪️ข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแรงที่สุดของร่างกายมนุษย์ก็อยู่ที่ขาด้วย

 ▪️ "กระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อที่แข็งแรงและข้อต่อที่ยืดหยุ่นเป็น" สามเหลี่ยมเหล็ก "ที่รับภาระที่สำคัญที่สุดในร่างกายมนุษย์"

 ▪️70% ของกิจกรรมของมนุษย์และการเผาผลาญพลังงานในชีวิตของคนเรา ทำโดยสองเท้า

 ▪️คุณรู้หรือไม่?  เมื่อคนอายุน้อยต้นขาของเขามีกำลังมากพอที่จะยกรถคันเล็ก ๆ ได้!

 ▪️เท้าเป็น  ศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย

 ▪️ขาทั้งสองข้างมีเส้นประสาท 50% ของร่างกายมนุษย์ 50% ของเส้นเลือดและ 50% ของเลือดที่ไหลผ่าน

 ▪️เป็นเครือข่ายการไหลเวียนโลหิตขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับร่างกาย

 ▪️เฉพาะเมื่อเท้าแข็งแรงแล้ว  กระแสเลือด  จะไหลเวียนได้อย่างราบรื่นดังนั้นคนที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรงจะมี  หัวใจที่แข็งแรงอย่างแน่นอน

 ▪️อายุเริ่มจากเท้าขึ้นไป

 ▪️เมื่อคนเราอายุมากขึ้นความแม่นยำและความเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับขาจะลดลง  ไม่เหมือนตอนที่คนเรายังเด็ก

 ▪️นอกจากนี้สิ่งที่เรียกว่า  แคลเซียมปุ๋ยกระดูก  จะสูญเสียไปไม่ช้าก็เร็วตามกาลเวลาทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะกระดูกหัก

 ▪️กระดูกหักในผู้สูงอายุได้ง่าย  ทำให้เกิด  ภาวะแทรกซ้อนต่างๆโดยเฉพาะโรคร้ายแรงเช่นเส้นเลือดในสมองตีบ

 ▪️คุณรู้หรือไม่ว่า 15% ของผู้ป่วยสูงอายุจะเสียชีวิตภายใน 1 ปีจากอาการกระดูกต้นขาหัก

 ▪️การออกกำลังขาไม่มีสายเกินไป แม้อายุ 60 ปีขึ้นไป

 ▪️แม้ว่าเท้าของเราจะค่อยๆอายุมากขึ้นตามกาลเวลา แต่การออกกำลังกายที่เท้าเป็นงานที่ต้องทำตลอดชีวิต

 ▪️เพียงแค่ทำให้ขาแข็งแรงขึ้นเท่านั้น ก็สามารถชลอการแก่ได้

 ▪️กรุณาเดิน อย่างน้อย 30-40 นาที ทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่าขาของคุณได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอและเพื่อให้แน่ใจว่ากล้ามเนื้อขาของคุณยังคงแข็งแรง

 ▪️โปรดแบ่งปันกับเพื่อนผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัวของคุณ


thank you


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 13, 2021, 11:23:22 AM
犯     錯
ทำผิดพลาด

作者:尤金
ผู้เขียน:   อิ๋วจิน

在上海的一家餐館裡,負責為我們上菜的那位女侍
,年輕得像是樹上的一片嫩葉。
ณ ห้องอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเซี่ยงไฮ้ สาวเสิร์ฟที่รับผิดชอบเสิร์ฟอาหารให้กับพวกเรา ยังอ่อนเยาว์ดุจดังใบไม้อ่อนของต้นไม้

她捧上蒸魚時,盤子傾斜。
เมื่อเธอยกถาดปลานึ่งมานั้น  จานลาดเอียง

腥羶的魚汁魯魯莽莽地直淋而下,潑灑在我擱於椅子的皮包上。
น้ำคาวของปลาก็ไหลหยดลง             บนกระเป๋าหนังที่อยู่บนเก้าอี้

我本能地跳了起來,陰霾的臉,變成欲雨的天。
ข้าพเจ้าโดดขึ้นมาตามสัญชาติญาณ หน้าดำคล้ำดุจดังท้องฟ้าใกล้ฝนตก

可是,我還沒有發作,我親愛的女兒便以旋風般的速度站了起來,
แต่ทว่าข้าพเจ้ายังไม่ทันได้บันดาลโทสะ บุตรสาวของข้าพเจ้า ได้ลุกขึ้นรวดเร็วปานพายุ

快步走到女侍身旁,露出了極為溫柔的笑臉,
เดินตรงไปข้างตัวสาวเสิร์ฟ  ทั้งยังส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นยิ่ง

拍了拍她的肩膀,說:「不礙事,沒關係。」
พร้อมทั้งตบบ่าเธอเบาๆ  พูดว่า  「ไม่มีปัญหาไม่เป็นไร]

女侍如受驚的小犬,手足無措地看著我的皮包,
囁嚅地說:「我,我去拿布來抹……」
สาวเสิร์ฟเหมือนลูกสุนัขที่ตกใจกลัว มือเท้าทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนมองกระเป๋าของข้าพเจ้า พูดละล่ำละลักว่า  หนู หนู จะเอาผ้ามาเช็ดให้

萬萬想不到,女兒居然說道:「沒事,回家洗洗就乾淨了。
แต่คาดไม่ถึงว่า บุตรสาวของข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับบ้านล้างๆ ก็สะอาดแล้ว

你去做事吧,真的,沒關係的,不必放在心上。」
เธอไปทำงานของเธอเถอะ  ไม่เป็นไรจริงๆ อย่าเอามากังวลใจ

女兒的口氣是那麼的柔和,倒好似做錯事的人是她。
น้ำเสียงของบุตรสาวที่พูดนั้นอ่อนโยนมาก คล้ายดังผู้ทำผิดเป็นตัวเธอเสียเอง

我瞪著女兒,覺得自己像一隻氣球,氣裝得過滿,
要爆炸卻又爆不了,不免辛苦。
ข้าพเจ้าเพ่งมองดูบุตรสาว   รู้สึกว่าตนเองคล้ายดังลูกโป่งลูกหนึ่ง บรรจุแก๊สจนมากเกิน อยากจะระเบิดก็ระเบิดไม่ออก รู้สึกเป็นทุกข์มาก


女兒平靜地看著我,在餐館明亮的燈火下,
บุตรสาวมองข้าพเจ้าอย่างสงบ ภายใต้แสงสว่างในห้องอาหาร

我清清楚楚地看到,她大大的眸子里,竟然鍍著一層薄薄的淚光。
ข้าพเจ้าได้มองเห็นอย่างชัดเจน ถึงภายในดวงตากลมโตของเธอ ได้เคลือบเอาหยาดน้ำตาบางๆ ไว้ชั้นหนึ่ง

當天晚上,返回旅館之後,母女倆齊齊躺在床上,她這才亮出了葫蘆里所賣的藥:
ในคืนนั้นหลังจากได้กลับถึงโรงแรม เราสองแม่ลูกนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน เธอจึงได้พูดถึงสิ่งที่เธอได้ทำลงไป

女兒倫敦求學三年,為了訓練她的獨立性,
บุตรสาวได้ไปเรียนที่ลอนดอน 3 ปี เพื่อให้เธอฝึกฝนการใช้ชีวิตอย่างอิสระ

我和先生在大學的假期里不讓她回家,我們要她自行策劃背包旅行,
也希望她在英國試試兼職打工的滋味兒。
ข้าพเจ้าและสามีจึงให้เธอไม่ต้องกลับบ้านตอนปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย พวกเราต้องการให้เธอรู้จักการวางแผนแบกเป้ท่องเที่ยวด้วยตนเอง และยังหวังให้เธอรู้ถึงรสชาติของการเรียนพร้อมกับการทำงานในอังกฤษด้วย

活潑外向的女兒,在家裡十指不沾陽春水,
บุตรสาวที่อุปนิสัยร่าเริงและกระตือรือร้นต่อสิ่งภายนอก ขณะอยู่บ้านไม่เคยต้องซักผ้าถูบ้าน

粗工細活都輪不到她,
และไม่เคยต้องข้องแวะกับงานหนักงานเบาใดๆ

然而來到人生地不熟的英國    卻選擇當女侍來體驗生活。
ครั้นเมื่อมาอยู่ประเทศอังกฤษอันเป็นเมืองที่ไม่คุ้นเคย กลับเลือกมาเป็นสาวเสิร์ฟเพื่อเรียนรู้การดำรงชีวิต

第一天上工,便闖禍了。
เพียงวันแรกที่เข้าทำงาน ก็ก่อเรื่องขึ้น

她被分配到廚房去清洗酒杯,
เธอถูกจัดสรรให้ทำหน้าที่ล้างแก้วเหล้าในห้องครัว

那些透亮細緻的高腳玻璃杯,一隻只薄如蟬翼,
แก้วเหล้าทรงสูงที่ประณีตและใสแจ๋วเหล่านั้น แต่ละใบบางดุจปีกจักจั่น

只要力道稍稍重一點,便會分崩離析,化成一堆晶亮的碎片。
เพียงแต่จับแรงไปนิดหน่อย ก็ทำให้แตกได้ กลายเป็นเศษแผ่นแก้วทันที

女兒戰戰兢兢,如履薄冰,บุตรสาวทำงานด้วยความหวาดหวั่น เหมือนยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ

好不容易將那一大堆好似一輩子也洗不完的酒杯洗乾淨了,
กว่าจะล้างแก้วเหล้ากองโตซึ่งดูเหมือนล้างชั่วชีวิตก็ล้างไม่หมดนั้น ก็ได้ล้างสะอาดจนหมดสิ้น

正松了一口氣時,沒有想到身子一歪,一個踉蹌,
ขณะที่กำลังถอนใจอย่างโล่งอกนั้น คาดไม่ถึงว่าขณะที่เอียงตัวนั้น ได้เซไป

撞倒了杯子,杯子應聲倒地,
ชนแก้วเหล้าจนล้มลง แก้วเหล้วทั้งหมดล้มลงกับพื้นเสียงดัง

「哐啷、哐啷」連續不斷的一串串清脆響聲過後,
酒杯全化成了地上閃閃爍爍的玻璃碎片。
โครงเครง โครงเครง หลังจากเสียงดังกังวาลต่อเนื่อง
อันสดใสผ่านไปแล้ว แก้วเหล้าทั้งหมดได้แปรสภาพเป็นเศษกระจกระยิบระยับบนพื้น

「媽媽,那一刻,我真有墮入地獄的感覺。」
「คุณแม่   ชั่วขณะนั้นหนูรู้สึกเหมือนตกลงสู่นรก」

女兒的聲音還殘存著些許驚悸。
เสียงเล่าของบุตรสาวยังเหลือไว้ซึ่งความหวาดหวั่นตกใจอยู่

「可是,您知道領班有什麼反應嗎?她不慌不忙地走了過來,
摟住了我。說:親愛的,你沒事吧?
「แต่ว่า   ท่านรู้หรือไม่ว่า หัวหน้างานมีปฏิกิริยาเช่นใด
เธอเดินเข้ามาหาอย่างไม่รีบร้อน กอดหนูเอาไว้  พูดว่า ที่รัก เธอไม่เป็นไรนะ?

接著,又轉過頭去吩咐其他員工:趕快把碎片打掃乾淨吧!
จากนั้น  ก็หันไปสั่งคนงานอื่นๆ ให้รีบเก็บกวาดเศษกระจกจนหมดสิ้น

對我,她連一字半句責備的話都沒有
กับหนูแล้ว เธอไม่ได้ต่อว่าต่อขานแม้แต่คำเดียว

又有一次,女兒在倒酒時,
และอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่หนูรินเหล้า

不小心把鮮紅如血的葡萄酒倒在顧客乳白色的衣裙上,
ไม่ระวัง เหล้าองุ่นซึ่งแดงดังสีเลือด ได้หกลงไปบนกระโปรงชุดสีขาวของลูกค้า

好似刻意為她在衣裙上栽種了一季殘缺的九重葛。
คล้ายดั่งจงใจปลูกดอกเฟื่องฟ้าบนกระโปรงของเธอ

原以為顧客會大發雷霆,沒想到她反而倒過來安慰女兒,
ทีแรกคิดว่าลูกค้าคงจะโกรธจัด ไม่คาดคิด เธอกลับมาปลอบใจหนู

說:「沒關係,酒漬嘛,不難洗。」
พูดว่า 「ไม่เป็นไร  คราบเหล้าล้างไม่ยาก」

說著,站起來,輕輕拍拍女兒的肩膀,
พูดแล้ว ก็ลุกขึ้น ตบไหล่หนูเบาๆ

便靜悄悄地走進了洗手間,不張揚,更不叫囂,
เดินไปห้องน้ำอย่างเงียบๆ  ไม่โพนทะนา ไม่เอะอะโวยวาย

把眼前這只驚弓之鳥安撫成梁上的小燕子。
ทำเอาเบื้องหน้าซึ่งเหมือนดังลูกนกที่หวาดหวั่นต่อลูกศรของนายพรานได้รับการปลดปล่อย จนเหมือนดังนกนางแอ่นตัวน้อยบนขื่อ

女兒的聲音,充滿了感情:「媽媽,既然別人能原諒我的過失,
เสียงของบุตรสาวเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก「คุณแม่   ในเมื่อผู้อื่นยังสามารถให้อภัยต่อความผิดของหนูได้

您就把其他犯錯的人當成是您的女兒,原諒她們吧!」
ขอให้ท่านถือเสียว่าผู้ที่ทำผิดเหล่านั้นเป็นบุตรสาวของท่านเอง ให้อภัยพวกเธอเถอะ

此刻,在這靜謐的夜裡,我眼眶全濕。
ขณะนั้นในคืนที่เงียบสงัด  เบ้าตาของขัาพเจ้าเต็มไปด้วยน้ำตา

原諒別人便是放過自己。
การให้อภัยผู้อื่นคือการปลดปล่อยตนเอง

這個故事,讀了一遍眼角有淚,
บทความเรื่องนี้ อ่านไปเที่ยวหนึ่งปลายตาน้ำตาซึม

再讀一遍,依然有淚珠滑落 ...
อ่านอีกเที่ยว น้ำตาหยดไหลริน…

我想此刻,你的內心也無法平靜吧 ...
 ข้าพเจ้าคิดว่าในใจของท่านก็ไม่อาจสงบนิ่งได้

檢視一下自己平日的言行,
ลองตรวจตราการพูดการกระทำของตนเองในแต่ละวัน

原來還有這麼大的提升空間 ...
ที่แท้ยังมีช่องว่างที่จะขยับเลื่อนขึ้นได้อีกมาก
     
原來,善意可以如此美妙 ...
ที่แท้ เจตนาดีมีความงดงามเช่นนี้

原來,善意可以如此接力般地傳遞 ...
ที่แท้ เจตนาดีสามารถผลัดกันส่งต่อได้

親愛的朋友,既然我們有幸欣賞到這篇文章,
เพื่อนที่รัก ในเมื่อพวกเรามีโชคได้มาอ่านบทความนี้

既然我們感動著對方的感動,
ในเมื่อพวกเราซาบซึ้งต่อความซาบซึ้งของอีกฝ่ายหนึ่ง

讓我們從當下改變自己的言行,
ทำให้พวกเราเปลี่ยนแปลงการพูดการกระทำในปัจุบัน

把這份善意長長久久地傳遞下去...,
ให้นำเอาเจตนาดีส่วนนี้ถ่ายทอดต่อไปให้นานแสนนาน

如此,我們每一天都是幸福和幸運的!
ดังนั้น พวกเราทุกๆ วันก็จะมีความสุข มีโชคดี

生活如此美好!好好珍惜身邊出現的每一個人,
 การดำรงชีวิตที่งดงามเช่นนี้ ให้ทะนุถนอมทุกๆ คนที่ปรากฏขึ้นข้างกายคุณ

他們是來幫助我們修行的人。
พวกเขาล้วนมาช่วยในการบำเพ็ญตบะธรรมของพวกเราทั้งสิ้น

         刘婵兰   翻译
          ธาวดี     ผู้แปล   
            15 |4 |2562


thank you


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 19, 2021, 11:59:29 AM
ขอให้อ่านครับ..อย่าพึ่งลบมัน (((พยายามค่อยๆอ่านให้จบ แล้วคิดตาม จะเกิดประโยชน์กับตัวท่าน)))

เช้าตื่นขึ้นมา ได้อ่านบทความ "เฉลียงชีวิต" ของ เปลว สีเงิน แล้ว เหมาะกับพี่ ป้า น้า อา มากๆ จึงอยากจะแชร์ ต่อ

พ่อ-แม่ ยิ่งแก่ ยิ่งห่วง
ส่วนลูก ยิ่งโต ยิ่งห่าง

อย่าไปกังวลว่า ถ้าคุณจากไป อะไรจะเกิดขึ้น

เพราะเมื่อกลายเป็นผงธุลีไปแล้ว ใครเขาจะยกย่องชื่นชมหรือตำหนิประณามอย่างไร คุณจะไปรู้สึกรู้สาอะไรได้

ลูกของคุณเขาจะเป็นอย่างไร ก็อย่าเป็นห่วงให้มากนัก พวกเขาต่างก็มีจุดหมายและหนทางชีวิตของตนเอง
ตายไปแล้ว คุณก็ยังไม่เลิกเป็นทาสของลูกๆ อีกหรือ

อย่าคาดหวังอะไรมากจากเด็กๆ ต่อให้คุณชุบเลี้ยงใคร ไว้ดูแลคุณยามแก่เฒ่า เขาก็ต้องวุ่นวายกับการงานและภาระผูกพันต่างๆ เกินกว่าจะมีเวลามาช่วยเหลือดูแลอะไรคุณได้มากนัก

ส่วนลูกจริงๆ นั้นก็อาจจะกำลัง ทะเลาะกัน เพื่อแย่งทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ทั้งๆที่คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ได้

ดีขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะแค่แอบภาวนาให้คุณอย่าใช้เงินให้มาก และรีบจากไปเสียเร็วๆ อย่างนี้ก็มีให้เห็นอยู่ถมไป

คุณไม่รู้หรอกหรือว่าบรรดาลูกๆ เขาถือว่าทรัพย์สมบัติของ
คุณเป็นสิทธิ์ขาดของเขาไปแล้ว คุณจึงไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรได้เลย ในเงินที่เป็นของเขา

เข้าใจไหม?

คนอายุเกิน 50-60 อย่างคุณ ต้องเลิกเอาสุขภาพไปแลกกับความร่ำรวยได้แล้ว มีเงินเท่าไรก็ซื้อสุขภาพคืนมาไม่ได้

คุณตอบได้ไหม ว่าจะหยุดหาเงินเมื่อใด เท่าไหร่คุณถึงจะบอกว่า พอแล้ว ร้อย พัน หมื่น ล้าน สิบล้าน พอรึยังไม่ทราบ ?

ต่อให้คุณมีไร่นานับพันไร่ คุณก็กินข้าวได้แค่วันละสามจาน แม้นมีคฤหาสน์นับพันหลัง คุณก็ต้องการพื้นที่หลับนอนยามค่ำคืนเพียงแปดตารางเมตร

ดังนั้น ตราบใดที่คุณยังมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ มีเงินพอใช้สอยได้ทุกวัน เพียงเท่านี้ก็ดีเหลือหลายแล้ว

อายุเท่านี้แล้ว คุณควรอยู่อย่างเป็นสุข ทุกบ้านต่างก็มีปัญหาของตนเอง อย่ามัวไปคิดเปรียบเทียบ แก่งแย่งแข่งดีกัน ไม่ว่าชื่อเสียง ฐานะในสังคม หรือความก้าวหน้าของเด็กๆ

สิ่งที่ควรจะแข่งกันทำกันจริงๆ นั้น คือแข่งกันมีความสุข แข่งกันมีสุขภาพดีและอายุยืนนาน

ส่วนอะไร ที่เราเปลี่ยนมันไม่ได้ ก็อย่าไปฝังอกฝังใจให้ป่วยการและทำลายสุขภาพตัวเองเลย อายุป่านนี้แล้วก็ยังเปลี่ยนมันไม่ได้เลย

หลัง ๖๐ แล้วอย่างนี้ คุณต้องค้นหาหนทางของคุณเองที่จะสร้างชีวิตที่เป็นอยู่ดีๆ และสุขสดใสขึ้นมาให้ได้ ตราบใดที่มันทำให้คุณอารมณ์ดี คิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้เป็นสุข ทำอะไรก็สุขสนุกกับมันอยู่ทุกวัน นั่นก็หมายความว่า คุณได้ผ่านวันเวลาอย่างเป็นสุขแล้ว

ทุกวันวานที่ผ่านไป คุณจะสูญเสียไป ๑ วัน แต่ถ้ามันผ่านไป อย่างเป็นสุข วันนั้นคือกำไรชัดๆ เลย

จิตใจที่ดีจะช่วยรักษาโรคภัยได้ ถ้าจิตใจเป็นสุขโรคก็จะหายเร็วขึ้น แต่ถ้าจิตใจทั้งดี ทั้งเป็นสุขด้วยแล้วล่ะก็ ความเจ็บป่วยจะไม่มีทางมาแผ้วพานได้

ด้วยอารมณ์ที่ดีแจ่มใสอยู่เป็นนิจ ออกกำลังกายให้เพียงพอ
อยู่กลางแจ้งบ่อยๆ กินอาหารให้ครบหมู่ ได้วิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ เพียงเท่านี้ก็เชื่อได้แน่นอนว่า ชีวิตที่เป็นสุขอีก ๒๐ หรือ ๓๐ ปี จะเป็นของคุณแน่นอน

เหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องรู้จัก
บ่มเพาะและเก็บเกี่ยวความสุขดีๆ จากการได้อยู่ ได้เที่ยว ได้คุยกับเพื่อนๆ เพราะเขาเหล่านี้จะช่วยให้คุณ รู้สึกเยาว์วัยและมีความหมายอยู่เสมอ ขาดพวกเขาเมื่อใด คุณจะต้องรู้สึกสูญเสียอย่างแน่นอน

ครับ อ่านแล้วเห็น "เฉลียงชีวิต" ในวัยชรากันบ้างมั้ย?

ก็ต้องขอบคุณทั้งเจ้าของความคิด ผู้เผยแพร่ และทั้งผู้ส่งให้อ่าน ก็อยากบอกว่า อายุเราเลือกไม่ได้ก็จริง แต่ชีวิตแต่ละช่วงชีวิต เราเลือกได้

เปลว สีเงิน
อ่านแล้วดี รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชย์เลยฝากให้ผู้ที่จะ 50-60 และเลย 60 ไปแล้ว !

ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะครับ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2021, 08:58:58 AM
“9พ่อแม่..เป็นคนที่โง่
ที่สุดในโลก”

1.มีของอร่อยๆกิน แม้อยากกิน และกินได้ ก็ไม่ยอมกิน
   แต่อุตส่าห์เก็บไว้ให้ลูกๆได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อย

2.หาเงินได้ตั้งมากมาย
กลับไม่เอาไว้ใช้เสวยสุขให้กับตัวเอง
    กลับเก็บหอมรอมริบไว้ให้ลูกๆได้เล่าเรียนศึกษา ในโรงเรียนดี จบสูงๆ และเก็บสะสมไว้ให้เป็นสมบัติตกทอดให้กับลูก ลูกๆจะได้ไม่ลำบากเหมือนตนเอง

3.รถดีๆหรูๆราคาแพง มีตั้งมากมายให้ซื้อหามาใช้สอย ทั้งๆที่สตางค์ที่หามาค่อนชีวิตก็มี
     กลับใช้รถคันเก่าผุๆพังอยู่นั่น ไม่ยอมเปลี่ยนสักที
     แต่ทีกับลูกๆอยากได้รถรุ่นใหม่ ราคาเท่าไร ก็ซื้อให้โดยไม่คิดสักนิดเดียว

4.ตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วย ก็มักพูดเสมอๆว่า “ป่วยนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็หาย”
    แต่ทีกับลูกๆ แค่ตัวร้อนนิดเดียว รีบตาลีตาเหลือก บึ่งรถพาลูกไปหาหมอในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดทันที

5.ตัวเองนอนตรงไหนก็ได้ เพราะคุ้นเคยกับการนอนแบบนี้มานาน ในบ้านหลังนี้
     แต่กลับลูกๆ ต้องนอนบ้านหลังใหญ่ๆ ห้องนอนดีๆ แอร์เย็นๆ ลูกจะได้สบายและไม่อายใครเขา

6.ทรัพย์สินเงินทองที่อุตสาห์หามาทั้งชีวิต ก็มักประเคนให้ลูกๆไปจนหมด
    ส่วนตัวเองกลับใช้จ่ายอย่างประหยัด และมักอ้างว่า “อายุมากแล้ว ไม่ต้องใช้อะไรเยอะแยะหรอก”

7.วันหนึ่งๆได้แต่นั่งเป็นห่วงลูกๆ กลัวลูกๆจะเป็นอันตราย ตั้งแต่สมัยลูกเรียน จนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงาน เลยไปจนกระทั่งลูกๆมีครอบครัว
     ส่วนลูกๆจะห่วงเหมือนที่ตัวเองห่วงลูกหรือไม่นั้น ไม่สนใจหรอก แค่ลูกๆมีความสุข ปลอดภัย ก็เพียงพอแล้ว

8.ทุกครั้งที่ลูกๆพอครอบครัวมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน พ่อแม่จะดีใจจนออกหน้าออกตา ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก มีอะไรอร่อยๆ ก็ขนมาให้กินจนหมด
     ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ที่ตนเองไปหาครอบครัวลูกๆที่บ้าน ดูเหมือนลูกๆจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ที่ไม่บอกก่อนล่วงหน้า

9.พ่อแม่หลายคน ไม่มีอำนาจใดๆ แต่กับลูกๆแล้ว พร้อมจะปกป้องลูกๆด้วยชีวิต โดยไม่ห่วงตัวเองแม้แต่น้อยนิด
     พ่อแม่นี่..โง่จริงๆ
     เรายังมีเรื่องที่ยังติดค้างคนโง่ๆสองคนนี้อีกมากมาย ที่ไม่มีพื้นที่จะให้เขียนบรรยายได้หมด
     หากคนโง่ๆสองคนนี้ของเรายังมีชีวิตอยู่ กลับไปเยี่ยมเยียน และใช้คืนบางสิ่งบางอย่าง ที่จะทำให้คนโง่ๆสองคนนี้ความสุขบ้างนะครับ
       โดย..ดร.พนม ปีย์เจริญ
                  1-2-2021

ที่มาจากคุณพี่ภาคินค่ะ ขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ ด้วยค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2021, 10:05:57 AM
https://www.youtube.com/watch?v=xwOLIF7b14Q&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=xwOLIF7b14Q&feature=youtu.be)

Abandoned Cat Became A Monk And Promised Buddha She Won't Eat Meat | Kritter Klub
แมวฟังธรรมเป็นฝึกสมาธิได้ไม่กินปลาทูและไก่ยอมกินหญ้าแทน

https://youtu.be/xwOLIF7b14Q (https://youtu.be/xwOLIF7b14Q)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 13, 2021, 07:40:24 AM
คนดีๆ พังพินาศได้ใน ๓ วินาทีเพราะอะไร

เรื่องที่ ๑
…..ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่ง รูปหล่อ ร่ำรวย อายุ 33 ปี ได้แต่งงานกับบุตรสาวของบุคคลในกลุ่มทุนใหญ่ เธอทั้งสวยและฉลาด อายุ 28 ปี ปีต่อมาก็ได้ให้กำเนิดบุตรฝาแฝดชาย-หญิงน่ารักคู่หนึ่ง เขาเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ทำงานจริงจัง
…..คติพจน์ ประจำใจ คือ “..ไม่มีเรื่องใดในโลกที่เป็นเรื่องยาก ขอเพียงเราตั้งใจทำจริงเท่านั้น..”
…..คืนหนึ่ง เขาได้ขับรถเบนซ์คันเก่งของเขา ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เขาขับรถชนกับรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง ที่ฝ่าฝืนกฎจราจรขับย้อนศรมา เขาจึงโมโหมาก…เกิดการการทะเลาะกันหนักหน่วง ในที่สุด…เขาโดนวัยรุ่นพาลเกเรอายุยังไม่ถึง 18 แทงตาย

เรื่องที่ ๒
…..ดาวมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง อายุ 20 ปี ใบหน้างดงาม สูง 170 ซม.ได้รับการอบรมบ่มนิสัยจากพ่อแม่อย่างดีตั้งแต่เด็ก เชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีหลายชนิด และชำนาญภาษาต่างประเทศ มีรอยยิ้มอันอ่อนหวาน บุคลิกสง่างาม
…..คติพจน์ประจำใจว่า “..เพียงแต่คุณหันหน้าเข้าหาแสงสว่าง ก็จะไม่มีเงามืด..”
…..คืนวันหนึ่ง หลังจากจัดปาร์ตี้วันเกิดแล้ว เป็นวันฝนตก เธอได้ทะเลาะกับแฟนหนุ่ม ที่คบกันมากกว่า 1 ปี ด้วยความโมโหของเธอ…เธอจึงกระโดดตึก..เสียชีวิต

เรื่องที่ ๓
…..เจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง อายุ 60 ปี ก่อร่างสร้างตัวจากมือเปล่า ในวัยหนุ่ม เขาประสบความสำเร็จในตลาดการค้า ได้สร้างอาณาจักรธุรกิจของตนเอง เขาอ่านตำราพิชัยสงครามของซุนอู่จนชำนาญ และเชี่ยวชาญการทำธุรกิจร่วมทุน (Venture Capital)
…..คติพจน์ประจำใจคือ “...เป็นผู้นำ…และผู้สร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพที่สำคัญที่สุด..”
…..คืนวันหนึ่ง หลังจากการประชุมทางวิดิโอแล้ว (Video Conference) ในคืนท้องฟ้าครึ้มฝน เขาโมโห…ได้ด่าพนักงานระดับล่างคนหนึ่งอย่างรุนแรง ว่า…โง่เหมือนหมู ด้วยความโกรธ พนักงานจึงได้หยิบเอาที่เขี่ยบุหรี่ทุบศีรษะเขา…จนกะโหลกแตกตาย ! ทำให้ธุรกิจของเขาถูกทุบทำลายพังพินาศไปด้วย

….เรื่องทั้ง 3 ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีจุดสำคัญที่เหมือนกันคือ ความโมโห…ที่เกิดขึ้นใน 3 วินาที
ทำไม.? มีคนจำนวนมากใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังรอบคอบ วางแผนไว้รอบด้าน บนโต๊ะก็แปะติดคติพจน์การดำรงชีวิตต่างๆ กินอาหาร เครื่องดื่มประเภทบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงตลอด ในสมุดบันทึกก็จดสูตรลับต่างๆ ที่ใช้เพื่อการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้มีอายุยืนยาว แต่ทุกอย่างมักพังทลายจากความโกรธ…ความโมโห…อารมณ์ชั่ววูบใน 3 วินาทีเท่านั้น
เพราะว่า ใน 3 วินาทีนี้ ไม่สามารถมีสติ…ที่จะทนได้..ทนไม่ไหว ลืมที่จะอดทน ในที่สุด…นำมาซึ่งผลงานที่ได้สร้างมา…ถูกพังทลายจนสิ้น

การแต่งงาน …ต้องใช้เวลาดำเนินการที่ยาวนาน พูดเรื่องหย่าใช้เวลาเพียง 3 วินาที

การคบเพื่อนสนิท…ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน ครั้นจะโกรธกันก็ใช้เวลาเพียง 3 วินาที
การมีภาพพจน์ที่ดี…ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน การพูดผิดใช้เวลาเพียง 3 วินาที

ความสุขต้องใช้เวลาบ่มเพาะที่ยาวนาน …ปลงไม่ตกใช้เวลาเพียง 3 วินาที

การสำรวมต้องใช้ความอดทนที่ยาวนาน …อารมณ์ชั่ววูบใช้เวลาเพียง 3 วินาที

พี่ๆน้องๆ และเพื่อนๆครับ คนโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่ฉลาดมาชั่วชีวิต แต่กลับทำเรื่องเหลวไหล…เพียงครั้งเดียว…ทุกอย่างอาจพังทลายไปหมดได้
 ครั้งต่อไป ไม่ว่าจะมีอารมณ์โกรธ…หรือ โมโห…เกิดขึ้นในเวลาใดก็ตาม… ขอให้จำไว้ว่า กลั้นลมหายใจ ทำจิตตัวเองให้นิ่งจริงๆ บางที เพียง 3 วินาทีที่วิกฤตินี้ก็…อาจจะผ่านไปได้

การใช้เวลาครุ่นคิดอย่างมีสติ…ใน 3 วินาทีที่วิกฤตินี้ สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณได้ทั้งชีวิต นี่คือเหตุผลสำคัญ..ทำไม เราต้อง "ทำสมาธิ " เพื่อผลิตพลังจิต และสะสมพลังจิตทุกวัน…ขยันก็ทำ…ขี้เกียจก็ต้องทำ…ไม่ใช่ใครไหนที่ได้ประโยชน์…ตัวคุณนั่นเองแหละที่ได้ประโยชน์…ใครทำใครได้… ทำแทนกันไม่ได้…ทั้งนี้…ก็เพื่อฝึกที่จะผ่าน ..3 วินาที ที่สำคัญนี้ไปให้ได้ด้วยดี ……อย่าลืม..อย่าให้ 3 วินาทีแห่งความโกรธ(ความโง่) และ ความโมโห (ความบ้า) ของคุณนี้ พังชีวิตของคุณลงไป

ขอให้วันนี้เป็นวันดี ขอให้คุณพระรักษา ธรรมคุ้มครองตัวข้าพเจ้า ครอบครัว และสังคมของข้าพเจ้าด้วยเทอญ

ขอขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้แบ่งปันกันค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 03, 2021, 05:55:18 PM
"Struggling Girl." The vulture and the little girl, 1993. ภาพถ่ายที่สร้างชื่อเสียง และปลิดชีวิตของตากล้อง Kevin Carter ไปพร้อมกัน
.
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นภาพนี้มาบ้าง ภาพเด็กผู้หญิงที่ผอมโซ และอีแร้งที่เฝ้ารอให้เธอแน่นิ่งเพื่อกินเป็นอาหาร เป็นภาพที่น่าสะเทือนใจ สะท้อนปัญหาความอดอยากในประเทศซูดานใต้ได้อย่างชัดเจน
.
ภาพนี้ถ่ายโดย Kevin Carter ตากล้องชาว South African ที่ถูกส่งไปทำงานในประเทศ Sudan และเจอกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตรงหน้า
.
Carter ค่อย ๆ รอจังหวะที่ทุกอย่างลงตัวราว 20 นาที เพื่อถ่ายภาพที่สามารถถ่ายทอดปัญหาและความเป็นจริงไปสู่สายตาชาวโลก ภาพถ่ายนี้ถูกสำนักข่าว The New York Times ซื้อไปตีพิมพ์ สร้างความสั่นสะเทือนให้สังคมและมีผู้คนจำนวนมากติดต่อไปเพื่อถามเหตุการณ์ในภาพ และหลายคนก็เริ่มหันไปโจมตี Carter ที่ไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็กคนนี้เพียงเพราะอยากได้ภาพถ่าย ถึงขนาดมีบางสื่อโจมตี Carter ว่า "การเฝ้ามองเด็กผู้หญิงกำลังจะตาย โดยไม่เข้าไปช่วย ก็เหมือนคุณเป็นแค่อีแร้งอีกตัว ไม่ใช่มนุษย์"
.
ในปี 1994 Carter ได้รับรางวัล Pulitzer จากภาพถ่ายนี้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอีกต่อไป ความไม่เข้าใจของคนจำนวนมากที่กล่าวโทษ Carter เพียงเพราะเห็นภาพนี้ภาพเดียว กดดันทำให้ Carter เครียด ซึมเศร้า และตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงหลังจากนั้นไม่นาน โดยทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า
.
“I’m really, really sorry. The pain of life overrides the joy to the point that joy does not exist… I am depressed… without a phone… money for rent … money for child support… money for debts… money!!!… I am haunted by the vivid memories of killings and corpses and anger and pain… of starving or wounded children, of trigger-happy madmen, often police, of killer executioners… I have gone to join Ken [recently deceased colleague Ken Oosterbroek] if I am that lucky”.
.
ในความเป็นจริงคือ Kevin Carter ได้ไล่อีแร้งนั้นไปหลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จ และเหตุผลที่เขาไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงคนนี้ เพราะในขณะนั้นมีโรคระบาดรุนแรงใน Sudan จึงมีคำสั่งห้ามสัมผัสผู้คนอย่างเด็ดขาด ซึ่ง Carter เองก็เป็นเพียงตากล้องที่เข้าไปทำงาน เขาไม่ได้มีทางเลือกอะไรให้มากนัก

น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามเข้าความจริงที่เกิดขึ้น เพราะทุกคนนั่งอยู่ที่บ้านตัวเอง และเชื่อในจินตนาการของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นใน Sudan แม้แต่นิดเดียว

ภาพนี้จึงเป็นภาพที่ทั้งสร้างและทำลายชีวิตของคนถ่ายมัน ภายในเวลาแค่ 1 ปี


เป็นวิดีโอที่ นกแร้งจิกเด็กหญิงที่ยังเล็กอยู่จนล้มลงไป


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 10, 2021, 04:15:48 PM
https://www.sondhitalk.com/detail/9640000083437 (https://www.sondhitalk.com/detail/9640000083437)

หนทางไปสู่การ “เลิก” ล็อกดาวน์ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
เผยแพร่: 25 ส.ค. 2564 15:55   ปรับปรุง: 25 ส.ค. 2564 15:55


ในขณะที่พื้นที่สีแดงในการระบาดของโรคนั้น ได้ใช้มาตรการเข้มข้นปิดหลายกิจการไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าตัวเลขของการระบาดโลกจะลดลงได้เลยนั้น สาเหตุส่วนหนึ่งที่ตัวเลขไม่ได้ลดลงก็น่าจะเป็นเพราะว่าตัวเลขของการระบาดที่แท้จริงก่อนล็อกดาวน์นั้นมากกว่าตัวเลขที่รายงาน ดังนั้นถึงแม้จำนวนผู้ป่วยจะลดลงจริง ๆ ก็อาจจะไม่สามารถเห็นได้จากตัวเลขที่มีการรายงาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่มีผู้รอคิวตรวจ คนรอคิวฉีดวัคซีน ผู้ป่วยเตียงในแต่ละวันนั้นมีมากมายมหาศาล ดังนั้นตัวเลขที่รายงานทั้งหมดในขณะนี้จึงย่อไม่สามารถเชื่อถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่สะท้อนความเป็นจริง

แม้แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากที่เสียชีวิตที่บ้านเพราะไม่ได้เตียงในโรงพยาบาล จึงย่อมมีผู้เสียชีวิตที่ไม่เคยถูกตรวจว่าติดเชื้อ ดังนั้นตัวเลขการเสียชีวิตจากโรคระบาดอาจจะยังคงมีมากกว่าเท่าที่รายงานอยู่ในปัจจุบัน

แต่ความจริงก็ได้เห็นกันอยู่ว่าผู้ป่วยไม่มีเตียงรองรับนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงวัยไม่ได้ถูกเลือกให้ไปโรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงวัยอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีโอกาสได้รับเครื่องช่วยหายใจ หรือเตียงในห้องวิกฤติ และต้องเสียชีวิตไปเพียงเพราะต้องมีการตัดสินใจให้ผู้ป่วยที่เชื่อว่าจะมีโอกาสรอดมากกว่า

บุคลากรด่านหน้าในโรงพยาบาลทั้งหลายกลายเป็นกลุ่มคนที่ต้องทำงานหนักอย่างน่าเห็นใจยิ่ง เพราะนอกจากจะต้องทำงานหนักมากขึ้นแล้ว ยังต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้มากกว่าคนทั่วไป จนปัจจุบันบุคคลาการในโรงพยาบาลที่ติดเชื้อก็มีมากขึ้นเป็นลำดับ เป็นกลุ่มคนที่สมควรได้รับการดูแลไปถึงครอบครัวในการได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพดีที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อลดความรุนแรงของโรคให้น้อยลง

เมื่อผนวกกับมาตรการทั้งหลายในการรองรับการล็อกดาวน์นั้นไม่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยา ยา อุปกรณ์ตรวจเชื้อเบื้องต้น อาหาร น้ำดื่ม ฯลฯ ทำให้ผู้ป่วยเองยังไม่สามารถล็อกดาวน์ได้อย่างปลอดภัยที่จะไม่แพร่เชื้อต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเลิกล็อกดาวน์นั้นไม่น่าจะทำได้ บนกระบวนทัศน์ว่าโรคนี้ต้องป้องกันเท่านั้น จนถึงขั้นไม่ให้ติดเชื้อหรือติดเชื้อน้อยมาก

แต่ถ้าเรายอมรับว่าโรคนี้ไม่สามารถ “ป้องกัน”ได้ ไม่ว่าด้วยวัคซีนชนิดก็ตามในเวลานี้ ก็ยังมีกระบวนทัศน์อีกประการหนึ่งคือ “ตรวจวัด” และ “รักษา”ด้วยประชาชนเองได้โดยง่าย และเก็บพื้นที่โรงพยาบาลเอาไว้สำหรับผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถรักษาให้หายเองได้

นั่นแปลว่าการอุปกรณ์การตรวจให้เร็ว มีความถูกต้องและตรวจง่ายโดยประชาชนเอง เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และการรักษาด้วยฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรอื่น ๆ ที่ราคาไม่แพงจำเป็นต้องมีไว้ในทุกบ้าน เมื่อใครตรวจพบว่าติดเชื้อก็ต้องให้แยกตัวและรักษาตัวเองไป ใครป่วยติดเชื้อก็ให้รีบกินฟ้าทะลายโจรให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงของความรุนแรงของโรคให้ลดน้อยลงหรือสามารถหายป่วยได้ด้วยตัวเอง ส่วนคนที่เหลือที่เป็นกลุ่มเสี่ยงก็คอยตรวจทุก 3 วันจนมั่นใจว่าไม่มีใครติดเชื้อเพิ่มเติมตลอด 14 วัน

ถ้าบริหารให้ตรวจเชื้อได้โดยง่ายด้วยตัวเอง และรักษาให้หายได้โดยง่ายโดยผู้ป่วยเอง โรคนี้ก็ไม่ต้องถึงขั้นต้องล็อกดาวน์กิจการใดอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม การเลิกล็อกดาวน์นั้นไม่น่าจะทำได้ บนกระบวนทัศน์ว่าโรคนี้ต้องป้องกันเท่านั้น จนถึงขั้นไม่ให้ติดเชื้อหรือติดเชื้อน้อยมาก

แต่ถ้าเรายอมรับว่าโรคนี้ไม่สามารถ “ป้องกัน”ได้ ไม่ว่าด้วยวัคซีนชนิดก็ตามในเวลานี้ ก็ยังมีกระบวนทัศน์อีกประการหนึ่งคือ “ตรวจวัด” และ “รักษา”ด้วยประชาชนเองได้โดยง่าย และเก็บพื้นที่โรงพยาบาลเอาไว้สำหรับผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถรักษาให้หายเองได้

นั่นแปลว่าการอุปกรณ์การตรวจให้เร็ว มีความถูกต้องและตรวจง่ายโดยประชาชนเอง เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และการรักษาด้วยฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรอื่น ๆ ที่ราคาไม่แพงจำเป็นต้องมีไว้ในทุกบ้าน เมื่อใครตรวจพบว่าติดเชื้อก็ต้องให้แยกตัวและรักษาตัวเองไป ใครป่วยติดเชื้อก็ให้รีบกินฟ้าทะลายโจรให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงของความรุนแรงของโรคให้ลดน้อยลงหรือสามารถหายป่วยได้ด้วยตัวเอง ส่วนคนที่เหลือที่เป็นกลุ่มเสี่ยงก็คอยตรวจทุก 3 วันจนมั่นใจว่าไม่มีใครติดเชื้อเพิ่มเติมตลอด 14 วัน

ถ้าบริหารให้ตรวจเชื้อได้โดยง่ายด้วยตัวเอง และรักษาให้หายได้โดยง่ายโดยผู้ป่วยเอง โรคนี้ก็ไม่ต้องถึงขั้นต้องล็อกดาวน์กิจการใดอีกต่อไป

ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 18, 2021, 04:58:15 PM
ความหวัง เชื่อมั่น

 บ่ายวันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2021 ผมได้รับเชิญจากสถานกงสุลไทย ณ นคร ลอส แองเจ เพื่อให้ร่วมชมภาพยนตร์ “The Rescue“ ที่โรงภาพยนตร์ The Landmark อยู่ที่ West LA ภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างจากมาจากเรื่องที่เกิดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเชียงราย Jimmy Chan และ Elizabeth chai Vasarhelyi
Director and producer. Music by Danial pemberton. สนับสนุนโดย National Geographic Flims เรื่องเกี่ยวกับการกู้ภัย นำเด็กออกจากถ้ำ “ทีม 13 หมู่ป่า”

ผมไปถึงบ่ายสามโมงเศษ มีมีเดียชาวอเมริกัน และคนไทย โดยมีทีมเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยไปคอยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนและแจกอุปกรณ์ป้องกันโควิด 19 มีผู้ชมเกือบเต็มโรงภาพยนต์ ภาพยนตร์เริ่มฉายเมื่อ 16.10 น. ด้วยความยาว 1 ชม. 47 นาที

เนื้อเรื่องเน้นหนักไปที่กลุ่มนักดำนำ้ที่เข้าไปช่วยเหลือนำเด็กทั้งหมดออก  มีผู้สำคัญสี่ท่านเป็นชาวอังกฤษ ชาวออสเตรเลีย ประกอบด้วย Rick   Stanton, Jason Mallinson, Chris   Jewell, John   Volanthen และผู้เขียนแผนที่ภายใน Vern   Unsworth

 การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ มุ่งเน้นเนื้อหาในทาง Documentary มากกว่าการเป็น Dramatic ในเนื้อเรื่องมีบทเล่าหรือบอกกล่าวเป็นส่วนใหญ่ของบุคคลกับเหตุการที่เกิดขึ้น ความยากลำบากในการช่วยเหลือ การเสียสละและอุทิศตัวเพื่อเป็นจิตอาสา เพื่อผู้รับชมได้เข้าใจเนื้อเรื่อง เพลิดเพลิน เห็นความสวยงามของโลเคชั่น ความมีนำ้ใจของจิตอาสาในการ Rescuers เด็กทั้งสิบสามคน  ไม่เป็นแบบ Drama เหมือนภาพยนตร์ทั่วไป

แต่กระนั้นการเร้าใจและกินใจในเหตุการณ์ตอนจ่าแชมป์อดีต Navy Seals ทหารเรือไทย ดำลงไปช่วยเด็กระยะทางไกล ”จ่าแชมป์“ ขาดออกซิเจนเสียชีวิต ภรรยาของจ่าบอกด้วยน้ำตาว่า

“การมีนำ้ใจ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ถ้าไม่มีนำ้ใจก็เริ่มไม่ได้ในจิตอาสา” 

“ภูมิใจที่เป็นภรรยาของฮีโร่“

อีกตอนหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมชาวต่างชาติเข้าใจลึกซึ้งถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยในความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวมาแต่โบราณ

เช้าวันถัดมา ของการพบเด็ก เนื่องจากเด็กๆเหล่านั้นอ่อนแรง ถึงแม้จะมีแรงใจดี แต่การสร้างกำลังใจ ในการรอคอยที่จะได้ออกมาข้างนอกนั้นสุดบรรยาย ความหวังจะนำเด็กทั้งหมดออกมาให้ปลอดภัยนั้นสิคือสิ่งต้องคิด  ประกอบกับเวลาที่เหลือนั้นมีน้อย  ส่วนฝนยังตกหนักติดต่อกันไม่ยอมหยุด เรื่องนี้ทำให้ Rick  Stanton เครียดและหงุดหงิด เครียดกับปัญหาที่ปริมาณนำ้ในถ้ำที่สูงขึ้น ยิ่งยากในการนำเด็กออกมา

เช้าที่ต้องครุ่นคิด เมื่อมีคนบอกให้ Rick ช่วยนำด้ายผูกข้อมือ (สายสิญจน์) ของพระครูบาบุญชุ่ม ติดตัวฝากไปให้เด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ เขาอารมณ์เสีย เอ่ย ”Bull shit” พร้อมทิ้งด้ายนั้นลงบนพื้นจนเพื่อนนักประดานำ้เตือน “คุณรู้ใหมเด็กเหล่านั้นเชื่อมั่นในจิตวิญญาณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์  จะทำให้เด็กๆมีขวัญกำลังใจที่ดี“ เขาพยักหน้า Rick กำด้ายเหล่านั้นกลับขึ้นมาทันที

 ..สมาธิ..กับเด็กสิบกลุ่มนี้ โค้ช หรือหัวหน้ากลุ่มบอกให้เด็กๆอยู่ในความสงบโดยการทำสมาธิ และกินเฉพาะนำ้ที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำ ไม่ดื่มนำ้ที่มาจากพื้นที่ไหลผ่าน คงไม่แปลกใจที่พวกเขาอยู่กันหลายวัน อากาศไม่น่าจะเพียงพอ
     
ในวันที่ 14 Rick ตรวจดูออกซิเจนในบริเวณที่เด็กอยู่ พบว่าเหลือออกซิเจนเพียง 15 % เท่านั้นและถ้าตำ่กว่า 10 % โอกาสมีชีวิตรอดนั้นจะหมดลง แต่เด็กเหล่านั้นเชื่อในตัวโค้ช สงบสติอารมณ์ การทำสมาธิทำให้การหายใจเบาบางและมีออกซิเจนเพียงพอ

ตลอดระยะเวลา 1 ชม. 47 นาที มีสิ่งเร้าใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดเวลา เป็นภาพยนตร์ที่น่ายกย่องชมเชยกับการสร้าง ดำเนินเรื่องและเพลงประกอบในภาพยนตร์ “ความหวัง“ ความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ บวกกับการมีนำ้ใจของคนไทย ทั้งๆที่เหตุการแบบนี้ยาทจะสำเร็จลงได้ จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มาสู่ “สิ่งที่เป็นได้“ มาเป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย กลายมาเป็นผลงานระดับโลก ที่ทำให้หลายคนอยากมาประเทศไทย ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องยกให้ National Geographic ที่ทำให้ประเทศไทย ”ได้โฆษณา” เมืองไทยโดยไม่รู้ตัว




https://m.youtube.com/watch?v=x_kiX0uUDNI

-ขอบคุณค่ะ-/size]


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 18, 2021, 05:10:31 PM
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของ อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์

ในชีวิตของผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) เคยผ่านการบวชมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกตอนอายุ 22 ปี  ครั้งที่สองตอนอายุ 28 ปีเหตุที่บวชอีกครั้งเพราะได้บนบานไว้ ขอให้พี่ชายรอดชีวิตจากการผ่าตัดสมอง

ตอนนั้นผมลำบากมาก  ต้องออกจากวงการไปเป็นนักร้องตามผับตามบาร์  เงินเก็บก็ไม่มี  เมื่อพี่ชายประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มหัวฟาด ต้องผ่าตัดสมอง  มีค่าใช้จ่ายถึงสามแสนบาท  โดยที่โอกาสรอดมีเพียงแค่ 40เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  แต่ผมก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตพี่ชายไว้


ครูบาอาจารย์แนะนำให้ผมนั่งสมาธิแล้วอธิษฐานจิตถึง ท่านพ่อเฟื่อง  โชติโกเจ้าอาวาสคนแรกของวัดธรรมสถิต  จังหวัดระยอง ที่ผมนับถือ  ปรากฏว่า หลังผ่าตัดพี่ชายผมรอดราวปาฏิหาริย์  แต่ด้วยความที่สมองบางส่วนของเขาได้รับความกระทบกระเทือน ทำให้พูดไม่เป็นภาษา  ตอนนั้นผมรู้สึกทุกข์มาก เพราะปัญหาหลายอย่างเข้ามารุมเร้า  แต่โชคยังดีที่การรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าทำให้ผมได้รู้จักกับ หลวงปู่วัย  ซึ่งเคยเป็นอาจารย์หมอสอนอยู่เมืองนอกแต่กลับมาบวชตลอดชีวิตที่เมืองไทย  และสนใจศึกษายาแผนไทยอย่างจริงจัง  ท่านบอกผมว่า  ยาฝรั่งตามหลังยาไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 80 ปี

หลวงปู่วัยเขียนชื่อยาไทยให้ผมไปซื้อที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ  เมื่อให้พี่ชายกิน  สมองของเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว  จนทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะพูดจาสื่อสารกับเราได้ยาก  แต่ก็สามารถดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง  เพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว  หลังจากที่พี่หาย ผมก็ตัดสินใจบวช  และการบวชครั้งนี้ทำให้ใจของผมได้สัมผัสกับธรรมะของหลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน

ชีวิตดีขึ้น  หลังทำผ้าป่าช่วยชาติ

ผมมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากหลวงตามหาบัว  ท่านพูดว่า พระอรหันต์มีจริงนิพพานมีจริง  และสิ่งนี้ได้เกิดกับท่านตั้งแต่อายุ 30 กว่า ๆ  แม้ว่าใจหนึ่งจะคิดว่าท่านพูดแบบนี้ได้อย่างไร  เพราะมันเหมือนอวดอุตตริมนุสสธรรม  แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความปีติยินดีจนน้ำตาไหล  เพราะเราก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนามานานแล้ว  แต่มีพระรูปนี้ที่เอ่ยเรื่องนี้ให้เราได้ฟัง  ท่านพูดเพื่อให้ทุกคนมาช่วยชาติ  ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ส่วนตนใด ๆ

เมื่อสึกแล้ว ผมก็เข้าไปช่วยงานหลวงตามหาบัว  เช่น  ช่วยทำสปอตโฆษณาเป็นโฆษกพูดตามงานต่าง ๆ  ช่วยทำโรงทานจัดดอกไม้ในงานต่าง ๆ  ยกเครื่องเสียงตั้งโต๊ะ  เต็นท์  ฯลฯ  ผมทำทุกอย่างด้วยใจแทบไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี  จากที่ไม่มีอะไรเลย  ก็เริ่มเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก

แม้ว่าผมจะเรียนจบเศรษฐศาสตร์มาก็จริง  แต่เคยไปลงเรียนวิชาทางด้านครุศาสตร์  และสนใจพระพุทธศาสนาและจิตวิทยา  ทำให้ผมอยากพัฒนาเรื่องการศึกษาของเด็กไทย  และคิดว่าถ้าให้ดีที่สุดก็ต้องเริ่มตั้งแต่วัยอนุบาลและวัยประถม  ผมและแม่ของภรรยาซึ่งเป็นครูมาตลอดชีวิตจึงได้ร่วมมือกับนักวิชาการทางการศึกษาคิดค้นหลักสูตรที่เรียกว่า  “ดนตรีคีรีบูน  พัฒนาอัจฉริยภาพ”  ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในวัยอนุบาลด้วยการใช้กระบวนการทางดนตรี

ช่วงแรก ๆ ที่ทำ  ผมต้องไปทดลองสอนเด็กอนุบาลที่โรงเรียนต่าง ๆ ฟรี  ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ลำบาก  ต้องทิ้งอย่างอื่นเพื่อมาทำงานการศึกษาอย่างจริงจัง  เงินทองก็ไม่มี ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเคยมองทุ่งหญ้าข้างทางแถวรามอินทรา  แล้วคิดว่า  “นี่ถ้าเรากินหญ้าได้  ชีวิตคงจะไม่ยุ่งยาก”  แต่ผมก็กัดฟันสู้ไม่ถอยมาเป็นสิบ ๆ ปี  จนวันนี้เริ่มเห็นดอกผลของสิ่งที่บากบั่นมาด้วยสมองและสองมือของตัวเอง  เมื่อโรงเรียนต่าง ๆเกิดความศรัทธาในวิธีการสอนของผม หลักสูตรที่คิดค้นก็เลยได้นำไปใช้ในโรงเรียนกว่า 40 แห่ง  และปัจจุบันผมเปิดเป็นโรงเรียนคีรีบูน จีเนียสมิวสิค อีกด้วย

ดนตรีพัฒนาอัจฉริยภาพที่ผมคิดค้นเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็ก  โดยจัดการเรียนการสอนที่เป็นกระบวนการกระบวนการที่ว่านี้ใช้ทั้งเพลง  นิทาน  เกมและสื่อการสอนต่าง ๆ  อย่างเช่น ผมจะสอนการฝึกคิดวิเคราะห์ให้กับเด็ก  ก็สอนผ่านเพลง พายเรือ ที่ผมจะให้ไม้พายกับเด็กทุกคน  แล้วให้พายเรือไปตามจังหวะของเพลงเช่น  ร้องเพลงว่า  “ลงเรือ  พายไป  ตามคลอง”  เด็กก็จะยกไม้พายขึ้นลงตามเพลงตามมาด้วยเนื้อร้องท่อนต่อไปว่า  “ตาจ้องมองสองฝั่งข้างทาง  หูฟังเสียงอะไรกันบ้าง”แล้วดนตรีก็หยุด  มีเสียงดังออกมาเป็นเสียงนกหวีดและเสียงเด็ก ๆ เต็มไปหมด  ผมก็จะถามเด็ก ๆ ว่า  “ช่วยครูอ๊อดคิดหน่อยสิลูก  เราพายเรือมาถึงที่ไหนนะ  ที่มีเสียงนกหวีดกับเด็กเจี๊ยวจ๊าว  คิดว่าเป็นที่ไหน…”

นี่คือตัวอย่างการสอนของผม  ซึ่งทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน  ผมอยากปลูกฝังสิ่งนี้ให้กับเด็กทุกคน  และที่สำคัญทำให้เด็ก ๆ เห็นว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด  เราเรียนรู้ได้ไปตลอดชีวิตของเรา  และหลังจากนี้ผมก็จะทำเรื่องคณิตศาสตร์ด้วย  เพราะทั้งดนตรีและคณิตศาสตร์ก็มีธรรมชาติคล้ายกัน

ทุกวันนี้  เด็กที่ผ่านกระบวนการสอนของผม  นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว ก็ยังมีพัฒนาการด้านดนตรีดีมาก  สามารถทำวงดนตรีไปแข่งขันกับพี่ ๆ ในระดับมหาวิทยาลัยจนได้รับรางวัลกลับมา

ผมยังจำคำที่หลวงตามหาบัวพูดได้ดีว่า  “ใครที่มาช่วยกันในงานผ้าป่าช่วยชาติไม่ใช่บุญธรรมดาเลยนะ  แต่เป็นมหาบุญมหากุศลจริง ๆ  เพราะถ้าเราช่วยประเทศชาติรอด  พระพุทธศาสนาซึ่งเจริญที่สุดในโลกที่ประเทศไทยก็จะอยู่รอดไปด้วยเพราะถ้าตอนนั้นต่างชาติเข้ามา  พุทธศาสนาก็อาจจะอ่อนแอ  อาจไม่มีกฎหมายให้เราลาบวชได้  ยิ่งไปกว่านั้น  ถ้าชาติอยู่รอดพระพุทธศาสนาอยู่รอด  สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็จะอยู่รอดด้วย  เท่ากับเป็นการช่วยยกทั้ง 3 สถาบัน”

และด้วยผลบุญกุศลในครั้งนั้นก็ทำให้ทุกวันนี้ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ไม่ร่ำรวย  แต่ก็อยู่ในจุดที่สามารถดูแลตัวเองได้  ไม่ต้องหันไปมองหญ้าข้างทางเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว

ชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดเป็นชาวพุทธ

นอกจากบุญกุศลที่ทำจะช่วยให้ชีวิตของผมดีขึ้นแล้ว  ครั้งหนึ่งผมเคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุราวปาฏิหาริย์  ครั้งนั้นผมหลับในขณะขับรถขึ้นทางด่วนตอนตีสาม  รถวิ่งมาด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียงแค่คืบเท่านั้น รถของผมก็จะชนกำแพงข้างทางแล้ว  แต่ด้วยเดชะบุญทำให้ผมตื่นทันและแฉลบรถออกมาได้  จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ  ครั้งนั้นผมนึกถึงครูบาอาจารย์  นึกถึงพระพุทธรูปที่ท่านพ่อเฟื่องมอบให้ พร้อมคำพูดที่ว่า  “เก็บไว้ดี ๆ นะสิ่งนี้จะรักษากายได้  แต่ไม่สามารถรักษาใจ”เมื่อมั่นใจว่าความดีเท่านั้นที่จะรักษาเราได้ผมก็เดินหน้าทำความดีต่อไป  โดยตอนนี้ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลการสร้างเจดีย์ที่ดอยธรรมสถิต  จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่ผมต้องทำให้สำเร็จให้ได้

อย่างไรก็ตาม  สำหรับผม  ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งของต่าง ๆ  แต่ศาสนาอยู่ในหัวใจของเราทุกคน  ทุกวันนี้หลายคนเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนา เพราะสื่อนำเสนอแต่แง่ไม่ดี  ข่าวไม่ดีของพุทธศาสนาได้ลงหน้าหนึ่ง  แต่ข่าวดี ๆ มีพื้นที่หลบอยู่ด้านในนิดเดียว  ผมอยากให้หลาย ๆ คนรู้จักบริโภคสื่อให้เป็นให้เท่าทันด้วย  ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งพุทธศาสนาของเราก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้

ที่สำคัญ การที่เราจะดูแลพุทธศาสนาก็ไม่ควรหลงไปตามกระแสบุญนิยมหรือไปยึดติดตัวบุคคลแล้วลืมคำสอนที่แท้จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราจัดพิธีที่สวยงามนั่งเรียงเป็นแถว  แต่สอนให้เรามีดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์  และไม่ไปยึดติดแบบแผนอะไรที่เป็นแค่เพียงกระพี้  เพราะฉะนั้นเราอย่าหลง  แต่ควรศึกษาพุทธศาสนาให้ถึงแก่นศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์  สอนเราให้เข้าถึงเหตุและผล  เช่น  ถ้าชีวิตคุณอยากได้อะไร  คุณต้องทำในสิ่งนั้น  เมื่อทำเหตุดีแล้ว  ผลย่อมดีตามมา

สำหรับผม วิชาความรู้ทางโลกต่าง ๆที่เราเรียนนั้นยังเป็นอวิชชา  เพราะเราเรียนรู้ได้ไม่จบไม่สิ้น  เป็นการเรียนเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์  แต่พระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่เรียนรู้แล้วจบแล้วสิ้น  จบเพื่อดับกิเลสของเรา  ไม่ให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

ดังนั้น  ชาติหน้าฉันใด  ผมไม่ได้อยากเกิดเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าที่เคยเป็นแต่ผมขอตั้งจิตว่า

“ถ้าข้าพเจ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ขอให้เป็นคนที่มีสัมมาทิฏฐิประจำดวงจิตเป็นคนมีเหตุมีผล  แล้วก็ขอให้เกิดอยู่ในบวรพุทธศาสนา  และถ้าเป็นไปได้  ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวช”

ผมขอเพียงแค่นี้ครับ


ขออนุโมทนาสาธุในคุณงามความดีที่คุณอ๊อด คีรีบูนได้ทำมาค่ะ ขอให้ดวงจิตไปสู่ภพภูมิที่ดีตามที่จิตปราถนา สาธุค่ะ
ขอบคุณบทความดี ๆ ไว้ ณ ที่นี้ค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2022, 02:48:13 PM
แก้วตาดวงใจของแม่


                "หมอคะ หนูกำลังจะตายใช่มั๊ยคะ? ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ?"
เสียงพูดเบาๆ จากผู้หญิงตัวเล็กๆ ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวสิ่งเดียวที่เธอห่วงไม่ใช่ ชีวิต แต่คือ ลูกสาววัย 4 ขวบ

                 ย้อนหลังไปปีกว่าๆ ช่วงที่ไวรัสโควิด19 ระบาดได้ไม่นานมีสาวโรงงานมากมาย เสียงานของเธอไป จากเศรษฐกิจที่ไม่ปกติ
ในขณะที่ปากท้องยังต้องกินต้องใช้ คุณมาลัยพรก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบนั้นพูดง่ายๆให้ชัดเจนก็คือตกงาน โรงงานปิดกระทันหัน
เธออายุ 34 ปี มีลูกสาววัย4 ขวบ เป็นยอดดวงใจหนึ่งเดียว

                เธอแยกทางกับสามีหลังเขาไปมีคนใหม่ เดิมเธอทำงานโรงงานกับสามีที่ พนมสารคาม หลังแยกย้ายกันเพราะสามีมีผู้หญิงคนใหม่ เธอจึงย้ายตัวเองมาสมัครงานใหม่ ได้งานเป็นสาวโรงงาน ในเขตบางพลีเมืองใหม่ จริงๆแล้วเธอมีลูกสาวสองคน แต่ปีที่แล้วลูกสาวคนโต อายุ 7 ขวบเสียไปด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย ในวัยที่กำลังสดใสน่ารักทุกคืนหัวใจของแม่ที่แตกสลาย นอนร้องไห้หลับทั้งน้ำตาเป็นเวลานานแสนนาน หัวอกคนเป็นแม่เฝ้าคิดถึงลูกสาวสุดหัวใจ
                 
               อยู่มาวันหนึ่งเธอมีเลือดไหลทางช่องคลอด ไหลออกมาติดต่อกัน 13 วัน โดยไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆจึงอยากไปตรวจและพบแพทย์ แต่ ต้นทุนชีวิตของคนเรานั้นไม่เท่ากัน เธอไม่เคยลางาน กลัวจะไม่ได้เบี้ยขยัน ซึ่งอาจจะเป็นเงินที่ไม่มากสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับเธอเบี้ยขยันนั้นมีค่ากับเธอและลูกน้อยมากๆ พวกเธอจะอิ่มไปได้หลายวันเลย คุณมาลัยพรจึงอดทนไม่ไปหาหมอ รอให้ถึงวันหยุดงานค่อยไปวันเสาร์

              วันหนึ่งคุณมาลัยพรได้ใช้วันหยุดงานมาโรงพยาบาล ที่เธอมีประกันสังคม คุณพยาบาลสอบถามอาการเบื้องต้น แล้วส่งพบคุณหมอสูตินรี ก็คือ หมออรัณคนนี้แหละผมตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าที่ปากมดลูกของคนไข้มีแผลเล็กๆที่ดูแทบจะไม่ออกหากไม่ใส่ใจให้รอบคอบ แผลนั้นหน้าตาคล้ายๆผิวของบร็อคโคอลีคล้ายผิวคางคกเลยมีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา ในช่วงเวลานั้นผมรู้ทันทีว่า นี่คือมะเร็ง แต่ก็ขอเงียบไว้ก่อน แล้วบอกคนไข้ว่าพบก้อนอะไรไม่รู้ที่ปากมดลูกขอตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดูก่อน
             คนไข้บอกว่าได้ค่ะ
"คุณหมอคะ หนูเป็นมะเร็งใช่ไหม ?คุณหมอบอกมาเถอะ หนูรับได้"
แม้เธอจะบอกว่า รับได้ แต่เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาอันเป็นหน้าต่างแห่งดวงใจผมมองเห็นวงกลมสีดำที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวความเศร้า ความห่วงใยใครสักคนผมจึงไม่ตอบไปว่าคนไข้เป็นอะไรแต่แนะนำให้เธอมาฟังผลตรวจในครั้งหน้าผมได้สั่งยาฆ่าเชื้อ ยาหยุดเลือดยาแก้ปวดให้เธอไปทานก่อนแล้วนัดมาพบกัน

            คุณมาลัยพร รู้ตัวอยู่แล้วว่า เธอน่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูกเพราะเมียเก่าของสามีเธอก็เป็นมะเร็งปากมดลูกเสียชีวิตไปแล้ว สามีของเธอเป็นคนเจ้าชู้คงนำพาเชื้อไวรัสเฮชพีวี สายพันธุ์ก่อนมะเร็งมาให้เธอเป็นแน่ คุณมาลัยพร นอนกอดลูกทุกคืน นอนร้องเพลงให้ลูกฟัง

… แม่จ๋า
หนูชอบฟังแม่ร้องเพลง
แม่น้องร้องเพลงเพราะที่สุดในโลกเลย

… แม่จ๋า
แม่ร้องให้น้องลูกแก้วฟัง
จนน้องลูกแก้วตัวโตๆเลยได้ไหมจ๊ะ

… ถ้าน้องลูกแก้วโต จะร้องเพลงให้แม่ฟังบ้าง
เวลาแม่แก่นะ

แล้วเด็กน้อยก็หลับไปด้วยความไร้เดียงสา

คุณมาลัยพรนอนกอดลูกสาว น้ำตาไหลออกมาแบบกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆในใจของเธอได้เพียงสวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากฟ้าขอให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาว
เฝ้าดูลูกสาวสุดที่รักเติบโตในทุกๆวันหากเธอจะจากโลกนี้ไปก็ขอให้ลูกสาวโตกว่านี้ โตจนดูแลตัวเองได้ก่อนจากนั้นเธอจะยอมจากโลกนี้ไปแต่โดยดี

แต่ใครล่ะจะฝืนชะตาฟ้ากำหนดได้

สุดท้ายเรื่องราวที่เศร้าที่สุดก็เกิดขึ้น

ครบกำหนดนัดฟังผลชิ้นเนื้อ

             คุณมาลัยพร อุ้มน้องลูกแก้วมาด้วย ผมเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเธอและลูกเหลือเกินไม่รู้จะเริ่มการบอกข่าวร้ายกับเธอว่าอย่างไรหลังจากแจ้งผลว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่1การรักษาคงต้องรีบผ่าตัดโดยเร็วเพื่อให้มีโอกาสหายแต่การผ่าตัดต้องใช้เงินมาก ระหว่างการรักษา
บังเอิญ คุณมาลัยพรมีสิทธิ์ประกันสังคมอยู่กับโรงพยาบาลที่คุณหมออรัณทำงานวันเสาร์พอดี จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆอาจจะต้องมีค่าเดินทาง ค่ายานอกบัญชีบ้างนิดหน่อย

            ระหว่างที่ผมกำลังอธิบายให้คนไข้ฟังอยู่นั้น น้ำตาของคนไข้ก็ไหลนิดๆน้ำตาซึม ผมเห็นเธอกอดลูกสาวแน่นกว่าเดิม แล้วจ้องตากันแล้วคุณมาลัยพรก็ยิ้มให้กับลูกสาวของเธอเป็นการส่งสัญญาน ไม่เป็นไรนะลูก แม่สบายดี

            ผมหยุดอธิบายแป๊บนึง เพื่อให้คนไข้ได้พักใจ และเข้าใจว่าเธอคงกำลังทุ่มเทสมาธิอยู่กับน้องลูกแก้ว อธิบายมากไปอาจจะไม่เข้าใจในตอนนี้ ผมจึงหันไปคุยเล่นกับน้องลูกแก้ว เพื่อให้บรรยากาศบรรเทาลง

"ตัวเล็ก กี่ขวบแล้วคะ มีอะไรจะบอกคุณหมอหรือคุณแม่มั๊ยครับ?"

"ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ"

            เสียงใสๆของน้องลูกแก้วเด็กหญิงอายุ 4 ขวบ ที่ผมเข้าใจว่าเธอนั่งอยู่กับแม่ไปงั้นๆคงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างแท้จริงแล้ว เด็กนั่งฟังและเข้าใจในทุกอย่างที่ผมพูดเธอรู้ว่าคุณแม่ที่รักของเธอไม่สบาย ต้องผ่าตัดคุณแม่อาจจะเสียชีวิต และ ต้องใช้เงินนี่คงเป็นประโยคคำถามที่ จริงใจที่สุดและมันก็ทำให้ผม คนที่ได้ฟังรู้สึก … เจ็บปวดที่สุด …

"ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ แต่หนูร้องเพลงได้นะคะ เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้คุณหมอฟังแทนให้เงินได้ไหมคะ"

ผมรีบดึงสติออกมาจากความสงสารแล้วตอบว่า

"ไม่เป็นไรลูก ไม่เก็บเงินนะครับ หนูเก็บไว้กินขนมเถอะ เออ แล้วถ้าลุงอยากฟังเพลง หนูจะร้องเพลงให้ฟังจริงๆเหรอ"

น้องลูกแก้ว ยิ้มกว้าง หลังจากได้ยินว่าลุงหมอจะผ่าตัดให้แม่ของเธอแบบไม่เก็บตังค์

เธอเลิกกอดกับแม่ ลงจากตัก แล้วลงมายืนที่ขอบโต๊ะ แล้วร้องเพลงให้ผมได้ฟังในทันที

"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้าโอละเห่
กล่อมลูกน้อยนอนเปล
ไม่ห่างหันเหไปจนไกล

แต่เล็กจนโต โอ้แม่ถนอม
แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ
เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่
นี่แหละหนาอาลัยมิใช่ใดหนา
เพราะค่าน้ำนม …"

ทุกคนในห้องตรวจ เงียบ นิ่งสนิท
คุณมาลัยพร คว้าน้องลูกแก้วไปกอดแน่น

"พอแล้วลูกไม่ต้องร้องเพลงแล้วค่ะ
เดี๋ยวแม่ก็หายแล้วลูก …"

ผมบรรยายไม่ถูกจริงๆครับไม่รู้จะใช้อักษร หรือคำว่าอะไรมาบรรยายในความรู้สึกดี
ผมคิดถึงแม่ตัวเองเหลือเกิน
คุณพยาบาลที่คอยช่วยกันอยู่ข้างๆ จากเดิมที่คอยยืนเชียร์ ก็ยืนเช็ดน้ำตาเบาๆ
บอกว่ามีลูกสาวเหมือนกัน ฉันเข้าใจเธอ

ผมไม่ได้ร้องไห้ด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่า นัยตาออกแดงๆไหมนะ
ด้วยพลังจิตที่น้องลูกแก้วถ่ายทอดเป็นเสียงเพลงออกมา ผมตัดสินใจทิ้งงานไปหนึ่งวัน เพื่อเอาเวลาว่างมาทำผ่าตัดให้คุณมาลัยพรเป็นกรณีพิเศษ
เอ็นดูน้องลูกแก้วเหลือเกินเกินต้านมาก

การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี คนไข้นอนโรงพยาบาล 7 วัน เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งการผ่าตัดซับซ้อน ระหว่างนอนในโรงพยาบาลเพื่อนๆและผู้จัดการโรงงาน ก็มาเยี่ยมคนไข้ทุกวันทำให้ผมได้รู้ว่า คุณมาลัยพรเป็นคนดีมีแต่คนรักเถ้าแก่เจ้าของโรงงานก็ให้เลขานำเงินมาให้ ใส่ซองสีขาว เอาไว้ใช้จ่ายระหว่างไม่สบาย

ส่วนน้องลูกแก้วก็ฝากไว้กับยายที่พักอยู่ห้องข้างๆเมื่อคุณมาลัยพรหายดีกลับบ้านจึงไปรับลูกสาว

นี่คือ น้ำใจคนไทย บ้านใกล้เรือนเคียง

ผลชิ้นเนื้อออกมาว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก การผ่าตัด Free margin แปลง่ายๆว่า ตัดมะเร็งออกมาหมดแล้วจึงไม่ต้องฉายรังสี ไม่ต้องรับคีโมเลย

วันที่กลับบ้าน ยายบ้านข้างๆ พาน้องลูกแก้วมารับแม่ที่โรงพยาบาล ผมบังเอิญเดินสวนกับเจ้าตัวเล็กที่ห้องจ่ายยาพอดี

เสียงใสใสที่คุ้นหูตะโกนเรียก

"คุณหมอจ๋าาา หนูมารับแม่กลับบ้าน หนูไม่มาหาหมอแล้วนะจ๊ะ"

เธอวิ่งเข้ามาผมเหมือนจะกอดขา แต่ผมหยุดเธอเอาไว้ก่อนกลัวจะเอาเชื้อโรคไปติดเด็กเพราะผมเพิ่งตรวจคนไข้โรคติดเชื้อมา

น้องลูกแก้วยื่นซองสีขาวมาให้

"เถ้าแก่เจ้าของโรงงานให้จดหมายแม่หนู แม่บอกให้หนูเอามาให้คุณหมอจ๊ะ"
ผมรับซองจดหมายของเจ้าตัวเล็กมาเปิดอ่าน อ้าว นี่ไม่ใช่ซองจดหมาย
ข้างในมันมีแบงค์พัน 8 ใบ

ผมพับซองกลับไป แล้วยื่นให้น้องลูกแก้ว
"ลุงอ่านแล้วลูก ขอบคุณนะหนูเอาซองจดหมายนี้ไปให้แม่นะลูกฝากบอกแม่ว่าลุงหมอสั่งให้เก็บไว้นะครับฝากแม่ของหนูเก็บไว้นะ
รอให้หนูขึ้นโรงเรียน อ่านหนังสือออก ก็ให้จดหมายนี้กับลูกแก้วนะครับลุงหมอขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆครับ"

"ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ?"

และนี่ก็คือคำตอบทั้งหมด ที่ลุงหมออยากจะตอบหนู

ต้นทุนชีวิตคนเราไม่เท่ากันก็จริง แต่สิ่งที่คุณมาลัยพรมีอยู่ มีค่ามากกว่าเงินทองเยอะเลย

นั่นคือแก้วตาดวงใจของแม่นั่นเอง

หมออรัณ

********

เรื่องเล่าที่งดงาม ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศที่งดงาม น้ำใจของผู้คนที่นี่ยิ่งงดงาม นี่คือเสน่ห์ของความเป็นไทยที่พวกเราทุกคนควรภาคภูมิใจ

สุวินัย ภรณวลัย



ปล.ขอนำเรื่องราวดี ๆมาเผยแพร่
ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2022, 03:14:06 PM
''เรื่องเล่าชวนคิด "เพียงแค่...เวลาและความรัก"


ชายคนหนึ่ง...แต่งตัวมอมแมม...ไปร่วมประชุมผู้ปกครองนักเรียน ทุกคนพากันหัวเราะ แต่พอเขาขึ้นพูดบนเวทีทำเอาทุกคนน้ำตาซึม...

เมื่อไม่นานมานี้...เว็บไซต์ต่างประเทศได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่งโดยระบุว่า...งานประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ผู้ปกครองเริ่มทยอยกันเดินเข้ามาในห้องประชุม ทุกคนแต่งตัวสุภาพและเป็นทางการ ผู้ปกครองที่เข้ามาต้องไปลงชื่อ และเดินไปนั่งในที่ที่ถูกจัดเอาไว้

โดยจะมีป้ายชื่อแปะเอาไว้ที่เก้าอี้ เวลา ๘.๐๐ น. คุณครูใหญ่จะเริ่มทำการเปิดการประชุมผู้ปกครอง ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องประชุม เขาแต่งตัวสกปรกมอมแมม บนเสื้อมีคราบสี คราบดิน ดูแล้วเหมือนกับเพิ่งออกมาจากไซด์งานก่อสร้าง

ครูผู้ช่วยเดินเข้าไปถาม “ไม่ทราบว่าคุณเป็นผู้ปกครองของ…?”

“ผมเป็นพ่อของ...หวังจื่อเหาครับ”

ครูจึงบอกว่าให้เดินไปลงชื่อ แล้วไปนั่งตามชื่อที่ระบุไว้ที่เก้าอี้

“ขอโทษครับ...ผมอ่านหนังสือไม่ออกครับ…”

“ไม่เป็นไรค่ะ...เดี๋ยวดิฉันลงชื่อให้แล้วพาไปเองค่ะ”

เขาเดินก้มตัว...ตามครูไปยังที่นั่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้ปกครองในห้อง...ครูใหญ่...ได้เชิญผู้ปกครองขึ้นมาพูด บอกเล่าประสบการณ์ในการอบรมลูก แต่ผู้ปกครองที่ขึ้นมาพูด ก็พูดไปในลักษณะคล้ายกัน คือมีกฎระเบียบที่สร้างให้ลูก หากลูกไม่ทำตามหรือฝ่าฝืน ก็จะโดนลงโทษ อย่างเช่นแม่คนหนึ่งให้ลูกอ่านหนังสือ ท่องศัพท์วันละ ๒ ชั่วโมง และยังต้องไปเรียนพิเศษเสริมวันเสาร์อาทิตย์อีกด้วย หากลูกทำไม่ได้ก็จะไม่ได้รับค่าขนม

ครูใหญ่ขึ้นพูดอีกครั้ง...และแจ้งผลการเรียนเทอมที่ผ่านมาให้กับทุกคน จึงขอเชิญผู้ปกครองของนักเรียนที่ได้คะแนนสูงที่สุดในชั้นเรียน ขึ้นมากล่าวคำแนะนำวิธีการอบรมเลี้ยงลูกให้มีประสิทธิภาพ

ครูใหญ่...เรียนเชิญพ่อของ "หวังจื่อเหา" ขึ้นบนเวที เขาเดินขึ้นมาอย่างประหม่า ครูใหญ่แสดงความยินดีด้วยที่หวังจื่อเหาได้คะแนนยอดเยี่ยมของชั้นเรียนในปีนี้...และขอให้คุณพ่อช่วยกล่าวสั้นๆ เพื่อแชร์ประสบการณ์แก่ผู้ปกครองท่านอื่น...

ในขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจ เพราะเขาเป็นคนไม่มีการศึกษา แต่ลูกชายเขากลับได้คะแนนสูงสุดในชั้นเรียน

 “ผมไม่รู้ว่าจะแนะนำอะไร...เพราะผมเป็นคนไม่มีความรู้ ผมแค่ชอบนั่งอยู่ข้างๆลูก นั่งดูลูกทำการบ้าน…”

 ผมทำงานที่ไซด์งานก่อสร้าง...แต่ละวันก็จะยุ่งมาก พอกลับถึงบ้านมีเวลาผมก็อยากจะนั่งคุยกับลูก ใช้เวลานั่งดูเขาทำการบ้าน พอเขาทำการบ้านเสร็จก็จะชวนเขาไปกินข้าว หาน้ำให้เขาดื่ม”

 ลูกชายเคยถามว่า...พ่ออ่านไม่ออกแล้วรู้ได้ยังไงว่าผมทำการบ้านถูกหรือผิด?...ผมจึงบอกว่า ก็ถ้าวันไหนแกทำเสร็จเร็วก็แปลว่าการบ้านมันง่าย ถ้าวันไหนแกนั่งคิดนานแสดงว่ามันยาก ผมก็จะหาของกินที่เขาชอบหรือน้ำเย็นๆมาให้เขาสักแก้ว...”

 ผมเคยถามลูกว่า...ลูกอยากมีชีวิตที่ดี มีบ้านสวยๆ มีรถดีๆ ขับไหม?
ลูกผมตอบว่า...อยากครับ...ผมจึงบอกว่า...พ่อไม่มีความรู้ อ่านหนังสือก็ไม่ออก จะไปทำงานอะไรดีๆ ก็คงยาก ได้แต่เป็นแรงงานแบบนี้...ถ้าลูกอยากมีชีวิตที่ดี ลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือ

ความรู้ที่ติดตัวลูกและช่วยให้ลูกมีอาชีพมีการมีงานที่ดีในอนาคตได้ ความจริงถ้าจะให้ขอบคุณก็ต้องขอบคุณคุณครูทุกท่านที่ช่วยสั่งสอนและให้ความรู้กับลูกชายของผม ทำให้เขามีวันนี้...ขอบคุณครับ"

เขาก้มหัวลงคำนับคุณครู...เมื่อพ่อของหวังจื่อเหาพูดจบผู้ปกครองที่นั่งอยู่ในห้องก็ต่างปรบมือเสียงดัง

“คุณพ่อของหวังจื่อเหา พูดได้ดีมาก การให้เวลาอยู่กับลูกนั้นสำคัญมาก การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ให้กำลังใจในวันที่ลูกเหนื่อย จะทำให้ลูกรู้สึกมีคุณค่าและ เป็นแรงผลักดันทำให้เขาพัฒนาตัวเอง”

 อย่าคิดว่า...เงินทองหรือสิ่งของ...จะทดแทนเวลาและความรัก...จากพ่อแม่ได้ เพราะสิ่งที่ลูกต้องการที่สุดไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจาก "เวลา" ที่ได้อยู่กับพ่อแม่เท่านั้นเอง...

...เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้แล...


ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆนำมาแบ่งปันกันค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2022, 03:18:14 PM
เมื่อฮ่องเต้พิโรธ ทำให้ประเทศอื่นติฉินนินทา

เมื่อวานมีโอกาสไปถวายภัตตาหารเช้าสมเด็จฯ ท่านทักว่าหายไปหลายเดือน แล้วก็เมตตาสอนธรรมะให้เช่นทุกคราว เรื่องที่ท่านเล่าครั้งนี้เป็นนิทานจากจีน

วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จประพาสป่าเพื่อไปต่อนกพร้อมพราน และบัณฑิต เมื่อจับนกได้ก็ให้พรานเป็นผู้ถือไว้ ปรากฏว่า พรานพลั้งพลาดทำนกตัวโปรดที่จับได้หลุดมือบินหนีไป ฮ่องเต้ซึ่งมีอำนาจล้นฟ้า และมีสถานะเสมือนเจ้าชีวิตทรงพิโรธมากจึงมีคำสั่งให้ประหารชีวิตพราน โทษฐานที่ทำให้สูญเสียนกตัวโปรด

บัณฑิตกราบทูลฮ่องเต้ว่า พรานที่ทำนกหลุดย่อมมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตแน่นอน แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะอันที่จริงพรานทำผิดถึง 3 ข้อ คือ
1) ทำนกหลุดบินหนีไป
2) ทำให้ฮ่องเต้มีโทสะ
3) ทำให้ประเทศอื่นที่เมื่อทราบข่าวการประหารนี้ ก็จะติฉินนินทาฮ่องเต้ว่ามีโทสะจากการที่นกหลุดมือบินหนีแล้วสั่งประหารชีวิตคน

ฮ่องเต้ฟังแล้วได้คิด จึงให้ยกเลิกคำสั่งประหารชีวิตพรานผู้นั้น เมื่อผมฟังจบก็อดอุทานออกมาไม่ได้ว่า
สมเป็นบัณฑิตจริง ๆ

สมเด็จฯ ถามว่า นิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร
ผมตอบว่าเรื่องอำนาจ
ท่านยิ้ม ๆ แล้วส่ายหน้า
ผมตอบใหม่ว่าเรื่องโทสะ
ท่านยิ้ม ๆ แล้วก็ยังคงส่ายหน้า
ทำเอาผมหัวเราะแล้วกราบท่านว่า ยังคงเป็นดร. โง่คนเดิม

สมเด็จฯ ท่านสอนว่า แก่นหลักของพุทธศาสนาคือ

"สอนให้รู้จักมองตัวเอง อย่ามัวแต่มองคนอื่น หรือ โทษคนอื่น "

เพราะถ้าฮ่องเต้ไม่ไปต่อนกเพื่อหวังจับนกตั้งแต่แรก ก็ไม่มีนกที่จะบินหนีไป และต่อให้นกบินหนีไป แต่ถ้าฮ่องเต้ไม่เสียดาย ควบคุมอารมณ์ได้ ก็จะไม่มีโทสะ และต่อให้มีโทสะ แต่ถ้าฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้โทสะครอบงำจนนำไปสู่การออกคำสั่งประหาร ก็จะไม่มีประเทศใดติฉินนินทาได้ว่า

"ฮ่องเต้เห็นนกสำคัญกว่าชีวิตคน"

ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวฮ่องเต้ทั้งนั้น เพราะต้นเหตุที่แท้จริงไม่ใช่ "พรานทำนกหลุด" หากแต่เป็น "ฮ่องเต้ไปจับนก" เพราะนกก็อยู่ของมันตามธรรมชาติ เมื่อมีคนไปจับมากักขัง นกก็ต้องอยากหนีกลับไปสู่ธรรมชาติ
ดังนั้น การสืบสาวราวเรื่องใด ๆ จึงต้องไปให้ถึงต้นตอ

ที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่แค่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆเพราะจะทำให้เข้าใจผิด สรุปผิด ตัดสินใจผิด และไม่สามารถแก้ไข "ความไม่รู้" หรือ "อวิชชา” อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทุกอย่างในโลกได้

สิ่งที่บัณฑิตพูดแม้ฟังดูเหมือนจะพูดถึงเฉพาะความผิดของพราน แต่กลับเป็นการเตือนสติฮ่องเต้ให้ตระหนักถึงสิ่งที่ฮ่องเต้กำลังจะทำ และผลลัพธ์ที่จะตามมาได้อย่างแยบยล อีกทั้งเป็นการเตือนเราทุกคนให้
"มองให้ลึกกว่าที่เห็น ฟังให้ลึกกว่าที่ได้ยิน" อย่ามองอะไรแค่ผิวเผิน อย่าฟังอะไรเพียงแค่ลมผ่านหู และทำให้ผมนึกถึงคำโบราณที่แนะนำไว้ว่า "ผู้มีอำนาจทั้งหลายพึงมีบัณฑิตอยู่ข้างกาย"

สมเด็จฯ ยังเมตตาจดกลอนไว้ให้ใช้เตือนสติ "ให้มองตนเองเสมอ" อีกสองบท ดังนี้

บทแรก ว่าด้วยข้อคิด "การพูด/การสื่อสารกับคนอื่น"

พูดไปเขาไม่รู้กลับขู่เขา
ว่าโง่เง่างมเงอะเฟอะหนักหนา
ตัวของตัวทำไมไม่โกรธา
ว่าพูดจาให้เขาไม่เข้าใจ

ที่สอง ว่าด้วยข้อเตือนใจไม่ให้มอง "ตนเองสูงส่ง คนอื่นด้อย"

โทษผู้อื่นแลเห็นเป็นภูเขา
โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน
ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเราเหลือทน
ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร

(ท่านบอกที่มาของบทกลอนว่า ผู้แต่งคือ พระศาสนโศภน (แจ่ม จตฺตสลฺโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม

บทเรียนหลักของวันนี้ "หมั่นสอบสวน ติเตียน และแก้ไขตนเองอยู่เสมอ ๆ" นะครับ

#อาหารบำรุงชีวิตสูตรสมเด็จฯ
#สมเด็จพระวันรัต
#จงมองตนเองอย่ามองผู้อื่น

สาธุค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2022, 09:26:49 AM
คุณวรวรรณ ธาราภูมิ
-ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง ได้แบ่ง3 ช่วงของผู้สูงวัย พร้อมกับตั้งชื่อให้กับแต่ละช่วงวัยไว้ว่า
 -วัยห้าว -วัยหด และ -วัยเหี่ยว

วัยห้าว

สำหรับคนในวัยเกษียณช่วงต้น อายุ 60-69 ปี ส่วนใหญ่แข็งแรง พลังงานเต็มเปี่ยม ทำอะไรๆ ได้เหมือนกับช่วงก่อนเกษียณ และหลายคนในวัยนี้ยังไม่รู้จักคำว่าเกษียณ สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ทำให้ยังมีรายได้และรู้สึกว่าตนเองยังมีค่าต่อสังคม

นอกจากนี้ ยังเป็นวัยที่ "ฮึกเหิม" อยากทำสิ่งใหม่ๆ ที่ใฝ่ฝันไว้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน ที่หลายคน "อยากเริ่มต้นอาชีพใหม่ นำเงินที่เก็บออมไว้ออกไปลงทุนทำธุรกิจ ทำไร่ ทำสวนและเพราะความห้าว ผสมกับความฮึกเหิมนี้เอง ที่ทำให้หลายคนต้องสูญเงินที่เก็บออมจำนวนมาก เพราะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ โดยไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ ไม่ได้ประเมินความสามารถ ความเหมาะสมกับกำลังวังชาของตน

วัยหด
 
วัยนี้ถือเป็น "วัยเกษียณจริง" อายุ 70-79 ปี เพราะ "ความสามารถในการใช้ชีวิตจะลดลง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ลูกจ้างเกษียณ อาชีพอิสระ หรือเจ้าของกิจการ จะไม่มีความแตกต่างด้านการใช้ชีวิตในวัยหดสักเท่าไร"

ในขณะที่ความสามารถในการหารายได้ลดลงจนเกือบหมด แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีมากขึ้น เพราะโรคภัยจะแสดงอาการออกมาชัดเจนขึ้น จึงควรลดกิจกรรมต่างๆ ลง และให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและสุขภาพจิตใจมากขึ้น

*อย่ามั่นใจในศักยภาพของตัวเองจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาก่อนวัยอันควร*

วัยเหี่ยว

ในวัย 80 ปีขึ้นไป เข้าสู่วัยชรา และวัยพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยในช่วงที่ชราภาพมากๆ จำเป็น ต้องมีคนคอยดูแล เพราะปัญหาสุขภาพจะมีมากขึ้น ความจำแย่ลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของสุขภาพ จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทางการเงินไว้สำหรับการใช้จ่ายด้านสุขภาพเป็นหลัก
.
.เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เห็นว่าอายุ 60  แล้วจะเหมารวมว่าเป็นผู้สูงอายุเหมือนๆ กันหมด คนไทยก็มีอายุยืนขึ้น โดยผู้ชายอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ปี ขณะที่ผู้หญิงอายุเฉลี่ย 80 ปีและ..จากสถิติประชากรของประเทศไทย พบว่า..*ถ้ามีชีวิตรอดมาจนถึงอายุ 60 ปีได้แล้วล่ะก็ จะมีโอกาสมีชีวิตต่อไปจนถึงอายุ 81-83 ปี

เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ท่านที่ประคับประคองชีวิตมาได้จนถึงวัยหลังเกษียณ ก็มองตัวเลขอายุ 80 ปีไว้เป็นเป้าหมายได้เลย จะได้..
เตรียมพร้อมรับมือกับชีวิตในวัย 70-80 ปีไว้ ไม่ประเมินอายุตัวเองต่ำเกินไป

เพราะ..ปัญหาหนึ่งของผู้สูงอายุ คือ มักคิดว่าจะตายเร็วกว่าความเป็นจริง

เพราะ..หากไม่เตรียมพร้อม ใน "วัยห้าว" ที่ยังมีเรี่ยวแรงหารายได้ อาจจะยังไม่มีความทุกข์

แต่..ถ้าเข้าสู่..วัยหด หรือ..วัยเหี่ยว เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่มีทุกข์แบบเดียวกับผู้สูงอายุทั่วๆ ไป ที่เป็นกันในปัจจุบัน และในอดีตที่ผ่านมา
.
...การสำรวจความคิดเห็นผู้สูงอายุ เมื่อปี 2559 โดย นิด้าโพล และศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์(นิด้า) พบว่า...

มีอยู่ 7 เรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้ผู้สูงอายุไทยเป็นทุกข์
 นั่นคือ..

1...การไม่มีเงินใช้/..ไม่มีเงินออม/..มีเงิน แต่...ไม่พอใช้

2...อยากทำงาน แต่ไม่มีงานทำ ทำให้ขาดรายได้มาเลี้ยงตนเอง

3...มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายให้แก่เจ้าหนี้

4....ไม่มีเพื่อนฝูง

5...สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง/มีโรคประจำตัว/ต้องไปหาหมอ

6...ไม่มีลูกหลาน ..อยู่คนเดียว หรือ..มีลูกหลานแต่เขาไม่สนใจดูแล

7...จิตใจไม่เบิกบาน ไม่สดชื่นแจ่มใส หม่นหมอง ไม่มีคุณค่า
.
..จะเห็นได้เลยว่า 3 เรื่องที่ใหญ่ที่สุด คือ.เรื่องเงิน  ไม่ว่าจะเป็น..ไม่มีเงิน ..ไม่มีงาน และ..มีหนี้สิน

(ขอบคุณ นสพ. "โพสต์ทูเดย์" )

ไม่ว่าคุณกำลังอยู่ตรงวัยไหน
"ห้าว".."หด" หรือ .."เหี่ยว" การเตรียมพร้อม และการทำ ความเข้าใจกับ"สภาพที่เราเป็น" หรือ"กำลังจะเป็น" ไว้ น่าจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2022, 09:39:01 AM
ฝากเพลง ทางม้าลายกระต่ายน้อยด้วยนะคะ

https://youtu.be/WBao90H9ekI (https://youtu.be/WBao90H9ekI)

“ เพราะชีวิตยังมีค่าต่อผู้คนอีกมากมาย ”

ขอให้วลีสั้นๆ จากเสียงเพลงทางม้าลายกระต่ายน้อย ได้ช่วยย้ำเตือนให้ผู้ขับขี่รถบนท้องถนน หันมาตระหนักรู้ร่วมกันว่า

ชีวิตของเราทุกคนมีค่าบางคนเป็นพ่อ เป็นหญิงตั้งครรภ์ เป็นครู เป็นนักเรียน บางคนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว บางคนมีพ่อเเม่เเก่ชรารอคอยการดูแลอยู่ที่บ้าน เมื่อเขาไม่สามารถเดินข้ามทางม้าลายได้ตลอดลอดฝั่ง ย่อยส่งผลกระทบต่อคนข้างหลังอย่างเเน่นอน

สำหรับหมอกระต่าย หมอเป็นลูกที่รักพ่อเเม่เเละน้องมาก มีความรับผิดชอบเเละใจดีมาก เป็นจักษุเเพทย์ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาตนได้สูงสุดดังปณิธานที่ตั้งไว้ เเต่ต้องมาเสียชีวิตก่อนจะสามารถช่วยผู้ป่วยอีกมากมายที่รอการรักษาได้

อุบัติเหตุบนทางม้าลายเป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดได้ถ้าทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกันค่ะ


https://www.youtube.com/watch?v=WBao90H9ekI&feature=youtu.be (https://www.youtube.com/watch?v=WBao90H9ekI&feature=youtu.be)


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2022, 09:42:48 AM
อ่านกี่ครั้ง ก็รู้สึก"ดี" เตือนใจครับ

เศรษฐีนีจาก "กว่างโจว" ชื่อ"เจี๋ยเหงียหลี"(เจียงหย่าลี่) ขับรถอยู่บนถนน  เกิดอุบัติเหตุถูกเฉี่ยวชน , โชคดีไม่รุนแรงมาก , และเธอก็ได้รับบาดเจ็บแค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้น ,  หลังจากเอารถเข้าอู่เพื่อซ่อมสีแล้ว , เธอพลันนึกได้ว่า , บ้านพ่อแม่อยู่ใกล้ๆแถวๆนี้เอง ,  และเธอก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านนานแล้ว , 

      "เจียงหย่าลี่" กลับไปพักค้างคืนที่บ้านพ่อแม่ 1 คืน  รุ่งเช้าขณะที่เธอจะกลับไป"กว่างโจว" , คุณแม่ไดัส่งเสื้อผ้าคืนมาให้เธอ  , ปรากฎว่า รอยขาดที่เกิดจากอุบัติเหตุเมื่อวานนี้  ได้รับการปะชุนอย่างปรานีตจากมือของคุณแม่เรียบร้อยแล้ว ,  เธอรู้สึกประทับใจในความรักของคุณแม่  ที่เอาใจใส่เธออย่างดี   แม้เธอจะเติบโตจนเป็นนักธุรกิจที่ประสพความสำเร็จ   เป็นเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งของเมือง"กว่างโจว"แล้วก็ตาม  ,  แต่เธอก็มีความรู้สึกว่า , มันก็ประหยัดเกินไปหน่อยแล้ว , ตอนนี้เราก็มีเงินมากมาย ,  เดี๋ยวกลับไปถึงบริษัทเราคงต้องทิ้งไปดีกว่า...

       งานของ"เจียงหย่าลี่" ยุ่งมาก , พอกลับถึงบริษัทก็ลืมเรื่องนี้ไป...  เธอใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนของแม่  ติดต่องานหลายแห่ง  และยังเจรจางานธุรกิจชิ้นสำคัญสำเร็จด้วย ,  จนตกเย็นเธอกลับถึงบ้าน  เธอนึกขึ้นได้ว่า  วันนี้ติดต่อธุรกิจทั้งวัน  และนุ่งเสื้อผ้าขาดๆที่มีรอยปะชุน ,  พอนึกได้ดังนี้  เธอจึงถอดออกมาแล้วทิ้งใส่ถังขยะทันที , ... วันต่อมา   ธุรกิจล๊อกใหญ่ที่เธอเจรจาสำเร็จเมื่อวานนี้  กำลังจะทำการเซ็นสัญญา ,  คู่ค้าคู่สัญญาพลันถามขึ้นว่า " เสื้อผ้าชุดที่มีรอยขาดปะเมื่อวานนี้  ทำไมวันนี้คุณไม่ใส่มาอีก ?  ...  เธอรู้สึกเขินที่ถูกถามเช่นนั้น  จึงตอบไปว่า " ถอดไปซักแล้วค่ะ"  ....

       คู่ค้าสำคัญรายนี้บอกว่า  "คุณคงไม่รู้นะครับว่า" ที่ผมเซ็นสัญญากับคุณวันนี้ได้เพราะ   คุณใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะ   แม้จะเป็นรอยที่ปะชุนอย่างปรานีต  ผมก็ดูออกครับ ,  คุณคือคนที่มีความประหยัดมัธยัตไม่ใช่คนฟุ้งเฟ้อ ,  การร่วมทำธุรกิจกับคนอย่างคุณ ,  ทำให้ผมมั่นใจที่ได้ร่วมทำธุรกิจเป็นหุ้นส่วนกับคุณจริงๆครับ....  "เจียงหย่าลี่"กลับมาถึงบ้าน ,  เธอรีบไปรื้อถังขยะ  หยิบเสื้อผ้าที่แม่ปะชุนอย่างดีกลับขึ้นมาซัก  เธอซักแล้วซักอีก ,  ตากแห้งแล้วเก็บใว้ในที่ลับตา  คิดว่าวันหลัง  หากมีการติดต่อธุรกิจสำคัญ  คงต้องพึ่งเจ้าชุดเก่งนี้อีกครั้งหนึ่งแน่.......

       หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป  ,  เช้าวันหนึ่ง  ก่อนที่เธอจะไปบริษัท , ที่บ้านของ"เจียงหย่าลี่" ปรากฎมีตำรวจมาหาเธอ2คน , ...... ที่แท้เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนค่ำ  มีเศรษฐีนีอีกคนหนึ่งถูกคนร้ายจับมัดตัวเรียกค่าไถ่  แถมฉีกเสื้อผ้าลวนลามเธออีก ,  ขณะเดียวกันโจรคนนั้นก็ถูกจับได้ในคืนนั้นเอง ,  จากการสอบสวนของตำรวจ  คนร้ายได้สารภาพว่า   ความจริงคนที่เขาต้องการปล้น คือ"เจียงหย่าลี่"  เพราะฉะนั้น" วันนี้ตำรวจจึงมาเตือนให้เธอระวังตัว  , "เจียงหย่าลี่" รู้สึกตกใจกลัวอย่างมาก แต่ได้ถามตำรวจว่า , แล้วทำไมคนร้ายถึงเปลี่ยนใจไม่จับฉันเรียกค่าไถ่ ?   ตำรวจตอบว่า  เพราะวันนั้นเสื้อผ้าที่เธอใส่มีรอยปะชุน   คนร้ายเลยไม่ลงมือ   เพราะคิดว่า เธอคงไม่รวยจริงดังคำร่ำลือ ,  เพราะคนรวย ต้องไม่ใส่เสื้อผ้าปะชุนเด็ดขาด......

    " เจียงหย่าลี่"กลืนน้ำลายเอื๊อก , คิดไม่ถึงว่าการใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะชุน  กลับส่งผลดีกับเธออย่างไม่คาดคิด ,  เท่ากับช่วยชีวิตเธอได้ครั้งหนึ่ง ,  หลังตำรวจกลับไปแล้ว  "เจียงหย่าลี่" เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดขาดที่แม่ปะชุนออกมา , เธอบรรจงลูบรอยปะชุนที่ปรานีตบรรจงของแม่ , เธอค่อยๆลูบไปทีละฝีเข็ม , ทีละฝีเข็ม,  ตอนนี้เธอ.....เศรษฐีนีผู้ประสพความสำเร็จในชีวิต  จนได้รับการขนานนามว่า "ปู๊พั้ว"(เศรษฐีนี) กลับร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กๆแล้ว......

     ....ชีวิตหนึ่งของคนเรา   ไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน  สถานะในสังคมสูงส่งเพียงใด , ขอให้จดจำใว้ให้ดีว่า  " ต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ " ต้องรู้บุญคุณคนที่เคยช่วยเหลือ ,  อย่าได้หลงลืมจุดเริ่มต้นของชีวิต , ความรักของแม่เปรียบเช่นน้ำทิพย์ชโลมใจ , แม้จะไม่มีเสียง , แต่สามารถแทรกซึมเข้าไปในหัวใจที่แห้งผาก;  แม้ฝีเข็มที่ปะชุน  จะเป็นเรื่องธรรมดาที่แสนธรรมดา ,  แต่มันได้สร้างเรื่องที่ยิ่งใหญ่ใว้ในใจเธอ ตลอดกาล....... 

แปล  และเรียบเรียงโดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง 黄振炎  29/12/2017



หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 09, 2022, 09:54:35 AM
‘คังซีฮ่องเต้’ ป่วยด้วยโรคประหลาด หมอมีชื่อทุกคนรักษาไม่หาย จนต้องเลิกให้ยา วันหนึ่งจึงเดินเล่นยามค่ำตามลำพังไปถึงตรอกแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงคนอ่านหนังสือ ทรงคิดว่าในวังกลับไม่มีคนจริง คนจริงกลับมาอยู่ท่ามกลางผู้คนทั่วไป

จึงเคาะประตู คนเปิดประตูอายุสี่สิบกว่าปี คาดว่าเป็นคนขายยา จึงแจ้งอาการว่าเป็นโรคประหลาด ขึ้นจุดสีแดงตามลำตัว เชิญหมอมารักษาก็ไม่หาย ช่วยดูให้หน่อย คนขายยาจึงขอให้ถอดเสื้อออกดู และกล่าวว่า ท่านไม่ต้องกังวล ไม่ใช่โรคร้ายอะไร เพียงแต่ปกติท่านกินอาหารดีๆ ทั้งจากป่าเขาและท้องทะเลมากเกินไป แถมกินโสมมาเป็นเวลานาน ความร้อนจู่โจมจึงผุดเป็นจุดแดงคันขึ้นมา คังซีถามว่าโรคนี้รักษาได้ไหม คนขายยาบอกว่า ไม่ยาก ใช้ยาเล็กน้อยก็หายแล้ว ว่าแล้วก็เทยาออกมาประมาณ 7-8 จิน (หน่วยน้ำหนัก ประมาณ 0.5kg)

คังซีตกใจถามว่าต้องกินเยอะขนาดนี้เลยหรือ คนขายยาบอกนี่คือต้าหวาง
(ตั่วอึ๊ง ยาระบาย) ไม่ได้ให้กิน แต่ให้นำกลับไปต้มกับน้ำ 100 จิน (ประมาณ 50 ลิตร) รอให้เย็นลง พออุ่นก็ลงไปอาบแช่ อย่างน้อย 3 ครั้งอย่างมาก 5 ครั้งก็หายแล้ว

คังซีคิดในใจว่า ในวังหมอเก่งใช้ยาพิเศษตั้งมากมายยังไม่หาย แล้วต้าหวางแสนธรรมดานี้จะรักษาเราหายหรือ คนขายยาดูสีหน้าออก จึงกล่าวว่าท่านจงวางใจ ไม่ต้องจ่ายค่ายา ให้นำไปใช้ก่อน หากไม่หาย ไม่ขอรับค่ายา คังซีจึงบอกว่าหากหาย ย่อมต้องตอบแทนอย่างหนัก

คังซีกลับถึงวัง ทำตามที่คนขายยาบอก ชั่วขณะที่ลงแช่ในถังยารู้สึกร่างกายสะอาดกระจ่าง สบายอย่างยิ่งเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ภายหลัง 3 ครั้งก็ไม่มีอาการคันแล้ว จุดแดงบนร่างกายก็หายไปหมด คังซีดีใจยิ่ง วันที่ 4 จึงกลับไปที่ร้านขายยา คนขายยาเห็นอาการแล้ว เลยกล่าวว่าท่านจะมาชำระค่ายาใช่ไหม คังซีตอบว่า แน่นอน ท่านหมอคิดเงินเท่าไหร่

คนขายยาก็หัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า น่าละอายแล้ว วันนั้นเห็นท่านเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจึงกล่าวเช่นนั้น ต่อให้วันนี้หายดีก็ยังไม่รับค่ายา แต่เห็นท่านราศีไม่ธรรมดา ก็เพียงแต่คิดคบเป็นเพื่อนไว้ก็พอแล้ว ขอทราบนามอันสูงส่งของท่าน คังซียิ้มน้อยๆ กล่าวว่า นักศึกษา(ถ่อมตัว) สกุลหวาง (อึ๊ง) นามว่า เทียนชิง เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง คนขายยาได้ยินก็กล่าวตอบอย่างยินดีว่า ข้าพเจ้าเรียกว่า จ้าวกุ้ยถัง เป็นนักศึกษายากไร้คนหนึ่ง บิดามีปณิทานอยากให้ข้าพเจ้าได้ดีมีลาภยศ แต่ ‘คนคาดหวังหรือจะสู้ฟ้าลิขิต’ สอบบัณฑิตหลายครั้งก็ไม่ผ่าน ได้แต่เปิดร้านยาเล็กๆ ฝึกจ่ายยาไปด้วยคร่ำเคร่งเล่าเรียนไปด้วย หวังว่าจะมีสักวันจะผ่านการสอบได้

คังซีกล่าวว่าพี่จ้าว คำโบราณว่า ‘แม้บนกำแพงยังไม่มีชื่อเรา แต่ใต้เท้าเราก็ยังมีทางเดินอยู่’ อาศัยความสามารถทางการแพทย์ที่สูงส่งของท่าน ข้าพเจ้าสามารถฝากท่านเป็นหมอในวังได้ นี่มิใช่เหมือนสอบผ่านรึ

แต่จ้าวกุ้ยถังกลับหัวเราะพูดว่า ผิดแล้ว ข้าพเจ้าต้องการอาศัยการแพทย์เพื่ออำนวยประโยชน์แก่มวลชนช่วยพวกเขาพ้นทุกข์ยาก หากเข้าวังเป็นหมอหลวงรับโชควาสนาแต่ไม่อาจช่วยรักษาโรคให้เหล่าราษฎร ไม่บรรลุปณิธานของข้าพเจ้า จะมีประโยชน์อะไรในการเป็นหมอ

คังซีฟังแล้วกล่าวว่า คุณธรรมของพี่จ้าวทำให้ข้าพเจ้านับถือนัก เพื่อนรัก ขอพูดตรงๆ ท่านจะโกรธข้าพเจ้าก็ได้ ในเมื่อสอบไม่ติด ทำไมไม่ปล่อยวางเสียล่ะ จ้าวกุ้ยถังก็กล่าวว่า ข้าพเจ้าก็คิดเช่นนั้น แต่การขายยาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะข้าพเจ้าไม่มีทุนมากพอ ‘ปณิธานแม้กว้างใหญ่ แต่ก็เบิกทางไปได้ไม่เท่าไหร่’ พี่ชาย หากวันหน้าท่านได้ลาภใหญ่ ก็ช่วยข้าพเจ้าสักครั้ง ให้ข้าพเจ้าได้ก่อตั้งร้านขายยาขนาดใหญ่ ก็เท่ากับข้าพเจ้ารักษาท่านไม่เสียเปล่าแล้ว

คังซีก็กล่าวโดยไม่ลังเลเลยว่า หากต้องการตั้งร้านยาใหญ่จริงๆ จะตั้งชื่อว่าอะไรดี ชื่อว่า ‘ถงเหรินถัง’ ท่านว่าชื่อนี้เป็นไง จ้าวกุ้ยถังเห็นเขาเอาจริงเอาจังก็พูดพลางหัวเราะพลางว่า ข้าพเจ้าแค่พูดเล่น ท่านอย่าได้จริงจังไปเลย ว่าไปแล้วการก่อตั้งร้านขายยาขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมากมาย ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่ท่านจึงจะได้ลาภก้อนโต นี่ก็แค่ฝันกลางวัน พอทีๆ คังซีกล่าวว่า ลองดูทีรึ

กล่าวพลางนำปากกาจากโต๊ะมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างคล่องมือ ปิดผนึกแล้วกล่าวว่า พี่จ้าว พรุ่งนี้ท่านไปที่กรมวัง ที่นั่นเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งอาจช่วยเป็นธุระเรื่องนี้ได้ กล่าวจบก็ลากลับ จ้าวกุ้ยถังเห็นท่านหวรงผลุนผลันกลับไปในใจคิดว่าคนผู้นี้ประหลาดจริง

วันต่อมา จ้าวกุ้ยถังก็อดไม่ได้ที่จะนำจดหมายไปที่กรมวัง ส่งจดหมายไปเพียงครู่หนึ่งก็มีขันทีท่านหนึ่งออกมา พาจ้าวกุ้ยถังเข้าข้างใน ผ่านส่วนงานต่างๆ มาจนถึงหน้าห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ขันทีเปิดประตูห้อง ชี้ไปภายในกล่าวว่า ท่านจ้าว เงินปริมาณนี้พอต่อค่ายาของท่านหรือไม่ จ้าวกุ้ยถังเพ่งมองแล้วอดแปลกใจไม่ได้ เห็นแต่เงินขาวปลั่งเต็มห้อง ยืนนิ่ง ณ ที่นั้นไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินขันทีกล่าวว่า ท่านจ้าว ฮ่องเต้ทรงรับสั่งว่า ท่านรักษาเจ้าอยู่หัวจนหาย ไม่เก็บเงินแม้สลึงเฟื้อง จึงอยากให้ร้าน ‘ถงเหรินถัง’ เป็นของขวัญ ให้สมปณิธานของท่านเถิด

ถึงตอนนี้จ้าวกุ้ยถังจึงเหมือนตื่นจากฝันมา ที่แท้พี่หวางที่คบกันโดยไม่คาดหวังใด กลับเป็นเจ้าอยู่หัวปัจจุบัน สำนึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่งต่อการกระทำมิบังควร ทำไมไม่ระแคะระคายสักนิด

ต่อจากนั้นไม่กี่วันร้านขายยาขนาดใหญ่ก็ผุดขึ้นมา ขนานนาม “ถงเหรินถัง” เมื่อวันที่จ้าวกุ้ยถังเปิดกิจการ ฮ่องเต้คังซีถึงกับมาร่วมยินดี ทำเอาจ้าวกุ้ยถังเงอะงะทำอะไรไม่ถูก คังซีจึงยิ้มพลางกล่าวว่า ท่านอย่าวุ่นวายใจไปเลย ค่ายาของท่าน ข้าพเจ้าก็คืนให้แล้ว ตรวจรักษาครั้งหน้าก็ยังไม่เก็บแม้สลึงเฟื้องต่อไปเถิด

นับจากนั้นปักกิ่งเมืองหลวงจึงมีร้านขายยาขนาดใหญ่ชื่อเสียงเลื่องลือ ชื่อว่า “ถงเหรินถัง”

เรื่องนี่เป็นเรื่องจริง การได้อ่านเรื่องนี้สอนแก่เราว่า คนซื่อตรง ใจซื่อตรง คนใจดี จิตใจงาม ประกอบกรรมใดย่อมได้ผลอย่างนั้น

Cr: Friend of
Nucharintr Uthaisangchai


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 09, 2022, 08:49:32 AM
ฝากไปถึงลูกชาย ลูกสาว ทุกคน อ่านไว้เตือนสตินะ

Posted on 20 มกราคม 2022 by น่าอ่าน

1. เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการ เตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

2. เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

3. เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัด ที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

4. เวลาเจอเจ้านายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ

5. เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

6. เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่า เรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

7. เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

8. เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่า ของการรักษาสุขภาพให้ดี

9. เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักยืนหยัดด้วยตัวเอง

10. เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

11. เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

12. เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยาน ไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

13. เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

14. เวลาเจอคนกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิต ที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

15. เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

16. เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือน จงอย่าประมาทเป็นอันขาด

17. เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบ “มารไม่มี บารมีไม่เกิด”

18. เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม “ในวิกฤตย่อมมีโอกาส”

19. เวลาเจอความยากจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

20. เวลาเจอความตา ย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ ชีวิตจบลงอย่างสมบูรณ์

ที่มา Bitcoretech


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 09, 2022, 08:51:16 AM
จากไลน์เพื่อนครับ

เคล็ดลับของความสุข
………”ขจรศักดิ์”

ในปี 1984  ฮาวเวิร์ด  ดิกคินสัน  อายุ 24 ปี  กำลังเรียนระดับดุษฎีบัณฑิตภาควิชาปรัชญา  ในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  สหรัฐอเมริกา  วิทยานิพนธ์ที่เขากำลังตระเตรียมเพื่อจบการศึกษามีหัวข้อว่า 
"ความสุขของคนได้มาจากไหน"

เขาได้เตรียมแบบสอบถามทั้งหมด 10,000 ชุด  แจกจ่ายไปยังผู้คนต่างๆในเมืองนั้น  แบบสอบถามของเขาได้สอบถามถึงข้อมูลส่วนตัวของแต่ละคน  ความคิดเห็นและมุมมองต่างๆในทัศนคติของพวกเขาในแต่ละคำถาม  และหนึ่งในคำถามของแบบสอบถามต้องการทราบว่า  "คุณมีความสุขระดับไหน"  โดยมีคำตอบให้เลือกอยู่ 5 ระดับ

A. มีความสุขมาก
B. มีความสุข
C. พอใช้ได้
D. เจ็บปวด
E. เจ็บปวดมาก

เขาใช้เวลาสองเดือนในการแจกจ่ายและรวบรวมคำตอบ  สุดท้ายได้แบบสอบถามกลับมา 5,200 ชุด  หลังจากการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้ว  เขาพบว่ามีเพียง 121 คนเท่านั้นที่บ่งบอกว่า  ตน "มีความสุขมาก"

ลำดับถัดมา  เขาได้ทำการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทั้ง 121 คนอย่างละเอียด

เขาพบว่า  ใน 121 คนนี้   มีอยู่ 50 คนที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จในเมืองนี้  ความสุขที่เขารู้สึกนั้นล้วนมาจากอาชีพหรือธุรกิจที่กำลังประสบความสำเร็จ

ในขณะที่ผู้คนอีก 71 คนนั้น  บางคนเป็นแค่แม่บ้านธรรมดา  ชาวไร่ชาวนาก็มีไม่น้อย  เป็นพนักงานในบริษัททั่วไปก็มี  และบางคนยังเป็นพวกเร่ร่อนที่ต้องรับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลอยู่เป็นประจำ

ผู้คนที่แสนธรรมดาพวกนี้  ทำไมจึงมีความรู้สึกว่า  เขา "มีความสุขมาก"

หลังจากที่ ฮาวเวิร์ด  ดิกคินสัน ได้ติดต่อสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัวเพิ่มเติมแล้ว  เขาพบว่า  แม้พวกเขาจะมีอาชีพและอุปนิสัยที่แตกต่างกันไป  แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต่างมีเหมือนกันทุกคน

นั่นคือพวกเขาล้วนไม่ใช่พวกวัตถุนิยมเลย

พวกเขามีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย  พยายามไม่ทุกข์ไม่ร้อน  มีทั้งฐานะดีหน่อยหรือจนหน่อยปะปนกันไป  แต่ล้วนมีความสุขกับชีวิตที่แสนธรรมดาในแต่ละวัน 

บทวิเคราะห์ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เขาอย่างมาก  อันทำให้เขามีบทสรุปของการสำรวจดังต่อไปนี้

“บนโลกใบนี้  มีผู้คนที่มีความสุขมากอยู่ 2 ประเภท

ประเภทที่หนึ่งคือ  ผู้คนที่เป็นคนธรรมดาๆ  แต่พอใจกับความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของเขา

อีกประเภทหนึ่งก็คือ  ผู้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเส้นทางอาชีพของเขา”

ฮาวเวิร์ด  ดิกคินสัน แนะนำไว้ว่า 
“หากคุณที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป  ก็สามารถฝึกฝนจิตใจคุณ  ให้ลดทอนความอยากได้ต่อวัตถุต่างๆให้น้อยลง  ความสุขก็จะเกิดขึ้นกับคุณ

แต่หากคุณเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายอาชีพ  คุณสามารถมุ่งมั่นต่อยอดก้าวเดินต่อไป  ความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นก็จะนำพาความสุขมาเพิ่มให้คุณเช่นกัน”

หลังจากคณะกรรมการผู้ตัดสินได้อ่านและศึกษาวิทยานิพนธ์ของเขาแล้ว  ต่างให้ผ่านด้วยเกรดคะแนน A+

หลังจบการศึกษา  เขาอยู่ต่อในฐานะอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย

ชั่วพริบตาเดียว  เวลาผ่านไป 20 ปี  บัดนี้เขากลายเป็นนักวิชาการทีมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอเมริกา

เขาได้หยิบเอาข้อมูลของทั้ง 121 คนออกมาปัดฝุ่นอีกครั้ง  ใช้เวลาสามเดือนติดต่อและส่งแบบสอบถามให้พวกเขาทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากได้รับแบบสอบถามคืนกลับมาแล้ว  เขาพบว่าบุคคลธรรมดาๆทั้ง 71 คนที่เคยระบุว่า  ตนเป็นคนที่ "มีความสุขมาก"  ได้เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน  ที่เหลืออีก 69 คนนั้น  มีความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร  บางคนในพวกเขาได้ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจในสายงานอาชีพของเขา  บางคนยังมีความเป็นอยู่แบบเดิมๆ  บางคนเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ  ชีวิตความเป็นอยู่ทุกวันนี้ยากลำบาก

แต่การเลือกคำตอบของพวกเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยน  ทุกคนยังรู้สึกว่า  ตนเอง "มีความสุขมาก"

ส่วนอีก 50 คนที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในสายอาชีพเขา  การเลือกคำตอบในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าจับตามอง

มีอยู่แค่ 9 คนในหมู่พวกเขา  ที่ทุกอย่างยังดำเนินไปได้อย่างราบรื่น  และยังคงยืนกรานคำตอบเดิมคือ "มีความสุขมาก"

มี 23 คนเปลี่ยนคำตอบเป็น  "พอใช้ได้”

มีอยู่ 16 คนที่ประสบความขรุขระบนเส้น
ทางอาขีพ  บางคนถึงกับล้มละลาย  บางคนถูกลดตำแหน่งในหน้าที่การงาน  กลุ่มนี้เปลี่ยนคำตอบเป็น  "เจ็บปวด"

เหลือ 2 คนสุดท้าย  เลือกคำตอบเป็น "เจ็บปวดมาก"

เมื่อผลสำรวจออกมาเป็นแบบนี้  ทำให้เขาต้องครุ่นคิดและวิเคราะห์อยู่เป็นนานสองนาน

หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์  ฮาวเวิร์ด ดิกคินสัน ได้เขียนบทความในเชิงวิเคราะห์ออกมาบทหนึ่ง  ในหัวข้อที่ชื่อว่า 
"เคล็ดลับของความสุข" 
และบทความฉบับนี้  ได้ถูกหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ วอชิงตัน โพสต์ นำไปตีพิมพ์ทันที

ในบทความของเขา  เขาได้บรรยายอีกครั้งถึงความเป็นมาของแบบสอบถามทั้ง 2 ครั้งอย่างละเอียด  และเขาได้ให้บทสรุปในตอนท้ายบทความไว้ว่า

"ความสุขที่มาจากวัตถุนิยม  มักอยู่กับเราไม่ได้ยั่งยืน  เมื่อวัตถุจางหาย  ความสุขก็จะอันตรธานหายไปด้วย

ส่วนจิตใจที่มีแต่ความสงบสุขนั้น  จะทำให้กายใจเป็นสุขได้เสมอ  นั่นคือแหล่งที่มาของความสุขที่แท้จริง"

บทความในเชิงวิเคราะห์นี้  ได้สร้างความฮือฮาและได้รับความสนใจจากผู้อ่านเป็นอย่างมาก  จนทำให้หนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ในฉบับเช้าวันนั้น  ขายหมดเกลี้ยงตลาดภายในเวลาอันรวดเร็ว  จนต้องพิมพ์เพิ่มอีกถึง 6 ครั้งในวันเดียวกัน

แม้วันเวลาจะผ่านไปนานพอสมควร  แต่บทสรุปนี้ก็ยังเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

Facebook:ห้องสมุดฟลิ้นท์
“ขจรศักดิ์”
แปลและเรียบเรียง
Credit: Social forward


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 07, 2022, 08:13:46 AM
อยากคุยเรื่องลูกหลานเราเปลี่ยนไป แทบทุกครอบครัว และทั่วโลก :
(ศ.ดร.บุญเสริม บุญเจริญผล)


ลูกหลานเราเขาเปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้เราสอนเราเตือนลูกหลานไม่ได้ผลแล้ว     

อาการเบาๆ เขาอาจฟังคำเราไม่เถียงแต่เขาไม่เชื่อที่แสบกว่านั้นเขาตอบว่า ~

"รู้แล้ว รู้แล้ว"   

ผู้ใหญ่อย่างเราฟังแล้วตกใจ เปรียบเทียบกับสมัยเรายังหนุ่มสาวเมื่อผู้ใหญ่เตือนโดยทั่วไป เราตอบท่านว่า

 "ครับ" หรือ "ค่ะ"

คือ ถ้ารู้แล้ว ก็ได้แน่ใจ ถ้ายังไม่รู้ ก็ได้รู้ ไม่มีใครตอบว่า "รู้แล้วๆๆ" อย่างในสมัยนี้ ยกเว้นครอบครัวที่ด้อยคุณภาพ

ผมขอถามพวกเราว่า มีครอบครัวใดบ้างที่ไม่ได้ยินลูกหลานตอบท่านว่า "รู้แล้วๆๆ" ผมว่าไม่มีสักครอบครัว   

ถ้าลูกหลานตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา เขาไม่เชื่อผู้ใหญ่กันแล้ว ยกเว้นคนที่เขาบูชาซึ่งคนนั้นเรามักเห็นว่าเป็นคนเลว

ผมไม่มีลูกมีแต่หลานจากน้องสาวน้องชายและญาติอื่นๆ ก็ยังได้ยินคำว่า "รู้แล้วๆๆ" อยู่บ้าง คุยกับลูกหลานสมัยนี้ไม่สนุกเลยกว่าจะเอ่ยถ้อยคำออกมาแต่ละประโยค ต้องกรองแล้วกรองอีกว่าเราพูดไปแล้ว เขาจะมีปฏิกริยาร้ายตอบเราอย่างไรบ้าง? คุยกับคนสมัยใหม่ช่างเหนื่อยเสียจริง ถ้าไม่กลั่นกรองคำพูดให้ดี รับรองว่าได้เสียใจ

ยิ่งได้ยินพ่อแม่ของเขาบอกว่าเด็กสมัยนี้เขารู้สึกอย่างไรก็พูดโพล่งไปทันที ไม่ต้องคิดก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นอีก

ผิดกับตอนที่ผมเป็นอาจารย์ ม. เกษตรศาสตร์ นิสิตที่เรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ในวัยหนุ่มสาว

ผมสอนเรื่องชีวิต เรื่องสังคมให้เขาบ่อยๆ เขาตั้งใจฟังมากตั้งใจยิ่งกว่าเรียนวิชาการเสียอีก

เช่น สอนว่าถ้าไม่ให้ชีวิตวิบัติเรื่องการเงิน ก็ต้อง :

"ไม่หุ้น ไม่กู้ ไม่ค้ำประกัน ไม่เล่นการพนัน ไม่คบคนชั่ว"

เขาก็นำคำสอนไปใช้ในชีวิตและบอกผมว่าเขารอดปลอดภัยมาได้จากการทำตามคำสอนของผม

ส่วนอาจารย์อื่นเขาไม่สอนเรื่องชีวิตเขาคิดว่าโตๆกันแล้วไม่ต้องสอนแล้ว     

ความจริงแล้วตรงข้ามเลยเป็นความเชื่อที่ผิด

วัยหนุ่มสาวนี้แหละเขาเปิดหูฟังอยากรู้เรื่องชีวิตมากๆ ผมไม่แน่ใจว่ายุคนี้จะเป็นอย่างที่ผมเล่าหรือไม่ เช่น

ถ้าสอนเขาว่า อย่าเล่นบิทคอยน์ บิทคับ เขาคงเถียงว่า “รู้แล้ว  รู้แล้ว”  ไม่ฟังเราแล้วคิดในใจว่า "โง่เอ๋ย... โลกเขาไปกันถึงไหนแล้ว"

ผมไม่ได้ยืนยันว่าคนโบราณรู้ดีกว่าคนสมัยใหม่ แต่ก็มีบางเรื่องที่คนอายุมากมีประสบการณ์มากกว่า เพราะว่าเคยเห็นเคยผิดพลาดมาแล้ว จึงเป็นห่วง แล้วทำไมเตือนกันไม่ได้ 

ผมเห็นว่าความคิดของคนสมัยนี้ส่วนมากเป็นดังกล่าวนี้คงยังมีคนหนุ่มสาวอีกจำนวนหนึ่งไม่เป็นอย่างนี้แล้วจิตใจของเขาเป็นอย่างไร? 

เขาก็เป็นอย่างนี้

1.คิดตื้นชั้นเดียว

ได้ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เชื่อเลย ไม่เฉลียวใจว่า เรื่องนี้มีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง ฉะนั้นถ้าใครประดิษฐ์เรื่องให้ถูกใจก็เชื่อทันที
     

2.ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าทำอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี
 
เช่น หญิงสาวเดินเปิดสะดือโชว์ ก็ไม่ต้องคิดว่า  ควรหรือไม่ควร? คิดเพียงว่าทำเพราะว่าอยากทำและทุกคนมีอิสรภาพที่จะทำอย่างไรก็ได้ ขนบธรรมเนียม แม้กฎหมายไม่สำคัญเท่าความคิดของตน

3. ผลปัจจุบันสำคัญกว่าผลในอนาคต

คนสมัยนี้จึงไม่สนใจความยั่งยืนเลือกอาชีพที่รายได้มากไม่ต้องมั่นคงก็ได้ มีคู่ครองก็คิดอยู่กันชั่วคราวถ้าไม่พอใจก็เลิกกันไป จะซื้อของก็ไม่ต้องคิดว่าจะใช้ได้ทนหรือไม่เอาสวยไว้ก่อน เมื่อเสียแล้วจะมีอะไหล่ซ่อมได้หรือไม่ ไม่ต้องคิด

4.ไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา   มีตัวเองคนเดียวก็พอ   ไม่ต้องมีเพื่อนแท้ เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง

โลกนี้มีเขาเพียงคนเดียว อยู่ได้คนเดียว วันๆนั่งหน้างอ ไม่ยิ้ม ไม่พูดกับใคร ไม่ปรึกษาใคร เมื่อชีวิตผิดหวัง ก็ซึมเศร้า และฆ่าตัวตาย

ฉะนั้นเราต้องทราบเรื่องของคนยุคใหม่จะได้ทำใจถูก พูดได้ถูก และ ไม่ต้องหวังว่าจะฝากอนาคตประเทศชาติไว้กับพวกเขา

เพราะว่าเขาไม่มีชาติ ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา  ไม่ต้องการกฎหมาย ไม่ต้องการประเพณีมีแต่เขาคนเดียวในโลกของเขา

ท่านผู้ใดมีลูกหลานผิดจากที่ผมกล่าวจงดีใจเถิดว่า "เทวดามาเกิด" ในตระกูลของท่าน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”

การเกิดผลอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ   

"โรครู้แล้ว รู้แล้ว"
ก็เกิดจากหลายสาเหตุ  สาเหตุที่สำคัญที่หลายท่านช่วยกันหามามีดังนี้

สื่อโซเชียล

ทำให้เขาติดต่อกับคนเสมือนจริงไม่มีตัวตนให้เห็นแต่ติดต่อสื่อสารกันได้ทำให้เขาไม่ต้องการติดต่อคบหากับใคร 

เขามีเพื่อนในอากาศอยู่มากมายแล้วเขาจึงอยู่กับโทรศัพท์ได้นานโดยไม่สนใจผู้ใด 

บุคลิกกลายเป็นคนเฉย  หน้าเงียบหน้างอ ไม่สนใจใคร ไม่อยากพูดกับใคร นั่งกดโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ก็เป็นการพูดคุยแล้ว   

ถ้ามีใครมาถามอะไรเขา  เขาจะหงุดหงิดใส่ทันที  เพราะว่าทำให้เขาเสียเวลาต้องออกจากโลกโซเชียลมาคุยกับคนที่เขาไม่ได้ให้ค่า
                                                                                                   ประการสำคัญ
เขารู้เรื่องวิธีการใช้โทรศัพท์ดีกว่าผู้ใหญ่มาก  ผู้ใหญ่มักต้องพึ่งเขาในการใช้โทรศัพท์   ก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่า ผู้ใหญ่โง่กว่าเขามากถ้าฉลาดกว่าเขาก็ไม่ควรถามเขาๆ จึงไม่ให้ค่าผู้ใหญ่

 การเคลื่อนตัวของจักรวาล 

คือ โลก ดวงดาว ที่อยู่รอบๆ ทั่วจักรวาล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ทั้งหลายเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆในอวกาศที่ว่างทำให้พลังจักรวาลที่ออกมาจากดวงดาวเหล่านี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ 

พลังจักรวาลมีผลต่อจิตใจและ DNA ของมนุษย์และสัตว์ นิสัยและความคิดของคนจึงเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยอำนาจของพลังจักรวาลที่เปลี่ยนไป     

 ศาสนา

โดยเฉพาะพุทธศาสนา  มีกฎแห่งกรรมเป็นคำอธิบายมนุษย์มีใจบาป  ทำลายคนและสัตว์มากมายมาเป็นเวลานานโดยเฉพาะการฆ่าสัตว์ และกินสัตว์เป็นอาหาร

ศาสนาพุทธ-คริสต์-อิสลาม ที่เคยห้ามคนฆ่าสัตว์หรือห้ามกินเนื้อสัตว์ก็อะลุ่มอล่วยให้กินเนื้อสัตว์ได้แต่อย่าฆ่าหรือฆ่าได้เพื่อเป็นอาหาร   

การก่อเวรเช่นนี้ผลแห่งบาปทำให้มนุษย์อยู่กันอย่างไม่มีความสุขและสัตว์ที่มนุษย์ฆ่าหรือกิน อาจมาเกิดเป็นลูกหลานเพื่อทวงหนี้กรรมบาปก็เป็นไปได้ โดยทำให้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ไม่สบายใจ

 สังคม

มีแต่ความรีบเร่งไม่มีเวลาที่จะทำชีวิตให้ประณีต คนหนุ่มสาวไม่มีเวลาเอาใจผู้ใหญ่ ไม่มีเวลาที่จะทำความดีให้ใครเพราะว่าเวลารัดตัวเหลือเกิน   

การพูดจาไม่ต้องสุภาพ  ไม่มีเวลาจะปั้นคำสุภาพ    ไม่มีเวลาจะพูดจะทำตามสมบัติผู้ดี ไม่มีเวลาจะนึกถึงความทุกข์ของใคร  เพราะว่าตัวเองก็เดือดร้อนมากแล้ว ฯลฯ
                                 
4 สาเหตุนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกหลานของเราเปลี่ยนแปลงไปเป็นคน “รู้แล้ว รู้แล้ว”   

ถ้าเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับเขา เราก็ต้องทำใจว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะว่ามันมีเหตุให้เป็นไป”

ท่านต้องยอมเสียเวลากลั่นกรองคำพูดที่จะพูดกับเขาให้เหมาะสมที่เขาจะไม่ตอบท่านว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” 

ท่านจะได้ไม่ต้องช้ำใจน้ำตาตกใน ไม่ต้องเสียใจในความรักที่มอบให้เขาโดยที่เขาไม่ต้องการเลยสักนิดเดียว

"ขอให้ท่านโชคดี"
ที่ผมเขียนมานี้ท่านคง
"รู้แล้ว  รู้แล้ว” 
เพราะว่าโดนมามากแล้วใช่ไหม?

บุญ ไท

ขออนุญาติเจ้าของบทความนี้นำมาส่งต่อเพื่อแบ่งปันและให้กำลังใจกับผู้สูงวัย ผู้อาวุโส ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลุงป้า น้าอา ครูอาจารย์ ฯลฯ

ที่ต้องปรับตัวให้เท่าทันความนึกคิดของคนรุ่นใหม่ทั้งที่ใช่ลูกหลานคนใกล้ตัวและคนไกลตัวที่อาจจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา เข้าใจและยอมรับได้ทั้ง 2 ส่วนคือ

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีงามทำให้จิตใจมนุษย์พัฒนาคุณธรรมความดีสูงขึ้นเหนือจากสัตว์เดรัจฉาน

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ตกต่ำทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนาคุณธรรมความดีไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน

เรียนรู้ที่จะยอมรับและปล่อยวางได้อย่างเหมาะสมแต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยจนกลายเป็นความทุกข์ใจของคนต่างวัยในชายคาเดียวกัน

"รู้แล้ว รู้แล้ว" น่า
อย่าพูดเยอะ วัยรุ่น เบื่อ
28.08.2565


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 07, 2022, 08:17:58 AM
มีทรัพย์​บางประเภทที่ไม่อาจประเมินเป็น 'มูลค่า'​ ได้ แต่มีคุณค่ากับชีวิตอย่างยิ่ง

ทรัพย์​ที่ว่านี้คือ 'ความสัมพันธ์'

ในชีวิตเรามิได้ได้สิ่งที่อยากได้จากการซื้อหาเท่านั้น บางอย่างต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้

-พื้นที่รองรับเรื่องอึดอัดใจ
-ผู้ให้คำปรึกษาเวลาสับสน
-คนที่คอยช่วยเหลือเวลามีปัญหา
-คนที่เติมพลังในยามท้อแท้
-คนที่เป็นเหมือนผนังมั่นคงให้เอนพิง
-ฯลฯ

บางทีผู้คนเหล่านี้ถูกประเมินค่าต่ำเกินไป หรืออาจลืมว่าเป็น 'ทรัพย์'​ ของชีวิต

ในบางวันที่ได้รับคำแนะนำที่มีค่า เราย่อมรู้สึกว่าชีวิตได้รับการเติมเต็ม บางทีแค่ได้พูดคุยกับบางคนแล้วรู้สึกมีความสุข เต็มอิ่ม ราวกับได้กินอาหารอร่อยหรือขนมรสเลิศ ความรู้สึกแบบนี้ทำให้รู้สึกดีกับชีวิต

การสะสม 'ทรัพย์'​ เช่นนี้ไว้นับเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้ทรัพย์สินเงินทอง

บางคนเป็นเหมือนบ้านของหัวใจ บางคนเป็นปั๊มน้ำมัน บางคนเป็นกระจกส่องสะท้อนตัวตน บางคนเป็นเหมือนสถานบำบัดเยียวยาจิตใจ

ยิ่งเติบโตขึ้นยิ่งพบว่าการมีคนที่เป็นดัง 'ทรัพย์'​ ของชีวิตเป็นโชคดี ควรมองเห็น ให้ความสำคัญ และรักษาไว้

คนมีค่าเหล่านี้คือความรุ่มรวยของชีวิต ทำให้ชีวิตอบอุ่น เบาสบาย คลี่คลาย มั่นคง

ทำอย่างไรจึงมี 'ทรัพย์ของชีวิต'

คงต้องสะสมและรักษา

ที่สำคัญคือ ต้องมองเห็นว่ามิตรภาพคือ 'ทรัพย์


ขอขอบคุณบทความดี ๆไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ขอบคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 11, 2022, 07:48:48 AM
หมอหนุ่มเป็นมะเร็งปอด เปิดเพจ เล่าเรื่องราว ทั้งที่แข็งแรง เริ่มไอไปตรวจ ปอดขวาเหลือครึ่งเดียว

(https://scontent.fbkk7-2.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/315098871_104827239114770_3524244647615490316_n.jpg?stp=dst-jpg_p180x540&_nc_cat=1&ccb=1-7&_nc_sid=e3f864&_nc_eui2=AeFw8RVNuA0ikgkStVF6usK8v2q9DXU5nlO_ar0NdTmeU0JZR_Ky0ZA_-oKVcVQyoEJgEV4Ah1Qik2xA4YA4dUI9&_nc_ohc=3nvELdz1e3sAX8MGrYV&tn=CGeG6aZPicD5NxqN&_nc_ht=scontent.fbkk7-2.fna&oh=00_AfA3COv2MoZ8wfLllUor8tuWC1pBCZ4C5sCi2CRo9OnLCQ&oe=63734BD2)

หมอหนุ่มเป็นมะเร็งปอด วัย 28 เปิดเพจ เล่าเรื่องราว ทั้งที่ร่างกายแข็งแรง กินอาหารคลีน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เผยเริ่มไอ ตรวจดูพบปอดขวาเหลือครึ่งเดียว

เพจ สู้ดิวะ ที่เขียนโดย หมอกฤตไท ธนสมบัติกุล อายุ 28 ปี เล่าเรื่องราวเมื่อชีวิตต้องเจอโรคร้ายทั้งที่อายุยังน้อย โดยใจความระบุว่า สวัสดีครับ ผมเป็นมะเร็งปอดครับ

มันจะเรียกว่า ระยะสุดท้ายก็ได้ครับ ระยะลุกลาม ระยะที่เรียกได้ว่าไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนออกแล้วก็หายขาดได้อย่างแน่นอนครับ บรรจุเป็นอาจารย์แพทย์ได้ 2 เดือน ก็ได้ตั๋วเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ใหญ่เฉยเลย สงสัยใช่ไหมครับ เพราะผมก็สงสัยเหมือนกัน

ผมมั่นใจในสุขภาพร่างกายตัวเองมากๆนะ ทั้งเข้ายิมสม่ำเสมอ เล่นกีฬา กินอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็น้อยมากๆ ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด นอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้ามาอ่านหนังสือ ทำวิจัย สอนนักศึกษา ไม่ได้เข้าเวรอดนอนอะไรเลย การงานอาชีพที่เรียกได้ว่ากำลังไปได้สวย เพิ่งจะอดทนเรียนแพทย์เฉพาะทางจบ พร้อมกับปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบ เพื่อมาทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ตามที่ฝันไว้
แล้วผมก็เริ่มไอครับ ไอมีเสมหะบ้าง ไอแห้งบ้าง ตรวจโควิดแล้วก็ไม่เจอ ตอนนั้นไปรักษาไปทางกรดไหลย้อนก่อน ผ่านไป 2 เดือน

 ระหว่างนี้ผมสามารถเล่นกีฬาได้ตามปกติ ทำงาน ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยจริงๆ มีแค่เรื่องไอที่ไม่หายสักที จึงตัดสินใจไปตรวจจริงๆจัง เอาจริงๆคือเพิ่งจะมีเวลาว่างจากงานด้วยครับ 3 ตุลาคม 2565 เป็นวันที่ไม่มีตารางงานเลย จึงถือโอกาสไปตรวจสุขภาพหน่อย

Chest X-ray บอกผมว่า ชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นฟิล์มที่ปอดข้างขวาผมเหลืออยู่ครึ่งเดียว ลักษณะเหมือนมีก้อนกับน้ำอยู่ในปอดด้านขวา และปอดด้านซ้ายก็มีก้อนเล็กๆเต็มไปหมด

ถึงจะคิดว่า อายุเราน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอะไรเลย สุขภาพโคตรแข็งแรง แล้วเอาจริงก็คิดว่าผมไม่ใช่คนทำบาปเยอะอะไรนะ

แต่หลังจากผ่านการตรวจทุกอย่างมาแล้ว ทั้งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผ่าตัดเข้าไปเพื่อไปเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สมอง ผลมันก็คือผมเป็นมะเร็งปอดจริงๆ แถมเป็นระยะสุดท้ายด้วย ตัวก้อนหลักขนาดเกือบ 8 cm ที่ปอดด้านขวา นอกจากนี้ตัวมะเร็งยังมีการกระจายไปที่เยื่อหุ้มปอด และปอดข้างซ้ายอีกหลายจุด ที่สำคัญคือ มันกระจายไปที่สมองถึง 6 ก้อนด้วยกัน แต่ละก้อนก็ใหญ่ซะด้วย โชคดีที่ผมไม่มีอาการทางสมองอะไร ทั้งที่ตำแหน่งที่มันกระจายไป สามารถทำให้ผม แขนขาอ่อนแรง ชา เดินไม่ตรง ทรงตัวไม่ได้ หรือแม้แต่เสียการมองเห็นไปเลย

อย่างไรก็ตามผมได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้แล้วครับ ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านจากใจจริงครับที่ให้ความช่วยเหลือผมมากขนาดนี้ ทั้งการผ่าตัด การได้รับ chemotherapy Immunotherapy และได้รับการฉายแสงที่ศรีษะทันทีที่เจอก้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ยอดเยี่ยมและรวดเร็วแบบนี้ผมอาจจะไม่สามารถมานั่งเขียนสเตตัสนี้แล้วก็ได้ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเป็นคนที่เชื่อสุดหัวใจว่า ถ้าเรามีเป้าหมายและวางแผน พยายามทุ่มเท อดทน มันจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการได้ ผมเชื่อว่าเราสามารถควบคุมชีวิตเราได้ พัฒนาตัวเอง ดูแลสุขภาพ อ่านหนังสือ ลงทุน ใช้ชีวิตให้ยอดเยี่ยมมาเสมอ มันเลยทำให้ในมือผมมีการ์ดดีๆมากมายเลยครับ

ผมมีสุขภาพที่โคตรแข็งแรง มีการงานที่โคตรมั่นคงและมีอนาคตสดใส ผมมีสังคมและความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมากๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนที่สุดยอดและน่ารัก ผมกล้าพูดว่าผมมีแต่คนรักมากกว่าคนเกลียด อาจเพราะผมใช้ชีวิตด้วยคติคือว่า ทุกคนที่ได้มาเจอและรู้จักผม เขาจะต้องรู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้รู้จักกับผม ผมทำแบบนั้นมาตลอด และตอนนี้ผมมีการ์ดเหล่านั้น ผมลงทุนมาตลอดเดินไปตามแผนเกษียณได้อย่างสบายๆ ผมกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ผมกำลังจะสร้างบ้านในฝันของเรา

แล้วผมก็จั่วได้การ์ด ที่ชื่อว่า มะเร็งระยะสุดท้าย การ์ดที่ถึงผมจะไม่อยากได้ แต่ผมก็มีมันอยู่ในมือ

เป็นวันที่ตระหนักว่าจริงๆแล้ว มนุษย์เรามันโคตรเปราะบางเลยครับ

มันเหมือนโลกทั้งใบของเราแตกสลายลงไปต่อหน้าเลยนะครับ แผนชีวิตที่วางมาทั้งหมด พังลง ต่อหน้าต่อตาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่ได้ chemo หรือได้ยาอะไรเข้าไปแล้วร่างกายจะเป็นยังไง ฉายแสงที่หัวด้วยรังสีเข้มข้น จะเกิดผลข้างเคียงอะไรไหม จะเดินได้อยู่ไหม จะมองเห็นอยู่ไหม จะกินข้าวได้อยู่ไหม จะยังจำทุกคนได้ไหม จะยังเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน

ผมก็ได้กลายเป็นคนที่มีเวลาชีวิตจำกัดขึ้นมาทันที ไม่ว่าผมจะตอบสนองกับยาดีแค่ไหน หรือผมจะแข็งแรงแค่ไหน ผมคงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ เวลาจำกัดแค่ไหนเหรอครับ ก็อาจจะหลักเดือน หกเดือน หนึ่งปี สองปี ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะห้าปี

ผมไม่รู้จริงๆว่าโลกจะให้เวลากับผมเท่าไร ผมไม่สามารถพยายามอะไรได้เลย ทำได้แค่ภาวนาให้ยาตอบสนอง ให้โรคสงบ ให้ไม่มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้น ภาวนา ให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติไปได้อีกสักวัน หรืออีกสักเดือน

แต่คุณเชื่อไหม ผมไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมาเลยนะ ผมมีช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่โคตรดี ดีแบบไม่มีอะไรเสียใจ ไม่มีอะไรที่อยากย้อนกลับไปทำเลย แปลว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตมาได้น่าพอใจมากๆเลยแหละ คือ ไม่ได้รู้สึกว่า รู้งี้ทำแบบนั้นตอนนั้นดีกว่า หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนทางเดินชีวิตอะไรเลย ไม่ได้อยากไปเที่ยวรอบโลก ไม่ได้อยากขับ supercar ไม่ได้อยากมีอะไรที่มากไปกว่าที่ชีวิตตอนนี้มีอยู่เลย ผมมีชีวิตที่ดีมากแล้วจริงๆ 28 ปีที่ผ่านมาของผม มันยอดเยี่ยมและมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกว่าชีวิตที่มีความหมายแล้ว

ผมได้รับโอกาสที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้ตกตะกอนมาตลอดชีวิตผม สิ่งที่ได้เรียนรู้ มุมมองการใช้ชีวิต ความเชื่อ ความฝัน ความประทับใจ รวมถึงเรื่องราวที่ผมอยากจะฝากไว้กับโลกนี้ ทั้งช่วงอารมณ์อ่อนไหว และเข้มแข็ง เผื่อถ้าวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่แล้ว ตัวตนของผม จะยังอยู่ตลอดไป

ผมจะยังได้เป็นอาจารย์ จะยังได้มีลูกศิษย์ ที่เติบโต ที่ได้เรียนรู้จากผมอยู่ มันคงจะดีมากๆถ้าการที่ชีวิตที่สั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ


ที่มา
https://www.msn.com/th-th/news/national (https://www.msn.com/th-th/news/national)

https://www.facebook.com/ktlivethelife/?__cft__ (https://www.facebook.com/ktlivethelife/?__cft__)[0]=AZWVkWIQDsVmvL6ec2FJ5-lIIWD0eX3-LkvC1XCBfMFJWkCScxmzEjq4K8Lx3B22BfDzMJis2L0VuOZIjBme4yJMcwlEa5xXWX20eC82DEybxM6olopUoxHMKlevOXbZpYS5dAAiLfqq4wGsp7PlI000BRhoJ9n9dczx9XPNALynxounOsfCiULhoUYWWG1Gm5U&__tn__=kC%2CP-R

เป็นกำลังใจให้กันค่ะ


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 06, 2023, 10:59:49 AM
ข้อคิดล้ำค่าจากคุณวิกรม กรมดิษฐ์

1. 'เงินเดือนเสี่ยงสุด' พอเกษียณแล้วไม่มีเงินเดือน แถมเดี๋ยวนี้เงินก้อนหลังเกษียณแทบไม่มี เพราะมันเป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องตัดเป็นอย่างแรกเมื่อต้องการลดต้นทุน ธุรกิจ

2. 'ยุคนี้อายุเราโคตรยืน' ด้วยการแพทย์ปัจจุบัน คุณจะอยู่กันเป็น 100 ลองคำนวณซิว่าเมื่อไหร่เงินเก็บที่คุณมีจะ 'สลดเพราะใช้เงินหมดก่อนตาย'

3. 'ลูกหลานเลี้ยงดูเราไม่ได้' ไม่ใช่ลูกหลานไม่กตัญญู แต่ตัวมันเองยังเอาตัวไม่รอด จะเอาปัญญาที่
ไหนมาดูแลคนเกษียณอย่างเรา ภาระคือสิ่งแรกที่คนทิ้งเมื่อเกิดวิกฤต  อย่าทำตัวเราให้เป็นภาระ
เพราะวิกฤตเกิดประจำ

4. 'ไม่รู้จักคำว่า Passive Income' คำนี้สวรรค์ชัดๆ สำหรับคนที่มี Passive Income คือเงินที่ไหลเข้ามาหาเราเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะหยุดทำงาน หรือ แม้กระทั่งป่วย เงินนี้ก็ยังไหลเข้ามา ..การสร้าง Passive Income มันเกิดจากการลงทุนแบบซื้อของที่มูลค่าสร้างรายได้แบบไม่ขายสิ่งนั้นชั่ว ชีวิต เช่น ออมในหุ้น ออมในอสังหาให้เช่า

5. 'เงินก้อนที่คุณเก็บ รักษายากที่สุด' จะมีวิกฤตเศรษฐกิจ เกิดขึ้นอีกหลายครั้งหลังเกษียณ .เศรษฐกิจยุคปัจจุบันผันผวนน่ากลัว และเกิดวิกฤตแรงและเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ .การที่คนส่วนใหญ่ลงทุนแต่ระยะสั้น หรือ มุ่งแต่เก็บเงินก้อน คุณซวย!! เพราะเงินก้อนรักษายากที่สุด . ต้องเงินไหล หรือ Passive Income ต่างหากที่ดูแลเราจนตาย

6. 'เราไร้ค่าหลังเกษียณ เพราะงานคือการอธิบายตัวตนของเรา' .คนเกษียณที่ไม่ได้เตรียมตัวจะจิตตกเจียนตาย เพราะรู้สึกว่าตัวเองหมดคุณค่า หมดความสำคัญ .เขาลืมไปว่า งานคือการอธิบายตัวตนของเรา เมื่อคุณหยุดอธิบายตัวเอง คนก็จะค่อยๆ ไม่เห็นคุณ

7. 'เงินไม่ได้จำเป็น แต่หลังเกษียณโคตรจำเป็น' คนแก่ที่มีลูกหลานรายล้อม ผลัดกันดูแล เพราะคนแก่คนนี้เตรียมมรดกก้อนใหญ่ไว้ให้ลูกหลาน เช่น พ่อเตรียม Port ออมในหุ้น กับอสังหาไว้ให้ลูกหลัง
จากที่พ่อตายนะ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ใช้ได้เสมอครับ

8. 'เจ้าของธุรกิจ เขาไม่ต้องเกษียณ' ..เหมือนไม่แฟร์ที่เราเห็นคนรวย เจ้าของธุรกิจเขาทำงานจนตายไม่มีเกษียณ ..เขาไม่ได้ต้องทำครับ เขาแค่ชอบที่จะทำ ..ที่เขาทำเพราะเขาต้องการอธิบายตัวตนของเขา เพื่อที่คนอื่นจะได้เห็นคุณค่าและให้เกียรติเขาตลอดชีวิต

9. 'เกษียณแล้วฉันจะสบาย ไม่เป็นความจริง' ใครที่เกษียณแล้วสบาย คือมันสบายตั้งแต่ก่อนเกษียณ พวกที่พูดว่าเดี๋ยวเกษียณแล้วจะสบาย ซวยหนักทุกคนครับ

10. 'ทุกอย่างในโลกนี้ มันก็แค่ประสบการณ์' ยิ่งคุณแก่คุณก็จะพบว่า ชีวิตมันก็แค่การเดินทาง และทุกอย่างมันก็คือประสบการณ์ ความสุขมาก ความทุกข์มาก ล้มเหลวมาก ชนะเยอะ โดนหักหลัง โดนโกง โดนแกล้ง เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ก็จะเปลี่ยนเป็นแค่ประสบการณ์เหมือนๆ กันหมด ครั้งนึง พ่อเคยเป็น

คำแนะนำของผมคือ 'งานคือการอธิบายตัวตน' ให้เปลี่ยนงานอดิเรกที่คุณรักให้เป็นเงินตั้งแต่คุณยังมีแรง แล้วชีวิตคุณจะ 'เล่นเป็นเงิน' ทั้งชีวิต เพราะเราดูแลตัวเองได้ และได้ทำสิ่งที่รัก ที่อธิบายตัวเราชั่วชีวิต
นั่นแหละ การเดินทาง

-- Cr: Vikrom Kromadit


หัวข้อ: Re: สิ่งดีๆมีให้แบ่งปัน
เริ่มหัวข้อโดย: paul711 ที่ กรกฎาคม 08, 2023, 08:13:35 PM
สวัสดีครับคุณหนูใจ
ตอนนี้เว็บไซต์กำลังจะเปลี่ยน hostผู้ให้เช่า เพราะผู้ให้เช่า Host เดิม เขาเปลี่ยนระบบใหม่ ไม่รองรับ gold2gold.com  เดิม
ถ้าผมเข้าเว็บไซต์ไม่ได้ ให้ติดต่อผมได้ที่ โทร 081-605-7478 หรือ line id.  Paul7111 ครับ ผมยังมีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบเรื่องเงินที่เหลือของเพื่อนสมาชิกที่ช่วยสร้างเว็บไซต์ ผมจะได้บอกรายละเอียดว่าส่วนหนึ่งได้ไปทำบุญ ที่โรงพยาบาลจุฬาและโรงพยาบาลศิริราช แห่งละ 4,000 บาท มีใบเสร็จรับเงิน และใบอนุโมทนาเรียบร้อยครับผมจะได้ลงให้ดูหลังจาก มีการเปลี่ยน host  ของเว็บไซต. gold2gold.com แล้ว ให้จดเบอร์โทรผมและ ID LINE ของผมไว้ครับ จะได้ติดต่อผมได้ ถ้าติดต่อผ่านทางเว็บไซต์นี้ไม่ได้ ขอบคุณครับ