Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา

ลงทุนในทองคําและแนวโน้ม / Gold Price Trend and Investment, Discussion => การวิเคราะห์ทิศทางของทองคําโดยคุณ ccczaa => ข้อความที่เริ่มโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 08:50:11 AM

Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา

หัวข้อ: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 08:50:11 AM
ก่อนที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองใหม่ ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น
เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย ซึ่ง "เพ็ญพิชชากร แสนคำ"
นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชฟ เวลาเนส เซ็นเตอร์ ได้สรุปพฤติกรรมที่
ทำให้โครงสร้างร่างกายเสียสมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้

1. การนั่งไขว่ห้าง จำทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูก
คดอย่างแน่นอน หรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดยที่ไม่รู้ตัว

2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบักและหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบน
ค่อม และงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือขาได้
นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง
และจำกัดการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้

3. การนั่งหลังงอ / นั่งหลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อการนาน ๆ เป็นชั่วโมงจะทำให้กล้ามเนื้อค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวดและมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น การนั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่ จะชอบนั่งแบบครึ่ง ๆ ก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้น คือเลื่อนให้เข้าในสุดจนติดผนังพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่

5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กันโดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย ไม่ทำให้กล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงกันข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากันจะทำให้
กระดูกเชิวกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคด

6. การยืนแอ่นพุง / หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดินหรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อย โดยให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่าง ไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง และการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด

8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานานควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้งสองข้างให้เท่า ๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอดเพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่เพียงข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

9. การหิ้วของด้วยนิ้ว การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริง ๆแล้ว กล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือ การใช้หยิบจับโดย ไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนัก ๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมาก ๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้

10. การนอนขดตัว / นอนตัวเอียง    [/b] ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ ขนานกับเพดานไม่แหงนหน้า หรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป    ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างกายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง
 :)


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 04:56:53 PM
ออยล์พูลลิ่ง

ออยล์พูลลิ่ง เป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปาก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตย์ทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซียเมื่อปี 2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรคที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้การอมน้ำมัน
  
ผลลัพธ์ ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัยในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษา มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำ พิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด

ออยล์ พูลลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วนๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคส่วนใหญ่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เซลล์เหล่านี้ปกคลุมด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็นเรื่อง ธรรมดาของผิวเซลล์ ( เซลล์ ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองจะผสมรวมและดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พูลลิ่ง  

เมื่อ คุณใส่น้ำมันลงในปาก เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟันหรือตามซอกของฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน  เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน ( water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย
  
เมื่อ แบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม การมีสุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด

อ่านเพิ่มเติมที่   http://www.the-arokaya.com/web/index.php?option=com_content&task=view&id=254&Itemid=35


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: sayong ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 05:15:43 PM
สวัสดีค่ะคุณมดแดง :)
ขออนุญาติเก็บสาระมาฝากด้วยคนนะคะ ^-^

การเลิกบุหรี่
 

การเลิกบุหรี่ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือด้วยกระบวนการทางการแพทย์ สามารถ
ช่วยอาการติดแบบ Psysical Addiction ได้ แต่สำหรับ Habit แล้ว ต้องอาศัยกำลังใจ
ความเข้มแข็ง และความตั้งใจจริง ถ้าหากคุณเป็นผู้หนึ่ง ที่คิดจะเลิกบุหรี่

1. ทิ้งบุหรี่ที่คุณมีอยู่ให้หมด หาให้ทั่วว่าคุณอาจจะซุกซ่อนบุหรี่ของคุณเอาไว้ที่ไหน ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง เสื้อแจ็คเก็ต ลินชักโต๊ะทำงาน
โยนทิ้งไม่ให้เหลือแม้กระทั่งมวนเดียว ไม่ว่ามันจะมีราคาแพงแค่ไหนก็อย่าเสียดายเป็นอันขาด

2. ที่เขี่ยบุหรี่ก็ทิ้งไปเสียด้วย กรณีที่เสียดายเพราะมันเป็นเครื่องตกแต่งราคาแพง อาจจะยกให้คนอื่นไปเสีย หรือนำไปเก็บไว้ในที่ ๆ คุณแน่ใจว่า จะไม่มองเห็นหรือหยิบออกมาได้โดยง่าย

3. เปลี่ยนทรงผม จะได้ดูว่า เรากำลังจะเป็นคนใหม่

4. ทำความสะอาดบ้านและเครื่องเรือนทั้งหมด รวมทั้งเสื้อผ้าก็นำมาซักให้สะอาด ให้กลิ่นบุหรี่หมดไป จริงอยู่คนสูบบุหรี่จะไม่ได้กลิ่นเหล่านี้หรอก เพราะความเคยชิน แต่เมื่อเลิกแล้ว คุณจะได้กลิ่นของมัน
5. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพราะมันจะช่วยชำระล้าง Nocotine ออกจากร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการอยากบุหรี่ได้ด้วย

6. ลดปริมาณสาร Caffeine ที่รับประทานในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟก็ตาม โดยก่อนการเลิกบุหรี่ ควรจะพยายามลดปริมาณสารนี้ให้ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของที่เคยรับประทานในแต่ละวัน เพราะ Nicotine ทำให้ caffeine ซึมเข้าร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ถ้าหากคุณรับประทาน Caffeine ในปริมาณเท่าเดิม ขณะที่สูบบุหรี่ อาจจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า Caffeine Toxicity โดยมีอาการ กระวนกระวายและเครียดได้ แลtนั่นอาจจะทำให้คุณหันกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง

7. ออกกำลังกาย เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้เราเอาใจออกห่างจากบุหรี่ได้ด้วย

8. หาเพื่อนที่มีความต้องการจะเลิกบุหรี่ด้วยกันสักคน แล้วเลิกพร้อมกันเพื่อที่จะได้เป็นที่ปรึกษา คอยเตือนและคอยให้กำลังใจกัน หรืออาจจะเป็นการหาแรงบันดาลใจอื่น เช่น เลิกเพื่อลูก เลิกเพื่อบิดามารดา หรือคนรักก็ได้

http://www.thaiclinic.com/medbible/quit_smoking.html


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 05:26:06 PM
สวัสดีค่ะ คุณ sayong
ขอบคุณค่ะ  :D เชิญค่ะ ด้วยความยินดีนะคะ   มีแต่วิธีอดบุหรี่หรือคะ  วิธีอดเหล้า หรือเบียร์ ไม่มีหรือคะ  :-X laugh.gif laugh.gif


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: sayong ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 05:38:22 PM
สวัสดีค่ะ คุณ sayong
ขอบคุณค่ะ  :D เชิญค่ะ ด้วยความยินดีนะคะ   มีแต่วิธีอดบุหรี่หรือคะ  วิธีอดเหล้า หรือเบียร์ ไม่มีหรือคะ  :-X laugh.gif laugh.gif
ขอหาก่อนนะคะ.... laugh.gif laugh.gif ;D


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 08:45:11 PM
สวัสดีค่ะคุณมดแดง
 ขอมาสมัครเป็นแฟนคลับด้วยคนนะคะ
 ;D ;) :P laugh.gif :-* ::) :P 8) :o ;D ^-^ angel.gif laugh.gif :sleepy: :)


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 09:47:33 PM
ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะ :D :D :D

นำแง่คิดมาฝากค่ะ

ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน.......อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำเหล่านี้
 
1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ รอยยิ้ม

2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุด คือ การช่วยเหลือผู้อื่น

3. ความสุขที่สุด คือ การให้

4. อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวัง และเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ การพูดทำร้ายผู้อื่น

5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ความรัก

6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การทำร้ายตัวเอง

7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้ คือ ความกลัว

8. ยา นอนหลับที่ให้ผลดีที่สุด คือ ความสงบในใจ

วันนี้รุ่ง พรุ่งมีร่ว งดวงไม่แน่             วันนี้แย่ พรุ่งนี้ยัง กลับดังได้

วันนี้ดัง พรุ่งนี้ดับ กลับเปลี่ยนไป     โปรดจำไว้ ทุกชีวิต...อนิจจัง  
 

พระอาจารย์ บุญร่วม กตปุญโญ


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 08, 2009, 10:38:08 PM
การบริหารคอและไหล่  เหมาะสำหรับชาวเว็บทั้งหลายค่ะ
         
ไม่สามารถนำมาให้ดูได้ดีเท่าไปดูที่ลิงค์นี้ค่ะ เพราะมีภาพประกอบที่ดีมากค่ะ

http://www.drtuusa.com/knowledge/kwlge_exercises.htm


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 09, 2009, 06:29:23 AM
ดื่มน้ำอย่างไรให้ถูกต้อง

1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มยิ่งเยอะดีหรือไม่

2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว

3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น

4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น

5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น

ข้อ หนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่า วันหนึ่งเพื่อน ๆ ควรดื่มน้ำแค่ไหน ส่วนข้อสองคิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่า คนเราวันหนึ่งควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำ และอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิเมตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด

นอกจากนี้ อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1,000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตรต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1,500 มิลลิลิตร หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มิลลิลิตร) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคราว ๆ ว่า วันหนึ่งเราต้องดื่มน้ำปริมาณเท่าไหร่ จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สูตรคือ

(น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กิโลกรัม เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 - 1980 มิลลิลิตร หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จึงถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวก นี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อย หรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงล่ะครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดล่ะครับ แต่ถ้าดื่มน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดี ๆ ครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่า น้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไป การทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากากอาหารพวกนี้ กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา

เพราะฉะนั้น เราไม่ควรจะทานของเย็น ๆ ครับ ทานน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริ์ฟน้ำเย็น เสริ์ฟน้ำแข็งกันเป็นกระติก ๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉย ๆ แต่พอตอนนี้เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว


อันนี้ไปเก็บมา  ไม่ทราบที่มาที่ไป  

แต่ไปอ่านอีกแง่ทีได้ที่     http://www.the-arokaya.com/web/index.php?option=com_content&task=view&id=79&Itemid=40   พิจารณากันเองค่ะ


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: ccczaa ที่ พฤศจิกายน 09, 2009, 06:41:00 PM
สวัสดีค่ะ คุณ sayong
ขอบคุณค่ะ  :D เชิญค่ะ ด้วยความยินดีนะคะ   มีแต่วิธีอดบุหรี่หรือคะ  วิธีอดเหล้า หรือเบียร์ ไม่มีหรือคะ  :-X laugh.gif laugh.gif

 :'( evil.gif :'(  กระทู้นี้ ผมข้อประท้วง  เหล้า บุหรี เบียร์  ซื้อหาได้ โดยมีรัฐบาล(กระทรวงการคลัง)เป็นคนควบคุมดูแล 

สิ่งของที่ถูกต้องตามกฏหมาย ไม่มีความผิด  จะลด ละ เลิก ทำไม่ครับ :P  :-X


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 09, 2009, 08:00:52 PM
คุณ sayong  ไม่กล้าเอามาฝาก  แต่ไปอ่านมาแล้วค่ะ  :-X ต้องขอโทษคุณ ccczaa ด้วยค่ะ   :-X  เผื่อมีบางท่านอยากทราบ    :D :D :D

ยาอดเหล้า

คุณอาจจะเคยได้ยินว่า มียาขนานหนึ่งที่ใช้อดเหล้า    ถูก แล้ว มียาที่ใช้ช่วยในการอดเหล้าจริง ๆ ยานี้คือ ไดซัลฟูแรม (Disulfuram) หรือ แอนตาบิ้วส์ (Antabuse) ยานี้เป็นยาที่ช่วยอดเหล้าในรายที่ยินยอมพร้อมใจที่จะเลิกเหล้า ทำให้คนไข้ที่ติดเหล้ามีอาการเบื่อเหล้า โดยการรบกวนกระบวนการที่ร่างกายทำลายแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเหล้าทุกชนิด

โดยปกติ เวลาคนเรากินเหล้า เหล้าจะเข้าสู่กระแสเลือด และเจ้าแอลกอฮอล์ก็เริ่มแผลงฤทธิ์ของมัน ในการกดระบบประสาทส่วนกลาง( คือ สมอง ) จะกดมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นกับว่าจะกินเหล้าเข้าไปมากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลานานเท่าใด คุณจึงสามารถพบคนกินเหล้าในอาการต่าง ๆ ตั้งแต่มึน ๆ พูดมาก พูดไม่เป็นเรื่อง เพ้อเจ้อ บุคลิกเปลี่ยนแปลง ตัดสินใจไม่ได้ เดินโซเซ เอะอะโวยวาย ควบคุมสติอารมณ์ไม่ได้ บางครั้งทำอะไรบ้า ๆ ซึ่งในสภาวะปกติจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด จนกระทั่งเมาหมดสติ
ในรายที่ ดื่มเข้าไปมากเกินไปอย่างรวดเร็ว อาจถึงกับช็อคตายได้ แต่ถ้าดื่มเข้าไปไม่มากนัก หรือไม่เมาหรือมึนจนขาดสติ เดินตกน้ำ หรือขับรถชน เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน ไม่นานนัก ก็จะค่อย ๆ สร่างเมา ฟื้นคืนสติ

สาเหตุที่คนเราสร่างเมา หลังจากกินเหล้าได้ ก็เพราะ แอลกอฮอล์ในเลือดถูกร่างกายทำลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (คือ ก๊าซที่เราหายใจออกมา) และน้ำได้หมด ทำให้เหล้าถูกขจัดออกจากร่างกายไป ก็หมดฤทธิ์เหล้า แต่ยาอดเหล้าจะขัดขวางกระบวนการที่ร่างกายจะทำลายแอลกอฮอล์ ทำให้ปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น และสารตัวกลางนี้แหละเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คนไข้เข็ดเหล้า การมีสารนี้สะสมไว้ ในร่างกาย จะทำให้คนไข้รู้สึกร้อนวูบวาบ กระวนกระวาย ไม่สบาย คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นผิดปกติ มึนงง หายใจขัด หน้าเขียว ชีพจรเต้นเร็ว นอกจากนี้ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจเกิดภาวะความดันเลือดลดต่ำลง ทำให้เป็นลม หมดสติ หรือมีอาการคล้ายคนเป็นโรคจิตได้ โดยปกติ ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นานตั้งแต่ครึ่งถึง หนึ่งชั่วโมง จนถึงหลาย ๆ ชั่วโมง นานตราบเท่าที่ยัง ปริมาณแอลกอฮอล์หลงเหลืออยู่ในเลือด แล้วคนไข้จะค่อย ๆ ดีขึ้น

คนที่คิดจะใช้ยาอดเหล้า จึงควรเป็นคนที่พร้อมที่จะอดเหล้า คือ ตัวเองยินดีและยินยอมที่จะอดเหล้า มีกำลังใจที่จะเลิก ภรรยาที่มีสามีติดเหล้า และอยากให้สามีเลิกดื่ม ไม่ควรแอบซื้อยามาให้สามีกิน โดยที่สามีไม่ทราบหรือไม่ต้องการ เพราะถ้ากินยาแล้วไปกินเหล้า แม้จะเพียงปริมาณเล็กน้อย จะทำให้เกิดอันตรายได้ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
การใช้ยาอดเหล้า ควรจะใช้ภายใต้การดูแลแนะนำของแพทย์มากกว่า เพราะลำพังการใช้ยาเพียงอย่างเดียว จะช่วยอะไรไม่ได้เลย จิตแพทย์ จะช่วยได้มาก เพราะจะช่วยวิเคราะห์ผ่อนคลายปัญหาหรือภาวะที่บีบคั้นจิตใจคนไข้อยู่ พิจารณาการใช้ยาอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ยาคลายกังวล หรือยากล่อมประสาท ควบคู่ไปกับดูแลการอดเหล้าด้วยยาอดเหล้า ให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน ระยะเวลาที่กินยาต้องนานพอควร ซึ่งมักต้องใช้เวลาเป็นเดือน และตลอดระยะเวลาที่กินยาอยู่ ไม่ควรดื่มเหล้า เบียร์ ตลอดจนเครื่องดื่ม หรือยาใด ๆ ที่มีแอลกอฮอล์เจือปน เพื่อป้องกันอันตรายจากปฏิกิริยาของยาและเหล้า ดงได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

นอก จากนี้ ยังมีสาเหตุอื่นที่ไม่แนะนำให้ซื้อยามาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์เลย (ถ้าพบจิตแพทย์ไม่ได้ อย่างน้อยแพทย์ธรรมดาก็ยังดี) ก็เพราะว่า เราต้องระมัดระวังการใช้ยานี้ในคนไข้ที่มีประวัติเป็นโรค เบาหวาน โรคของต่อมธัยรอยด์ (คอพอก) โรคลมชัก โรคตับ โรคไต คนไข้ที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง ยาอดเหล้ายังมีผลต่อระดับของยาหลายชนิดในเลือด เช่น ยาที่ใช้รักษาโรคลมชัก ยารักษาวัณโรค ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ในคนไข้ที่ต้องการจะอดเหล้า และมีภาวะของโรคเหล่านี้แทรกซ้อนอยู่ แพทย์จำต้องพิจารณาถึงภาวะของโรคที่เป็นอยู่ ตลอดจนยาที่ใช้รักษาอยู่ก่อน เพื่อปรับขนาดของยาแต่ละชนิดให้พอเหมาะที่จะใช้กับคนไข้คนนั้น

บท ความนี้ เพียงแต่แนะนำให้คุณ ๆ รู้จักกับยาอดเหล้าอย่างย่อ ๆ เท่านั้น อย่าลืมนะคะ วิธีที่จะป้องกันการติดเหล้าที่ดีที่สุด คือ อย่าดื่มเลยตั้งแต่ต้น แต่ถ้าเกิดติดเหล้าแล้ว จำไว้เถิดค่ะ ยาช่วยได้นิดหน่อยเท่านั้น ยาอดเหล้าจะใช้ไม่ได้ผลเลย ถ้าใช้เดี่ยว ๆ โดยไม่รักษาจิตใจ แก้ไขปัญหาที่เป็นสนิมเกาะกินใจอยู่ ถ้าใจสู้ บางทีไม่ใช้ยา ก็อดได้ แต่ถ้าใจไม่สู้ อดแล้วอดอีก ไม่นานนัก คุณก็คงหันหน้ากลับไปหาเกลอเก่าอีกแน่ ๆ

http://www.doctor.or.th/node/4694


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 10, 2009, 07:22:59 AM
วันนี้ขอเรื่องเบาๆ คลายเครียดเล็กน้อย

ข้อคิดดี ๆ ในการใช้ชีวิต
 
เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่ แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์

         จะไม่มีเชื้อโรคใดเจาะผ่านภูมิคุ้มกันของเราได้ หากมีจิตใจที่คิดแต่สิ่งดี ภายในวิกฤตที่เลวร้าย หากใช้สติและเหตุผลพิจารณาอย่างรอบคอบ เราอาจจะได้เห็นด้านดีๆ ของชีวิตที่ซ่อนอยู่ก็ได้


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 10, 2009, 07:32:35 AM
โยคะแก้ปวดเมื่อยคนทำงาน


1.ท่าเงยคอ-ก้มคอ

วิธีทำ - นั่งตัวตรง ยืดกระดูกสันหลัง หายใจเข้า เงยคอ ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ไหล่รับน้ำหนักของศีรษะ หายใจออก ก้มคอช้าๆ โดยไม่ก้มไหล่ กลับคืนสู่ท่าตรง ทำ 3 ครั้ง


2.ท่าหันคอซ้าย-ขวา

วิธีทำ ? หายใจเข้า อยู่ในท่าตรง หายใจออก หันคอไปทางซ้าย ตามองไปข้างหน้า พยายามให้คางตรงกับไหล่ซ้าย กลับคืนท่าตรง สลับข้าง หายใจเข้า อยู่ในท่าตรง หายใจออก หันคอไปทางขวา ตามองไปข้างหน้า พยายามให้คางตรงกับไหล่ขวา กลับคืนสู่ท่าตรง ทำ 3 ครั้ง


3.ท่าเอียงคอ-ซ้ายขวา

วิธีทำ ? หายใจเข้าอยู่ในท่าตรง หายใจออก เอียงคอทางซ้ายให้ตึงคอทางขวา กลับคืนท่าตรง สลับข้าง หายใจเข้าอยู่ในท่าตรง หายใจออกเอียงคอทางขวาให้ตึงคอทางซ้าย กลับคืนท่าตรง ทำ 3 ครั้ง


4.ท่ายกไหล่ 2 ข้าง

วิธีทำ ? นั่งตัวตรง ยืดกระดูกสันหลัง แขนสองข้างผ่อนคลาย หายใจเข้า ยกไหล่ 2 ข้าง หายใจออก ลดไหล่ลง ทำ 3 ครั้ง

ประโยชน์ที่ได้ ? บำบัดและป้องกันปัญหาอันเกิดจากการทำงานนั่งโต๊ะที่เมื่อยล้า เพื่อป้องกันการเกิดหินปูนที่กระดูกคอและข้อต่อไหล่ เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาไขข้ออักเสบ


5.ท่าวีรบุรุษ

วิธีทำ ? เป็นการยืดกระดูกสันหลัง นั่งขัดสมาธิ ลำตัวตรง นิ้วมือทั้ง 5 ประสานกัน กลับฝ่ามือออกจากลำตัว หายใจเข้า ค่อยๆ ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยืดกระดูกสันหลัง หยุดลมหายใจ 3 วินาที หายใจออก ลดแขนลงช้าๆ กลับสู่ท่าเริ่ม ทำ 3 ครั้ง

- นั่งสมาธิหลังตรง หายใจเข้า แขนเหยียดตรงเหนือศีรษะ หายใจออก เอียงตัวทางซ้ายจนตึงลำตัวด้านขวา กลับคืนท่าตรง สลับทำอีกข้าง ทำ 3 ครั้ง

ประโยชน์ที่ได้ ? ป้องกันหินปูนเกาะกระดูกคอ แก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม ช่วยยืดกระดูกสันหลังให้ตรง ป้องกันอาการไหล่ติด เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการหายใจ ขณะนั่งบนเก้าอี้ในที่ทำงานพยายามนั่งตัวตรง ไม่พิงพนักเก้าอี้ หรือฝึกที่บ้านไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้ ควรเปลี่ยนเป็นท่านั่งทับส้นเท้าแบบญี่ปุ่นก็ได้


6.ท่ากลอกตาและพักสายตา

วิธีทำ ? กลอกตาไปตามทิศทางคือ ซ้าย-ขวา บน?ล่าง และแนวทแยง หมุนตาตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาเป็นวงกลม ทำแบบละ 3-5 รอบ หลังจากนั้นถูฝ่ามือให้ร้อนหลายๆ ครั้ง ปิดตา และใช้ฝ่ามือประคบเปลือกตาเบาๆ นับในใจ 1 2 3 ปล่อยมือ ทำ 3 ครั้ง

ประโยชน์ที่ได้ ? ป้องกันกล้ามเนื้อตาเสื่อม ตาต้อ ช่วยถนอม

http://nirva.igetweb.com/?mo=3&art=251564


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ พฤศจิกายน 10, 2009, 01:55:20 PM
คุณมดแดงค่ะ
  ข้อมูลมากมายอ่านแทนไม่ทันเลยค่ะ ได้นำมาใช้บ้างส่วนแล้วค่ะ ขอบคุณหลายเด้ออาย
  :) ;) :D ;D :P :-* ^-^ angel.gif laugh.gif


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 10, 2009, 09:08:22 PM
คุณมดแดงค่ะ
  ข้อมูลมากมายอ่านแทนไม่ทันเลยค่ะ ได้นำมาใช้บ้างส่วนแล้วค่ะ ขอบคุณหลายเด้ออาย
  :) ;) :D ;D :P :-* ^-^ angel.gif laugh.gif


ขอบคุณมากค่ะ :D สำหรับคำชม  และรู้สึกดีใจที่ข้อมูลเหล่านั้นสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้บ้างค่ะ   วันนี้ วกเข้าเรื่องสุขภาพใกล้ตัว สำหรับสตรี ส..ว  โดยเฉพาะ  (อันนี้คิดเอง  จากประสบการณ์ ที่คุณแม่บ้านทั้งหลายเป็นกันเมื่ออายุุมากขึ้น )  เพราะฉะนั้นพบได้ทุกบ้าน

นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ

นิ้วล็อก

นิ้ว ล็อก หมายถึง อาการที่งอข้อนิ้วมือ  แล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้เหมือนถูกล็อก  เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปที่ต้องใช้มือจับสิ่งของ หรืออุปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องบ่อยๆ โรคนี้ไม่มีอันตรายใดๆ   เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้

ชื่อภาษาไทย นิ้วล็อก, ปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมืออักเสบ
ชื่อภาษาอังกฤษ Trigger finger, Digital flexer  tenosynvitis,  Stenosing tenosynvits

สาเหตุ
เกิด จากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นที่ใช้ในการงอข้อนิ้วมือ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณโคนนิ้วมือ ทำให้เส้นเอ็นหนาตัวขึ้น และติดขัดในการเคลื่อนไหวขณะเหยียดนิ้วมือ เมื่ออักเสบรุนแรงมากขึ้นจะเกิดปุ่มตรงเส้นเอ็น เวลางอนิ้วมือปุ่มจะอยู่นอกปลอกหุ้ม แต่ไม่สามารถเคลื่อนเข้าปลอกหุ้ม เวลาเหยียดนิ้วมือกลับไป  ทำให้เกิดอาการนิ้วล็อกอยู่ในท่างอ ต้องออกแรงช่วยใน การเหยียด จึงจะสามารถฝืนให้ปุ่มเคลื่อนที่ผ่านปลอกหุ้มเข้าไปได้

การอักเสบของ เส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมือมักเกิดจากแรงกดหรือเสียดสีของเส้นเอ็นซ้ำ ซาก หรือใช้งานฝ่ามือมากเกินไป เช่น การใช้มือหยิบจับอุปกรณ์ในการทำงานบ้าน ทำสวน ขุดดิน  เล่นกีฬา เล่นดนตรี  เป็นต้น โรคนี้จึงพบบ่อยในกลุ่มแม่บ้าน เลขานุการที่พิมพ์ดีดบ่อยๆ ผู้ที่ชอบเล่นกีฬา (เช่น กอล์ฟ เทนนิส)  หรือเล่นดนตรี (เช่น ไวโอลิน) นอกจากนี้ยังพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อรูมาตอยด์  เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์
  
อาการ
ระยะ แรกมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัดโดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักหนึ่งก็จะกำมือได้ดีขึ้น บางคนจะสังเกตว่าเวลางอแล้วเหยียดนิ้วมือจะได้ยินเสียงดังกิ๊ก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อกคือ เวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน นิ้วที่เป็นบ่อยได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง และนิ้วนาง อาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ และอาจเป็นที่มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้างก็ได้ อาการมักจะเป็นมากตอนเช้า

การแยกโรค
อาการ นิ้วงอ เหยียดขึ้นไม่ได้ อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เส้นเอ็นนิ้วมือฉีกขาดจากการบาดเจ็บ (ซึ่งมักเกิดขึ้นฉับพลันหลังได้รับบาดเจ็บ) การดึงรั้งของพังผืด  (เช่น ผู้ที่มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกที่นิ้วมือ) ความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (เช่น  Dupuytren's contracture) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม  ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข
  
การวินิจฉัย
แพทย์ มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นหลัก และการตรวจร่างกายอาจตรวจพบว่าเมื่อใช้มือกดตรงโคนนิ้วมือ ตรงปุ่มกระดูกจะรู้สึกเจ็บ และบางคนอาจคลำได้ปุ่มเส้นเอ็นที่อักเสบ
  
การดูแลตนเอง
หาก มีอาการเจ็บตรงโคนนิ้วมือ เวลางอนิ้วมือแล้ว เหยียดนิ้วมีเสียงดังกิ๊ก หรือเวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้น เองไม่ได้ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อให้การตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด เมื่อพบว่าเป็นโรคนิ้วล็อก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง และควรปฏิบัติดังนี้

    * ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วที่เป็นนิ้วล็อกเล่น  อาจทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากขึ้นได้
    * ถ้ามีอาการข้อฝืด กำไม่ถนัดตอนเช้า ควรแช่น้ำอุ่นจัดๆ และบริหารโดยการขยับมือกำแบเบาๆ ในน้ำ จะทำให้นิ้วมือเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น
    * เมื่อ ต้องกำหรือจับสิ่งของแน่นๆ เช่น ไม้กอล์ฟ  ตะหลิวผัดกับข้าว ควรใช้ผ้าหรือฟองน้ำพันรอบๆ หรือใช้ถุงมือจับจะช่วยลดแรงกดหรือเสียดสีลง

  
การรักษา
แพทย์ จะให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค ในระยะแรก อาจให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์  เพื่อบรรเทาปวดและลดการอักเสบ การทำกายภาพ- บำบัด หรือฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปที่เส้นเอ็นที่อักเสบ ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการใหม่ๆ ถ้าไม่ได้ผล อาจต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องมือสะกิดส่วนของพังผืดที่หนาตัวออกไป (โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ไม่ต้องเข้าห้องผ่าตัด จะมีแผลเป็นรูเล็กๆ ตรงตำแหน่งที่เจาะ) ถ้ายังไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไข
  
ภาวะแทรกซ้อน
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด  นอกจากทำให้มีอาการเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด
  
การดำเนินโรค
ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะเป็นเรื้อรัง  และข้อฝืดมากขึ้น
ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายได้
  
การป้องกัน
หลีกเลี่ยงการใช้มือทำงานที่มีลักษณะทำให้เกิดแรงกดหรือเสียดสีกับเส้นเอ็นแบบซ้ำซาก

    * การหิ้วของหนักๆ เช่น ถุงหนักๆ  ถังแก๊ส  ถังน้ำ  กระเป๋า (ควรใช้รถเข็นลาก  หรือใส่ถุงมือ)
    * การซักผ้า  บิดผ้า (ควรใช้เครื่องซักผ้าแทน)
    * เวลา กำหรือจับอุปกรณ์ต่างๆ ควรใส่ถุงมือลดแรงกดหรือเสียดสี เช่น ใส่ถุงมือเวลาจับไม้ตีกอล์ฟ  กรรไกรตัดกิ่งไม้ มีดตัดต้นไม่หรือดายหญ้า

  
ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย  โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานที่ต้องหยิบจับสิ่งของหรืออุปกรณ์อย่างต่อเนื่องนานๆ  หรือใช้มือหิ้วของหนักๆ

http://www.doctor.or.th/node/1133


หัวข้อ: Re: สาระน่ารู้ เก็บมาฝาก
เริ่มหัวข้อโดย: sayong ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 04:49:48 AM
สวัสดีค่ะ คุณ sayong
ขอบคุณค่ะ  :D เชิญค่ะ ด้วยความยินดีนะคะ   มีแต่วิธีอดบุหรี่หรือคะ  วิธีอดเหล้า หรือเบียร์ ไม่มีหรือคะ  :-X laugh.gif laugh.gif

 :'( evil.gif :'(  กระทู้นี้ ผมข้อประท้วง  เหล้า บุหรี เบียร์  ซื้อหาได้ โดยมีรัฐบาล(กระทรวงการคลัง)เป็นคนควบคุมดูแล 

สิ่งของที่ถูกต้องตามกฏหมาย ไม่มีความผิด  จะลด ละ เลิก ทำไม่ครับ :P  :-X
:D ;D ท่าทาง...จะมีคนเลิกไม่ได้จริงๆค่ะ :-X ;D
อิอิ เอามาฝากไว้เผือจะมีคนอยากเอาไปใช้หน่ะค่ะคุณccczaa ;)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 07:11:09 AM
 พิศิษฐ เบญจมงคลวารี โครงการฟื้นฟูการนวดไทย มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนาและคณะ
บรรเทาอาการ ปวดไหล่และแขนจากการใช้คอมพิวเตอร์

ทุก วันนี้ที่คลินิกของผมจะมีผู้เข้ารับบริการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะ คอ บ่า และไหล่ เป็นจำนวนมาก  ซึ่งมักจะเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ในนิตยสารหมอชาวบ้านฉบับประจำเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ผมได้นำเสนอท่านวดบรรเทาอาการปวดคอไปแล้ว

ต่อจากนี้  ผมจะนำเสนอท่านวดบรรเทาอาการปวดไหล่และแขน นับเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อย ทำให้เกิดอาการปวด ตึงบริเวณกล้ามเนื้อไหล่และแขน สร้างทั้งความทรมานและรำคาญแก่ผู้ป่วย ซึ่งอาการจะทุเลา ลงหลังจากทำท่านวดบรรเทาอาการปวดไหล่และแขนที่ผมเขียนมานี้  

 (http://www.doctor.or.th/sites/default/files/346-008-pic-01.jpg)


http://www.doctor.or.th/node/1170


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 01:33:19 PM

เตือนภัยรูปแบบใหม่ (อ้างจากศาล) อย่างหลงกล!!!
 
วันที่: วันพฤหัสบดี, 29 ตุลาคม 2009 13:05 น.
 
ถึงทุกๆท่าน            ดิฉันมีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้    ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่            เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2552  เวลาประมาณ 09.15 น.   ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากหมายเลข   +886226994823   เป็นระบบเสียงอัตโนมัติอ้างว่าโทร."จากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร   แจ้งว่ามีหมายส่งถึงดิฉัน   แต่ไม่สามารถส่งหมายได้   
ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา     มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป    กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ   กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่"
          ด้วยความที่ดิฉันเป็นทนายความ   จึงสงสัยและจับพิรุธได้ดังนี้
               1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา
               2. เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ   เหมือนโทร.มาจากต่างประเทศ
               3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร
               4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความ หรือตรวจสอบข้อมูลทางโทศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทร.ไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเองหรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)
          ดิฉันจึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้มีเขามีลูกเล่นอย่างไร   สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย   (มีเสียผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ซึ่งทำให้เหมือนจริงว่าโทร.มาจากศาล)   แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลอาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้   ขอทราบชื่อ-นามสกุล     ดิฉันก็แจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ   จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก   ดิฉันไม่ให้   เขาก็บอกว่าการติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน   ดิฉันจึงบอกไปว่าการตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้   ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุลก็ได้แล้ว   ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน   ดิฉันจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง   ขอทราบชื่อเจ้าหน้าศาลที่จะต้องติดต่อ     ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วยเสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย   ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ
           ดิฉันได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า
              -   ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ
               - เป็นรหัสทางไกล 886   ซึ่งโทร.มาจากไต้หวัน
         ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย   เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป   ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไร   เลขบัตรป ระชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆของท่าน เช่นข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ   ได้มากมาย   
         นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ   ญาติสนิท มิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย
                                                                               
                                                                             
                                                                                 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 11, 2009, 08:47:42 PM
มิตรภาพที่ดีๆยังมีในสังคม

(http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/newimg/love/Untitled-1.jpg)

เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบจาก Forward mai
l

          ปัจจุบัน สังคมกำลังเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ ยุคข้อมูลข่าวสาร ยุคความเจริญก้าวหน้า ยุคที่หลายๆ สิ่งกำลังเปลี่ยนไป เมื่อทุกสิ่งเปลี่ยนไป มนุษย์อย่างเราพยามที่จะพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับยุคไฮเทคของโลกสมัยใหม่ไป ด้วย แต่ดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ไม่มีการพัฒนา แต่กลับด้อยลงๆ นั่นคือ มิตรภาพ ? มิตรภาพที่เคยช่วยเหลือเกื้อIลกันก็ลดลง เพราะต่างๆ คน ต่างเอาตัวรอด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ? จนแทบไม่มีมิตรภาพที่จะมอบให้คนอื่นๆ อีก ทั้ง เพื่อน ญาติ แฟน เพื่อนร่วมชาติ หรือแม้แต่สัตว์ร่วมโลก ? (หรือ "มิตรภาพ" จะหายไปจากโลกนี้ซะแล้ว)

          อ่ะ อ่ะ อย่าเพิ่งคิดว่าในโลกนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว หรือไม่มีมิตรภาพนะคะ? เพราะในสังคมอีกหลายๆ แห่งมิตรภาพยังคงมีให้เห็นบ่อยๆ และวันนี้เราได้รับ Forward mail ฉบับหนึ่ง ที่สื่อให้เห็น มิตรภาพน่ารักๆ ของเด็กๆ กับสุนัขตัวน้อยที่มีให้กัน เลยอยากแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้อ่านและดูกันค่ะ

          ...นี่เป็นภาพของเด็กชาย 2 คน ที่พยายามช่วยกันหาวิธีดึงสุนัขตัวน้อยที่ตกลงไปในน้ำ ให้ขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เด็กตัวเล็กๆ พละกำลังก็น้อยนิด แต่ยังมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก มีมิตรภาพดีๆ ที่จะมอบให้กับเจ้าสุนัขตัวเล็กๆ ตัวนี้ ทั้งๆ ที่มีโอกาสตกลงไปเหมือนหมาน้อยตัวนั้น แต่เด็กๆ ก็ยังสามัคคี จับมือเกาะเกี่ยวดึงกันไว้ จนสามารถช่วยชีวิตเจ้าหมาน้อยได้ ...

          หลังจากดูรูปภาพนี้แล้วก็ทำให้อดคิดด้วยความดีใจ และอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า... "ในสังคมไทยยังมีมิตรภาพดีๆ แบบนี้เหลืออยู่ ? เด็กๆ ยังมีมิตรภาพให้คนอื่น โดยเฉพาะมิตรภาพที่มอบให้กับสุนัข ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ด้วยกัน เมื่อถึงคราวเดือดร้อน ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ?

          แล้วมนุษย์อย่างเราล่ะ เคยมีมิตรภาพมอบให้กันบ้างหรือเปล่า? มิตรภาพในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตในโลกกลมๆ ใบเดียวกัน มิตรภาพในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน มิตรภาพในฐานะเพื่อนกัน มิตรภาพในฐานะญาติ มิตรภาพในฐานะเป็นนักการเมือง เป็นคนในสังคมเดียวกัน เคยมอบให้กันบ้างไหม?"

          ? ถ้าเรามี "มิตรภาพ" มอบให้คนอื่นแล้ว เชื่อว่าจะสามารถสร้างความอบอุ่น ความรัก ความจริงใจ ความไว้ใจ ความห่วงใจ และไม่ทอดทิ้งกันยามลำบากแน่นอน ? มีมิตรภาพแล้วดีอย่างนี้ แล้วเหตุใดเราจึงไม่รักษา "มิตรภาพ" นั้นไว้ ? อย่าให้ใครบางคน... เรื่องราวบางเรื่อง... มาทำลายมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน... เราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันทุกอย่าง ... ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน? แต่มิตรภาพของเราก็สามารถมอบให้กันได้?


  http://i.fhqhosting.com/102%20rainbow.swf


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 12, 2009, 03:54:46 PM
สมาธิในชีวิตประจำวัน
โดย พ.ญ. อมรา มลิลา


ปกติ คนเราก็มีสมาธิกันอยู่โดยธรรมชาติแล้วทั้งนั้น แต่เราอาจไม่รู้สึกตัวว่านั่นเป็น สมาธิ เหตุใดเราจึงหันมาสนใจสมาธิกันในระหว่างนี้ เห็นจะเป็นเพราะชีวิตประจำวันขณะนี้ วุ่นวายสับสน จนเรารู้สึกเหนื่อย ไม่มีกำลังพอที่จะรับหน้ากับสิ่งที่ต้องผจญอยู่ทุกวัน ๆ

ที่เป็นดัง นี้ เพราะเราไปมุ่งเพ่งเล็งอยู่แต่ในด้านวัตถุกันมาก จนกระทั่งลืมนึกว่าสิ่งที่เป็นรูปกายของเรานี้ ประกอบด้วยสองส่วน คือ กาย ซึ่งเป็น วัตถุ กับ ใจ ซึ่งเป็น นามธรรม เป็นพลัง

เมื่อเราไม่เคย สนใจที่จะบำรุงรักษาใจให้ได้พักผ่อน เพื่อจะได้มีพลังเพียงพอไว้ต่อสู้กับเหตุกรารณ์ประจำวัน เราก็เริ่มรู้สึกล้า รู้สึกเหนื่อย รู้สึกขุ่นมัว รู้สึกเศร้าหมอง แต่เราก็ไม่มีเวลาที่จะนั่งลงถามหาเหตุผลว่า เหตุใดเราจึงเป็นเช่นนั้น

ตรง ข้าม เรากลับพยายามแสวงหากันต่อไป ด้วยคิดว่า อาจเป็นเพราะวัตถุที่มาอำนวยความสะดวกให้เรานั้นยังน้อยไป ยังขาดตกบกพร่อง เราจึงแสวงหาเพิ่มขึ้น ยิ่งแสวงหาเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งเหนื่อยมากขึ้น ก็ยิ่งสับสนมากขึ้นก็ยิ่งไม่มีกำลังมากขึ้น

จึงมีคนฉุกคิดว่า น่าจะมีอะไรมาแก้ไขได้ จึงหันมาเพ่งเล็งถึงสมาธิ ถึงวิธีทั้งหลายที่จะช่วยให้จิตของเรามีพลังและคุณภาพเพิ่มขึ้น

สมาธิ คืออะไร สมาธิคือความแน่วนิ่งของใจ ของจิตของเรา ปกติใจซึ่งเป็นพลัง เป็นสิ่งที่กระเพื่อมเหมือนกับน้ำอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีการเคลื่อนไหว มีการคิดไป ไหลไปตามอารมณ์ โดยไม่มีหลักยึดเหนี่ยว ก็จะเหนื่อย จะหมดกำลังไปโดยเปล่าประโยชน์

หากเราหาอะไรที่ทำให้มันเกิดความตั้ง มั่น เกิดความแน่วนิ่งขึ้นได้ เป็นต้นว่า มีทุ่นสำหรับให้เกาะ จิตก็จะไม่ว้าวุ่น สับสน แต่จะสงบเย็น และมีกำลังพร้อม สำหรับนำไปใช้คิดขบปัญหา ด้วยเหตุ ด้วยผล ซึ่งจัดเป็นการประยุกต์ใช้อย่างมีประโยชน์และมีประสิทธิภาพ

ปัญหาจึง มีว่า ทำอย่างไร เราจึงจะสามารถทำสมาธิให้เกิดได้เพียงพอ สำหรับรักษาและเสริมบำรุงใจของเรา ให้มีสมรรถภาพพอที่จะทำการงาน และมีชีวิตอยู่ โดยสามารถบำเพ็ญประโยชน์ได้เต็มที่ และดีที่สุด เราก็พบว่า เราสามารถทำได้ โดยอาศัยวิธีธรรมชาติ ธรรมดาที่สุด

ปกติคนเราย่อมมี กิจกรรม มีการเคลื่อนไหวอิริยาบถ หรือมีอะไรทำอยู่เป็นประจำ แทนที่เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ใส่ใจ ไม่เอาสติไปจดจ้องไว้ เราก็เอาสติมาตามรู้อยู่

เพื่อ ให้จิตของเรามีทุ่นเกาะ มีหลักสำหรับให้มันแน่วนิ่งอยู่ ไม่ไหลตาม หรือเกาะเกี่ยวไปกับอารมณ์ ไปในอดีต ไปในอนาคต โดยละเลยปัจจุบัน ทุกขณะ ๆ ที่เรากำลังเป็นอยู่นี้

เริ่มต้นง่าย ๆ ที่สุด ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาก แทนที่จะปล่อยใจของเราให้ไปนึกถึงสิ่งที่ผ่านไปเมื่อวาน ที่เรายังปลงไม่ตก ที่มันยังเป็นความกังวลอยู่ เราเอาสติมาตามร้อยู่กับอิริยาบถในปัจจุบับเดี๋ยวนั้น เราลุกขึ้น ก็ให้รู้อยู่ เราไปห้องน้ำทำกิจวัตรประจำวัน ก็ให้รู้อยู่

ถ้าเราจำ เป็นต้องคิด ก็เอาสติตามรู้อยู่ในกระแสของความคิดนั้น ๆ ว่า เรากำลังคิดด้วยความมีเหตุและผล เพื่อแก้ไข หรือหาวิธีที่จะคลี่คลายปัญหาของเราให้ดีขึ้น หรือว่า คิดไปด้วยความกลัดกลุ้ม ด้วยความสับสน ด้วยความไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้กันแน่

เอา สติตามรู้อยู่เช่นนั้น ตามรู้อยู่ดังนั้น อยู่กับปัจจุบันทุก ๆ ขณะอย่างนั้น และรู้อยู่ในอิริยาบถที่เราเคลื่อนไหว ซึ่งบางคนอาจเรียกว่า สัมปชัญญะ ก็ได้ เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว หากต้องไปทำงานอะไร เราก็ไปจดจ่อรู้อยู่กับสิ่งที่เราไปทำนั้น

เราอ่านหนังสือ ก็ให้รู้อยู่กับข้อความที่กำลังอ่านนั้น เราฟังใคพูด้วยก็ให้รู้อยู่ในเรื่องที่เขาพูดกับเราเท่านั้น ไม่ปล่อยให้ใจไหลไปคิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต ฟังดูก็ง่าย แต่ถ้าลองปฏิบัติ กำหนดเอาสติจ่อใจของเราดู

บางคนจะตกใจว่า ทำไมใจของเราจึงฟุ้ง คิดยุ่งเหยิงอย่างนั้น ทำไมจึงว่ายากอย่างนั้น เพราะใจเป็นธรรมชาติที่ไม่อยู่นิ่ง เป็นธรรมชาติที่ชอบไหลเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ โดยที่เราไม่รู้ตัว

เราจะ ตกใจมากที่พบว่า เราสามาถคิดเรื่องห้าเรื่องได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว โดยที่เราไม่รู้ดอกว่า เราต้องการคิดถึงเรื่องอะไรก่อน เรื่องอะไรหลัง แต่มันจะโผล่ขึ้นมาพร้อม ๆ กัน จนเราแยกแยะไม่ออก จนเราสับสน จนเราเหนื่อย

แล้ว เราก็บ่นว่ากลุ้มจริง เบื่อจริง ชีวิตทำไมจึงมีแต่ปัญหามากมายอย่างนี้ ก็เพราะว่าเราไม่ได้ฝึกไม่ได้อบรม ไม่ได้ทำใจของเราให้มีหลัก มีทุ่นสำหรับยึดเหนี่ยวเราจึงทำให้สิ่งที่ไม่น่าเป็นปัญหา เกิดเป็นปัญหา ก่อกวนให้เราสับสนยิ่งขึ้น

เพราะฉะนั้น หากเราคิดว่า เราไม่มีเวลาไปฝึกทำสมาธิ เรายังไม่พร้อม เรายังมีข้อขัดข้องอย่างโน้นอย่างนี้ กรุณาลองคิดใหม่ ดังนี้ แท้จริงนั้น เรามีสมาธิกันอยู่โดยธรรมชาติแล้ว เพราะหากเราไม่มีสมาธิเลย เราจะมีสุขภาพจิตเป็นปกติ ไม่เป็นโรคจิต หรือโรคประสาทไปไม่ได้

ใจ ของเราก็เหมือนกาย มันต้องได้พักผ่อน ได้อาหารพอสมควร เพื่อที่จะดำรงพลัง และความมีสติ มีปัญญา พอเพียงสำหรับติดต่อ หรืออยู่ในโลกกับผู้คนได้ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างก็มีสมาธิกันโดยพื้นฐานเพียงแต่ว่าเรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวเท่า นั้น


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 13, 2009, 08:16:31 PM
เมื่อไหร่จะหายปวดหลัง

มัก เป็นคำถามยอดฮิตติดปากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้รักษาก็ไม่อาจบอกได้ว่าเมื่อไหร่ คุณจะหายจากอาการปวดหลัง หากได้เคยอ่านบทความอื่น ๆ ที่ดิฉันเขียนเกี่ยวกับอาการปวดหลังผู้อ่านหลายท่านคงเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ และภาวะที่เกิดอาการปวดหลังมาบ้างแล้วพอสมควร แต่หลายท่านอาจจะยังมีคำถามนี้ในใจ หรือเอ่ยปากถามหมอไปหลายครั้งแล้ว หาก เราได้พิจารณาถึงสาเหตุของอาการปวดหลังนั้นเป็นอย่างดีแล้ว และพบว่ามันเกิดจากการทำงานผิดท่าทาง หรือเกิดจากการไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โดยปล่อยให้มีอาการปวดหลังเรื้อรังเป็นเวลานาน การที่จะหายจากอาการปวดหลังอย่างสิ้นเชิงนั้นมักเป็นไปได้ยาก อาจต้องใช้ระยะเวลานานมาก ๆในการรักษา ให้หายขาด  คุณเท่านั้นที่จะรู้ !
 
อาการ ปวดหลังเรื้อรังนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่หลังเพียงอย่างเดียว หากแต่สมองของเรา ที่ทำหน้าที่รับทราบและแสดงปฎิกิริยาตอบสนองต่ออาการปวดหลังนั้น ได้จดจำอาการเจ็บปวด และรูปแบบอาการปวดไว้อย่างถี่ถ้วน ยิ่ง ปล่อยให้เป็นนาน อาการปวดยิ่งเพิ่มขึ้น และเหมือนไม่ตอบสนองต่อการรักษา อาการปวดบางครั้งก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ อยู่เฉย ๆ ก็ปวด เคยทานยาแก้ปวดหาย เดี๋ยวนี้ทานหลายเม็ดก็ไม่ทุเลา เป็น สิ่งที่บอกเราว่ามันเกิดจากการที่สมองจดจำอาการปวดไว้และแสดงออกเมื่อถึง เวลา มีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความร้อน ความเย็น ความเครียด และปัจจัยที่มันจำได้เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างพอดิบพอดี อาการปวดก็จะเกิดขึ้นทันที เช่น ยังปวดหลังตอนเช้าทุกวัน ไม่หาย แม้เปลี่ยนเตียงให้แข็งขึ้น ปรับท่านอน ก็ทำแล้ว
 
สมองของเรามีหน้าที่ควบคุมการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งแบบที่เราบังคับมันได้ และแบบที่ทำหน้าที่ได้เองตามอัตโนมัติ โดยเราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ความรู้สึกหิว ง่วง เจ็บปวด หนาว ร้อน ปวดปัสสาวะ อุจจาระ เมื่อสมองจำได้ ก็ลืมได้เช่นกัน หากความจำนั้นไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นความจำระยะยาวอย่างถาวร เช่น การจดจำลักษณะท่าทางการเดิน ยืน นั่ง วิ่ง ของตัวเอง นับเป็นความทรงจำระยะยาว เพราะเราฝึกหัดเดิน ยืน วิ่ง มาเป็นเวลานานนับสิบ ๆ ปี แต่เมื่อเราเจ็บป่วยไม่ ได้เดินนาน ๆ สมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ให้ทำงานสอดคล้องกันอย่างละเอียดในการเดิน ก็อาจลืมหน้าที่ของมันไปได้เหมือนกัน แต่เราก็ยังไม่ลืมท่าทางการยืน เดิน และวิ่ง เพียงแต่บังคับร่างกายได้ลำบากขึ้น เพราะการยืน เดิน ของเรานั้นต้องใช้สมองส่วนที่ควบคุมได้ และส่วนที่ทำงานอัตโนมัติควบคู่กันไป ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
 
หาก ได้รับการรักษาอาการปวดหลังอย่างถูกวิธีแต่เนิ่น ๆ  และมีความเข้าใจในเรื่องสาเหตุของอาการเป็นอย่างดี สมองของเราก็จะจำได้ดีว่ามันต้องทำหน้าที่ในการควบคุมกล้ามเนื้อหลัง คอและขา อย่างไรให้สัมพันธ์กัน และไม่เกิดอาการเจ็บป่วยเมื่อต้องทำงานหนัก กล้าม เนื้อส่วนที่ไม่ได้ใช้เมื่อเกิดอาการปวดหลังต้องได้รับการกระตุ้นให้ทำงาน สมองต้องเรียนรู้ที่จะจดจำการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อที่สำคัญ อีกครั้ง และฝึกให้เป็นความทรงจำระยะยาว เพื่อที่จะให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นทำงานได้อย่างอัตโนมัติ ช่วยป้องกัน ชะลอ และบรรเทาอาการปวดหลังได้ในระยะสั้น ระยะยาว หรือ แม้กระทั่งหายขาดจากอาการปวดหลังได้อย่างถาวร การ ฝึกท่าทางต่าง ๆ ให้ถูกต้อง และออกกำลังกายในท่าทางที่เหมาะสมกับภาวะอาการปวดหลัง จึงต้องทำอย่างจริงจัง และสม่ำเสมอ ไม่ใช่เรื่องตลก หรือ เป็นสิ่งที่ผลัดผ่อนไปก่อนได้
 
เมื่อ กล้ามเนื้อที่สำคัญต่าง ๆ ทำหน้าที่ของมันได้อัตโนมัติ อาการปวดเริ่มทุเลา สมองจะค่อย ๆ ลืมความจำเกี่ยวกับอาการปวดไปได้ทีละน้อย จนลืมอาการปวดที่เคยจำไว้ได้ในที่สุด นักกีฬาซึ่งฝึกอย่างหนักและสม่ำเสมอ ร่างกายก็เกิดความเคยชินและสมองก็จะจดจำท่วงท่าต่าง ๆ ในการเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี เมื่อเราฝึกอย่างสม่ำเสมอแล้วสมองจะควบคุมกล้ามเนื้อได้ดีจนเราไม่รู้สึกว่า ยากที่จะทำท่าต่าง ๆ และไม่ค่อยเจ็บป่วยง่าย ๆ เมื่อเทียบกับผู้ไม่ได้เล่นกีฬาหรือออกกำลังเลย
 
การ ฝึกสมองจึงเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง ซึ่งผู้รักษาทั่วไปอาจจะไม่ได้บอกผู้ปวดหลังเรื้อรังทุกรายว่า ทำไมเมื่อปล่อยให้ปวดหลังนาน ๆ จึงหายยากกว่าผู้ปวดหลังแล้วได้รับการรักษาที่ถูกต้องแต่เนิ่น ๆ การ ปฎิบัติตัวต่าง ๆ เพื่อให้หายจากอาการปวดหลัง การออกกำลังกาย การนอน ยืน นั่ง เดิน ยกของ ไอ หรือ จาม ขึ้นลงบันได การวิ่ง การเล่นกีฬา และการออกกำลัง กล้ามเนื้อหลัง กล้ามเนื้อหน้าท้อง ที่ทำหน้าที่เสริมความมั่นคงให้หลังทำงานได้ดีขึ้น ล้วนเป็นสิ่งซึ่งต้องปรับเปลี่ยนให้ถูกต้องและทำให้สม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ ให้เกิดอาการปวดหลังซ้ำซ้อน เมื่อ ทำทุกอย่างได้ถูกต้องเป็นกิจวัตร จนสมองคุ้นเคยกับสิ่งที่ต้องปฎิบัติอย่างถูกต้อง มันก็จะลืมอาการปวดที่เคยมี และคุณก็สามารถจะลาขาดจากอาการปวดหลังได้ในที่สุด แต่ ต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่คุณปฏิบัตินั้นถูกต้องแล้ว และขณะทำงานต่าง ๆ คุณหลีกเลี่ยงท่าทางที่ไม่เหมาะสม และไม่มีปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดหลังเกิดขึ้นอีก
 
หากสามารถนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อคุณระงับหรือ กำจัดสาเหตุได้ ไม่มีปัจจัยส่งเสริม อาการปวดซึ่งเป็นผลก็จะหายไปในที่สุด แต่ ถ้าอาการปวดนั้นเกิดจากโรคประจำตัว หรือกรรมพันธุ์บางอย่างซึ่งไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ คุณก็ต้องวางใจไว้ในระดับหนึ่งว่า ทำอย่างไรให้อยู่กับอาการปวดได้อย่างมีความสุขที่สุด ทำ ใจยอมรับให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่คุณเข้าใจธรรมชาติของมัน และควบคุมมันได้ เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่าร่างกายนั้น ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติแท้จริงของเรา มันเปลี่ยนไปตามกาล มันแตกดับ ย่อยสลายได้เมื่อถึงเวลาอันสมควร เราครอบครองร่างกายนี้ไว้เพียงชั่วขณะ เพื่อดำรงชีวิต เพื่อเรียนรู้โลก เพื่อพัฒนาจิตของเราให้เจริญ และก้าวพ้นความทุกข์ ได้ในที่สุดตามแต่จิตเราต้องการ ร่างกายจึงเป็นของมีค่า ลมหายใจซื้อหาไม่ได้ เราจึงควรถนอมและใช้งานมันให้ยาวนานที่สุดเท่าที่สังขารนั้นจะอำนวย

หาก คุณเป็นคนหนึ่งที่มีอาการปวดหลัง และปวดเรื้อรังเป็นเวลานาน ต้องการที่จะหายจากอาการปวดหลัง ก่อนอื่นคุณต้องเชื่อก่อนว่าคุณจะหายได้ คุณ ต้องมีกำลังใจ มีความคิดเชิงบวกในการปฏิบัติตัวให้มีสุขภาพแข็งแรงโดยการออกกำลังกายที่ เหมาะสมกับผู้มีอาการปวดหลัง อย่างสม่ำเสมอ การพบแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความสามารถที่จะให้การรักษาอาการปวดหลังของคุณ ได้ถูกวิธีและเหมาะสมจริง ก็จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุอาการ และทำให้คุณปฎิบัติตัวได้ถูกต้อง และทำให้คุณหายจากอาการปวดหลังเรื้อรังได้ในที่สุด

http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=2110 (http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=2110)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 14, 2009, 10:34:31 PM
วันนี้ได้รับข่าวคราวของลูกเพื่อนที่เพิ่งจบหลักสูตรนักบินของการบินไทย  แถมเรียนเก่งด้วย คว้ารางวัล top flight award & top ground award  ขอแสดงความยินดีมายังครอบครัว พุทธวิบูลย์ ด้วยค่ะ  เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับการบินมาฝากค่ะ

 
วิธีปฎิบัติ  เมื่ออยู่บนเครื่องบิน

การเลือกที่นั่งบนเครื่องบิน


ที่ นั่งริมหน้าต่าง มีข้อดีคือท่านสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่อยู่นอกหน้าต่างได้  แต่ในการเดินทางระยะไกล  อาจไม่สะดวกหากต้องลุกออกจากที่นั่งเพื่อเข้าห้องน้ำหรือทำธุระอื่น ๆ ซึ่งจะต้องลุกเดินผ่านที่นั่งด้านข้างเคียง  ในกรณีที่เป็นคนแปลกหน้า  อาจทำให้เกิดความรำคาญถ้าต้องเดินเข้า-ออก หลายครั้ง  แต่หากเป็นคนรู้จักกันปัญหาคงน้อยลง    ในกรณีที่คาดว่าจะต้องลุกออกจากที่นั่งบ่อยครั้ง  ขอแนะนำให้เลือกที่นั่งด้าน ริมทางเดินจะสะดวกกว่าค่ะ

 สำหรับการ เลือกที่นั่งตอนหน้าหรือหลังของเครื่อง จะขึ้นกับประเภทของที่นั่งที่ท่านทำการจองไว้  แต่หากเป็นประเภทเดียวกัน  การเลือกที่นั่งช่วงที่ห่างจากห้องน้ำ จะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าเนื่องจากผู้โดยสารที่เดินผ่านไป-มา   แต่หากท่านคาดว่าจะต้องเข้าห้องน้ำหลายครั้ง  หรือ ไม่สะดวกในการเดินอาจเลือกช่วงที่ใกล้ห้องน้ำก็แล้วแต่  นอกจากนี้การเลือกที่นั่งตอนหน้าจะได้รับการบริการจากพนักงานต้อนรับบน เครื่องบินก่อน ( เช่นการเสริฟอาหาร )   เนื่องจากขั้นตอนในการให้บริการ
หมาย เหตุ     สำหรับในปัจจุบันนี้สายการบินเกือบทุกสายการบินมักกำหนดให้เป็นเที่ยวบิน ปลอดบุหรี่   จึงไม่จำเป็นต้องเลือกที่นั่งเป็นพื้นที่สูบบุหรี่หรือไม่


สัมภาระที่นำติดตัว


 เมื่อ ท่านหาที่นั่งได้แล้ว สำหรับสัมภาระที่ท่านนำติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วย ก็ควรจะจัดเก็บไว้ที่ช่องเก็บของ เหนือศรีษะท่าน ( ไม่แนะนำให้วางไว้ที่พื้นด้านใต้ที่นั่งเนื่องจากข้อจำกัดด้านความปลอดภัย กรณีฉุกเฉิน )  หลังจากที่ท่านจัดเก็บข้าวของ เรียบร้อยก็ควรที่จะนั่งอยู่กับที่ก่อน ไม่ควรเดินไปเดินมา เพราะจะไปเกะกะ ขวางทางเดินคนอื่นค่ะ


การคาดเข็มขัดนิรภัย


เวลานั่งอยู่บน เครื่องบินควรรัดเข็มขัดนิรภัยไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าไฟสัญญาณ จะเตือนหรือไม่ก็ตาม เพราะบางครั้ง เครื่องบินอาจจะตกหลุมอากาศ โดยกระทันหัน ท่านจะได้ปลอดภัย และในขณะที่เครื่องกำลังร่อนลงกรุณานั่งอยู่กับที่ และรัดเข็มขัด นิรภัย ไว้ตลอดจนกว่าสัญญาณไฟรัดเข็มขัดจะดับ เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง

หลัง จากเครื่องบินร่อนลงสู่พื้นเรียบร้อยแล้ว  และ ไฟสัญญาณดับลงแล้ว เวลาเปิดช่องเก็บของเหนือศรีษะ ควรที่จะระมัดระวังสิ่งของ สัมภาระอาจจะตกใส่ท่าน ( กรณีนี้มีเกิดขึ้นให้เห็นเป็นประจำค่ะ )


การลุกออกจากที่นั่งเพื่อทำธุระ


 เวลา ที่ท่านต้องการใช้บริการห้องน้ำบนเครื่อง ขอความกรุณาต่อคิว และหลังจาก ใช้บริการเรียบร้อยแล้วก่อนออกจากห้องน้ำ รบกวนให้ท่าน ช่วยตรวจเช็ค ของมีค่าของท่าน โดยเฉพาะหนังสือเดินทางและกระเป๋าเงินของท่าน และขณะที่เจ้าหน้าบริการบนเครื่องกำลังปฏิบัติหน้าที่บริการอาหาร และเครื่องดื่ม หรือของว่างให้กับผู้โดยสาร ขอความกรุณาให้ท่านนั่งอยู่ประจำที่นั่ง


การ นั่งอยู่บนเครื่องบินนาน ๆ จะทำให้เลือดลมเดินไม่สะดวก  อาจเกิดอาการเมื่อยล้า   ท่านควรจะลุกออกมาจากที่นั่ง มาเดินยืดเส้น ยืดสายบ้าง  แต่ต้องเป็นเวลาที่สัญญาณไฟรัดเข็มขัดดับนะคะ  หรืออาจทำกายบริหารอยู่กับที่ก็ได้ เช่น การนั่งแกว่งเท้า สะบัดข้อมือ หมุนคอ บิดตัว เป็นต้น



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 14, 2009, 10:37:27 PM
"เครื่องบิน" นั่งตรงไหนปลอดภัยที่สุด

       เหตุการณ์อุบัติเหตุเครื่องบินแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะมีผู้รอดชีวิตมากน้อยแค่ไหน ก็ล้วนสะเทือนขวัญผู้คนไม่น้อย และทุกครั้งที่มีผู้รอดชีวิต ก็มักจะถามไถ่กันเสมอว่า นั่งตรงไหน รอดมาได้อย่างไร และส่วนไหนของเครื่องบินกันแน่ที่จะปลอดภัยที่สุด หากต้องเผชิญกับอุบัติภัยต่างๆ
     
       ?นั่งตรงไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น? หลายๆ ความเห็นอาจจะคิดเช่นนี้
     
       หรือไม่ก็ ?แล้วแต่ว่าอุบัติเหตุจะเกิดตรงไหน? นี่ก็พิจารณาตามสถานการณ์
     
       นิตยสารป็อบปูลา มาแคนนิกส์ (The Popular Mechanics) เคยวิจัยโดยการวิเคราะห์ทางสถิติไว้ว่า ที่นั่งบนเครื่องบิน...นั่งด้านท้ายปลอดภัยกว่า
     
       ทั้งนี้ จากการศึกษาสถิติจากอุบัติเหตุต่างๆ ของสารพัดสายการบินที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า ยิ่งอยู่ห่างจากหัวเครื่องบินเท่าใด ก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น โดยสถิติผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุบนเครื่องบินส่วนใหญ่ 40% มีที่นั่งบริเวณหางเครื่องบิน
     
       นิตยสารดังกล่าว ได้นำข้อมูลอุบัติเหตุของเครื่องบินในสหรัฐฯ จำนวน 20 ครั้ง จากสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งสหรัฐฯ (NTSB) ตั้งแต่ปี 2514 จนถึง ส.ค. 2550 อย่างละเอียด ที่มีทั้งผู้รอดชีวิตและเสียชีวิต พร้อมทั้งข้อมูลแผนผังที่นั่งของผู้โดยสาร มาวิเคราะห์ว่าอุบัติเหตุแต่ละครั้ง ผู้โดยสารในแต่ละที่นั่งมีสภาพเป็นอย่างไร
     
       ทีมงานได้เปรียบเทียบอัตราการรอดชีวิต โดยแบ่งเครื่องบินออกเป็น 4 ส่วน โดยได้ข้อสรุปว่า ?ยิ่งใกล้หางยิ่งปลอดภัยกว่า?
     
       อุบัติเหตุ 11 ใน 20 ครั้ง ผู้โดยสารที่นั่งแถวท้ายๆ ส่วนใหญ่ปลอดภัย หรือประสบเหตุเบากว่า โดยใน 7 กรณีของกลุ่มนี้ผู้โดยสารที่ปลอดภัยนั่งอยู่ในแถวท้ายๆ อีกทั้งได้ยกตัวอย่างอุบัติเหตุในปี 2525 กับสายการบินฟลอริดา (Air Florida) ที่เกิดขึ้นในวอชิงตันดีซี และปี 2515 กับอีสเทิร์น 727 (Eastern 727) ที่ท่าอากาศยานเคนนาดี ในนิวยอร์ก ซึ่งผู้โดยสารของทั้ง 2 กรณีที่รอดชีวิตล้วนนั่งอยู่บริเวณหางของเครื่องบิน
     
       อีกทั้งยังมีกรณีดีซี-8 ของสายการบินยูไนเต็ด (United DC-8) เกิดน้ำมันหมดกลางอากาศใกล้กับพอร์ตแลนด์ ในปี 2519 มีผู้เสียชีวิต 7 ราย ทั้งหมดล้วนนั่งอยู่ใน 4 แถวแรก
     
       นอกจากนี้ มีอุบัติเหตุเพียง 5 ครั้งเท่านั้นที่ผู้โดยสารบริเวณด้านหน้าประสบเหตุเบากว่า ซึ่งเหตุการณ์ทั้ง 5 เกิดระหว่างปี 2531-2535 ส่วนใหญ่เพราะเหตุเกิดที่บริเวณปีก อย่างอุบัติเหตุในปี 2532 ที่ไอโอวากับสายการบินยูไนเต็ด มีผู้โดยสารรอดชีวิต 175 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ห้องผู้โดยสารส่วนหน้าปีกและส่วนหัว
     
       และอีก 3 ครั้งที่ทั้งผู้นั่งส่วนหัวและท้ายเครื่องมีโอกาสรอดชีวิตพอๆ กัน
     
       ส่วนผู้ที่นั่งบริเวณหัวลำปลอดภัยนั้น มีเพียง 1 กรณีเท่านั้น ในปี 2532 เครื่องโบอิง 737-400 ของสายการบินยูเอสแอร์ (USAir) เกิดอุบัติเหตุบนทางวิ่ง (รันเวย์) มีผู้โดยสารเสียชีวิตเพียง 2 รายคือ ผู้ที่นั่งในแถวที่ 21 และ 25
     
       เมื่อคำณวนตามอัตราการรอดชีวิตแล้ว นิตยสารป็อบปูลา มาแคนนิกส์ สรุปว่า ผู้ที่นั่งเคบินท้ายมีอัตราการรอดชีวิตถึง 69% หากเกิดอุบัติเหตุ และไล่ขึ้นมาในเคบินส่วนปีกโอกาสรอด 56% เสมอกับเคบินส่วนหน้าปีก
     
       อย่างไรก็ดี เคบินที่มีอัตราการรอดชีวิตต่ำสุดคือเคบินแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ โดยมีอัตราการรอดชีวิตหากเกิดอุบัติเหตุเพียง 49%
     
       แม้จะเห็นว่า อัตราการรอดชีวิตหากเกิดอุบัติเหตุบนเครื่องบินไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ที่สำคัญ ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนของเครื่องก็ตาม เมื่อแน่ใจว่ารัดเข็มขัดแน่นแล้ว ก็ทำใจให้สบาย ตั้งใจฟังลูกเรือแนะนำกรณีฉุกเฉินต่างๆ และประคองสติให้มั่นขณะเกิดเหตุ

อุบัติเหตุเมื่อปี 2531 กับเครื่องบินโบอิง 737 ที่สหรัฐอเมริกา มีผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่อยู่ส่วนเคบินแรก ซึ่งนับเป็นอุบัติเหตุเพียง 5 ครั้งที่ผู้โดยสารส่วนหน้ารอดชีวิต จากกลุ่มตัวอย่างมา 20 กรณี (ภาพ : AP/Wide World Photos)

                             (http://images.hunsa.com/home/hotnews_092007/1809506.1-250.jpg)

ภาพจากป็อบปูลา มาแคนนิกส์ที่แบ่งเครื่องบินออกเป็น 4 ส่วน เมื่อวิเคราะห์ตามสถิติ ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ สีเขียว-ห้องผู้โดยสารส่วนท้าย (Rear Cabin) คือส่วนที่มีโอกาสรอดถึง 69%, สีเหลืองประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือห้องผู้โดยสารที่บริเวณปีกและหน้าปีก มีอัตรการรอดชีวิต 56% และส่วนสีแดง-ห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ (First/Bussiness Class) มีโอกาสรอดชีวิต 49% (และยิ่งอยู่แถวหน้าโอกาสรอดต่ำลงไปอีก)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 15, 2009, 08:23:01 AM
ใกล้วันพ่อเข้ามาแล้วค่ะ
ความสำคัญของการเป็น "พ่อ"    
 
       เอ่ยถึงความสำคัญ หน้าที่ของคุณแม่มาก็มาก ในโอกาสที่ใกล้วันพ่อ ทีมงานจึงขอนำบทความดี ๆ จากสำนักส่งเสริมสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มาฝากกันค่ะ ถึงบทบาทและความสำคัญของการเป็นพ่อที่ดี
      
       พ่อ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นพ่อมีความสำคัญต่อพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจของเด็กเป็นอย่างมาก สำหรับลูกชาย พ่อคือแบบฉบับของการเป็นผู้ชาย เป็นพ่อ เป็นสามี เด็กผู้ชายมักจะเลียนแบบพ่อของตัวเอง ไม่ว่าด้านดีหรือไม่ก็ตาม
      
       ส่วนเด็กผู้หญิง พ่อคือแบบฉบับของผู้ชายทุกคนในโลกนี้ เวลาเธอเติบโตเป็นสาวและเริ่มคบหาเพศตรงข้าม อิทธิพลจากความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพ่อมีบทบาทมากทีเดียว
      
       หลายคนมองข้ามความสำคัญของพ่อไป แต่ที่จริงแล้ว พ่อให้ความรู้สึกที่สมหวังและพึงใจได้มากมาย พ่อมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็กแรกเกิดอย่างที่เรานึกไม่ถึง พ่อควรจะมีบทบาทในการเลี้ยงลูกโดยตรงมากขึ้น โดยไม่ใช่มีหน้าที่เพียง "หาเงิน" มาซื้อนมให้ลูกกินเพียงอย่างเดียว ปล่อยให้ภาระการเลี้ยงลูกอ่อนเป็นของแม่
      
       การที่พ่อสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวลูกอย่างรักใคร่ทะนุถนอม มักจะช่วยให้ลูกมีความรู้สึกผูกพันกับพ่ออย่างลึกซึ้งเมื่อแกโตขึ้น และไม่ควรมีเหตุผลหรือข้ออ้างใด ๆ ที่พ่อจะเอาใจใส่ และเลี้ยงลูกอย่างที่แม่ทำไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ พ่อและแม่ต่างก็หาเงินมาเลี้ยงลูกด้วยกัน ทั้งสองคนก็น่าจะช่วยกันเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ดูแลทุกข์สุขให้กับลูกเท่า ๆ กัน
      
       หน้าที่ของพ่อที่ควรปฏิบัติมีดังนี้      
       1. ช่วยภรรยาเลี้ยงลูก ในอดีต ภาระหน้าที่การเลี้ยงดูลูกเป็นความรับผิดชอบของแม่แต่เพียงผู้เดียว แต่ปัจจุบันเมื่อสังคมเปลี่ยนไป แม่มิได้ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นหญิงทำงานอีกด้วย พ่อจึงต้องแสดงบทบาทของความเป็นพ่อในการดูแลและพัฒนาลูกไปพร้อม ๆ กับแม่ คุณพ่อยุคใหม่จึงต้องชงนม ป้อนข้าว ป้อนน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม กล่อมลูกนอน เล่นกับลูกได้

                      (http://pics.manager.co.th/Images/552000014434202.JPEG)  
 
 
       2. อบรมสั่งสอนลูกโดยความเป็นเพศชาย พ่อโดยทั่วไปคือตัวแทนของอำนาจในบ้าน มีลักษณะเด็ดขาด จึงเป็นบุคคลที่จะสร้างวินัยแก่ลูกได้ดีที่สุด และคอยดูแลให้ลูกปฏิบัติตามกฎอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลูกเติบโตขึ้น เขาจะเป็นคนที่มีวินัย สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี การอบรมสั่งสอนของพ่อที่ดีที่สุดคือพ่อต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น เพราะเด็ก ๆ นั้นจะไม่ทำตามที่ผู้ใหญ่พูด แต่จะทำตามตัวอย่างที่เห็นนั่นเอง
      
       3. เป็นหลักประกันความมั่นคงปลอดภัย ด้วยสรีระของพ่อที่แข็งแรง ลูก ๆ จะรู้สึกว่า มีผู้ที่มีความสามารถเก่งกล้าอยู่ในบ้าน ทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย ทำให้ลูกมีความอบอุ่นมั่นคง
      
       4. เป็นหัวหน้าครอบครัว พ่อมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบเลี้ยงดูภรรยาและลูกให้มีความสุขตามอัตภาพ พ่อจึงต้องขวนขวายทำงานหารายได้ไว้จับจ่ายใช้สอยในครอบครัวและยามฉุกเฉิน
      
       5. เป็นผู้สร้างความเข้มแข็งในจิตใจของลูก หากลูกได้มีเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อ ได้รับการกอดสัมผัสจากพ่อตั้งแต่วัยเยาว์ ลูกจะมีความรู้สึกประทับใจในตัวพ่อ และยึดพ่อไว้เป็นแกน แต่ถ้าชีวิตของพ่อขาดแก่นสาร ขาดความเป็นผู้นำ ไม่มั่นคง ครอบครัวก็ระส่ำระสายรวนเร จิตใจของลูกก็ขาดที่ยึดเหนี่ยม จึงอ่อนแอและเปราะบางง่าย
      
       6. เป็นแบบอย่างของความเป็นชายให้ลูกได้ลอกเลียนแบบในช่วงอายุ 3 - 6 ปี ในการเลียนแบบความเป็นชายพัฒนามาจากการที่เด็กชายได้สัมผัสใกล้ชิดกับพ่อ เห็นบทบาทความเป็นชายของพ่อที่ถูกต้อง เด็กชายจะเกิดการอยากเอาอย่างพ่อ มีความประพฤติทางเพศที่เหมาะสม ดังนั้นพ่อจึงต้องให้ความเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งพาของลูกชาย
      
       ถ้าพ่อกับลูกชายห่างเหินกัน ขาดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชอบดุด่าเฆี่ยนตี อีกทั้งไม่เอาใจใ่ส่รับผิดชอบครอบครัว ก็จะทำให้ลูกชายไม่ศรัทธาในตัวพ่อ ไม่อยากเอาอย่างพ่อ เติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกเกลียดพ่อ รักแม่เลียนแบบแม่ จึงมีความประพฤติทางเพศที่ไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมบางอย่างคล้ายผู้หญิง หรือมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
      
       ในขณะเดียวกัน พ่อก็เป็นผู้สร้างทัศนคติที่ดีต่อผู้ชายให้กับลูกสาวด้วย โดยพัฒนาจากความสัมพันธ์ที่ดี ความอบอุ่นที่ได้รับจากพ่อ เมื่อโตขึ้น ลูกสาวจะไม่นึกรังเกียจเพศตรงข้ามที่จะมาแต่งงานด้วย แต่ถ้าพ่อห่างเหินลูกสาว และมีลักษณะก้าวร้าวทารุณต่อแม่และลูกสาว เมื่อโตขึ้น ลูกสาวอาจเกลียดผู้ชาย และกลัวการแต่งงานได้

 
 
 
  
 
 
 
  
 
 
 
 
 
 
 
  
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 15, 2009, 08:50:53 AM
เลี้ยงลูกอย่างไรให้ลงตัว  
 
 
       ว่ากันว่า เลี้ยงลูกให้เป็นเด็กฉลาดและมีคุณภาพนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยสำหรับพ่อแม่ ดังนั้นพ่อแม่หลายคนจึงพยายาสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน ตลอดจนเรื่องอาหารสมอง
      
       ทั้งนี้ หากพ่อแม่ให้ลูกมากจนเกินความพอดี ประโยชน์ที่ลูกจะได้ก็อาจกลับกลายเป็นผลร้ายที่ไม่คาดคิดมาก่อน ดังนั้น 9 วิธีที่จะทำให้พ่อแม่และลูกอยู่ในความพอดีที่พ่อแม่ไม่หวังในตัวลูกมากจนเกินไป และลูกเองก็ไม่กดดันในเวลาเดียวกัน คือการสร้างวินัยเชิงบวก (Positive Discipline) หรือ ทักษะการดูแลลูกอย่างสร้างสรรค์
      
       อย่างไรก็ดี ในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ถือได้ว่าเป็นวัยทองของการเรียนรู้ของเด็ก ที่ทำให้เด็กมีโอกาสในการเรียนรู้ ซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของเด็กในอนาคต โดยมีกฎทอง 9 ข้อ ดังต่อไปนี้
      
       1. การสร้างสัมพันธภาพ
      
       ในบ้านพ่อแม่ต้องแสดงงออกให้ลูกเห็นถึงความรัก ความผูกพัน ความห่วงใย และการให้ความสำคัญ ระหว่างกันของสมาชิกในครอบครัวพ่อแม่ลูก รวมไปถึงผู้สูงอายุในครอบครัวอย่างปู่ย่าตายายด้วย
      
       2. การเป็นแบบอย่าง
      
       ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้ลูกมีพฤติกรรมวันๆ เอาแต่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ก็ต้องทำให้ลูกเห็นว่าคอมพิวเตอร์มีไว้เพื่อใช้ทำงานเป็นบางเวลา ต้องลุกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวเป็นตัวอย่างให้เด็กได้ซึมซับเอาไปเป็นนิสัย

  
                                  (http://pics.manager.co.th/Images/552000014887201.JPEG)
 
       3. วินัยและการจัดการกับอารมณ์
      
       ปลูกฝังทักษะการแก้ปัญหา อย่างให้รู้จักกับการเผชิญกับปัญหา รู้จักกระบวนการจัดการกับความตึงเครียด ซึ่งแต่ละคนมีวิธีการขจัดความเครียดที่แตกต่างกัน เช่น ชวนลูกร้องเพลง นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ไม่อยู่กับความหงุดหงิดอารมณ์เสียนานเกินไป
      
       4. การสร้างคุณค่าให้แก่ตนเอง
      
       ให้ลูกได้มีโอกาสพัฒนาทักษะที่เขาชื่นชอบ เช่น เล่นกีฬา ศิลปะ ดนตรี เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง และรู้ว่าตัวเองสามารถสร้างสรรค์ขึ้นอะไรได้บ้าง
      
       5. กิจกรรมสร้างสรรค์      
       พาลูกไปร่วมกับกิจกรรมจิตอาสา เพราะในกิจกรรมเหล่านี้ เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องการแบ่งปัน และยังช่วยให้ลูกมีความกระตือรือร้นที่จะทำความดีอีกด้วย
      
       6. ความคาดหวังที่เหมาะสม      
       จะช่วยให้ลูกมีเป้าหมาย โดยไม่ตึงเครียดจนเกินไป และความคาดหวังที่เหมาะสมจะลดปัญหาด้านอารมณ์ความรู้สึกผิดหวังของพ่อกับแม่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านจิตใจของลูกอีกด้วย
      
       7. ทักษะในการปรับตัว      
       พาลูกไปพบปะสังสรรค์กับคนนอกบ้านบ้าง ให้โอกาสได้เปลี่ยนบรรยากาศ สถานที่ และสถานการณ์ ทักษะด้านนี้อาจดูได้จากเขาสามารถเข้าห้องน้ำสาธารณะได้โดยไม่งอแงเพราะผิดที่ หรือไม่กลัวผู้คนจนคุณพ่อคุณแม่ต้องรีบพากลับบ้านเพราะลูกอาละวาดในงานสังสรรค์
      
       8. การได้รับการชื่นชมจากครอบครัว      
       คำชมเปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต ช่วยสร้างกำลังใจ สร้างพลังที่จะทำดี สร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง และยังแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของพ่อแม่ที่มีต่อลูกอีกด้วย
      
       9. ความมั่นคงทางด้านจิตใจ      
       ลูกเล็กๆ อาจจะชอบร้องไห้ เสียใจเวลาไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่พ่อแม่ต้องใช้ช่วงเวลานี้ในการสอนด้วยเหตุผล ถ้าต้องทำโทษก็อย่าปล่อยให้ลูกไม่เข้าใจ พาลเป็นความโกรธ เสียใจ บอกว่าทำไมถึงถูกลงโทษ ไม่ควรใช้อารมณ์หรือน้ำเสียงรุนแรง เพราะจะทำให้ลูกเข้าใจไปว่าพ่อแม่ไม่รัก
      
       และทั้งหมดนี้นี่เองที่จะทำให้ "ความลงตัว" ในครอบครัวมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกฎทองที่พ่อแม่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจในช่วง 6 ปีแรก ก็เพื่อสร้างลูกให้เป็นเด็กที่มีคุณภาพต่อไปค่ะ
      
       เรียบเรียงจาก มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว
 
 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 15, 2009, 12:40:52 PM
Narcissistic Personality Disorder

สวัสดี ครับท่านผู้อ่าน วันนี้ผมกลับมาอัพเดตอีกแล้วครับ พอดีเพิ่งได้ดูสารคดี "คลั่ง" ทาง UBC Excite! มา เค้าพูดถึงเรื่องโรค Narcissistic Personality Disorder ครับ เป็นโรคที่น่าสนใจมาก เลยเอามาลงบล็อกให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันดีกว่า

โรค Narcissistic Personality Disorder (`นาร์เซอะ'ซิสติก `เพอร์เซอะ'แนลิตี้ ดิส'ออร์เดอร์) หรือที่มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า โรคคลั่งตัวเอง (เรียกย่อๆ ว่า NPD หรือ ภาวะ Narcissism) เป็นภาวะบกพร่องด้านบุคลิกภาพอันเนื่องมาจากอาการหลงตัวเองมากเกินไป ชื่อโรคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายกรีกที่ว่า มีชายหนุ่มรูปโฉมงดงามชื่อ Narcissus (หรือ ????????? ในภาษากรีก) เป็นที่ต้องตาต้องใจของทั้งสาวและหนุ่มทั้งหลาย (วัฒนธรรมกรีกและโรมันให้ความสำคัญกับความรักในเพศเดียวกันเท่าเทียมกับความ รักต่างเพศ) แต่เขาก็มิได้หมายปองใครจริงจัง กลับหักอกคนที่รักครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งสุดท้ายเขาโดนสาปโดยเทพเจ้าว่า เขาจะต้องตายเพราะหลงไหลในรูปโฉมของตัวเอง วาระสุดท้ายของเขามาถึง เมื่อเขาก้มลงดื่มน้ำในทะเลสาบแล้วเห็นใบหน้าของตัวเองในน้ำ เขาจึงตกหลุมรักตัวเองทันที เขากระโดดหมายจะคว้าเงาเอาไว้ทำให้ตกน้ำตาย สมกับคำสาบที่เทพเจ้าได้สาปเอาไว้นั่นเอง

อาการของผู้ป่วยโรคนี้จะคล้ายคลึงกับนาร์ซีซัสตามเทพนิยายทุก ประการ กล่าวคือ เขาคลั่งไคล้ตัวเองมากเกินกว่าปกติ จนก่อให้เกิดความบกพร่องทางบุคลิกภาพขึ้นมาได้ จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการ 9 อย่างดังต่อไปนี้ (เรียบเรียงบางส่วนจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Narcissistic_personality_disorder (http://en.wikipedia.org/wiki/Narcissistic_personality_disorder))

   1. ฉันเป็นมือหนึ่งในปฐพี: สำคัญตัวเองผิด ผู้ป่วยมักเข้าใจไปเองว่าตัวเองเป็นบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นทั้งปวงในโลกนี้
   2. ฉันทำอะไรก็เทพหมด: คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในทุกด้านอย่างไม่มีขีดจำกัด เลิศเลอ perfect ไปทุกอย่าง
   3. ไม่มีใครเข้าใจฉันนอกจากขั้นเทพด้วยกัน: เข้าใจว่าตัวเองเป็นบุคคลพิเศษ ซึ่งก็จะมีแต่บุคคลพิเศษด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจตัวเขาได้
   4. ฉันเท่ห์ที่สุดในโลก: ต้องการการชื่นชมสนใจจากคนอื่นมากเกินไป
   5. ก็ฉันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ใครจะทำอะไรฉันได้: มีความรู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ถูกต้องไปหมดทุกอย่าง จึงไม่มีความรู้สึกผิดเวลาที่ทำอะไรผิดพลาด
   6. ทำนู่นทำนี่ให้ฉันที: ชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือเพื่อทำประโยชน์บางอย่างแก่ตัวเองอยู่เสมอ
   7. คนอื่นจะเป็นยังไงฉันไม่สน: จิตใจกระด้างเย็นชา ไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนรอบข้าง
   8. นี่แม่งทำอะไรก็เทพหมด / คนอื่นๆ อิจฉาฉันเพราะฉันเก่งกว่าพวกนั้นทุกคน: อิจฉาริษยาคนรอบข้าง และ/หรือ มีความเชื่อว่าคนอื่นๆ รอบตัวกำลังอิจฉาตัวเขาอยู่
   9. อะไรๆ ที่ไม่ถูกใจถือว่างี่เง่าหมดสำหรับฉัน: แสดงความหยิ่ง ยะโส โอหัง ออกมาทั้งทางพฤติกรรม คำพูด และทัศนคติ

[Disclaimer: ท่านผู้อ่านไม่ต้องตกใจถ้าพบว่าท่านหรือผู้ใกล้ชิดของท่านมีอาการเหล่านี้ การวินิจฉัยภาวะโรค NPD ต้องกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งไม่มีอคติต่อผู้ป่วยก่อนการวินิจฉัยเสมอ ตัวท่านผู้อ่านเองอาจมีทัศนคติบางอย่างซ่อนอยู่ก่อนการวินิจฉัย ผลการวิเคราะห์ด้วยตัวท่านเองจึงอาจไม่สมบูรณ์ 100%]

ที่ผม hilight ไว้ด้วยสีแดงนี้คือคำจำกัดความที่ผมคิดขึ้นเพื่อให้ท่านผู้อ่านสามารถ จินตนาการภาพอาการของผู้ป่วยจากคำพูดติดปากของเขาได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคนี้อาจไม่แสดงอาการครบทั้ง 9 อย่างนี้ก็ได้ การแสดงออกอาการเพียง 4-5 อย่างก็ถือว่าเข้าข่ายการเป็นโรคนี้แล้ว

โรคนี้จะเกิดขึ้นกับน้อยกว่า 1% ของประชากรโดยรวม และพบเพียง 2-16% ของผู้ป่วยจิตเภทด้วยซ้ำ ผู้ป่วยโรคนี้จึงพบได้ยากในสังคมทั่วไป ผู้ป่วยมักทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมกับเพื่อนร่วมงานและบุคคลรอบข้างเสียไป เพราะสังคมไม่ยอมรับในตัวของเขา

โรคนี้พัฒนาขึ้นในช่วงผู้ใหญ่ตอนต้น ต้นตอของโรคเกิดจากปมด้อยอันน่าอับอายของผู้ป่วยที่คิดว่าสังคมทั่วไปไม่ยอม รับ ทำให้เขาสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องจิตใจอันบอบบางจากการปฏิเสธและการโดดเดี่ยว จากสังคม ผู้ป่วยจึงสร้างความคลั่งไคล้ในตัวเองขึ้นมาเพื่อชดเชยกับการขาดการยอมรับ เหล่านั้น ความเชื่อดังกล่าวจะฝังอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกทำให้ยากต่อการรักษาด้วย จิตแพทย์ เพราะแม้แต่ผู้ป่วยเองก็ยังกลัวที่จะเปิดเผยความลับในระดับจิตใต้สำนึกเช่น เดียวกัน

ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการซาดิสต์ร่วมด้วย โดยผู้ป่วยมักจะทำร้ายจิตใจของผู้อื่นด้วยการดูถูกถากถางอย่างจงใจ (intentional insult) เพื่อทำให้เหยื่อเกิดความบาดเจ็บทางจิตใจ เป็นการชดเชยกับประสบการณ์ร้ายที่ตนเคยประสบมาในอดีต ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ยังเกลียดการเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เขาเสียหน้า เพราะจะเป็นการกระแทกเข้าที่ปมด้อยในด้านสังคมของผู้ป่วยอย่างรุนแรง ผู้ป่วยอาจสร้างเกราะในจิตใจเพิ่มขึ้นทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้ หรือหากเป็นการละเมิดหน้าอย่างร้ายแรง ผู้ป่วยอาจขาดความยับยั้งชั่งใจและกระทำการต่างๆ เพื่อปกป้องหน้าของเขาได้ เช่น การทำร้ายร่างกาย หรือแม้แต่การฆ่า

เคยมีกรณีศึกษาเกิดขึ้นในอังกฤษมาแล้วว่า ผู้ป่วยโรคคลั่งตัวเองคิดว่าตัวเองเป็นนักเทนนิสระดับโลกและร่ำรวยมหาศาล เขาแอบนำบัตรเครดิตของพ่อไปซื้อตั๋วเครื่องบินพาแฟนสาว (ซึ่งเขาก็หลอกเธอว่าเป็นนักเทนนิสระดับโลกเช่นกัน) ไปชมการแข่งขันเทนนิสที่นิวยอร์ค พ่อและแม่ของเขาจับได้จึงตำหนิเขาอย่างรุนแรง เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมากจึงใช้ฆ้อนฆ่าพ่อและแม่ของเขาอย่างทารุณ เขายังคงไปเที่ยวกับแฟนสาวตามปกติ โดยทิ้งศพของพ่อแม่ไว้ในบ้านถึง 2 อาทิตย์ เมื่อเขากลับมา เขายังแบกศพของพ่อแม่ออกมาทิ้งหน้าบ้านอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร

ตำรวจจับเขาในข้อหาฆาตกรรมพ่อแม่ตัวเอง เขาแสดงอาการหยิ่งยะโสต่อหน้าตำรวจ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเขาฉลาดกว่าตำรวจทุกคน (ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย) สุดท้ายเขารับสารภาพว่าเขาฆ่าพ่อแม่ของเขาเอง เขาถูกฟ้องข้อหาฆาตกรรม อย่างไรก็ตาม คดีนี้ถูกยกฟ้องเนื่องจากศาลอังกฤษพิจารณาว่าเขาเป็นโรคคลั่งตัวเอง จึงไม่ต้องรับโทษทางอาญา ถึงกระนั้นทุกวันนี้เขายังคงถูกจองจำในสถานบำบัด ผู้ป่วยโรคจิต (asylum) อยู่ดี

ต้นตอที่ทำให้เขาเป็นโรคคลั่งตัวเองก็เพราะว่า แม่ของเขาเลี้ยงเขาอย่างเข้มงวดเกินไป แม่ไม่ยอมให้เขาไปเล่นกับเด็กคนอื่น แม่ยังคงอาบน้ำให้เขาแม้ว่าเขาจะอายุ 18 แล้ว แม่บงการชีวิตของเขาทุกอย่างแม้แต่กับเสื้อผ้าหน้าผม เขาเก็บความรู้สึกอับอายเอาไว้ภายในจิตใต้สำนึก จนทำให้เขากลายเป็นโรคคลั่งตัวเองไปทีละน้อยนั่นเอง

โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้แม้ว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าเป็นโรค นี้ก็ตาม เช่นเดียวกับที่คนติดบุหรี่ไม่อาจเลิกบุหรี่ได้แม้ว่าจะรู้ตัวว่าติดบุหรี่ นอกจากว่าจะมีกำลังใจจะเลิกบุหรี่ด้วยตนเอง ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา โรคคลั่งตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม จิตแพทย์บางท่าน เช่น James F. Masterson เริ่มเสนอวิธีการรักษาโรคนี้แล้ว (http://www.amazon.com/dp/1932462090 (http://www.amazon.com/dp/1932462090)) ถึงกระนั้น บุคคลรอบข้างก็อาจต้องปรับตัวให้ยอมรับอาการของผู้ป่วยบ้าง เพื่อไม่ให้อาการของเขาเพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม  


นำมาให้อ่านเล่นๆ  เผื่อถ้าเจอจะได้เข้าใจ และให้อภัย laugh.gif laugh.gif laugh.gif

เจ้างูตัวนี้ ทำเอาเวียนหัวจังเลย   :o


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 16, 2009, 09:24:38 PM
Don't Use Your Car Wiper If You Were Attacked With Eggs

 

 If you are driving at night and were attacked with eggs, do not operate
your wiper and spray any water.   

Eggs mix with water becomes milky and block your vision up to 92.5 %   
You are forced to stop at road side and become victim of robber

This is new technique used by robber in Johor Bahru
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 16, 2009, 09:28:21 PM
 ใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือตั้งใจอ่านดีๆนะคะ

 อ่านจบแล้วจะรู้ว่ามือถือไม่ได้มีไว้สำหรับ
 โทรเข้า-โทรออกเท่านั้น

 แต่ยังมีเคล็ดลับที่เพื่อนๆยังไม่รู้ซ่อนไว้อยู่
 ถ้าอยากรู้ว่ามีไรอะไรบ้าง

 ลองเข้ามาดูกัน

 1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก
      ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขต  ที่ไม่มีสัญญาณเลย
      แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112
      แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติ    แม้แต่เราล็อคปุ่ม
      ก็ยังกดเบอร์ นี้ได้ ทีนี้เราก็รอดตายแล้วคะ

 2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ... สำหรับรถที่ใช้ Remote Key
     ถ้ารถล็อคไปแล้ว  แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน
     ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ
     (เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ)
     เมื่อเขารับแล้ว ให้เราบอกเขาให้กดปุ่ม unlock
     บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือ
     ให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต
     (คนที่อยู่บ้านที่เราวาน   ให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม)
     ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง
     ระยะทางไม่มีปัญหา  แม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม

 3. กรณีแบ็ตใกล้จะหมด *3370# สำหรับมือถือ Nokia
     ถ้าเกิดถ่านเหลือน้อยเต็มทีจนใกล้ดับ   แต่เราจำเป็นต้องโทรออกให้กด
     *3370#    มันจะรีดพลังสำรองที่ซ่อนออกมาแล้วแสดงให้เห็นว่า
     เพิ่มพลังถ่านให้ขึ้นมาอีก 50% และมันจะชดเชยส่วนสำรอง
     นี้ในการชาร์จแบตครั้งต่อไป


 4. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป
     ในกรณีนี้เราต้องใช้หมายเลข serial number
     ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15-17 หน่วย
     การที่จะทราบหมายเลขนี้กด *#06#
     แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล
     จดไวแล้วเก็บไว้ให้ดี....ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น
     ให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป
     เขาก็จะบล็อกเครื่องของเราให้  แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย
     ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card
     มันก็จะยังใช้ไม่ได้อยู่ดี
     แบบนี้สะใจดีค่ะโดยเฉพาะพวกที่ชอบโขมยมือถือ

 ลองทำตามที่บอกดูนะคะเชื่อแน่ว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแหละค่ะ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 17, 2009, 06:19:02 PM
กล้วย...ธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
   

     

เมื่อ พูดถึงสรรพคุณของผลไม้ไทยๆ ที่ตอนนี้มีออกมาให้เลือกชิมมากมายแล้วก็อย่าลืมผลไม้ธรรมดาๆ อย่าง ?กล้วย? ซึ่งจัดว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ต่าง ประเทศอย่างแอปเปิลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิล 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้ง แร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต
                             (http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/samutsongkhram/knowledge/S16/banana2.jpeg)

นอก จากนั้น กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาล ธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุกโทส และกลูโคส น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานกล้วยเพียง 2 ผลก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอต่อ การออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที นักกีฬาจึงมักจะรับประทานกล้วยเป็นอาหารเพิ่มพลังงานก่อนหรือระหว่างการแข่ง ขัน
กล้วยยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอีกด้วย มีงานวิจัยที่ให้นักเรียน 200 คนรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ตอนพัก และมื้อกลางวัน ของทุกวัน เพื่อดูว่ากล้วยจะช่วยส่งเสริมกำลังสมองของพวกเขาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่านักเรียนได้คะแนนดีจากการสอบตลอดปี การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โพแทสเซียมในกล้วยที่มีอยู่ในปริมาณสูง ทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น
               
อัน ที่จริงกล้วยเป็นผลไม้พื้นบ้านที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมนูแรกๆ ของชีวิตนอกจากนมแม่ก็คือ กล้วยบด ซึ่งเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับทารกอายุตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 2 ขวบ เนื่องจากกล้วยสุกย่อยง่ายและ ไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และยังมีสรรพคุณแก้อาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก
กล้วยสุกงอมจะให้สารอาหาร ประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้แทนน้ำตาลได้ และไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะน้ำตาลที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้งขณะกล้วยสุกมี คุณสมบัติเฉพาะคือ ทำให้มีฤทธิ์เป็นกรดในลำไส้ ช่วยให้เกลือแร่ แคลเซียม ถูกดูดซึมได้ง่าย ถือว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าจากธัญพืชอื่นๆ และยังมีกรดอะมิโนและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก ทองแดง

ส่วน กล้วยดิบจะมีแป้งชนิดที่ไม่สามารถย่อยได้ในลำไส้เล็ก แต่ไปสลายตัวในลำไส้ใหญ่ จึงทำให้เกิดลม ในท้องได้ แต่กล้วยดิบก็มีสรรพคุณแก้อาการท้องเสียได้ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญในการออกฤทธิ์แก้อาการท้องเสียก็คือสาร แทนนินซึ่งมีฤทธิ์ฝาด ใช้แก้อาการท้องเสียได้  วิธีการก็คือ นำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย


สรรพคุณ อีกอย่างหนึ่งของกล้วย ก็คือ มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อทดลองให้หนูขาวกินยาแอสไพริน แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้เมื่อกินผงกล้วยดิบในปริมาณ 5 กรัม และสามารถรักษาแผลในกระเพาะที่เป็นแล้วได้เมื่อกินในปริมาณ 7 กรัม นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้ อีกด้วย สำหรับสารสกัดจะมีฤทธิ์เป็น 300 เท่าของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์ สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก โดยการเพิ่มเมือกและเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างเซลล์ที่ส่งผลไปถึงการรักษาแผลด้วย

สำหรับผู้ที่มักจะมีอาการแน่นจุกเสียด   ยังสามารถใช้ผลกล้วยดิบฝานบางๆ แล้วตากแห้ง บรรเทาอาการ ปวดท้องจุกเสียดได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้ที่มักจะเป็นตะคริว       ที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้

เมื่อ พูดถึงกล้วย ไม่ใช่เพียงแต่ผลกล้วยเท่านั้นที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ แทบจะทุกส่วนของกล้วย มีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น

ผลกล้วยสุก    บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
ต้นและใบแห้ง  นำมาเผา รับประทานครั้งละ ? - 1 ช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
หัวปลี       ช่วยบำรุงน้ำนม
ยาง        จากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
รากกล้วย    แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
ดอกกล้วย   ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
เปลือกกล้วย  แก้ผิวหนังเป็นตุ่ม คัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

สำหรับสรรพคุณของกล้วยในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ ก็มีมากมาย ได้แก่

โรคโลหิตจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กสูง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด ช่วยได้ในกรณีที่มีภาวะโลหิตจาง

โรคความดันโลหิตสูง
กล้วย มีธาตุโปแตสเซียมสูง แต่มีปริมาณเกลือต่ำ จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิต องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา(USFDA) ยินยอมให้โฆษณาได้ว่ากล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายที่เกิดจากความดัน โลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

ส้นเลือดฝอยแตก
จาก การวิจัยที่ลงในวารสาร The New England Journal of Medicine ระบุว่าการรับประทานกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตก ได้ถึง 40%

โรคซึมเศร้า
จาก การสำรวจผู้ที่มีความทุกข์ซึ่งเกิดจากความซึมเศร้า หลายคนจะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังจากได้ รับประทานกล้วย เพราะในกล้วยมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ทริปโตฟาน เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น เซโรโทนิน ซึ่งเป็นตัวผ่อนคลายและปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้น คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

โรคท้องผูก
ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องรับประทานยาถ่าย

โรคลำไส้เป็นแผล
กล้วย เป็นอาหารที่ใช้ควบคุมการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคืองและยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

อาการเสียดท้อง
กล้วย มีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้องลองรับประทานกล้วยสักผล จะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
การ รับประทานกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหารจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเส้น เลือดให้คงที่ เพื่อ หลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

อาการเมาค้าง
วิธี หนึ่งที่จะแก้อาการเมาค้าง ก็คือการดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะอาหารสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

ระบบประสาท
ใน กล้วยมีวิตามินบีสูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาใน ออสเตรียพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นสาเหตุหนึ่งของการกินจุบกินจิบ เช่น ของหวานประเภทช็อคโกแลตและอาหารประเภททอดกรอบต่างๆ คนไข้ 5,000 คนในโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วน และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก รายงานสรุปว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแบบไม่บันยะบันยังจนเป็นเหตุ ให้น้ำหนักเกิน เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการรับประทานอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น รับประทานกล้วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา กล้วยมีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

ความเครียด
โปแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจ การส่งออกซิเจนไปยังสมอง และการปรับระดับน้ำในร่างกายเป็นปกติ เวลาที่เกิดอารมณ์เครียด อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว
กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ ที่ชื่อว่า ทริปโตฟาน ซึ่งทำให้อารมณ์ดี

การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
กล้วย เป็นผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ คนโบราณจึงมักจะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้ แน่ใจว่าทารกที่จะเกิดมามีอุณหภูมิเย็น

การสูบบุหรี่
กล้วย สามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 12 สูงมาก และยังมีโปแตสเซียมกับแมกนีเซียมที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

โรคหูด
การ รักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติโดยการใช้เปลือกกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ ใครจะลองใช้วิธีนี้ดูก็ไม่น่าจะมีอันตราย

ยุงกัด
ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด หลายคนพบว่าเปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่ เกิดจากยุงกัดได้
อย่าง ไรก็ตาม แม้ว่า ?กล้วย? จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการผิดปกติบางอย่างของร่างกายได้ แต่ต้องไม่ลืมรักษาหรือแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการป่วยก่อน แล้วจึงใช้กล้วยเป็นตัวช่วย เห็นไหมค่ะว่าเรื่องกล้วยๆ แบบนี้แต่เป็นกล้วยที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าบ้านใครพอจะมีพื้นที่ปลูกต้นไม้ก็อย่าลืมปลูกกล้วยสักต้นด้วยนะคะ ?เพื่อสุขภาพค่ะ



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ พฤศจิกายน 17, 2009, 07:18:01 PM
คุณมดแดงค่ะ
 ได้อ่านเรื่องลืมกุญแจไว้ในรถ ลองทำดูแล้วไม่ได้ผลเลยค่ะ สงสัยรถเรารุ่นโบราณเกินไปซะก็ไม่รู้
 แค่เอาไปทดลองใช้ดูตามบทความ เลยมาเล่าสู่กันฟังไม่ได้มาค้านอะไรนะคะ ขอบคุณคะสำหรับสิ่งดีดีที่นำมาแบ่งปัน
 :) ;) :D ;D :P :P :-* laugh.gif angel.gif :sleepy:


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 18, 2009, 10:29:30 AM
คุณมดแดงค่ะ
 ได้อ่านเรื่องลืมกุญแจไว้ในรถ ลองทำดูแล้วไม่ได้ผลเลยค่ะ สงสัยรถเรารุ่นโบราณเกินไปซะก็ไม่รู้
 แค่เอาไปทดลองใช้ดูตามบทความ เลยมาเล่าสู่กันฟังไม่ได้มาค้านอะไรนะคะ ขอบคุณคะสำหรับสิ่งดีดีที่นำมาแบ่งปัน
 :) ;) :D ;D :P :P :-* laugh.gif angel.gif :sleepy:


ขอบคุณนะคะ ไปถามผู้รู้ให้  ระหว่างนี้รอผู้เชี่ยวชาญค่ะ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 18, 2009, 10:38:15 AM
   พอ. สังสิทธิ์ วรชาติกุล
กองเภสัชกรรม รพ. ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ลำปาง


                                              การกินยาก่อนอาหาร  หลังอาหารนั้นสำคัญไฉน

 การที่จะทราบว่าการกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรนั้นเราต้องทราบก่อนว่าขั้นตอนที่ยาจะไปออกฤทธิ์นั้นเป็นอย่างไร เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยาเม็ดหรือแคปซูล ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ในกระเพาะและทางเดินอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป แต่ถ้าเป็นยาน้ำขบวนการนี้ก็จะเร็วขึ้น

    ยาจะออกฤทธิ์เมื่อได้เข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย อาหารบางอย่างมีผลต่อการดูดซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้เกิดการระคายเคือง ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่าต้องการผลการของยาในแง่ใด ปกติเมื่อกระเพาะมีอาหารอยู่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเพาะว่าง

    จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันที, หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอาหาร จะมีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาที่กระเพาะอาหารไม่ว่างเหมือนกัน ดังนั้นเราจะกำหนดเวลาไปด้วยว่ากินก่อนอาหารหรือหลังอาหารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ
    จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขปดังนี้

    กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

    เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ได้แก่ เพนนิซิลลิน, แอมพิซิลิน, ไรแฟมพิซิล เป็นต้น บางทีเราก็ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินจนถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกันบ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง หรือบีบตัวของกระเพาะและทางเดินอาหารคนที่เป็นโรคกระเพาะนั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยาก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดท้องได้ ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิดการอยากอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหารประมาณ 1/2 ชั่วโมง พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขึ้น

    กินหลังอาหารทันที = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร

    ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารมาก ทำให้คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ยาแก้ปวดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโปรเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น นอกจากกินพร้อมอาหารแล้วยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้

    กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

    ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรดซึ่งมีผู้ทดลองได้ผลว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่าง ยาจะออกฤทธิ์นานประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง ดังนั้นจึงกำหนดให้กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมง
    ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, หลังอาหาร, พร้อมอาหารมาแล้ว ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็กน้อย ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงมึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัยในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้อย่างสบายในเวลากลางคืนอีกด้วย
    จึงขอสรุปได้ว่า จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการให้ยานั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลังนานเท่าใดนั้น ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินยาจนถึงเวลาที่ยาถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหารหมด หรืออาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์แล้วแต่ว่าเราต้องการผลอันไหน
    คงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหารมีความสำคัญเพียงใด ดังนั้นเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะตกอยู่กับตัวของผู้ป่วยเอง


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 18, 2009, 09:59:12 PM
สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบค่ะ....

clean msn virus  

http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=46444.0 (http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=46444.0)


รวมมิตรโปรแกรมแก้ไขปัญหาที่เกิดจากไวรัส

http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=58282.0 (http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=58282.0)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 20, 2009, 08:31:08 AM
เที่ยวนอกบ้าน อย่าไว้ใจ "ห้องน้ำสาธารณะ

ขึ้น ชื่อว่า "ห้องน้ำสาธารณะ" ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้ จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลสำรวจของกรมอนามัยเมื่อปี 2547 และ 2549 ได้ผลตรงกันว่า จุดอันตรายที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม ต้นเหตุโรคอุจจาระร่วง อันดับ 1 คือ
       
       บริเวณที่จับสายฉีดชำระ พบร้อยละ 85.3 จุดที่ 2 คือ บริเวณพื้นห้องส้วม พบร้อยละ 50 จุดที่ 3 คือ ที่รองนั่งส้วมแบบนั่งราบ หรือโถนั่งชักโครก พบร้อยละ 31 ซึ่งเชื้อโรคที่พบ เป็นการปนเปื้อนจากอุจจาระ นอกจากนี้ยังมีจุดเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคอีก 4 จุด คือ ที่กดน้ำทำความสะอาดในห้องส้วม ก๊อกน้ำ ลูกบิดประตู และอ่างล้างมือ
       
       เพื่อให้ทุกครอบครัวที่ไปเที่ยวนอกบ้าน และจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมย่อยในครั้งนี้ ได้ระวัง และรู้วิธีป้องกันอย่างรู้เท่าทัน ทีมงาน Life and Family จึงขอนำความรู้เรื่องการใช้ห้องน้ำสาธารณะมาฝากให้อ่านกันครับ
                                                                           (http://[url=http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1359110]http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1359110[/url])
ความ ชัดเจนในประเด็นนี้ ทีมงานได้ความรู้จาก "นพ.เชิดพงษ์ ชินวุฒิ" สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สาทร-คอนแวนต์ว่า ห้องน้ำสาธารณะ เป็นสถานที่รวมเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสปนเปื้อนจำนวนมาก เพราะเป็นที่ขับถ่ายสิ่งปฏิกูล และมีผู้ใช้ต่างหน้า และต่างถิ่นหลายคนมาใช้รวมกัน ซึ่งอาจไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ใช้บริการก่อนหน้านี้ มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน โดยเชื้อโรคที่ว่านี้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
       
       เชื้อ ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อเริม เป็นต้น และเชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น เชื้ออุจจาระร่วง เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ เป็นต้น ซึ่งเชื้อพวกนี้อาจแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู แต่โอกาสที่จะติดเชื้อพวกนี้จนทำให้เกิดโรค หรือเป็นอันตรายได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่ ได้สัมผัสกับเชื้อดังกล่าวในปริมาณที่มากพอหรือไม่ ถ้ามากพอ อาจทำให้เกิดโรคได้ โดยซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีแผล หรือรับเข้าทางปาก
       
       อย่างไรก็ดี ?น.พ.เชิดพงษ์? ได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ ให้ฟังดังนี้
       
       1. ใช้เวลากับการทำกิจธุระในห้องน้ำสาธารณะให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
       
       2. ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก เลือกที่ดูสะอาด (ถ้ามีให้เลือก) ทำความสะอาดที่รองนั่งด้วยกระดาษทิชชูสักหน่อย แล้วจึงใช้งาน ไม่ต้องถึงกับใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เพราะมันอาจจะดูลำบากไปหน่อย
       
       3. เมื่อเสร็จกิจธุระแล้วต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคติดมากับมือของเรา ซึ่งบางคนอาจจะละเลย เนื่องจากรีบ หรือด้วยสาเหตุอื่นๆ


       ถึงกระนั้น เพื่อป้องกัน และระวังให้มากขึ้น การปลูกฝังลูก ให้ใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างปลอดภัยนั้น ควรเริ่มสอนลูกตั้งแต่ การเปิดปิดประตู ซึ่งวิธีที่จะสัมผัสได้น้อยที่สุด คือการใช้ข้อศอก หรือใช้สันหลังผลักเข้าไป ซึ่งบางห้อง ประตูอาจไม่ได้ปิดแน่น หรือปิดสนิท
       
      จากนั้นเมื่อถึงขั้นตอนในการเข้าใช้ ให้ทำความสะอาดโถส้วมเบื้องต้น ด้วยน้ำ หรือทิชชูก่อน รวมทั้งบอกลูกว่า ไม่ควรขึ้นไปเหยียบโถส้วม (ส้วมที่เป็นชักโครก) โดยอธิบายให้ลูกฟังว่า ถ้าขึ้นไปเหยียบบนโถส้วม เวลาคนใช้หลังจากเรา อาจติดเชื้อที่มาจากรองเท้าของเรา หรืออาจทำให้ชักโครกหัก จนเกิดอันตรายได้
       
       ส่วนของการชำระล้าง ซึ่งในส่วนของปัสสาวะนั้น เด็กผู้ชายคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ที่ต้องใช้น้ำในการทำความสะอาด อาจต้องระวังเป็นพิเศษ กล่าวคือ ถ้าเป็นสายฉีดไม่ควรให้หัวฉีด เข้ามาใกล้ส่วนที่จะทำความสะอาดให้มากนัก ควรอยู่ในระยะห่างที่พอดี
       
       แต่ถ้าเป็นน้ำในลักษณะตักใช้ ไม่แนะนำให้ตักน้ำในส่วนที่มีอยู่ในถังเดิม แต่ควรให้รองจากก๊อกโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่ในถังน้ำได้ เนื่องจากคนบางคนมีนิสัยมักง่าย ชอบล้างมือ หรือเอาสิ่งของไปจุ่มทำความสะอาด จากนั้นหลังเสร็จภารกิจ ให้ราด หรือทำความสะอาดด้วยทุกครั้ง และอย่างที่คุณหมอได้บอกไปข้างต้นเวลาออกจากห้องน้ำทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาด โดยใช้สบู่เหลว (ถ้ามี) ทุก
ครั้ง
       
       ?ห้อง น้ำสาธารณะ? ถือเป็นสถานที่จำเป็น สำหรับบางครอบครัวที่ต้องออกเดินทางไกล หรือชอบเดินเที่ยวตามศูนย์การค้า ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง และใส่ใจในการใช้ห้องน้ำประเภทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อย ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักวิธีการใช้ห้องน้ำให้ถูก และปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อสร้างสุขลักษณะนิสัยในการใช้ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเขา และผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ใช้ห้องน้ำต่อไป   


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 21, 2009, 08:13:33 AM
บทความดีๆสำหรับเพื่อนแท้

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง


คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น

ในโลกกลมๆใบนี้ไม่มีคำว่าแน่นอน
คนเราเมื่อม้าตายก็ต้องลงเดิน
ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย
อิจฉาได้แต่อย่าริษยา
พักได้แต่อย่าหยุด

หตุผลของคนคนหนึ่งอาจไม่ใช่ของอีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ
ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น


จะเห็นคุณค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือการคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ถ้าไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน

ไม่มีคำว่าบังเอิญในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่าตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใส
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางน่ะได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง


เมื่อวานก็สายเกินแก้
พรุ่งนี้ก็สายเกินไป

อย่าหวังว่าจะได้รับความรักจากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรักไม่ได้รักคุณหมดทุกคน

เพื่อนทั่วไปไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไปถือขวดไวน์ติดตัวมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไปคาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณ ตลอดไป


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: nokeang ที่ พฤศจิกายน 21, 2009, 08:44:30 AM
:)  100 ข้อคิดสั้นๆ โดนใจ นำไปใช้ได้จริง ดีจริงๆ...    :)

(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img5/m70657.gif)

บางครั้งการใช้ชีวิต ก้อไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอ ไป เราจำเป็นต้องมีหลักยึดเตือนใจ เพื่อให้อยู่ในสัวคมอย่างสงบสุข และสง่างาม ไม่เว้นเเต่จะเป็นการปฏิบัติต่อคนที่เราคิดว่าเป็นเพ ื่อน เพื่อเป็นการรักษามิตรภาพให้ยืนยาว อีกทั้งยังเป็นการคบกันด้วยความจิงใจ ช่วยเหลือกันในยามมีความทุกข์ ในยามสุขก็แบ่งปันให้กันด้วยความจิงใจ

หากใครบอกว่า โอ้โหตั้ง 100 ข้อเชียวหรอ แต่ขอบอกว่าลองศึกษาดูก่อน มันไม่มากไม่มายและยากเย็นเกินไปที่เราจะปฏิบัติเลยจ ริงๆ

1.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.เชื่อมั่นตัวเอง
3.อย่ามองคนที่หน้าตา
4.กล้าคิด พูด และทำ
5.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7.อย่าโกหกกับเรื่องที่คุนคิดว่าผิด
8.ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.เปิดใจให้กว้าง
10.มองการณ์ไกล
11.วางแผนอนาคต
12.อย่าโทษตัวเอง
13.มีความรับผิดชอบ
14ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16.อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.ดูแลตัวเองให้เป็น
19.รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไป แล้ว
22.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.คนไม่ผิดคือคนที่ไมม่เคยทำอะไร
28.ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.คุนไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31.อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันไ ด้
37.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุนเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก้อคุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุนก้อไม่เคยโทร.ไป
40.จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41.ดูแลบิดามารดาให้ดี คุนมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43.คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44.อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.วันๆหนึ่งคุนทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น
51.ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.เพื่อนคุนก้อเช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.คุนซื้อนาฬิกาได้ แต่คุนไม่สามารถซื้อเวลาได้
55.ตอนนี้มีใครคอยคุนอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.ตอนนี้คุนคอยใครอยู่รึเปล่า จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57.อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58.ตอนคุนลำบากคุนคิดถึงใคร คุนอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุนเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61.ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62.ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุนเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63.ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65.อย่ารอให้ถึงวันกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.ถ้าเป็นคุนอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุนจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68.เหล้าทำให้คุนลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุนลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุนได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุนยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุนก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก้อหยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุนก้อเป็นคนเพียงแต่คุนยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่า ง
74.ปริศนาในเกมคุนแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุนแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุน
75.คุนมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอย
76.ถ้าคุนกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78.ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79.การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81.ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82.จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุนรักจากไปตอนนี้ คุนคิดว่า คุนทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.อย่าตอบว่าทำยังไงก้อตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.คุนทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุนไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85.ตัวคุนมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุนรุ้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86.หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุนยังไม่รู้
87.ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88.การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91.ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุนได้รุ้อะไรไว้บ้างก้อดี
92.สิ่งที่คุนปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัน กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก้อดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก้อดี
94.อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
95.ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก้อเหมือนกัน
97.ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก้อคือผู้หญิง
98.บางครั้งการอยู่คนเดียวก้อไม่ได้เลวร้ายเมอไป
99.ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: Aim ที่ พฤศจิกายน 21, 2009, 09:55:12 AM
 ;D จะทำได้ สักเท่าไหร่  นะ ตัวเรา  :o :o :o

สาระวันหยุด อ่านเพลินๆ  ดีจัง  Thanks....หลาย  8)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 21, 2009, 06:23:19 PM
ขอขอบคุณ คุณ nokeang ที่นำข้อมูลดีๆมาให้ค่ะ  ;D

 เย็นนี้ขอเป็นแนวธรรมะนิดๆ

 'คิดถูก-ชีวิตสุข' ธรรมะจาก 'พระมิตซูโอะ' ถึงทุกคู่ชีวิต  
.
 
 
       สำหรับชีวิตคู่ คงจะดีไม่ใช่น้อย ถ้าคนสองคน สามารถอ่านใจของกันและกันได้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น หรือทำให้ชีวิตสะดุดน้อยที่สุด หลายสัปดาห์ก่อน ทีมงาน Life and Family ได้เดินทางไปปลูกกล้วย คืนอาหารให้ช้างป่า ณ วัดสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
      
       ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ทีมงานได้นั่งร่วมฟังสนทนากลุ่ม กับพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม และได้รับหนังสือจากพระอาจารย์หลายเล่ม หนึ่งในนั้น คือ "คิดถูก ดับทุกข์ได้" และเห็นว่า ในเล่ม มีหลักคิดที่จะสามารถนำมาปรุงแต่งชีวิตรักให้กลมกล่อมได้ ทีมงานจึงยกข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ มาให้ท่านผู้อ่านได้นำไปประยุกต์ใช้กันครับ
      
       *** ชีวิตคู่ คือ อาหาร 2 อย่างที่ต่างกัน
      
       เป็นไปได้ง่ายว่า เมื่อชีวิตต้องโคจรมาอยู่คู่กัน อารมณ์ ความรู้สึก และทิฐิต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อรู้ถึงความต่าง จึงต้องระวังความรู้สึก ความคิด และเข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างด้วย
      
       พระอาจารย์มิตซูโอะ เขียนบอกไว้ว่า คนแต่ละคน เหมือนอาหารแต่ละชนิด ที่มีรสชาติ และอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ชอบ หรือไม่ชอบ เป็นอารมณ์เฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองชอบ ก็ถือว่าสิ่งนั้นดี หรือถ้าไม่ชอบ ก็ถือว่าไม่ดีเสมอไป ดังนั้น อย่าเอาความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบมาตัดสินว่า เขา/เธอ ดีหรือไม่ดี เพราะนั่นอาจกระแทกให้ชีวิตคู่เกิดรอยร้าวขึ้นได้ง่าย                                                    
                                                                                                                    
                                    
*** โกรธเขา เขาไม่รับ เราต้องรับเอง
      
       บางครั้ง ชีวิตคู่ อาจมีเรื่องที่ทำให้ใครคนใดโกรธได้ พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเขา หรือเธอทำผิดจริงๆ ซึ่งถ้าคิดเป็น ความโกรธนั้นก็จะหายไป กระนั้น ไม่ว่าคู่ชีวิต จะทำแก้วแตก พูดไม่เพราะ ขี้เกียจ ไม่ช่วยงาน ควรลดความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ เพราะมันเป็นความผิดของเขา อย่าเอามาเป็นความผิดใจ หรือทำลายใจของเรา แต่ขอให้คิดเสียว่า โกรธเมื่อไร ผิดทันที เพราะสมมติว่า เขา หรือเธอทำแก้วแตกโดยความประมาท ถ้ายิ่งโกรธ ใจก็จะเป็นทุกข์ตามไปด้วย
      
       สำหรับกรณีบางคน ที่เมื่อมีความโกรธ มักจะมีนิสัย ?ไม่ถูกใจหน่อยก็บ่น บ่นไปเรื่อย? จนคนรอบข้างเกิดความรำคาญ ซึ่งตรงนี้ อันตรายมาก ทางที่ดี ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า ถ้ามีใครบ่นกับเราแบบนั้นบ้าง เราจะชอบหรือไม่ แล้วเมื่อบ่นแล้ว ตัวเราสบายใจ หรือไม่สบายใจ
      
       ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ควรเข้าใจปัญหา และงดใช้อารมณ์จนเกิดรอยร้าว เพราะบางคน นอกจากจะบ่นอย่างเดียวแล้ว ชอบขุดเรื่องในอดีตมาพูดพร่ำ นิสัยตรงนี้อาจนำมาซึ่งการไม่อยากเข้าหา หรือไม่อยากอยู่ใกล้ด้วยของคู่ชีวิต เนื่องจากสิ่งที่พูด บางครั้งทำร้ายจิตใจไม่ใช่น้อย
      
       อย่างไรก็ดี พระอาจารย์เขียนแนะว่า ไม่ว่าคู่เรา จะทำให้โกรธ ควรตั้งสติ หยุดคิดก่อน และให้คิดทวนกระแส อย่าคิดตามอารมณ์ เช่น ไม่ควรคิดว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ เพราะถ้ายิ่งคิด ก็จะเกิดการปรุงแต่ง จนเกิดภาพ เกิดชาติ และเกิดอัตตาตัวตนได้
      
       ?เมื่อรู้ว่าความโกรธไม่ดี ใครโกรธเราก็อย่ารับ และอย่าโกรธตัวเองในทุกสถานการณ์ สอดรับกับที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ว่า ความโกรธ เหมือนการทำอาหารให้คนอื่นกิน ถ้าเขาไม่กิน คนทำ (คนโกรธ) ก็ต้องกินเอง?
      
       คงจะปฏิเสธได้ยากว่า เมื่อคนเราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน การไม่ถูกใจกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่ารักกัน หรืออยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดไหน ก็ไม่แคล้วที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้ ฉะนั้น การแก้ปัญหาในชีวิตคู่ ให้แก้ที่ตัวเองก่อนเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะค่อยๆ คลี่คลายตามไปเอง ด้วยการละความชั่วของตัวเอง ทำแต่ความดี ความถูกต้อง แล้วจะเข้าใจคู่ชีวิต ลดรอยร้าวที่จะเกิดการแตกหักตามมาได้มาก
 



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: nokeang ที่ พฤศจิกายน 22, 2009, 07:38:24 PM
  :)    กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!??     :)

(http://img.kapook.com/image/health/01_75.jpg)

กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!?? (เดลินิวส์)
โดย : นวพรรษ บุญชาญ

กินยาแล้วนอนทันทีอาจตายได้จริงหรือ เป็นคำถามที่หลาย ๆ คน ได้อ่านอีเมลที่มีการส่งต่อ ๆ กันไป อยากรู้คำตอบ

เกี่ยว กับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มีส่วนที่จริงมาก เพราะการกินยาก่อนนอน คือกินยาแล้วนอนทันทียาอาจจะไปจับอยู่ที่ตรงหลอดอาหา ร อยู่กึ่งกลางระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร พอยาไปติดอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไปกัดทำให้หลอดอาหาร เกิดแผล พอเกิดแผลมาก ๆ คนที่กินยาจะรู้สึกเลยว่าร้อน แน่นหน้าอก ประมาณตี 3 จะลุกขึ้นมาเลย เพราะแน่นหน้าอก ซึ่งมักจะเกิดจากการกินยา 2 ประเภท คือ ยาที่เป็นกรด ประเภทวิตามินซี และยาที่เป็นพวกแคปซูลเหนียว ๆ จะมีปัญหาติดหลอดลมมาก

วิธีง่าย ๆ คือ จะต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังจากที่กินยา รอประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่กินเข้าไปผ่านไปยังกระเพาะอาห าร เพราะยาบางอย่างเวลากินน้ำตามเยอะเราจะรู้สึกเลยว่า มันจะไหลจากคอลงไปท้อง แต่ถ้าเรากินน้ำน้อยบางทีจะไม่รู้สึก แค่หายจากคอไป ไม่ได้หมายความว่ายาลงไปที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจริง ๆ มันอาจจะไปติดอยู่ที่หลอดอาหาร

[b]ดังนั้นการกินยาก่อนนอน อย่าเพิ่งเอนตัวลงนอนทันที ยิ่งในคนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ายาไปอยู่ตรงหลอดอาหารพอดีก็จะทำให้เกิดแผล จนแผลทะลุ ถ้าเป็นแผลเรื้อรังนาน ๆ อาจเป็นมะเร็ง เหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ตรงหลอดอาหาร อันตรายกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะกรดไหลย้อน [/b]  

ถาม ว่าเวลากินยาควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ขอเรียนว่า ดื่มได้ทั้ง 2 ประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้บางชนิดในกลุ่มส้ม มะนาว เพราะมันจะทำให้ยาแตกตัวเร็วตั้งแต่ในปาก แทนที่จะดูดซึมในกระเพาะอาหาร ก็จะแตกตัวในปากไม่ช่วยรักษาโรค แถมทำให้ยาไม่ดูดซึมดี

ส่วน ที่บอกว่า ห้ามกินยาพร้อมกับนม หรือห้ามกินยาหลังดื่มนมนั้น ความจริงแล้วสามารถดื่มนมพร้อมกับยาได้ แต่มีข้อยกเว้นกับยาบางประเภท เช่น เตตร้าไซคลิน ดอกซีไซคลีน ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อ ยารักษาสิวจะกินกับนมไม่ได้

ถ้ายาชนิดเดียวกันแต่มีทั้งยาเม็ด ยา น้ำ แคปซูล ควรกินชนิดใด ขอเรียนว่า ยาเม็ดจะได้ยาเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่ายาประเภทอื่น

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากแนะนำคือ ยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ เช่น แคปซูล ห้ามแบ่งเด็ดขาด เพราะมีบางบ้านแบ่งเอาไปใส่น้ำหวานให้ลูกกิน ซึ่งต้องบอกว่า การแบ่งยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ อาจทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์ และอาจเกิดอันตรายได้



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 23, 2009, 12:01:14 PM
(http://www.fwdder.com/data/mail/2007/08/17/1187345321312/image/__fwdDer.com__-170841582-%5BLoOkKaEW%5D-G-0708160101.jpg)


(http://www.fwdder.com/data/mail/2007/08/17/1187345321312/image/__fwdDer.com__-170841556-%5BLoOkKaEW%5D-G-0708160102.jpg)


(http://www.fwdder.com/data/mail/2007/08/17/1187345321312/image/__fwdDer.com__-170841587-%5BLoOkKaEW%5D-G-0708160103.jpg)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 24, 2009, 11:32:02 AM
?ฟักข้าว? ผักร่ำรวยสารต้านมะเร็ง ?ไลโคปีน?

                                                  
                                                  
                            (http://www.muangsiri.com/relax/data/4/pic/1069-5.jpg)


    เจ้าผักลูกกลมๆ มีหนามเล็กๆ โดยรอบแลดูน่าตาตลกมากกว่าน่ากินชนิดนี้ถูกขนานนามด้วยหลายชื่อแตกต่างกันไป ตามภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ?แก็ก?, ?มะข้าว?, ?ผักข้าว?, ?ขี้กาเครือ? และที่คุ้นๆ หูก็คือ ?ฟักข้าว?...ฟักข้าวเป็นพืชในตระIลแตงกวา และมะระ มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
      
       ?มี งานวิจัยของต่างประเทศที่ระบุว่าสารไลโคปีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และสามารถป้องกันความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ และระบุว่าสารนี้มีมากในมะเขือเทศ แต่จริงๆ แล้วในภาคบ้านเรายังมีพืชบางชนิดที่มีไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศนับ 10 เท่า นั้นก็คือ ?ฟักข้าว? นั่นเอง เราพบว่าในมะเขือเทศสุก 1 กรัม มีสารไลโคปีนอยู่ประมาณ 31 ไมโครกรัม ในขณะที่เยื่อเมล็ดฟักข้าว 1 กรัม ให้ไลโคปีนสูงถึง 380 ไมโครกรัมเลยทีเดียว? ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว แห่ง รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ข้อมูล
      
       เภสัชกรหญิงคนเก่งรายนี้กล่าวต่อไปอีกว่า มีการศึกษาในสหรัฐฯ พบว่า ไลโคปีนสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยแบ่งกลุ่มทดลองเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินมะเขือเทศวันละถ้วย อีกกลุ่มหนึ่งไม่ให้กิน ปรากฏว่า กลุ่มที่กินมะเขือเทศ เสี่ยงป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน ซึ่งจากการทดลองนี้แสดงให้เห็นชัดว่าไลโคปีนมีผลต่อการป้องกันความเสี่ยงใน การเป็นมะเร็ง
      
       ?ปัญหาก็คือเราพบว่าคนไทย ส่วนใหญ่จะกินของที่ดีมีประโยชน์ จากงานวิจัยของต่างชาติ คือถ้าไม่มีผลวิจัยจากต่างชาติก็จะไม่กิน พอกินก็กินเป็นกระแส ฮือฮากันได้สักพักก็จะเลิกเห่อไป อย่างมะเขือเทศกับไลโคปีน พอมีบทวิจัยก็เห่อกินกันทั้งที่มันก็เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทยมานาน และในฟักข้าวที่มีไลโคปีน คนไทยก็ไม่สนใจเพราะมันไม่มีงานวิจัย ทั้งๆ จริงๆ ดั้งเดิมก็กินมานานแล้ว เพื่อนบ้านเราหลายประเทศก็กินกันเป็นเรื่องปกติ?

                               (http://pics.manager.co.th/Images/552000015120401.JPEG)
                                                    
      
       ภญ.ผกา กรอง กล่าวว่า การบริโภคฟักข้าวในเมืองไทยส่วนใหญ่จะไม่กินลูก หากจะกินส่วนยอด ลูกก็กินบ้างแต่กินดิบ แต่ไลโคปีนในฟักข้าวจะมีมากที่สุดที่เยื่อหุ้มเมล็ดสีแดง เมื่อขณะที่มันสุกเต็มที่ ที่เวียดนามจะรู้จักฟักข้าวในชื่อของ ?เกิก? ข้าวชนิดหนึ่งของเวียดนามจะหุงด้วยเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงของฟักข้าว หุงเสร็จก็จะกลายเป็นข้าวสีออกส้มๆ แดงๆ
  ?ฟักข้าวเป็นพืชพื้นบ้านอีก ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ อยากเชิญชวนให้นำมาทำเป็นอาหารบริโภค และอยากรณรงค์ให้บริโภคเป็นอาหาร เพราะเชื่อว่าธรรมชาติได้กำหนดสัดส่วนดีไซน์มาให้เรียบร้อยแล้ว การกินสารอาหารจากพืชผักจะให้ดีที่สุดควรกินเป็นอาหาร แต่ที่ห่วงคือส่วนใหญ่จะกินแบบง่ายๆ คือหาแบบที่เป็นสำเร็จรูป เป็นแคปซูล เป็นยาที่สกัดออกมาแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ว่าการที่ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่นทำให้แห้ง ทำให้เป็นผง หรือสกัดเอาแต่สารเพียวๆ นั้น จะทำให้โครงสร้างของสารนั้นๆ เปลี่ยนไปหรือไม่? ภญ.ผกากรอง แนะนำทิ้งท้าย
      
       ด้าน ?พี่ติ่ง? - พนิดา เกษรศรี แห่ง ?บ้านฟักข้าว? อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ในฐานะของผู้ที่เคยกินฟักข้าวแล้วได้ผลดีจนกระทั่งเพาะขายเป็นกิจกรรมเล็กๆ ในครัวเรือน เท้าความให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้หนีอากาศร้อนมาเที่ยวภาคเหนือ ก็ไปเจอลูกฟักข้าวแก่จัดที่วางขายอยู่ในตลาด เห็นว่าแปลกดีจึงซื้อมาดูเล่น จากนั้นก็กลับไปหาข้อมูลว่าลูกฟักข้าวแก่จัดที่ได้มานั้นสามารถนำไปทำอะไร ได้บ้าง
      
       ?เราก็หาในอินเทอร์เน็ต ก็พบงานวิจัยว่ามันมีไลโคปีนสูง มีสารมีประโยชน์ ก็เลยหาวิธีทำกินกันเองในบ้าน เราใช้เยื่อหุ้มเมล็ดมาทำเป็นน้ำผลไม้ แต่งรสด้วยน้ำตาลนิดหน่อย ดื่มเองในครอบครัว แล้วก็แจกคนรู้จัก หนักๆ เข้าหลายคนชอบก็ขอให้ทำให้บ้าง แนะนำให้ทำขายบ้าง เราก็หาข้อมูลเรื่อยมา ซื้อมาปลูก ตอนนี้ก็กลายเป็นกิจการเล็กๆ ของครอบครัวมา 2 ปีกว่าแล้ว คนให้ความสนใจมากขึ้น อาจจะเพราะว่าคนเริ่มหันมาสนใจสุขภาพแนวป้องกันมากขึ้นด้วย?
      
       พี่ติ่งขยายความอีกว่า คนในแถบภาคเหนือนิยมกินส่วนของยอดฟักข้าว โดยนำมาแกงใส่ปลาแห้งบ้าง นำมาลวกหรือต้มจิ้มน้ำพริกบ้าง ส่วนลูกอ่อนๆ ที่เนื้อแข็งๆ มาปอกแล้วหันเป็นชิ้นๆ ลงไปรวมกับผักอื่นๆ เป็นแกงแคบ้าง ส่วนลูกสุกไม่ค่อยมีคนกิน จะปล่อยให้สุกคาต้นเป็นอาหารของนก หนู กระรอกไปตามธรรมชาติ
 ?จากประสบการณ์ตรง ปรากฎหลังการดื่มน้ำจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวพบว่า รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น คุณแม่พี่อายุ 50 กว่าแล้วก็บอกว่าดื่มระยะหนึ่งแล้วผมเริ่มกลับมาดำอีกครั้ง แล้วพวกเราทั้งบ้านก็ไม่ค่อยป่วย อย่างโรคหวัดนี่ไม่มีใครเป็นมาสักพักแล้วค่ะ?
      
       พี่ติ่งยังกระซิบอีกนิดสำหรับผู้ที่อ่านแล้วชักจะเห็นความสำคัญของ ผักพื้นบ้านน่าตาน่าเอ็นดูชนิดนี้และอยากหามาปลูกบ้างว่า ฟักข้าวปลูกง่าย แค่โยนเม็ดลงดินก็ขึ้นแล้ว มีหลายสายพันธุ์ พันธุ์ลูกใหญ่เฉลี่ยน้ำหนักลูกละ 1 กิโลกรัม เหมาะแก่การปลูกลงดินเพราะรากจะขยายไปเรื่อยๆ แต่สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านน้อยๆ หรือคอนโดมิเนียมก็อย่าเพิ่งเสียใจไป เพราะพันธุ์พื้นบ้านดั้งเดิมที่ใบออกทรงกลมจะให้ลูกเล็กกว่าและมีขนาดต้น เล็กกว่า เหมาะแก่การปลูกในพื้นที่จำกัดเช่นบนระเบียงในกระถาง ขนาดลูกก็เล็กตามไปด้วย ราวๆ ลูกเทนนิส ซึ่งเหมาะแก่กินคนเดียวหรือสองคนแบบฉบับครอบครัวสมัยใหม่ในเมืองใหญ่
      
       ในขณะที่หนึ่งใน ?คนสีเขียว? อย่าง ?พี่น้อง? - โสรัจ เบญจกุศล? แห่งเครือข่ายตลาดสีเขียว เจ้าของร้านวุ้นดอกไม้หวาน ที่หลงรักในคุณประโยชน์ของฟักข้าวเข้าอย่างจัง ได้แสดงความเป็นห่วงต่อการลดจำนวนลงอย่างฮวบฮาบของฟักข้าวว่า เพราะหลายคนมองว่ามันเป็นวัชพืช ทำให้มีการถอนทิ้งจนปัจจุบันหากจะซื้อฟักข้าวแต่ละครั้ง ต้องใช้บริการไกลถึงจังหวัดเชียงใหม่ให้จัดส่งเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะหาในแถบภาคกลางไม่ได้เลย
?เสียดายมาก เพราะเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก บ้านไหนมีอยากให้เก็บไว้ อย่าไปฟันทิ้ง และอยากให้ช่วยกันปลูกมากๆ เราจะได้มีพืชผักมีประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิดในสวยหลังบ้านของเรา?
      
       พี่น้องยังได้แนะนำสูตรน้ำฟักข้าวผสมเสาวรสรสเปรี้ยวจี๊ดชื่นใจอย่าง ไม่หวงตำราว่า เป็นเครื่องดื่มปกติที่ทำดื่มเองอยู่แล้ว และมีประโยชน์ทั้งจากฟักข้าวและเสาวรส เนื่องจากฟักข้าวจริงๆ จะรสออกจืดๆ มันๆ ทำให้หลายคนที่ไม่คุ้นอาจจะไม่ชอบ การผสมน้ำเสาวรส หรือกระทั่งน้ำส้มหรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ จะทำให้ดื่มง่ายขึ้น
      
       ?ใช้น้ำเสาวรสประมาณ 70% ผสมกับเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว30% เติมน้ำตาลชิมรสตามใจชอบ ถ้าวันไหนร้อนๆ ยิ่งแช่เย็นยิ่งชื่นใจค่ะ?
      
       ...แค่ฟังสูตรก็น้ำลายสอ ใครจะเอาไปทำพี่น้องไม่หวง แถมสนับสนุนให้ทำอีกต่างหาก เพราะอยากเห็นคนไทยห่างไกลมะเร็ง

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000139741 (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000139741)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 25, 2009, 10:32:29 PM
"เคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมอง"

                               (http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1191544)

 หลายคนคงเคยมีอาการหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะคะ.....ลืมว่าเอากุญแจบ้านกับมือถือไปวางไว้ตรงไหน หรือออกจากบ้านแล้วแต่ต้องกลับเข้าไปใหม่เพราะลืมว่าปิดไฟแล้วหรือยัง หรือเห็นเงินในกระเป๋าแล้วงงว่าทำไมเหลือแค่นี้ ซื้ออะไรไปเนี่ย
      
       วันนี้มีเคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมองมาฝากค่ะ[/b
      
       1. จดบันทึก
      
       การจดบันทึกจะช่วยให้คุณวางแผนเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน นัดหมายต่างๆ รวมไปถึงการจดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมลแอดเดรส วันเกิดเพื่อน หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณเอง เช่น ยาประจำตัว จะให้ดีควรเป็นสมุดเล่มเล็กๆ ที่พกพาติดตัวไปด้วยได้
      
       การลงมือเขียนด้วยตัวเองจะช่วยย้ำให้สมองจดจำได้ดีขึ้น และดีกว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย เช่น การบันทึกไว้ในมือถือ
      
       2. พูดกับตัวเอง
      
       การพูดออกมาดังๆ ก็คล้ายกับการจดบันทึก เพียงแต่ออกมาในรูปของเสียง ควรเริ่มต้นตั้งแต่เช้า นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ เช่น วันนี้ต้องซื้อบัตรเติมเงิน ตอนเที่ยงมีนัดกับลูกค้า ตอนเย็นต้องแวะซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง
      
       3. ติดโน้ตในที่ที่มองเห็นได้ง่าย
      
       เขียนสิ่งที่ต้องทำลงบนกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ประตูตู้เย็น ประตูบ้าน ในรถ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ ก็เท่ากับเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้น
      
       4. เก็บของให้เป็นที่
      
       ฝึกนิสัยเก็บของให้เป็นที่ เช่น แขวนกุญแจไว้ข้างประตูทางออก วางมือถือไว้บนโต๊ะทำงาน เก็บยาก่อนนอนไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ชีวิตที่เป็นระเบียบจะช่วยให้สมองเป็นระเบียบเช่นกัน
      
       5. ทำชีวิตให้ช้าลง  น่าคิด
      
       สมองจะจดจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว-ทำเร็วจนเกินไป ทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทันและหลงลืมไปในที่สุด
      
       6. อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน
      
       การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น คุยโทรศัพท์ไปด้วย ดูโทรทัศน์ไปด้วย หรือทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า
      
       7. มีสติ
      
       การมีสติขณะทำสิ่งต่างๆ จะช่วยให้เราไม่หลงลืมได้ง่าย สมองจะจดจำได้โดยอัตโนมัติว่า ขณะนั้นเราปิดไฟแล้ว ปิดน้ำแล้ว ปิดแก๊สแล้ว ไม่ต้องมานั่งลังเลสงสัยทีหลังว่า เอ๊ะ ฉันทำไปแล้วหรือยัง
      
       8. ร่างกายแข็งแรง
      
       สมองที่แจ่มใส มาจากร่างกายที่แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ครบหมู่ เน้นปลา ผักผลไม้สด ข้าวกล้อง และน้ำ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีตามไปด้วย
      
       9. ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด
      
       ความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็นหรือจดบันทึก บางคนจำได้ดีเมื่อได้ยินเสียงหรือพูดดังๆ บางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ สังเกตตัวเองว่าคุณจำได้ดีกับวิธีการไหน แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าจะให้ดี ใช้ทั้ง 3 วิธีสลับกันก็จะช่วยให้สมองได้ฝึกทักษะมากขึ้น
      
       วิธีบริหารสมอง ที่ช่วยในการพัฒนาความจำอย่างง่ายๆ สามารถทำได้ดังนี้
      
       1. หยิบสิ่งของในที่มืด หลับตาอาบน้ำ หรือหลับตาแต่งตัว

       2. รับประทานอาหารหรือหยิบจับสิ่งต่างๆ โดยใช้มือข้างที่ไม่ถนัด

       3. ฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้

       4. อ่านหนังสือหลายๆ ประเภท หรือเปลี่ยนจากคอลัมน์ที่เคยอ่านประจำไปอ่านคอลัมน์อื่นบ้าง

       5. อ่านป้ายโฆษณาตามข้างทาง ท้ายรถตุ๊กตุ๊ก ข้างรถเมล์ หรือถุงกล้วยแขก

       6. ดูโทรทัศน์ที่มีสองภาษา หรือดูภาพยนตร์ที่มีซับไตเติล

       7. บวกลบเลขทะเบียนของรถคันหน้า หรือเลขบนตั๋วรถเมล์

       8. เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เช่น จัดห้องใหม่ เปลี่ยนที่วางของ เปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง หรือจากที่เคยขับรถก็เปลี่ยนไปนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแทนบ้าง

       9. เล่นเกมฝึกสมอง เช่น หมากรุก หมากฮอส ปริศนาอักษรไขว้ จับผิดภาพ ฯลฯ

       10. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่น หัดเล่นดนตรี เรียนภาษา เรียนทำอาหาร ฝึกศิลปะป้องกันตัว ฯลฯ

       11. หมั่นออกสังคม พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับเพื่อนฝูง อย่าแยกตัวออกจากสังคม เพราะจะทำให้สมองไม่เกิดการพัฒนาและเสื่อมไปในที่สุด
      
       ฝึกสมองบ่อยๆ เพื่อความจำที่ดีและสมองอันชาญฉลาดจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ ค่ะ

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029478 (http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029478)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 26, 2009, 08:23:52 PM
"นั่งหน้าคอมพ์จนปวดคอ" อย่านิ่งดูดาย


                                                    (http://www.manager.co.th/imageupload/images/552000015179304.JPEG)
                      
ใคร ที่รู้ตัวว่ากำลังปวดคอหรือมีความเสี่ยงจะปวดคอจากการนั่งทำงาน (หรือเล่นเกม) หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นานเกินไปอย่าได้นิ่งเฉย บทความนี้จะพาคุณไปพบกับทางออกที่จะทำให้คุณสามารถป้องกันและลดอาการปวดคอ ที่แสนทรมาน เพื่อให้คุณไม่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับพระเอกภาพยนตร์เรื่องชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (ใครยังไม่ดู ลองไปหาดูแล้วจะเข้าใจมุกนี้)
      
       ก่อนจะไปเรียนรู้ท่าทางการป้องกันอาการปวดคอ คุณต้องรู้ก่อนว่าต้นเหตุอาการปวดคอนั้นไม่ได้มาจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ นานๆ แต่จะมาจากทุกกรณีที่ทำให้อิริยาบทของร่างกายเราผิดเพี้อนไป
      
       อาจารย์ ผกาภรณ์ พู่เจริญ อาจารย์ประจำคณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดคอนั้น เริ่มที่การมีอิริยาบถไม่ถูกต้อง เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ก้มหรือเงยหน้านานๆ อาจจะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือเขียนหนังสืออ่านหนังสือเป็นเวลานานๆ โดยไม่หยุดพัก แถมการศึกษายังพบว่าอาการปวดคอมีสาเหตุมาจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูก ส่งผลทำให้มีอาการปวดร้าวไปยังท้ายทอย แขน กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง
      
       ขณะเดียวกัน อาการปวดคออาจมีสาเหตุมาจากอารมณ์ตึงเครียดซึ่งส่งผลให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อคอเป็นเวลานาน
      
       ?เมื่อ เกิดอาการก็ต้องรีบรักษา" อาจารย์บอกว่าจะมีการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 ระยะ "คือ 1.ระยะเฉียบพลัน 1 ? 2 ผู้ที่มีอาการปวดคอต้องพยายามพักผ่อนกล้ามเนื้อคอโดยการนอนราบ ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่เกิดการอักเสบ ใช้เวลาในการประคบประมาณ 15 ? 20 นาที 2.ระยะเรื้อรัง ผู้มีอาการต้องยืดกล้ามเนื้อคอด้วยตัวเอง โดยใช้มือดันศีรษะไปในทิศทางที่หันไม่ได้ช้าๆ จนรู้สึกตึงทำค้างไว้ครั้งละประมาณ 10 วินาทีจำนวน 10 ครั้ง หรือจนอาการดีขึ้น แล้วประคบด้วยถุงน้ำร้อน 15 - 20 นาที หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการปวดมากขึ้น ควรรับการรักษาทางกายภาพบำบัด"
      
       อาจารย์ย้ำว่าทุกคนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการทำงานในลักษณะก้มหรือเงยหน้าเป็นเวลานาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ไม่นอนหนุนหมอนที่สูงและแข็งเกินไป และออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ
      
       อาจารย์ผกาภรณ์ให้เคล็ดวิชา 4 กระบวนท่าออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการปวดคอ ได้แก่ ท่าก้มและเงยหน้า ท่าหันหน้าซ้ายและขวา ท่าเอียงคอซ้ายขวา และท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ
      
       - ท่าก้มและเงยหน้า จะเริ่มต้นด้วยการนั่งหรือยืนก็ได้ แต่ศีรษะต้องตั้งตรง จากนั้นค่อยๆ ก้มให้คางชิดอก แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ให้มากที่สุด ทำท่านี้ 5 ? 10 ครั้ง
      
       - ท่าหันหน้าซ้ายและขวา จะเริ่มต้นด้วยนั่งหรือยืนก็ได้ จากนั้นหันไปทางซ้ายช้าๆ แล้วค่อยๆ หมุนศีรษะกลับมาทางขวา ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง ข้อควรระวังหากมีอาการมึนศีรษะ ตาลายให้หยุดการออกกำลังกายทันที
      
       - ท่าเอียงคอซ้ายขวา จะนั่งหรือยืนก็ได้เหมือนเคย แต่ให้ศีรษะตรง จากนั้นเอียงศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ ให้ทิศทางของใบหูจรดไหล่จนรู้สึกตึง ค่อยๆ เอียงศีรษะกลับมาทางขวาทำเช่นเดียวกัน ทำซ้ำประมาณ 5 ? 10 ครั้ง      
       - ท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ ให้ก้มหน้า วางมือบนหน้าผาก ออกแรงต้านกับการก้มหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง เงยหน้า ประสานมือที่ท้ายทอย ออกแรงต้านกับการเงยหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง เอียงคอ วางมือที่ด้านข้างซ้ายของศีรษะออกแรงต้านกับการเอียงคอไปด้านซ้าย วางมือด้านขวาของศีรษะแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง หันศีรษะ วางมือซ้ายบนขมับซ้ายออกแรงต้านกับการหันศีรษะไปด้านซ้าย วางมือขวาบริเวณขมับขวาแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง การดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำก่อน ที่จะปล่อยให้อาการปวดคอเกิดขึ้น
      
       ..อย่าลืมว่าสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอานะจ้ะ..


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ พฤศจิกายน 26, 2009, 10:05:09 PM
คุณมดแดงคะ
 ขอบคุณนะคะ อ่านตลอดค่ะ
 :) ;) :D ;D ::) :P angel.gif laugh.gif


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 27, 2009, 09:26:41 PM
รองเท้า ใครคิดว่าไม่สำคัญ


                                             (http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:_GVSnct_V2Yz4M:http://www.tarad.com/thaishoes/img-lib/spd_2007090422604_b.jpg)

เรา สวมรองเท้าเพื่อปกป้องเท้าไม่ให้ได้รับอันตราย แต่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ขนาดไม่พอดี นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายขณะสวมใส่แล้ว ยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือผิดรูปของเท้าตามมาได้

สิ่งที่ต้อง พิจารณาซึ่งสำคัญยิ่งกว่าความสวยงาม คือ รูปทรงของรองเท้าที่เข้าได้กับเท้า ซึ่งจะให้ความรู้สึกสบายขณะสวมใส่ และไม่เกิดผลเสียต่อเท้า

มื่อจะซื้อรองเท้า ให้คิดไว้ว่า ?เลือกรองเท้าให้ใส่พอดีกับเท้า ไม่ใช่ ใส่เท้าให้พอดีกับรองเท้าที่เลือก"


ข้อแนะนำในการเลือกซื้อรองเท้า

? ในการวัดขนาดเท้าควรวัดทั้งสองข้าง เนื่องจากขนาดเท้าแต่ละข้างอาจจะไม่เท่ากัน

? ควรวัดขนาดเท้าในช่วงเย็น และควรวัดขนาดเท้าในท่ายืน เพราะเท้าจะขยายออกมากกว่าปกติ

? ควรเลือกซื้อรองเท้าที่มีขนาดกว้าง ยาว พอดีกับเท้า โดยเหลือพื้นที่ส่วนปลายเท้าไว้เล็กน้อย เพราะถ้าเหลือ ที่ว่างมากเกินไป เท้าก็จะเลื่อนได้มาก ทำให้มีการเสียดสีกับรองเท้า ซึ่งจะเกิดเป็นแผล หรือมีผิวหนังพองได้

? ส่วนหลังของรองเท้าควรกระชับพอดีกับส้นเท้า ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีการเลื่อนหลุดของส้นเท้าเวลาเดิน

? ใส่รองเท้าแล้วลองเดิน เพื่อให้แน่ใจว่าสวมได้พอดี และรู้สึกสบาย จริง ๆ

? ควรวัดขนาดเท้าทุกครั้งที่ซื้อรองเท้า เพราะขนาดเท้าอาจเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อเวลาผ่านไป

? ไม่ควรเลือกรองเท้าโดยดูที่เบอร์อย่างเดียว เพราะรองเท้าแต่ละยี่ห้อเบอร์เดียวกันขนาดอาจไม่เท่ากัน

? ควรเลือกซื้อรองเท้าที่สวมได้พอดี และเข้าได้กับรูปเท้ามากที่สุด ถ้าลองแล้วรู้สึกว่าคับเกินไปก็ไม่ควรซื้อมาใส่ โดยคิดว่าเมื่อใส่ไปนาน ๆ แล้วมันอาจขยายออกมาจนพอดี เพราะว่าเท้าจะมีปัญหาเกิดขึ้นเสียก่อน




รองเท้าสตรี

รองเท้าที่ดี ควรมีส่วนหัวของรองเท้ากว้าง และ ส้นไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้วฟุต

รองเท้า ส้นสูงที่มีส่วนหัวของรองเท้าแคบเรียว ทำให้นิ้วเท้าถูกบีบเข้ามาหากันมาก และน้ำหนักจะไปลงที่บริเวณปลายเท้า แทนที่จะลงที่บริเวณส้นเท้าตามปกติ

ถ้า ส้นรองเท้ายิ่งสูง น้ำหนักก็จะยิ่งลงไปยังส่วนปลายเท้ามากขึ้น จึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย หรือ ทำให้มีนิ้วเท้าผิดรูป เช่น ตาปลา ข้อนิ้วหัวแม่เท้าเก เป็นต้น


รองเท้าบุรุษ

รองเท้า ที่ดีควรมีรูปทรงเข้าได้พอดีกับรูปเท้า โดยที่ส่วนหัวของรองเท้ามีพื้นที่เหลืออยู่เล็กน้อยพอให้นิ้วเท้าขยับได้ บ้าง และ ส้นรองเท้าไม่สูง (โดยทั่วไปจะสูงประมาณครึ่งนิ้วฟุต)


รองเท้ากีฬา

จุด มุ่งหมายในการออกแบบรองเท้ากีฬาก็เพื่อปกป้องเท้าของนักกีฬาจากแรงเค้นภาย นอกที่มากระทำต่อเท้า และเพื่อให้เกิดแรงเสียดทานระหว่างพื้นรองเท้ากับพื้นสนามมากพอ ที่จะทำให้เล่นกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ไม่เกิดอุบัติเหตุ

รองเท้า สำหรับกีฬาแต่ละประเภทจะถูกออกแบบมาแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง น้ำหนัก วัสดุที่ใช้ หรือ ลักษณะการผูกเชือก ดังนั้นในการใช้รองเท้ากีฬาจึงควรเลือกให้เหมาะสมกับกีฬา แต่ละประเภท


สุขภาพเท้า ในผู้สูงอายุ

ใน ผู้สูงอายุ เท้าก็จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยมักจะกว้างออก และ มีไขมันที่ช่วยป้องกันการกระทบกระแทกในบริเวณฝ่าเท้า ลดลง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของกระดูกและ เส้นเอ็น อันเนื่องจากน้ำหนักตัวด้วย

จึง ควรวัดขนาดรองเท้าบ่อย ๆ ปัญหาที่เกิดเนื่องจาก ผิวหนังที่แห้ง และ เล็บที่ฉีกขาดง่าย ก็พบได้บ่อย ซึ่งปัญหาเหล่านี้พบได้มากขึ้นในผู้หญิงที่ใส่รองเท้าส้นสูง โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4 เท่า



ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพเท้า

การเดินเป็นการบริหารที่ดีที่สุดสำหรับเท้า

ถุงเท้า ควรจะมีขนาดที่พอดี ใส่แล้วไม่มีรอยย่น และ ควรเป็นแบบที่ไม่มีตะเข็บ หรือ รอยเย็บ

ทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำอุ่นและใช้สบู่อ่อน ๆ อาจจะผสม moisturizer ลงไปด้วยหรือใช้ moisturizer หลังจากทำความสะอาดเสร็จแล้ว

ตัดเล็บเท้าเป็นแนวตรง

คอยสังเกตเท้า ทุก ๆ วัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีสีแดงขึ้น บวม ผิวหนังแห้งแตก หรือ รอยฟกช้ำ ควรปรึกษาแพทย์



รองเท้าสำหรับเด็ก

เด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าจนกว่าจะเริ่มเดิน ซึ่งทั่วไปก็ประมาณอายุ 12 ถึง 15 เดือน

ในช่วงที่ยังไม่เดิน การสวมถุงเท้าอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะช่วยให้ความอบอุ่นแก่เท้าหรือปกป้องเท้าไม่ไห้ได้รับอันตรายขณะคลาน

เมื่อ เด็กเริ่มยืนหรือเดิน รองเท้าจะเป็นสิ่งจำเป็นและดีที่สุดในการป้องกันอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นกับเท้า การสวมถุงเท้าจะช่วยลดอาการระคายเคืองจากการที่เท้าสัมผัสกับรองเท้าโดยตรง

สำหรับเด็กวัยหัดเดิน ควรให้เด็กได้เดินด้วยเท้าเปล่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะการเดินด้วยเท้าเปล่าจะทรงตัวได้ง่าย แต่หากพาออกไปนอกบ้าน ก็ควรที่จะให้มีรองเท้าเพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งต่างๆ

ข้อแนะนำในการเลือกรองเท้าเด็ก

หัว รองเท้า ควรยาวกว่านิ้วเท้าของเด็กอย่างน้อยครึ่งนิ้ว บริเวณส่วนหัวของรองเท้าควรมีพื้นที่เหลือพอที่ จะให้นิ้วเท้าขยับได้ และเผื่อไว้สำหรับเท้าที่จะเจริญเติบโตขึ้นอีก (เท้าจะยาวขึ้นประมาณ ครึ่งนิ้วฟุตใน 3 - 6 เดือน)

พื้นรองเท้า ควรมีความยืดหยุ่นดี น้ำหนักเบา และไม่ลื่น พื้นรองเท้าควรจะเรียบกว้างและแข็งแรง ซึ่งเมื่อเด็กสวมรองเท้า และเขย่ง รองเท้าจะโค้งตามรูปเท้า พื้นรองเท้าด้านใน ควรบางแต่นุ่มนวล และยืดหยุ่นได้ดีไม่แข็งกระด้าง ถ้าพื้นผิวด้านในอ่อนนิ่มหรือฟูหนาจนเกินไป จะทำให้นิ้วเท้าของเด็กจมลงไปมาก ทำให้เด็กเดินลำบากขึ้น

สายคาด ควรเป็นแบบที่ สามารถเลื่อนเข้าเลื่อนออกให้กระชับพอดี กับขนาดเท้าได้ง่าย

รองเท้าหัวป้านจะช่วยให้นิ้วเท้าไม่ถูกบีบ และจะไม่เจ็บเท้าเมื่อต้องใส่รองเท้าเป็นเวลานาน

คุณภาพ ของฝีมือในการตัดเย็บ จะต้องประณีต ตะเข็บต้องไม่หนา และไม่กดรัดนิ้วเท้า ควรหลีกเลี่ยง รองเท้าที่เป็นพลาสติก เพราะพลาสติกจะไม่ปรับรูปร่างให้เข้ากับเท้า

ควรเปลี่ยนรองเท้าคู่ ใหม่ให้กับลูกเมื่อเห็นว่ารองเท้านั้นคับเกินไป โดยอาจสังเกตจากขณะยืนสวมรองเท้า นิ้วเท้าแตะโดนด้านในของหัวรองเท้า มีรอยกดของรองเท้า ทำให้เท้าบวมหรือแดงเป็นรอย


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ พฤศจิกายน 27, 2009, 11:23:58 PM
คุณมดแดงค่ะ ;)
 เรื่องรองเท้าเนี่ย ตนเองมีประสบการณ์และวีระกรรมมากมาย ถึงได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของมัน ขอบคุณมากคะ :-*
 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 28, 2009, 09:03:48 PM
เลือกรองเท้า..เข้ากับราศี

   (http://[url=http://content.mthai.com/upload_images/0-kae/07-09/01-07/trendshoue09-009.jpg]http://content.mthai.com/upload_images/0-kae/07-09/01-07/trendshoue09-009.jpg[/url]                                                            )
  นำเรื่องการเสริมมงคลราศีมาฝากค่ะ เผื่อวันไหนว่างๆ ก็จะออกไปช็อปปิ้งเสริมราศี หรือเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อรองเท้าคู่ใหม่ค่ะ

     สาวราศีมังกร เขาบอกว่าเป็นคนพูดน้อย แต่มีความรับผิดชอบเรื่องงานสูงมาก สาวราศีนี้จึงเหมาะกับรองเท้าคู่เก่งที่ให้ความคล่องตัว เช่น รองเท้าแบนแต๊ด (หรือ flat shoes ที่ กำลังอินอยู่ตอนนี้พอดี) ยิ่งถ้าเลือกหัวมนเหมือนรองเท้าบัลเลต์จะยิ่งทำให้ดูน่ารักและมีเสน่ห์ขึ้น อีกเยอะ ไม่ว่าจะใส่คู่กับกระโปรงหรือกางเกงยีนส์ก็ดูดีไปซะหมด

     สีรองเท้าที่เหมาะ น้ำเงิน ฟ้า น้ำตาล

     สาวราศีกุมภ์ สำหรับสาวชอบเข้าสังคม เป็นคนสนุกสนานเฮฮา และอยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ อย่างสาวราศีกุมภ์ ถ้าเลือกใส่รองเท้าที่มีลูกเล่นประดับประดาพราวพรายด้วยประกายวิบวับอย่างคริสตัลสี (bejeweled shoes) ก็จะช่วยเสริมให้คุณโดดเด่นเป็นที่สนใจ ไปไหนก็เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนรอบข้างอย่างแน่นอน

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีสดๆ เช่น แดงสด ม่วงสด หรือสีเมทัลลิก เช่น เงิน ทอง

     สาว ราศีมีน แม้ภายนอกจะดูขี้อายกว่าสาวราศีอื่นๆ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการแต่งตัว สาวราศีมีนทั้งหลายจะยอมน้อยหน้าได้อย่างไร หากคุณเป็นสาวราศีมีนที่กำลังมองหารองเท้าคู่ใหม่ให้ตัวเองอยู่ล่ะก็ แนะนำให้เลือกรองเท้าที่มีสายรัดส้น (sling back) หรือแบบไม่มีสายรัด (mule) ก็ได้ แต่ต้องทำจากผ้าซาตินสีหวานๆ เพราะช่วยแสดงความละเอียดอ่อน และโรแมนติกของคุณได้ดี ไม่ว่าจะใส่กลางวันหรือกลางคืนก็ทำให้คุณงามแจ่มบาดใจละไมตามากๆ      

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีพาสเทล เช่น ชมพูอ่อน เขียวอ่อน สีน้ำตาลเอิร์ธโทน

     สาวราศีเมษ เรื่องความมั่นใจ ไอ เดียบรรเจิดๆ และความซูเปอร์เทรนด์ของสาวราศีนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ สำหรับรองเท้าคู่โปรดปรานที่ช่วยให้สาวเมษลัคกี้อินเกมและอินเลิฟตลอดกาล ต้องเป็นรองเท้าส้นเล็กแหลมเปี๊ยบ (Kitten heels) ซึ่งเสริมความเป็นผู้หญิงของคุณออกมาอย่างแรงแบบไม่มีใครเกิน

     สีรองเท้าที่เหมาะ แดงสด ฟ้าสด น้ำตาล

     สาวราศีพฤษภ สาวราศีนี้เป็นนักปฏิบัติ ชอบหาอะไรใหม่ๆ ทำ เข้าข่ายไฮเปอร์ไม่ยอมหยุดอยู่นิ่ง รองเท้าคู่กายที่ขาดไม่ได้ของเธอจึงต้องเน้นประโยชน์ใช้สอย ทนทานและดูแลรักษาง่าย พร้อมลุยในทุกสถานการณ์ นอกจากบู๊ตแล้ว รองเท้าคัตชูหัวมน (Pumps) ก็เหมาะมากกับสาวพฤษภ ช่วยเสริมให้ดูเป็นคนหนักแน่น มั่นคง ดูเอาจริงเอาจัง      

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีดำ น้ำตาล น้ำเงิน แดงเลือดหมู      

     สาวราศีเมถุน เพราะเป็นสาวเฟิร์สตี้ มีความสมาร์ทปนเซ็กซี่อยู่ในตัว และเป็นนักอ่านแมกกาซีนตัวยง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากสาวราศีนี้จะอัพเดตเกาะติดเทรนด์แฟชั่นอยู่แถวหน้าเสมอๆ ส่วนในที่ทำงานเธอก็ได้ชื่อว่าเป็น Office Queen ด้วยสไตล์การแต่งตัวที่เก๋เริ่ดเกินหน้าใคร แม้สาวราศีนี้จะขาดไม่ได้เลยกับรองเท้าแบรนด์เนมซึ่งต้องมีเก็บไว้ในตู้ แต่หากเป็นรองเท้าทรงหัวแหลมเปี๊ยวดูเพรียวชะลูดก็จะส่งเสริมหน้าที่การงานให้มีอนาคตก้าวไกลได้

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีฟ้า เขียว เหลือง ดำ

     สาวราศีกรกฎ ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวอาร์ติสต์ชอบทำอะไรตามอารมณ์ รวมถึงเรื่องการแต่งตัว หากเธอได้รับการ์ดเชิญไปงานที่ระบุ dress code ขึ้น มาเมื่อไหร่ สาวกรกฎจะไม่สนใจ ขอใส่แบบที่คิดว่าสวยเด็ดสำหรับเธอเท่านั้น แต่วันไหนสาวราศีนี้อยากลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองบ้าง แนะนำให้เลือกรองเท้ามีส้น เพราะจะทำให้ดูเป็นสาวนุ่มนวลน่าทะนุถนอมทีเดียวล่ะ

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีน้ำตาล ฟ้า น้ำเงิน เขียว

     สาวราศีสิงห์ เป็นคนชอบแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดอินเทรนด์ตลอดกาล ชนิดที่เรียกว่าเป็นสาวกแบรนด์เนมอันดับต้นๆ ก็ ว่าได้ ถ้ามีรางวัลแต่งตัวดียอดเยี่ยม ต้องขอยกตำแหน่งนี้ให้เธอไปครอบครอง เพราะไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาใส่ก็มักได้รับคำชมจากคนรอบข้างเสมอๆ รองเท้าที่จะช่วยสร้างเสน่ห์และเสริมส่งความน่ารัก สำหรับสาวราศีนี้ต้องเป็นส้นสูงปรี๊ด (Stiletto) รับรองว่าขาจะดูเรียวเพรียวเซ็กซี่ทุกย่างก้าวที่เดิน แต่ยังไงก็อย่าเพลินกระหน่ำความสูงมากไปละกัน เดี๋ยวปวดหลังแล้วจะหาว่าไม่เตือน

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีแดง ส้ม ทอง เงิน

     สาวราศีกันย์ เซนส์ในการแต่งตัวเป็นคุณสมบัติโดดเด่นของสาวราศีกันย์ ซึ่ง มีความสามารถเฉพาะตัวในการมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋าให้เข้ากันอย่างไม่มีที่ติ หากสาวกันย์เลือกใส่รองเท้าสไตล์คลาสสิกยอดฮิต อย่างเช่น ส้นสูงไม่มีสายรัด (mule) หรือเปิดด้านหน้า (open-toed) ก็จะช่วยให้การงานปลอดโปร่งจากปัญหาหรืออุปสรรคมาขัดขวาง ทำอะไรก็ราบรื่น ผ่านฉลุยลูกเดียว

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีเขียวหยก ม่วง น้ำตาล ดำ

     สาวราศีตุล การแต่งตัวของสาวราศีตุลก็ยังคงนิยมความเรียบง่ายเข้าไว้ก่อน เพราะยึดคติว่า less is more คือ ยิ่งน้อยชิ้นเท่าไหร่ยิ่งดี และด้วยบุคลิกเรียบโก้ แน่นอนว่ารองเท้าที่สาวราศีตุลมีไว้เป็นเพื่อนคู่ใจจึงไม่ค่อยมีดีเทลจุกจิกนัก กระนั้นถ้าหากเลือกรองเท้าส้นเตารีด (wedges) มาใส่สักคู่ เพราะจะช่วยนำพาความมั่นคงก้าวหน้ามาสู่ชีวิต มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำจุน พูดจาอะไรก็น่าเชื่อถือ

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีขาว เอิร์ธโทน ฟ้า น้ำเงิน

     สาวราศีพิจิก ลักษณะเด่นของสาวราศีนี้ คือเป็นคนขรึม ชอบใช้ชีวิตอิระและมีโลกส่วนตัวสูง แม้บางครั้งเจ้าอารมณ์ เอาใจยาก แต่ ก็มีข้อดีคือ โกรธง่าย หายเร็ว ถ้าใส่รองเท้าแบบเปลือยๆ จะช่วยเสริมท่วงท่าลีลาการเดิน เปิดทางให้เป็นคนกว้างขวาง มีเมตตา คิดจะลงทุนอะไรก็ไม่ติดขัด      

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีแดงเข้ม น้ำเงิน ดำ

     สาวราศีธนู เป็นคนช่างแต่งตัว ขี้เล่น และชอบสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต ดังนั้นจึงไม่มีรองเท้าแบบไหนจะเหมาะกับสาวราศีนี้เท่ากับรองเท้าหนังสีสันชวนเตะตา ที่มาพร้อมกับลูกเล่นวัสดุตกแต่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโบดอกไม้ เฟอร์ หรือผ้าพิมพ์ลายกราฟฟิก ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณมีลีลาสวยสง่าทุกโอกาสแล้ว ยังเสริมส่งโชคดีทางด้านการเงินอีกด้วย

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีแดง ม่วง เขียว ชมพู.


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 29, 2009, 10:15:06 AM
การใช้ microsoft office word

ใน  version  ต่างๆ   น่าสนใจค่ะ

                
                           (http://[url=http://office.microsoft.com/global/images/default.aspx?assetid=ZA102144731054]http://office.microsoft.com/global/images/default.aspx?assetid=ZA102144731054[/url])


http://office.microsoft.com/th-th/word/FX100487981054.aspx (http://office.microsoft.com/th-th/word/FX100487981054.aspx)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 30, 2009, 09:06:21 PM
ผ่อนคลายเท้ายามเมื่อยล้า

พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป

ปักษ์ก่อนเรารู้ถึงโทษของการใส่ส้นสูงเป็นระยะเวลานานแล้ว ครั้งนี้หมอขอหาทางออกให้สาวส้นสูงที่กำลังมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปวดเท้า ปวดน่อง ปวดหลัง เรามาทดลองวิธีการดูแลตัวเองง่าย ๆดูนะคะ

1.เปลี่ยนรองเท้าเจ้าปัญหา

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเห็นตรงกันว่า ลักษณะของรองเท้าที่ดีนั้น ควรจะมีรูปร่างเหมือนเท้าเปล่าๆของเรานี่แหละ นอกจากนั้นยังสามารถรองรับตามความโค้งของฝ่าเท้า และบริเวณที่โค้งงอได้ที่ใต้นิ้วเท้า ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของรองเท้ากีฬาที่เห็นกัน

Dr.Smith จากสมาคมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคในเท้าแห่งอเมริกา กล่าวว่า รองเท้าที่ดีควรจะมีพื้นที่ค่อนข้างแบน และเข้ารูปกับส้นเท้าได้พอดี มีพื้นที่มากพอสำหรับนิ้วเท้า ส่วนบนของรองเท้าควรทำจากวัสดุที่นุ่ม และสามารถปรับได้ให้เหมาะกับผู้ใส่โดยใช้เชือกผูก

และถ้าคุณจะซื้อรองเท้าใหม่ อย่าเพิ่งโยนคู่เก่าทิ้งจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าใส่คู่ใหม่ได้สบายแล้ว เพราะบางครั้งคู่ใหม่ที่ซื้อมาอาจก่อให้เกิดปัญหากับเท้าได้ ควรลองเปรียบเทียบความสบายระหว่างใส่คู่ใหม่กับคู่เก่าเสียก่อนนะคะ ย้ำนะคะว่าต้องสบาย เพราะผู้หญิงเรามักจะทนเจ็บเพื่อความสวยเสมอ ไม่คุ้มกันเลยค่ะ

สำหรับคุณผู้หญิงที่พิสมัยส้นสูงมาก ๆ เนื่องจากต้องการเพิ่มความสูงด้วยนั้นขอให้เห็นแก่สุขภาพเท้ามาก่อนดีกว่าค่ะ ลดระดับความสูงลงมาให้มากที่สุด ขอให้มั่นใจว่าไม่ได้ทำให้สวยน้อยลงเลย ตรงกันข้าม ลดอาการน่องโป่งได้ด้วยนะคะ อีกอย่างมีข้อแนะนำว่าเรายังไม่ควรเปลี่ยนรองเท้าเร็วเกินไป เช่นจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าส้นสูงในทันที หรือในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน เราควรจะให้เท้าค่อยๆมีเวลาปรับตัวอย่างช้าๆ เช่นลงจากส้นสูงแล้วให้มีการยืด เหยียด เท้า หรือมีการนวดเท้าสักพักก่อนแล้วค่อยใส่รองเท้าแตะจะทำให้เท้าค่อย ๆ ปรับสภาพได้ดีกว่าค่ะ จะทำให้การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อน้อยลงด้วย

2. การยืด เหยียดแบบง่าย ๆ ในที่ทำงาน

คลายกล้ามเนื้อน่องเรา สามารถหาสถานที่ง่าย ๆ เช่น บันได หรือทางลาด เป็นเครื่องมือ เพราะอย่าลืมว่าเวลาเราใส่รองเท้าส้นสูงกล้ามเนื้อน่องของเราจะมีการเกร็ง และหดตัวลงเล็กน้อย การเหยียดกล้ามเนื้อน่อง ทำให้ลดความเครียดที่กล้ามเนื้อน่องได้ ทำได้โดยวิธีการยืนขาเหยียดตึงตรงสถานที่ที่กล่าวมาแล้ว

            (http://www.balavi.com/image/01-12-48/health-01.jpg)  



            (http://www.balavi.com/image/01-12-48/health-02.jpg])
                             คลายกล้ามเนื้อเท้า

สำหรับสาวออฟฟิศ อาจหาอุปกรณ์ง่าย ๆ เช่นกระป๋องน้ำ หรือถ้าเป็นคนโบราณเค้าจะใช้กะลามาเหยียบ จะช่วยผ่อนคลายความเกร็งของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ ที่เท้าได้ดีทีเดียวค่ะ

วิธีการให้คลึงฝ่าเท้าตามรูป ประมาณ5 นาที ตอนช่วงพักเท้า นั่งโต๊ะทำงาน ก็เป็นการรักษาไปในตัวแล้ว

มีรายงานว่า83% ของผู้ป่วยที่ใช้วิธีการกายภาพบำบัดเท้านี้ร่วมด้วย สามารถรักษาร่วมกับการรักษาอื่นได้ผลดีมากขึ้นค่ะ
                            
                  (http://www.balavi.com/image/01-12-48/health-03.jpg])
                
3. วารีบำบัดเท้า เมื่อกลับบ้าน

เตรียมน้ำร้อน น้ำเย็นมาอย่างละหนึ่ง กะละมัง

แช่เท้าในกะละมังน้ำอุ่น นาน 5-10 นาที จากนั้นย้ายมาแช่ในกะละมังน้ำเย็น นาน 2-3 นาที ทำซ้ำกัน 3 รอบ การทำเช่นนี้ทำให้เลือดลมไหลเวียนมาที่เท้าได้ดีขึ้น การบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดจากการเดินก็จะหายเร็วขึ้นด้วย ส่วนคนที่มีปัญหาการปวดเมื่อยเท้าอยู่บ่อย ๆ ลองทำดูนะคะ จะรู้สึกว่าเท้าเบาสบายขึ้นค่ะ

พอจบรอบที่สามของการแช่น้ำ ให้เอาผ้าเช็ดตัวแช่น้ำอุ่น แล้วคล้องที่ฝ่าเท้า ดังภาพ จะช่วยในคนที่มีปัญหารองช้ำ หรือเอ็นฝ่าเท้าอักเสบได้ดีค่ะ

                   (http://  [url=http://www.balavi.com/image/01-12-48/health-04.jpg]http://www.balavi.com/image/01-12-48/health-04.jpg[/url])

4.1 หมุนนิ้วเท้า

เริ่มจากเท้าขวา ที่นิ้วหัวแม่เท้า หมุนไปทางเดียวกันช้า ๆ 5 รอบ ไล่ไปให้ครบทุกนิ้ว ในการแพทย์แผนจีนบอกว่านิ้วเท้าทุกนิ้วสัมพันธ์ไปถึงสมองและศีรษะ ดังนั้นการหมุนนิ้วเท้าเบา ๆจะช่วยให้ผู้ถูกนวดรู้สึกโปร่งโล่งสมอง ต้นคอผ่อนคลายได้

4.2 บีบไล่เลือดลม

ใช้สองมือกำฝ่าเท้า แล้วบีบให้กระชับเป็นจังหวะช้า ๆ 5 รอบ

4.3 นวดด้วยกำปั้น

มือหนึ่งจับฝ่าเท้าไว้ อีกมือหนึ่งกำเป็นกำปั้นคลึงเบา ๆ ทั่วอุ้งเท้า

4.4 หมุนข้อเท้า

ขยับข้อเท้า งอ เหยียดเป็นจังหวะ 5 รอบ จากนั้นหมุนข้อเท้าไปทางเดียวกันอีก5 รอบ

4.5 กระตุ้นจุดมณีปุระพร้อมกับกำหนดลมหายใจ

ท่านี้สำคัญมาก เป็นการจบการนวดและปล่อยให้สมดุลของร่างกายเดินหน้าทำงานของมันเอง ใช้มือทั้งสองจับฝ่าเท้าทั้งสองข้างนิ้วหัวแม่มือกดไว้ที่จุดมณีปุระ พร้อมกับโยกเท้าขึ้นลงช้า ๆ ขณะเดียวกันให้กำหนดลมหายใจเข้า ยาวตอนกระดกเท้าขึ้น และผ่อนออกยาวตอนกระดกเท้าลง ทำเช่นนี้ซ้ำกัน 5 ครั้ง



เพียง4 วิธีง่าย ๆ ก็จะทำให้คุณสบายเท้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น อาจได้ผลพลอยได้คือคลายอาการปวดเอว ปวดหลังลงได้ด้วยค่ะ ลองทำดูนะคะ  

http://www.balavi.com/content_th/Health_T/HT00043.asp (http://www.balavi.com/content_th/Health_T/HT00043.asp)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 01, 2009, 09:51:14 PM

"ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการใช้ยา"

                                          (http://www.bloggang.com/data/lordvoldemormor/picture/1182103447.jpg)
                                        


มีผู้ป่วยหลายท่านที่มีพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และมักมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในการใช้ยา ทำให้เกิดผลเสียและอันตรายจากการใช้ยา ความเชื่อผิด ๆ ที่พบบ่อยมีดังนี้ คือ

ความเชื่อ : ฉีดยาดีกว่ากินยา

โดย หลักการแล้ว ยารับประทานเป็นยาที่แพทย์จะเลือกใช้เป็นลำดับแรก เพราะสามารถรักษาโรคหรือบำบัดอาการได้เกือบทั้งหมด ใช้ง่ายและสามารถติดตัวเพื่อรับประทานต่อเนื่อง

สำหรับยาฉีดนั้น เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยา หรือในผู้ป่วยหนัก หรือต้องการผลให้ระดับยาสูงขึ้นทันที หลังจากนั้นเมื่อคุมอาการได้ แพทย์ก็จะพิจารณาให้รับประทานยาต่อ

ข้อควรรู้ คือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากยาฉีดนั้นจะแก้ไขได้ยาก หรือรุนแรงมากกว่ายารับประทานและมีบ้าง ที่อาจแก้ไขไม่ทัน


ความเชื่อ : ยาแพงดีกว่ายาถูก

ความ เชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะยาปัจจุบันที่มีอยู่ในท้องตลาดเป็นส่วนใหญ่ ยาที่แพงอาจเนื่องจากมีการบวกคำโฆษณา การค้นคว้าในอดีตและการบวกกำไรลงไปในราคายามากเป็นหลายเท่าตัว

ข้อ ควรปฏิบัติ คือควรสอบถามผู้ขาย หรือแพทย์ว่ายาดังกล่าวสามารถเชื่อถือคุณภาพได้มากน้อยเพียงใด ใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณาว่ายามีคุณภาพ


ความเชื่อ : ยาตัวใหม่ดีกว่ายาตัวเก่า

ความ เชื่อนี้มีส่วนจริงบ้างแต่ไม่เสมอไป ยาที่ออกใหม่หลายตัวก็มีผลการรักษาที่ไม่แตกต่าง จากยาเดิมแต่ก็มียาใหม่ที่คิดค้นขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่ยาเก่าใช้ไม่ได้ผล อันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนสะสมมานาน ทั้งจากด้านผู้ใช้ยาที่ใช้ไม่ถูกต้อง และผู้สั่งใช้ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน หรือแนวทางที่ถูกต้องในการรักษา

นอกจากนี้ยาใหม่อาจมีการพัฒนา เพื่อให้ใช้ได้ง่ายขึ้น ลดอาการข้างเคียงบางอย่างลงหรือทันต่อโรคใหม่ ๆ

อย่าง ไรก็ตาม ข้อเสียของยาใหม่คือมีข้อมูลการใช้ไม่มากพอ ผู้ใช้จึงเป็นเสมือนหนูลองยาบ่อยครั้งที่ต้องมีการถอนยาตัวนั้นออกจากตลาด หลังจากใช้ไปได้ระยะหนึ่ง เพราะความเป็นพิษรุนแรง บางชนิดทำให้พิการ บางชนิดมีผลให้เสียชีวิต

สิ่งที่ควรรู้ คือ การรักษาจะได้ผลหรือไม่ขึ้นกับการวิเคราะห์อาการได้ถูกต้อง การเลือกใช้ยาที่เหมาะสม ความร่วมมือในการรักษา ความสามารถในการใช้ยาที่มีวิธีการใช้พิเศษ เช่น ยาพ่นและการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ


ความเชื่อ : เมื่ออาการหายก็ไม่ต้องรับประทานยาต่อ

ความ เชื่อนี้มีทั้งที่จริงและไม่จริง ยาที่รักษาอาการ เช่น ยาแก้ปวดหัว ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการหวัด ยาเหล่านี้เมื่อไม่มีอาการก็สามารถที่จะหยุดได้

แต่ ยาที่มีการระบุไว้ที่ฉลากว่า ?ควรรับประทานติดต่อกันทุกวันจนหมด? หรือยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ความดันเลือดสูง เบาหวาน จะต้องรับประทานต่อเนื่องตามขนาดและเวลาที่ระบุ ถึงแม้จะควบคุมอาการได้แล้วก็ตาม เพราะเป็นยาที่รักษาที่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยนั้น มิฉะนั้นอาจทำให้เรื้อรัง ดื้อยา หรือไม่สามารถควบคุมอาการได้

ข้อ ควรปฏิบัติ คือ สอบถามทุกครั้งที่ได้รับยาว่ามียาขนานใดที่ต้องรับประทานตามขนาดและเวลาที่ สั่งจนหมด ในทางปฏิบัติทั่วไปยาที่ให้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำบัดเมื่อมีอาการเท่านั้น ที่ไม่ต้องรับประทานจนหมด นอกนั้นควรรับประทานจนหมดเพื่อลดปัญหาการเก็บและการนำกลับมาใช้ใหม่ที่อาจ เป็นอันตราย


ความเชื่อ : อาการเจ็บป่วยของตนนั้นต้องใช้ยาแรง ยาอ่อนไม่ได้ผล

หาก ไม่ได้เป็นโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วยแต่ละครั้งนั้นไม่ขึ้นต่อกัน การใช้ยาแต่ละครั้งจึงไม่เกี่ยวข้องกัน ผู้ป่วยมักได้รับการบอกจากผู้ให้บริการว่า สำหรับคุณจำเป็นที่ต้องได้รับยาแรง ยาอ่อนไปไม่ได้ผล หรือร้านนี้ไม่มียาอ่อน การพูดดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเข้าใจที่ผิดและ ต้องการที่จะให้ผู้รับบริการเชื่อว่าได้รับยาที่ดีที่สุด และเป็นเสมือนการโฆษณาชวนเชื่อสามารถที่จะเรียกเก็บเงินในราคาสูง

ยา ที่ดีที่สุดนั้นเป็นยาที่ตรงกับอาการ หรือสาเหตุจริงของการเจ็บป่วย อาการจะหายหรือไม่หาย ขึ้นกับความสามารถในการวิเคราะห์โรคและการเลือกยาที่เหมาะสม

ข้อ ควรปฏิบัติ คือบอกเล่าอาการให้ละเอียด มีประวัติการใช้ยา อาหารเสริม สมุนไพร หรือการแพ้ยาอะไร มีโรคประจำตัวหรือไม่ และสอบถามวิธีปฏิบัติ ข้อควรระวังในระหว่างการใช้ยานั้น ๆ


ความเชื่อ : ยาชุดดีกว่ายาเดี่ยว

ยา ชุดเป็นการจัดยาหลายขนานเข้าด้วยกันที่นับว่าเป็นเสมือนสิ่งที่ปฏิบัติต่อ เนื่องกันมาของสังคมไทย เพื่อความสะดวกในการรับประทานและง่ายต่อการจัดของผู้ป่วย

สำหรับยา เดี่ยวนั้นจะบรรจุยาแต่ละชนิดแยกจากกัน ข้อดีของยาเดี่ยวคือไม่ปนเปื้อนยาบางขนานอาจให้ในเวลาที่ต่างกัน แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปจะยากในการใช้ให้ถูกต้อง ยาชุดหรือยาเดี่ยวจึงไม่แตกต่างกัน ถ้าเป็นยาที่รับประทานเวลาเดียวกันและตรงกับอาการที่เป็นจริง

แต่ ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือ ยาชุดที่มีการจัดมักจะมีการใส่ยาที่มีอันตรายมาก เช่น สเตียรอยด์ ลงไปในยาชุดโดยหวังให้กด หรือบดบังอาการชั่วคราว และจะเป็นอันตรายร้ายแรงเมื่อใช้ต่อเนื่อง

ข้อควรปฏิบัติ คือหากเลี่ยงได้ให้เลี่ยงยาชุดโดยเฉพาะยาชุดที่มีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าและให้บอกว่าไม่ต้องการยาสเตียรอยด์


ความเชื่อ
: ยารับประทานจะรับประทานก่อน หรือหลังอาหารก็ได้ไม่แตกต่างกัน

ความ เชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยมากแล้วยารับประทานมักจะให้รับประทานหลังอาหารเพื่อสะดวกในการรับประทาน และไม่ลืม เป็นการเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยา

ยาหลังอาหารนั้นสามารถที่จะรับประทานหลังอาหารได้ทันทีหรือภายในครึ่งชั่วโมง

สำหรับยาก่อนอาหารจะต้องรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง

อย่าง ไรก็ตามหาระบุให้รับประทานก่อนอาหาร พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ก็ควรที่จะปฏิบัติตามเวลาที่รับประทานที่ถูกต้องของยา ดังกล่าว เนื่องจากยาบางตัวไม่ทนกรด ยาบางตัวมีผลกัดกระเพาะ ยาบางตัวจะดูดซึมได้ดีเมื่อรับประทานพร้อมอาหารหรืออาหารที่มีไขมันสูง

ข้อ ควรรู้ การ ได้รับยาที่มากกว่า 1 ขนานสามารถที่จะเกิดยาตีกันได้ (อันตรกิริยาของยา) ในบางครั้งการให้รับประทานก่อนหรือหลังอาหารแยกจากกัน ก็มีจุดมุ่งหมายที่ จะป้องกันไม่ให้ยาตีกันดังกล่าว จึงควรที่จะรับประทานให้ถูกต้องเพื่อผลการรักษาที่ดีและลดอาการอันไม่พึง ประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้


ข้อมูล : คณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์และข่าวสารสาขาเภสัชกรรม


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ ธันวาคม 02, 2009, 05:30:22 AM
เขามาอ่านความรู้ดีดี ขอบคุณมากคะ
 ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;) ;)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 02, 2009, 09:10:16 PM
โรคต้อหินที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์

ที่มา www.geocities.com/glaucomathai (http://www.geocities.com/glaucomathai)

          โรคต้อหินชนิดเรื้อรัง เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา( Demand )และปริมาณเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทตาภายในลูกตา( Supply ) เมื่อเซลล์

ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะค่อยๆทยอยเฉาตายลงไปเรื่อยๆ ความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติ เป็นเพียงสาเหตุรองที่ต้านระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ภาวะขาดเลือดดัง

กล่าวเลวลงไปอีก

ในอนาคต ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจที่รัดตัว ผู้คนจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายตา

 บวกกับความเจริญทางด้านไอที ทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์กันทั่วไป  และจะพบผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ ( จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และการใช้

อินเตอร์เน็ต ) เป็นต้อหินรูปแบบใหม่ที่เกิดจากเซลล์ประสาทตามีความต้องการเลือดมาหล่อ เลี้ยงมากกว่าปกติ   ( More demand )    ซึ่งแตกต่างจากโรคต้อหินทั่วไปที่เกิดจาก

เลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงน้อยกว่า ปกติ    ( Less supply )  และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก  เหมือนในประเทศญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีผู้

ป่วยโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ มากที่สุดในโลก  สอดคล้องกับงานวิจัยของ Dr.Masayuki Tatemichi, from Toho University, School of Medicine ที่รายงานการ

ค้นพบความสัมพันธ์ของโรคต้อหินกับการใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อปี ค.ศ. 2004  แต่เนื่องจากไม่สามารถอธิบายกลไกการค้นพบดังกล่าวได้ จึงยังไม่มีใครเชื่อถือในขณะนั้น

โรคต้อหิน กำลังจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยและของประชากรโลกในอนาคตอันใกล้นี้


อาการ    ของโรคต้อหิน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวว่าเป็นต้อหิน และนำผู้ป่วยให้ไปพบจักษุแพทย์ ทำให้ได้รับการวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น

 อาการของโรคต้อหิน มีอะไรบ้าง ?
          
1. ตาพร่าตามัว เวียนหัวคลื่นไส้อาเจียน เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง

2. เห็นจุดแสงดำขาวเต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไปกลางแดด   <--ข้อนี่แหละที่ผมเป็นสร้างความรำคาญให้มากมาย

3. ปวดในเบ้าตาลึกๆและปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน หรือปวดจี๊ดขึ้นสมอง

4. ตรวจพบว่ามีสายตาสั้นขึ้นมาทันที และค่าสายตาขึ้นๆลงๆ ไม่แน่นอน

5. ตาจะพร่า เมื่อมองวัตถุบนพื้นที่มีแสงจัดหรือบนพื้นที่มันวาว

6. อ่านหนังสือไม่ทน ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือดูโทรทัศน์ ได้ไม่นาน
<--เพราะมันระยิบระยับไปหมดนี่แหละทำให้อ่านหนังสือไม่ทน T-T

7. เห็นดวงไฟมีแสงเจิดจ้า เป็นรัศมีกระจาย เห็นเป็นฝ้าหมอกหรือวงสีรุ้ง รอบดวงไฟ

8. เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือเห็นลำแสงวิ่งผ่านตา หรือเห็นเป็นเส้นหยักๆที่หางตา

9. มีความลำบากในการสังเกตุพื้นต่างระดับเวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันได

10. เห็นสีจืดจางลงหรือผิดเพี้ยนไป เห็นตัวหนังสือเลือนรางหรือแตกพร่า

11. การมองในที่มืดแย่ลง เห็นหน้าคนไม่ชัด และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืน <---มาจากระยิบระยับทั้งนั้นT-T

12. เวลาขับรถลงอุโมงค์ลอดทางแยกหรือเดินเข้าที่ร่มในเวลาแดดจัด ตาจะมืดบอดชั่วขณะ

13. เวลามองผ่านกระจกหน้ารถในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ ตาจะพร่าและสู้แสงไม่ค่อยได้

14. เวลากลางคืนมักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ ชอบที่จะเปิดไฟทุกดวงเท่าที่มี

15. มองสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วๆไม่ทัน ทำให้ไม่มั่นใจเวลาขับรถหรือเดินข้ามถนนคนเดียว

16. ตาสู้แสงไม่ได้ ต้องใส่แว่นดำเป็นประจำ

17. เห็นแสงมืดลงไปเรื่อยๆ หรือเห็นเป็นหมอกควันอยู่ทั่วๆไป

18. ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ จนระยะท้ายเหมือนมองผ่านท่อกลม

ถ้ามีอาการอะไรสักสองสามข้อก็ควรไปพบแพทย์

http://www.pg.in.th/blog/view/1681 (http://www.pg.in.th/blog/view/1681)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 02, 2009, 09:42:00 PM
รักษาต้อหิน
  

การรักษาแนวใหม่ โดยวิธีนวดตา
ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเลเซอร์ ไม่ต้องใช้ยา


โดย นพ. สมเกียรติ อธิคมกุลชัย
จักษุแพทย์
   
     โรคต้อหินคืออะไร ?

ในลูกตาของคนเรา จะมีระบบไหลเวียนของของเหลวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า น้ำaqueous ซึ่งสร้างจากciliary body ภายในลูกตา ไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงเลนส์แก้วตาและกระจกตา ( ซึ่ง

เป็นอวัยวะที่ไม่มีระบบไหลเวียนของเลือดมาหล่อเลี้ยง ) หลังจากนั้น น้ำ aqueous จะถูกระบายออกจากลูกตาผ่านทางช่องตะแกรงที่เรียกว่า Trabecular meshwork และไหลซึม

ออกจากลูกตาทางระบบ Uveo-scleral pathway.

ความดันภายในลูกตา (IOP ) ขึ้นอยู่กับดุลยภาพระหว่าง การสร้างและการระบายออกของน้ำ aqueous ภายในลูกตานั่นเอง. ความดันภายในลูกตา ช่วยให้ลูกตาของคนเราคง

รูปร่างอยู่ได้ คนส่วนใหญ่จะมีความดันลูกตาอยู่ระหว่าง 9 - 21 มม.ปรอท และมีค่าเฉลี่ยราวๆ 15 มม.ปรอท หากมีการขวางกั้นการระบายของน้ำ aqueous ด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม จะ

ทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดที่จะหล่อเลี้ยงระบบประสาทของลูกตา เข้ามาไม่สะดวก ทำให้ขั้วประสาทตาฝ่อลง จนตาบอดได้ในที่สุด.

                                  (http://[url=http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/SamutSongkhram/knowledge/s19/cilia.jpeg]http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/SamutSongkhram/knowledge/s19/cilia.jpeg[/url])

3. โรคต้อหินชนิดต่างๆ

     3.1 โรคต้อหินแต่กำเนิด

เกิดจากความผิดปกติในการก่อกำเนิดระบบระบายของน้ำ aqueous ทำให้ความดันภายในลูกตาค่อยๆสูงขึ้น ขนาดของลูกตาจะขยายและโตออก เนื่องจากโครงสร้างลูกตาของเด็กยัง

บอบบางอยู่ และกระจกตาดำมักจะมีขนาดใหญ่และสีขาวขุ่น

     3.2 โรคต้อหินชนิดมุมปิด

เกิดจากบริเวณโคนของม่านตา ไปปิดทางระบายของน้ำ aqueous ที่ช่องตะแกรงอย่างเฉียบพลัน ความดันลูกตาจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีอาการ ตาแดง ตามัวและ ปวดตา

ปวดหัวซีกนั้นอย่างรุนแรง

      3.3 โรคต้อหินเรื้อรังชนิดมุมเปิด

ผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนี้ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ช่องตะแกรงที่เป็นทางระบายของน้ำ aqueous จะมีเศษตะกอนมาอุดกั้น มากบ้างน้อย

บ้าง ทำให้ความดันลูกตาค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ โดยไม่มีอาการใดๆทั้งสิ้น เซลล์และเส้นประสาทตาจะค่อยๆขาดการหล่อเลี้ยงของระบบไหลเวียนของเลือด จากแรงต้านของความดัน

ภายในลูกตา และค่อยๆตายไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งตาบอดไปในที่สุด

4. การรักษา

4.1 การใช้ยากินและยาหยอดตา เพื่อลดความดันลูกตา

4.2 การใช้เลเซอร์ เพื่อลดความดันลูกตา โดย

     4.2.1 ยิงเลเซอร์ที่โคนม่านตาโดยรอบ เพื่อถ่างช่องตะแกรงให้ระบายน้ำ aqueous ได้ดีขึ้น

      4.2.2 ยิงเลเซอร์เจาะช่องตะแกรงที่ตีบตัน ให้ระบายได้ดีขึ้น

      4.2.3 ยิงเลเซอร์ทำลายเซลล์ที่สร้างน้ำ aqueous บางส่วน เพื่อลดการสร้างน้ำ aqueous

4.3 การผ่าตัดเปิดช่องทางระบายน้ำ aqueous ขึ้นมาใหม่


4.4 เพิ่มระบบไหลเวียนโลหิตเข้าไปในลูกตา

4.5 การรักษาในแนวแพทย์ทางเลือก

      4.5.1 การฝังเข็มในแนวแพทย์แผนจีน ช่วยเสริมระบบไหลเวียนโลหิต เพื่อหล่อเลี้ยงเส้นประสาทของลูกตา แต่ไม่ช่วยลดความดันลูกตา

      4.5.2 การนวดตารักษาต้อหิน คิดค้นขึ้นมาใหม่โดย นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย จักษุแพทย์ไทย ในปี พ.ศ.2546


การรักษาโรคต้อหินในปัจจุบัน มีอยู่ 3 วิธี คือ

       1. การรักษาด้วยยา ทั้งยาหยอดตาและยากิน

                       2. การผ่าตัด

                       3. การยิงเลเซอร์

การรักษาต้อหินโดยวิธีนวดตา เป็นการรักษาโรคในแนวแพทย์ทางเลือก ( Alternative medicine ) ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ล่าสุดโดยจักษุแพทย์ชาวไทย เป็นการรักษาแบบง่ายๆ

สะดวก และประหยัด ไม่มีพิษมีภัย ไม่มีผลข้างเคียง แต่ได้ประสิทธิผลสูง โดยทั่วไปแล้ว เป้าหมายในการรักษาโรคต้อหิน คือ การลดความดันลูกตา เพื่อให้เลือดดีสามารถเข้าไปหล่อ

เลี้ยงเส้นประสาทในลูกตาได้ แต่จากการรักษาด้วยวิธีใหม่นี้ พบว่า นอกจากจะสามารถลดความดันลูกตาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังสามารถเร่งเลือดดีให้ไปหล่อเลี้ยงประสาทตาได้มากกว่าวิธี

อื่นๆ ซึ่งจะสังเกตได้จาก

1. การเห็นแสงที่เคยสลัวลง ก็จะกลับมาสว่างขึ้น

2. การปรับสายตาในสถานที่แสงน้อย จากเดิมที่เคยเดินชนข้าวของ ก็จะสามารถเห็นได้ดีขึ้นชัดเจน

3. สามารถกลับมาอ่านเขียนหรือทำงานละเอียดได้เหมือนเดิม

4. คนที่มีสายตาแย่ลงแล้ว แต่ยังไม่บอดสนิท ก็จะสามารถฟื้นกลับมาเห็นได้อีก

และท้ายสุด ก็ยังสามารถลดหรือเลิก ยาลดความดันลูกตาที่เคยใช้ประจำอยู่ได้ ช่วยประหยัดเงิน และลดภาระในชีวิตประจำวัน ไปตลอดอายุขัยของผู้ป่วย

อนึ่ง การรักษาในแนวนวดตานี้ สามารถใช้ร่วมกับการรักษาโรคต้อหินแผนปัจจุบันทั้ง 3 วิธี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย และยังมีประโยชน์ใช้ป้องกันในรายที่สงสัยว่าจะเป็นต้อ

หิน แต่ลักษณะอาการยังไม่ชัดเจน

ผู้ป่วยโรคต้อหินจะทราบได้อย่างไรว่า การดำเนินโรคเลวลง

1. เห็นแสงสว่างในช่วงกลางวัน สลัวลงเรื่อยๆ ลักษณะครื้มฟ้าครื้มฝน ทั้งๆที่แดดจัด สว่างจ้า หรือในผู้ป่วยบางราย จะเห็นเป็นหมอกจางๆอยู่เกือบตลอดเวลา อาการเหล่านี้มักจะหายไป

ถ้าได้นอนหลับสักงีบหนึ่ง หรือช่วงตื่นนอนตอนเช้า แต่ก็จะดีเพียงครู่เดียว อาการก็จะกลับมาอีก

2. การปรับสายตาในที่มืดแย่ลง เวลาพลบค่ำ มักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ และจะพยายามเปิดไฟทุกดวงที่มีอยู่

3. การเขียนอ่านตัวหนังสือ จะลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นตัวหนังสือมีสีจางลง มองแล้วลายตาไปหมด ใส่แว่นสายตายาวก็ช่วยได้ไม่มาก แม้จะพยายามเปลี่ยนแว่นหลายๆอัน ก็ไม่ดีขึ้น

เวลามองคนที่เดินเข้ามา จะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่ไม่เห็นรายละเอียดของใบหน้า ว่า ตา จมูก ปาก เป็นอย่างไร ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่า เป็นใครที่กำลังเดินเข้ามา

4. สายตาจะเลวลงโดยไม่รู้ตัว จะรับรู้ก็ต่อเมื่อใกล้บอดหรือบอดสนิทแล้ว ถ้าไม่ได้ลองปิดตาข้างที่ดี ก็จะไม่ทราบเลยว่า ตาบอดไปหนึ่งข้างแล้ว

อาการที่สัมพันธ์กับภาวะเซลล์ประสาทตาขาดเลือดหล่อเลี้ยง

        ระยะที่1 เห็นแสงสลัวลง อาการจะดีขึ้นชั่วขณะ หลังจากงีบหลับหรือตื่นนอนตอนเช้า

        ระยะที่2 เห็นเป็นหมอกบดบังสายตา อาการจะดีขึ้นชั่วขณะ หลังจากงีบหลับหรือตื่นนอนตอนเช้า

        ระยะที่3 ลานสายตาดำมืดไปบางส่วน

        ระยะที่4 ลานสายตาดำมืดไปทั้งหมด(ตาบอดสนิท)

ารนวดตาสามารถรักษาผู้ป่วยในระยะที่1-3 ให้กลับมาเห็นและดำเนินชีวิตปกติได้อีกครั้งหนึ่ง

หมายเหตุ ขณะนี้ นายแพทย์สมเกียรติ อธิคมกุลชัย ผู้คิดค้นทฤษฎีรักษาโรคต้อหินด้วยการนวดตา และ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ โจเซฟ แฟลมเมอร์ ( Professor Josef FLAMMER ) หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คิดค้นทฤษฎีระบบไหลเวียนเลือดที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงของโรคต้อหิน ได้ร่วมมือกันเพื่อพิสูจน์กลไกของการนวดตารักษาโรคต้อหิน ว่าทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นได้อย่างไร

โรคต้อหินเรื้อรัง เป็นสาเหตุของการตาบอดในผู้สูงอายุ และนับวันจะพบผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประชากร 70 ล้านคนทั่วโลก กำลังป่วยด้วยโรคนี้ และ10%ของผู้ป่วยเหล่านี้ ตาบอดแล้วทั้งสองข้าง ศูนย์วิจัยโรคต้อหินทั่วโลกในขณะนี้ กำลังขมักเขม้นทุ่มทุนมหาศาลทำการวิจัย เพื่อหาหนทางรักษาโรคต้อหินให้หายขาด ในประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคต้อหินเรื้อรังประมาณ 2%ของประชากร หรือเท่ากับ 1.4 ล้านคน และ10%ของผู้ป่วยเหล่านี้ คือประมาณ 1.4 แสนคน ตาบอดหรือใกล้บอดแล้ว

สาเหตุของโรคต้อหิน มีความเชื่อแยกออกเป็น 2 ความคิดเห็น คือ

1.เกิดจากความดันภายในลูกตา ( Ocular tension ) ไปขัดขวางการไหลเวียนของโลหิตที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาและใย ประสาทตาภายในลูกตา ทำให้เซลล์ประสาทตาและใยประสาทตาค่อยๆขาดเลือด เฉาตายไปเรื่อยๆอย่างเงียบๆโดยผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว จะทราบก็ต่อเมื่อสายตาใกล้บอดเสียแล้ว จักษุแพทย์ส่วนใหญ่เชื่อในทฤษฎีนี้ การรักษาจึงมุ่งที่จะลดความดันลูกตาให้ต่ำไว้ เพื่อหวังว่าเลือดจะเข้ามาหล่อเลี้ยงในลูกตาเพิ่มขึ้น ซึ่งการรักษาในปัจจุบัน อยู่ในแนวนี้ทั้งหมด เช่น

       1.1 การรักษาด้วยยา ( Medication ) ได้แก่การใช้ยาหยอดตา และยากิน เพื่อลดความดันลูกตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มยาหยอดตา ได้มีการพัฒนายาใหม่ๆขึ้นมามากมายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีการใช้ยาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้จากการได้รับยาของผู้ป่วย แต่ละรายจะต้องใช้ยา 2- 3 ตัว หยอดทุกวัน วันละ 2 - 3 ครั้ง ไปตลอดชีวิต เป็นภาระที่หนักอึ้งทั้งในแง่เศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของผู้ป่วย.

        1.2 การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์
การยิงเลเซอร์เพื่อเปิดทางระบายน้ำในตา ได้แก่ การยิง ALT ( Argon Laser Trabeculoplasty ) และการยิง SLT ( Selective Laser Trabeculoplasty ) การยิงเลเซอร์เพื่อลดการสร้างน้ำในลูกตา (Transcleral Cyclophotocoagulation )

        1.3 การรักษาด้วยการผ่าตัดทำทางระบายน้ำในตา ( Trabeculectomy )
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีผู้ป่วยอยู่ทั่วโลก ที่รับการรักษาเต็มที่ทั้ง 3 รูปแบบ แต่ก็ยัง ต้องจบลงด้วยตาบอดในที่สุด ความคาดหวังสูงสุดของจักษุแพทย์ที่ให้การรักษา คือ ไม่ให้ ผู้ป่วยตาบอดก่อนสิ้นอายุขัยเท่านั้น

2.เกิดจากระบบไหลเวียนโลหิต ( Ocular perfusion ) ที่ไม่สามารถส่งเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงเซลล์และใยประสาทตาในลูกตาได้พอเพียง ทำให้เซลล์และใยประสาทตาค่อยๆตายไปเรื่อยๆ จนตาบอดในที่สุด

ฉะนั้น การรักษาผู้ป่วยด้วยการลดความดันลูกตา จึงมิใช่การแก้ปัญหาโดยตรง แต่เป็นการแก้ปัญหาทางอ้อม โดยคาดหวังว่า การลดความดันลูกตาให้ต่ำลงมากๆ จะช่วย ให้ระบบไหลเวียนโลหิต เข้ามาหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาในลูกตาได้มากขึ้น ซึ่งก็พอจะ ช่วยได้บ้างในรายที่มีปัญหาเซลล์ประสาทตาขาดเลือดไม่รุนแรง แต่ในรายที่มีอาการของ การขาดเลือดชัดเจน เช่น มองเห็นแสงสลัวลง มองเห็นเป็นหมอกบดบังสายตา สายตาแย่ ลงในช่วงกลางคืน การอ่านเขียนหนังสือลำบากเนื่องจากตัวอักษรมีสีจืดจางลง เห็นแสงไฟ เป็นประกายเจิดจ้าหรือสายตาใกล้บอด ผู้ป่วยเหล่านี้ แม้จะรับการรักษาด้วยการลด ความดันตาทุกวิถีทางที่จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ เช่น การใช้ยาเต็มสูตร 3 ตัว การ ผ่าตัด( Trabeculectomy ) หรือการยิงเลเซอร์ ( ALT , SLT ) แต่ในที่สุด ผู้ป่วยเหล่านี้ก็ ต้องจบลงด้วยตาบอด เพราะสาเหตุของโรคไม่ใช่เกิดจากความดันลูกตาผิดปกติ แต่เกิด จากระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ ดังนั้น หากสามารถทำให้เกิดสภาพคล่องของการ ไหลเวียนโลหิต ( Ocular perfusion ) และปรับปรุงการระบายน้ำ Aqueous ใน ลูกตาได้ด้วย ก็จะทำให้โรคหายขาดได้ ด้วย เทคนิคการกดนวดตา ซึ่งเป็นการรักษาวิธีใหม่ที่ นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย ได้ คิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ซึ่งนอกจากจะสามารถลดความดันลูกตาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยปรับเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปหล่อเลี้ยงขั้วประสาทตาและเซลล์ประสาทตาได้อีก ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ผู้ป่วยโรคต้อหินและมีสายตาเลือนรางใกล้บอด เมื่อเข้ารับ การรักษาด้วยวิธีใหม่นี้ จะสามารถฟื้นสภาพสายตา กลับมามองเห็นและดำเนินชีวิตเกือบปกติได้อีกครั้งหนึ่ง( ตัวอย่างในราย คุณภัทรา แก้วเพชร อายุ 45 ปี และ คุณกิมลี้ กิจธรรมกุล อายุ 57 ปี )

การนวดตารักษาต้อหิน ยังช่วยทำลายกำแพงขวางกั้นระหว่างการรักษาด้วย การแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย ให้สามารถประสมประสานกันเพื่อ ประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ป่วย และยังทำให้การนวดแผนไทยเป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่อง การส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย

หมายเหตุ การนวดตารักษาต้อหิน เป็นการรักษาเสริม ( Complementary Treatment ) โดยไม่กระทบกับการรักษาเดิมที่ใช้กันอยู่ทั่วไป หลังจากรักษาไปแล้ว 1 เดือน จะเห็นผลของการรักษาและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสายตาในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ( การนวดตารักษาต้อหิน เป็นวิธีเดียวเท่านั้นในปัจจุบัน ที่สามารถช่วยให้สายตาฟื้นกลับมาดีขึ้นได้ ) ถึงตอนนั้น ผู้ป่วยและญาติสามารถตัดสินใจได้เอง ว่าจะรักษา 2 แนวทางควบคู่กันไป หรือจะเลิกการรักษาแบบเดิม


ที่มา : http://www.geocities.com/glaucomathai/thglo.htm (http://www.geocities.com/glaucomathai/thglo.htm)
presented by : พัชรีย์ จิตตพิทักษ์ชัย

 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ ธันวาคม 02, 2009, 11:24:20 PM
พี่มดแดงคะ
 เข้ามาทบทวนความรู้ ไม่ได้จับตำรามานาน ช่วงระยะหลังนั่งหน้าคอมมากเกินไป
เริ่มรู้ตัวว่าต้องหยุดมาดูแลตนเองบ้าง ไม่งั้นสุขภาพตาต้องไปก่อนแน่ๆเลย  8) 8)
ขอบคุณคะ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 03, 2009, 10:45:25 AM
พี่มดแดงคะ
 เข้ามาทบทวนความรู้ ไม่ได้จับตำรามานาน ช่วงระยะหลังนั่งหน้าคอมมากเกินไป
เริ่มรู้ตัวว่าต้องหยุดมาดูแลตนเองบ้าง ไม่งั้นสุขภาพตาต้องไปก่อนแน่ๆเลย  8) 8)
ขอบคุณคะ

หาข้อมูลให้รุ่นน้องน่ะค่ะ คุณอิสส   ให้เขาค้นเองคงแย่แน่ อาจปวดตามากขึ้น ครั้นจะอธิบายให้ฟัง คงไม่เคลียร์   ให้เขาเข้ามาอ่านเอง ดีกว่า ว่าใช่หรือไม่  แล้วตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร  คงไม่ว่าพี่นะจ๊ะแก้ว  อายุน้อยกว่าเราตั้งแยะ  อิอิ   :o :-X


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: sayong ที่ ธันวาคม 04, 2009, 02:38:31 PM
งูเขียวหางไหม้กัด (Green pit viper bites)
Mon, 01/12/2551 - 00:00 ?  
ข้อมูลของสื่อFile Name: 288-008 เล่ม: 288 เดือน-ปี: 12/2008 
ตัวอย่างผู้ป่วย
หญิงไทยอายุ 16 ปี ถูกงูกัด 30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล. ผู้ป่วยถูกงูกัดบริเวณนิ้วก้อยเท้าขวา หลังจากนั้นใช้หนังยางรัดบริเวณนิ้วก้อย ร่วมกับใช้ผ้ารัดบริเวณข้อเท้าขวา บิดาตีงูตาย แจ้งว่าเป็นงูเขียวหางไหม้. จากการตรวจร่างกายพบมีแผลรอยเขี้ยวขนาด 0.2 ซม. บริเวณนิ้วก้อยขวา ร่วมกับมีอาการเท้าขวาบวม และกดเจ็บ. ผลการตรวจร่างกายในระบบอื่นพบว่าปกติ ผลการตรวจเลือดพบ venous clotting time (VCT) 8 นาที จึงให้ผู้ป่วยกลับบ้านร่วมกับนัดผู้ป่วยมาตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น. เมื่อผู้ป่วยมาตรวจตามนัด พบว่าอาการของเท้าขวาบวมเท่าเดิม ไม่มีเลือดออกผิดปกติ แต่ผลตรวจเลือดพบ VCT > 30 นาที ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ในการพิจารณาให้เซรุ่มแก้พิษงู.

แพทย์ได้ทำการทดสอบอาการแพ้เซรุ่มทางผิวหนัง โดยการเจือจางเซรุ่มในสัดส่วน 1 : 100 และฉีดเข้าใต้ผิวหนังของแขน ซึ่งหลังจากนั้น 15 นาที ก็ไม่พบมีผื่นนูนอันแสดงว่าไม่น่าจะแพ้เซรุ่มแต่ อย่างใด. แพทย์จึงเริ่มหยดเซรุ่มแก้พิษงูเข้ากระแสเลือดแก่ผู้ป่วย หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ผู้ป่วยเริ่มมีอาการแน่นหน้าอกร่วมกับมีความดันเลือดตก และมีผื่นคันบริเวณใบหน้าอันแสดงว่า เป็นอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง (anaphylactic shock) แพทย์ได้ให้การรักษาฉุกเฉินด้วยการหยุดให้เซรุ่มแก้พิษงูและให้สารน้ำเกลือรวมทั้งยา adrenaline ยา dexamethaxone ร่วมกับยา ranitidine ประกอบกันเพื่อการรักษาจนกระทั่งอาการคงที่. หลังจากนั้นจึงปรึกษาอายุรแพทย์เพื่อให้การรักษาต่อเนื่องและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในหอผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลต่อไป.

งูเขียวหางไหม้กัด
งูเขียวหางไหม้เป็นงูในกลุ่มที่มีพิษต่อระบบโลหิตวิทยา อาการและอาการแสดง แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาการเฉพาะที่ (local symptom) และอาการทั่วไป (systemic symptom)

ลักษณะอาการบวมเฉพาะที่

   

    ได้รับพิษน้อย
     บริเวณที่ถูกกัดจะมีอาการบวม แดง หรือมีเลือดออก ณ ตำแหน่งที่มีถูกกัด ไม่มีอาการทางระบบไหลเวียนเลือด ผลการตรวจเลือดปกติ

 


ตัวอย่างผู้ป่วย
 



      ได้รับพิษปานกลาง
       จะมีอาการบวม แดง และมีเลือดออกเพิ่มขึ้น อาจจะลามข้ามข้อ 1 ชีพจรอาจจะเร็ว ความดันอาจจะต่ำเล็กน้อย แต่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต





      ได้รับพิษมาก
       มีอาการบวม แดงและเลือดออกทั้งอวัยวะส่วนนั้น เช่นทั้งแขนและขา ผู้ป่วยอาจจะมีอาการหัวใจเต้นเร็ว ความดันต่ำ หายใจเร็ว


1. อาการเฉพาะที่ : ปวดบวมชัดเจน ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก อาจพบผิวหนังพองเป็นถุงน้ำ (blister) หรือมีเลือดออกภายในถุง (hemorrhagic bleb) ก็ได้ รอยเขียวช้ำของผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด (ecchymosis) หรือมีเลือดซึมออกจากแผลรอยเขี้ยว บางรายอาจพบเนื้อตายร่วมด้วย. ในผู้ป่วยที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัดบางราย อาจพบการอักเสบของท่อน้ำเหลือง (lymphangitis) หรือการอักเสบของหลอดเลือด (thrombophlebitis) ร่วมได้.

2. อาการทั่วไป : เลือดออกผิดปกติตามอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ได้แก่ เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกตามรอยแผลเขี้ยวที่ถูกกัดและรอยเขียวช้ำ อาจมีเลือดออกในกล้ามเนื้อ อาเจียนเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น.

กลไกการออกฤทธิ์
งูเขียวหางไหม้ออกฤทธิ์คล้าย thrombin กล่าวคือ จะกระตุ้นไฟบริโนเจนให้เป็นไฟบรินแต่เป็นเพียง fibrin monomer และไม่เกิด cross-linked fibrin ดังนั้นจึงไม่ถึงกับก่อภาวะ disseminated intravascular coagulation (DIC) ซึ่งเป็นภาวะเลือดออกผิดปกติอันเกิดจากไฟบริโนเจนถูกใช้จนหมด. นอกจากนี้พิษงูยังมีผลทำลายเกล็ดเลือด.

การประเมินความรุนแรงจากการถูกงูเขียวหางไหม้กัดดังตารางที่ 1.

(http://image.ohozaa.com/im/1_164.jpg) (http://image.ohozaa.com/show.php?id=643ccdf96f92c0ec4b7bfb5f8f1d204a)
 

การดูแลรักษาก่อนมาโรงพยาบาล
วัตถุประสงค์ของการรักษาเบื้องต้นก่อนมาโรงพยาบาลก็เพื่อชะลอการแทรกซึมของพิษงู และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยญาติและผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
1. พยายามให้อวัยวะส่วนที่ถูกงูกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อชะลอการดูดซึมพิษงูเข้าสู่ร่างกาย.
2. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ห้ามกรีด ตัด ดูด จี้ไฟ หรือพอกยาบริเวณแผลที่ถูกงูกัดเพราะอาจทำ ให้แผลมีการติดเชื้อได้ รวมทั้งการดูดแผลงูกัดเพื่อช่วยผู้ป่วยเองก็อาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ดูดได้เช่นกัน.
3. ใช้เชือก หรือผ้าขนาดประมาณนิ้วก้อย รัดเหนือแผลที่ถูกกัดแน่นพอให้สอดนิ้วมือได้ 1 นิ้ว (ทุก 15-20 นาที อาจคลายเชือกหรือสายรัดออกประมาณ 1 นาทีจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล) การรัดแน่นเกินไปอาจทำให้แผลบวมและเนื้อตายมากขึ้น ถ้าสามารถนำส่งโรงพยาบาลได้เร็วในเวลาน้อยกว่า 30 นาทีก็ไม่ควรรัดเหนือแผล เพราะในรายที่เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจากการถูกงูกัด ก็อาจยิ่งทำให้แผลมีเลือดออกมากขึ้น.
4. นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และถ้าเป็นไปได้ ก็ควรนำงูที่กัดมาด้วย อย่างไรก็ตามไม่ควรต้องเสียเวลาตามหางูแต่อย่างใด.

การดูแลรักษาเมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล
เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล แพทย์ควรให้การดูแลรักษาเบื้องต้น ดังนี้
1. ประเมิน ABC : A (Airway), B (Breathing), C (Circulation) และให้การช่วยเหลือเบื้องต้น.
2. หลังจากประเมินผู้ป่วย และมีเซรุ่มแก้พิษงูพร้อมให้แล้ว ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเชือกรัดเหนือแผลมา ก็ควรคลายเชือกหรือที่รัดออก.
3. อธิบายให้ผู้ป่วยหรือญาติคลายความกังวล ในกรณีที่ยังไม่มีอาการให้อธิบายว่างูพิษกัดนั้น พิษงูอาจยังไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจนเกิดอันตรายทันที จำเป็นต้องติดตามสังเกตอาการ และบางรายอาจไม่เกิดภาวะผิดปกติก็ได้.
4. ทำความสะอาดบริเวณแผลที่ถูกงูกัด ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ povidine iodine.
5. ซักประวัติ ตำแหน่งที่ถูกงูกัด เวลาและสถานที่เกิดเหตุ ชนิดของงูหรือสังเกตจากซากงูที่นำมาเวลาที่ถูกกัดหรือระยะเวลาก่อนมาถึงโรงพยาบาล ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการหลังถูกงูกัด และอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น.
6. ตรวจร่างกาย : สัญญาณชีพ (vital sign), รอยเขี้ยว (fang mark) และลักษณะแผลที่ถูกกัด ตรวจระบบประสาทในกรณีที่สงสัยงูที่มีพิษต่อระบบประสาท ตรวจหาภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น รอยเขียวช้ำ, จุดเลือดออก (petechiae) หรือเลือดออกตามส่วนต่างๆ ของร่างกายในกรณีที่สงสัยงูที่มีพิษต่อระบบเลือด.
7. ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้
7.1 Venous clotting time (VCT) หรือ 20 WBCT (20 minute whole blood clotting test คือการเจาะเลือด 2-3 มล.ใส่ในหลอดแก้วที่แห้งและสะอาด ตั้งทิ้งไว้ 20 นาที แล้วเอียงดู ถ้าเลือดยังไหลได้แสดงว่ามีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ).
7.2 Complete blood count และนับจำนวนเกล็ดเลือด.
8. ประเมินความรุนแรงเพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนการรับไว้รักษาในโรงพยาบาล.

การพิจารณารับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล มีข้อพิจารณาดังนี้
1. ผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงซึ่งบ่งว่าได้รับพิษเข้าสู่ร่างกาย (systemic envenoming) ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงปานกลาง หรือมาก.
2. ผู้ป่วยเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก.
3. ผู้ป่วยที่มีอาการเฉพาะที่รุนแรง เช่น บวม หรือปวดมาก.
4. ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงทั่วไปอื่นๆ เช่น เป็น ลม หมดสติ ความดันเลือดต่ำ หรืออาการแพ้พิษงู .

การเฝ้าสังเกตอาการ ควรปฏิบัติดังนี้
1. ตรวจ VCT เมื่อแรกรับ และติดตามสังเกตว่ามีอาการเลือดออกผิดปกติหรือไม่.
2. ผู้ป่วยที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัด ถ้า VCT นานกว่า 20 นาที ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลหรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่น แต่ถ้า VCT ปกติ อาจจะสังเกตอาการที่ห้องฉุกเฉินประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วทำการ ตรวจ VCT ซ้ำ หลังจากพบว่า VCT ปกติอีกครั้ง แพทย์จึงอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ รวมทั้งต้องแนะนำผู้ป่วยให้มาตรวจ VCT ซ้ำวันละครั้งเป็น เวลานาน 2 วัน หรือแนะนำให้กลับมาพบแพทย์อีกหากมีเลือดออกผิดปกติหรือส่วนที่ถูกกัดบวมและปวดมาก.
3. ในกรณีที่รับรักษาผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล และ VCT ปกติเมื่อแรกรับ แพทย์ควรเฝ้าติดตามส่งตรวจ VCT ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลานาน 1 วัน จึงจะพิจารณาให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้.

การรักษา
1. ข้อบ่งชี้ในการให้เซรุ่มแก้พิษงู คือ
ก. มีภาวะเลือดออกผิดปกติตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย (แต่มีข้อยกเว้นคือไม่ให้เซรุ่มในกรณี มีปัสสาวะเป็นเลือดเล็กน้อยที่เรียกว่า microscopic hematuria).
ข. VCT นานมากกว่า 20 นาที หรือ 20 WBCT.
ค. จำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่า 10,000 /มล.

ขนาดของเซรุ่มแก้พิษ สำหรับความรุนแรงปานกลางจะให้ในปริมาณ 30 มล. และให้ 50 มล. เมื่อมีความรุนแรงมาก.

การป้องกันปฏิกิริยาต่อเซรุ่มแก้พิษงู
ก. การทดสอบปฏิกิริยาต่อเซรุ่มแก้พิษงูอาจไม่จำเป็นต้องทำ เนื่องจากปัจจุบันนี้เซรุ่มแก้พิษงูค่อนข้างมีความบริสุทธิ์สูง รวมทั้งการทดสอบทางผิวหนัง (skin test) เพื่อพยากรณ์ว่าผู้ป่วยจะแพ้เซรุ่มหรือไม่นั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดปฏิกิริยาแพ้ที่เกิดขึ้นจริงภายหลังให้เซรุ่ม เนื่องจากอาการแพ้เซรุ่ม เป็นปฏิกิริยา anaphylactoid จากการกระตุ้นคอมพลีเมนท์ ไม่ใช่เกิดจาก IgE.

ข. ต้องเตรียมยาแก้แพ้เซรุ่มแก้พิษงูไว้ก่อนเสมอ โดยใช้ adrenalin 1 : 1,000 ขนาด 0.5 มล. สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 0.01 มล.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. สำหรับเด็ก ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือเข้ากล้ามเนื้อ เมื่อเกิดปฏิกิริยาแพ้เซรุ่ม นอกจากนี้ อาจให้ยาต้านฮิสตามีนร่วมด้วย.

ค. การให้ยาต้านฮิสตามีนหรือคอร์ติโคสตีรอยด์ก่อนการให้เซรุ่มแก้พิษงู ไม่สามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาแพ้เซรุ่มได้.

2. การติดตามผู้ป่วย ติดตามภาวะเลือดออก และ VCT ทุก 6 ชั่วโมง หากยังมีภาวะเลือดออก หรือ VCT ยังผิดปกติ สามารถให้เซรุ่มแก้พิษงูซ้ำได้อีก จน VCT ปกติ. หลังจาก VCT ปกติแล้วยังควรทำ VCT ซ้ำอีกที่ 24 ชั่วโมงต่อมาโดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เนื่องจากบางรายอาจพบว่า VCT กลับมาผิดปกติได้อีก ทั้งนี้เพราะพิษงูยังคงถูกดูดซึมจากตำแหน่งที่งูกัดเข้าสู่กระแสเลือดอีกจึงจำเป็นต้องให้เซรุ่มแก้พิษงูซ้ำ.

3. การให้ส่วนประกอบของเลือดทดแทน โดยทั่วไปการให้ส่วนประกอบของเลือดทดแทนสำหรับผู้ป่วยที่มีเลือดออกผิดปกตินั้น ไม่ได้ประโยชน์เนื่องจากจะถูกพิษงูทำลายหมด. แต่ในบางรายที่มีเลือดออกรุนแรงหรือเลือดออกในอวัยวะที่สำคัญ เช่น ในกะโหลกศีรษะ หรือภาวะที่คุกคามต่อชีวิต อาจจำเป็นต้องให้ส่วนประกอบของเลือดทดแทน ร่วมกับการให้เซรุ่มแก้พิษงู ในกรณีนี้ควรต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาในโรงพยาบาลที่สามารถเตรียมส่วนประกอบของเลือดได้.

การรักษาอื่นๆ ทั่วไปสำหรับผู้ป่วยงูกัด
1. ให้ผู้ป่วยพัก และเคลื่อนไหวบริเวณที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด การยกแขนหรือขาให้สูงขึ้น จะทำให้อาการบวมยุบลงเร็วและปวดน้อยลง.

2. ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการบวมมาก ควรมี flow sheet ในการติดตามอาการของผู้ป่วย.

3. การดูแลรักษาแผล
ก. หากผิวหนังพองเป็นถุงน้ำ ไม่ควรดูดน้ำ เจาะถุงน้ำ หรือตัดเอาผิวหนังออก เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ยกเว้นถุงน้ำมีขนาดใหญ่ ปวดมาก หรืออาจกดทับทำให้เกิดการขาดเลือด เช่น ปลายนิ้ว ควรแก้ไขให้ VCT ปกติเสียก่อน หลังจากนั้นจึงใช้ เข็มเบอร์ 22-24 G ดูดเอาน้ำในถุงน้ำออกด้วยเทคนิค ปลอดเชื้อ ในรายที่มีเนื้อตายลุกลามก็อาจต้องพิจารณา ทำ skin graft.
ข. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะแบบป้องกัน (prophylactic antibiotics) เนื่องจากมีหลักฐานว่าโอกาสติดเชื้อของแผลไม่แตกต่างกับผู้ป่วยที่ได้รับยาปฏิชีวนะตามข้อบ่งชี้เพื่อรักษา เช่น ในกรณีที่แผลค่อนข้างสกปรก หรือถูกกระทำการบางอย่างมาก่อน ได้แก่ เอาปากดูดพิษออก กรีดแผลมาก่อน เอาดินหรือสมุนไพรพอกแผล เป็นต้น. นอกจากนี้ ถ้ามีอาการแสดงของการติดเชื้อของแผลอย่าง ชัดเจน ควรให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย. ยาปฏิชีวนะที่เลือกให้ควรครอบคลุมทั้งเชื้อที่เป็นแกรมบวก แกรมลบ และเชื้อที่ไม่ใช้ออกซิเจนเพื่อการเจริญเติบโต (anaerobe).
ค. การป้องกันบาดทะยัก ควรฉีดวัคซีนแก่ผู้ป่วยทุกราย ตามลักษณะของบาดแผลและประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน แต่ควรระวังในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ไม่ต้องรีบให้ทันที ควรให้เมื่อ VCT ปกติแล้ว นอกจากนี้หากแผลสกปรกมาก ควรพิจารณาให้ tetanus antitoxin ด้วย.

4. ยาแก้ปวดประเภทพาราเซตามอล ในรายที่ปวดมากอาจใช้อนุพันธ์ของมอร์ฟีนได้ และห้ามให้แอสไพริน.

5. การรักษาตามอาการและประคับประคองอาการอื่นๆ ตามความจำเป็น.

สรุป
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับพิษจากงูเขียวหางไหม้โดยที่วันแรกตรวจเลือดพบ VCT ปกติ แต่วันต่อมาพบว่าอาการไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผลเลือด VCT > 30 นาทีซึ่งเข้าขั้นได้รับพิษรุนแรง จึงต้องให้เซรุ่มแก้พิษงู. หลังจากทดสอบทางผิวหนังว่าไม่แพ้เซรุ่มแล้ว แพทย์ได้ให้เซรุ่มแก้พิษงูเข้ากระแสเลือดแต่ผู้ป่วยกลับพบ มีอาการ anaphylaxis จากการแพ้เซรุ่ม ซึ่งโดยปกติอาการแพ้เซรุ่มเกิดขึ้นได้น้อย ทั้งนี้ เพราะเซรุ่มในปัจจุบันมีความบริสุทธิ์สูงมาก มีรายงานว่าการทดสอบ ทางผิวหนังไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเกิดปฏิกิริยาแพ้ที่เกิดขึ้นจริงภายหลังให้เซรุ่มแต่อย่างใด.

เอกสารอ้างอิง
1. แนวทางการดูแลผู้ป่วยถูกงูพิษกัด โดย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, สาขาพิษวิทยา, สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย, สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย และสมาคมเลือดวิทยาแห่งประเทศไทย. Available from :URL:http:// www1.mod.go.th: 82/medweb/med/officeOfThePerment SecretaryLibrary/snakeRCPT2544.pdf
2. ผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด. แนวทางการรักษาโรคเลือดวิทยาในประเทศไทย. ธานินทร์ อินทรกำธรชัย บรรณาธิการ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท บียอนท์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จำกัด, 2543: 273-80.
3. สุชัย สุเทพารักษ์,วารสารเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม ปีที่1 ฉบับที่ 1 ปี 2542 .
4. Chusana Suankratay, MD, PhD; Henry Wilde. Tetanus After White-Lipped Green Pit Viper (Trimeresurus albolabris) Bite, Wilderness and Environmental Medicine : Vol. 13, No. 4, pp. 256-261.
5. Kularatne SA. Routine antibiotic therapy in the management of the local inflammatory swelling in venomous snakebites : results of a placebo-controlled study. Ceylon Med J 2005; 50(4):151-5
6. Rojnuckarin P. Prognostic factors of green pit viper. Am J Trop Med Hyg 1998; 58(1): 22-5.
7. ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ. แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย ถูกงูพิษกัด. Thailabonline-Healthsite.Available from: URL:http://www.thailabonline.com/snakebite.htm

กัลยา รุ่งเรืองวรนนท์ พ.บ.,
รพีพร โรจน์แสงเรือง พ.บ., อาจารย์
ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา พ.บ., อาจารย์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
 

คอลัมน์: แพทย์เวร
Keyword: งูกัด
หมวดหมู่: ดูแลสุขภาพ, คุยสุขภาพ, การรักษาเบื้องต้น, กรณีศึกษา
นักเขียนรับเชิญ: พญ.กัลยา รุ่งเรืองวรนนท์
นักเขียนหมอชาวบ้าน: พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง, พญ.ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา
http://www.doctor.or.th/node/7191 (http://www.doctor.or.th/node/7191)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 04, 2009, 10:26:01 PM
การนวดตารักษาต้อหิน : แนวทางใหม่ที่น่าสนใจ

        ในขณะที่วงการจักษุแพทย์เชื่อว่า การรักษาต้อหินในปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ ทำได้แต่เพียงประคับประคองและยืดอายุการมองเห็นเท่านั้น  แต่นายแพทย์สมเกียรติ  อธิคมกุลชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา  ซึ่งทำการรักษาโรคตาแก่ผู้ป่วยมากว่า 30 ปีไม่ยอมจำนน  ท่านเล่าประสบการณ์ในการรักษาโรคต้อหินในทีมงานฟังว่า

? ?วันหนึ่งมีคนไข้คนหนึ่งที่มาทำการรักษา  บอกว่าเป็นต้อหิน ตาบอดแล้วข้างหนึ่ง อีกข้างที่เหลืออยู่ก็หนักแล้ว  คนไข้คนนี้มีประกันสุขภาพที่โรงพยาบาลที่ผมอยู่พอดี หลังจากที่เขาเสียเงิน 2-3 หมื่นแล้ว  เมื่อผมได้ตรวจเช็คอาการแล้ว  ผมรู้ว่าต้องให้ยา 2 อย่าง แต่เป็นยาที่แพง ซึ่งโรงพยาบาลที่ผมอยู่นี้ไม่มี  ผมก็เลยสอนเทคนิคการนวดตาให้ควบคู่กับการใช้ยาตัวหนึ่งซึ่งโรงพยาบาลมี  เขาก็พอใจนำกลับไปทำ ทำไปทำมา อีกเดือนครึ่งต่อมา คนไข้คนนี้เขาก็บอกว่า ดีใจจังเลย ตาที่บอดเริ่มมองเห็นแล้ว จากเดิมเห็นแค่มือไหวๆ  เขาบอกว่าเริ่มมองเห็น อ่านหนังสือได้  ผมก็เอะใจ เพราะตามตำราบอกว่าคนที่ตาบอดเพราะต้อหิน ไม่สามารถกลับมาเห็นได้  เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมก็เลยบอกว่าอย่าล้อเล่น  เมื่อเอามาทดสอบดูก็ปรากฏว่าเขาเห็นจริงๆ  จากจุดนั้นทำให้ผมคิดว่า การนวดตาคงไม่ใช่แค่ลดความดันลูกตาอย่างเดียวแล้ว  อาจจะมีอะไรที่ไปทำให้ประสาทตาฟื้นขึ้นมา ผมก็เลยไปค้นตำราต่างๆ ไปค้นในตู้ มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Glaucoma ที่เขียนโดย Professor  Joseph  Flammer   เขาเขียนได้ดีมาก ใน ภาคต้นๆ เขาจะพูดถึงความรู้พื้นฐาน แต่ในภาคหลังๆเขาพูดถึงการคิดค้น การวิจัย อันนี้มันจุดประกาย มีประเด็นหนึ่งที่เขาพูดในงานวิจัย  เขาพูดถึงระบบการไหลเวียนเลือดก็เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต้อหิน จุดนี้ทำให้ผมตั้งคำถามว่า  เป็นไปได้ไหมการนวดตามันไปเพิ่มระบบในการไหลเวียนเลือดในลูกตา?  เป็นไปได้ไหมที่ความดันลูกตาไม่ใช่สาเหตุหลักของโรคต้อหิน? แต่เกิดจากเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาไม่เพียงพอ?  เพราะหลังจากที่คนแรกมีอาการดีขึ้น ผมก็ลองกับคนไข้อื่นๆอีก  แต่ละคนต่างก็เข้ามาบอกว่ามันดีขึ้น  จากนั้นมา  ผมได้ลองพิสูจน์ดูโดยใช้ Magnifying contact lens  ประกบที่ผิวกระจกตา แล้วก็ส่องเข้าไปดูที่ขั้วประสาทตา  เพื่อ ลองดูว่าเวลาที่เราออกแรงกดไปที่ลูกตาจะเกิดอะไรขึ้น (รูปที่3) เห็นเลือดมันค่อยๆ พุ่งมาที่ลูกตา พุ่งแรงขึ้นเมื่อเรากด เราก็ค่อยๆ เพิ่มแรง เลือดมันก็แรงขึ้นๆ  จากเดิมเลือดที่จอประสาทตาเราจะไม่เห็นชีพจร เพราะว่ามันไหลเข้ามาแบบเอื่อยๆ พอเราใช้แรงกดเข้าไป เลือดมันเริ่มแรงขึ้น ค่อยๆมีชีพจร  แน่นอนว่ามันเพิ่มการไหลเวียนเลือด  ทำให้ผมเริ่มมั่นใจในสมมุติฐานที่ว่า  สาเหตุหลักของโรคต้อหินเรื้อรังน่าจะมาจากระบบไหลเวียนของเลือด...?

คำถามต่อไปที่ต้องค้นหาคือ  แล้วการนวดตาไปเพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือดได้อย่างไร?   นพ.สมเกียรติอธิบายให้ฟังว่า  ระบบไหลเวียนเลือดเข้ามาในลูกตาทางด้านหลัง ในช่องทางเดียวกับเส้นประสาทตา  และช่องว่างระหว่างเส้นเลือดและใยประสาทตาแต่ละเส้นจะมีเนื้อเยื่อยืดหยุ่นที่เรียกว่า แผ่น Lamina cribrosa เชื่อมปิดเอาไว้ เพื่อไม่ให้ของเหลวในลูกตาซึมออกมา ช่วยรักษาความดันลูกตาให้มีความเต่งและคงรูปร่างของลูกตาเอาไว้ให้คงที่ ถ้าแผ่น Lamina cribrosa ขาด ความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากพันธุกรรมหรือการเสื่อมจากอายุขัย ก็จะเกิดการรัดตัวเส้นเลือดมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถส่งเลือดเข้ามาเลี้ยงในลูกตาได้สะดวก  และการนวดตา ส่งแรงกดจากด้านหน้าของลูกตาไปยังแผ่น Lamina Cribrosa ให้ยืดโค้งไปด้านหลัง ทำให้ช่องที่เส้นเลือดลอดผ่านแผ่น Lamina cribrosa เข้ามา ถูกขยายออก ทำให้เลือดสามารถเข้ามาหล่อเลี้ยงภายในลูกตาได้สะดวกขึ้น (รูปที่ 4 และ 5)

นพ.สมเกียรติให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า   นับถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีที่ได้สอนเทคนิคการนวดตาแก่คนไข้ร่วมกับการรักษาที่ใช้กันอยู่ คนไข้ดีขึ้นทุกราย ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ  คนไข้สามารถทำได้ด้วยตัวเองซึ่งเมื่ออาการดีขึ้นแล้วก็สามารถลดการกินยาและหยอดตาลงไปได้ด้วย  ทำให้คนไข้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากอย่างที่เคยเป็นมา

??ผม มั่นใจว่า เรื่องระบบไหลเวียนเลือดเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเปิดประตูบานใหม่ของการ รักษาโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีก 4-5โรคซึ่งปัจจุบันนี้ยังรักษาไม่ได้  เรื่องนี้ตำราเรียนจักษุแพทย์ไม่ได้สอนไว้ แต่จากที่ผมได้ทดลอง  ได้ค้นคว้าและพิสูจน์  ผมเชื่อว่านี่เป็นแนวทางใหม่ที่น่าจะช่วยผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น?? นพ.สมเกียรติกล่าวอย่างมีความหวัง  ท่านยังให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า  ปัจจุบันเริ่มพบว่าคนที่โรคต้อหินโดยที่ความดันลูกตายังปกติเริ่มมีมากขึ้น  ซึ่งคิดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ  การอยู่หน้าจอทีวีนานๆ

http://www.health108.com/?p=848 (http://www.health108.com/?p=848)

 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 05, 2009, 10:31:49 PM
โรคติดต่อ

งานอดิเรกยอดฮิตอย่างหนึ่ง ของชาวมนุษย์คือการสอดรู้สอดเห็น อาจพัฒนามาจากสัญชาตญาณสอดรู้สอดเห็นเพื่อให้อยู่รอดในโลกกว้าง จนกลายมาเป็นการสอดรู้สอดเห็นเพื่อความบันเทิง พูดง่ายๆ คือรู้สึกดีเวลารู้ความลับของคนอื่น!

และเมื่อบวกกับนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็นิยมขยายการรู้ความลับของคนอื่นให้คนอื่นๆ รับรู้ด้วย!

โบราณ บอกว่าการนินทากาเลเป็นนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่ง แต่บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ความจริงแล้วการนินทาเกิดจากเชื้อโรคชนิดหนึ่ง เชื้อโรคพันธุ์นี้มักเกิดแถวปากและแก้วหู ทำให้เกิดอาการคันปาก อยากระบายมันออกไป ตามหลักขจัดพิษด้วยตัวเอง (self detoxfication)! โรคนี้ภาษาแพทย์ยาวมาก นิยมเรียกย่อว่า TIGER ซึ่งมีที่มาจากคุณลักษณะห้าข้อของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้คือ


T - Talkative พูดก่อน คิดทีหลัง (อาการจะหนักขึ้นหากประกอบอาชีพนักการเมือง)

I - Immature ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง

G - Garbage ชอบขลุกกับขยะ (พวกชอบดูหนัง น้ำเน่าอาจพอเข้าข่ายนี้!)

E - Eavesdropping ชอบแอบฟังเรื่องลับเฉพาะทั้งหลาย

R - Relating มีความสามารถเชื่อมโยงหลายเรื่องเข้าด้วยกันได้ (พอกล้อมแกล้มได้ว่าเป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง)


เชื้อ โรคสายพันธุ์นี้เมื่อมาถึงเมืองไทยมักจะกลายพันธุ์ มีฤทธิ์แรงกว่าเดิม ทางการแพทย์ไทยเรียก TIGER-ก (ก คือ กลายพันธุ์) ถึงไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ส่งผลถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นโรคที่น่ารำคาญและสมควรรักษาให้หายขาดอย่างยิ่ง

อาการของโรคนี้คือ ชอบขยายความ

ฟัง มาเรื่องหนึ่ง จะเล่าเรื่องเสริมแถมไปด้วย เช่น มีคนเล่าให้ฟังว่า นางสาว ก. สวมชุดอาบน้ำว่ายน้ำในโรงแรม และเกิดอุบัติเหตุหกล้ม ก็เล่าเสริมว่า อาจเพราะมัวแต่มองชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง

ท้ายสุดเมื่อผ่านการเล่า ไปสิบปาก เรื่องก็กลายเป็นว่า นางสาว ก. เกิดอุบัติเหตุบิกินีหลุดล้มใส่ชายหนุ่มคนหนึ่ง และเลยกลายเป็นสัมพันธ์สวาทกับนายคนนั้น ฯลฯ

ขยายความเสียจนจำเรื่องเดิมไม่ได้
และหากสำทับด้วยประโยค "จุ๊! จุ๊! อย่าบอกใครนะ" ข่าวนั้นก็ยิ่งเดินทางเร็วกว่าจรวด!


วิธีการป้องกันรักษา :

1 เลิกอ่านคอลัมน์ซุบซิบนินทา

2 ใช้หลักฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ใครเล่าเรื่องไม่ดีของคนอื่นให้ได้ยิน ก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้น

3 หัดมองด้านดีของคนอื่นบ้าง

4 ใช้หลักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองนึกดูว่าหากเราเป็นคนที่ถูกนินทา จะเจ็บปวดเพียงใด

5 ใช้หลักสามัญสำนึก หากเรื่องที่คุณได้รับการบอกเล่าเป็นเรื่องลับของใครคนหนึ่งจริง มันก็คงเดินทางมาไม่ถึงหูคุณ

6 ใช้หลัก กรรมสนองกรรม หากคุณนินทาคนอื่นได้ คนอื่นก็นินทาคุณได้

7 เคารพการตัดสินใจการใช้ชีวิตของผู้อื่น ชีวิตใครชีวิตมัน มนุษย์สมควรมีเสรีภาพที่จะเลือกใช้ชีวิตของเขาหรือเธออย่างไรก็ได้

8 อย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา อย่าพยายามตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของศีลธรรม ค่านิยม หรือความเห็นส่วนตัว

ชีวิตของมนุษย์บนโลกสั้นนัก น่าเสียดายเวลาหากต้องเสียมันไปกับเรื่องที่ไม่เกิดผลอะไร

รก หู รกสมอง รกใจ เปล่าๆ "บางครั้งยังพลอยทำให้เราเสียความรู้สึกกับคนๆ นั้นไปด้วย(ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?)"

เอ้อ! แล้วอย่าบอกใครนะ!
   
อ่าน....เล่นๆค่ะ     :D ;)



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ ธันวาคม 06, 2009, 01:06:55 AM
พี่มดแดงค่ะ
     เพิ่งจะทราบนะคะว่า มีโรคติดต่อชนิดนี้ด้วย แถมมีข้ออ้างอิงทางการแพทย์ซะด้วย  :o :o :o
   มันติดต่อทางไหนคะ แล้วระยะฟักตัวกี่วัน เห็นบอกแต่อาการกับวิธีป้องกันการรักษาแค่นั้น
   แล้วจะมาบอกให้อ่านเล่นๆได้ไงมันซีเรียสสสสสสนะคะเนี่ย หึหึ laugh.gif laugh.gif laugh.gif laugh.gif
                           ;D ;D ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 06, 2009, 10:53:06 PM
เทคนิคดูแลผู้สูงอายุ 'แค่รักยังไม่พอ'

พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน
 
 
       วันนี้ทีมงานมีโอกาสได้รับบทความดี ๆ จากคุณหมอสิรินทร ฉันศิริกาญจน ผู้แต่งหนังสือ "คู่มือดูแลพ่อแม่" สำนักพิมพ์ More of Life มาฝากท่านผู้อ่านกันค่ะ ซึ่งบทความนี้ นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว (ทางทีมงานได้รับอนุญาตจากสำนักพิมพ์แล้วค่ะ) ยังเหมาะสำหรับลูก ๆ ทุกคนที่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ เพื่อจะได้ทำความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และทำให้อยู่ร่วมกันกับพ่อแม่วัยชราได้อย่างมีความสุขนะคะ ส่วนเนื้อหาจะเป็นเช่นไร และมีประโยชน์อย่างไรนั้น ติดตามกันได้เลยค่ะ     
       ****************** 
 
       แค่รักยังไม่พอ
     
       ลูกทุกคนปากบอกว่า "รักพ่อ รักแม่" แต่การปฏิบัติต่อท่านไม่เหมือนอย่างที่พูด บางครั้งเราก็ลืมนึกถึงใจท่าน ความต้องการของท่าน และศักดิ์ศรีของท่าน
       
       หมอเห็นญาติคนไข้บางคนบ่นว่าพ่อแม่ดูแลยากกว่าดูแลเด็กอีก หมอเห็นด้วยว่ายากกว่า เพราะจะดุหรือตีไม่ได้ ถึงแม้ท่านจะอายุมาก หลง ๆ ลืม ๆ ความสามารถถดถอยลงไป แต่อย่างไรเสียเราก็ยังต้องนึกถึงความมีศักดิ์ศรีของท่าน ไม่ควรไปบั่นทอนความรู้สึกนี้ลงไป ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่กว่า เราต้องปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพและให้เกียรติเสมอ
       
       และนี่เป็นเหตุผลให้หมอพบเสมอ ๆ ว่า ความไม่เข้าใจกันในเรื่องนี้เป็นปัญหาอุปสรรคในการดูแลผู้สูงอายุอยู่บ่อย ๆ ลูกมักบอกว่าพ่อแม่ดื้อ อยากให้พ่อแม่เป็นอย่างใจต้องการ ไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อย ก็บังคับให้อยู่เฉย ๆ บ้าง หรือลูกบางคนอาจตามใจมากเกินไปจนเหนื่อยใจเสียเองก็มี
       
       ลูกหลานบางคนก็ดี มีปัญหาก็มาถามหมอว่าเขาควรจะจัดการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างไร พออธิบาย เขาก็เข้าใจนำไปปฏิบัติได้..ซึ่งมีน้อยมาก แต่ลูกหลานอีกจำนวนหนึ่งพึ่งหมออย่างเดียว คิดว่าพาผู้สูงอายุมาหาหมอแล้วหมอจะสามารถทำให้ท่านอยู่ดีมีสุข ซึ่งก็มีส่วน แต่คนสำคัญที่สุดก็คือลูกหลานซึ่งเป็นคนใกล้ชิดกับท่านมากที่สุด รู้นิสัยใจคอ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับท่าน
       
       ลองเปรียบเทียบลูก 2 ครอบครัวนี้       
       ครอบครัวแรก...
       
       "ดูซิ พ่อหนูเขาต้องนอนกระดาน ปูเสื่อ ไม้ท่อนนึง ให้นอนอย่างอื่นนอนไม่ได้ ไม่หลับ มีเงินตั้งเยอะแยะ" น้ำเสียงที่พูดไม่พอใจ
       
        ครอบครัวที่สอง...
       
       เรื่องเดียวกัน ประโยคคล้ายกัน แต่น้ำเสียงที่พูดมีความอ่อนโยนแสดงความเข้าอกเข้าใจ
       
       "พ่อเขาก็นอนอย่างนั้นละครับ ผมถามเขาว่าขึ้นมานอนบนเตียงมั้ย พ่อบอกนอนไม่ถนัด ก็แล้วแต่เขาแล้วกันครับ"  [/color]     

   พ่อแม่ปู่ย่าตายายจะรู้สึกว่าถูกลูกหลานกระทบกระเทียบ หรือเข้าใจยอมรับ ก็จากน้ำเสียงและท่าทางการพูดที่แสดงออกนี่แหละ ตามหลักแล้ว การนอนพื้นกระดานอาจไม่เหมาะกับท่านนัก แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไม่ถึงกับเสียหายร้ายแรงก็ต้องยอมให้ท่านบ้าง และรู้จักปรับไปตามสถานการณ์ แต่ก็ไม่ใช่ตามใจทุกอย่าง
       
       ปัญหาประจำบ้าน เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก
       
       ความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้สูงอายุและลูกหลานที่รวมรวบมาเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นปัญหาที่พบบ่อยจากประสบการณ์ที่หมอดูแลคนไข้มาและได้พูดคุยกับญาติผู้สูงอายุ บางครั้งหมอก็ต้องดูแลใจของญาติผู้สูงอายุไปด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้ขัดแย้งกันบ่อย ทำให้เครียด ไม่มีความสุขด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าเข้าใจกันมากขึ้น ลดการทะเลาะเบาะแว้งลง คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุจะดีขึ้น นอกจากไม่ตกอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดแล้ว ผู้สูงอายุจะให้ความร่วมมือกับผู้ดูแลมากขึ้น
       
       ขี้เกรงใจ ขี้น้อยใจ       
       หมอพบบ่อย ๆ ว่า ผู้สูงอายุมักจะไม่เอ่ยปากว่าอยากได้หรือต้องการอะไรบ้าง ดังนั้นลูกหลานต้องจัดหามาให้เอง โดยทำให้ก่อนแล้วดูว่าท่านชอบไหม ถ้าปลื้มก็คอยคอยหามาเอาใจ ของดี ๆ ที่เราตั้งใจให้ ท่านอาจจะไม่รับก็มี หมอจึงเข้าใจพวกลูกหลานที่อยากเอาใจผู้ใหญ่ว่ารู้สึกอย่างไร คนวัยคุณตาคุณยายก็มักจะเป็นแบบนี้ ถึงเราจะเสียใจหรือโกรธก็ลองพูดดี ๆ กับท่าน ว่าเราอยากให้ท่าน อยากตอบแทนพระคุณ ถ้าท่านไม่เปลี่ยนใจก็พยายามทำใจว่าท่านเป็นอย่างนี้ แล้วปล่อยผ่านไปเสียบ้าง
       
       ให้อะไรก็เก็บหมด หรือไม่ก็แจกหมด       
       เวลาลูกหลานหาของมาให้พ่อแม่ ปู่ย่าตายายก็จะเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด จะเป็นของกินหรือของใช้ก็ตาม แต่ผู้สูงอายุมักจะเก็บของกินดี ๆ เอาไว้ใส่บาตร ถวายหลวงพ่อที่นับถือ ไม่ยอมกินเอง หรือท่านอาจจะนึกถึงหลาน ๆ ก็จะเก็บไว้ให้หลาน คนให้ก็โกรธเพราะคาดหวังว่าท่านจะได้กินได้ใช้ ไม่ใช่ยกให้คนอื่น
       
       ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถนอมน้ำใจกันและกัน บางทีก็ต้องบอกผู้สูงอายุให้ทราบด้วยว่าลูกหลานมีความตั้งใจอย่างไร ขอให้ท่านได้กินได้ใช้ให้เขาเห็นบ้างเพื่อให้เขาสบายใจ ยิ่งมีลูกหลาย ๆ คน ของที่คนนี้ให้เอาไปยกให้อีกคน อาจทำให้คนให้น้อยใจ และเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ส่วนคนให้ ถ้าไม่อยากโกรธหรือเสียใจ เวลาให้ของท่านแล้ว จิตควรจะตั้งอยู่ที่การให้ ส่วนท่านจะนำไปทำอะไรต่อไม่ต้องคิดมาก
       
       รักคนไกลไม่รักคนใกล้
       
        ลูกคนที่ดูแลพ่อแม่ใกล้ชิดอยู่ทุกวันมักจะรู้สึกว่า พ่อแม่รักลูกคนอื่นที่อยู่ไกลตัวมากกว่า ถามว่าท่านรักคนที่อยู่ใกล้ตัวไหม ท่านย่อมรัก แต่ไม่ได้แสดงออก เวลาเราทำให้ท่าน ก็อยากได้รักตอบแทนมากเท่ากัน แต่ความรักเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ถึงเราจะทำดีที่สุด ท่านยังแสดงออกว่ารักลูกคนอื่นมากกว่าก็ต้องทำใจ อาจทำใจยาก แต่ถ้าทำได้แล้วจะไม่เป็นทุกข์ อย่างน้อยเรากับท่านก็มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน มาเพิ่มช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้จะดีกว่า และคิดเสียว่า เป็นความสุขของท่าน เราควรจะดีใจ คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องอย่าลืมว่า ลูกคนที่อยู่ใกล้คือคู่ทุกข์คู่ยาก จะชื่นชมลูกคนไกล หรือลูกสุดรักสุดโปรดก็ควรจะเบา ๆ หน่อย
       
       พ่อแม่ลูกแบบไหนทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก
       
       ผู้สูงวัยกับลูกหลานที่อยู่ใกล้ชิดดูแลกันอยู่ บางคู่ก็กังฟูไฟติ้งกันตลอดเวลา ทำให้การดูแลที่ควรจะง่ายกลับกลายเป็นเรื่องยาก ก็ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัวแบบนี้
       
        ผู้สูงวัยแบบ "ใหญ่" ตลอดกาล
       
       เมื่อก่อนเคยเป็นใหญ่ทั้งในบ้านและที่ทำงาน เคยเก่งนอกบ้าน อยู่บ้านก็กดดันคนอื่น ๆ บุคลิกแบบนี้จะปรับตัวกับการเจ็บป่วยได้ยาก ดังนั้นต้องหาคนที่ผู้สูงอายุชอบพอ ไว้วางใจ มาพูดมาอธิบายให้ท่านเข้าใจว่า เวลานี้สภาพร่างกายเปลี่ยนไป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาคนอื่น ท่านจะต้องทำตัวอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ พูดให้ท่านเห็นใจลูกหลานคนดูแลด้วยว่าเขาลำบากอย่างไรหากท่านไม่ยอมให้ความร่วมมือ และให้ท่านมีมุมมองว่า การปรับตัวนี้ไม่ได้เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีของตัวท่าน
       
      ผู้สูงวัยแบบปฏิเสธทุกกรณี
       
        ผู้สูงอายุบางคนชอบบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ปวด ไม่ไปหาหมอ ไม่ตรวจ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ผู้สูงวัยลักษณะนี้ดูแลยากมาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะกลัวลูกจะเสียสตางค์ มาเจออีกทีกลาเป็นว่า เสียน้อยเสียยากมีอาการมากแล้ว บางคนชอบพูดว่า "ฉันป่วยก็เผาฉันเลย" หรือ "แก่แล้วเดี๋ยวก็ตาย" ที่ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ตาย ไม่ตายง่ายอย่างที่คิดสักราย เพราะฉะนั้นถ้ายอมให้ดูแลรักษาง่ายขึ้นอีกนิด ผู้สูงอายุจะไม่ต้องทรมานร่างกาย และมีโอกาสพึ่งพาตัวเองอย่างที่ต้องการได้ด้วย
       
       ลูกที่ "จัดการธุรกิจ" ลืมนึกถึงจิตใจ       
       คนไข้รายหนึ่งมานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล มีลูกชายคนเดียว ลูกชายทำธุรกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยกว่าอยู่เมืองไทย จึงให้เงินพกติดกระเป๋าไว้มากทีเดียว ใครมาเยี่ยมกี่คนคุณยายก็แจกสตางค์ไปจนหมด ลูกชายโกรธมาก มาเยี่ยมก็ขึ้นเสียงว่า ต่อไปนี้จะไม่ให้เงินแล้ว แล้วก็กลับไปทำงาน โดยไม่รู้ว่าแม่เสียใจแค่ไหน
       
       กรณีของคนไข้อีกรายหนึ่งก็น่าสงสารเช่นเดียวกัน รายนี้อาการดีพอกลับบ้านไหว หมอบอกับคนไข้ว่าจะให้กลับบ้าน คนไข้ดีใจลุกขึ้นมาคว้าวอล์กเกอร์เดินรอบห้อง ช่วงนั้นปีใหม่พอดี ญาติมาบอกหมอว่า ขอฝากคนไข้ไว้ก่อน วันที่ 5 ค่อยมารับ ไม่ได้บอกเหตุผล รู้แต่ว่าช่วงนี้ญาติ ๆ ไม่อยู่ หมอบอกกับญาติว่าอยากให้ท่านกลับบ้าน เพราะอยู่ที่นี่หลายวัน กลางคืนท่านจะนอนน้อย ก็ตกลงวันกันใหม่ ลูกบอกแม่ว่าจะมารับวันที่ 3 แม่ลงไปนอนเตียงไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
       
       ลูก ๆ ประเภทนี้ ถ้าหมอบอกว่าคุณยายเศร้า เขาก็จะบอกหมอให้ยาต้านเศร้า แต่จริง ๆ แล้วท่านต้องการการดูแลเอาใจใส่ทางด้านจิตใจมากกว่า
       
       คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย คงเป็นอีกตัวอย่างที่ดีค่ะ
       
       "ไม่มีลูกหมาลูกแมวตัวไหนที่ทำให้พ่อแม่ของมันน้ำตาตก แต่ลูกคน ทำไมมันมีมากนักเล่า"

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000146082 (http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000146082)

 
 


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 07, 2009, 07:19:29 PM
ถึงพ่อแม่ที่มีลูกเรียนไม่เก่ง

ดร.แพง ชินพงศ์

   
       คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมมีความปรารถนาที่ จะให้ลูกของตนเป็นคนที่สมบูรณ์พร้อมในทุกสิ่ง ทั้งเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีจิตใจและอารมณ์ดี นอกจากนี้แล้ว ความปรารถนาอีกประการหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คืออยาก ให้ลูกของเราเป็นเด็กที่เรียนเก่ง เพราะเชื่อว่าเด็กที่เรียนเก่งมักจะประสบความสำเร็จในชีวิตทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นเอง
       
       โดยความเข้าใจของคนทั่วไปเข้าใจว่า ?เด็กเรียนเก่ง? หมายความถึงเด็กที่ทำข้อสอบในวิชาต่างๆของโรงเรียนได้คะแนนดี หรือสอบเรียนต่อเข้าในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของ จังหวัดหรือของประเทศได้ ซึ่งถ้าลูกสามารถทำได้เช่นนี้ก็ถือเป็นความโชคดีและเป็นที่ชื่นอกชื่นใจของ ผู้เป็นพ่อแม่ทุกรายไป แต่ในมุมกลับกัน หากลูกทำข้อสอบได้คะแนนต่ำหรือสอบไม่ผ่านตามเกณฑ์ของโรงเรียนหรือสอบเข้า เรียนต่อที่ดีๆไม่ได้ ลูกของเราก็จะขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง โง่ ไม่เอาไหน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมักจะถูกทำนายอนาคตไว้ล่วงหน้าต่อไปเลยว่าเด็กคนนี้คงจะมีชีวิตที่ไม่ ประสบความสำเร็จในเรื่องใดอย่างแน่นอน
       
       จริงๆ แล้วการที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นคนเรียนเก่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่การที่ลูกเรียนไม่เก่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดเช่นกัน เพราะบางกรณีการที่เด็กเรียนไม่เก่งหรือมีปัญหาทางด้านการเรียนอาจไม่ได้ เกิดจากระดับสติปัญญาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีหลายปัจจัยแวดล้อมที่เป็นตัวแปรสำคัญทำให้เด็กเรียนไม่เก่งได้ เช่นนี้ ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กเรียนไม่เก่ง อีกทั้งวิธีที่จะให้พ่อแม่ช่วยเหลือลูกที่เรียนไม่เก่ง ดังนี้
       
       1. ปัญหาทางด้านร่างกาย เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กโดยตรง เช่น เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น สายตาสั้น สายตาเอียง ปัญหาการได้ยิน เช่น ได้ยินเสียงคุณครูไม่ชัดเจนหรือได้ยินเพียงเบาๆ หรือเด็กมีร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคต่างๆ ปัญหาพวกนี้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนมากและทำให้เด็กเรียนไม่รู้เรื่องได้
       
       - วิธีช่วยเหลือ โดยธรรมชาติของเด็กเล็กมักจะไม่บอกพ่อแม่ถึงปัญหาความผิดปกติทางร่างกายของ ตนเอง เพราะบางทีเขาไม่รู้และไม่เข้าใจว่านี่คือความผิดปกติ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องคอยพยายามสังเกตลูก เช่น เวลาลูกทำการบ้านหากลูกก้มหัวลงชิดสมุดการบ้านหรือหนังสือมาก อาจต้องพาลูกไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสายตา หรือหากพูดคุยกับลูกแล้วลูกเหมือนไม่ค่อยได้ยินอาจต้องพาลูกไปตรวจการได้ยิน ว่าเป็นปกติหรือไม่ นอกจากนี้ ปัญหาด้านร่างกายเล็กน้อย เช่น เหนื่อยง่าย เป็นหวัดบ่อย ก็ไม่ควรละเลย ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์และควรดูแลให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบ5หมู่และออกกำลัง กายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
       
       2. ปัญหาทางด้านอารมณ์ จิตใจและพฤติกรรม เด็กที่คิดมาก เครียดง่าย วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อตนเอง มักขาดความสุขในการเรียนและการทำกิจกรรมต่างๆ ส่วนเด็กที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงอย่างตามใจเกินไปหรือถูกพ่อแม่ละเลยทิ้งขว้าง มักเป็นเด็กที่ขาดระเบียบวินัยในชีวิต ซึ่งเขาจะไม่ใส่ใจการเรียนเพราะเห็นว่าไม่ได้มีความสำคัญอย่างใด แต่จะแสวงหาสิ่งอื่นที่ท้าทายมากกว่า จึงมักมีพฤติกรรมเกเร หนีโรงเรียน ติดยาเสพติด
       
       - วิธีช่วยเหลือ มีเด็กเรียนเก่งมากมายที่กลายเป็นเรียนไม่เก่ง เพราะมีปัญหาทางด้านอารมณ์ จิตใจและพฤติกรรม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องให้เวลาและความอบอุ่นกับลูกให้มาก โดยการใกล้ชิด ดูแล พูดคุยกับลูกหรือทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น อ่านหนังสือด้วยกัน สอนการบ้านลูก ช่วยกันปลูกต้นไม้ พาลูกไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ วิธีเหล่านี้จะช่วยให้ลูกเกิดความมั่นใจในตัวเอง มองโลกในแง่ดีและมีความสุขมากขึ้น ซึ่งก็จะช่วยให้สมองพร้อมเปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆได้อย่างดีต่อไป
       
       3. ปัญหาการขาดแรงจูงใจ เด็กบางคนรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องไม่สนุกเหมือนการเล่น และมักไม่เห็นประโยชน์หรือความสำคัญของการเรียนว่าดีกับตนเองอย่างไร หรืออาจเพราะเรียนวิชาหนึ่งแล้วไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง เรียนอ่อนในวิชาใดวิชาหนึ่งเลยพาลรู้สึกว่าไม่อยากเรียนอะไรเลยเพราะคงเรียน ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
       
       - วิธีช่วยเหลือ คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามกระตุ้นให้เด็กรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องสนุกโดย ใช้เทคนิคต่างๆเข้ามาช่วยเสริม เช่น การฝึกนับเลขโดยใช้ตุ๊กตาหรือหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ การท่องศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้บทเพลง การเรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้สิ่งแวดล้อม การทดลองด้วยตนเองหรือผ่านการดูสารคดี หรือการส่งเสริมให้ลูกได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบและถนัด เช่น หากลูกมีแววว่าชอบเรียนทางด้านภาษา ก็สนับสนุนให้เขาได้เรียนอย่างที่เขาพอใจ ไม่ควรบังคับให้ลูกเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อจะเป็นหมอ เพราะคนเรามีความสามารถและความฉลาดในแต่ละด้านที่ต่างกัน
       
       4. ปัญหาการขาดสมาธิ เด็กที่ขาดสมาธิหรือสมาธิสั้นจะขาดความอดทน อยู่ไม่สุข วอกแวกง่าย ไม่สามารถบังคับตัวเองให้จดจ่ออยู่กับการเรียนได้นาน ซึ่งปัญหาการขาดสมาธิในการเรียนจะส่งผลให้เด็กเป็นคนมีความจำที่ไม่ดี ไม่สามารถเรียนได้อย่างปะติดปะต่อ จึงมักเป็นเรื่องยากมากที่เด็กขาดสมาธิจะเป็นเด็กที่เรียนเก่งได้
       
       - วิธีช่วยเหลือ อย่าให้ลูกอยู่ในสิ่งเร้ามากเกินไป เช่น ที่บ้านไม่ควรเปิดวิทยุโทรทัศน์เสียงดังตลอดวัน ควรให้ลูกได้มีเวลาอยู่กับความเงียบสงบบ้าง โดยอาจจัดมุมหนังสือนิทานในบ้านให้เขาได้ใช้เวลาที่จะอยู่ในมุมนั้นโดยเปิด เพลงจังหวะช้าๆเบาๆคลอไปด้วย ก็จะทำให้ลูกมีสมาธิดีขึ้น นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกทำกิจกรรมให้เสร็จไปทีละอย่าง เพราะการปล่อยให้ลูกทำกิจกรรมหลายอย่างในเวลาเดียวกัน จะทำให้ลูกไม่มีสมาธิที่จะจดจ่อในการทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้สำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดีได้เลย เช่น ให้ลูกกินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเล่นได้ ถ้าให้กินไปเล่นไปสองชั่วโมงก็ยังกินไม่เสร็จ แล้วจะเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่มีระเบียบวินัยให้กับลูกด้วย และควรให้เด็กๆมีกิจวัตรประจำวันที่แน่นอน เช่น กลับมาจากโรงเรียนถึงบ้านแล้วทำการบ้าน เสร็จแล้วกินข้าว เสร็จแล้วอาบน้ำ เสร็จแล้วอ่านนิทาน แล้วเข้านอน ก็จะช่วยเรื่องการจัดระบบความคิดให้กับลูกได้
       
       จะ เห็นได้ว่าการเรียนไม่เก่งอาจเกิดได้จากปัญหาหลายอย่าง สำหรับผู้เขียนแล้วไม่อายที่จะเล่าว่า ตอนเด็กๆผู้เขียนก็จัดอยู่ในกลุ่มเด็กที่เรียนไม่เก่งเช่นกัน เพราะซุกซนขาดสมาธิและแรงจูงใจในการเรียน อ่อนวิชาเลขมากถึงขนาดเคยสอบซ่อมด้วยซ้ำ แต่ขอบคุณที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบังคับที่จะต้องเรียนเลขให้เก่งให้ได้ แต่กลับสนับสนุนในสิ่งที่ผู้เขียนถนัดคือการเรียนดนตรีและศิลปะจนสามารถนำมา ใช้ประกอบอาชีพจนประสบความสำเร็จได้ดีในทุกวันนี้
       
       ผู้ เขียนจึงอยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ทุกคนว่าอย่าอายที่ลูกเรียนไม่เก่ง เพราะการเรียนไม่เก่งไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะล้มเหลว หากเราค้นพบปัญหาว่าลูกเรียนไม่เก่งเพราะอะไรแล้ว และเราพยายามช่วยแก้ไขให้ลูกอย่างดีที่สุดแล้วแต่เขาก็ยังคงเรียนไม่ เก่งอยู่นั่นเอง ลองช่วยกันค้นหาต่อไปเพราะว่าเขาอาจชอบทางสายวิชาชีพมากกว่าการเรียนทางสาย สามัญปกติก็ได้ ซึ่งจะแปลกอะไรถ้าลูกเราจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีกิจการที่มั่นคงเลี้ยงชีพตนเองได้ เพราะผู้เขียนเชื่อว่าความสุขและความสำเร็จที่ดีของลูก คือสุดยอดความปรารถนาของพ่อแม่ทุกคน


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 09, 2009, 09:51:33 AM


แพทย์เตือน ดื่มเหล้าช่วงอากาศหนาวเสี่ยงตายได้่

ข้อมูลข่าวจาก www.manager.co.th (http://www.manager.co.th)

เมื่อถึงช่วงหน้าหนาวทีไร หลาย ๆ คนจะมักจะสรรหาวิธีการคลายหนาวแตกต่างกันไปตามแต่ความถนัดและความชอบของแต่ละคน แต่จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่นิยมคลายหนาวด้วยการดื่มเหล้า เพราะเชื่อว่าการดื่มเหล้าจะช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นและคลายหนาวได้ แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเหล้าไม่ได้ช่วยคลายหนาวเลยสักนิดเดียว ตรงข้ามกันหากดื่มมากอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

ล่าสุด โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนนักดื่มที่เชื่อว่าดื่มเหล้าแล้วจะคลายหนาวได้ว่าความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะความร้อนวูบวาบที่เกิดหลังจากดื่มไม่ใช่ความอบอุ่น แต่เป็นเพราะหลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังของเราขยายตัวเนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์

น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า "จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อย ๆในช่วงนี้ ทำให้มีประชาชนบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร นิยมดื่มเหล้ากันมาก เนื่องจากมีความเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นร่างกาย แก้หนาวได้ นักดื่มบางรายเชื่อว่าหลังจากดื่มเหล้าแล้วไม่ต้องสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นก็ได้ เพราะเหล้าทำให้อบอุ่นอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ทางการแพทย์จัดว่า เป็นความเชื่อที่ผิดและเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก และที่ผ่านมาก็มีข่าวผู้เสียชีวิตจากความเชื่อดังกล่าวทุกปี

" สาเหตุการเสียชีวิตหลังดื่มเหล้าในหน้าหนาว เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการ ขยายตัว ทำให้ผู้ดื่มรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น ซึ่งจากการที่หลอดเลือดฝอยขยายตัว จะเป็นช่องทางให้ความร้อนในร่างกายถูกระบายออกได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ยิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นเท่าใด ความร้อนก็จะถูกระบายออกจากร่างกายมากขึ้นไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือ จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงกว่าปกติ หากเผลอนอนหลับไปและร่างกายสัมผัสอากาศเย็นเป็นเวลานานอาจทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้หากนั่งดื่มเหล้าขณะผิงไฟไปด้วย ก็อาจเกิดจะเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เสื้อผ้า ผิวหนังพุพองจากความร้อนของเปลวไฟ หรือไฟไหม้บ้านได้ จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องเหล่านี้ด้วย"

สำหรับ การเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายนั้น น.พ.สุพรรณ แนะนำว่า "ขอให้ประชาชนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วันละ 30 นาที กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นเพื่อป้องกันความหนาว สำหรับการผิงไฟก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายได้ เช่นกัน ซึ่งวัสดุเชื้อเพลิงที่นิยมใช้กันส่วนใหญ่จะเป็นไม้ฟืนทั่ว ๆ ไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดควันไฟ และระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ หากมีควันมาก ๆ จะทำให้แสบตา ดังนั้น ผู้ที่กำลังเป็นหวัดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หรือผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ขอให้หลีกเลี่ยงการสูดควันเหล่านี้ โดยให้นั่งผิงไฟเหนือลม หากเสื้อผ้าที่ใส่มีความบาง ก็อาจจะต้องใส่หลายๆ ชั้น เพิ่มความอบอุ่นโดยเฉพาะเวลานอน"
อย่าง ไรก็ตามนอกเหนือจากวิธีการที่โฆษกแนะนำแล้ว
ยังมีวิธีการทางธรรมชาติบำบัดอีกหลายวิธีที่ เรานำมาดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงในช่วงที่อากาศหนาวได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช่น การกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างข้าวกล้อง ผักสด ผลไม้สดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกายของเรา นอกจากนี้อาหารที่แนะนำให้กินเป็นพิเศษในช่วงอากาศเย็นอย่างนี้ก็ได้แก่ สมุนไพรไทยพื้นบ้านของเราที่มีฤทธิ์ร้อนทั้งหลายอย่าง ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม หัวหอม นำมายำ ต้มยำ แกงส้ม หรือทำน้ำพริกกิน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายก็ยังได้


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 10, 2009, 09:37:40 PM
ว่าด้วยเรื่อง ต้อหิน อีกครั้ง.....

glaucoma : ต้อหิน


ต้อหิน เกิดจากสภาพความดันของนัยน์ตา (Intra-ocular pressure : I.O.P.) สูงขึ้นกว่าระดับปกติ (15-20 มิลลิเมตรปรอท) หรือภาวะความดันภายในลูกตาสูงกว่าปกติ ต้อหินเป็นโรคที่ร้ายแรง พบได้ค่อนข้างบ่อย พบมากในคนสูงอายุ แต่จะพบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ผู้ชายและ ผู้หญิงมีโอกาสเป็นพอ ๆ กัน

                                          (http://[url=http://www.meedee.net/images/stories/magazine/2009/12/3479/3479.jpg]http://www.meedee.net/images/stories/magazine/2009/12/3479/3479.jpg[/url])
ต้อหินเป็นโรคตาที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง หากได้รับการรักษาเสียแต่เนิ่นๆ ก็มีทางรักษาให้หายขาดได้ ต้อหินจะทำให้ประสาทตาเสื่อม เกิดอาการตามัวตาบอดได้ คนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี หากมีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้มาก่อน ควรตรวจวัดความดันลูกตาเป็นประจำทุกปี สาเหตุเกิดจาก

   1. anterior chamber ช่องลูกตาหน้า/ ภายในลูกตามีการสร้างของเหลวหลายอย่างของเหลวที่สำคัญอันหนึ่งอยู่ตรงช่อง ว่างระหว่างกระจกตากับแก้วตาเรียกว่า ช่องลูกตาหน้า
   2. aqueous humor น้ำเลี้ยงลูกตา/ มีลักษณะใส ไหลเวียนจากด้านหลังของม่านตา (iris) ผ่านรูม่านตา (pupil) เข้าไปในช่องลูกตาหน้า แล้วระบายออกนอกลูกตาโดยผ่านมุมแคบ ๆ ระหว่างม่านตากับกระจกตาดำเข้าไปในตะแกรงระบายเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ท่อชเลมส์ (Schlemms canal)เข้าสู่หลอดเลือดดำที่อยู่นอกลูกตา
   3. ความดันภายในลูกตาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ/ หากการระบายของน้ำเลี้ยงลูกตาดังกล่าวเกิดจากติดขัดด้วยสาเหตุใดก็ตาม จนในที่สุดจะทำลายประสาทตา เป็นผลให้เกิดโรคต้อหิน


ส่วนประกอบของนัยน์ตา/ ความดันของนัยน์ตา

   1. น้ำเอเควียส/ น้ำใส ซึ่งสร้างจากเส้นเลือด capillary บริเวณซิเลียรีบอดี โดยกระบวนการซึ่งประกอบด้วย dialysis,utrafiltration และ secretion
          * น้ำเอเควียส/ เข้าสู่ช่องหลังม่านตาก่อน แล้วเข้าสู่หน้าม่านตาทางรูม่านตา และมีบางส่วนซึ่งซึมเข้าสู่วิเทรียส
          * น้ำเอเควียส/ เกี่ยวกับ metabolism ของตาดำ และเลนซ์ตา ซึ่งเป็นส่วนของนัยน์ตาซึ่งไม่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงโดยตรง ทำหน้าที่ทำให้ความดันของนัยน์ตาคงที่ Refractive index ของน้ำเอเควียสประมาณ 1.336 มีโปรตีนประมาณ 0.02% (blood plasma มี 7%) ส่วนน้ำตาล urea และ bicarbonate ต่ำกว่าใน plasma
          * น้ำเอเควียส/ascorbic acid และ chloride สูงกว่าใน plasma จากช่องหน้าม่านตา มักถูกถ่ายเทจากนัยน์ตาทาง filtration angle และมีส่วนน้อยจะถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดของม่านตาใน stromal space ของม่านตา น้ำเอเควียสบางส่วน diffuse เข้าสู่วิเทรียสและผ่านออกทาง posterior ciliary veins
   2. ช่องหลังม่านตา (Posterior Chamber) ช่องแคบๆ อยู่ระหว่างด้านหน้าของเลนซ์ตาและด้านหลังของม่านตาทางด้านหลังจะยื่นไปตาม ด้านในของซิเลียรีบอดีไปจนถึงบริเวณออราเซอราตา
   3. ช่องหน้าม่านตา (Anterior Chamber) อยู่ระหว่างด้านหลังของตาดำ และด้านหน้าของม่านตาและเลนซ์ตา มี filtration angle อยู่โดยรอบ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องหน้าม่านตาอยู่ระหว่างด้านหลังของตาดำกับรอยนูนอัน สุดท้ายของม่านตา ส่วนลึกที่สุดของช่องหน้าม่านตาอยู่บริเวณรูม่านตา ซึ่งอาจแตกต่างกันระหว่าง 3-3.6 มิลลิเมตร มุมของช่องหน้าม่านตา (Chamber Angle) อยู่ระหว่างรอยต่อระหว่างตาดำกับตาขาวกับโคนของม่านตา ถัดออกไปทางด้านข้างตรงส่วนที่ตาดำต่อกับตาขาว ซึ่งเรียกว่า canal of Schlemm -น้ำเอเควียสจากช่องหน้าม่านตา ซึมผ่าน trabecular meshwork เข้าสู่ Schlemm canal เส้นเลือดดำเล็ก ๆ เรียกว่า aqueous vein นำน้ำเอเควียสเข้าสู่ episcleral vein (anterior ciliary veins)

ต้อหินชนิดเฉียบพลัน (Acute angle-closure glaucoma)

    * เกิดเนื่องจากโครงสร้างของลูกตาผิดแปลงไปจากคนปกติ เกิดมากในคนที่สายตามีกระบอกตาสั้น และช่องลูกตาหน้าแคบ เกิดในคนสูงอายุเป็นส่วนมาก เพราะแก้วตาจะหนาขึ้นตามอายุทำให้ช่องลูกตาหน้า ที่แคบอยู่แล้วแคบมากขึ้นไปอีกจึงมีโอกาสเกิดต้อหินมากขึ้น -ภาวะที่มีลูกตาหน้าแคบและตื้น/ มีมุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตา (มุมระหว่างกล้ามเนื้อม่านตากับกระจกตา) แคบกว่าปกติ
    * ภาวะที่มีลูกตาหน้าแคบและตื้น/ ทำให้กล้ามเนื้อม่านตาหดตัว (รูม่านตาขยายตัว) เช่น อยู่ในที่มืดหรือโรงภาพยนต์ มีอารมณ์โกรธ ตกใจเสียใจ
    * ยาหยอดตาที่เข้ากลุ่มยาอะโทรพีน/ ทำให้รูม่านตาขยาย
    * ยาแอนติสปาสโมดิก/ ทำให้มุมระบายน้ำเลี้ยงลูกตาถูกปิดกั้น น้ำเลี้ยงลูกตาเกิดคั่งอยู่ในลูกตา ทำให้เกิดความดันในลูกตาสูงขึ้นฉับพลันเป็นผลให้เกิดอาการต้อหินเฉียบพลัน ผู้ป่วยที่เป็นต้อหินควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้รูม่านตาขยายตัว เช่น อะโทรพีน และกลุ่มยาแอนติสปาสโมดิก

ต้อหินชนิดเรื้อรัง (Chronic open-angle glaucoma)

    * ผู้ป่วยมีช่องลูกตาหน้าและมุมระบายน้ำเลี้ยงตากว้างตามปกติ ท่อชเลมส์ซึ่งเป็นตะเกรงระบายน้ำเลี้ยงลูกตาเกิดการอุดกั้น ซึ่งค่อย ๆ เกิดขึ้นเป็นเวลาแรมปีโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้น้ำเลี้ยงลูกตาคั่ง และความดันในลูกตาสูงขึ้น
    * เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ มักพบว่ามีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย
    * ภาวะแทรกซ้อนของโรคตาอื่น ๆ เช่น ม่านตาอักเสบ ต้อกระจก เนื้องอกในลูกตา เลือดออกในลูกตา ตาถูกกระแทกแรง ๆ เป็นต้น
    * เกิดจากการใช้ยาหยอดตาที่เข้าสเตอรอยด์นาน ๆ ยาสเตอรอยด์ทำให้ความดันในลูกตาสูง คนที่มีความดันในลูกตาสูงอยู่ก่อนแล้ว หากใช้ยานี้ก็จะเกิดโรคต้อหินได้โดยมากจะเกิดอาการหลังหยอดยานาน 6-8 สัปดาห์ หลังหยุดยาความดันในลูกตาจะลดลงสู่ระดับเดิม ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยายาหยอดตาที่เข้าสเตอรอยด์นี้ นาน ๆ

อาการ

ต้อหินเฉียบพลัน


    * ผู้ป่วยมักจะมีอาการเพียงข้างเดียว แต่ตาอีกข้างหนึ่งก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นต้อหินชนิดเฉียบพลันปวดลูกตาและ ศีรษะข้างหนึ่งรุนแรง และฉับพลันรุนแรงและนานเป็นวัน ๆ ร่วมกับอาการตาพร่ามัว มองเห็นแสงสีรุ้ง และคลื่นไส้อาเจียน มีอาการตาแดงเรื่อ ๆ ที่บริเวณ ตาดำมากกว่าบริเวณที่อยู่ห่างจากตาดำออกไป กระจกตา มีลักษณะขุ่นมัวไม่ใสเช่น ปกติ รูม่านตาข้างที่ปวดจะโตกว่าข้างปกติและเมื่อใช้ไฟฉายจะไม่หดลง หากใช้นิ้วกดลูกตา โดยผู้ป่วยมองต่ำ ใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้างกดลงบนเปลือกตาบน จะรู้สึกว่าตาข้างที่ปวดมีความแข็งมากกว่าข้างที่ไม่ปวด

ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตา ตาแดง ตาพร่า เห็นแสงสีรุ้งเป็นพัก ๆ นำมาก่อนเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งมักจะเป็นตอนหัวค่ำ (เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด) และเป็นอยู่นานครั้งละ 1-2 ชั่วโมง ก็บรรเทาได้เองในรายที่เป็นต้อหินเรื้อรัง ผู้ป่วยมีอาการตามัวลงทีละน้อย ๆ เป็นแรมปี ซึ่งมักจะไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติแต่อย่างไร ในระยะแรก แต่ผู้ป่วยจะมีลานสายตาแคบลงกว่าเดิมมาก ในเวลาต่อมา มีอาการตามัวอย่างมาก อาจมีอาการปวดตาร่วมด้วย ประสาทตาก็มักจะเสียจนแก้ไขไม่ได้

    * ลานสายตาแคบลงกว่าเดิมมาก มองได้อาณาบริเวณไม่กว้าง อาจขับรถลำบาก เพราะมองไม่เห็นรถที่อยู่ทางซ้ายและขวาหรือรถแซงรถสวน หรือเวลาเดินอยู่ในบ้านอาจชนถูกขอบโต๊ะของเตียง ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย อาจรู้สึกอ่านหนังสือแล้วปวดเมื่อยตาเล็กน้อยหรือเพลียตา และตาพร่าเร็วกว่าธรรมดา
    * มักตรวจพบโดยบังเอิญขณะที่ไปตรวจรักษาด้วยโรคอื่น ส่วนใหญ่ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกว่าตามัวลงเรื่อย ๆ ต้องคอยเปลี่ยนแว่นอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่รู้สึกดีขึ้นในระยะสุดท้าย

การรักษา

ในรายที่เป็นเฉียบพลัน


    * ตรวจตา และวัดความดันลุกตา ซึ่งจะพบว่าสูงกว่าปกติ (ค่าปกติประมาณ 15-20 มิลลิเมตรปรอท)
    * ยาลดความดันในลูกตา เช่น ไดอาม็อก (Diamox) ขนาด 250 มิลลิกรัม 2 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง (ถ้าไม่ได้ผลอาจใช้ชนิดฉีดในขนาด 500 มิลลิกรัมเข้าทางหลอดเลือดดำ) และหยอดตาด้วย ยาหยอดตาไพโลคาร์พีน (Pilocarpine) ชนิด 4% ทุก 15-20 นาทีเพื่อให้รูม่านตาหดตัว (กล้ามเนื้อ ม่านตาคลายตัว)
    * เมื่ออาการดีขึ้นอาจให้ยาห่างขึ้น
    * การผ่าตัด/ ถ้าสามารถทำใน 12-48 ชั่วโมง หลังมีอาการก็จะมีโอกาสหายได้ แต่ถ้าไม่ได้รักษาประสาทตาจะเสียและตาบอดได้ภายใน 2-5 วัน หลังมีอาการ ซึ่งการผ่าตัดปิดท่อระบายน้ำเลี้ยงตาที่ตาข้างที่ปกติให้ด้วย เพราะปล่อยไว้มีโอกาสกลายเป็นต้อหินเฉียบพลันในภายหลังได้

รายที่เป็นเรื้องรัง

    * ต้อหิน/ หากสงสัย เช่นมีประวัติว่ามีคนในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าวหรือมีอาการตามัวลงเรื่อย ๆ จนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ควรตรวจวัดความดันลูกตา และควรให้ยาหยอดตาไพโลคาร์พีน และให้กิน / ไดอาม็อก 1/ 2 - 1 เม็ด วันละ 4 ครั้งเพื่อลดความดันในลูกตาถ้าได้ผลอาจต้องกินยา
    * ตรวจวัดความดันลูกตาไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าไม่ได้ผลมักต้องรักษาด้วยการผ่าตัด -ยาหยอดตาที่เข้าอะโทรพีน หรือ ยาที่ทำให้รูม่านตาขยายตัว/ อาจกระตุ้นให้เกิดอาการต้อหิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีความดันลูกตาสูง (โดยไม่รู้ตัว) อยู่ก่อนแล้ว

นิตยสาร Medical Link ฉบับ 021

http://www.meedee.net/magazine/med/cover/3479 (http://www.meedee.net/magazine/med/cover/3479)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 11, 2009, 06:19:28 AM
"ขนมคุ๊กกี้ห่อหนึ่ง..กับการตัดสินคน"...


ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
จำเป็นต้องรอเวลาถึง3 ชั่วโมง
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ

เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา

สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง
ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น
เธอมองด้วยความโกรธ
แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา

ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....
ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"

ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร
ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น

เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆ
ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ"
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม

ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน

เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง
เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท
เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง

มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย

นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น
หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี
แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
[/b]

" เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?

เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่ "




หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 12, 2009, 05:37:13 PM
เปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา


ปัญหาคือส่วนหนึ่งของชีวิต เตรียมใจพร้อมต้อนรับมันดีกว่า
 

      "ปัญหา" เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากเลี่ยงหลีก แต่ไม่มีใครที่หนีมันพ้นได้ เพราะปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ในเมื่อเราไม่มีวันหนีปัญหาพ้น จะไม่ดีกว่าหรือหากเราเตรียมใจให้พร้อมเพื่อต้อนรับมันอยู่เสมอ


      การมองว่า "ปัญหา" เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น เช่นเดียวกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ทุกข์มากนัก แต่วิธีที่ดีกว่านั้นก็คือการเปลี่ยน "ปัญหา" ให้กลายเป็น "ปัญญา" เพราะนอกจากจะไม่ทุกข์หรือ "ขาดทุน" แล้ว ยังได้ประโยชน์เป็น "กำไร" กลับมาด้วย

      ขอให้สังเกตคำว่า "ปัญหา" กับ "ปัญญา" นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ตัวเดียวคือ "ห" กับ "ญ" ในชีวิตจริง สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" นั้นก็อยู่ใกล้กับ "ปัญญา" มากเช่นเดียวกัน

      ปัญหา สามารถก่อให้เกิดปัญญาได้หากรู้จักมองหรือใคร่ครวญกับมัน นักเรียนจะเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะหมั่นทำการบ้าน การบ้านนั้นคืออะไรหากไม่ใช่ปัญหาหรือโจทย์ที่ต้องขบคิด ถ้าครูไม่ขยันให้โจทย์หรือตั้งคำถามให้นักเรียนขบคิด นักเรียนก็ยากที่จะเกิดปัญญาได้

      คนทั่วไปนั้นเมื่อเจอปัญหาก็จะเป็นทุกข์หรือกลัดกลุ้มไปกับมัน แต่ถ้าลองตั้งสติและพิจารณาให้ดี ปัญหาก็จะกลายเป็นปัญญาได้ไม่ยาก เมื่อ ๘๐ ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งได้เพาะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ในจานเพื่อใช้ใน การศึกษาวิจัยเรื่องไข้หวัด วันหนึ่งเขาพบว่ามีเชื้อราเข้าไปปนเปื้อนและทำลายแบคทีเรียที่เพาะเอาไว้ นั่นหมายความว่าเขาต้องเพาะแบคทีเรียขึ้นใหม่

      เจ้าเชื้อราตัวนี้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ แต่แทนที่จะโมโห เขากลับฉุกคิดขึ้นมาว่าถ้ามันฆ่าแบคทีเรียที่เพาะในจานได้ มันก็ต้องกำจัดแบคทีเรียที่ในร่างกายคนได้เช่นกัน ปัญญาเกิดขึ้นแก่นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้ทันที นำไปสู่การค้นพบเพนนิซิลินหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งในเวลาไม่นานสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับร้อยล้านคนทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ผู้นี้คืออเล็กซานเดอร์ เฟลมมิ่งนั่นเอง

โลก ก้าวหน้าได้เพราะเรารู้จักเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา มองให้แคบลงมา ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากประสบวิกฤต บางคนเป็นโรคหัวใจเจียนตาย ภัยร้ายได้บังคับให้เขาต้องหันมาทบทวนชีวิตของตน และพบว่าการหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ตัดขาดจากผู้อื่น และจมอยู่กับความหดหู่เศร้าหมอง เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เขามีอาการดังกล่าว เขาจึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เข้าหาผู้คน ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อผู้อื่น และปล่อยวางความกังวลหม่นหมอง ไม่นานสุขภาพของเขาก็ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เขายอมรับว่า การเป็นโรคหัวใจเป็นสิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขา

      เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะคร่ำครวญหรือตีอกชกหัว ลองใคร่ครวญดูให้ดี จะพบว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าเรามองสัญญาณนี้ออก นั่นแสดงว่าปัญญาได้เกิดแก่เราแล้ว ขั้นต่อไปก็คือเปลี่ยนทัศนคติ พฤติกรรม หรือการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เหมาะสม และชาญฉลาด

      ไม่ควรมองว่าปัญหาคือ "ทางตัน" ถ้ามองให้ดีในตัวปัญหานั้นก็มี "ทางออก" ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่า สลักที่ล็อคประตูนั้นก็เป็นสลักอันเดียวกับที่ใช้เปิดประตู สวิตช์ที่ปิดไฟก็เป็นอันเดียวกับที่ใช้เปิดไฟให้สว่าง ฉันใดก็ฉันนั้นในคำถามก็มีคำตอบเฉลยอยู่

       จะว่าไปแล้วปัญหาหรือความทุกข์ทั้งหลายไม่ได้มีไว้ให้เราคร่ำครวญ แต่มีไว้ให้ใคร่ครวญนั่นเอง ในความทุกข์นั้นก็มีทางออกจากความไม่ทุกข์แฝงอยู่เสมอ ในภาพยนตร์เรื่อง Batman Begins เด็กชายบรู๊ซ (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว)ได้พลัดตกลงไปในหลุม เมื่อพ่อช่วยขึ้นมาแล้ว ได้ถามลูกว่า "รู้ไหมทำไมคนเราถึงหกล้ม" ลูกนึกไม่ออก พ่อจึงเฉลยว่า "ก็เพื่อเราจะได้รู้วิธีลุกขึ้นมาไงล่ะ"

      ความ ทุกข์มีขึ้นก็เพื่อสอนเราให้รู้จักหลุดพ้นจากความทุกข์ ปัญหาเกิดขึ้นก็เพื่อสอนเราให้เกิดปัญญา ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากคือครูที่มาสอนให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง

 

จาก: นิตยสาร Teens & Family


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: nokeang ที่ ธันวาคม 13, 2009, 08:22:35 AM
(http://fwmail.teenee.com/etc/img2/229465.gif)

(http://fwmail.teenee.com/etc/img2/229466.gif)

(http://fwmail.teenee.com/etc/img2/229467.gif)

(http://fwmail.teenee.com/etc/img2/229468.gif)

(http://fwmail.teenee.com/etc/img2/229469.gif)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 14, 2009, 07:59:06 AM
ต้นแอปเปื้ล กับ เด็กน้อย

      กาล ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (เพื่อไม่ให้เสีย concept การขึ้นต้นนิทาน)   มีต้นแอปเปื้ลใหญ่อยู่ต้นนึง  และก็มีเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆ และเล่นรอบๆ ต้นไม้นี้ทุกๆ วัน   เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม่ และก็กินผลแอปเปิ้ล แล้วก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปื้ล   เด็กน้อยรักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา

        เวลาผ่านไป..... เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆ ต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว

วันหนึ่งเด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้  เด็กน้อยดูเศร้าๆ

"มาหาฉัน จะมาเล่นกับฉันเหรอ"  ต้นไม้ถาม

"ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆ ต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น"  เด็กน้อยตอบ

"ฉันไม่มีเงินหรอก...เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ  แล้วเอาเงินไปซื้อของเล่น"  ต้นไม้ตอบ

เด็กน้อยเก็บแอปเปิ้ลไปหมดต้น แล้วจากไปไม่กลับมาเล่นกับต้นไม้

ต้นไม้ดูเศร้า......

วันหนึ่งเด็กน้อยกลับมา  เขาดูโตขึ้น    ต้นไม้รู้สึกดีใจตื่นเต้นมากที่ได้เจอ

"มาเล่นกับฉันเหรอ"  ต้นไม้ถาม

"ฉันไม่มีเลามาเล่นหรอก  ฉันมีครอบครัวแล้ว และต้องทำงาน ตอนนี้เราต้องการบ้าน  ช่วยฉันได้ไหม"

"ฉันไม่มีบ้าน  แต่..ตัดกิ่งก้านฉันไปสิ...แล้วเอาไปสร้างบ้าน"

ดังนั้นเด็กน้อยคนนั้นจึงตัดกิ่งก้านทั้งหมดไป และจากไปอย่างมีความสุข

เป็นอีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า....

และวันหนึ่งในฤดูร้อน  เด็กน้อยคนเดิมก็กลับมาอีก  ต้นไม้ดีใจมาก

"มาหาฉันเหรอ  มาเล่นกับฉันเหรอ"  ต้นไม้ถาม

"เปล่า  ฉันรู้สึกผิดหวังในชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น  ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม"

"ใช้ลำต้นของฉันซิ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือมีความสุข"  ต้นไม้ตอบ

ดังนั้น เด็กน้อยจึงตัดลำต้นไม้ไป เขาล่องเรือไป และไม่กลับมาอีกนาน

จนกระทั่งหลายปีผ่านไป  ในที่สุดเด็กน้อยคนเดิมก็กลับมา

คราวนี้เขาดูแก่มากๆ

"ฉันเสียใจ  ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว  สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย" ต้นไม้พูด

"ฉัน ไม่มีฟันจะกินแล้ว  ฉันปีนไม่ไหว และฉันแก่แล้ว ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว"  เด็กน้อยตอบ

 

"งั้นมานั่งลงข้างๆ ฉันสิ....แล้วหลับให้สบาย"

เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ  ยิ้ม... และน้ำตาไหล...

....end......

       นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆ คน  ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่  เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ  เรารักที่จะเล่นกับพ่อแม่... เมื่อเราโตขึ้น  บางคนทอดทิ้งพ่อแม่ให้เดียวดาย และกลับไปหาท่านเมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อมีปัญหา   ไม่ว่าอย่างไร..พ่อและแม่เราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำได้   หว้งเพียงให้เรามีความสุข..

....แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ...เด็กน้อย.....???


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 16, 2009, 01:46:14 PM
 ปุจฉา
ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว

.วชิรเมธี

 

                  หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว ?จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว? กันมาบ้างแล้ว คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต

                  ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า

                  ?เธอจงระวังความคิด             เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

                  เธอจงระวังการกระทำ            เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย

                  เธอจงระวังนิสัย                    เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก

                  เธอจงระวังบุคลิก                  เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ?


                  ชีวิต ของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี

                  วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก

                  วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ  แต่ พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก

                  คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ  แต่ สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า เพราะหากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม

                  คำด่ามีค่ามากอย่างไร ?

(๑)  คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ

(๒)  คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ

(๓)  คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้นหากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่ เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง

(๔)  คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัวเหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระดาษทรายขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง

(๕)  คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลามทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป

(๖)  คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน

(๗)  คำ ด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ

(๘)  คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน  เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน หรือกิเลสกระเทือน  ถ้าธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้

(๙)  คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้ (ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ  นินทา,สุข  ทุกข์)

(๑๐)   คำ ด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อเราปล่อยวางตัวกูได้แล้ว คำด่านั่นเองคือบททดสอบที่ดีที่สุด

 

เพราะคำด่ามีคุณค่ามากกว่าคำชมดังกล่าวมานี้เอง  ทุกครั้งที่ถูกด่า ผู้เขียนก็บอกตัวเองว่า ไม่เลวเหมือนกัน  ได้พบอาจารย์ใหญ่ที่เข้มงวดอีกแล้ว เวลาเจอคำชม ผู้เขียนจะบอกตัวเองว่า ระวังเอาไว้หน่อย โบราณท่านเตือนว่า ?หวานเป็นลม ขมเป็นยา? ถ้าเราไม่หวั่นเกรงต่อคำด่า ไม่เสียท่าต่อคำชม ชีวิตก็สบายไปแล้วครึ่งหนึ่ง

ในทุกวันที่เราต้องทำงานกันตัวเป็นเกลียว เชื่อเหลือเกินว่า เราแต่ละคน คงจาริกอยู่ท่ามกลางคำด่าและคำชมกันทั้งนั้น  หลังอ่านบทความนี้จบแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมคำด่าดู แล้วเราจะพบว่า สิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างคำด่านั้น จริงๆ แล้ว  แฝงเพชรนิลจินดาแห่งสติปัญญาเอาไว้อย่างแวววาวพราวพรายไม่น้อยเลยทีเดียว

http://www.vimuttayalaya.net/DharmaDaily.aspx?id=49&page=9 (http://www.vimuttayalaya.net/DharmaDaily.aspx?id=49&page=9)
     


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 19, 2009, 06:01:36 AM
ทำอย่างไรดี..เมื่ออาการ "ปวดฟัน" ถามหา


                 


โอ๊ย ยย...ปวดฟัน อาการแบบนี้ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครอยากเป็น ไม่ว่าจะปวดเล็กน้อย ปวดจี๊ดขึ้นสมองล้วนแต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการดูแลรักษาสุขภาพฟันที่ไม่ดี หรือ ไม่ดีพอแต่เมื่ออาการปวดฟันที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยง (ก็ต้องรับมือกับมันให้ได้) หลาย ๆ คำถามที่มักเกิดขึ้นเมื่ออาการปวดฟันถามหา...เวลาปวดฟัน ต้องไปพบทันตแพทย์ หรือควรใช้ยาอะไร?....

ปวดฟัน เนื่องจากฟันผุ อาการปวดฟันเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อยๆ เกิดจากฟันผุ หรือการสึกกร่อนของฟัน หรือที่เรียกกันว่า แมงกินฟัน ซึ่งเกิดรวมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าเป็นติดต่อกันนานๆ ก็ลุกลามกินลึกลงไปในถึงรากฟัน ทำให้เกิดอาการอักเสบและปวดฟันอย่างรุนแรง ในบางรายอาจมีอาการเหงือกบวม เป็นหนอง หรือแก้มโย้บวมได้

ขณะปวดฟัน ควรรักษาอาการปวดฟันให้ทุเลาเสียก่อน เมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดฟันมาพบเภสัชกรที่ร้านยา โดยเฉพาะในรายที่มีอาการปวดรุนแรง เภสัชกรบางรายอาจแนะนำให้ไปพบทันตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องฟันได้ ดูแลและแก้ปัญหาปวดฟันให้กับผู้ป่วยทันที แต่เมื่อผู้ป่วยไปพบทันตแพทย์แล้ว ส่วนใหญ่ทันตแพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยได้เข้าใจว่า ในขณะที่มีอาการปวดฟันอย่างรุนแรงนั้น ไม่ควรทำการอุดหรือถอนฟันทันที จะต้องให้ยาบรรเทาอาการเหล่านี้ให้ทุเลาลงก่อน แล้วจึงทำการรักษาดูแลทางทันตกรรมได้

ดังนั้นในขณะที่มีอาการปวดฟัน จึงควรได้รับการรักษาบรรเทาอาการปวดฟันให้เบาบางลงก่อนจึงไปพบทันตแพทย์ เพื่อให้การรักษาทางทันตกรรมต่อไป โดยจะใช้ยาอยู่ 2 กลุ่มใหญ่ คือ

   1. ยาแก้ปวด
   2. ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย

ยาแก้ปวด ในการใช้แก้ปวดฟัน มีระดับการปวดตั้งแต่ปวดเล็กๆ น้อยๆ จนถึงปวดมากขึ้นๆ จนถึงขั้นปวดรุนแรง รบกวนการดำเนินชีวิตและการทำงานตามปกติได้ ซึ่งการเลือกชนิดของยาแก้ปวดฟันขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ

ในกรณีที่เริ่มต้นปวดเล็กน้อยและไม่รุนแรง อาจ เริ่มต้นด้วยการใช้ยาพาราเซตามอล ในขนาด ๕๐๐ มิลลิกรัม/เม็ด ในผู้ใหญ่ใช้ครั้งละ ๒ เม็ด ทุก ๔-๖ ชั่วโมง เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดฟัน ถ้าอาการดีขึ้นหรือหายเป็นปกติแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้

ในบางครั้ง อาการปวดอาจเป็นรุนแรงมากขึ้น การใช้ยาพาราเซตามอลอาจได้ผลเพียงเล็กน้อย หรือไม่ได้ผลเลย ซึ่งแสดงว่าระดับการปวดฟันมีระดับรุนแรงมากขึ้น ซึ่งควรเปลี่ยนตัวยาจากพาราเซตามอลไปเป็นชนิดอื่นที่ระงับอาการปวดได้ดีกว่า เช่น แอสไพริน กรดมีเฟนนามิก ไอบูโพรเฟน เป็นต้น

นอกจากยาแก้ปวดที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมียาแก้ปวดอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นอนุพันธ์ของฝิ่นซึ่งออกฤทธิ์แก้ปวดฟัน ชนิดรุนแรงหรือปวดมากๆ ยิ่ง ขึ้น แต่ยากลุ่มนี้ไม่มีฤทธิ์ลดไข้แก้ตัวร้อนเหมือนยากลุ่มแรก แต่เนื่อง จากยากลุ่มนี้เป็นอนุพันธ์ของฝิ่น จึงมีฤทธิ์เสพติดถ้า มีการใช้ติดต่อกันนาน ในทางปฏิบัติจึงควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์หรือทันตแพทย์ในการสั่งจ่าย ยากลุ่มนี้

ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย (หรือแก้อักเสบในความ หมายของประชาชน) ยานี้เป็นยาที่อาจพิจารณาเลือกใช้ในกรณีที่คาดว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ ฟัน หรือในรายที่มีอาการเหงือกบวม เป็นหนองร่วมด้วย ยาที่นิยมใช้ต้านแบคทีเรียทางทันตกรรม คือ อะม็อกซีซิลลิน ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับยารักษาการ ติดเชื้อในลำคอ (แก้เจ็บคอ) ซึ่งในผู้ใหญ่ ควรใช้ในขนาด 500 มิลลิกรัม/แคปซูล ครั้งละ 1 เม็ด (หรือชนิดแคปซูล ขนาด 250 มิลลิกรัม จำนวน2 เม็ด) วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น และควรใช้ติดต่อกัน 5-7 วัน หรือเหงือกหายบวมแล้ว 3 วันเนื่องจากยานี้เป็นยาในกลุ่มเพนิซิลลินที่มีอุบัติ-การณ์ของการแพ้ยาได้ บ่อยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย ในการใช้ยานี้จึงควรแน่ใจว่า ผู้ใช้ยาไม่เคยแพ้ยาหรือยาอื่นๆ ในกลุ่มเพนิซิลลินมาก่อน ถ้าผู้ป่วยมีประวัติการแพ้ยากลุ่มเพนิซิลลิน เราจะเลือกใช้ยากลุ่มอื่นที่ได้ผลดีทัดเทียมกัน เช่น อีริโทรไมซิน (erythromycin) หรือ ร็อกซีโทรไมซิน (roxythromycin) เป็นต้น

อีกอย่างหนึ่ง คือ ควร หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ปวดฟันมากขึ้น อย่าง น้ำแข็ง ไอศกรีม ของร้อน ๆ น้ำร้อน ชาร้อน กาแฟร้อน อาหารร้อน อาหารที่มีรสหวานจัด รสเปรี้ยว และลดการกระทบกระแทกกับฟันซี่ที่ปวด

ที่ สำคัญ เมื่อหายปวดฟันแล้วอย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบทันตแพทย์ทันที เพื่อสำรวจจุดบกพร่องและแก้ไขไม่ให้รุกรามใหญ่โต ห่างหายจากอาการปวดฟัน และสุขภาพฟันที่ดีก็จะไม่ไกลเกินเอื้อม

ที่แน่ ๆควรตรวจสุขภาพฟันทุก ๆ 6 เดือน ฟันแข็งแรง..ยิ้มอย่างมั่นใจ ก็จะคงอยู่กับเราตลอดไป

นิตยสาร Medical Upgrade ฉบับ 020


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 20, 2009, 08:30:35 AM
  ..เพื่อนนั้นสำคัญไฉน..
 

ผศ.พญ.สุทธิพร เจนณณวาสิน
จิตแพทย์
Faculty of Medicine Siriraj Hospital
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

      คุณว่า ?เพื่อน? นั้น สำคัญมั้ย
      เหตุที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพราะเพื่อนมีบทบาทในชีวิตของคนเรามากทีเดียว บางคนยอมตายแทนเพื่อน บ้างก็ให้กำลังใจและให้ยืมเงินเมื่อธุรกิจล้ม เป็นคนที่ฟังเราคร่ำครวญยามอกหัก กอดคอไปไหนไปกัน เที่ยวด้วยกันได้ทุกที่ หรืออาจเป็นคนที่ช่วยเถียงแทนเรา แบ่งขนมให้เรากินในวันที่ลืมขอเงินจากแม่ก็เป็นได้ และอีกหลายสิ่งที่คุณได้จากเพื่อน ซึ่งจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับวัยและสภาพแวดล้อม

เพื่อนแต่ละวัย
      เมื่อยังเด็ก เพื่อนมีประโยชน์หลักคือ เอาไว้เล่นด้วย
      พอเข้าวัยรุ่น เพื่อนเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น จนอาจสำคัญกว่าคนในครอบครัว เพราะการมีเพื่อนหมายถึงว่าเรามีคนยอมรับ ซึ่งแปลได้ต่อว่าเราดีพอ การได้อยู่กลุ่มเพื่อนคนดังจะทำให้วัยรุ่นรู้สึก ?ยืด? เหมือนผู้ใหญ่ที่ขับรถหรูหรือถือกระเป๋าแบรนด์เนม แต่แม้จะไม่ได้อยู่กลุ่มคนดัง การมีกลุ่มเพื่อนก็ยังทำให้รู้สึกมีพรรคพวกที่ชอบสิ่งเดียวกัน ทำอะไรสนุก ๆ แผลง ๆ ด้วยกันได้ เข้าใจเราอย่างที่คนอื่นโดยเฉพาะผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ นอกจากนี้ครูมักให้ทำ รายงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มอยู่เสมอ ฉะนั้นคนในวัยนี้จะรู้สึกกดดันมาก หากไม่มีเพื่อน มิหนำซ้ำวัยรุ่นบางคนไม่สามารถทำอะไรตามลำพังได้ ต้องมีเพื่อนไปด้วยตลอด เช่น กินข้าว เข้าห้องน้ำ จนบางคนถึงขั้นยอมตามเพื่อนทุกอย่างหรือให้เพื่อนเอาเปรียบเพราะกลัวถูกทิ้ง ก็มี
      แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป รูปแบบการคบเพื่อนอาจเปลี่ยน แต่การให้ความสำคัญกับเพื่อนอย่างมากของวัยรุ่นยังคงอยู่ ซึ่ง ผู้ปกครองควรเข้าใจ ไม่ตำหนิว่าไร้สาระ แต่ควรหาโอกาสบอกพวกเขาอย่างสม่ำเสมอว่าการมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี แต่การขาดเพื่อนในบางช่วงก็เป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้ และไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีพอ ที่สำคัญคือบางครั้งเราต้องกล้าปฏิเสธและหาเพื่อนใหม่ ถ้าเพื่อนที่มีอยู่กำลังชักนำเราไปในทางที่ผิด

      ในวัยผู้ใหญ่ เรา ควรจะเลิกยึดติดเพื่อนเหมือนสมัยวัยรุ่น รวมทั้งต้องเปลี่ยนความคาดหวังต่อเพื่อนด้วย เพราะเพื่อนที่เคยไปไหนไปกันได้ทุกเวลา อาจมีภาระการงานหรือครอบครัวมาทำให้ไม่สามารถไปได้ คนที่เคยฟังเราคร่ำครวญเป็นวันอาจต้องตัดบทในครึ่งชั่วโมง กลุ่มก๊วนที่เคยเหนียวแน่นก็มักต้องสลายลง แม้ฟังดูจะน่าเศร้าเสียดาย แต่จริง ๆ แล้วก็เป็นเพียงกระบวนการธรรมชาติที่ทุกสิ่งย่อมต้องเปลี่ยนแปลง และถ้าเราสามารถปรับตัวตามได้ก็จะมีความสุข เพราะธรรมชาติของวัยผู้ใหญ่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีงานที่มั่นคง สามารถดูแลตัวเองและครอบครัว ซึ่งรวมตั้งแต่คู่สมรส ลูก จนถึงพ่อแม่ที่เริ่มชราลงได้ 
      แม้ว่าในวัยผู้ใหญ่ เพื่อนจะไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอันดับแรก แต่เพื่อนก็ยังมีความสำคัญในวัยนี้ เพื่อนอาจช่วยเปิดมุมมองใหม่ ให้แง่คิดที่แตกต่าง คำแนะนำในเรื่องงานหรือครอบครัว รวมถึงเป็นตัวเชื่อมไปถึงโอกาสในงานและธุรกิจ นอกเหนือไปจากเดิมที่ร่วมเฮฮา กิน เที่ยว แม้ว่าเราอาจโทรศัพท์คุยกันเพียงเดือนละครั้งจากที่เคยวันละ2ครั้งสมัยวัย รุ่น หรือพบกันเพียงปีละ2-3ครั้ง แต่คุณค่าของมิตรภาพไม่ได้วัดเพียงแค่ปริมาณ คุณภาพต่างหากที่สำคัญกว่า

ประเภทของเพื่อน
      เราอาจอยากได้เพื่อนที่มาหาเราทุกครั้งที่เรียกหาอย่างที่เห็นในละคร โทรทัศน์ หรือเพื่อนตายอย่างที่เห็นในนิยายกำลังภายใน แต่ในชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยาก แล้วถ้าได้เพื่อนกินล่ะไม่แย่หรือ ความจริงแล้วเพื่อนกินไม่ได้แย่เสมอไป เพราะบางครั้งเราก็อาจต้องการมีใครมากินกับเราในยามเหงา หรืออยากได้เพื่อนกินมาร่วมเฮฮาในวันที่เรามีความสุข อย่างไรก็ตามหากคุณคบใครเป็นเพื่อน ลองดูนะคะว่าเพื่อนคุณเข้าข่ายแบบไหน
      1.เพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งมีทั้งเพื่อนที่ร่วมสุข สนุกสนานเฮฮาผ่อนคลายด้วยกัน และเพื่อนที่ร่วมทุกข์ รับฟัง ให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือยามเรามีปัญหา อาจบ่นหรือดุว่ายามเราทำอะไรโง่ ๆ รวมถึงเพื่อนที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา ก็สามารถจัดอยู่ในกลุ่มนี้ถ้าไม่มากจนทำให้เราเดือดร้อน เพราะการที่เรามีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นกำลังใจ คำแนะนำ หรือทรัพย์สิน ทำให้เราภูมิใจในตัวเอง ซึ่งทั้งหมดนี้อาจอยู่ในเพื่อนคนเดียวหรือหลาย ๆ คนก็ได้ แต่โดยทั่วไปเพื่อนคนเดียวอาจไม่สามารถเป็นได้ทุกอย่าง
      2.เพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่แย่ลง เช่น เดียวกับเพื่อนกลุ่มแรก ในกลุ่มนี้มีทั้งเพื่อนที่ร่วมสนุกสนาน แต่ต่างกันตรงที่เพื่อนกลุ่มนี้จะทำให้เราสนุกโดยเสียสุขภาพ เงินทอง อิสรภาพ หรือแม้กระทั่งชีวิต เช่น ชักชวนเล่นการพนัน ใช้สารเสพติด ซิ่งรถ หรือทำร้ายผู้อื่น และเพื่อนกลุ่มนี้ก็ยังมีเพื่อนที่ร่วมทุกข์ในทางที่ผิด เช่น ชวนกินเหล้า ชกต่อย วิวาท สาดน้ำกรดเพื่อแก้แค้นหรือทวง ?ศักดิ์ศรี? นอกจากนี้พวกที่หลอกลวง ข่มขู่ เอาเปรียบหรือใช้ประโยชน์จากเราก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
      เราจึงควรทบทวนว่าเพื่อนที่เรามีอยู่จัดอยู่ในกลุ่มไหน เพราะแม้การมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีแต่ถ้าต้องมีเพื่อนที่ทำเรามีชีวิตที่แย่ ลง การไม่มีน่าจะดีกว่า และการสลัดเพื่อนที่แย่ ๆ ออกไปก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนดี ๆ ได้เข้ามาคบกับเรา เพื่อนที่ดีควรจะเป็นได้ทั้งผู้ให้และผู้รับ ผู้นำและผู้ตาม นอกจากนี้อย่าลืมที่จะทบทวนดูด้วยว่า เราเองเป็นเพื่อนแบบไหน อย่าหลงลืมนึกว่าเพื่อนเป็นแม่ ลูก ธนาคาร จิตแพทย์ เจ้านาย หรือทาสเรา

      สุด ท้ายอย่าลืมว่าตัวเราเองก็นับเป็นเพื่อนที่เก่าแก่และใช้เวลาอยู่กับเราได้ มากที่สุด ฉะนั้นจริง ๆ แล้วไม่มีเวลาไหนหรอกที่เราไม่มีเพื่อนเลย เพราะตัวเรายังคงเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ และพร้อมจะตามใจเราทุกอย่างอยู่เสมอ

      "ฉะนั้นจึงควรใส่ใจดูแลสุขภาพกายและใจของเพื่อนคนนี้ด้วยนะคะ"

http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=782 (http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=782)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 21, 2009, 09:22:58 AM
 เถาวัลย์เปรียง

นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่าก รมวิทยาศาสตร์การแพทย์และโรงพยาบาลวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว ได้ร่วมกันดำเนินการวิจัยทางคลินิกเพื่อศึกษาประสิทธิผลและผลข้างเคียงของ สารสกัดเถาวัลย์เปรียงในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง จำนวน 70 ราย

โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม : คือผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงแคปซูล ขนาด 200 มิลลิกรัม วันละ3 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน
                   :  และผู้ป่วยที่ได้รับยาแผนปัจจุบันไดโคลฟีแนค(Diclofenac)ขนาด 25 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน

ผล การศึกษาพบว่า  : ผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มมี อาการปวดลดลงอย่างชัดเจนในวันที่ 3 และวันที่ 7 โดยกลุ่มผู้ป่วย ที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงมีเม็ดเลือดขาวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในวันที่ 7 ของการรักษาแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติและไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีรวมทั้ง ผลข้างเคียงใดๆ
     
       ส่วนการศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในการรักษา อาการอักเสบจากข้อเข่าเสื่อมนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ร่วมดำเนินการ วิจัยทางคลินิกกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเข้าร่วมโครงการจำนวน 125คนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

                            : คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาแผนปัจจุบันนาโปรเซน(Naproxen) ขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 4สัปดาห์
                            : และกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสารสกัดเถาวัลย์เปรียงขนาด 400 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง นาน 4 สัปดาห์

ผล การศึกษาพบว่า : ยาแผนปัจจุบันนาโปรเซนและสารสกัดเถาวัลย์เปรียง  มีประสิทธิผลและความปลอดภัยไม่แตกต่างกันและผู้ป่วยที่ได้รับยาทั้ง สองกลุ่มมีความพึงพอใจต่อการรักษาร้อยละ 80     
     

ด้าน นางมาลี บรรจบ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิผลในการเพิ่มภูมิคุ้มกันของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในอาสาสมัครสุขภาพดี จำนวน 59 ราย

โดย ให้อาสาสมัครรับประทานแคปซูลสารสกัดเถาวัลย์เปรียง ครั้งละ 1 แคปซูล (200มิลลิกรัม/แคปซูล) วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าอาสาสมัครทั้งหมด ไม่มีอาการข้างเคียงใดๆระหว่างรับประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียง

 ส่วน ค่าทางโลหิตวิทยาและค่าทางชีวเคมีบางค่ามีการเปลี่ยนแปลงแต่อยู่ในช่วงของ ค่าปกติและยังพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของปริมาณของ IL-2 และ ?-IFN ในซีรั่มเพิ่มขึ้น 

ดังนั้นการรับ ประทานสารสกัดเถาวัลย์เปรียง ขนาด 400มิลลิกรัม/วัน นาน 2เดือนมีความปลอดภัยและมีส่วนช่วยควบคุมหรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้ม กันของร่างกาย

               "กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสกัดสาระสำคัญและควบคุม คุณภาพให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เพื่อให้มีการผลิตเป็นยาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรมทำให้มีการใช้ อย่างกว้างขวางโดยเฉพาะเพื่อให้โรงพยาบาลต่างๆได้นำไปใช้กับผู้ป่วยในกลุ่ม ผู้สูงอายุผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร. 02951- 0000 ต่อ 99386 และ 99486"นางมาลีกล่าว
 
 
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9520000151675 (http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9520000151675)

http://www.db.hitap.net/articles/381 (http://www.db.hitap.net/articles/381)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 22, 2009, 09:47:59 PM
บทความพิเศษ : จัดของเข้าที่รับปีใหม่ ด้วย 5 ขั้นตอนง่ายๆ
   

       
เคยรู้สึกมั้ยว่า ชีวิตของคุณช่างยุ่งเหยิง มีหลายสิ่งที่ต้องรีบทำให้เสร็จ แต่เวลารีบๆ กลับหาของที่ต้องการไม่เจอ ทำให้หัวเสีย หงุดหงิดฉุนเฉียว แถมบางครั้งเสียเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อค้นหาใบแจ้งหนี้ค่าน้ำ ค่าไฟ เพื่อจะไปชำระเงิน อย่างนี้ไม่ดีกับชีวิตแน่ๆ
       ไหนๆเดือนสุดท้ายของปีก็มาถึงแล้ว ก็น่าจะถือเป็นช่วงเวลาทองในการจัดเก็บข้าวของที่วางระเกะระกะมาทั้งปี ไม่ว่าจะบนโต๊ะทำงาน ห้องครัว มุมห้อง หรือทุกๆที่ที่มีที่ให้วาง!!
       แม้ ว่าการจัดวางข้าวของเครื่องใช้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่แท้จริงแล้ว มันคือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด ที่ทำให้ใจเราสงบ และมีทัศนคติที่ดี ในการใช้ชีวิต เพราะอย่างน้อยการที่ข้าวของเป็นระเบียบ มองไปทางไหนก็สบายอกสบายใจ หาอะไรก็ง่าย ไม่ต้องอารมณ์เสียอีกต่อไป
       
      บางที 5 ขั้นตอนต่อไปนี้ อาจจะช่วยให้คุณจัดเก็บข้าวของที่วางเกลื่อนไว้ได้อย่างง่ายๆโดยไม่ต้องเหนื่อยจนลิ้นห้อย
     
 1. กำหนดวันดีเดย์
       อาจกำหนดเวลา 1 วันเต็ม หรือใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อลุยทำทีเดียวให้จบ แต่บางครั้ง เมื่อทำไปแค่ 2-3 ชม. ก็อาจเหนื่อยล้า ไม่อยากทำต่อ ดังนั้น ลองเปลี่ยนเป็นทำวันละครึ่งชม.โดยไม่หยุดพัก ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ คุณจะประหลาดใจที่เห็นตัวเองเก็บกวาดได้มากขึ้น
       
       2. เคลียร์ทีละจุด
       ข้อผิดพลาดใหญ่ที่มักเกิดขึ้นก็คือ คุณพยายามจัดเก็บทุกอย่างให้เสร็จในคราวเดียวกัน ที่ถูกก็คือ ทำทีละจุดให้เรียบร้อย วิธีนี้จะทำให้คุณมีกำลังใจที่จะเก็บกวาดบริเวณอื่นต่อไป จงเริ่มต้นที่โต๊ะทำงานของคุณก่อน เพราะโต๊ะที่รก จะทำให้คุณไม่อยากนั่งทำงาน โดยในเวลา 1 ชม.นั้น คุณสามารถ
       ? เคลียร์ลิ้นชักทุกชั้น
       - ทิ้งขยะหรือเอกสารที่ไม่ใช้แล้ว เช่น เศษกระดาษ ใบเสร็จเก่าๆ
       - เก็บสิ่งของที่ไม่ได้ใช้มานานกว่า 2 เดือนขึ้นไปใส่กล่อง ไปไว้ในห้องเก็บของ
       - จัดเก็บเอกสารสำคัญเข้าแฟ้ม เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบรับประกัน และใบเสร็จ
       ? เช็ดทำความสะอาดลิ้นชัก ก่อนนำสิ่งของที่ต้องใช้ประจำ เข้าวางอย่างเป็นระเบียบ
       ? เก็บของที่อยู่บนโต๊ะทำงานทุกอย่าง
       - แยกเก็บเอกสารเข้าแฟ้ม โดยเฉพาะเอกสารที่วางกองอยู่หลายวันแล้ว
       - อย่าปล่อยให้ถาดเอกสารเข้าและออก กลายเป็นที่วางเอกสารปะปนกันไปหมด
       - ตรวจดูปากกาและเครื่องใช้ในสำนักงานอื่นๆ ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ เช่น เปลี่ยนไส้ปากกา หรือใส่ไส้ที่เย็บกระดาษ
       ? ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน
       - ล้างแก้วน้ำ ถ้วยกาแฟ จานชาม
       - ถ้าเป็นไปได้ จงเก็บสิ่งของเครื่องใช้ในลิ้นชัก เพราะโต๊ะที่โล่ง จะดูน่าทำงานมากกว่าโต๊ะที่วางของเต็มไปหมด
       - มัดเก็บสายคอมพิวเตอร์ สายโทรศัพท์ ให้เป็น ระเบียบ
       นี่ดูเหมือนเป็นต์ยาว แต่ถ้าทำได้เร็ว จะกินเวลาไม่เกิน 30 นาที คุณก็จะได้โต๊ะทำงานที่ดูโล่ง น่านั่งทำงาน
       
      3. เคลียร์จุดอื่นๆ ทุกวัน
       เมื่อคุณเคลียร์โต๊ะทำงานเสร็จแล้ว จงย้ายไปยังจุดอื่น ซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม. ในการจัดเก็บ
       - ตู้และลิ้นชักเก็บเสื้อผ้า แยกเสื้อผ้าที่จะนำไปบริจาค หรือเสื้อผ้าตามฤดูกาล เช่น เสื้อกันหนาว ใส่กล่องไว้ ให้เหลือแต่เสื้อผ้าที่ต้องใช้ประจำวัน
       - ถ้าใต้เตียงมีที่เก็บของ โละของไม่ใช้แล้วให้หมด หรือนำไปเก็บในห้องเก็บของ
       - ตู้และชั้นเก็บของในครัว ทิ้งอาหารแห้งที่หมดอายุ จดว่ามีสิ่งใดขาดและต้องซื้อมาเติม
       - ห้องน้ำ วางเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นในการอาบน้ำ ไว้ใกล้ๆ ที่เหลือเก็บเป็นที่ให้เรียบร้อย
       พยายามจัดเก็บข้าวของเข้าที่ทุกวัน แม้ว่าคุณจะไม่มีเวลาจริงๆ แค่ 10 นาที คุณก็สามารถจัดการลิ้นชักรก ให้เป็นระเบียบได้
       
       4. แอคทีฟอยู่เสมอ
       ถ้าคุณเคยชินกับการอยู่ท่ามกลางข้าวของระเกะระกะละก็ คุณอาจต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จงสร้างบรรยากาศที่ทำให้คุณอยากเก็บกวาดบ้าน โดย
       - ให้สมาชิกในครอบครัวมีส่วนร่วม เมื่อมีคนช่วย คุณจะเคลียร์ได้หลายจุด
       - ฟังเพลงไป ทำงานไป ลองเลือกเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ ถ้าคุณต้องการทำให้เสร็จเร็วๆ
       - ชื่นชมผลลัพธ์ที่ได้จากการจัดเก็บทำความสะอาด คุณไม่รู้สึกดีๆหรอกหรือที่ตอนนี้ โต๊ะทำงานดูเป็นระเบียบ และตู้เสื้อผ้าไม่รกรุงรัง มันทำให้ชีวิตประจำวันของคุณสะดวกมากขึ้น เพราะคุณไม่ต้องเสียเวลาอันมีค่า มานั่งหาของที่คุณวางผิดที่
       - ถ้ายังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากโละของที่นานๆใช้ครั้ง หรือไม่เคยใช้เลยละก็ ลองลงประกาศขายในอินเตอร์เน็ต เพราะของบางอย่างอาจมีประโยชน์สำหรับผู้อื่น และคุณก็ได้เงินด้วย หรืออาจจะเอาไปบริจาคก็ได้บุญเหมือนกัน
       
       5. ทำให้เป็นนิสัย
       เมื่อคุณเคลียร์ข้าวของที่วางเกลื่อนเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ยากหรอกที่จะให้มันคงอยู่อย่างนั้นไปตลอด คือทำให้ เป็นนิสัย เมื่อใช้เสร็จ ต้องเก็บเข้าที่ทุกครั้ง และใช้เวลาเล็กน้อยในแต่ละสัปดาห์ ทำความสะอาดอีกครั้ง
       เพียงแค่นี้ บ้านของคุณก็จะดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมรับกับสิ่งดีๆที่กำลังจะมาถึงในปีใหม่แล้วค่ะ
       
       วิธีเล็กๆน้อยๆที่ช่วยให้บ้านไม่รก
       1. ใช้เวลาวันละ 15 นาทีทุกวัน เก็บกวาดของเข้าที่
       2. เมื่อเคลียร์ที่ใดที่หนึ่งเรียบร้อย อย่าพยายามนำของชิ้นใหม่เข้ามาเพิ่มอีก
       3. ถ้าต้องนำเข้ามา อาจใช้กฎ ?เข้าหนึ่ง ออกสอง? คือ ถ้านำของใหม่เข้าบ้าน 1 ชิ้น ต้องทิ้งของเก่าออกไป 2 ชิ้น แต่ที่ดีที่สุดคือ ให้สำรวจดูก่อนว่าของที่ต้องการใช้นั้น มีอยู่แล้วหรือยัง
       4. แทนที่จะซื้อหาตู้หรือกล่องใส่ของมาเก็บสมบัติที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งจะทำให้บ้านมีของชิ้นใหญ่เกะกะเพิ่มขึ้น ก็ควรจะบริจาคออกไปให้หน่วยงาน เพื่อนๆ หรือบุคคลที่ต้องการ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า หนังสือ เชื่อว่าคุณจะมีความสุขเมื่อเห็นสิ่งเหล่านั้น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
       5. วางเป็นที่เป็นทาง (โดยเฉพาะกุญแจและเอกสารสำคัญ) จงทำให้เป็นนิสัยในการเก็บของเข้าที่เมื่อใช้งานเสร็จ ตัวอย่างเช่น เมื่อกลับถึงบ้าน นำกุญแจบ้านแขวนไว้ตรงที่แขวนกุญแจให้เรียบร้อย
       6. อย่าซื้อของมาตุนไว้จำนวนมาก เพราะของบางอย่างโดยเฉพาะของกินนั้น มีวันหมดอายุ หรือของใช้ที่ลดราคากระหน่ำ จนตาโต หลงซื้อมา แต่ว่าไม่ใช้เอามาเก็บไว้รกบ้านเปล่าๆ
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 109 ธันวาคม 2552 โดยเบญญา)



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 24, 2009, 12:33:08 PM
กล้ามเนื้อหลัง อักเสบ



แนวทางการวินิจฉัย

โดย ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดหลังมักไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่ร้ายแรง ซึ่งแพทย์สามารถให้การวินิจฉัยจากประวัติ และการตรวจร่างกาย เท่านั้น ก็สามารถให้การรักษาได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพรังสี (เอ๊กซเรย์) กระดูกสันหลัง

แต่ถ้าอาการปวดเป็นมากขึ้น หรือ หลังจากให้การรักษาแล้วไม่ดีขึ้น ก็อาจจำเป็นต้องถ่ายภาพรังสี (เอ๊กซเรย์) ซึ่งการถ่ายภาพรังสีแบบปกติจะเห็นเฉพาะกระดูกเท่านั้น ไม่เห็นเนื้อเยื่อ เช่น กล้ามเนื้อ หรือ หมอนรองกระดูก บางกรณีจึงอาจต้องเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ ( ซีที ) เอ๊กซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) หรือ ฉีดสีเข้าในไขสันหลัง



สาเหตุ

กล้ามเนื้ออักเสบ มักจะเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อทำงานหนักมากเกินไปหรือเกิดจากท่าทางของร่าง กายที่ไม่ถูกต้อง เช่น ยกของหนักขึ้นจากพื้นในท่าก้มหลัง ดันของหนัก นั่งก้มหลังทำงานนาน ๆ นั่งขับรถเป็นเวลานาน อ้วนเกินไปหรือ ขาดการออกกำลังกาย มักจะมีอาการปวดเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ แต่ในบางครั้งอาจมีอาการปวดหลังมากขึ้นทันทีก็ได้

กล้ามเนื้อเคล็ด หรือ กล้ามเนื้อฉีกขาด (ซึ่ง ก็จะทำให้เกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อร่วมด้วย) มักเกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หรือ อุบัติเหตุ มักจะเกิดอาการปวดอย่างเฉียบพลัน ทันทีทันใด

เมื่อเกิดกล้ามเนื้อ หลังอักเสบ หรือ กล้ามเนื้อเคล็ด จะมีอาการ ปวดหลัง หลังแข็งเกร็ง ขยับเขยื้อนหลังไม่ได้ อาจมีอาการตัวเอียง หลังคด เดินลำบาก แต่มักจะไม่มีอาการปวดร้าวลงขา ชา หรือ อ่อนแรง (ไม่มีการกดทับเส้นประสาท)



แนวทางการรักษา

ลดน้ำหนัก งดเหล้า งดบุหรี่ ปรับเปลี่ยนท่าทางในการดำเนินชีวิตประจำวันให้เหมาะสม

ควร หยุดพักการใช้หลัง ในขณะที่มีอาการปวดมาก เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือ นอนพักในท่าที่สบาย แต่ไม่ควรนอนพักนานเกินกว่า 2?3 วัน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดพังผืด ทำให้กลายเป็นปวดหลังเรื้อรังได้มากขึ้น และหายช้ากว่าปกติ ยิ่งกลับมาดำเนินชีวิตประจำวันได้เร็วเท่าไร อาการปวดหลังก็จะดีขึ้นเร็วเท่านั้น

ประคบบริเวณที่ปวดด้วยน้ำแข็ง หรือน้ำอุ่น โดยใช้น้ำแข็งใส่ในถุงพลาสติกแล้วห่อด้วยผ้า หรือ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ประคบประมาณ 10 - 15 นาที หรือ อาจจะประคบด้วยความร้อน 4 นาที สลับกับความเย็น 1 นาที ก็ได้

อาจใช้ครีมนวดแก้ปวด ร่วมด้วยได้แต่ต้องระวังอย่านวดแรงเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อฟกช้ำมากขึ้น

รับประทานยาบรรเทาอาการปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ยาแก้ปวดลดอาการอักเสบ ยาคลายกล้ามเนื้อ

ทำ กายภาพบำบัด เพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น ดึงหลัง อบหลังโดยใช้ความร้อนลึก(อัลตร้าซาวน์) หรือ ใส่เฝือกอ่อนพยุงหลัง (เครื่องรัดหลัง) การบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง เป็นต้น


อาการปวดหลังที่ควรไปพบแพทย์


- มีอาการปวดรุนแรง ปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รับประทานยาแก้ปวดลดการอักเสบและนอนพัก แล้วอาการไม่ดีขึ้น

- มีการกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการ ชาขา ขาอ่อนแรง ปวดร้าวจากหลังหรือสะโพกลงไปที่ขา โดยเฉพาะถ้ามีอาการกลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ได้ (อุจจาระปัสสาวะราด) ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

- มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีก้อน มีไข้ มีปัสสาวะแสบขัด มีอาการคลื่นไส้อาเจียน



วิธีดูแลตนเอง วิธีบริหาร ..

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=13-06-2008&group=5&gblog=17 (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=13-06-2008&group=5&gblog=17)




หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 25, 2009, 05:28:43 PM
"การจัดการกับอารมณ์โกรธ"


   เรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้งทำร้ายร่างกายทั้งผู้อื่นและตนเอง ไปจนถึงการมุ่งร้ายทำลายชีวิตกันในสังคมทุกวันนี้ มักจะมาจากสภาพอารมณ์ที่เรียกว่า " โทสะ" หรือ " อารมณ์โกรธ " ของมนุษย์เรานั่นเอง ความโกรธเป็นหนึ่งในอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับทุกคน คนธรรมดาเราสามรถรู้สึกได้เมื่อเกิดอารมณ์โกรธ จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะในร่างกายหลายๆ อย่าง เช่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว กล้ามเนื้อตึงเครียด เนื้อตัวสั่น ปั่นป่วนในท้อง ร่างกายเหมือนมีแรงส่งที่สูงขึ้น และพร้อมจะพุ่งพลังออกไป บางคนเปรียบว่า ความโกรธเสมือนหนึ่งเรากำไฟไว้ในมือ คนที่ " เจ้าโทสะ" มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกร้อนไม่อยากอยู่ใกล้

เมื่อมีเรื่องไม่ถูกใจ ความโกรธก็มักเผาลนคำพูดให้เชือดเฉือนผู้อื่น หรือแสดงการกระทำที่ก้าวร้าวรุกราน ทำให้มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะความรู้สึกไม่เป็นมิตร มักขาดความระมัดระวังและตัดสินใจผิดพลาดก่อให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย ความโกรธที่เรื้อรังยังเป็นเหตุของปัญหาสุขภาพอาทิ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคกระเพาะ และอาการปวดศีรษะเป็นประจำ

สาเหตุของอารมณ์โกรธ ที่พบได้บ่อยได้แก่

    * ความคับข้องใจที่ไม่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ดังใจ
    * ความรำคาญ หงุดหงิด จากสิ่งแวดล้อมต่างๆ
    * ความรู้สึกไม่สะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวัน
    * การถูกรบกวนความเป็นส่วนตัว
    * ความเสียใจ ความกลัวที่แปรเปลี่ยนกลายเป็นความโกรธ
    * ความผิดหวัง ความรู้สึกว่าตนเองโชคร้าย ประสบเคราะห์กรรมหรือเผชิญความสูญเสีย
    * การถูกคุกคาม รู้สึกถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่น ความอิจฉาริษยาผู้อื่น ฯลฯ

ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็อาจก่อพฤติกรรมรุนแรง โดยความโกรธนั้นอาจพุ่งเข้าหาตนเองด้วย การทำร้ายตนเอง หรือพุ่งไปสู่คนอื่นก็ได้

วิธีหาทางออกให้กับอารมณ์โกรธ

    * ยอมรับว่ากำลังรู้สึกโกรธ พิจารณาว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรือละอายที่รู้สึกโกรธ
    * พิจารณาสาเหตุของความโกรธ ที่เกิดขึ้นโดยไม่เข้าข้างหรือตำหนิตนเองเกินเหตุ
    * พยายามเปิดความคิดให้กว้างและยืดหยุ่น
    * ตัดสินใจทำการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์แล้วลองปฎิบัติ

      ขั้นตอนที่ควรใช้เพื่อควบคุมอารมณ์

      ตั้งสติให้มั่นคง ทำใจให้สงบ ระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านก่อนทำความตกลง หรือลงมือทำอะไร เพราะอาจตัดสินใจผิดพลาด หากเจรจาหรือแก้ปัญหาขณะที่กำลังมีอารมณ์ ถามตนเองว่า " กำลังต้องการเอาชนะ " หรือ " ต้องการแก้ปัญหา " ถ้าคำตอบคือ การเอาชนะ ให้หยุดการเจรจาไว้ แล้วหาทางระงับอารมณ์ และความคิดเอาชนะให้ได้ก่อน เพราะไม่มีทางที่คุณจะเอาชนะได้อย่างสันติ

      แสดงความรู้สึกและความต้องการของตนเองด้วยท่าทีไม่ก้าวร้าว ไม่ข่มขู่ หรือละเมิดสิทธิของคนอื่น

      หาทางระบายความโกรธออก ถ้าหากคุณไม่สามารถจัดการกับความโกรธของตนเองได้ อย่าอายที่จะพูดคุยความรู้สึกของคุณกับคนที่ใกล้ชิดและเข้าใจ

      หากทำใจเล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้ อาจใช้วิธีเขียนเรื่องที่คุณโกรธลงบนกระดาษ จะทำให้ความโกรธถูกระบายออกมาบ้าง

      อย่าเก็บความขุ่นมัวโกรธเคืองไว้เงียบๆ ตามลำพัง เพราะจะทำให้คุณเป็นคนเครียดง่าย และมีความอดทนกับเรื่องต่างๆ รอบตัวน้อยลงเรื่อยๆ

      กิจกรรมที่จะช่วยระงับอารมณ์เมื่อคุณโกรธ

      กีฬาที่ได้ออกแรง เช่น ตีแบดมินตัน เทนนิส เตะบอล วิ่ง ว่ายน้ำ และอย่าไปเน้นการแข่งขันกับคนอื่น เพราะจะยิ่งเครียดแทนที่จะสงบลง หาทางให้ได้มีการออกแรงที่อัดแน่นออกไปอย่างเหมาะสม การถอนหญ้า ขุดดิน ปลูกต้นไม้ ซ่อมแซมสิ่งของจะช่วยให้ได้ออกแรงระบายอารมณ์ พร้อมกับได้ผลงานที่น่าชื่นชมขึ้นมาแทน

      ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย ที่เหมาะกับตนเอง เช่น นับตัวเลขในใจ กำหนดลมหายใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรืออาจสวดมนต์ ท่องคาถาสั้นๆ ที่เป็นการช่วยคุณผ่อนคลายและ " ตั้งสติ "

By: สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 27, 2009, 06:24:07 PM
น้ำตาเทียม..เลือกใช้อย่างไร/ เอมอร คชเสนี

                 (http://[url=http://pics.manager.co.th/Images/552000016781601.JPEG]http://pics.manager.co.th/Images/552000016781601.JPEG[/url])

โดยปกติน้ำตาตามธรรมชาติของคนเราสามารถให้ ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาเพียงพออยู่แล้ว แต่ในบางกรณีที่ทำให้ความชุ่มชื้น ของดวงตาน้อยกว่าปกติ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมเพื่อช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวง ตา
       
       น้ำตาเทียมจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติในการสร้างน้ำตาตาม ธรรมชาติ ทำให้มีน้ำตาน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยบางรายที่ปิดตาได้ไม่สนิท ผู้ที่มีความผิดปกติของเยื่อบุตาหรือกระจกตา ผู้ที่มีอาการตาแห้ง อาจเนื่องมาจากความเครียด ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุ 50% ของผู้ป่วยที่มีตาแห้ง ในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้น้ำตาระเหยง่าย เช่น แสงแดดจัด ร้อนจัด ลมแรง ความชื้นต่ำเช่นในห้องปรับอากาศ หรือมีสิ่งระคายเคืองต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เขม่าควัน การใช้คอนแท็กเลนส์ รวมทั้งการใช้สายตาเป็นเวลานานๆ เช่น อ่านหนังสือหรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
       
       น้ำตาเทียมจะช่วยหล่อลื่นดวงตาและเพิ่มความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและ เยื่อบุตาขาว เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง ซึ่งจะมีอาการแสบตา เคืองตา รู้สึกว่าตาแห้งฝืด บางครั้งมีขี้ตาเป็นเส้นๆ เมือกๆ ทำให้ลืมตายาก อาการมักเป็นมากในช่วงบ่ายๆ เย็นๆ หากมีอาการเรื้อรัง ขี้ตาเป็นเมือกติดแน่นที่กระจกตา ทำให้ผิวตาดำไม่เรียบ ติดเชื้อง่าย จะทำให้เกิดแผล หากไม่ได้รับการรักษาที่ดี จะทำให้แผลอักเสบถึงขั้นตาบอดได้
       
       น้ำตาเทียมเป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตขึ้นโดยให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด มีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้
       
       - ส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความหนืดเพื่อให้ฉาบอยู่บนกระจกตาได้นานขึ้น แต่หากเป็นน้ำตาเทียมที่มีความหนืดมาก ระยะเวลาที่น้ำตาเทียมฉาบอยู่บนกระจกตานานๆ อาจทำให้มีอาการตามัว มองไม่ชัดหลังหยอดตาในระยะแรก
       
       - สารกันเสีย ช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพอยู่ได้นาน และป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะหยอด ทำให้สามารถเก็บได้นานประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด
       
       - ส่วนผสมที่ช่วยปรับสมดุลขององค์ประกอบอื่นในน้ำตาเทียม ปรับความเป็นกรดด่างให้พอเหมาะ ไม่แสบตาเวลาหยอด และช่วยคงสภาพของน้ำตาเทียม
       
       - ส่วนประกอบอื่นๆ เพื่อให้น้ำตาเทียมมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติมากที่สุด เช่น ไกลซีน แมกนีเซียมคลอไรด์ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียมคลอไรด์ โซเดียมบอเรต และซิงค์
       
       น้ำตาเทียม มีอยู่ 2 ประเภท คือ
       
       - น้ำตาเทียมที่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในขวดใหญ่ ประมาณ 3 - 15 ซีซี สามารถใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด มีข้อเสียคือสารกันเสียอาจทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองต่อเยื่อบุตา หรือเกิดการปนเปื้อนในกรณีที่เก็บไว้นานๆ
       
       - น้ำตาเทียมที่ไม่ใส่สารกันเสีย จะบรรจุในหลอดเล็กๆ หลอดละ 0.3 - 0.9 ซีซี มีตั้งแต่ 20 - 60 หลอดต่อ 1 กล่อง แต่ละหลอดเมื่อเปิดใช้แล้ว ต้องใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่จะมีราคาสูงกว่า
       
       ปัจจุบันมีการพัฒนาน้ำตาเทียมโดยใช้สารกันเสียที่สามารถสลายตัวได้ เองเมื่อถูกแสงแดด กลายเป็นเกลือที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อเยื่อบุตา
       
       ควรเก็บน้ำตาเทียมไว้ที่อุณหภูมิ 2 - 25 องศาเซลเซียส แต่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน หากเก็บไว้นอกห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำตาเทียม และไม่ควรใช้หลังจากหมดอายุที่ระบุไว้บนกล่อง
   
การเลือกใช้น้ำตาเทียม
       
       การเลือกใช้น้ำตาเทียมนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่เป็น ผู้ที่มีอาการตาแห้งธรรมดาโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ผู้ที่ใส่คอนแท็กเลนส์ สัมผัสกับแสงแดด ลมแรง หรือใช้สายตานานๆ ก็สามารถเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดขวดใหญ่ที่มีสารกันเสียก่อนได้ หรือในบางราย เพียงแค่ปรับสภาพแวดล้อมหรือปรับพฤติกรรมตัวเองให้ดี อาการตาแห้งที่เป็นอยู่ก็อาจดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียม
       
       แต่หากมีอาการตาแห้งรุนแรง ต้องหยอดน้ำตาเทียมมากกว่า 4 ครั้งต่อวันเป็นเวลานานๆ หรือผู้ที่มีโรคของผิวกระจกตา เซลล์ของผิวกระจกตาไม่สมบูรณ์ หรือมีประวัติแพ้สารกันเสีย ก็ควรใช้น้ำตาเทียมหลอดเล็กๆ ชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย
       
       เรา สามารถใช้น้ำตาเทียมได้บ่อยครั้งโดยไม่มีผลแทรกซ้อน ยกเว้นกรณีแพ้สารกันเสีย แต่การใช้น้ำตาเทียมก็ควรพิจารณาถึงความจำเป็นว่ามีปัญหาของน้ำตามากน้อย เพียงใด จะได้ไม่สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น และหากมีอาการตาแห้ง ควรไปตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างละเอียด ไม่ควรซื้อน้ำตาเทียมมาใช้เองเป็นเวลานานๆ โดยไม่หาสาเหตุที่แท้จริง
       


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 28, 2009, 08:29:33 PM
บทบาทของการเป็นพ่อ        ผศ.นพ. พนม เกตุมาน (Assist. Prof. PANOM KATUMARN)     
 




นิยามและความหมายของคำว่า"พ่อ"
     
พ่อในแนวความคิดคือ บุคคลที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นที่เคารพ เป็นทั้งผู้อุปการะ รวมถึงคำที่เราจะกล่าวได้ว่า "พ่อคือผู้ให้" ให้แบบอย่าง บางคนก็บอกว่าพ่อเป็นผู้อุปถัมภ์ แต่พ่อจะเป็นมากกว่านั้น พ่อจะคอยสั่งสอนเราตั้งแต่เด็ก ๆ บางทีเราอาจจะไม่รู้ความหมายที่ท่านสั่งสอนเรา แต่พอเราโตขึ้นเราจะรู้ได้ว่าสิ่งที่ท่านสอนเรามาเราควรที่จะปฎิบัติอย่าง ยิ่ง และเราก็ควรทำตาม คำว่า"พ่อ" อาจจะเปรียบเหมือนกับเรือที่นำพาครอบรัวฟันฝ่ามรสุมให้ตลอดรอดฝั่ง พ่อคือ ผู้นำเป็นแบบอย่าง เป็นทุกอย่าง ในทางจิตวิทยาสังคม พ่อจะมีความหมายของบุคคลในการก่อสร้างครอบครัวขึ้นและก่อสร้างให้มีความสุข ได้ทุกคนทั้งพ่อแม่และตัวลูก

หน้าที่ของคนที่ขึ้นชื่อว่าพ่อ หรือได้เป็นพ่อนั่น ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงเหมาะสมกับคำว่าพ่อ
     

 พ่อจริงๆ ก็จะต้องมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ หน้าที่คงจะแบ่งเป็นหลายประการด้วยกัน เช่น หน้าที่ต่อแม่ หน้าที่ต่อลูก ทั้งทางด้านจิตใจร่างกายและสิ่งอื่นๆ อีก โดยทั่วไปพ่อกับแม่ก็ช่วยกันใน

สิ่งที่จะต้องปฏิบัติต่อลูก
     
    จะมีวิธีการอย่างไร ในฐานะที่เป็นผู้นำผู้ที่ปกป้องครอบครัว ที่จะให้ถึงเป้าหมายของแต่ละครอบครัวที่มุ่งหวังไว้
      พ่อต้องปรึกษาหารือกับแม่เพื่อแบ่งหน้าที่กิจกรรมต่างๆ ในครอบครัว ซึ่งอันนี้ก็เป็นบทบาทของพ่อ พ่อเป็นผู้ริเริ่มจัดแบ่งหน้าที่ต่างๆ อันนี้ก็คือหน้าที่ภาระขั้นแรกจริงๆ ก็เริ่มตั้งแต่แต่งงานยังไม่มีลูก สามีภรรยาก็ต้องรู้จักหน้าที่ของกันและกันเอง คือเริ่มมีการวางแผน และการวางแผนแบ่งเป็นหลายด้าน เป็นการแบ่งเวลา การดูแล การทำงาน และการดูแลในเรื่องการเงินว่าจะมี 2 กระเป๋า หรือ 1 กระเป๋า หรือกระเป๋ารวม เป็นผู้นำให้แม่หรือภรรยาดำเนินตามกิจกรรมที่เราตกลงกัน นอกจากนี้พ่อยังมีบทบาทในการเลี้ยงลูกด้วย แม่จะเป็นตัวเอกและจะดูแลในระยะแรกๆ พ่อควรจะต้องดูว่าบทบาทของตัวเองจะไปช่วยเสริมด้วย และเมื่อลูกโตขึ้นพ่อก็จะมีบทบาทมากกว่า แต่ก็ต้องตามวัยและเพศด้วยเหมือนกัน อันนี้ก็ต้องแยกว่าจะต้องใกล้ชิดกับลูกอย่างไรบ้าง
     
หลายๆ ครอบครัว คิดว่าการเลี้ยงลูกนั้นคงจะเป็นหน้าที่ของคุณแม่แต่คุณพ่อก็มีบทบาทที่จะฝึกฝนให้คำอบรมและสั่งสอนเลี้ยงดู
     
จริงๆ แล้วเด็กเขาจะดูและเรียนรู้จากพ่อและแม่ ซึ่งจะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกัน ก็น่าจะพูดคุยกันว่าจะได้เหมือนๆ กันแต่จะแบ่งหน้าที่ไป เพราะหน้าที่บางอย่างแม่จะทำได้เหมาะสมกว่าพ่อ ส่วนบางหน้าที่ พ่ออาจจะทำได้มากกว่าแม่ แต่พ่อและแม่ก็สามารถที่จะช่วยเสริมกันได้ ในบางเวลาที่คุณแม่เหนื่อยก็ได้พ่อช่วย พ่อควรจะมีส่วนช่วยเสริมคือ เรื่องของการมีกฎ ระเบียบวินัย เกณฑ์ กติกา หรือความสนุกสนาน หรือระเบียบให้ทุกคนปฏิบัติตาม

พฤติกรรมของคุณพ่อมีส่วนสำคัญกับลูกอย่างไรบ้าง
     

 เด็กเขาเรียนรู้ตลอดเวลาจากคนที่อยู่ใกล้ชิดและถ่ายทอดเอาแบบอย่างนั้นไปเลย เรื่องที่สำคัญคือ ทัศนคติและค่านิยมต่างๆ ซึ่งเด็กจะเรียนรู้ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นพ่อและแม่เป็นคนอย่างไรคิดอะไรเด็กก็ จะเรียนรู้ชีวิตประจำวันนี้ไปตลอด ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นแกนสำคัญต่อบุคลิกของเด็ก คือเขาโตขึ้นเขาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่เราเลี้ยงเขาขณะที่ยัง เล็กๆ อยู่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างคือ ภาพของคุณพ่อคุณแม่ที่ดำเนินชีวิตครอบครัวไปอย่างมีความสุขก็จะติดตาติดใจไป ถึงตอนนั้นด้วยแล้วก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เขาดำเนนชีวิตด้วย
      บางครอบครัวนั้นเด็กก็จะมีนิสัยพฤติกรรมไปทางแม่ ส่วนบางครอบครัวก็จะไปทางพ่อ นั้นก็ขึ้นกับพฤติกรรมที่เด็กได้จดจำมาจากคนใกล้ชิด
      ฝากไว้นิดหนึ่งสำหรับผู้ที่จ้างเลี้ยงหรืออยู่กับพี่เลี้ยงที่จ้างมา เด็กก็จะแตกต่างไปจากพ่อและแม่บ้าง ซึ่งนั้นเกิดจากเด็กเขาอยู่ใกล้ชิดใครเขาก็จะซึมซับนิสัยมาบ้าง เพราะฉะนั้นต้องมีเวลาเอาใจใส่บ้างและให้ความอบอุ่น อบรมสั่งสอนกับลูกบ้าง

ส่วนใหญ่ลูกเพศชายหรือหญิงที่จะสนิทกับพ่อมากที่สุด
     

ตามธรรมชาติลูกผู้หญิงจะสนิทกับคุณพ่อมากในช่วงแรกๆ หมายถึง 3-6 ปีแรกของชีวิตเด็กผู้หญิงจะใกล้ชิดกับคุณพ่อโดยธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กผู้ชายก็จะไปสนิทกับคุณแม่ แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าอนุบาลเด็กก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าเขาเป็นเพศใด และก็จะเริ่มถ่ายทอดแบบอย่างจากเพศเดียวกัน หมายถึงเด็กผู้หญิงก็จะเริ่มเปลี่ยนจากสนิทกับพ่อก็มาเป็นคุณแม่ ส่วนเด็กผู้ชายก็จะกลับไปสนิทกับคุณพ่อแทนเพื่อจะถ่ายทอดแบบอย่าง และการถ่ายทอดก็สำคัญเพราะจะทำให้เขามีเอกลักษณ์ทางเพศถูกต้อง พฤติกรรมทางเพศ บทบาททางเพศเหมาะสม ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศตอนเขาโตขึ้นมา และคุณพ่อก็ต้องมีเวลามากๆ ให้กับลูก แม่ควรมีเวลาให้กับลูกผู้หญิง พ่อก็ควรมีเวลาให้กับลูกผู้ชาย
     
 คำแนะนำสำหรับคุณพ่อทุกๆ คนว่าการที่จะเป็นผู้นำสร้างครอบครัวของแต่ละท่านให้อบอุ่นนั้นเราจะมีวิธีปฎิบัติอย่างไร
   

  หัวใจที่สำคัญที่สุดเลยคือ ความสัมพันธ์ที่ดีสำหรับพ่อและแม่ ถ้าพ่อกับแม่ความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันมีปัญหากัน โอกาสที่จะเผื่อแผ่ให้ความรักความอบอุ่นนั้นก็จะมีน้อย ฉะนั้นพ่อแม่จะต้องมีพื้นฐานที่ดีก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรก็หาทางแก้ไขคลี่คลายเข้าใจกันให้มากที่สุด แต่พ่อต้องรู้หน้าที่บทบาทว่าจะทำอย่างไร ช่วยเสริมการดูแลในส่วนของ อาหาร การกินอยู่หลับนอน และระเบียบ แต่ทุกๆ เรื่องพ่อและแม่สามารถที่จะช่วยกันได้ในการดูแลลูก

 http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=279 (http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=279)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: Neung99k ที่ ธันวาคม 30, 2009, 12:22:36 PM
ปีใหม่นี้ขอให้คุณมดแดงและครอบครัวประสบแต่ความสุขและสมหวังร่ำรวย ๆ นะครับ ;D
(http://i.kapook.com/glitter/2009/th/12/T231252_04T.gif) (http://glitter.kapook.com/category.php?category_id=121&sid=4916b7d8465554a71eaeeafb8dd261e0)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 30, 2009, 08:33:39 PM
                           (http://pics.manager.co.th/Images/552000017323101.JPEG)
ส.ค.ส พระราชทานค่ะ

             วันที่ 29 ธันวาคม 2552 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่ 2553 พร้อมลายพระหัตถ์คำอำนวยพรว่า "ส.ค.ส.2553 ปีขาล ถึงปีขาลเสือตัวใหญ่แต่ไม่ดุ มันกินจุทั้งข้าวปลามังสาหาร เกิดดินดำน้ำชุ่มชลประทาน ล้วนเบิกบานมีกินใช้ไปด้วยกัน ต้องทำงานเหนื่อยหน่อยไม่ถอยหนี ก็จะมีโชคช่วยอำนวยขวัญ อย่ากลัวเสือตัวนี้มันดีดีครัน ดีทุกวันทุกเดือนเหมือนคิดเอย" ตอนท้ายลงพระนามาภิไธย สิรินธร
       
             สำหรับ ส.ค.ส.พระราชทานนี้พิมพ์บนการ์ด 2 สี คือ สีชมพูอมเนื้อ และสีฟ้า มีจำหน่ายที่ร้านภูฟ้า ส่วนด้านหน้าเป็นภาพวาดฝีพระหัตรูปเสือและค้างคาว
       


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ ธันวาคม 31, 2009, 10:50:07 PM
สำหรับทุกๆท่านค่ะ
     (http://dl.glitter-graphics.net/pub/841/841441ufm1jac5i7.gif) (http://www.glitter-graphics.com)


เนื่องดิถี วาระดี ขึ้นปีใหม่
อวยพรให้ ใจผ่องแผ้ว ดังแก้วกล้า
ให้สิ่งดี ศิริศรี เยือนทุกครา
ชื่นชีวา ประสบสุข ทุกยามยล


คิดหวังหวาน ให้แช่มชื่น ระรื่นสุข
ครั้งเคยทุกข์ จงมลาย กลายสดชื่น
เริ่มการใหม่ ให้สำเร็จ อย่างยั่งยืน
ทุกวันคืน เป็นที่รัก ยิ่งทุกคน

คำเคยท้อ ในปีนี้ ไม่มีแล้ว
คำกล้าแกล้ว มอบให้ ไว้ยึดมั่น
ทำสิ่งดี ได้ดีตอบ รับชอบพลัน
ทำสิ่งฝัน ให้มีวัน สำเร็จจริง

ให้สุขล้ำ ล้นเผื่อแผ่ ผู้ยากไร้
ให้สดใส มีน้ำใจ รู้ช่วยเหลือ
ให้สมหวัง สำเร็จดี มีจุนเจือ
ให้มีเหลือ ไว้แบ่งเบา คราวลำเค็ญ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 01, 2010, 08:07:10 PM
                   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส.ปีพุทธศักราช 2553 แก่ประชาชนชาวไทย
.

                           (http://www2.nectec.or.th/users/htk/gr01/hmkcard2010/F2010-300.jpg)
    
   ส.ค.ส.พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ในปีพุทธศักราช 2553 นี้ เป็นฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์แจ็กเกตสีชมพูเข้ม ปักรูปคุณทองแดงที่ด้านซ้ายของพระอุระ ทับฉลองพระองค์ชั้นในสีขาว พระสนับเพลาสีกากี ฉลองพระบาทกีฬาสีเทาดำ ประทับบนเก้าอี้หวาย ที่ตั้งอยู่กลางสนามหญ้าและสวนดอกไม้ ทรงฉายกับคุณทองแดงและคุณทองหลาง สุนัขทรงเลี้ยง ที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างพระเก้าอี้ทั้งสองด้าน ใต้ภาพคุณทองแดงและคุณทองหลางมีชื่อกำกับอยู่ทั้งสองสุนัข
      
       มุมด้านบนซ้ายมีตราพระมหาชัยพิชัยมงกุฎ และตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า ส.ค.ส. ๒๕๕๓ (สอ คอ สอ สองพันห้าร้อยห้าสิบสาม) ส่วนมุมบนด้านขวามีตราผอบทอง ถัดเข้ามามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2010 (แฮปปี้ นิวเยียร์ ทูเทาว์ซันต์แอนด์เท็น)
      
       ด้านล่าง ส.ค.ส.มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสีชมพู ระบุวันเดือนปีว่า 2009 12 27 / 15:25 (สองพันเก้า สิบสองยี่สิบเจ็ด / สิบห้า ยี่สิบห้า)
      
       กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละสองแถว ด้านข้าง ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันละ 3 แถว นับรวมกันได้ 418 หน้า ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
      
       บนกรอบ ส.ค.ส. ด้านล่างมีแถบสีชมพู บนแถบมีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 152527 ธ.ค. 52 (กอ สอ เก้า สิบห้า ยี่สิบเจ็ด ทอ คอ ห้าสอง) พิมพ์ที่โรงพิมพ์ สุวรรณชาด ท.พรหมบุรษ. ผู้พิมพ์โฆษณา) Printed at the Suvarnnachad publishing , D Bramapulra , Publisher
       (พริ้นเทด แอ้ท เดอะ สุวรรณชาด พับบลิชชิ่ง ดี. พรหมบุตร.พัลลิชเชอร์)
  


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 01, 2010, 08:31:53 PM
                             New Year Card 2010  from His Majesty the King


                     (http://www2.nectec.or.th/users/htk/gr01/hmkcard2010/F2010-640.jpg)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 02, 2010, 07:59:22 PM

      "100 คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด"

      ในระยะนี้มีข่าวคราวที่เกี่ยวกับเยาวชนไม่เว้นแต่ละวัน และที่มีอยู่เสมอเป็นระยะคือข่าวนักเรียนนักเลง ที่ตีกันจนมีนักเรียนต้องมาเสียชีวิตไป 1 รายจากการทะเลาะวิวาทกันครั้งนี้ นอกนั้นก็ยังมีข่าวเด็กนักเรียนชั้น ป3-ป6 ทำการสัก เรียนแบบภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่ง
ผมไม่ทราบว่าสมัยนี้ สถาบันครอบครัว ซึ่งเสมือนสถาบันหลักของทุกคน ค่อนข้างอ่อนแอสวนทางกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ คนในครอบครัวได้พูดคุยกันมากน้อยเพียงไร? หรือที่พูดนั้นมีความจริงใจแค่ไหน อาจจะมีแต่เพียงคำโกหกหลอกลวงกันที่ได้ถูกนำมาพูดให้กันฟังหรือมีเพียงความ เงียบและการหลบหน้ากันเพราะคนพูดไม่อยากจะพูดในขณะที่คนฟังก็ไม่อยากจะฟัง

     ผมอยากจะบอกว่าคนเราที่เรียกว่าเป็นสัตว์ชั้นสูงมีอารยธรรมก็ตรงที่มีภาษา พูด ภาษาเขียน แต่หากไม่ได้ใช้ภาษาไม่ว่าจะพูดหรือเขียนกันแล้วคนเราจะอยู่ด้วยกันด้วย ความเข้าใจกันได้อย่างไร? หรือหากพูดโดยใช้อารมณ์มากว่าเหตุผล การพูดก็ไรประโยชน์ และที่แย่กว่านั้นก็คือ คนพูดเอาแต่พูดแต่คนฟังไม่อยากจะฝังเพราะเบื่อที่จะฟัง หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในครอบครัวแล้ว อนาคตครอบครัวจะเป็นเช่นไร?

     ผมได้ เคยได้อ่านบทความเรื่อง 100 คำพูดที่พ่อแม่ควรพูด และที่ลูกไม่อยากฟัง จึงอยากจะเอามาให้ได้อ่านกัน โดยหวังเพียงให้การพูดคุยกันในระหว่างครอบครัวได้เป็นไปด้วยดี เรียกว่าคนพูดรู้วิธีพูดคนฟังก็อยากจะฝัง อะไรๆก็คงจะดีขึ้นครับ

งาน วิจัยนี้เป็นของรศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ และคณะจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานศึกษาชิ้นนี้บอกทางออกสำหรับการแก้ปัญหา ของครอบครัวอย่างหนึ่ง ซึ่งยุคนี้พ่อแม่ลูกมักคุยกันไม่รู้เรื่อง ด้วยมีปัญหาในการ "สื่อสาร" ให้เข้าใจ มันกลายเป็นว่ามีช่องว่างของวัย และอคติของความรู้ และไม่รู้แฝงอยู่ ทำให้เด็กรุ่นนี้ไม่ค่อยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ยุคปัจจุบัน และพ่อแม่ก็ไม่สามารถเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของเด็กในยุคนี้ เรียกว่าไปด้วยกันไม่ได้ และผลที่ปรากฎออกมาพบว่า เด็ก เยาวชนที่มีปัญหานั้น ล้วนเป็นปัญหาสังคมที่มีแนวโน้มความเข้มข้นที่รุนแรงขึ้น

ดัง นั้น เพื่อเป็นวิธีป้องกันปัญหาสังคมด้วยการสร้างสายสัมพันธ์อันดีให้ครอบครัวและ สังคม ดร.สมพงษ์ จิตระดับ-พร้อมคณะ ก็ได้สำรวจความคิดเห็นของวัยรุ่นว่า เขาอยากฟังอะไรจากพ่อแม่บ้าง

100 คำพูดดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูด 3 อันดับแรกสูงสุดที่เด็กๆ อยากได้ยิน เริ่มตั้งแต่?

      1. พูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ อ่อนหวานน่าฟัง
      2. พูดให้กำลังใจ, ไม่เป็นไรทำใหม่ได้ และ
      3. ให้คำปรึกษาหารือ เช่น ปรึกษาพ่อแม่ได้นะลูก ทำดีแล้วลูก ดีมากจ้ะ

นอกจากนั้นเป็นการแบ่งให้เห็นประเภทกลุ่มคำ

ความสัมพันธ์ในครอบครัว

ยอม รับในสิ่งที่เราเป็น, ให้ความรัก, พ่อแม่ดีใจที่หนูเป็นลูก, ดูแลตัวเองดีๆนะ, มีอะไรให้แม่ช่วยไหม, จำไว้ว่าพ่อเป็นห่วง, รักและหวังดี

การให้กำลังใจชมเชย

พูด ในสิ่งที่ดีกับตัวเรา, หนักแน่น มันจะช่วยให้เข้มแข็งในเวลาที่อ่อนแอ, พยายามเรียนอย่างเต็มที่, ไม่เป็นไรยินดีช่วยเสมอ, ลูกเล่นกีฬาเก่งมาก, ดูแลน้องให้ดี ไม่รังแกน้อง, สู้ต่อไป, จงทำดีเถิด, ค่อยเป็นค่อยไปทำดีที่สุด, ไม่ผิดหรอก, แก้ไขได้, ดีใจด้วย, เรียนเก่งๆนะ, ไม่ดีไม่เป็นไรเริ่มใหม่, อย่าท้อ, เราช่วยกันแก้ปัญหาได้, เวลาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น, ทำสิ่งที่อยากทำก่อนถูกผิดไม่เป็นไร ลองทำก่อน, ทำอะไรก็ขอให้สำเร็จ, ลูกสาวพ่อไม่ใช่คนโง่ย่อมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร, เก่งมากลูก, เก่งจริง, มีพรสวรรค์จริงๆ, คนเก่งไม่ต้องไปกลัว กลัวคนขยันเข้าไว้, แค่นี้ก็ดีแล้ว, คะแนนมากน้อยไม่สำคัญขอแค่อย่าตกก็พอแล้ว

การอบรมสั่งสอน

อย่า เพิ่งกลับนะมันดึกแล้ว, ไม่เป็นเด็กขโมย, ไม่ไปมั่วสุมยาเสพติด, บอกอะไรควรเชื่อฟัง, ไปไหนระวังตัวด้วยนะลูก, วันนี้รีบกลับนะ, ผิดเป็นครู, ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว, ช่วยทำงานเสร็จแล้วค่อยไปเล่น, พ่อและแม่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ขยันเข้าไว้นะ, ที่พ่อแม่ทำโทษเพราะรักลูกนะ อยากทำให้คิด ไม่อยากทำให้โกรธ ไม่ใช่ไม่รัก, ไหนลองยกเหตุผลมาซิ, ตั้งใจเรียนให้เก่ง อย่ามัวแต่เล่นเดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน, เพื่ออนาคตลูกต้องตั้งใจเรียน, ลำบากก่อนสบายทีหลัง, การทำสิ่งใดต้องรู้คุณค่าของคน คือความกตัญญู, พ่อแม่ลำบากเพื่อลูก, ลูกต้องลบคำดูถูกของคนทางบ้านเราให้ได้, เพื่อแบบนี้ต้องมีมั่ง อย่าทำอย่างเขาแล้วกัน

การแก้ปัญหา การให้คำปรึกษา

มี อะไรคุยกันได้ทุกเมื่อ, เงินทองของนอกกายแต่เก็บไว้บ้างก็ดีนะ, ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจอย่างไร พ่อแม่หาทางช่วยเหลือหาทางออกให้, ใจเย็นๆทุกอย่างมีทางแก้

การถามถึงสารทุกข์
ชวน มากินข้าว, ไปไหนมาลูก, อยากกินอะไรไหม, ทำข้อสอบได้ไหม, ที่ไปเอ็นทรานซ์มาน่ะ ไม่ต้องเครียด, การบ้านทำเสร็จหรือยังลูก ทำให้เสร็จจะได้พัก, ทำไมเหรอ (พ่อ/แม่) อะไร ยังไงคะ

การแจ้งให้ทราบ
แม่ ซื้อของมาฝาก, แม่จะไปธุระข้างนอก, เดี๋ยวแม่พาไปเที่ยว, พ่อจะเก็บเงินที่ไหนมาไว้ให้, พ่อจะพาพวกเรากลับบ้าน, วันนี้พ่อจะไม่กินเหล้าและเลิก, พ่อจะไปทำงาน (พ่อมีงานทำ), จะพาไปหาหมอ, จะพาไปโรงเรียน, จะหางานทำให้, จะพาไปต่อบัตรประชาชน, จะพาไปเข้าค่าย, ช่วยแม่ทำงานนี้หน่อยสิจ๊ะ

ลักษณะการพูดที่ดี
พูด เป็นกันเองไม่ถือตัว, ไม่พูดเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่, เป็นผู้อ่อนน้อม, ไม่ตี ,พูดจริงทำจริง, สั้นๆง่ายๆได้ใจความ, คำพูดที่เข้าใจเราให้ความรู้สึกที่ดี, คำพูดที่ยอมรับไม่ซ้ำเติม, แม่พูดจาดีกับเด็ก, ตั้งใจสนทนา, รับฟังทุกเรื่องราว, ไม่ทำให้หงุดหงิด, ทำให้ความคิดไม่ถูกปิดกั้น, คำพูดมีสาระเนื้อน่าฟัง, ฟังความคิดผู้อื่น, การพูดที่ไม่โต้แย้งกัน, ลงท้ายคำพูด คะ ขา ข่ะ ออ?จ๋า

ผมขอฝากคำพูดที่น่าฟังเหล่านี้ไปถึงคุณพ่อ-แม่ทุกคนพูดกับลูกหลาน เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ครอบครัวของทุกๆคน นะครับ

คำพูดที่ลูกไม่อยากฟังจากพ่อแม่........

   เมื่อได้พูดถึงคำพูดที่น่าฟังแล้วและเพื่อสร้างความตระหนักแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งหลายว่า คำพูด หรือการสื่อสารในสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก่อน มีผลต่อผู้ฟังอย่างมาก
โดยเฉพาะวัยรุ่นวัยที่แข็งกร้าว ชอบการท้าทาย ซึ่ง ดร.สมพงษ์กล่าวว่า คนเป็นพ่อแม่นั้นอย่าใช้คำว่า "ห้าม" กับลูกวัยรุ่น เพราะผลการศึกษา
เราพบเด็กสารภาพว่า ถ้าการขออนุญาตกระทำสิ่งใดแล้ว พ่อแม่ห้าม เขาจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะอยากท้าทาย และอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร
ดังนั้น พ่อแม่ยุคนี้จึงต้องฟังลูกให้มาก บ่นให้น้อยลง อยู่กับเขาอย่างใจเย็น พูดคุยด้วยการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม

    เพื่อเป็นการเตือนตัวเองว่า คำพูดรุนแรง ที่จะสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับลูก 3 อันดับแรกคือ พูดคำหยาบ คำไม่สุภาพ ตามมาด้วย การด่าทอ พูดเสียงดังโหวกเหวก พูดจาทานดัน ไม่ยอมรับฟังเหตุผล เมื่อจำแยกเป็นประเภท จะได้ดังนี้


ลักษณะคำพูดที่รุนแรง
พูด บ่อยเกินไปซ้ำๆ ไม่มีสาระ, พูดมะนาวไม่มีน้ำ, รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็ก, ไม่มีความเกรงใจ, ผลาญเงินเท่าไรผลาญไปเลย, ไม่รู้ว่าลับหลังเรามันจะขนาดไหน, อยู่เฉยๆไม่ตอบไม่พูดไม่จา, น้ำเสียงน่ากลัว, คะแนนห่วยแตก, คำพูดที่ทำให้ผู้อื่นเสียใจ

พูดดุด่า ด้วยอารมณ์ที่รุนแรง
โต เป็นควาย หมาเลียตูดไม่ถึง ยังทำแบบนี้อีก, ไม่ได้เรื่อง, มีปัญหากับกูรึเปล่า, โง่อวดฉลาด, ลูกนอกคอก, เถียงคำไม่ตกฟาก, กลับดึกดื่น ค่ำมืด, เลี้ยงเสียข้าวสุก, เกิดมาทำไมเรื่องมาก วุ่นวาย, ฉันยังเป็นแม่แกอยู่นะ

พูดตักเตือน ว่ากล่าว
อะไร เนี่ย อะไรถึงเป็นแบบนี้, หยุดพูดได้แล้ว, ว่ากล่าวตักเตือน, คำสั่งงานต่างๆ, เป็นลูกผู้หญิงไม่เคยช่วยงานพ่อแม่เลย, อย่าเสียมารยาทสิ, คุยอะไร โทรศัพท์บอกให้วาง, ทำไมไม่ระมัดระวังเลย ซุ่มซ่าม

พูดห้าม ออกคำสั่ง
อย่า เพิ่งมากวน, นี่อย่าส่งเสียงดังได้ไหม, ขอออกไปข้างนอกบ้าน แต่พ่อแม่ปฏิเสธ "ไม่ต้องไป", จะไปหรือไม่ไป, เป็นเด็กเป็นเล็ก เรื่องผู้ใหญ่อย่ายุ่ง, อย่าทำอย่างนั้นสิ, อย่าออกไปไหนนะ, อย่าทำอีก

คำพูดขับไสไล่ส่ง
เอา เงินกับเพื่อนแกโน่น, ตัดลูกตัดแม่กันไปเลย, เดี๋ยวตัดหางปล่อยวัด คำพูดดูถูกประณาม เหยียดหยาม สอนอะไรไม่จำ พูดจนปากเปียกปากแฉะ, ฉันจะดูว่าน้ำหน้าอย่างแกจะไปรอดไหม

พูดประชดประชัน
ให้แต่เพื่อน, จะเอาเพื่อนมาเป็นพ่อแม่

ลักษณะคำพูดอื่นๆ
อยากอยู่ใกล้ๆเพื่อน, อยากอยู่คนเดียว,พอเราแก่ลงลูกคงไม่เลี้ยงดูเราหรอก

คำพูดหลักๆข้างต้นเมื่อพูดไปแล้วส่งผลต่อจิตใจ กระทบความรู้สึกกับผู้ฟัง โดยเฉพาะคนเป็นลูกที่พ่อแม่ควรระวังอย่างยิ่ง

By: จากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน 17/3/46 คอลัมน์ โลกวัยใส


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 04, 2010, 08:07:02 AM
@ เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา @


รายงานโดย :หนูดี - วนิษา เรซ:

บทความดีๆนำมาฝากจาก http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=32148 (http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=32148)


    รู้ไหมคะว่า เราสามารถผลิตทั้งสารพิษและยาอายุวัฒนะได้...ในสมองของเรา

เป็นที่ยอมรับว่า ฮอร์โมนชนิดต่างๆ ที่หลั่งออกมาในสมอง มีผลโดยตรงกับพฤติกรรมของเรา และเราฝึกพฤติกรรมใดบ่อย...

สิ่งนั้นก็สะสมเป็นนิสัย ถ้าเราอยากมีสมองดี เราก็ฝึกพฤติกรรมดีๆ จนติดเป็นนิสัยดีๆ ก็จะช่วยดูแลสมองของเรา...

เทคนิคการดูแลสมองมีง่ายๆ เท่านี้เอง


     นักวิจัยทางสมองก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า ฮอร์โมน ที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น คอร์ติซอล เมื่อหลั่งออกมาบ่อยๆ เป็นประจำ ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานแล้ว มีผลทำให้เซลล์และเส้นใยสมองถูกทำลายจนเสื่อมคุณภาพ และยิ่งเกิดขึ้นยาวนานเท่าไร การทำลายล้างก็กินวงกว้างและมีผลถาวรมากขึ้นเท่านั้น และที่ควรกังวลก็คือ ส่วนของเซลล์สมองที่ถูกพุ่งเป้าไปทำร้ายโดยฮอร์โมนนี้ มีส่วนของ ?ฮิปโปแคมพัส? อยู่ด้วย


     ทำไมเราต้องกังวลกับฮิปโปแคมพัสกันด้วยเล่า...

ตอบได้แบบง่ายๆ เลยก็คือ ส่วนนี้ของสมองเป็น ?เครื่องบันทึกความจำ? ของเราค่ะ

ฮิปโปแคมพัสทำหน้าที่บันทึกเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้ในระหว่างวันลงสู่ ?ความทรงจำระยะยาว? ให้เราในเวลาที่เรานอนหลับ

ดัง นั้น หาก เซลล์ในนี้ถูกทำลาย ก็หมายได้เลยว่าเราจะเป็นคนจำไม่แม่น เลอะๆ เลือนๆ ลืมนั่น ลืมนี่ เรียนอะไรก็จำไม่ค่อยได้ หรือได้หน้าลืมหลัง

ถ้าทำงานก็เหมือนคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ทำกุญแจรถหายเป็นประจำ และอีกสารพัดเรื่องน่าอึดอัดขัดใจที่เป็นคุณสมบัติประจำตัวของ ?คนความจำไม่ดี?

ใครๆ ก็อยากเป็นคนจำเก่ง จำแม่น เรียนอะไรฟังอะไรครั้งเดียวก็จำได้...

และไม่แปลกที่เด็กเรียนเก่ง และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนมีความจำดีเลิศทีเดียว...

เรื่องการฝึกความจำนั้น เป็นเรื่องที่เราทำได้ และสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ

ด้วยการเห็นภัยของการมีความทุกข์สะสม ต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน

เห็นภัยของการกอดทุกข์ ภัยของความเจ้าคิดเจ้าแค้นและไม่ยอมให้อภัยใคร

เรามักคิดว่า ?ถ้าเราให้อภัยเขาง่ายๆ เขาก็ไม่ต้องชดใช้ความผิดสิ?

แต่ขอให้มองในมุมกลับกันว่า...

ยิ่งเราคิดแค้นเขานานเท่าไร เท่ากับเราไปสร้างโรงงานปล่อยสารพิษ (สารคอร์ติซอล) ออกมาในสมองเรื่อยๆ เพื่อทำลายสมองของตัวเอง...

ส่วนอีกคนที่เราโกรธนอนสบายอยู่ที่ไหนไม่รู้ มีแต่เราที่นอนปล่อยสารเคมีพิษออกมาทำลายเซลล์สมองอันมีค่าไป ทีละเซลล์ ทีละเซลล์


   ดังนั้น การให้อภัยจึงไม่ใช่เรื่องของการ ?ทำดีให้คนอื่น? แต่เป็นการเมตตาสมองก้อนน้อยๆ ของเราเต็มๆ ด้วยการรู้เท่าทันกระบวนการหลั่งสารเคมีตามธรรมชาติของสมอง

และไม่ยอมให้ใครในโลกมาเป็นเหตุให้เราทำลายสมอง ที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเรา

เพราะ ?ทุกครั้งที่เรายอมให้ทุกข์เกาะกินใจ นั่นคือเราให้ใบอนุญาตร่างกายให้ทำลายสมองทุกๆ นาที?


          แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น ความเครียดและความทุกข์ในระยะสั้นๆอาจให้ผลตรงกันข้ามเลยทีเดียว คือ....

ยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีด้วยซ้ำ เช่น ความเครียดอ่อนๆ ในระยะก่อนสอบ ยิ่งทำให้เราอ่านหนังสือได้ดีขึ้น จำได้แม่นขึ้น

เพราะสารเคมีที่หลั่งออกมาสำหรับความเครียดในระยะสั้นนั้น ชื่อว่า ?อะดรีนาลิน? ซึ่งเป็นคนละตัวกับฮอร์โมนความเครียดระยะยาว

แม้ ?อะดรีนาลิน? จะไม่ใช่สารบำรุง แต่ในระยะสั้นก็ช่วยกระตุ้นให้เราทำงานได้เสร็จเร็วขึ้นทันเวลาเส้นตายนะคะ ไม่ดีแต่ก็ไม่ร้าย...มีใช้ชั่วคราวเวลาฉุกเฉินได้ค่ะ

เมื่อความทุกข์ทำให้เราฉลาดน้อยลง แต่เมื่อความสุขบำรุงสมอง...ก็ทำให้เราฉลาดขึ้น



อีกด้านหนึ่งของเหรียญอารมณ์ คือ ความสุข ก็สามารถบำรุงหล่อเลี้ยงให้เราฉลาดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

คนที่มีความสุขมากๆ นอกจากหน้าตาแจ่มใส ผิวพรรณดี ดวงตาใสแจ๋วแล้ว...

ลึกเข้าไปในสมองของเขา หากเรามีตาทิพย์เห็นได้เหมือนเครื่องสแกนสมองของโรงพยาบาล

เราก็จะเห็นว่าภายในนั้นกำลังมีสารเคมีดีๆ หลั่งออกมาบำรุงสมองอยู่เป็นจำนวนมาก

โครงสร้างของเส้นใยสมองก็วางรูปแบบทางเดินใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่เรา ?อารมณ์ดี?

ยิ่งเราอารมณ์ดีมีสุขนานเท่าไร เราก็ยิ่งมีเส้นใยดีที่ช่วยส่งผ่าน ?ข้อมูลความสุข? มากขึ้นเท่านั้น

สารอารมณ์ดีเหล่านี้ ทำให้สมองโล่ง ตื่นตัว พร้อมทำงาน...

ใครที่ตื่นมาสดชื่น แจ่มใสก็รู้ตัวว่าวันนั้นเขาสามารถทำงานได้ดีกว่าวันที่อารมณ์ขุ่นมัว

ยิ่งเราอารมณ์ดีบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์ดีง่าย และยิ่งเราอารมณ์เสียบ่อยเราก็ยิ่งอารมณ์เสียง่าย...

        เหตุผล ที่เป็นเช่นนี้อธิบายได้ไม่ยากก็คือ ยิ่งเราทำพฤติกรรมใดบ่อย สมองเราก็ยิ่งสร้างเส้นใยสมองในเรื่องนั้นๆ ออกมาเยอะ ทำให้เราทำเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้นในครั้งต่อๆ ไป

สังเกตไหมคะว่า คนอารมณ์เสีย ยิ่งนานวันเข้า ยิ่งอารมณ์เสียได้ง่ายขึ้น      ในขณะที่คนอารมณ์ดียิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ยิ่งดูอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น

นั่น เป็นเพราะยิ่งเรามีพฤติกรรมใดบ่อยจนติดเป็นนิสัย ก็ยิ่งทำให้เส้นใยสมองสร้างออกมาเยอะในเรื่องนั้น...และเราก็เป็นคนแบบนั้นในที่สุด

        แล้ววันนี้ ผู้อ่านของหนูดีฝึกพฤติกรรมอะไรจนติดเป็นนิสัยบ้างคะ?


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 05, 2010, 04:14:37 PM
12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง พ่อแม่สร้างได้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    

   
       จะว่าไปแล้ว ระดับของสติปัญญาจะดีหรือด้อย ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับพันธุกรรม หรือ ยีน ค่อนข้างมาก พูดง่ายๆ ว่า ถ้าพ่อแม่เฉลียวฉลาด ย่อมมีโอกาสสูง ที่ลูกจะเฉลียวฉลาดได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องของพันธุกรรมที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบเสริมด้วย เช่น การได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และตลอดช่วงวัยของเด็ก บวกกับได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม
      
       แต่ ในขณะที่อีกหนึ่งความฉลาด นอกจาก I.Q. แล้ว ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ E.Q. ก็เป็นส่วนสำคัญต่อตัวเด็กเองไม่ใช่น้อย เป็นสิ่งที่พ่อแม่สร้างให้ลูกได้เอง ซึ่งเด็กจะมีพฤติกรรม หรือนิสัยอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นหลักใหญ่ ดังนั้น การให้ความสำคัญในเรื่องของอีคิวกับลูกตั้งแต่เล็ก จะช่วยให้เด็กอยู่ในสังคมข้างหน้าอย่างมีความสุขทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่น
      
       วันนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ 'นพ.กมล แสงทองศรีกมล' กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น รพ.กรุงเทพ ได้ให้เคล็ดลับ การสร้างลูกรักให้ดี และมีอีคิว หรือความฉลาดทางอารมณ์ที่สูง ไว้ 12 ข้อ ทั้งนี้เพื่อนำมาให้คุณพ่อ คุณแม่ นำไปปรับใช้เป็นคู่มือในการเลี้ยงลูกกันครับ
      
       *** 12 วิธี เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง
      
       1. ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมาก และไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย กระนั้น การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายที่บ่งบอกถึงความรักของพ่อแม่ต่อลูกได้เป็นอย่างดี
      
       2. ครอบครัวมีสุข การที่คุณพ่อ คุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมถึงมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้าง ก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกัน
      
       อย่าง ไรก็ดี คุณหมอ ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดแย้งกันเองในการวางกฎเกณฑ์ โดยครอบครัวหนึ่ง มีลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบ ร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปสติกของแม่ กับเรื่องนี้ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่า ที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่น เพราะลิปสติกจะหักเสียหายได้ แต่หากเวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาตให้ลูกเล่นได้ หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" ส่งผลให้เด็กสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่า เรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกันได้
      
       3. รู้-เข้าใจพัฒนาการของลูก จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติตัวต่อลูกได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ซึ่งพัฒนาการไม่ได้หยุด หรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่จะต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย แต่ส่วนใหญ่ คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าช่วงวัยรุ่นแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าลูกมีพัฒนาการเหมือน 2-3 ปีก่อน

       ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อ คุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศัพท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อย เมื่อลูกรู้ คงต้องโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญ นั่นคือ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรมีความรู้ และความเข้าใจพัฒนาการของลูกด้วย จะช่วยให้ปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม
      
       4. พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุด ถ้าพ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ อย่างน้อย ตกกลางคืน ก็ควรให้เวลากับลูกบ้าง เพราะจะได้มีประสบการณ์ และได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นขึ้นมาให้นมลูก เวลาลูกร้องหิวตอนกลางคืน หรือได้โอบกอด และปลอบให้ลูกหลับต่อ นั่นจะยิ่งทำให้พ่อแม่รัก และเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น
      
       5. ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อลูกทำดี หรือประสบความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อลูกท้อแท้ ก็ควรให้กำลังใจ ซึ่งบางคนบอกว่า ชมมากเดี๋ยวลูกจะเหลิง แต่การชมไม่ให้เหลิง คือการชมอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล นั่นจะช่วยให้เด็กมีความภาคใจในตัวเอง เป็นเรื่องที่มีค่าต่อความรู้สึกของลูกมาก
      
       6. ให้อิสระ-โอกาสในการตัดสินใจ จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย)
      
       7. สอนลูกให้รักตัวเอง-รักคนอื่น พ่อแม่สอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่น พาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
      
       8. ให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุ-เป็นผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกอยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักการและเหตุผลว่าควรซื้อ หรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร เป็นต้น

   
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       9. สอนลูกรู้จักหาความสุขให้ตัวเอง ข้อนี้ก็มีความสำคัญมาก เพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จในการเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่งของตัวเองไว้ให้ได้ตลอด ไป หรือให้เก่งมากขึ้นเพื่อเอาชนะคนอื่น
      
       10. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆ แล้วลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ในแบบที่ไม่ต้องพูด หรือสอนเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่น เวลาอยู่บ้านว่างๆ ก็จะหยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ก็มักจะแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่านหนังสือไปโดยไม่รู้ตัว
      
       อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง และรับผิดชอบ เช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่บ้าน ก็ควรให้ลูกยกจานที่ทานเสร็จ ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะ แล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร
      
       11. กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้านต้องพอดี กับเรื่องนี้ พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรัก ความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนให้รู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะทางสายกลางตามหลักพระพุทธ ศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และมีรายละเอียดมาก
      
       12. ระบบการศึกษาก็มีส่วนเอี่ยวกับอีคิว คง เคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน ดังนั้น การศึกษาย่อมส่งผลต่อ E.Q. ของลูกด้วย ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรทำความเข้าใจกับระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ของเด็กด้วย
      
        เห็นได้ว่า ทุกวันนี้ พ่อแม่จะให้ลูกฉลาดอย่างเดียว คงไม่พอ แต่ต้องมีความฉลาดทางอารมณ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตด้วย เพื่อที่เด็กจะได้มีพื้นฐานในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเข้าใจตัวเอง และคนอื่นได้เป็นอย่างดี
      
       /// ข้อมูลประกอบข่าว ///
      
       E.Q. ย่อมาจาก Emotional Quotient หรือ Emotional Intelligence หมายถึง ความฉลาดทางอารมณ์ คนที่มีอีคิวดี คือ คนที่รู้จักและเข้าใจอารมณ์ตัวเองได้ รู้จักแยกแยะควบคุมอารมณ์ได้ และสามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะและปรับตัวให้เข้ากับ สังคมอย่างเหมาะสม ช่วงไม่กี่ปีมานี้ กระแสอีคิวกำลังมาแรง อาจเป็นด้วยว่าภาพสะท้อนของผู้คนในสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลง เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม ระบบของอีคิวจะเริ่มเสีย รัฐจึงควรหาปัจจัยเกื้อหนุนส่งเสริมสุขภาพทางจิตใจให้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าระยะ 10 ปีที่ผ่านมาสุขภาพจิตของคนเราเสื่อมลงมาก มีปริมาณคนไข้ทางจิตสูงขึ้น



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 07, 2010, 03:13:02 PM
สมาธิภาวนา
โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท


วัดหนองป่าพง
ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


ผู้แสวงบุญทั้งหลาย ที่มารวมกันแล้ว เพื่อจะได้ฟังธรรมะต่อไปให้ฟังธรรมะอยู่ในความสงบ การฟังธรรมะในความสงบนั้น คือทำจิตให้เป็นหนึ่ง หูเรารับฟัง สัมผัสถูกต้อง แล้วก็ปล่อยไปอย่างนี้ เรียกว่า ทำจิตให้สงบ

การฟังธรรมะนี้ก็เป็นประโยชน์มาก ส่วนหนึ่งเกี่ยวแก่การปฏิบัติธรรมะ ดังนั้นการฟังธรรมะ ท่านจึงให้ตั้งกายตั้งใจให้เป็นสมาธิ ในครั้งพุทธกาลนั้น ฟังธรรมะให้เป็นสมาธิเพื่อรู้ธรรมะ สาวกบางองค์ได้ตรัสรู้ธรรมะในอาสนะที่นั่งนั้นก็มีอยู่มาก

สถานที่นี้เป็นที่สมควรที่จะทำกรรมฐานมาก อาตมามาพักอยู่ที่นี่คืนสองคืนมาแล้ว รู้ว่าสถานที่นี้เป็นที่สำคัญมาก สถานที่ข้างนอกสงบแล้ว ยังแต่สถานที่ข้างในคือจิตใจของเราเท่านั้น ดังนั้นพวกเรา ทั้งหลายที่มานี้ ขอให้ตั้งใจทุกคน ถึงแม้ว่ามันจะสงบบ้างไม่สงบบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา

ทำไมเราจึงได้มารวมทำความสงบอยู่ที่นี่ เพราะจิตใจของเรายังไม่รู้สิ่งที่ควรรู้ คือยังไม่รู้ตาม ความเป็นจริงว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันผิด อะไรมันถูก อะไรมันทำความทุกข์ให้เรา อะไรมันทำความสงสัยให้เราอยู่ เราจึงมาทำความสงบกันก่อน เหตุที่เราต้องมาทำความสงบระงับในที่นี้ เพราะว่า จิตใจไม่สบาย จิตใจไม่สงบ จิตใจไม่ระงับ วุ่นวาย สงสัย จึงนัดมา ณ ที่นี่ เพราะฉะนั้นวันนี้ตั้งใจฟังธรรมะ

การฟังธรรมะของอาตมานั้นอยากให้ตั้งใจฟังให้ดี อาตมาชอบพูดแรงหน่อยชอบพูดรุนแรงหน่อย เพราะนิสัยเป็นอย่างนี้ แต่จะพูดรุนแรงอย่างไรก็ตามเถอะ อาตมาก็ยังมีความเมตตาอยู่ตลอดกาลตลอดเวลาอยู่นั่นเอง การพูดบางสิ่งบางอย่างนั้นขออภัยด้วยทุกๆ คน เพราะว่าประเพณีเมืองไทยกับชาวตะวันตกนี้มันไม่คล้ายกัน มันคนละอย่าง บางทีมันอาจทำให้ไม่ค่อยสบายใจก็ได้ พูดรุนแรงหน่อยก็ดีนะ มันตื่นเต้น ไม่งั้นมันหลับเฉย ไม่รู้ว่าอะไรมันนอนใจอยู่อย่างนั้น มันนิ่งเฉยอยู่ไม่ลุกขึ้นมาฟังธรรม

การปฏิบัตินี้ก็มีหลายอย่าง แต่มันก็มีอย่างเดียว เช่นว่าการปลูกต้นไม้ที่ได้รับผลนั้น บางทีก็ได้กินเร็วๆ คือเอาทาบกิ่งมันเลย อันนี้เรียกว่ามันไม่ทนทาน อีกอย่างหนึ่ง เอาเมล็ดมันมาเพาะปลูกจากเมล็ดมันเลย อันนี้มีความแน่นหนาถาวรดีมาก ตามความจริงเป็นอย่างนี้เป็นธรรมดาทุกคน

ตัวอาตมาเองก็เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรนั้น ก็ไปนั่งทำกรรมฐานลำบากมาก จนร้องไห้ตั้งหลายเวลาหลายครั้งเหมือนกัน บางอย่างมันคิดสูงไป บางอย่างมันคิดต่ำไป ไม่ถึงความพอดีของมัน เพราะว่าการปฏิบัติที่สงบนี้ ไม่สูง แล้วก็ไม่ต่ำ คือความพอดี แล้วก็มาเห็นญาติโยมทั้งหลายที่นี้ มันยุ่งมาก คือต่างคนต่างฝึกมา ต่างคนต่างมีครูบาอาจารย์เหลือเกินแล้ว ก็มารวมทำนี่ เกิดความสงสัยมาก อย่างอาจารย์นั้นต้องทำอย่างนั้น อาจารย์นี้ต้องทำอย่างนี้ ครูนั่นต้องทำอย่างนั้น มานั่งเถียงกันเลยวุ่น ไม่รู้จักว่าจะเอาอันไหน ไม่รู้จักเนื้อจักตัว มันเลยวุ่น มันหลายเกินไป มากเกินไป ไม่รู้ว่าจะเอาอะไร ให้มันเป็นที่หนึ่งได้ สงสัยตลอดมา

ฉะนั้น พวกเราอย่าคิดให้มันมาก ถ้าจะคิดให้มันรู้จักอย่างนี้ไม่รู้หรอก ต้องทำจิตเราให้สงบเสียก่อน ที่มันรู้ไม่ต้องคิด ความรู้สึกมันจะเกิดมาในที่นี่เอง มันจึงเป็นปัญญา คิดนั้นไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ตัวปัญญา มันติดเรื่อยไปไม่รู้เรื่อง ยิ่งคิดยิ่งวุ่นวาย

ฉะนั้น มาถึงที่นี่ก็ต้องพยายามอย่าให้คิด อยู่ในบ้านเราเคยคิดมากๆ แล้วไม่ใช่เหรอ มันกวนใจ ให้รู้อย่างนั้น คิดมากๆ ไปน้ำตามันไหลออกด้วย ละเมอหลงติดไปน่ะ ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ปัญญา พระพุทธองค์ท่านมีปัญญามาก ท่านจึงหยุดคิด อย่างนี้เรามาฝึกก็เพื่อให้มันหยุดคิด นั่งให้สงบ ให้มีความสงบ ถ้าคิดปัญญาไม่เกิด ธรรมะไม่เกิด เกิดแต่สังขารปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ถ้าสงบแล้วไม่ต้องคิด แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นตรงนั้น เมื่อเราคิดอยู่ปัญญาไม่เกิด เมื่อเรามีความสงบแล้ว ความรู้สึกจะเกิดขึ้นมาในความสงบนั้น มีพร้อมกันทั้งความคิด มีพร้อมกันทั้งปัญญา เป็นคู่กันเลย ถ้าจิตใจเราไม่สงบ ปัญญาไม่มี มีแต่จะคิดอย่างเดียวเท่านั้น มันถึงยุ่ง

การนั่งสงบจิตนี่ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย บัดนี้เราจะต้องทำจิตอันนี้อย่างเดียว ไม่ปล่อยจิตของเราให้มันพุ่งไปข้างขวาข้างซ้าย ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างบน ข้างล่าง จะทำอะไร จะทำอันนี้ จะทำจิตคืออานาปานสตินี่ กำหนดจากศีรษะลงไปหาปลายเท้า กำหนดปลายเท้าขึ้นมาศีรษะ กำหนดจากศีรษะลงไป ดูด้วยปัญญาของเราอันนี้ เพื่อให้เป็นเหตุ ให้รู้จักร่างกายของเราก่อน แล้วก็นั่งกำหนดว่า บัดนี้ ธุระก็เดินต่อ หน้าที่ของเรานั้นก็คือให้ดูลมหายใจเข้าออก อย่าไปบังคับให้มันสั้น หรือบังคับให้มันยาว ปล่อยตามสบาย ไม่ให้กดดันมัน ให้มีความปล่อยวาง อยู่ในช่วงลมหายใจเข้าออกเสมออย่างนี้

การกระทำนี้ให้เข้าใจว่า เป็นการกระทำด้วยการปล่อยวาง แต่มีความรู้สึกอยู่ ให้มีความรู้สึกอยู่ ในการปล่อยวาง ลมหายใจเข้าออกสบาย ไม่ให้กดดัน ปล่อยตามธรรมชาติ ให้มันสบาย ให้คิดว่าธุระหน้าที่อย่างอื่นของเราไม่มี ความคิดที่ว่าการนั่งอย่างนี้มันจะเป็นอะไร แล้วมันจะเห็นอะไรอย่างนี้จะเกิดขึ้นมา ก็ให้หยุด หยุดไม่เอา มันจะเป็นอะไร จะรู้อะไร มันจะเห็นอะไรไหม แม้ความคิดเช่นนี้มันจะเกิดขึ้นมาในเวลานั้นก็ตามที

เมื่อเรานั่งอยู่นั่น ไม่ต้องรับรู้อารมณ์ เมื่ออารมณ์ที่มากระทบกระทั่งเมื่อไร รู้สึกในจิตของเรา แล้วปล่อยมันไป มันจะดีจะชั่วก็ช่างมัน ในเวลานั้นไม่ใช่ธุระหน้าที่ของเราจะไปจัดแจงในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ปล่อยมันออกไปเสียก่อน แล้วกำหนดลม เอาคืนมาให้มีความรู้สึกแต่ลมอย่างเดียว เข้าออก แล้วให้มันสบาย อย่าให้มันทุกข์เพราะมันสั้น ทุกข์เพราะมันยาว อย่าให้มันทุกข์ ดูลมหายใจ อย่าให้มีความกดดัน คืออย่ายึดมั่น รู้แล้วให้ปล่อยตามสภาวะของมันอย่างนั้นให้ถึงความสงบ ต่อไปจิตมันก็จะวางลมหายใจ มันก็จะเบา เบาไป ผลที่สุดลมหายใจมันจะน้อยไปน้อยไป จนกระทั่งปรากฏว่ามันไม่มีลม ในเวลานั้นจิตมันก็จะเบา กายมันก็จะเบา การเหน็ดเหนื่อยเลิกหมดแล้ว มีเหลือความรู้อันเดียวอยู่อย่างนั้น นั่นเรียกว่าจิตมันเปลี่ยนไปหาความสงบ แล้วนี่พูดถึงการกระทำในเวลาเรานั่งสมาธิอย่างเดียว

ถ้าหากว่าจิตใจมันวุ่นวายมากก็ตั้งสติขึ้นสูดลมเข้าไปให้มันมากจนไม่มีที่ เก็บ แล้วก็ปล่อยมันหมด จนกว่าที่มันไม่มีในนี้แล้วก็หายใจเข้ามาอีก สูดมันให้เต็มแล้วก็ปล่อยไปสามครั้งตั้งจิตใหม่ มีความสงบขึ้น ถ้ามีอารมณ์วุ่นวายอีก ก็ทำอย่างนี้อีกทุกครั้ง จะเดินจงกรมก็ตาม จะนั่งสมาธิก็ตาม ถ้าเดินจงกรมมันวุ่นวายมากก็หยุดนิ่ง กำหนดให้ลงในที่สงบ ตั้งใหม่ให้รู้ จิตจึงจะเกาะ แล้วไปนั่งสมาธิก็เหมือนกันอย่างนั้น เดินจงกรมก็เหมือนกันอย่างนั้น มันต่างกันแต่อิริยาบถนั่งกับอิริยาบทเดินเท่านั้น

บางทีความสงสัยก็มีบ้าง ต้องให้มีสติ มีผู้รู้ ที่มันวุ่นวายเป็นอย่างๆ ก็ติดตามอยู่เสมอ อาการนี้เรียกว่ามีสติ สติตามดูจิต จิตเป็นผู้รู้ อาการที่ตามดูจิตของเรานั้นอยู่ในลักษณะอันใดก็ให้เรารู้อย่างนั้น อย่าเผลอไป

อันนี้เป็นเรื่องสติกับจิตควบคุม พอถึงกันแล้วก็จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ถ้าจิตมันพอที่จะสงบแล้ว จิตที่มันถูกคุมขังอยู่ในที่สงบเหมือนกับเรามีไก่ตัวหนึ่งที่ใส่ไว้ในกรง นั้น ไก่ที่อยู่ในกรงนั้นมันไม่ออกไปจากกรง แต่ว่ามันเดินไปเดินมาได้ในกรงนั้น อาการที่มันเดินไปเดินมานี่ไม่เป็นอะไร เพราะมันเดินไปเดินมาได้ในกรงนั้น ความรู้สึกของจิตที่เรามีสติสงบอยู่นั้น มีความรู้สึกในที่สงบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่มันให้เราวุ่นวาย คือเมื่อมันคิด มันรู้สึก ให้มันรู้สึกอยู่ด้วยความสงบ ไม่เป็นอะไร

บางคนเมื่อมีความรู้สึกขึ้นมา ก็ไม่ให้มันมีความรู้สึกอะไร อย่างนี้ผิดไป ไม่ได้มีความรู้สึกอยู่ในที่สงบ รู้สึกอยู่ด้วยความสงบ รู้สึกอยู่ก็ไม่รำคาญ นี่สงบ อยู่อย่างนี้ไม่เป็นไร ตัวที่มันสำคัญก็คือตัวที่มันออกจากกรงไป เช่นว่า เรามีลมหายใจเข้าออกอยู่อย่างนี้ ลืมไป ลมหายใจไปเที่ยวในบ้าน ไปเที่ยวในตลาด ไปเที่ยวโน้น สารพัดอย่าง บางที ครึ่งชั่วโมงถึงมา อ้าวอะไรตายไม่รู้เรื่อง นี่ตัวสำคัญ ระวังให้ดี ตัวนี้สำคัญ มันออกจากกรงไปแล้วนี่ มันออกจากความสงบแล้วนี่

ต้องระวัง ต้องให้มีสติมารู้ ต้องพยายามดึงมันมา ที่ว่าดึงมันมานี่ก็คือไม่ใช่ดึงหรอก มันไม่ไปที่ไหนหรอก คือเปลี่ยนความรู้สึกเท่านั้นเอง ให้มันอยู่ที่นี่ มันก็มีอยู่ที่นี่ มีสติที่นี่เมื่อไหร่ก็มีอยู่ที่นี่ แต่สมมุติว่าดึงมันมา มันไม่ได้ไปที่ไหนหรอก มันเปลี่ยนแปลงอยู่ที่จิตเรานี้ ที่สังเกตว่ามันไปโน่นไปนี่ ความเป็นจริงมันไม่ได้ไป มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตรงนี้ มันมีสติพรึบเข้ามาแล้ว มันก็มาทันที มันไม่มาจากอะไร มันรู้สึกอยู่ที่นี่เอง ให้เข้าใจอย่างนั้น

อันนี้เรื่องจิต จิตเราที่อยู่มีอะไรเป็นเครื่องหมายไหม คือมีความรู้บริบูรณ์ ติดต่อกันไม่ได้ขาด รู้ตลอดเวลานั้นเรียกว่าจิตของเราอยู่ตรงนี้ ถ้าเราไม่รู้ลมอะไร มันไปที่ไหนนั่นเรียกว่าขาด ถ้าหากว่ารู้เมื่อไหร่ มีลมก็มีจิต มีลม มีความรู้สึกสม่ำเสมอนี้ ตัวเดียวอันนั้นน่ะอยู่กับเราแล้ว อันนี้พูดถึงอาการจิต มันจะต้องเป็นอย่างนี้

มันจะต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ สติคือระลึกได้ สัมปชัญญะคือรู้ตัวอยู่ เดี๋ยวนี้รู้ตัวกับอะไร กับลม อยู่อย่างนี้ ทำมีสติ มีสัมปชัญญะปรากฏ ที่มันแบ่งกันอยู่อย่างนี้ ถ้าหากว่าเรารู้ตัวอยู่ มันก็จะเป็นคล้ายๆ กับคนที่ยกไม้ ยกวัตถุที่มันหนักๆ อยู่สองคน มันหนักจนจะทนไม่ไหวอย่างนี้จะมีคนที่มีเมตตา คือปัญญามองเห็น ปัญญาก็วิ่งเข้ามาช่วย นี่อย่างนี้มีสติ มีสัมปชัญญะรู้อยู่แล้วก็ปัญญาเกิดขึ้นมาตรงนี้ ช่วยกันมีสติ มีสัมปชัญญะ มีปัญญามาช่วยกันอย่างนี้

เมื่อมีปัญญาเข้ามาช่วย มันจะรู้จักอารมณ์ เช่น มานั่ง อาการจิตมันมีสติ มีสัมปชัญญะ แล้วก็มีปัญญา อารมณ์ผ่านเข้ามา มันเกิดความรู้สึกคิดถึงเพื่อน ?ไม่ใช่? ?ช่างมัน? ?หยุด? ?เลิก? ?พรุ่งนี้เราจะไปโรงเรียน? ?อือ เลิก ไม่เอา? ตอนนี้ก็คิดถึงคนอื่น ?เอ้อ ไม่ใช่? ?เออ ไม่เอา? ?ไม่เอาอะไรทั้งสิ้น? ปล่อยมันทั้งนั้น ?ไม่เอา อย่ามายุ่งเลย? ?ไม่แน่นอน ของไม่แน่นอน? ทำสมาธิอยู่ มันจะเป็นอย่างนั้น ?ไม่แน่? ?ไม่แน่? ทำสมาธิอยู่มันจะรู้อย่างนี้ ให้เลิกคิด เลิกพูด เลิกสงสัย เลิกหมด อย่าเอามากวนในเวลานั้น ถ้ามันเลิกหมดแล้วมันจะเหลือแต่เพียงสติสัมปชัญญะกับปัญญาล้วนๆ ถ้าหากว่ามันอ่อนเมื่อไร มันก็เกิดความสงสัยขึ้นมา เลิกๆ ๆ ให้เหลือแต่เพียงสติสัมปชัญญะเท่านั้น พยายามให้มีสติที่สุด อย่างนี้ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนตลอดเวลานั่นแหละ แล้วจะได้เห็นตัวสติ เห็นสัมปชัญญะ แล้วก็เห็นปัญญา แล้วก็เห็นตัวสมาธิ เห็นครบไปหมดทุกอย่าง

เมื่อเราเพ่งเข้าไปตรงนั้น สติเราก็จะเห็นได้ สัมปชัญญะเราก็จะเห็นได้ สมาธิเราก็จะเห็นได้ ปัญญาก็จะเห็นได้ครบในที่นั่นเลย มีอารมณ์จรมาข้างนอก เราจะชอบใจก็ตามเถอะว่า ?เออ ไม่แน่? ไม่ชอบใจก็ ?อือ ไม่แน่? มันเป็นนิวรณ์ทั้งนั้น สิ่งทั้งหลายให้กวาดให้มันเตียนหมดให้เหลือแต่สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้สึกตัว สมาธิความตั้งใจมั่น ปัญญารอบรู้ ให้เข้าใจอย่างนี้ อันนี้พูดถึงการกระทำ แล้วจบแค่นี้ก่อนนะ

ทีนี้จะพูดถึง เครื่องอุปกรณ์ทั้งหลายที่จะช่วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราจะต้องเป็นผู้มีจิตใจเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารีที่เรียกว่าเมตตาธรรม ให้เป็นผู้มีเมตตาเป็นคุณธรรม เช่นว่าเรากำจัดตัวโลภะหรือ ตัวเห็นแก่ตัวออก ทางพระท่านว่าการให้ทาน การให้คือทาน คนเราถ้าเห็นแก่ตัวแล้วไม่สบาย เห็นแก่ตัวแล้วไม่ค่อยสบาย แต่คนชอบจะเห็นแก่ตัวหลาย แต่ไม่รู้สึกเจ้าของ (ไม่รู้สึกตัว)

จะรู้ได้ในเวลาไหน รู้ว่าในเวลาเราหิวอาหาร ถ้าเราได้แอปเปิ้ลมาลูกหนึ่งขนาดนี้ เราจะแบ่งคนอื่น จะแบ่งให้เพื่อนคิดแล้วคิดอีก อยากจะให้เพื่อนก็อยากจะให้ แต่ว่าอยากจะเอาลูกเล็กๆ ให้ จะเอาลูกใหญ่ให้ก็แหมเสียดายเหลือเกิน คิดยากนักหนา เอาไป เอาไปเอาลูกนี้ไป เราก็ให้ลูกเล็ก ให้แอปเปิ้ล ลูกน้อยๆ ไป แต่เอาลูกใหญ่ไว้ นี่ความเห็นแก่ตัว ชนิดนี้อันหนึ่ง แต่คนไม่ค่อยจะเห็น เคยมีไหม เคยเป็นไหม การให้ทานนี่การทรมานจิตนะ มันอยากให้เขาลูกเล็กๆ อุตส่าห์บังคับเอาลูกใหญ่ให้เพื่อน พอให้แล้วเออสบายนะ

นี่การทรมานจิตอย่างนี้ ต้องบังคับจิตให้มันรู้จักให้ ให้มันรู้จักละ ไม่ให้มันเห็นแก่ตัว เมื่อเราให้คนอื่นเสียแล้ว มันก็สบายหรอก ถ้าเรายังไม่ให้นี่ จะให้ลูกไหนหนอ มันลำบากมากเหลือเกิน กล้าตัดสินใจว่าให้ลูกใหญ่นี่หนา เสียใจนิดหน่อยนะ แต่พอตกลงใจให้เขาแล้ว มันก็แล้วไป นี่เรียกว่าทรมานจิตในทางที่ถูก มันเป็นอย่างนี้

ถ้าเราทำให้ได้อย่างนี้เรียกว่าเราชนะตัวเอง ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนี้ เรียกว่าเราแพ้ตัวเอง เห็นแก่ตัวเรื่อยไป ก่อนนี้เรามีความเห็นแก่ตัว อันนี้ก็เป็นกิเลสอันหนึ่งเหมือนกัน ต้องขจัดออก ทางพระเรียกว่าการให้ทาน การให้ความสุขแก่คนอื่น อันนี้เป็นเหตุช่วยให้ชำระความสกปรกในใจของเราได้ และต้องให้เป็นคนมีจิตใจอย่างนี้ ให้พิจารณาอย่างนั้น อันนี้ประการหนึ่งที่ควรทำไว้ในใจของเรา

บางคนอาจจะเห็นว่าอย่างนี้ก็เบียดเบียนตัวเอง นี่ไม่ใช่เบียดเบียนตัว แต่เป็นการเบียดเบียนกิเลสตัณหาต่างหากล่ะ ถ้าในตัวมันมีกิเลสขึ้นมา ให้กิเลสมันหายไป

กิเลสนี่เหมือนแมว ถ้าให้กินตามใจ มันก็ยิ่งมาเรื่อยๆ แต่มีวันหนึ่งมันข่วนนะ ถ้าเราไม่ให้อาหารมัน ไม่ต้องให้อาหารมัน มันจะมาร้องแงวๆ อยู่เหมือนกันแหละ กิเลสไม่มากวนเรา เราก็จะได้สอบใจ ต่อไปทำให้กิเลสกลัวเรา อย่าทำให้เรากลัวกิเลส ให้กิเลสกลัวเรา นี่พูดให้เห็นในธรรมในปัจจุบัน ในใจของเราอย่างนี้

ธรรมะของพระพุทธเจ้าของเราอยู่ที่ไหน อยู่ที่ความรู้ความเห็นในใจของเราอย่างนี้ รู้ได้ทุกคน เห็นได้ทุกคน ไม่ใช่อยู่ในตำรา ไม่ต้องไปเรียนให้มันมาก พิจารณาเดี๋ยวนี้ก็เห็นที่อาตมาพูด ก็เห็นได้ทุกคนเพราะมันอยู่ในใจทุกคน แต่ก่อนนี้เราต้องการเลี้ยงกิเลสไว้ ให้รู้จักกิเลส อย่าให้มันมากวนเรา อันนี้ เป็นอันหนึ่งที่ยังไม่บังเกิด ให้ทำให้เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็ทำให้มากขึ้น ทีนี้ข้อปฏิบัติต่อไปคือการรักษาศีล ศีลนี้จะดูแลธรรมะเจริญขึ้นเหมือนพ่อแม่กับลูก การรักษาศีลคือการเว้นการเบียดเบียน และทำการเกื้อกูลช่วยเหลือ อย่างต่ำนี้ให้มี ๕ ข้อคือ

ข้อ ๑ ให้เมตตาสัตว์และมนุษย์ทั้งหมด ไม่ให้ทำร้ายเบียดเบียน ตลอดถึงการฆ่า

ข้อ ๒ ให้มีความสุจริต อย่าไปข้ามสิทธิ์ของกันและกัน พูดง่ายๆ ก็คือไม่ให้ขโมยของกันนั่นเอง

ข้อ ๓ ให้รู้จักประมาณในกามบริโภค อยู่ในฆราวาสวิสัยก็ต้องมีครอบครัว มีพ่อบ้านแม่บ้าน แต่ถ้ารู้จัประมาณก็ปฏิบัติธรรมะได้ ให้รู้จักพ่อบ้านของเรา รู้จักแม่บ้านของเราเท่านั้น ให้รู้จักประมาณ อย่าทำเกินประมาณ ให้มีขอบเขต แต่โดยมากคนจะไม่มีขอบเขตเสียด้วยนะ บางทีมีพ่อบ้านคนเดียวก็ไม่พอ มีสองคนบ้าง บางทีมีแม่บ้านคนเดียวก็ไม่พอ ต้องมีสามด้วยอย่างนี้ก็มี อาตมาว่าคนเดียวก็กินไม่หมดแล้ว จะมีไปสองคนสามคนนี่ มันเรื่องสกปรกทั้งนั้นนี่ อย่างนี้ต้องพยายามชำระ พยายามฝึกใจ ให้มันรู้จักประมาณ ความรู้จักประมาณนี้ มันบริสุทธิ์ดี ที่ไม่รู้จักประมาณนี่ มันไม่มีขอบเขต ถึงได้อาหารเอร็ดอร่อยอย่างนี้ อย่าไปนึกถึงความเอร็ดอร่อยมันมาก ให้รู้จักท้องของเรา ให้รู้จักประมาณ ถ้าเรากินมากก็ลำบากเหมือนกัน ให้รู้จักประมาณความรู้จักประมาณนี่ดีที่สุด ให้มีแม่บ้านคนเดียวก็พอแล้ว มีพ่อบ้านคนเดียวก็พอแล้ว มีสองมีสามเกินขอบเขตแล้ววุ่นวาย

ข้อ ๔ คือความซื่อสัตย์ นี้ก็เป็นเครื่องกำกับกิเลสเราเหมือนกัน เป็นคนตรงมีสัจจะ เป็นคนซื่อสัตย์

ข้อ ๕ เป็นคนที่ไม่ดื่มสุราน้ำเมา อย่างนี้ก็ให้รู้จักประมาณ ให้เลิกเสียก็ดี คนเราเมามัวก็มากแล้ว เมาลูกเมาหลาน เมาทรัพย์สมบัติหลายอย่าง มันก็พอแล้ว ยิ่งเอาเหล้ามากินเข้าไปอีก มันก็มืดเท่านั้นแหละ อันนี้บริษัททั้งหลายไม่รู้ ดูตัวเราเอง ถ้าหากว่ามันมาก ใครมีมากก็พยายามค่อยๆ ปัดเป่ามัน ออกไป ปัดเป่ามันออกไปให้หมด


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 10, 2010, 08:32:44 PM
ได้รับ forward mail ค่ะ ลองพิจารณาเองนะคะ

  ตำราไม่ล้างไต


   
 สิ่งดี ๆ นำมาฝาก
     
    "ช่วยเผยแพร่ เรื่อง ตำราไม่ล้างไต กับ ผู้ป่วยเป็นโรคไต

    ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง"

     
    เรื่อง ตำราไม่ล้างไต

    ถ้าข้าพเจ้าได้รับตำรานี้เมื่อ 25 ปีก่อน ลูก ๆ คงไม่ต้องมาร้องเพลงชื่อ
    ?คนอื่นมีแม่ ฉันไม่มี?

    การที่จะเอาเมล็ดลิ้นจี่มาทำยานั้นง่ายมากสำหรับข้าพเจ้าเพราะที่บ้าน
    ปลูกต้นลิ้นจี่กว่า 50 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคือยาวิเศษในการรักษาโรคไต
    คู่ชีวิตของข้าพเจ้าต้องทรมานเสียเวลา 14 ปีในการฟอกไตและในที่สุด
    ก็ต้องจากไป

    ในไต้หวันมีผู้คนป่วยเป็นโรคไตจำนวนมากที่ต้องทำการฟอกไต
    การที่ต้องไปฟอกไตเพราะไตเสื่อมลง จนไม่มาสามารถขัยถ่าย
    ของเสียออก บางทีญาติหรือเพื่อนของท่านบางคนกำลังฟอกไตอยู่
    จึงอยากให้ท่านช่วยเผยแพร่ตำราวิเศษออกไปให้ทั่ว จะเป็นบุญกุศลยิ่ง

    คนที่นำไปทดลองใช้จะมีแต่ได้ ไม่มีเสียอย่างแน่นอน ช่วยได้ 1 คน
    เท่ากับช่วยทั้งครอบครัว

    ข้าพเจ้าเป็นโรคไตเพราะเป็นโรคเบาหวานนาน 20 ปี ความเป็นทุกข์
    ทรมานนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเบื่อต่อชีวิต และคิดจะจบชีวิตตนเองหลายครั้ง
    แต่มาคิดได้ว่า ถ้าเราพ้นทุกข์แล้วทำให้หลายคนต้องรับทุกข์ต่อ ลูก
    หลานหลายคนยังเรียนไม่จบ ยังตั้งตัวไม่ได้ เลยรับกรรมไปฟอกไตต่อ

    มีคนเสนอตำราลับ ตำราวิเศษให้ แต่ไม่เคยเชื่อ ข้าพเจ้าเชื่อแต่แพทย์
    แผนปัจจุบัน จึงเดินเข้าห้องฟอกไต ขอสู้กับมัจจุราชต่อไป

    ข้าพเจ้าเกิดนึกถึงคำพังเพยจีนว่า ?ม้าตายแล้ว ให้นึกว่ารักษาม้าเป็น?
    บางทีชีวิตนี้อาจมีความหวัง จึงขอทดลอง หลังฟอกไตครั้งที่ 2 แล้ว
    คุณน้ามาเยี่ยมถามว่าอยากลองตำราวิเศษไหม รับรองไม่ต้องฟอกไต
    อีกต่อไป ข้าพเจ้าก็ตกลงทันที

    ตอนบ่ายคุณน้านำซุปเส้งจี้มา 1 หม้อแบ่งดื่ม 2 ครั้ง
    วันที่ 2 นำมาอีก 1 หม้อ (ราว ชามครึ่ง) พร้อมให้กินเส้งจี้อีก ครึ่งลูก

    ในวันนั้น ปรากฏว่าการถ่ายปัสสวะดีขึ้น พอวันที่ 3 ซึ่งจะต้องฟอกไต
    แต่หมอตรวจแล้วว่าวันนี้ยังไม่ต้องฟอกก่อน

    ข้าพเจ้าได้ดื่มซุปเส้งจี๊ประมาณ 1 อาทิตย์ ไปตรวจอีก
    คราวนี้หมอประหลาดใจมาก แจ้งว่าไตปกติแล้ว ไม่ต้องฟอกแล้ว

    ตำราวิเศษมีดังนี้.--

          เมล็ดลิ้นจี่สด 7 เม็ด ทุบให้แตกแล้วใช้ผ้าขาวอย่างบาง ๆ ห่อไว้

           ซื้อเส้งจี๊หมู 1 ลูก หั่นเป็นแผ่นบางล้างให้สะอาดตัดเอาเอ็นสีขาวออก

           เอาน้ำซาวข้าวครั้งที่ 2 จำนวน 2 ชาม นำเข้าใส่ในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า

           ทำการนึ้งเป็นเวลา 30 นาที เสร็จแล้วให้ดื่มหมดครั้งเดียวก็จะได้ผล

    ข้าพเจ้าได้พ้นจากฟอกไตเพราะตำรานี้ จึงขอความกรุณาทุกท่าน

    ช่วยเผยแพร่ตำรานี่แก่ผู้ป่วยเป็นโรคไต ให้พ้นทุกข์จากการฟอกไตด้วย

    จะเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

    ผมพิมพ์และถ่ายให้แม่แล้ว แม่อาจเอาไปแจกให้คนอื่น ก็แล้วแต่ท่าน ส่งเมล์ต่อด้วยนะครับ เป๊กกิ๊ก (เจ้าเก่า)
     

     



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 12, 2010, 09:42:21 PM
เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต

(http://pics.manager.co.th/Images/553000000158301.JPEG)

  บทความโดย : รศ.พญ.ศศิจิต เวชแพศย์ ภาควิชาเวชศาสตร์การธนาคารเลือด
       

       คำว่า ?โลหิต? อาจ ฟังดูน่าหวาดเสียว และน่ากลัวสำหรับคนบางคน แต่สำหรับโรงพยาบาลแล้ว โลหิตเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญในการรักษาผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยผ่าตัด  ผู้ป่วยโรคเลือด ผู้ป่วยมะเร็ง รวมทั้งการรักษาหลายๆ อย่างในปัจจุบันนี้ จะไม่สามารถทำได้หากไม่มี
       
       โลหิตมีความสำคัญอย่างไร
       

       ในร่างกายคนเรามีเลือดไหลเวียนอยู่ในตัว เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงอาหาร สารน้ำ ออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ขณะเดียวกันก็นำสารพิษ ของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์จากส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปกำจัดออกจากร่างกายเพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ในเลือดมีทั้งของเหลว (ส่วนน้ำ) และเซลล์ชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน กล่าวคือ
             
       เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ นำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ และนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เนื้อเยื่อออกไปขับถ่าย  เม็ดเลือดแดงมีปริมาณประมาณร้อยละ  40 ? 45 ของเลือดทั้งหมด  และมีอายุเพียง 120 วัน
       
       เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่  ให้ภูมิคุ้มกันเหมือนทหาร ปกป้องเชื้อโรคในร่างกาย มีปริมาณประมาณ 1% ของเลือด
        เกร็ดเลือดทำหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว มีลักษณะเป็นชิ้นส่วนของเซลล์ขนาดเล็ก  มีอยู่ประมาณ 5% ของเลือด
       
       พลาสมา เป็นสารน้ำสีเหลือง มีโปรตีน เกลือแร่  ไขมัน  ฮอร์โมน  ไวตามิน  มีปริมาณร้อยละ 55 ของเลือด
       
       ประเภทของหมู่โลหิต (กรุ๊ปเลือด)
       โลหิตที่อยู่ในคนไทยเรา แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ 1. หมู่โอ พบได้ประมาณร้อยละ 38 , 2. หมู่เอ พบร้อยละ 21, 3. หมู่บี พบร้อยละ 34 และ4. หมู่เอบีพบร้อยละ 7
       
       นอกจากนี้ในหมู่เลือด เอ บี โอ แต่ละชนิด จะพบว่าประมาณ 1 ถึง 3 คน ในจำนวนประชากร 1,000 คน จะมีหมู่เลือดอาร์เอ็ชลบ ซึ่งเป็น หมู่โลหิตที่หายากหรือหมู่โลหิตพิเศษ เท่าที่พบมา เราพบว่าหมู่โลหิตโอ เป็นหมู่โลหิตที่หาง่าย เมื่อเทียบกับหมู่โลหิตประเภทอื่นที่บริจาคกันเข้ามา สำหรับผู้ที่ไม่เคยบริจาคโลหิตมาก่อน แต่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ยากเลยค่ะ

# คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต
       เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว อายุ 18 ? 60 ปี น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเลือดแข็งตัวและฮอร์โมนเพศ ไม่มีประวัติเป็นโรคมาลาเรียในระยะเวลา 3 ปี ไม่ได้รับการถอนฟันหรือขูดหินปูน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนบริจาคเลือด ไม่มีบาดแผลสด หรือแผลติดเชื้อใดๆ ตามร่างกาย ผู้หญิงที่ไม่อยู่ในระยะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
       
       
# ใครบ้างที่ไม่สามารถบริจาคโลหิตได้
       ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคปอด มะเร็ง ลมชัก โรคเลือดออกง่ายแต่หยุดยาก ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือคู่ครอง(สามีหรือภรรยา)เป็นไวรัส ตับอักเสบบี ไวรัสตับ อักเสบซี รวมทั้งผู้ติดเชื้อเอสไอวีหรือซิฟิ ผู้เสพยาเสพติดชนิดใช้เข็มฉีดยา ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ มีคู่นอนหลายคนหรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ มีต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายโตหรือมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
       

       เตรียมพร้อมอย่างไรก่อนบริจาคโลหิต
       

#        การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
       เพื่อมิให้ผู้บริจาคโลหิตอ่อนเพลียมากหลังบริจาคโลหิต ผู้บริจาคโลหิตจึงควรเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต 1 ? 2 วัน ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่น เลือดไหลเวียนดี งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไม่ควรเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากก่อนบริจาคโลหิต 1 วัน รับประทานอาหารก่อนบริจาคโลหิตประมาณ 4 ชั่วโมงนอนหลับพักผ่อนเพียงพอประมาณ 6 ชั่วโมง
       
       แต่ละครั้งโรงพยาบาลต้องการโลหิตประมาณ 350 ? 450 ซีซี / คน ซึ่งปริมาณจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้บริจาค และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับโลหิตที่ปลอดภัย โลหิตที่ได้จะต้องผ่านกระบวนการทดสอบก่อนนำไปให้ผู้ป่วยคือ ตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ซิฟิ และตรวจหาไวรัสเอดส์
       
       
# รับประทานอะไรหลังบริจาคโลหิต
       หลัง การบริจาคโลหิตเสร็จแล้ว ควรนั่งพักประมาณ 10 -15 นาที รับประทานขนมหรืออาหารว่าง ดื่มน้ำ/เครื่องดื่ม 1-2 แก้ว แล้วรับประทานอาหารตามปกติ ไม่ควรงดอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ ตับ ไข่ เลือดหมู เลือดไก่ ผักใบเขียวและผักที่มีสีเหลือง งดสูบบุหรี่หลังบริจาคโลหิตอย่างน้อย ? ชั่วโมง งดดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และถ้าจะดื่ม ผู้บริจาคโลหิตควรรับประทานอาหารให้มากพอก่อนดื่มสุราหรือแอลกอฮอล์
       
       เห็นไหมคะว่า หากมีการเตรียมพร้อมก่อนมาบริจาคโลหิตก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย เมื่อคุณบริจาคโลหิตไปแล้วเท่ากับคุณได้กระตุ้นร่างกายให้สร้างเม็ดเลือดแดง ขึ้นมาใหม่ (เม็ดเลือดแดงมีอายุประมาณ 120 วัน) มีผลให้สุขภาพแข็งแรงยิ่งขึ้น สำหรับผู้หญิงสามารถบริจาคได้ทุก 6 เดือน ส่วนผู้ชายบริจาคได้ทุก 3 เดือน
       
       คุณเป็นผู้หนึ่งที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ มาร่วมบริจาคโลหิตกับโรงพยาบาลศิริราชได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ที่ห้องรับบริจาคเลือด ตึก 72 ปี ชั้น 3 นอกจากนี้ยังมีหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ทุกวันจันทร์ ? วันศุกร์ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สอบถามรายละเอียดและนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ โทร. 02-419 8081 ต่อ 110
       
       เลือดท่านเพียงน้อยนิด ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้
       

       
       


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: Neung99k ที่ มกราคม 13, 2010, 11:19:24 AM
ขอบคุณครับคุณมดแดง สำหรับข้อมูลดีดี ;D


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 14, 2010, 12:00:36 PM
สรรพคุณสมุนไพรแบ่งตามกลุ่มอาการ....ลดไขมันในเส้นเลือด  

กระเจี๊ยบแดง

(http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/images/hb_14.jpg)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Hibiscus sabdariffa  L.

ชื่อสามัญ : Jamaican Sorel, Roselle

วงศ์ :  Malvaceae

ชื่ออื่น : กระเจี๊ยบ  กระเจี๊ยบเปรี้ย  ผักเก็งเค็ง  ส้มเก็งเค็ง  ส้มตะเลงเครง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 50-180 ซม. มีหลายพันธุ์ ลำต้นสีม่วงแดง ใบเดี่ยว รูปฝ่ามือ 3 หรือ 5 แฉก กว้างและยาวใกล้เคียงกัน 8-15 ซม. ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีชมพูหรือเหลืองบริเวณกลางดอกสีม่วงแดง เกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ผลเป็นผลแห้ง แตกได้ มีกลีบเลี้ยงสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มไว้



สรรพคุณ :      กลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลืออยู่ที่ผล

   1.      เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดน้ำหนักด้วย
  
   2.      ลดความดันโลหิตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด
 
  3.      น้ำกระเจี๊ยบทำให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
  
  4.      ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิตแข็งเปราะได้ดี
 
  5.      น้ำกระเจี๊ยบยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการช่วยลดความดันอีกทางหนึ่ง
 
  6.      ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิ่มการหลั่งของกรดในกระเพาะ

   7.      เพิ่มการหลั่งน้ำดีจากตับ

   8.      เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่น เพราะมีกรดซีตริคอยู่ด้วย

    *     ใบ แก้โรคพยาธิตัวจี๊ด ยากัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำคอ ให้ลงสู่ทวารหนัก
    
    *     ดอก แก้โรคนิ่วในไต แก้โรคนิ่วในกระเพราะปัสสาวะ ขัดเบา ละลายไขมันในเส้นเลือด กัดเสมหะ ขับเมือกในลำไส้ให้ลงสู่ทวารหนัก
    
    *     ผล ลดไขมันในเส้นเลือด แก้กระหายน้ำ รักษาแผลในกระเพาะ

    *      เมล็ด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ ขับปัสสาวะ ลดไขมันในเส้นเลือด



          นอกจากนี้ได้บ่งสรรพคุณโดยไม่ได้ระบุว่าใช้ส่วนใด ดังนี้คือ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ดีพิการ แก้ปัสสาวะพิการ แก้คอแห้งกระหายน้ำ แก้ความดันโลหิตสูง กัดเสมหะ แก้ไอ ขับเมือกมันในลำไส้ ลดไขมันในเลือด บำรุงโลหิต ลดอุณหในร่างกาย แก้โรคเบาหวาน แก้เส้นเลือดตีบตัน
          นอกจากใช้เดี่ยวๆ แล้ว ยังใช้ผสมในตำรับยาร่วมกับสมุนไพรอื่น ใช้ถ่ายพยาธิตัวจี๊ด

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

          โดยนำเอากลีบเลี้ยง หรือกลีบรองดอกสีม่วงแดง ตากแห้งและบดเป็นผง ใช้ครั้งละ 1 ช้อนชา  (หนัก 3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) ดื่มเฉพาะน้ำสีแดงใส ดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาและอาการอื่นๆ จะหายไป

สารเคมี
          ดอก  พบ Protocatechuic acid, hibiscetin, hibicin, organic acid, malvin, gossypetin

คุณค่าด้านอาหาร
        
 น้ำกระเจี๊ยบแดง มีรสเปรี้ยว นำมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล ดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และช่วยป้องกันการจับตัวของไขมันในเส้นเลือดได้ และยังนำมาทำขนมเยลลี่ แยม หรือใช้เป็นสารแต่งสี ใบอ่อนของกระเจี๊ยบเป็นผักได้ หรือใช้แกงส้ม รสเปรี้ยวกำลังดี กระเจี๊ยบเปรี้ยวมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "ส้มพอเหมาะ" ในใบมี วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ส่วนกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีสารแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
          
น้ำกระเจี๊ยบแดงที่ได้สีแดงเข้ม สาร Anthocyanin นำไปแต่งสีอาหารตามต้องการ
     
ข้อมูลจาก  http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01.htm (http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01.htm)

 หมายเหตุ ***www. rspg.or.th  = โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 16, 2010, 01:05:10 PM
กลุ่มยาลดไขมันในเส้นเลือด

เสาวรส


    (http://[url=http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/images/hb_16.jpg]http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/images/hb_16.jpg[/url])
ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Passiflora laurifolia  L.

ชื่อสามัญ :  Jamaica honey-suckle, Passion fruit, Yellow granadilla

วงศ์ :  Passifloraceae

ชื่ออื่น : สุคนธรส (ภาคกลาง)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้เถา เถามีลักษณะกลม ใบ เป็นใบเดี่ยว ขอบใบหยักลึก ที่ก้านใบมีต่อมใบ ดกหนา เป็นมันสีเขียวแก่ ดอก ออกดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ห้อยคว่ำคล้ายกับดวงไฟโคม กาบดอกหุ้มสีเขียว กลีบชั้นนอกเป็นรูปกระบอก ปลายแฉกด้านหลังมีสีเขียวแก่ ด้านในมีสีม่วงอ่อนประกอบด้วยจุดแดง ๆ กลีบชั้นในลักษณะคล้ายกับตัวแฉกของกลีบชั้นนอก สีม่วงอ่อนหรือชมพูอ่อนมีประสีแดงแซม กลีบย่อยกลางมีเป็นชั้น ๆ สองชั้นแต่ละกลีบค่อนข้างกลม สีม่วงแก่ พาดด้วยปลายสีขาวสลับแดง มีเกสรอยู่ตรงกลางสีเขียวนวล ดอกมีกลิ่นหอมแรงจัดมาก ผล เป็นรูปไข่หรือไข่ยาว มีหลายพันธุ์ บางพันธุ์ ผิวผลสีม่วง สีเหลือง สีส้มอมน้ำตาล เปลือกผล เรียบ เนื้อรับประทานได้ มีเมล็ดจำนวนมาก อยู่ตรงกลาง

สรรพคุณ : ลดไขมันในเส้นเลือด

วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ผลที่แก่จัด ไม่จำกัดจำนวน ล้างสะอาด ผ่าครึ่ง คั้นเอาแต่น้ำ เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย ให้รสกลมกล่อมตามชอบ ใช้ดื่มเป็นน้ำผลไม้ ลดไขมันในเส้นเลือด
         
     
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01_2.htm (http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_01_2.htm)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: Neung99k ที่ มกราคม 16, 2010, 03:58:43 PM
มีพวกพืชอาหารที่ทานแล้วช่วยลดอาการปวดบวมหรือปวดอักเสบบ้างป่ะครับ  ขอบคุณครับ ;D


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 16, 2010, 10:07:53 PM
มีพวกพืชอาหารที่ทานแล้วช่วยลดอาการปวดบวมหรือปวดอักเสบบ้างป่ะครับ  ขอบคุณครับ ;D


เท่าทีเคยอ่านนะคะ  เอาที่ตัวเองทานได้  อันที่ได้ผลกับตัวเองนะคะ  เถาวัลย์เปรียง  ของอภัยภูเบศร์  ทานแล้วโอเค ....บัวบก  ก็อ่านพบว่าลดการอักเสบแต่ตอนที่ปวดจริงๆไม่ได้ทาน     ส่วน ขมิ้นชัน ก็มีรายงานที่ทำวิจัยเคยอ่านในหนังสือ ว่าแก้ปวดเทียบกับยาของแผนปัจจุบัน   ไม่อยากเอ่ย เพราะไม่แน่ใจ  แต่ตัวเองทานไม่ได้เอาฤิทธ์แก้ปวด  เลยคงตอบได้ไม่ดีนักค่ะ  ทั้งหมดส่วนมากทานในรูปแคปซูล   แล้วจะหามาฝากค่ะ

(http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/slide%5Ccentella.jpg)
ข้อมูลทางพฤกษศาสตร์

ชื่อวิทยศาสตร์   Centella asiatica (Linn.) Urban.

ชื่อวงศ์  Umbelliferae

ชื่ออังกฤษ  Asiatic pennywort

ชื่อท้องถิ่น  ผักแว่น, ผักหนอก, ปะหนะ, เอขาเด๊าะ

 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

1.  ฤทธิ์ลดการอักเสบ

สารสกัดเอทานอลจากใบ มีฤทธิ์ลดการอักเสบอย่างอ่อนในหนูขาว โดยไปยับยั้งเอนไซม์ cyclooxygenase-1 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ prostraglandin (1) เมื่อป้อนสารสกัดน้ำจากทั้งต้น ขนาด 0.1 และ 0.25 ก./กก. และ asiaticoside ขนาด 5 และ 10 มก./กก. พบว่ามีผลลดการอักเสบในหนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วยกรดอะซีติก โดยจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ inducible nitric oxide synthase (iNOS) (2) สาร saponin จากบัวบก จะลดอาการอักเสบและอาการบวมในหนูถีบจักรที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอาการบวมที่หูด้วย croton oil (3) บัวบกมีสาร triterpenes หลายชนิด ได้แก่ asiaticoside, madecassic acid, madecassosid, asiatic acid ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (4) สาร madecassoside จากบัวบก มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่เกิดจากการที่ผิวหนังแบ่งตัวผิดปกติ (5) ขี้ผึ้ง Madecassol ซึ่งประกอบด้วยสาร asiatic acid, madecassic acid และ asiaticoside สามารถลดการอักเสบ เมื่อใช้ทาที่ผิวหนังหนูซึ่งเกิดการอักเสบจากการฉายรังสี (6)

ยาเตรียมที่มีสาร asiaticoside ประกอบอยู่ 0.3% ที่ความเข้มข้นของยาเตรียม 0.5, 1 และ 1.5% มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของ NF-kB การสร้าง IL-8 และ TNF-a ในเซลล์ human monocytes (THP-1) ที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide รวมทั้งยับยั้งการสร้าง IL-2 ในเซลล์ Jurkat ที่ถูกกระตุ้นด้วย Phytochematoglutinin ผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ ได้แก่ สบู่เหลวล้างหน้าและตัว โลชั่น และซีรั่มทาผิว ที่มียาเตรียมผสมอยู่ 1, 1.5 และ 3% ตามลำดับ เมื่อนำมาทดลองใช้กับผู้ป่วยที่มีอาการผิวหนังอักเสบเรื้อรัง พบว่าสามารถลดการอักเสบของผิวหนังได้ (7)  ผงแห้งจากส่วนเหนือดินของบัวบก ให้คนรับประทาน สามารถลดอาการอักเสบได้ (8)  มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดบัวบกซึ่งประกอบด้วยสาร madecassoside และ terminoloside ในการนำมาใช้ในเครื่องสำอางและยาเพื่อลดการอักเสบ (9) และตำรับยาซึ่งมีบัวบกเป็นส่วนประกอบ เพื่อใช้ในการรักษาการอักเสบของไตและกรวยไต กระเพาะปัสสาวะ และทางเดินปัสสาวะ (10)

2.        ฤทธิ์ต้านฮีสตามีน

สารสกัดใบบัวบกด้วยแอลกอฮอล์ผสมน้ำ (1:1) สามารถต้านอาการแพ้ได้   จึงช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด หรืออักเสบเนื่องจากแมลงกัดต่อย (11)

3.        ฤทธิ์แก้ปวด

สารสกัด 60% เอทานอลจากใบ ขนาด 20 มก./กก (12) และสารสกัด 95% เอทานอลจากทั้งต้น ขนาด 100 มก./กก. (13) มีฤทธิ์แก้ปวดในหนูขาวและหนูถีบจักร แต่สารสกัด 50% เอทานอลจากทั้งต้นในขนาด 125 มก./กก. ไม่มีฤทธิ์แก้ปวด เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักร (14)

4.     ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย

สารสกัดเฮกเซนจากส่วนราก มีฤทธิ์ต้านเชื้อBacillus subtilis, Escherichia coli, Proteus vulgaris และ Pseudomonas cichorii  แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ Salmonella typhimurium (15)  สารสกัดเอทานอล (16-18) และสารสกัดด้วยน้ำร้อน (16, 19) จากส่วนเหนือดิน มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Staphylococcus aureus (16-19), b-streptococcus group A, Pseudomonas aeruginosa (18, 19) และ B.  subtilis (17)

สารสกัดเฮกเซน สารสกัดไดคลอโรมีเทน สารสกัดเอทิลอะซีเตท สารสกัดอีเทอร์ และสารสกัดเมทานอลจากใบ มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S.  aureus, B. subtilis, Klebsiella aerugenes, P.  vulgaris แต่ไม่มีผลต่อเชื้อ E. coli และ P.  aerogenase (20)  สารสกัดเมทานอลจากใบและลำต้น มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus, E. coli, B. subtilis,และ P.  aeruginosa (21)  สารสกัดอัลกอฮอล์จากใบ (22, 23) และน้ำหมักชีวภาพจากใบ (23) มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus (22, 23)

สารสกัดอัลกอฮอล์จากทั้งต้น มีฤทธิ์ต้านเชื้อ S. aureus, E. coli, B. subtilis, P.  aeruginosa และ S. typhimurium (24)  สารสกัด 95% เอทานอล ไม่ระบุส่วนสกัด มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Aeromonas hydrophila ได้ โดยมีค่า MIC 312.5 มก./มล. (25)  น้ำมันหอมระเหย ไม่ระบุความเข้มข้น (26, 27) และความเข้มข้น 0.05% (28) มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. subtilis, P. aeruginosa, Shigella sonnei (26), S. aureus (26, 28)และ E. coli (26-28)  สาร oxyasiaticoside ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ asiaticoside สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อวัณโรคในหลอดทดลอง และสามารถลดปริมาณแผลที่เกิดจากเชื้อวัณโรคในตับ ปอด ปมประสาทของหนูตะเภาที่ทำให้เป็นวัณโรคได้ (29)

5.  ฤทธิ์สมานแผล

สารสกัด 95% เอทานอลจากใบ ขนาด 1 มล./กก. พบว่ามีผลเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์เยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจน เมื่อให้ทางปากและทาที่แผลของหนูขาว (30) สารสกัดจากบัวบก (titrated extract) ซึ่งประกอบด้วยสาร asiatic acid, madecassic acid และ asiaticoside มีฤทธิ์สมานแผล (31, 32) โดยจะเร่งการสร้าง connective tissue เพิ่มปริมาณคอลลาเจน และกรด uronic ในหนูขาว (31)  และกระตุ้นการแสดงออกของยีนในเซลล์ human fibroblast ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหลอดเลือดและเนื้อเยื่อประสานในบริเวณที่เนื้อเยื่อถูกทำลาย (32)  เมื่อนำสารสกัดมาใช้ทาภายนอกเพื่อรักษาแผลในหนูขาว พบว่าทำให้แผลหายเร็วขึ้น และแผลมีขนาดเล็กลง แต่ถ้าใช้รับประทานจะไม่ได้ผล (33) ขณะที่รายงานบางฉบับ พบว่าเมื่อให้หนูขาวกินสารสกัดในขนาดวันละ 100 มก./กก. มีผลในการรักษาแผลโดยทำให้การสร้างผิวหนังชั้นนอกเร็วขึ้น และบาดแผลมีขนาดเล็กลง (34)

ครีม ขี้ผึ้งและเจลที่มีสารสกัดน้ำจากบัวบก 5% เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูขาว 3 ครั้ง/วัน นาน 24 วัน พบว่ามีผลเพิ่มการเจริญเติบโตของเยื่อบุผิว เพิ่มการสร้างคอลลาเจนและเพิ่ม tensile strength ซึ่งสูตรที่อยู่ในรูปเจลจะให้ผลดีกว่าขี้ผึ้งและครีม (35) เจลที่ละลายน้ำได้ (hydrogel) ที่มีสารสกัดจากบัวบก (titrated extract) ซึ่งประกอบด้วย asiaticoside, asiatic acid และ madecassic acid  มีฤทธิ์สมานแผลได้ โดยจะลดขนาดของแผลที่ผิวหนังของหนูขาวใน 9 วัน (36) และเจลที่มีสารสกัดบัวบกอยู่ 0.5, 1 และ 2% มีฤทธิ์สมานแผลในเยื่อบุผิวในปากได้ (37)

สาร asiaticoside มีฤทธิ์สมานแผล เร่งการหายของแผล เมื่อทดลองในหนูขาว (38-40) หนูถีบจักร (41, 42) และในคน (43) เมื่อให้สาร asiaticoside ขนาด 1 มก./กก. ทางปากแก่หนูตะเภา และใช้ทาที่ผิวหนังในหนูตะเภาปกติและหนูขาวที่เป็นเบาหวานซึ่งแผลหายช้า ที่ความเข้มข้น 0.2% และ 0.4% ตามลำดับ พบว่ามีผลเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ ( tensile strength) เพิ่มปริมาณของคอลลาเจน และลดขนาดของแผล (44) tincture ที่มี asiaticoside เป็นส่วนประกอบ 89.5% จะเร่งการหายของแผล เมื่อใช้ทาที่แผลของหนูตะเภา (45) สาร ethoxymethyl 2-oxo-3,23-isopropylidene-asiatate ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของ asiatic acid มีฤทธิ์ดีในการเร่งการหายของแผล โดยมีแผลเป็นเกิดขึ้นน้อยมาก (46)

สำหรับการทดลองในคน มีรายงานว่าครีมที่มีสารสกัดอัลกอฮอล์จากบัวบกเป็นส่วนประกอบ 0.25-1% สามารถช่วยรักษาและสร้างผิวหนังในคนสูงอายุ (47) ครีมที่มีสารสกัดจากบัวบก 1% สามารถรักษาแผลอักเสบและแผลแยกหลังผ่าตัดในผู้ป่วยจำนวน 14 ราย ภายใน 2-8 สัปดาห์ โดยพบว่าได้ผลดี 28.6% ผลปานกลาง 28.6% และผลพอใช้ 35.7% ไม่ได้ผล 1 ราย (48, 49) และรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจากอุบัติเหตุ ในผู้ป่วยจำนวน 22 ราย ภายใน 21 วัน พบว่าขนาดของแผลจะลดลง มีแผลหายสนิท 17 ราย ยังไม่หายสนิท 5 ราย (50) tincture ที่อยู่ในรูป aerosol ซึ่งมี asiaticoside 89.5% เมื่อใช้ฉีดที่แผลของผู้ป่วยซึ่งเป็นแผลชนิดต่างๆ จำนวน 20 ราย พบว่าสามารถรักษาแผลหายได้ 16 ราย (64%) และทำให้อาการดีขึ้น 4 ราย (16%) โดยมีอาการข้างเคียงคือ การไหม้ของผิวหนัง (burning sensation) (45) เมื่อให้ผู้ป่วยที่เป็น postphlebitic syndrome รับประทานสารสกัด triterpenoid ในขนาด 90 มก./วัน นาน 3 สัปดาห์ พบว่าจะลดการเพิ่มจำนวนของการพบเซลล์เยื่อบุหลอดเลือดในเลือด (51)

ตำรับยาซึ่งมีส่วนสกัดที่ละลายน้ำได้จากบัวบกที่มี asiaticoside อยู่ 60% นำมาใช้ในการรักษาแผลบาดเจ็บ แผลผ่าตัด ไฟไหม้ แผลเป็น ผิวหนังหนา รวมทั้งลดการสร้างเนื้อเยื่อเส้นใยที่ผิดปกติของตับและไต (52) ยาเม็ดซึ่งมีสารซาโปนินจากบัวบกเป็นส่วนผสม มีผลในการเร่งการหายของแผล กระตุ้นการสร้าง granulation และหนังกำพร้าที่แผล (53)

6.   ทำให้เลือดหยุดเร็ว

สารสกัดบัวบกด้วยน้ำทำให้เลือดหยุดเร็ว activated partial thromboplastin time และ prothrombin time ลดลง (54, 55)

7.    ฤทธิ์ต้านเชื้อรา

สารสกัดเอทานอลจากทั้งต้น มีผลต้านเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกลาก Trichophyton mentagrophytes  และ T. rubrum (56) ในขณะที่สารสกัดด้วยน้ำร้อน ไม่มีผลต้านเชื้อราทั้ง 2 ชนิดนี้ และเชื้อ Candida albicans (57)      น้ำมันหอมระเหย มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Aspergillus niger, Rhizopus oryzae, Fusarium solani, Candida albicans และ Colletotrichum musae (27)

8.  รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

สารสกัดเอทานอลจากทั้งต้น  ขนาด 21.8 มก./กก. (58) และจากราก ขนาด 100 มก./กก. (59) สารสกัดน้ำจากทั้งต้น (60) และจากใบ (61) ขนาด 250 มก./กก. มีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหารในหนูขาวที่เหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วยความเครียดและกรดเกลือในเอทานอล (61) เมื่อป้อนสารสกัดจากทั้งต้น ขนาด 0.05, 0.1 และ  0.25 ก./กก. และสาร asiaticoside ขนาด 1, 5 และ 10 มก./กก. แก่หนูขาวที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารด้วยกรดอะซีติก พบว่ามีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร โดยจะลดขนาดของแผล เพิ่มจำนวนของหลอดเลือดขนาดเล็กในเนื้อเยื่อ เพิ่มจำนวนและการแพร่กระจายของเซลล์ที่แผล นอกจากนี้ยังเพิ่มการแสดงออกของ basic fibroblast growth factor และกดการทำงานของเอนไซม์ myeloperoxidase (62)

   น้ำคั้นขนาด 200 และ 600 มก./กก. เมื่อป้อนให้หนูขาว วันละ 2 ครั้ง นาน 5 วัน มีผลรักษาแผลในกระเพาะอาหารหนูที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยเอทานอล แอสไพริน ความเย็น และการผูกกระเพาะอาหารได้  น้ำคั้นที่ขนาด 600 มก./กก. จะเพิ่มการหลั่ง gastric juice mucin และเพิ่ม mucosal cell glycoproteins (63)  เมื่อให้น้ำคั้นขนาด 1, 2, 4 และ 8 ก./กก. โดยการฉีดเข้าลำไส้เล็กหนูขาวที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารในกระเพาะอาหารด้วย histamine และ carbachol  พบว่าไม่มีผลต่อการหลั่งกรด เอนไซม์เปปซิน เมือกที่ละลายในน้ำย่อย และเมือกที่เคลือบเยื่อบุกระเพาะอาหารที่ถูกกระตุ้นด้วย histamine  แต่ที่ขนาด 4 และ 8 ก./กก. มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการหลั่งเมือกที่ละลายในน้ำย่อยที่กระตุ้นด้วย carbachol  น้ำคั้นขนาด 4 ก./กก. มีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณเยื่อบุกระเพาะอาหาร ขณะที่ขนาด 8 ก./กก. จะลดการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณเยื่อบุกระเพาะอาหารที่ถูกกระตุ้นด้วย histamine (64)

การทดลองในคนพบว่า สารสกัดจากบัวบก (Madecassol) มีฤทธิ์ในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้เช่นกัน (65, 66)

หลักฐานความเป็นพิษและการทดสอบความเป็นพิษ

1. การทดสอบความเป็นพิษ

              ไม่พบความเป็นพิษของสารสกัดด้วย 50% เอทานอล เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร ขนาด 250 มก./กก. (67) และฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือให้ทางปากของหนูขาว ขนาด 10 ก./กก. (68) สารสกัด 70% เอทานอลมีค่า LD50 เท่ากับ 675 มก./กก. ในหนูขาวเพศผู้ (ไม่ระบุวิธีการให้) (69)  

      2. พิษต่อเซลล์

              สารไทรเทอร์ปีนส์จากทั้งต้น มีความเป็นพิษต่อเซลล์ fibroblast ของคน (70) สารสกัดเมทานอลและสารสกัดอะซีโตน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ human lymphocyte (71)

      3. ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์

                 สารสกัดอัลกอฮอล์มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ในแบบที่ต้องการเอนไซม์จากตับกระตุ้นการออกฤทธิ์ต่อเชื้อ Salmonella typhimurium TA98, TA100 (72) โดยมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์แบบ frameshift เท่านั้น ไม่พบแบบ base-pair substitution สารสกัดน้ำจากส่วนเหนือดิน ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ต่อเชื้อ S. typhimurium TA98, TA100 (73)

      4. พิษต่อระบบสืบพันธุ์

         น้ำคั้นจากทั้งต้น ขนาด 0.5 มล. มีผลคุมกำเนิดในหนูถีบจักร 55.60% (74) สารสกัดจากบัวบกขนาด 0.2 มล. ฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูถีบจักร พบว่าไม่มีผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน (75) สาร saponin จากทั้งต้น ขนาด 2% ไม่มีผลฆ่าเชื้ออสุจิของคน (76)

      5. ทำให้เกิดอาการแพ้

         สารสกัด 30% อีเทอร์ ทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างอ่อนต่อผิวหนังหนูตะเภา (77) ในคนมีรายงานการแพ้และอักเสบต่อผิวหนัง เมื่อใช้ผงแห้ง (78) สารสกัดกลัยโคไซด์ 2% (79) สารสกัดน้ำ (80) สารสกัดจากทั้งต้น 2% (ไม่ระบุชนิดสารสกัด) และสารสกัด Madecassol ที่ประกอบด้วย asiatic acid, madecassic acid และ asiaticoside (81)  oinment ที่มีบัวบกเป็นส่วนประกอบ 1% ทำให้เกิด acute erythematobullous (82) การระคายเคืองต่อผิวหนังเกิดได้ทั้งการใช้พืชสดหรือแห้ง (83) อาการระคายเคืองต่อผิวหนังของบัวบกมีผลค่อนข้างต่ำ (84)


การใช้บัวบกรักษาอาการเนื่องจากแมลงกัดต่อย

ใช้ใบขยี้ทาแก้แมลงกัดต่อย (85, 86)

การใช้บัวบกรักษาแผล

ใช้ใบสดพอกแผลสด วันละ 2 ครั้ง (85)

http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/centella.html (http://www.medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/centella.html)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 20, 2010, 10:02:31 PM
ดัดตนแก้ปวดหลังแบบประยุกต์


        เมื่อวันที่ ๓๐ พ.ค. ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา เป็นวันหยุดของคลินิกผม ได้มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งเข้ามาที่คลินิกแล้วบอกว่า เขาก้มลงหยิบของพอยืดตัวขึ้นก็ปวดแปล๊บ ที่หลังส่วนเอว ตัวแข็งก้มลงไม่ได้ พอนั่งแล้วลุกขึ้นยืดตัวไม่ได้ จะนั่งจะลุกเดินก็ลำบาก
        
        ผมตรวจตามวิธีของการนวดโดยให้เขายกขาขึ้นตั้งฉากกับลำตัว เขาก็ยกขาขึ้นได้ไม่ถึง ๔๕ องศา ผมจึงให้เขานั่งไขว้ขาข้างที่ยกไม่ขึ้นพาดบนเข่าแบบไขว่ห้าง แล้วสอดแขนทั้ง ๒ ข้างเข้าใต้น่อง จากนั้นยกแขนขึ้นเข้าหาอก เขาทำไม่ได้เพราะปวดที่เอวมาก ผมก็ให้เปลี่ยนมาทำข้างที่ไม่ปวด  เขายกขาได้ถึงอก เสร็จแล้วผมก็ให้ทำแบบเดียวกันกับขาข้างที่ปวดใหม่ คราวนี้ยกขึ้นได้เหมือนข้างที่ไม่ปวดแล้ว เขาลองลุกขึ้นเดินก็รู้สึกดีขึ้น แต่หลังยังแข็งและปวดเล็กน้อย
      
        ผมก็ให้เขานอนลงชันเข่าทั้ง ๒ ขึ้นแยกขาออก ผมเอามือทั้ง ๒ ข้างจับเข่าเขาแล้วค่อยๆ นั่งลงบนท้อง จากนั้นค่อยๆ ยกขาเขาเข้าหาตัวผมทีละข้าง แล้วก็จับขาของเขามาทำท่าพนมเท้า ดึงเข้าหาตัวผมอีกครั้ง เมื่อทำเสร็จเขาบอกว่าหลังโล่งขึ้น ผมก็บอกให้เขาลองลุกขึ้นเดินใหม่ ทีนี้เขาเดินยืนนั่งนอนได้เป็นปกติ เขาเกริ่นถามถึงค่าบริการ ผมบอกว่าไม่คิดค่ารักษา แต่หากยังปวดอีกก็ให้กลับมานวดที่คลินิกของผมได้ ทีนี้คิดค่ารักษาตามปกติแน่นอน

                       (http://www.doctor.or.th/sites/default/files/327-013-pic.jpg)


][url=http://www.doctor.or.th/node/1497] (http://[url=http://www.doctor.or.th/node/1497)

เพิ่มเติมค่ะ
 
การออกกำลังกายหลัง

][url=http://www.thaigold.info/forum/index.php?topic=4633.160] (http://[url=http://www.thaigold.info/forum/index.php?topic=4633.160)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 21, 2010, 06:45:26 PM
"ความสุขที่แท้จริง"




ผม เคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งนานมาแล้ว เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์ท่านหนึ่งลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง แล้วบอกให้นักเรียนลองทำให้เส้นตรงเส้นนี้สั้นลงโดยไม่ต้องลบ นักเรียนต่างหาวิธีทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไม่ได้เพราะทุกคนติดอยู่กับภาพ ลักษณ์ของการลบเส้นเดิมทิ้งไปเพื่อให้เส้นเดิมสั้นลงไป อาจารย์ท่านนั้นจึงขอให้นักเรียนรายหนึ่งเขียนเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่า เส้นเดิม ภายหลังจากที่นักเรียนลากเส้นตรงเส้นใหม่ที่ยาวกว่าเดิมแล้ว อาจารย์ท่านนั้นอธิบายให้นักเรียนฟังว่า

"การ ที่มีคนลากเส้นตรงขึ้นมาเส้นหนึ่ง ไม่ว่าเส้นตรงที่ลากมาจะยาวแค่ไหน เราสามารถทำให้เส้นตรงนั้นสั้นลงไปได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบเส้นของคน อื่นให้สั้นลง แต่เราสามารถทำให้เส้นของคนอื่นสั้นลงโดยที่เราลากเส้นของเราให้ยาวขึ้น ยิ่งเราลากเส้นยาวออกไปมากเท่าไหร่เส้นเดิมที่ลากไว้ก็จะสั้นลงไปทุกที เปรียบเหมือนการที่ใครซักคนทำในสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่ประสบความสำเร็จอยู่ เราไม่ควรให้ความอิจฉาริษามาก่อให้จิตของเรารุ่มร้อนและหาทางกลั่นแกล้งคนๆ นั้นด้วยการหาทางทำลาย เหมือนกับการพยายามลบเส้นของคนอื่นให้สั้นลง ตรงกันข้ามควรจะยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น เหมือนกับที่เรามองความยาวของเส้นตรงที่คนอื่นลากไว้ แต่เราหาทางพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับการพยายามลากเส้นตรงเส้น ใหม่ให้ยาวขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ไปลบเส้นของคนอื่น เส้นตรงที่เราลากก็จะยาวขึ้นเรื่อยๆ โดยเส้นเดิมที่เราลากไว้ก็จะสั้นลงไปเรื่อยๆโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปลบออก ให้สั้นลง"

การ คิดในเชิงสร้างสรรค์แบบนี้ทำให้จิตใจของเราโปร่งสบาย ไม่รุ่มร้อน เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้แข่งกับใครแต่เราแข่งกับตัวของเราเองอยู่ตลอด เวลาและเราไม่ได้ไปสร้างศัตรูหรือไปก่อเวรกับคนอื่น ตรงกันข้ามการแข่งขันระหว่างกันเป็นไปในทางเกื้อกูลกันทำให้ระบบโดยรวมมีการ เติบโตอยู่ตลอดเวลาไปในทางที่เป็นบวก คงไม่สำคัญว่าคุณต้องชนะคนทั้งหมด สิ่งสำคัญคงอยู่ที่คุณพยายามชนะตัวของคุณเองอยู่ตลอดเวลาต่างหาก เพียงแต่เมื่อใดคุณสามารถชนะตัวของคุณเองได้ ชัยชนะที่ได้ก็จะมีความหมายและทำให้คุณเกิดความภูมใจ และถ้าคุณยังไม่หยุดพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะชนะตัวคุณไปเรื่อยๆ เมื่อคุณมองย้อนกลับมาเมื่อไหร่คุณก็จะมีแต่ความใจในชัยชนะที่ขาวสะอาด ชัยชนะที่เป็นแรงขับดันให้คุณพยายามพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

การ ประสพความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคนมีอยู่หลายวิธี บางครั้งผู้คนต่างพยายามเลียนแบบเส้นทางประสพความสำเร็จของผู้อื่น แต่เมื่อเดินตามเส้นทางนั้นกลับพบว่าไม่ประสพความสำเร็จนัก ความสำเร็จในชีวิตของผู้คนคงไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบอย่างเดียวกันเสมอไป และเส้นทางไปสู่ความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นทางเดียวกันเสมอไป สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ความสุขใจที่ได้เลือกเส้นทางที่เหมาะกับตนเองมากที่ สุดมากกว่า

จง อย่าพยายามเลียนแบบเส้นทางไปสู่ความสุขของผู้อื่น เพราะนิยามความสุขของผู้คนต่างกัน ความสุขที่เราเห็นผู้คนอื่นมีความสุขกันอยู่ ถ้าเราไปอยู่ในสถานะนั้นเราอาจจะไม่มีความสุขอย่างที่เราเข้าใจก็ได้ สุขและทุกข์แท้จริงอยู่ที่ใจของเรากำหนดต่างหาก ลองมองทุกอย่าง อย่างเป็นกลางๆ ไม่เอาความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อคติ มาครอบงำ แล้ววันหนึ่งเราอาจจะค้นพบความหมายของคำว่าความสุขที่แท้จริงของตัวเราเอง

http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=109733&Ntype=4 (http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=109733&Ntype=4)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: Neung99k ที่ มกราคม 22, 2010, 10:26:20 PM
ขอบคุณมากนะครับคุณมดแดง  ข้อมูลเรื่องดัดตนแก้ปวดหลังจะลองทำดูบ่อยๆ ผมปวดหลังบ่อยไม่ยอมหายสักที ;D


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 23, 2010, 07:44:31 AM
ขอบคุณค่ะ คุณ neung 99k
   ที่ข้อมูลมีประโยชน์บ้างค่ะ เมือวานก่อนนำมาลงต่อ ลักษณะการบริหารคล้ายๆกัน  แต่พอบันทึกแล้วรูปไม่มา  ตอนพรีวิวมี  แต่พอเซพแล้วมันจะซ้ำ อีก เลยทำให้เออเรอร์  แก้ไขยังไงก็ไม่ได้ เลยเปลี่ยนหัวข้อค่ะ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 24, 2010, 06:06:14 PM
 กลุ่มยาลดความดันโลหิตสูง

" บัวบก "


(http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/images/hb_138.jpg)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Centella asiatica (L.) Urban.

ชื่อสามัญ :   Asiatic pennywort, Indian pennywort

วงศ์ :  Apiaceae (Umbelliferae)

ชื่ออื่น :  ผักหนอก (ภาคเหนือ)  ผักแว่น (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก ลำต้นเป็นไหลทอดเลื้อยไปตามดินที่ชื้นแฉะ ขึ้นง่าย มีรากฝอยออกตามข้อ ใบชูตั้งขึ้น มีไหลงอกออกจากต้นเดิม ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไต ขนาดกว้างและยาว 2-5 ซม. ปลายใบกลม โคนใบเว้า ขอบใบหยัก แผ่นใบสีเขียวมีขนเล็กน้อย ก้านใบยาว ดอก ออกเป็นช่อแบบซี่ร่มตามซอกใบ มีดอกย่อย 2-3 ดอก กลีบดอกมี 5 กลีบ สีม่วงอมแดงกลับกัน ผล เป็นผลแห้งแตกแบน เมล็ดสีดำ

ส่วนที่ใช้ :  ทั้งต้นสด

สรรพคุณ :

    *  ใบ - มีสาร Asiaticoside ทำยาทาแก้แผลโรคเรื้อน
  
    *  ทั้งต้นสด
      - เป็นยำบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า
      - รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือมีการชอกช้ำจากการกระแทก แก้พิษงูกัด
      - ปวดศีรษะข้างเดียว
      - ขับปัสสาวะ
      - แก้เจ็บคอ
      - เป็นยาห้ามเลือด ส่าแผลสด แก้โรคผิวหนัง
      - ลดความดัน แก้ช้ำใน
  
   * เมล็ด - แก้บิด แก้ไข้ ปวดศีรษะ

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
 

    * ใช้เป็นยาแก้ปวดศีรษะข้างเดียว
        ใช้ต้นสดไม่จำกัด รับประทาน หรือคั้นน้ำจากต้นสดรับประทาน ควรรับประทานติดต่อกัน 2-3 วัน
  
    * ใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ
        ใช้ทั้งต้นสด 10-20 กรัม หรือ 1 กำมือ ตำคั้นน้ำเติมน้ำส้มสายชู 1-3 ช้อนแกง จิบบ่อยๆ
    
    * เป็นยาลดความดันโลหิตสูง
        ใช้ทั้งต้นสด 30-40 กรัม คั้นน้ำจากต้นสด เติมน้ำตาลเล็กน้อย รับประทาน 5-7 วัน   [/color]
  
    * ยาแก้ช้ำใน (พลัดตกหกล้ม)
        ใช้ต้นสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำคั้นน้ำ เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่ม 1 ครั้ง รับประทานติดต่อกัน 5-6 วัน
  
    * เป็นยาถอนพิษรักษาแผลน้ำร้อนลวก
         ใช้ทั้งต้นสด 2-3 ต้น ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดพอกแผลไฟไหม้ ช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อน
  
    * เป็นยาห้ามเลือด ใส่แผลสด
         ใช้ใบสด 20-30 ใบ ล้างให้สะอาด ตำพอกแผลสด ช่วยห้ามเลือดและรักษาแผลให้หายเร็ว

สารเคมี : สารสกัดจากใบบัวบกประกอบด้วย madecassoside asiatic acid, asiaticoside, centelloside, centellic acid brahminoside, brahmic acid.

http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_16_2.htm (http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_16_2.htm)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: Neung99k ที่ มกราคม 26, 2010, 11:00:37 AM
สวัสดีครับคุณมดแดง จะลองทำดูสักเดือนได้ผลอย่างไรจะมาบอกนะครับ  ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่นำมาบอกกล่าวกันนะครับมีประโยชน์มาก ผมเองไม่ค่อยได้ศึกษาข้อมูลพวกนี้เท่าไหร่  เคยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับใบพูลคาวแล้วก็เลิกไป มันเยอะจัดฮิๆ ;D


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 26, 2010, 07:03:07 PM
พรหมลิขิตกับคำว่าเพื่อน

คุณเชื่อในพรหมลิขิตมั้ย ?

ถ้าไม่.. แล้วอะไรล่ะ
ที่ทำให้เรามาพบกับคนอีกหลายคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ถ้าไม่.. แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เราถูกชะตาจนเรียกคนๆนั้นว่า เพื่อน
.......เพื่อน..... คนๆนึงที่ครั้งนึงก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง
เวลา ผ่าน เวลา คนแปลกหน้าคนนั้นก็กลับกลายมาเป็นคนที่เรา ไว้ใจ
.......เพื่อน..... คนที่พร้อมอยู่กับเราเสมอๆ
ไม่ว่า สุข ทุกข์ เหงา เศร้า
.......เพื่อน.....
คนที่พร้อมแชร์ความรู้สึกต่างๆโดยไม่เคยเอ่ยปากว่า
ถ้าทำอย่างนั้นแล้วฉันจะได้อะไร
.
......เพื่อน..... คนที่ไม่เคยสนใจว่าเราจะหน้าตาดี มีสกุล ร่ำรวย
ยากจน สูง ต่ำ ดำ ขาว หรือไม่
.......เพื่อน..... คนที่ไม่เคยเสแสร้ง แกล้งทำ
........แต่...... เพื่อนตาย หายากเหลือเกิน

เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ ว่า คนๆนี้เป็นเพื่อนตายของเราหรือไม่
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้
เป็นคนที่พร้อมจะเคียงข้างเราเสมอไปมั้ย
เรามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ว่าคนๆนี้จริงใจกับเราแค่ไหน
ทั้งหมดนี้ เราใช้ ตา มองไม่เห็น
........แต่...... ทั้งหมดนี้เราใช้ ใจ มองเห็นได้

เมื่อบทความ ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ คุณล่ะ ?
ใช้ตามองเพื่อน หรือใช้ใจมองเพื่อน เราบอกไม่ได้ว่าคนๆไหนดี ไม่ดี
จนกว่า... เราจะมีโอกาส รู้จัก กับคนๆนั้น แล้วใช้ใจของเราสัมผัส
การคบใครสักคน คบเพียงกายก็ไร้ประโยชน์ แต่ การคบใครสักคน
จำเป็นต้องคบกันด้วย ใจ

วันนี้ คุณ ใช้อะไร คบเพื่อนของคุณ อย่าบอกนะ
ว่าคุณก็เป็นคนที่คบเพื่อนแค่ ตา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น
คุณก็คงเป็นคนที่ไม่น่าคบคนหนึ่ง
สำหรับคนที่ได้รับการกระทำเช่นนี้
คุณ..โชคดีจัง ที่มีเพื่อนรักคุณ และ คบคุณด้วยใจ
อย่าลืม กระทำเช่นนี้ ให้กับเพื่อนที่คุณ รัก ด้วย ใจ
ที่สำคัญ กระทำเช่นนี้กลับไปให้เพื่อนคนที่กระทำเช่นนี้ให้คุณ

เพื่อบอกกับเค้าว่า......  คุณดีใจที่มีเพื่อนอย่างเค้าเช่นกัน......

http://moomsabuy.exteen.com/20070502/entry (http://moomsabuy.exteen.com/20070502/entry)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 27, 2010, 12:50:39 PM
(http://papinzaa.exteen.com/images/human.gif)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 28, 2010, 11:52:12 AM
เป็นกำลังใจให้ทุกฝัน..........................


 
ดีไม่ดี... อยู่ที่ใจเรา
หัวเราะ... เมื่ออยากหัวเราะ
ร้องไห้... เมื่ออยากร้องไห้
และต้องหัวเราะให้ได้หลังร้องไห้ทุกครั้ง!
อย่าทำอะไรที่ไม่อยากทำ...
จงทำอะไรที่ใจอยากทำ!


ตัวหนังสือ... เขียนผิด.... ลบได้
การกระทำ.... ทำผิด... เอาอะไรลบ



ทุกย่างก้าว ของ ความฝัน คือ ก้าวย่าง ของ ความเหน็ดเหนื่อย
ทุกก้าวย่าง ของ ความเหน็ดเหนื่อย คือ ก้าวย่าง ของ ความสำเร็จ


ต่อให้ทุกข์ที่สุด... ก็ต้องผ่านพ้นไปจนได้
เมื่อเรานั่งมองอดีต เรายังผ่านทุกข์มาได้ตั้งหลายทุกข์
ในเมื่อ... ชีวิต... มันยังมีชีวิต
ขอแค่อย่าทุกข์ก่อนเจอทุกข์
หลัง ทุกข์ อย่าทุกข์อีก
ให้ทุกข์ แค่ตอนทุกข์
แล้วทุกข์ที่สุด... ก็จะเป็นทุกข์แค่นี้เอง!


ให้ทำหน้าที่ทุกหน้าที่ด้วยหัวใจ
ให้หัวใจตระหนักในหน้าที่...
แล้วเราจะไม่รู้สึกว่าหน้าที่เป็นหน้าที่
แต่เป็นการกระทำที่เกิดจาก... หัวใจเรียกร้อง... ต่างหาก


ดีไม่ดี... อยู่ที่ใจเรา...
ถ้าใจเรา.... คิดดี ก็จะเจอแต่สิ่งดีๆ
ถ้าเรามองในทางที่ดี... ใจเราก็จะรู้สึกดี
ถ้ากำลังใจดี... สิ่งเลวร้าย.... ก็จะคลี่คลายเป็น.... ดี!


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: nokeang ที่ มกราคม 28, 2010, 11:59:35 AM
 :) สวัสดี ดี ดี ดี ค่ะ คุณมดแดง  ;D แวะมาอ่านเสมอนะค่ะ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: nokeang ที่ มกราคม 28, 2010, 12:08:39 PM
:)   ข้อคิดดี ๆ จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ?   Smiley/Angry.gif

(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img9/78745.jpg)

ผมบอกพนักงานอยู่เสมอ คือในโลกนี้ ไม่มีคนไหนเก่งไปตลอดกาล
วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้ อาจมีคนเก่งกว่าคุณ เพราะฉะนั้น
คนใดก็ตามที่ภูมิใจว่า ตนเองเก่ง จงจำเอาไว้ได้เลยว่า
ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้วความโง่คืบคลานมาใกล้ตั วคุณแล้ว
------------ --------- --------- --------- --------- ธนินท์ เจียรวนนท์


ผมพร้อมจะเป็นน้ำนิ่ง อาจมีเขื่อนมาขวางหน้า แต่ถ้าวันใด
ที่เขื่อนนั้นเปราะบางและโอกาสแห่งการสำแดงพลังมาถึง
ผมก็พร้อมจะกลายเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากโหมกระหน่ำ ใส่ทุกสิ่งที่ขวางกั้น
แม้กระทั่งเขื่อนที่ครั้งหนึ่งผมเคยสยบยอมก็ตาม
------------ --------- --------- --------- --------- เจริญ สิริวัฒนภักดี


ถ้าคุณอดทน เพื่อจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ
คุณจำเป็นอย่างมากที่จะต้องลงมือศึกษาเรื่องนั้นๆ อย่างเป็นจริงเป็นจัง
แต่ถ้าคุณไม่อดทน โอกาสที่คุณจะผิดพลาดก็ย่อมมีสูงเช่นกัน
------------ --------- --------- --------- ------- อนันต์ กาญจนพาสน์



จงเดินไปหาภูเขา อย่าให้ภูเขาเดินมาหาเรา เพราะผมคิดว่า
ปกติผู้บริหารทั่วไปมักจะเรียกพนักงานมาประชุมกับเรา
มันเหมือนเราย้ายพนักงานทั้งกองทัพมาหาเรา แต่สำหรับผมผมจะเดินไปหาเขา
ผมบอกลูกน้องของผมว่าเราต้องเดินไปหาลูกค้า อย่าให้ลูกค้ามาหาเรา
------------ --------- --------- --------- -------- พรเทพ พรประภา


ในเรื่องของการพิจารณา ความดีความชอบ
ผมจะฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นหลักว่าลูกน้องแต่ละ คนทำงานลงไปแล้วลูกค้า
พอใจแค่ไหนอย่างไร
ผมจะไม่เชื่อหัวหน้าอย่างเดียวเพราะถ้าเกิดหัวหน้าบา งคนไม่ชอบลูกน้องอาจ
เกิดกรณีหัวหน้าแกล้งลูกน้องได้
------------ --------- --------- --------- ------ ประกิต อภิสารธนรักษ์


ผมมีหลักของอาจารย์ที่สอนผมอย่างหนึ่งว่า มนุษย์เกิดมาไม่มีใครเก่งที่สุด
ดีที่สุด หรือแม้แต่เลวที่สุด
เพราะคนที่ดีสุดและเลวที่สุดได้ตายจากโลกนี้นานแล้ว
คนที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียง ชีวิตที่มีขึ้นมีลงอย่างเดียว
------------ --------- --------- --------- -- ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ


ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามคุณต้องศึกษาให้รู้แจ้งเสียก่ อน ก่อนที่จะลงมือทำ
และเมื่อลงมือทำแล้ว ก็ต้องทำให้จริงๆ จังๆให้มันรู้ไปเลยว่า
เราทำไม่ไหวแล้ว
------------ --------- --------- --------- --------- - ชวน ตั้งมติธรรม


1. จงเผชิญกับความจริงอย่างที่เป็นอยู่ มิใช่อย่างที่คุณอยากเป็น
2. จริงใจกับทุกคน
3. อย่าเป็นแค่นักบริหารแต่จงออกไปนำทัพ
4. จงเปลี่ยนแปลงก่อนที่เหตุการณ์จะบังคับให้ต้องเปลี่ย น
5. ถ้าท่านไม่มีจุดแข็ง หรือข้อได้เปรียบจงอย่าแข่งกับเขา
6. จงคุมชะตาด้วยตนเองมิฉะนั้น ผู้อื่นจะมาคุมแทน
------------ --------- --------- ------ ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์


ในการทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง
หรือนายจ้างควรจะรับฟังความคิดของผู้ร่วมงานเสมอ
การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
คือเป็นการเพิ่มประสบการณ์อื่นเป็นความรู้
นอกเหนือจากที่ได้รับมาจากการเอาเปรียบผู้อื่น
ไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง
------------ --------- --------- --------- -------- โพธิ์พงษ์ ล่ำซำ


ที่ชอบเป็นพิเศษ คือคำพูดของซุนวู่ ที่บอกว่า รู้เขา รู้เรา
รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ผมฟังปุ๊บ รู้สึกประทับใจทันทีและเข้าใจว่า
คนเราถ้าอยู่ใกล้ใคร มักอยากเป็นแบบนั้น
ตอนนั้นจำได้ว่าผมอยากเป็นนักเขียนมาก
แต่ที่ได้รับคำแนะนำว่าถ้าคุณอยากเขียนหนังสือจงเริ่ มต้นจากสิ่งที่คุณรู้
ก่อนเป็นอันดับแรก
------------ --------- --------- --------- ----- อมรเทพ ดีโรจนวงศ์


อีก 1 เรื่อง
เรื่องมีอยู่ว่าชาวนาจีนแก่ ๆ
คนหนึ่งเดินไปตามถนนบนบ่ามีมีไม้พาดอยู่และที่ปลายไม ้นั้นก็มีหม้อดินใส่แกง
จืดเต้าหู้ผูกห้อยไว้ ขณะที่เดินไปเขาเกิดสะดุดก้อนหิน
และหม้อดินก็หล่นลงกระทบพื้นแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้น เล็กชิ้นน้อย
ชาวนาผู้เฒ่าคนนี้ก็ลุกขึ้นแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไ ป
โดยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์รีบวิ่งมาหา แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า
"นี่ ๆ พ่อเฒ่าท่านไม่รู้หรือว่าหม้อดินหล่น"
ชายชราหันไปตอบว่า "ฉันรู้ ฉันได้ยินเสียงมันหล่นอยู่"
ผู้อ่อนอาวุโสมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำตอบเช่น นั้น
"อ้าวแล้วทำไมท่านไม่ย้อนกลับไปทำอย่างใดอย่างหนึ่งล่ ะ"
สีหน้าของผู้เฒ่ายังเป็นปกติขณะที่ตอบชายหนุ่มด้วยคำ พูดที่หนักแน่นชัดเจนว่า
" ก็หม้อดินมันแตกแล้วแกงจืดก็ไม่เหลือแล้วจะให้ฉันทำอะไรอีกล่ะ"
พูดจบชายชราผู้มากด้วยประสบการณ์ชีวิตก็ย่างเท้าก้าว ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
วันวานนี้สิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ทุก ๆ วันคือจุดเริ่มต้นใหม่
เรียนทักษะของการลืมอดีต แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ
เสมอต้น,เสมอปลาย...





หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 29, 2010, 04:01:15 PM
แม่Iสอน ท่อนสุดท้ายจ๊าบมากๆ (ซึ้งกินใจ)



เพื่อน ๆ บอกผมว่า
ทำไมดูหน้าตาไม่ค่อยฉลาด แต่เรียนเก่งจังวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่Iสอน ให้ขยันแล้วก็ตั้งใจเรียน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพอมีตังค์ ชอบเอาไปทำบุญ แจกเด็ก เลี้ยงพระวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่Iสอน ให้รู้จักแบ่งปันคนอื่น ถึงเราจะมีตังค์น้อย แต่ก็มีคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมชอบเล่นกีฬา เล่นเป็นหลายอย่าง แล้วไม่เคยเห็นป่วยนอนโรงพยาบาลเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่Iสอน ให้Iออกกำลังกาย จะได้แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยง่าย ๆ เพราะเรามีตังค์น้อย เจ็บป่วยจะลำบาก

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมอารมณ์ดี ไม่เครียด ไม่โกรธใครบ้างเลยหรือไงวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่Iสอน ให้เป็นคนอารมณ์ดี ทำให้คนที่อยู่ใกล้เรามีความสุข แล้วจะสบายใจกันทุกคน

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพูดกับคนอื่น ดูสุภาพ อ่อนน้อม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลุงแก่ ๆ เป็นเด็กเสริฟอาหาร
หรือแม้แต่ขอทานที่ให้เศษตังค์แล้วเขาอวยพรให้ ทำไมต้องขอบคุณขอทานวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่Iสอน ให้พูดดี ๆ กับทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราพูดดี ๆ กับเขา เขาก็จะได้พูดดี ๆ กับเรา

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมพี่ ๆ น้อง ๆ ตั้งหลายคน ทำไมรักใคร่กันดี ไม่เคยทะเลาะกันเลยวะ
ผมบอกเพื่อนผมว่า
แม่Iสอน ให้พี่น้องรักกันทุกคน เพราะหมากับแมวที่อยู่บ้านเดียวกัน มันยังรักกันได้
ทำไมพี่น้องกัน จะรักกันไม่ได้

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมถึงรักชาติ รักแผ่นดิน รัก มากมายนักวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
แม่Iสอน ให้Iสำนึกถึงบุญคุณของแผ่นดิน บุญคุณของพระมหากษัติรย์ ทุกพระองค์
แม่Iสอน ให้Iจักคำว่า จงรักภักดี ตั้งแต่Iยังไม่รู้ความหมาย จนทุกวันนี้ guru็แล้วว่า
คำว่า จงรักภักดี นั้น ยิ่งใหญ่เพียงใด

เพื่อน ๆ ผมบอกว่า
ทำไมแม่ถึงสอนอะไรมากมายจังเลยวะ
ผมบอกเพื่อนว่า
ที่Iเป็นIอยู่จนทุกวันนี้ ก็เพราะ ' แม่Iสอน '
แม่Iสอนอะไร Iทำตามแม่Iสอนทุกอย่าง
มีอย่างเดียวที่แม่Iไม่ได้สอน แต่Iทำ แล้วIทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แม่Iไม่ได้สอนให้รักแม่ แต่......Iรักแม่ว่ะ

ใครไม่รัก..................Iรัก      


หมายเหตุ  แม่กูสอน โดนบล็อก  ความหมายของภาษาพ่อขุนนะคะ


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มกราคม 29, 2010, 04:10:21 PM
ขอบคุณมากนะคะ  :) คุณ nokeang
เป็นข้อความที่ดีมากค่ะ แล้วขออนุญาตินำไปฝากบ้านโน้นด้วยนะคะ  ;D


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ กุมภาพันธ์ 06, 2010, 09:17:30 PM
คัดจากบท "คำขอที่ยิ่งใหญ่"


         (http://www.bloggang.com/data/maekai/picture/1201157543.jpg)

...การขอโทษมิใช่เครื่องหมายแสดงความอ่อนแอ
มีแต่ในอาณาจักรสัตว์เท่านั้นที่ตัวอ่อนแอเป็นฝ่ายคืนดีก่อน
แต่สำหรับมนุษย์ผู้มีวัฒนธรรมแล้ว
ผู้ที่เอ่ยปากขอโทษก่อนต่างหาก คือผู้ที่เข้มแข็งกว่า
เข้มแข็งเพราะเขากล้ารับผิด
เข้มแข็งเพราะเขากล้าขัดขืนคำบัญชาของอัตตา
ที่ต้องการประกาศศักดาเหนือผู้อื่น...


ไม่มีการขออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าการขอโทษ
เพราะเป็นการขอที่ไม่ได้ออกมาจากจิตที่เห็นแก่ตัว
แต่มาจากจิตที่มีมโนธรรมสำนึก รู้สึกรู้สากับความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์
และอ่อนน้อมถ่อมตน ไร้อหังการ
เป็นการขอที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสูญเสียเลยแม้แต่น้อย

คำขอโทษเป็นประดิษฐกรรมอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์
ไม่ใช่เพราะมันทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เท่านั้น
หากยังเพราะช่วยให้มนุษย์คืนดีและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
โดยไม่ใช้ความฉลาดที่ได้มาเพื่อการทำลายล้างกันเท่านั้น...



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: Neung99k ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2010, 07:08:19 PM
ขอบคุณสำหรับบทความดีดีครับ ;D


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ กุมภาพันธ์ 10, 2010, 08:31:45 PM
กดจุดหยุดอาการจุกแน่นท้อง

http://www.doctor.or.th/node/6598 (http://www.doctor.or.th/node/6598)

ภาวะ เศรษฐกิจในสังคมปัจจุบันนี้ ทำให้ประชาชนต้องรัดเข็มขัดตัวเอง ต้องทำงานแข่งกับเวลาเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่คนชนบทนับว่ายังโชคดีกว่าคนในเมืองหลวงอยู่มากนัก ทั้งนี้เพราะค่าครองชีพต่างกันราวฟ้ากับดิน คนเมืองหลวงจึงต้องรับกรรม มีเรื่องให้คิดคิดคอยกังวลอยู่ร้อยแปดพันประการ แล้วสิงที่ตามมาก็คือ โรคกระเพาะอาหารไม่ย่อย จุกเสียด แน่นท้อง

"เมื่อก่อนผมไม่เคยมีอาการจุกแน่นท้องเลย เพิ่งจะเป็นเมื่อเร็วๆ นี้เอง"
"พวก หมอเขาบอกว่า สาเหตุมักจะเกิดจากการกังวล เช่น กังวลในปัญหาครอบครัว เกี่ยวกับการทำมาหากิน การงาน เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้ทำให้กระเพาะอาหารทำงานไม่เป็นปกติ เลยมีอาการจุกแน่น (มีลมในกระเพาะอาหาร) ตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ หลังกินข้าวอิ่ม ถ้ามีอาการเรอหรือผายลม จะรู้สึกสบายขึ้น บางครั้งก็มีอาการเบื่ออาหร นอนไม่หลับ ท้องผูก ใจสั่น มึนศีรษะ"

"นั่นซิ เมื่อก่อนผมอยู่ตัวคนเดียวไม่ต้องคิดอะไรมาก เดี๋ยวนี้มีครอบครัวแล้ว ต้องวุ่นอยู่กับปัญหาครอบครัวและยังต้องหาเงินมากขึ้นไม่งั้นไม่พอผ่อนบ้าน ไม่พอใช้ น่าจะเป็นสาเหตุนี้ที่ทำให้มีอาการแน่นท้องอยู่เสมอ"

"ใน ทางการแพทย์ตะวันตก (แผนปัจจุบัน) การรักษา คือ ให้ยาพวก มิกต์คาร์มิเนตีฟ หรือยาธาตุน้ำแดง ถ้ามีอากากังวลใจ นอนไม่หลับ ก็ให้ยากล่อมประสาท เช่นไดอะซีแพม"

"ผมก็กินยาที่ว่ามานาน ไม่เห็นหายเลย ไม่รู้ว่าจะกินไปได้อีกนานเท่าไหร่จึงจะหาย"
"ก็ อย่างว่าแหละ ทุกวันนี้เรามักจะเน้นเรื่องการรักษาเป็นหลัก แต่ไม่เคยสนใจที่จะเรียนรู้ป้องกันเลย เพราะการป้องกันนั้นยากกว่าการรักษา"

"ผมเห็นด้วยกับทรรศนะของคุณที่เน้นการป้องกันเป็นหลัก แล้วถ้าเผื่อมันเป็นตอนนี้ เราจะแก้ปัญหาเพราะ "หา" อย่างไรดีล่ะ"
"เอาง่ายๆ ก็ใช้วีการกดจุดก็แล้วกัน"

จุดที่กด จู๋ซานหลี, เน่ยกวาน
(http://www.doctor.or.th/sites/default/files/007-1_0.jpg)

จุดเน่ยกวาน อยู่ห่างจากเส้นข้อมือระหว่างเอ็นทั้งสองโดยห่างจากเส้นข้อมือ 2 นิ้ว (รูปที่ 1)

(http://www.doctor.or.th/sites/default/files/007-2_0.jpg)

จุดจู๋ซานหลี อยู่ใต้สะบ้าหัวเข่าล่างลงไปประมาณ 3 นิ้วข้างกระดูกหน้าแข้งด้านนอก (รูปที 2)

วิธีกด

ใช้ หัวแม่มือกด ที่จุดจู๋ซานหลี ทั้งสองข้างประมาณ 3-5 นาที หรือจะใช้จุดเน่ยกวานร่วมด้วยโดยกดข้างละ 3-5 นาที ก็จะช่วยให้ได้ผลดีขึ้น

ถ้าสามารถหาน้ำขิงโดยใช้ขิงแก่สดมาทุบให้แตกแล้วชงน้ำร้อนหรือต้มกิน จะช่วยให้อาการทุเลาลงเร็วขึ้น


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2010, 03:23:12 PM
กลุ่มยาลดความดันโลหิตสูง

มะขาม

(http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/images/hb_139.jpg)
ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Tamarindus indica  L.

ชื่อสามัญ :   Tamarind, Indian date

วงศ์ :   Leguminosae - Caesalpinioideae

ชื่อ อื่น :  ขาม (ภาคใต้) ตะลูบ(ชาวบน-นครราชสีมา) ม่องโคล้ง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) อำเปียล (เขมร-สุรินทร์) หมากแกง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ส่ามอเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ไม้ต้นขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นขรุขระและหนา สีน้ำตาลอ่อน ใบ เป็นใบประกอบ ใบเล็กออกตามกิ่งก้านใบเป็นคู่ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบมน ดอก ออกเป็นช่อเล็กๆ ตามปลายกิ่ง หนึ่งช่อมี 10-15 ดอก ดอกย่อยขนาดเล็ก กลีบดอกสีเหลืองและมีจุดประสีแดงอยู่กลางดอก ผล เป็นฝักยาว รูปร่างยาวหรือโค้ง ยาว 3-20 ซม. ฝักอ่อนมีเปลือกสีเขียวอมเทา สีน้ำตาลเกรียม เนื้อในติดกับเปลือก เมื่อแก่ฝักเปลี่ยนเป็นเปลือกแข็งกรอบหักง่าย สีน้ำตาล เนื้อในกลายเป็นสีน้ำตาลหุ้มเมล็ด เนื้อมีรสเปรี้ยว และหวาน
ส่วนที่ใช้ :  ราก เปลือก ทั้งต้น แก่น ใบ เนื้อในฝัก ฝักดิบ เมล็ด เปลือกเมล็ด ดอกสด

สรรพคุณ :
   
    *       ราก -  แก้ท้องร่วง สมานแผล รักษาเริม และงูสวัด
   
    *      เปลือกต้น - แก้ไข้ ตัวร้อน
   
    *      แก่น - กล่อมเสมหะ และโลหิต ขับโลหิต ขับเสมหะ รักษาฝีในมดลูก รักษาโรคบุรุษ เป็นยาชักมดลูกให้เข้าอู่
   
    *      ใบสด (มีกรดเล็กน้อย) - เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ แก้ไอ แก้บิด รักษาหวัด ขับเสมหะ หยอดตารักษาเยื่อตาอักเสบ แก้ตามัว  ฟอกโลหิต     ขับเหงื่อ ต้มผสมกับสมุนไพรอื่นๆ อาบหลังคลอดช่วยให้สะอาดขึ้น
   
    *      เนื้อหุ้มเมล็ด - แก้อาการท้องผูก เป็นยาระบาย ยาถ่าย ขับเสมหะ แก้ไอ กระหายน้ำ เป็นยาสวนล้างท้อง
   
    *      ฝักดิบ - ฟอกเลือด และลดความอ้วน เป็นยาระบายและลดอุณหภูมิในร่างกาย บรรเทาอาการไข้
   
    *      เมล็ดในสีขาว - เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนตัวกลมในลำไส้ พยาธิเส้นด้าย
   
    *      เปลือกเมล็ด - แก้ท้องร่วง แก้บิดลมป่วง สมานแผลที่ปาก ที่คอ ที่ลิ้น และตามร่างกาย รักษาแผลสด ถอนพิษและรักษาแผลที่ถูกไฟลวก รักษาแผลเบาหวาน
    *      เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) - รับประทานจิ้มเกลือ แก้ไอ ขับเสมหะ
   
    *      ดอกสด - เป็นยาลดความดันโลหิตสูง

วิธีและปริมาณที่ใช้ :

   1.       เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือน ตัวกลม ตัวเส้นด้าย ได้ผลดี
      ใช้เมล็ดคั่วกะเทาะเปลือกออก แล้วเอาเนื้อในเมล็ดแช่น้ำเกลือจนนุ่ม รับประทานเนื้อทั้งหมด ครั้งละ 20-30 เมล็ด
 
   2.     เป็นยาระบาย ยาถ่าย
      - ใช้เนื้อที่หุ้มเมล็ด (มะขามเปียก) แกะเมล็ดแล้วขนาด 2 หัวแม่มือ (15-30 กรัม) จิ้มเกลือรับประทาน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ
      - เอามะขามเปียกละลายน้ำอุ่นกับเกลือ ฉีดสวนแก้ท้องผูก
 
   3.      แก้ท้องร่วง
      -เมล็ดคั่วให้เกรียม กะเทาะเปลือกรับประทาน
      -เปลือกต้น ทั้งสดและแห้ง ประมาณ 1-2 กำมือ (15-30 กรัม) ต้มกับน้ำปูนใส หรือ น้ำ รับประทาน
 
   4.      รักษาแผล
      เมล็ดกะเทาะเปลือก ต้ม นำมาล้างแผลและสมานแผลได้
 
   5.      แก้ไอและขับเสมหะ
      ใช้เนื้อในฝักแก่ หรือมะขามเปียก จิ้มเกลือรับประทานพอควร
 
   6.     เป็นยาลดความดันสูง
      ใช้ดอกสด ไม่จำกัดจำนวน ใช้แกงส้มหรือต้มกับปลาสลิดรับประทาน

สารเคมี :

    *      ใบ  มี  Alcohols, phenolic esters and ethers. Sambubiose, Carboxylic acid, Oxalic acid
    *      ดอก  มี  a - Oxoglutaric acid, Glyoxalic acid , Oxaloacetic acid
    *      ผล มี  Alcohols, Aldehydes; Citric acid Ketones, Vitamin B1, Essential Oil, Enzyme.
    *      เมล็ด  มี  Phosphatidylcholine, Proteins Glutelin, Albumin, Prolamine, Lectin


 http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_16_3.html (http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_16_3.html)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: nokeang ที่ กุมภาพันธ์ 13, 2010, 05:01:22 AM
 ;D  สวัสดีค่ะ คุณมดแดง เอาอั่งเปามาแจกค่ะ ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ค่ะ   ;D

(http://i.kapook.com/glitter/2010/th/01/T260110_14CM_r.gif)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2010, 09:28:40 PM
ขอบคุณมากค่ะ คุณ nokeang

(http://lh3.ggpht.com/_EoGNIyS1SP8/S3VFf5jKr7I/AAAAAAAAS3Q/3wuLjo-F6FM/%E6%96%B0%E5%B9%B4%E8%A1%8C%E5%A5%BD%E8%BF%90.gif)     (http://lh4.ggpht.com/_EoGNIyS1SP8/S2nmsDxeXaI/AAAAAAAAQrE/E-jwAyUkdCU/image.gif)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2010, 09:32:56 PM
ชอบนอนดึก-นอนไม่หลับ ทำลายสุขภาพระยะยาว




นาย สมศักดิ์ตื่นแต่เช้าไปทำงาน ด้วยสภาพร่างกายอิดโรย ต้องติดตามดูฟุตบอลโลกนัดสำคัญติดต่อกันหลายคืนกับเพื่อนๆ ท่ามกลางกับแกล้มและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดคืน เวลาเข้านอนก็รู้สึกหลับไม่สนิท เพราะตื่นเต้นจากเหตุการณ์ในเกมกีฬาทำให้นำเอากลับไปฝันต่อ

เด็ก หญิงณิชา ชอบท่องอินเทอร์เน็ตติดต่อสื่อสารกับเพื่อนๆ เป็นชีวิตจิตใจ มักใช้เวลาตอนดึกๆ เพลิดเพลินจนติดลม กว่าจะได้นอนก็ตี ๑ ตี ๒ เข้าไปแล้ว นางอารี อาชีพพยาบาล ทำงานเข้าเวรดึกบ้าง เวรเช้าบ้าง เช่นเดียวกับนางสาวสมสกุล อาชีพแอร์โฮสเตส บริการผู้โดยสารสายการบินต่างประเทศ เวลาการนอนพักผ่อนไม่แน่นอนเหมือนคนทั่วไป หลังจากทำงานมา  ๕ ปี รู้สึกว่าตัวเองแก่ไปมาก สุขภาพระยะหลังก็ไม่ค่อยจะดี คนที่นอนไม่หลับ นอนไม่พอ นอนแล้วฝันบ่อยๆ (หลับไม่สนิท) นอนแล้วผวาตกใจตื่นกลางดึก เมื่อตื่นกลางดึกแล้วหลับต่อยาก คนที่นอนผิดเวลา เช่น นอนกลางวัน ทำงานกลางคืน จะมีความรู้สึกอ่อนเพลีย นอนไม่อิ่ม ต้องการพักมากกว่าคนทั่วไปคนที่นอนกลางคืนทำงานกลางวัน ที่กล่าวมาข้างต้นนี้จัดเป็นประเภทนอนไม่หลับ นอนไม่พอ นอนหลับไม่สนิท สรุปแล้วมีผลต่อสุขภาพเหมือนกัน
     
ทัศนะแพทย์แผนจีน ต่อการนอนหลับ

เวลา กลางวัน เป็นหยาง ระบบประสาทส่วนกลาง จะถูกกระตุ้นให้มีความตื่นตัว หลังเที่ยงวัน พลังหยางของธรรมชาติจะค่อยๆ ลดลงจนถึงเที่ยงคืน ภาวะความตื่นตัวของระบบประสาทส่วนกลางค่อยๆ อ่อนล้าหรือลดลง การทำงานของคนเราควรจะต้องให้สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ และสภาพของ "นาฬิกาชีวิต" ของร่างกาย
เวลากลางคืน เป็นยิน ระบบประสาทส่วนกลางควรอยู่ในสภาพสงบและพัก เพื่อขจัดความเมื่อยล้าจากการทำงาน การเคลื่อนไหวของร่างกาย จิตใจ ตลอดวันที่ผ่านมา
การนอนหลับจึงเป็นวิธีการพักผ่อนตามธรรมชาติที่ดีที่ สุด ถ้าการนอนหลับเพียงพอ หลับสนิท และเป็นการหลับตอนกลางคืนในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็จะทำให้ร่างกายมีการฟื้นตัว ได้ดีที่สุด เมื่อตื่นนอนตอนเช้าก็จะมีความสดชื่น มีสภาพร่างกาย สภาพของสมองที่พร้อมจะทำงานให้เกิดประสิทธิภาพดีที่สุด ปัญหาจะเกิดขึ้นมากมาย เมื่อร่างกายและสมอง ไม่สามารถพักผ่อน และฟื้นฟูสภาพได้จากภาวะการนอนไม่หลับ หลับไม่สนิท หรือหลับไม่พอ

ร่าง กายคนเรามีระบบการทำงานของร่างกายที่มีกฎเกณฑ์ เพื่อดำรงไว้ซึ่งระบบสมดุล กฎเกณฑ์เหล่านี้เปรียบเสมือน "นาฬิกาชีวิต" การเคลื่อนไหวของมันเป็นไปตามวิถีการหมุนรอบตัวเองของโลก การเข้าใจกฎเกณฑ์ของ "นาฬิกาชีวิต" เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของ ธรรมชาติรอบตัว นำมาซึ่งสุขภาพที่ดี อายุยืนยาว การปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

ตัวอย่างกฎเกณฑ์ทางสรีระของร่างกาย เช่น

ความดันของหัวใจ ประมาณ ๗๒ ครั้ง/นาที

การหายใจ ประมาณ ๑๖ ครั้ง/นาที

อุณหภูมิของร่างกาย ช่วงเช้าต่ำกว่าช่วงค่ำ

ความดันเลือด ช่วงกลางวันสูงกว่ากลางคืน

รอบของประจำเดือนประมาณ ๒๘ วัน

การนอนไม่หลับ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับระยะยาวจะมีผลกระทบต่อกฎเกณฑ์ธรรมชาติของร่างกาย หรือสัญญาณชีวิต (vital sign)

สาเหตุของการนอนไม่หลับ

สาเหตุของการนอนไม่หลับ แพทย์แผนจีนมองว่า เกิดจากหลายสาเหตุ

๑. ใช้ความคิดมาก ทำลายหัวใจ (สมอง ประสาท) และระบบม้าม (การย่อย)

๒. ความผิดปกติของไต (หัวใจและไตไม่สัมพันธ์ประสานกัน)

๓. ร่างกายอ่อนแอ ตกใจง่าย พบเหตุการณ์ภายนอกมากระทบ จะทำให้จิตใจตื่นตระหนก นอนไม่หลับ

๔. ใช้ยาบำรุงพลังหรือยากระตุ้นพลังอย่างไม่เหมาะสม เช่น เขากวางอ่อน หมาหวง ยากระตุ้นหยางของร่างกาย

ข้อแนะนำเพื่อการนอนหลับที่ดี
การนอนหลับที่ดี ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

๑. ตื่น นอนแต่เช้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เคลื่อนไหว ออกกำลังกายประมาณ ๒๐ นาที เพื่อกระตุ้น "นาฬิกาชีวิต"  (รับพลังหยาง) เพื่ออุ่นร่างกาย ระบบประสาท ในการทำงานของวันใหม่

๒. การกินอาหารเช้าและกลางวันไม่ควรอิ่มเกินไป เพราะจะทำให้ง่วงนอนตอนกลางวัน (โดยเฉพาะคนที่ชอบหลับกลางวันบ่อยๆ แล้วกลางคืนไม่หลับ) การที่มีความหิวเล็กน้อย ช่วยกระตุ้นไม่ให้หลับกลางวัน

๓. ก่อนนอน ๒ ชั่วโมง ถ้าเป็นคนหลับยาก อาจออกกำลังกายเบาๆ สัก ๑๕-๓๐ นาที จะทำให้การนอนหลับดีขึ้น

๔. การ นอนหลับ ต้องตั้งใจนอนจริงๆ นอนให้พอ ไม่ใช่สักแต่ได้นอน เช่น นอนเปิดไฟ เปิดโทรทัศน์ ทำให้รบกวนการนอน และถูกกระตุ้นตลอดเวลาระหว่างนอนหลับ

๕. ฝึก เคล็ดลับการผ่อนคลายก่อนการนอนหลับ ให้นอนหงาย ผ่อนคลายทั่วร่างกาย มือทั้ง ๒ ข้าง วางใต้สะดือ ลิ้นแตะเพดานบน เมื่อมีน้ำลายเกิดขึ้นในปากให้ค่อยๆ กลืนลงไปช้าๆ เวลาที่สำคัญที่สุดที่ต้องหลับสนิทคือ ๐๑.๓๐-๐๒.๓๐ น. (จึงควรเข้านอนก่อน ๕ ทุ่ม) เพราะระดับฮอร์โมนและอุณหภูมิของร่างกายต่ำสุด ร่างกายมีผ่อนคลายและมีการทำงานน้อยที่สุด

๖. ใช้ลูกบอลสุขภาพ (ปัจจุบันมีจำหน่ายเป็นหินกลมขนาดกำมือ) โดยหลักการคือ กระตุ้นเส้นลมปราณ ปอด เยื่อหุ้มหัวใจ และหัวใจ ที่วิ่งผ่านบริเวณฝ่ามือ โดยเฉพาะใจกลางฝ่ามือ มีจุดฝังเข็ม เรียกว่า เหลากง  บนเส้นลมปราณเยื่อหุ้มหัวใจ เวลาอ่อนเพลีย ระบบประสาทตึงเครียด เวลากระตุ้นจุดนี้จะทำให้มีการปรับระบบสมดุลของสมองและประสาทได้ กระตุ้นวันละหลายครั้ง ครั้งละ ๒๐-๓๐ นาที มือซ้ายมือขวาทำสลับกัน เวลากำคลายนาทีละประมาณ ๖๐ ครั้ง

๗. เท้าแช่น้ำร้อนก่อนนอน เป็นวิธีธรรมชาติและเสริมสุขภาพที่ดี นอกจากเป็นการทำความสะอาดเท้า ควรใช้ฝ่ามือถูนวดบริเวณเท้าไปด้วย เป็นการกระตุ้นเลือดพลังให้ไหลเวียน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อองค์รวมของร่างกาย เราสามารถส่งสัญญาณการกระตุ้นไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ (Reflexology ) น้ำที่ใช้แช่อยู่ที่ประมาณ ๔๐-๕๐ องศาเซลเซียส ความร้อนจะทำให้หลอดเลือดบริเวณเท้าขยายตัว การไหลเวียนเลือดและการขับระบายของเสีย และการได้รับอาหารของเนื้อเยื่อบริเวณเท้าเร็วขึ้น ช่วยฟื้นฟูและขจัดความอ่อนล้าได้ดี การนวดที่บริเวณนิ้วก้อยของเท้าจะช่วยเรื่องของมดลูกและการปัสสาวะกลางคืน (เส้นกระเพาะปัสสาวะ ควรนวดร่วมกับจุดบำรุงไต หย่งฉวน ที่บริเวณอุ้งเท้าทั้ง ๒) การแช่เท้าด้วยน้ำร้อน จะดึงเลือดจากข้างบนมาสู่ข้างล่าง ลดภาวะตึงเครียดของสมอง ทำให้หลับสบาย และไม่ค่อยฝัน

    * คอลัมน์: แพทย์แผนจีน
    * หมวดหมู่: แพทย์ทางเลือก, แพทย์แผนจีน
    * นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล

http://www.doctor.or.th/node/1519 (http://www.doctor.or.th/node/1519)



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2010, 01:53:44 PM
ขิง ยาอายุวัฒนะที่ไม่ควรมองข้าม


ขิงในทัศนะแพทย์แผนจีน เป็นทั้งยาสมุนไพรที่ใช้บ่อยและ เป็นทั้งอาหาร เครื่องปรุงรส ที่ต้องมีไว้ประจำครัวเรือน
ขงจื๊อ ปราชญ์จีนสมัยชุนชิว (ค.ศ.๔๗๙-ค.ศ.๕๐๐) ได้เสนอว่า "อาหารทุกมื้อไม่ควรละเลยขิง" ท่านเชื่อว่าบรรดาผักต่างๆ ขิงมีคุณค่ามากที่สุด สามารถทำให้มีชีวิตชีวา ขจัดของเสียในร่างกาย ขงจื๊อเป็นคน มณฑลซานตุง ปัจจุบันที่เมืองไหลอู๋ของซานตุง มีโรงงานผลิตเหล้าขิง ที่มีชื่อ ซึ่งแสดงถึงความเชื่อของขงจื๊อได้รับการสืบทอดต่อกันมา

ซูตงปอ กวีเอกสมัยซ่ง ได้เขียนบทกวี "ตงปอจ๋อจี้" พูดถึงพระที่วัดเฉียนถางจิ้ง แห่งเมืองหางเจ่า ซึ่งมีอายุกว่า ๘๐ ปี มีใบหน้า อันอิ่มเอิบ สุขภาพแข็งแรง ได้คำตอบจากพระท่านนั้นว่า" ท่านฉันขิงมากว่า ๔๐ ปี ท่านจึงไม่แก่" ซูตงปอจึงมีความเชื่อว่าขิงคือยาอายุวัฒนะดีๆ นี่เอง

ความเชื่อของคนจีนต่อขิงมีมากมาย เช่น
" เดือนสิบมีขิงคือโสมน้อยๆ นั้นเอง"
" ชา ๑ แก้ว ขิง ๑ แว่น ขับลมบำรุงกระเพาะดีนักแล"
" ตื่นนอน ขิง ๓ แว่น ไม่แพ้ซุปใส่โสม"
" ทุกวันกินขิง ๓ แว่น ไม่ต้องรบกวนหมอสั่งยา"
ความ เชื่อเหล่านี้ถูกถ่ายทอดไปในหมู่ประชาชน เป็นภูมิปัญญาที่ยึดถือเป็นหลักการดูแลสุขภาพ เพื่อป้องกันโรคและมีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง

ชนิดรูปแบบของขิง และสรรพคุณ

๑. ขิงสด คุณสมบัติร้อนเล็กน้อย รสเผ็ด
 สรรพคุณ ขับเหงื่อ อุ่นจงเจียว (กระเพาะอาหาร) แก้อาเจียน

๒. น้ำขิง คุณสมบัติร้อนเล็กน้อย รสเผ็ด
 สรรพคุณ แก้อาเจียน แก้ไอ ขับเสมหะ (เสมหะขาวใส)

๓. ขิงแห้ง คุณสมบัติร้อน อุ่นจงเจียว สลายความเย็น ใช้ ในกรณีระบบม้าม-กระเพาะอาหารพร่อง-เย็น

๔. ขิงหมกไฟ คุณสมบัติร้อน สามารถอุ่นเส้นลมปราณ หยุด เลือด ทะลวงหัวใจ เสริมหยาง

๕. เปลือกขิง คุณสมบัติร้อนเล็ก น้อย ขับปัสสาวะ ลดบวม

๖. ใบขิง คุณสมบัติร้อนเล็กน้อย ช่วยย่อย ขับน้ำ ทำให้เลือดไหลเวียนคล่อง

ข้อควรระวัง

เนื่อง จากขิงมีรสเผ็ด คุณสมบัติอุ่น คนที่ยินพร่อง มีความร้อนภายใน รวมทั้งริดสีดวง เหงื่อ ออกมาก เหงื่อออกกลางคืน ตา แดง เจ็บคอ หรือมีไฟในตัวมาก (ร้อนแกว่ง) ไม่เหมาะกับขิง รวม ทั้งฤดูกาลที่แห้ง (ฤดูใบไม้ร่วง) การกินขิงต้องระวัง เพราะขิงมักทำลายสารยิน

ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา

๑. ผลต่อระบบย่อยอาหาร

- น้ำต้มขิงเข้มข้นร้อยละ ๕๐ มีฤทธิ์ยับยั้งกรดในกระเพาะอาหารเป็นเวลาหลายชั่วโมง ต่อจากนั้นมีฤทธิ์กระตุ้น
- เสริมความแข็งแรง รักษาแผลกระเพาะอาหารบริเวณ ลำไส้เล็กส่วนต้น กระตุ้นความอยากอาหาร
- กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างอ่อน ทำให้ลดอาการท้องอืด แน่น
- กระตุ้น การบีบตัวของถุงน้ำดี ควบคุมการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin, PG) ซึ่งเป็นกรดไขมัน ชนิดหนึ่ง ทำให้ลดปริมาณเมือกและการเกาะตัวของเมือกในถุงน้ำดี
- ฤทธิ์ป้องกันและ รักษาตับอักเสบ ในหนูทดลองที่ได้ รับบาดเจ็บจากสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ ซึ่งเป็นสารพิษชนิดหนึ่ง การให้น้ำสกัดจากขิงหรือขิงผสมน้ำผึ้ง สามารถลดการอักเสบของตับได้
- แก้อาเจียนที่เกิดจากความผิดปกติของกระเพาะอาหาร และลำไส้ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของอาหารหรือสาร เคมีบางอย่าง

๒. ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง

- กล่อมประสาท ทำให้นอนหลับสนิท
- ระงับ ความเจ็บปวด ควบคุมสารเกี่ยวกับการเจ็บปวด(prostaglandin E2) ซึ่งเป็นสารฮอร์โมนเฉพาะที่ ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดจากการขาดเลือด
- ลดไข้ กรณีใช้ขนาดน้อยๆ สามารถลดไข้ได้
- กระตุ้นระบบการหายใจ ทำให้หายใจคล่อง แก้ไอ แก้เสมหะ

๓. ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

- เสริมกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้แรงบีบตัวของหัวใจดีขึ้น
- ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด การกินขิงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคหลอดเลือด หัวใจตีบ

๔. ผลต่อเชื้อแบคทีเรียและพยาธิ

- ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรค จากการทดลองน้ำที่ได้จากการแช่ขิง สามารถยับยั้งเชื้อโรคแบคทีเรีย การเติบโตของพยาธิต่างๆ ได้

๕. ผลต่อการต้านการอักเสบ

การ ทดลองในหนูที่มีอาการบวมอักเสบที่ขา เมื่อฉีดน้ำมันสกัดจากขิง ๑๔๐ มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัม เข้าไปในกระเพาะอาหาร ตรวจวัดความเปลี่ยนแปลงของสารเคมี และการดูอาการภายนอก พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

๖. แก้คลื่นไส้อาเจียน

มีการทดลองในคนและสัตว์ทดลอง พบว่าขิงมีคุณสมบัติออกฤทธิ์คล้ายกับยาแก้คลื่นไส้อาเจียน แผนปัจจุบัน

๗. ผลต่อร่างกายด้านอื่นๆ

- สารจากน้ำขิงมีบทบาทต่อ การต้านการเติบโตของมะเร็ง ในระดับหนึ่ง (เยอรมัน)
- ลดผลข้างเคียงของสารเคมีที่รักษามะเร็ง นักวิจัยชาวญี่ปุ่นแนะนำว่า ควรกินขิงควบคู่กับยารักษามะเร็ง
- ป้องกันภาวะภูมิไวเกินที่เกิดจากการกินยา หรืออาหารทะเลแล้วเกิดผื่นลมพิษหรือ ช็อก

การประยุกต์ใช้ทางคลินิก

๑. บรรเทาอาการอาเจียนรุนแรง
ใช้ขิงสดพอกที่จุดฝังเข็มไน่กวน(เหนือข้อมือด้าน ใน ๒ ชุ่น) ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงถึง ๑ ชั่วโมง อาการจะดีขึ้น

๒. บรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
ต้ม ขิงสดที่ตำให้ละเอียดกับน้ำ ๓๐๐ มิลลิลิตร นาน ๓๐ นาที กินวันละ ๓ เวลา เป็นเวลา ๒ วัน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น พบว่าอาการปวดกระเพาะน้อยลงหรือหายไป ความรู้สึกแสบท้องเวลาหิวดีขึ้นมาก ท้องผูก หรือถ่ายอุจจาระสีดำ (แสดงว่ามีเลือดออก) ปกติ ความอยากอาหารดีขึ้น (พบว่าผู้ป่วยเหล่านั้นส่วนใหญ่กลับเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งอาจต้องรักษาต่อเนื่อง หรือควบคุมปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วยจึงจะรักษาหายขาดได้)

๓. รักษาโรคบิด
ใช้ขิงสด ๗๕ กรัม น้ำตาลแดงตำเข้าด้วยกัน แบ่งกินเป็น ๓ มื้อต่อตำรับ

๔. ป้องกันรักษาอาการเมารถ เมาเรือ
- ใช้ขิงสดเป็นแผ่นปิดที่จุดไน่กวน(เหนือข้อมือด้านใน ๒ ชุ่น )ใช้เหรียญสตางค์ขนาดพอเหมาะปิดทับแล้วใช้ปลาสเตอร์หรือยางยืดรัดไว้
- ใช้ขิงสด ๒๕ กรัม ตำละเอียด คั้นเอาเฉพาะน้ำดื่ม (ไม่ต้องดื่มน้ำตาม)

๕. รักษาปัสสาวะรดที่นอนในผู้ป่วยที่มีภาวะหยางพร่อง มีความเย็นในร่างกายเป็นเหตุ
ให้ ใช้ขิง ๓๐ กรัม (ตำ)  ยาสมุนไพรฟู่จื่อ ๖ กรัม  ปู่กู่จื่อ ๑๒ กรัม บดคลุกให้เข้ากันฟอกในแอ่งสะดือ ใช้ผ้ากอซสะอาดปิดทับแล้วใช้ปลาสเตอร์ปิดให้แน่น

๖. รักษาลำไส้อุดกั้นจากพยาธิตัวกลม
ใช้ขิงสด ๑๒๐ กรัม ตำละเอียด คั้นเอาน้ำขิงผสมกับน้ำผึ้ง ๑๒๐ กรัม
กิน ครั้งเดียว หรือค่อยๆ กินหมดภายในครึ่งชั่วโมง การทดลองในผู้ป่วย ๖๔ คน พบว่าสามารถลดการอุดกั้นของลำไส้ ร้อยละ ๙๖.๘ ฤทธิ์ในการขับพยาธิร้อยละ ๖๑.๓

๗. เป็นหวัดตัวร้อนเป็นไข้เนื่อง จากกระทบความเย็น เช่น โดนฝน โดนลม ทำให้หนาว มีไข้ต่ำๆ
ให้หั่นขิงฝอย ๓๐ กรัม ชงกับน้ำตาลทรายแดง หรืออาจใส่หัวหอมทุบ ๓-๔ หัว (ช่วยกระจายลม) ดื่มขณะร้อนๆ แล้วห่มผ้าให้เหงื่อออก

๘. ฟื้นฟูร่างกายภายหลังคลอดบุตร
นิยมให้หญิงหลังคลอดกินไก่ผัดขิง โดยเฉพาะไก่ดำตัวผู้จะยิ่งมีหยางมากกว่าไก่ตัวเมีย
ร่าง กายของหญิงหลังคลอด จะเสียทั้งพลังหยางและเลือด มีน้ำในร่างกายตกค้างอยู่มาก การกินไก่ผัดขิงจะเสริมทั้งเลือดพลังหยาง ช่วยทำให้การย่อยดูดซึมอาหารดีขึ้น มีการขับระบายของเสียน้ำตกค้าง น้ำคาวปลาได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติเร็วขึ้น

คุณสมบัติ และสรรพคุณอันมากมายของขิง ทำให้ขิงจัดเป็นยาอายุวัฒนะที่หาง่ายที่สุดชนิดหนึ่ง ปัจจุบันยังพบว่ามีสารต้านมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจหลักพื้นฐานข้อหนึ่งที่ว่า มีข้อดี ก็มีข้อเสีย การเลือกปรับใช้ให้เหมาะสมกับภาวะร่างกายของปัจเจกบุคคล สภาพของภูมิประเทศ ภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ต้องนำมาพิจารณาด้วย ในคนที่มีภาวะยินพร่อง มีความร้อนหรือไฟอ่อนๆ ในตัว หรือคนที่ร้อนแกว่ง ต้องระวัง อาจทำให้โรคกำเริบ หรือหนักขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น คนที่ยินของกระเพาะอาหารพร่อง ทำให้เกิดลมเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้ได้เหมือนกัน การรักษาด้วย ขิงเป็นจุดหลักไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นกลับทำให้เป็นมากขึ้น ต้องใช้ยาสมุนไพรบำรุงยิน ยาขับลมที่มีฤทธิ์เย็นเป็นหลัก เป็นต้น

จึง ไม่แปลกที่หลายๆ ท่านกินขิงแล้วอะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่บางท่านกลับรู้สึกว่าไม่ดีเท่าที่คาดหวังไว้ ก็อย่าได้เข้าใจผิดว่าไม่มีอะไรดี แต่โดยภาพรวม ระบบการย่อยอาหารของคนเราชอบความอุ่นร้อน ต้องการย่อยอาหารที่ดี และระบบย่อยอาหารถือเป็นแหล่งกำเนิดพลังของร่างกายที่สำคัญมาก ขิงจะมีคุณค่าต่อการช่วยเกิดพลัง ภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการย่อย และกลไกต่างๆ ของร่างกาย ขิงจึงเป็นยาอายุวัฒนะที่ควรแก่การเรียนรู้และนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

ขิงอ่อน-ขิงแก่ กับตำรับยาจีนอย่างง่าย

ขิงอ่อน : สรรพคุณหลักคือ แก้คลื่นไส้ อาเจียน

๑. คลื่นไส้อาเจียน อาเจียนมีน้ำลายมาก ไม่กระหายน้ำ
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิงสด ๓ แว่น ป้านเซี่ย ๑๒ กรัม

๒. คลื่นไส้อาเจียน หรือเรอ สะอึก
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิงสด ๓ แว่น เปลือกส้มจีน ๑๐ กรัม

๓. คลื่นไส้อาเจียน กลัวหนาว เบื่ออาหาร ระบบย่อยไม่ดี
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิง ๕ แว่น พุทธาจีน ๑๐ ลูก

๔. อาเจียนไม่หยุด เบื่ออาหาร คนแพ้ท้อง
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิงสด ๕ แว่น น้ำผึ้ง ๕ ช้อนโต๊ะ โสมคน ๑๐ กรัม
(ขนาดของขิงแต่ละแว่นประมาณ ๒ เซนติเมตร หนา ๑ เซนติเมตร)

ขิงแก่ : สรรพคุณหลักคือ รักษาภาวะน้ำลายมาก แก้อาเจียน มือเท้าเย็น แก้ไอ แก้ปวดเอว (มีความเย็นมาก) แก้ท้องอืด

๑. น้ำลายมาก อาเจียนเป็นน้ำใส ไอ
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิงแห้ง ๑๐ กรัม ชะเอม  ๓ กรัม ป้านเซี่ย ๑๒ กรัม

๒. มือ เท้าเย็น คลำชีพจรไม่ได้ ช็อก โรคหัวใจ
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิงแห้ง ๑๐ กรัม ฟู่จื่อ ๕ กรัม

๓. ไอ หอบ เสมหะขาวเหลวปริมาณมาก มีฟอง
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิงแห้ง  ๑๐ กรัม ซี่ซิง  ๖ กรัม หวู เว่ย จื่อ ๑๐ กรัม

๔. ท้องอืด ปวดท้อง เย็นท้อง กลัวหนาว ปัสสาวะไม่คล่อง
 ตำรับยาอย่างง่าย ขิงแห้ง ๑๐ กรัมไป่จุ๊ ๑๐ กรัม ฟู่หลิง ๑๒ กรัม ชะเอม ๓ กรัม

http://www.doctor.or.th/node/2590 (http://www.doctor.or.th/node/2590)


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มีนาคม 03, 2010, 08:32:41 AM
(http://www.buddhadasa.in.th/images/word/poem/053-touku.gif)
                       
                                                             


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มีนาคม 03, 2010, 08:45:28 AM
(http://upic.me/i/2y/good010.jpg) (http://upic.me/show.php?id=4e7b3e51625c19bc41ca350dc5d80b7a)

........................................แม่ชีศันสนีย์  เสถียรสุต


หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มีนาคม 05, 2010, 08:55:18 AM
>ให้อภัยตนเอง<
________________________________________
           คนทุกคนเคยทำทั้งดีและชั่ว ถูกและผิด ต่างกันตรงที่ใครจะทำฝ่ายไหนมากกว่ากัน@
เมื่อเราไม่ชอบใครคนใดคนหนึ่ง เรามักจะเห็นแต่ข้อบกพร่องของเขา และฝังใจอยู่กับข้อบกพร่องหรือสิ่งที่เราคิดว่าเขาทำไม่ดี ตราบที่เรายังรู้สึกไม่ดีต่อเขา เท่ากับว่าเรายึดติดในความคิดเดิม แม้ว่าสิ่งนั้นอาจจะผ่านไปแล้วเนิ่นนาน คนส่วนใหญ่ในโลกมากด้วยอคติ เราไม่ได้ตัดสินบุคคลอย่างมีเหตุผล นั่นคือตัดสินในพฤติกรรมที่เขากระทำในแต่ละครั้ง เรามักจะตัดสินตามความรู้สึกเดิมที่เคยมีต่อเขา ถือเอาความรู้สึกมากกว่าเหตุผล โดยลืมคิดว่า คนที่ทำดีในขณะหนึ่ง อาจจะทำผิดในโอกาสต่อไปก็ได้ เช่นเดียวกัน คนที่เคยทำไม่ดีในอดีต อาจจะทำดีในเวลาต่อมาก็ได้ ทุกคนแสดงพฤติกรรมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงมีทั้งถูกและผิดผสมระคนกันไป การให้อภัยตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญมิใช่น้อย บางคนที่เคยทำผิดพลาดในเรื่องสำคัญของชีวิต มักจะย้ำจำถึงความผิดพลาดนั้นๆ ทำให้จิตใจจมปลักอยู่กับความเศร้าหมอง ทั้งๆ ที่เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว        
      
             "ไม่มีใครที่ดีโดยสมบูรณ์ และก็ไม่มีใครที่ชั่วโดยสมบูรณ์เช่นกัน"
             " ผู้อ่านให้อภัยคู่แค้นและให้อภัยตนเองแล้วหรือยัง "


จาก...นิตยสารรายปักษ์ ซีเคร็ต ฉบับที่ 09
คอลัมม์...You Are What You Do โดย...พระอาจารย์ชาญชัย อธิปํญโญ



หัวข้อ: Re: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....
เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ มีนาคม 08, 2010, 03:46:13 PM
 ....พรุ่งนี้อาจไม่มีเขา....

พระไพศาล วิสาโล


หลังจากที่ “หมวย” เรียนจบพยาบาลได้ไม่นาน ป้าก็ป่วยหนักและมารักษาตัวที่โรงพยาบาลของเธอ ป้าผู้นี้มีบุญคุณกับเธอมากเพราะได้ดูแลเธอแทนแม่จนเธอเรียนจบชั้นมัธยม หลังจากที่ย้ายไปเรียนจังหวัดอื่น เธอแทบไม่ได้พบหน้าป้าอีกเลยจนกระทั่งป้าล้มป่วย แต่ช่วงที่ป้ารักษาตัวที่ห้องไอซียูนั้น เธอมีเวลาไปเยี่ยมป้าน้อยมากเพราะงานรัดตัว ตั้งใจว่าวันเสาร์อาทิตย์จะไปเยี่ยมป้า แต่แล้วเพื่อน ๆ ก็ชวนเธอไปเที่ยวพัทยา เธออยากเล่นน้ำทะเลอยู่แล้ว จึงตัดสินใจไปเที่ยวกับเพื่อน คิดว่าเช้าวันจันทร์ไปเยี่ยมป้าก็ยังไม่สาย แต่พอเธอกลับถึงบ้านค่ำวันอาทิตย์ ก็ได้ข่าวว่าป้าเสียชีวิตแล้ว ผ่านมานับสิบปีแล้วเธอก็ยังรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปดูแลป้า ทั้ง ๆ ที่เป็นพยาบาลดูแลคนอื่นได้มากมาย แต่กลับไม่มีเวลาให้กับผู้มีพระคุณ

ตอนเรียนมัธยม “สมใจ” สนิทสนมกับ “ชัย”มาก แต่เมื่อเรียนจบทั้งสองก็แยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยคนละแห่ง มีช่วงหนึ่งที่ชัยโทรศัพท์มาคุยกับเธอแทบทุกคืน แต่ละครั้งคุยนานมาก คืนหนึ่งเธอรู้สึกเพลีย อยากพักผ่อน แต่ชัยก็ยังไม่เลิกคุย เธอรำคาญจึงพูดตัดบท แต่เขาก็ยังคุยต่อ เธอจึงต่อว่าเขาด้วยความโมโห แล้ววางหู วันรุ่งขึ้นขณะที่เธอกำลังเดินเข้าห้องเรียน แม่ของชัยก็โทรศัพท์มาบอกว่าชัยเสียชีวิตแล้วจากอุบัติเหตุรถยนต์หลังจากคุยกับเธอได้ไม่นาน เธอตกใจและรู้สึกเสียใจมากที่พูดไม่ดีกับชัยเมื่อคืน มันเป็นเสมือนบาดแผลในใจที่ยังอยู่จนทุกวันนี้

ทั้งหมวยและสมใจพูดตรงกันว่า หากรู้ว่าคนที่เธอรักจะต้องจากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น เธอจะไม่ทำอย่างที่ได้ทำไป หมวยจะใช้เวลาอยู่กับป้าให้นานที่สุดและอย่างดีที่สุด ส่วนสมใจก็จะพูดคุยกับชัยด้วยความใส่ใจและอย่างนุ่มนวล แต่ในโลกนี้มีใครบ้างที่สามารถรู้อนาคตล่วงหน้า

ความตายของคนที่เรารักมักจะมาอย่างไม่คาดฝัน มันพร้อมจะมาได้ทุกเวลา และไม่เลือกว่าจะเกิดกับผู้ใหญ่ก่อนเด็ก ใครที่มองข้ามความจริงข้อนี้ จะต้องพบกับความเสียใจอย่างสุดซึ้ง มิใช่เพียงเพราะคนรักจากไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาได้พลั้งเผลอทำสิ่งที่ไม่สมควร(หรือไม่ได้ทำสิ่งที่สมควร )กับผู้ที่จากไป โดยไม่มีโอกาสขอโทษหรือแก้ตัวได้เลย สิบปีอาจนานพอที่จะเยียวยาความเศร้าใจที่สูญเสียคนรักไป แต่ยากจะลบเลือนความรู้สึกผิดที่ได้ทำสิ่งไม่สมควรกับคนรัก

หากไม่อยากมีบาดแผลในใจ ก็ควรปฏิบัติต่อคนที่เรารักอย่างดีที่สุด อ่อนโยนและใส่ใจกับความรู้สึกของเขาให้มาก ๆ แต่ปัญหาก็คือยิ่งเราสนิทสนมคุ้นเคยกับใคร เราก็ยิ่งคำนึงถึงความรู้สึกของเขาน้อยลง และทำตามอารมณ์ของเรามากขึ้น (ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย เรามักจะสุภาพและนุ่มนวลกับเขามากกว่า) ผลก็คือเรามักจะลืมตัวทำสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรกับเขา

ความลืมตัวเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยไม่ให้เผลอทำสิ่งที่ไม่สมควรกับคนที่เรารัก นั่นคือการเตือนใจตนเองเสมอว่าพรุ่งนี้เขากับเราอาจจะต้องพรากจากกัน วันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่เขากับเราจะได้อยู่ด้วยกัน ขณะที่เขากำลังอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้ทำสิ่งดี ๆ ให้แก่เขา

การเตือนใจเช่นนี้จะกระตุ้นเตือนให้เราปฏิบัติต่อเขาอย่างนุ่มนวล ไม่ทำตามอำเภอใจ รับฟังและใส่ใจกับความรู้สึกของเขามากขึ้น เมื่อเราทำอย่างดีที่สุดกับเขา หากใครเกิดมีอันเป็นไปในวันข้างหน้า ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้สึกผิดต่อกัน จะว่าไปแล้วการเตือนใจเช่นนี้ไม่ควรทำเฉพาะกับคนที่เรารักเท่านั้น แต่ควรทำกับทุกคนที่เรารู้จักหรือติดต่อสัมพันธ์ด้วย

คราว หนึ่ง “เขมานันทะ” ได้จาริกไปประเทศพม่า และได้รู้จักกับพระไทยใหญ่รูปหนึ่ง เมื่อไปถึงเจดีย์ชเวดากอง ท่านได้ชวนเขมานันทะถ่ายรูปคู่กัน แต่เขมานันทะนั้นไม่ชอบธรรมเนียมแบบนี้จึงเดินหนี แต่พระไทยใหญ่ขอร้องให้เขาไปถ่ายรูปด้วย คำพูดประโยคเดียวของท่านที่ทำให้เขมานันทะเปลี่ยนใจก็คือ “ชีวิตนี้เราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียว” เขมานันทะจึงยอมถ่ายรูปด้วย หลังจากเขมานันทะกลับมาเมืองไทยไม่นานก็มีจดหมายมาแจ้งข่าวว่า พระไทยใหญ่รูปนั้นมรณภาพแล้ว เขมานันทะเล่าในเวลาต่อมาว่าคำพูดประโยคนั้นสะเทือนอารมณ์ของตนมาก เพราะทำให้ได้คิดว่าคนเราเอาแต่แบ่งแยกเป็นเราเป็นเขา มัวแต่แก่งแย่งผลประโยชน์กัน จนลืมไปว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเราอาจได้พบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

การ ปฏิบัติต่อผู้คนที่เข้ามาในชีวิตของเราราวกับว่าเขาอาจพลัดพรากจากเราไปใน วันพรุ่งนี้ ไม่เพียงช่วยป้องกันมิให้เกิดบาดแผลในใจเราในวันข้างหน้าเท่านั้น หากยังช่วยสร้างสุขให้แก่เราในวันนี้ อันเป็นผลจากสัมพันธภาพที่ราบรื่นและงดงามทั้งกับคนใกล้และคนรอบตัว ยิ่งกว่านั้นมันยังทำให้ทุกวันที่คนรักยังอยู่กับเราเป็นวันที่มีความหมาย ยิ่งกว่าเดิม วันนี้จะกลายเป็นวันพิเศษ เพราะวันพรุ่งนี้อาจไม่มีเขาอยู่กับเราก็ได้

หญิงผู้หนึ่งเล่าว่า เพียงแค่ได้เห็นสามีและลูก ๆ ทุกคนพร้อมหน้าที่บ้าน เธอก็มีความสุขอย่างยิ่งแล้ว เพราะเธอไม่แน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีโอกาสแบบนี้อีกหรือไม่ สำหรับเธอ ไม่มีอะไรที่ทำให้มีความสุขเท่านี้อีกแล้ว

วามสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกล และไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าให้เหนื่อยยาก เพราะแท้จริงความสุขนั้นมีอยู่กับเราในขณะนี้แล้ว นั่นคือการที่คนรักยังอยู่กับเรา และให้โอกาสแก่เราได้ทำความดีกับเขาอย่างเต็มที่ อย่ามองข้ามความสุขอย่างนี้ และอย่าปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือเราไป

นิตยสารซีเครท : No.38 26 January 2010 Vol.2

Joyful Life & Peaceful Death พรุ่งนี้อาจไม่มีเขา


หัวข้อ: Skup samochodów
เริ่มหัวข้อโดย: Asserengync ที่ มิถุนายน 28, 2011, 08:06:21 AM
hey there and thank you for your info – I have certainly picked up anything new from right here. Skup samochodów (http://www.autoskup.net) I did however expertise some technical issues using this web site, as I experienced to reload the web site many times previous to I could get it to load properly. I had been wondering if your web host is OK? Not that I am complaining, but sluggish loading instances times will very frequently affect your placement in google and can damage your high quality score if advertising and marketing with Adwords. Well I am adding this RSS to my email and can look out for a lot more of your respective fascinating content. Make sure you update this again very soon..


หัวข้อ: Nocleg Warszawa
เริ่มหัวข้อโดย: Guivaalaffids ที่ กรกฎาคม 24, 2011, 05:57:19 AM
This is really interesting, You are a very skilled blogger. I've joined your rss feed and look forward to seeking more of your wonderful post. Noclegi Warszawa (http://www.noclegi-warszawa.info/noclegi-warszawa/) Also, I have shared your site in my social networks!


หัวข้อ: Kolektory Sloneczne
เริ่มหัวข้อโดย: hietrimurlerb ที่ กรกฎาคม 28, 2011, 05:09:36 AM
Hi there, I found your blog via Google while looking for a related topic, your site came up, it looks good. Kolektory sloneczne Warszawa (http://www.scantermic.pl) I've bookmarked it in my google bookmarks.


หัวข้อ: Funny photos
เริ่มหัวข้อโดย: PletCheetaild ที่ กันยายน 11, 2012, 11:23:28 PM
Funny pictures website with the most hilarious content
 
Funny news (http://www.ploxr.com/)


หัวข้อ: paycheck advance maine
เริ่มหัวข้อโดย: Lesha98 ที่ กันยายน 25, 2012, 01:24:09 AM
hassle free online payday loans (http://paydayloansonline25.com) sa cash loans http://paydayloansonline25.com (http://paydayloansonline25.com) payday advance knoxville http://paydayloansonline25.com (http://paydayloansonline25.com) private payday loan companies