Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website.
Home
-----
กระดานสนทนาหน้าแรก
-----
Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart
-----
gold-trend-price-prediction
-----
ติดต่อเรา
หัวข้อ: การดูจิต เริ่มหัวข้อโดย: moddang ที่ พฤศจิกายน 17, 2009, 10:47:21 AM การดูจิต (การฝึกสติ)
คำนำ เนื่องจากทาง ผู้ดูแลเว็บ ยังเป็นผู้หนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส เป็นผู้รู้น้อย และยังมีหนทางอีกยาวไกลในการปฏิบัติ ดังนั้นจึงไม่กล้าหรืออาจหาญที่จะอธิบายความได้อย่างเต็มที่ จึงขอเกริ่นเพียงสั้น ๆ เพื่อให้เข้าใจความหมายหรือคำจำกัดความของการดูจิตหรือการฝึกสติเท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ ผู้ดูแลเว็บ เท่านั้น ผู้ที่สนใจฝึกสติควรศึกษาจากครูบาอาจารย์ให้มากโดยสำคัญ ที่ทาง เว็บ จะทำการรวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาอย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ การดูจิตคืออะไร ? พูดว่า ?ดูจิต? ท่านที่ไม่เคยได้ยินอาจจะงง ที่จริงการดูจิตคือ ?การฝึกสติ? นั่นเอง ... สติ แปลว่าความระลึกได้ ดังนั้นการดูจิตจึงไม่ได้มีความหมายอะไรซับซ้อนไปกว่า ?ความรู้สึกตัว? เมื่อใดที่เรามีความรู้สึกตัวนั่นหมายความว่าเรามีสติอยู่นั่นเอง รู้สึกตัวที่ว่าคือรู้อะไร ? หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า สติปัฏฐาน 4 มาบ้าง การมีสติก็คือการฝึกสติปัฏฐาน 4 , สี่อย่างที่ว่านั้นคือ กาย เวทนา จิต ธรรม ฟังดูอาจจะงง พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อใดเราเกิดความรู้สึกในสิ่งใดที่ชัด ก็ให้รู้อันนั้น การรู้นั้นรู้อะไร ก็เช่น หากเดินอยู่ก็รู้สึกว่าเดินอยู่, นั่งก็รู้สึกว่านั่ง, ยืนก็รู้สึกว่ายืน, นอนก็รู้สึกว่านอน, ดีใจก็รู้ว่าดีใจ, โกรธก็รู้ว่าโกรธ, สุขก็รู้ว่าสุข, ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์, จะขยับซ้าย แลขวา หันหน้า มองหลัง เคลื่อนไหวใด ๆ ก็ "รู้สึก"ตามนั้น คิดก็รู้ว่าคิด, จะฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน เผลอลืมไม่มีสติก็รู้ว่าเผลอ กล่าวโดยย่อคือให้มีความรู้สึกตัวผ่านอายตนะทั้ง 6 ได้แก่ ตา (รูป), หู (เสียง), จมูก (กลิ่น), ลิ้น (รส), กาย (สัมผัส), ใจ (ความรู้สึก-ความคิดปรุงแต่ง) รู้ไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์หรือสภาวธรรมที่ปรากฏ ?ตามจริง? ในขณะนั้น ๆ (http://www.fungdham.com/images/passa.jpg) รู้แบบนี้มันจะเครียดไหม ? ขอตอบว่าไม่เลย การมีความรู้สึกตัวนั้นทำแบบสบาย ๆ ให้เป็นธรรมชาติตามปกติ ไม่ต้องไปเพ่ง ไปจ้อง ไปบังคับ ไปควบคุม ง่าย ๆ คือเป็นปกติอย่างที่เคยเป็นนั่นหละ เพียงแต่มีความรู้สึกตัวอยู่เนือง ๆ อยู่เสมอ (ส่วน รายละเอียด ? วิธีการปฏิบัติเพิ่มเติม การรู้แบบมีสัมมาสติ ฯลฯ โปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากในเว็บที่ทาง webmaster จะทำการรวบรวมมาให้) รู้ไปเพื่ออะไร ? สตินั้นหากนำมาใช้กับทางโลกทั่วไปก็ย่อมมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการงาน, ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ การคิดอ่านย่อมเป็นระบบ, จิตย่อมมีสมาธิในการทำกิจการงานใด ๆ , อารมณ์มักจะเป็นปกติ ไม่ค่อยโกรธ เครียด หรือทุกข์ใจอะไรมาก ๆ กล่าวโดยรวมคือย่อมเกื้อกูลชีวิตประจำวันทางโลกได้อย่างดีซึ่งเป็นประโยชน์ ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน หากแต่ถ้ารู้เนือง ๆ มาก ๆ เข้าจนเป็นมหาสติ ก็จะได้ประโยชน์จากทางธรรมด้วย การที่เรามีสติอยู่เนือง ๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง ทำอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็เพื่อให้สติเกื้อกูลต่อการ ?เห็นความจริง? ความจริงนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือกายกับใจของเรา แต่เราไม่เคยรู้สึกถึงความจริงนี้เลย จุดหมายของการรู้ก็เพื่อให้เห็นความจริง อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่ากายและใจของเรานั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา เนื่องจากสัมมาสติทำให้เราได้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดจิตจะยอมรับความจริงในข้อนี้ (หรือที่ท่านพระพุทธทาสชอบเรียกว่าให้ละตัวกู ของกู) อันนำไปสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ ที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของพระพุทธศาสนา ดูจิตมีอะไรดี ? 1. ดูจิต คือการเรียนธรรมะที่ ?เรียบง่ายและธรรมดาที่สุด? ไม่จำเป็นต้องรู้คำศัพท์ทางศาสนายาก ๆ หรือนั่งท่องพระไตรปิฎก เพราะจุดมุ่งหมายคือการเรียนรู้กายและใจของตัวเอง ให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) อันเป็นสาเหตุทำให้เรา ๆ มีความทุกข์กัน 2. การ ดูจิตสามารถทำได้ ?ทันที? , ?ที่นี่? และ ?เดี๋ยวนี้? ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจผิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องทำอะไรที่มันดูยาก ๆ, เคร่งเครียด, น่าเบื่อ, หรือต้องใช้เวลา เนื่องจากตนไม่มีเวลาจึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ซึ่งความจริงเราสามารถเรียนธรรมะด้วยการฝึกสติได้ตลอดเวลา ด้วยใจที่ปกติสบาย ๆ ไม่ว่าจะดูทีวี, กินข้าว, เล่นเน็ต, อาบน้ำ, ไปเที่ยว, ออกกำลังกาย ฯลฯ ล้วนสามารถฝึกสติได้ทั้งสิ้น 3. ธรรม ทั้งปวงรวมที่จิต (ตามที่ครูบาอาจารย์ได้กล่าวไว้) ดังนั้นการดูจิตคือการเรียนรู้ธรรมะภาคปฏิบัติที่เป็นเส้นทางตรง ไม่อ้อม ช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ไวขึ้นและไม่หลงทาง 4. หาก พูดถึงในแง่ของบุญกุศลสำหรับคนชอบทำบุญ การดูจิตเปรียบเสมือนการทำวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นภาวนาบารมี ซึ่งเหนือกว่าศีลและทาน (อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" สมเด็จพระสังฆราชฯ) ดังนั้นจึงเสมือนเป็นการทำบุญโดยไม่เสียสตางค์ และเป็นบุญสูงสุด ทำได้ทุกที่ ทุกเวลาตามกำลังสติที่เรามี 5. เส้น ทางนี้มีกัลยาณมิตรที่เดินเส้นทางเดียวกันมากมาย เมื่อติดปัญหาหรือไม่เข้าใจสิ่งใดจึงมีช่วยตอบข้อสงสัยได้ มีแหล่งข้อมูลให้ศึกษาอยู่เยอะ (เสียงธรรมของพระอริยเจ้าในเว็บนี้ก็มักสอนเรื่องสติอยู่บ่อย ๆ) ถึงที่สุดแล้วหากศึกษาด้วยตัวเองเต็มที่แล้วยังมืดบอดอยู่ ก็มั่นใจได้ว่ามีพระสุปฏิปันโนที่สามารถตอบข้อซักถามของเราได้แน่นอนในยุค ปัจจุบัน ต้องดูนานแค่ไหน ? อันนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่และบารมีของแต่ละท่าน ใครขยันเดินก็ไปได้ไกลว่า (แล้วต้องเดินให้ถูกทางด้วย) แต่มั่นใจได้ว่าถึงแน่เพราะมีพุทธวัจนะรับรองไว้ว่า บุคคลใดเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ย่อมหวังความดับทุกข์ได้แน่นอนอย่างเร็ว 7 วัน อย่างกลาง 7 เดือน หรืออย่างช้า 7 ปี จะเห็นได้ว่าแม้คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้มีบุญบารมีอะไร ฉันจะทำได้หรือ ? ก็มั่นใจได้เลยว่าทำได้แน่นอนตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ แต่โดยทั่วไปหากฝึกสติในระดับหนึ่งแล้ว จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัด จิตจะรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิด หรืออารมณ์เพี้ยน ๆ ทั้งหลายเท่าใดนัก มีอานิสงส์อย่างไร ? อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในเบื้องปลาย อานิสงส์ของการเจริญสติคือความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง หากอานิสงส์เบื้องปลายมันดูเหมือนจะห่างไกลจากความรู้สึกเราก็ขอให้ลองมาดู ใกล้ ๆ ตัว ท่านอาจจะเคยได้ยินว่ามีคนเข้ากรรมฐานที่วัดแล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ขึ้น เช่น เลิกติดเหล้าติดการพนัน, หน้าที่การงานดีขึ้น, การค้าเจริญขึ้น แล้วก็อาจเกิดความสงสัยว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร จากการที่ webmaster ได้ศึกษาผู้ที่เข้ากรรมฐานที่วัดอัมพวัน (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) (สามารถหาอ่านได้ในหนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติในเว็บ) ขอสรุปตามความเข้าใจดังนี้ หากท่านลองพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า ความหายนะ ความเลวร้ายในชีวิตของคนเราล้วนมาจากการขาดสติทั้งสิ้น เช่นการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง, การทะเลาะตบตีกันในครอบครัว, การปล้นฆ่า, สามีมีผู้หญิงอื่น, ติดการพนัน, กินเหล้าเมายา ฯลฯ โดยรวมคือการละเมิดศีล 5 อันเป็นธรรมแห่งความ ?ปกติ? ของคนเรา คนเราทุกคนล้วนมีกิเลสตัณหา มีความโลภ โกรธ หลงด้วยกันทุกคน ดังนั้นหากขาดสติเมื่อไร ก็พร้อมที่จะเผลอทำกรรมชั่วได้เสมอ ในขณะที่ฝ่ายกรรมดี อันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ก็แทบจะไม่ได้ทำเลย การมีสติจึงเสมือนเป็นตัวช่วยคุมให้เรามีความเป็น ?ปกติ? คืออยู่ในกรอบของศีล เช่น เมื่อเราโกรธมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ทำการประทุษร้ายใคร, โลภมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ไปทำการปล้นหรือโกงใคร ฯลฯ ดังนั้นกรรมชั่วจึงแทบไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ในขณะที่ฝ่ายกรรมดีคือ ศีล และภาวนาได้ทำทุกวันจนเป็นอาจิณกรรม เมื่อเปรียบเทียบฝ่ายที่ไม่ค่อยมีสติกับฝ่ายที่สติดีในทางคณิตศาสตร์ก็จะ เห็นภาพชัดขึ้น ฝ่ายแรกนั้นดูเหมือนจะมีเรื่องให้ติดลบอยู่เนือง ๆ อาจจะได้คะแนนบวกบ้างในบางครั้ง ส่วนฝ่ายที่สองนั้นเรื่องติดลบแทบไม่เกิด แต่ได้คะแนนบวกอยู่ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปเป็นหลายเดือน หลายปีผลรวมด้านกุศลกรรมของทั้งสองคงจะต่างกันอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว นี้เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือคำสอนของหลวงพ่อจรัญซึ่งหากพิจารณาดูก็จริงที เดียว ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะดีมักจะเป็นคนที่ขยัน เบิกบาน มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ใครมีหน้าที่อะไรก็จะปฏิบัติตามหน้าที่ตัวเองได้อย่างดี เช่นเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่, เป็นสามีที่ดีต่อภรรยา ครอบครัวมีแต่ความอบอุ่น การงานก็จะมีความเจริญก้าวหน้าอันเกิดจากความขยัน ความมีสติก่อให้เกิดสมาธิ ปัญญาจึงตามมา สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้ นี้จึงเป็นอานิสงฆ์ของการเจริญสติที่เห็นได้ชัดเจน ???????????????????????????? เอา หละ ... เรียนรู้ให้เข้าใจคอนเซ็ปภาพรวมก็พอ หากท่านมีข้อสงสัยประการใดสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ด้วยตัวเองครับ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้วิธีการปฏิบัติจากครูบาอาจารย์ให้ถูกต้องเพื่อ ให้ไม่เดินหลงทางหรือปฏิบัติผิด ๆ ไป ซึ่งทางเว็บจะพยายามรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ให้ทุกท่านได้ศึกษากัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่หลายท่านเข้าใจเลย ตรงกันข้ามเป็นธรรมะที่อ่านง่ายกว่าที่คิดมากเลยครับ http://www.fungdham.com/doojit1.html (http://www.fungdham.com/doojit1.html) หัวข้อ: Re: การดูจิต เริ่มหัวข้อโดย: ~ uma ~ ที่ พฤศจิกายน 17, 2009, 01:09:47 PM พยายามฝึกอยู่บ้างเหมือนกันค่ะ :)
หัวข้อ: Re: การดูจิต เริ่มหัวข้อโดย: isariya ที่ พฤศจิกายน 30, 2009, 06:19:04 PM หลังจากปฏิบัติแล้วจะเป็นเช่นนี้ ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ;D ไม่เชื่อต้องลอง ไม่ลองไม่รู้ หัวข้อ: Re: การดูจิต เริ่มหัวข้อโดย: TJ ^^ ที่ เมษายน 10, 2011, 05:38:36 AM http://www.youtube.com/watch?v=Bd14IPq4_Lc&feature=player_embedded#at=121 (http://www.youtube.com/watch?v=Bd14IPq4_Lc&feature=player_embedded#at=121)
หัวข้อ: Re: การดูจิต เริ่มหัวข้อโดย: TJ ^^ ที่ เมษายน 10, 2011, 05:49:44 AM เราชอบนั่งดูจิตตัวเองแบบสบายๆ บางทีก็นั่งร้อยมาลัย แล้วฟังเพลงเบาๆสบายๆ นั่งดูสภาวะจิตที่มันไปรวมกับเจตสิกแล้วเกิดการปรุงแต่ง
เดี๋ยวมันก็เกิด พอเรารู้ทันมันก็ดับ แล้วเดี๋ยวมันก็หลอกให้เราเผลอแล้วหนีไปเที่ยวเกิดสภาวะจิตใหม่ๆอีก พอเรารู้ทันมันก็ดับอีก แล้วก็หลอกให้เราเผลอไปเรื่อยๆ ทำไปสักพักนึง มันจะโล่งมาก เหมือนอยู่อีกโลกนึงเลย ลองดูนะ การทำวิปัสนาไม่จำเป็นต้องซีเรียส ทำตัวสบายๆรู้สึกได้ผลดีกว่า^^ link ข้างล่างนี้เพลงโปรดของเราเลยตอนนั่งร้อยมาลัยไปดูจิตไป ไพเราะมากมายแค่ฟังอย่างเดียวก็สุขแล้ว เวลาโกรธมานั่งฟังก็ใจเย็นขึ้น ลองดูนะ ^^ http://audio.palungjit.com/f24/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%B2-%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%86%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B0-6404.html (http://audio.palungjit.com/f24/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%B2-%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%86%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B0-6404.html) หัวข้อ: trxsuspensiontrainerpropack.net Some need thinking เริ่มหัวข้อโดย: trxollisx ที่ กันยายน 29, 2012, 11:02:04 PM Some need thinking time to process the data. 7. I make sure to use about 75% of the weight I'll be using for the 3 rep sets. Increased Intensity What I've described above really gives me an intense home workout, Envirotemp FR3 Connectivity -dead front,http://www.trxsuspensiontrainerpropack.net (http://www.trxsuspensiontrainerpropack.net/trx-force-kit-tactical-for-sale-free-shipping-p-2.html), MOV lightning arresters are particularly susceptible to damage from heating by leakage across the blocks even if the voltage increase is not sufficient to flash over.000. if an individual purchases a sports car gym exercise program for $55.
95 1 where to buy trx Case (4 bottles) for $132. It is being hyped as the hottest new beverage to hit the market. if you're injured on the job, in the mid-nineties,TRX Suspension Trainer (http://trxsuspensiontrainprofessional.webspawner.com), I have visited literally hundreds of locations,click here to view (http://feeds.feedburner.com/TRXAveryPlan),Strength Train with Multi Joint exercises - Choose exercises that work compound muscle groups - meaning more than one muscle group at a time. making improvements and burning fat. Without pausing,read more (http://trxforcekitss.webspawner.com), and then slowly push yourself back to the starting position. IGNOU was established in 1985. หัวข้อ: Re: การดูจิต เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 06, 2013, 10:03:08 AM เรื่องของคนกลัวเจ็บ
~ เ รื่ อ ง ข อ ง ค น ก ลั ว เ จ็ บ ~ ถ้ามีใครพูดว่า ‘ตายไม่กลัว กลัวเจ็บ’คนวัยบ่ายคล้อยจะพากันพยักหน้าเห็นพ้อง ในขณะที่หนุ่มเหน้าสาวน้อยจะอือออพอเป็นที เพราะความตายยังดูไกลลิบๆ จำได้ว่าเมื่อยังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าทนความเจ็บปวดทางกายได้ ถึงขนาดที่หมอยกนิ้วว่าอึดจริงๆ สมัยนั้น(60 ปีมาแล้ว) การทำฟันทารุณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกรอฟันด้วยเครื่องมือที่ละม้ายคล้ายเครื่องเจาะถนน... กรืออ...รู้สึกเหมือนเจ้าหัวกรอเหล็กหมุนเจาะเข้าไป ฉีกประสาทเล็กประสาทน้อย จนกระจุย เจ็บเสียวอย่าบอกใคร ยาชาก็ไม่ค่อยจะฉีดให้ “ก็แค่อุดนี่นาไม่ใช่ถอนสักหน่อย”หมอว่า จำได้ว่าบีบแขนเก้าอี้ร้องบอกตัวเองในใจซ้ำ ๆ ว่าเดี๋ยวมันก็หยุดน่ะ เดี๋ยวมันก็ต้องเสร็จ...แล้วในที่สุดก็หยุดจริงๆ เมื่อคุณหมอหน้าหวานกรอจนหนำใจแล้ว (ในประสบการณ์ข้าพเจ้าหมอฟันล้วนแล้วแต่หน้าหวานๆ ทั้งนั้น) มาวันนี้เป็นย่ายายคนกลับทนเจ็บได้น้อยลง ถามตัวเองว่า ทำไมล่ะในเมื่อเราก็ถึงวัยที่ “ช่างมันเถอะ” กับอะไรต่อมิอะไรได้ ยิ่งเจ็บใจยิ่งไม่มี เพราะยิ่งแก่ก็ยิ่ง “ช่างหัวมัน” เก่งขึ้นเรื่อยๆ แพทย์บอกว่าความเสื่อมของร่างกาย ทำให้คนแก่ทนทานต่อความเจ็บปวดได้น้อยลง นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างกันของคนต่างวัย สำหรับหนุ่มสาว ชีวิตมีอนาคตทอดไปไกล แต่เมื่อแก่ลงความตาย ที่ครั้งหนึ่งดูเป็นจุดเล็กๆไกลๆก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ คนอายุน้อยเชื่อว่าเจ็บแล้วก็หาย แต่คนแก่นั้นไม่รู้ว่าความเจ็บปวดนั้น จะมีอะไรอื่นๆ ที่ไม่ดีนักตามมาหรือไม่ ความกลัวตายจึงเร้นมาในโฉมหน้าความกลัวเจ็บ “เจ็บ”ในที่นี้ครอบคลุมไปถึงอาการ ปวด แสบ อึดอัด และความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์อื่นๆ ความเจ็บปวดกับความตาย คล้ายกันตรงความรู้สึก ‘loss of control’ เหมือนขับรถอยู่ดีๆพวงมาลัยก็หายไปเฉยๆ ซ้ำร้ายเบรกก็เกิดหายไปซะด้วย จิตแพทย์บอกว่า loss of control หรือการสูญเสียอำนาจควบคุม หรืออำนาจจัดการนี่แหละ ที่มนุษย์เรากลัวนักหนา พระอาจารย์ชยสาโรบอกว่า เวลาเจ็บมากๆ จะเป็นตรงไหนก็ตามให้ตั้งใจพิจารณาความรู้สึกอย่างละเอียดซิว่า ความเจ็บปวดนั้นมีส่วนประกอบอะไรบ้าง เจ็บกายล้วนๆหรือ หรือมีส่วนของใจ คือความกลัว และความเดือดร้อนทุรนทุราย คลุกเคล้าเข้าไปจนเป็นเจ็บคูณสาม ถ้าจัดการกับใจได้แค่ไหน ก็จะทนความเจ็บกายได้ง่ายขึ้นแค่นั้น ถ้าสามารถปล่อยวางความกลัว และความเดือดร้อนทุรนทุรายใจได้ในระดับหนึ่ง สมองก็จะหลั่งสารให้ความเจ็บลดน้อยลงโดยธรรมชาติ แพทย์หลายคนบอกข้าพเจ้า ว่าสมาธิและการปล่อยวาง ทำให้ความต้องการมอร์ฟีนลดน้อยลงได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ “ปล่อยวาง” ในที่นี้คือ “ปล่อย” ใจให้น้อมรับความเป็นจริงว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา แม้ความเจ็บก็ไม่คงที่ เดี๋ยวมากเดี๋ยวน้อย และ “วาง” ความเคยชินที่จะควบคุมสภาวะที่ควบคุมไม่ใด้ ให้เป็นไปตามที่ต้องการ เป็นเรื่องที่พูดง่าย ทำยาก แต่ก็คงจะต้องฝึกการ"ปล่อย" และ "วาง" ไปเรื่อยๆ (http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/1009756_536006683127323_1970381128_n.jpg) ให้ค่อยๆชำนาญขึ้นทีละน้อย ได้แค่ไหนก็แค่นั้น เรื่อง : จำนงศรี หาญเจนลักษณ์ (ป้าศรี) จากหนังสือ “เข็นครกลงเขา” เครดิตภาพ : w w w.wallpaperhi.com โพสโดยผู้ช่วยป้าศรีค่ะ หัวข้อ: Re: การดูจิต เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 07, 2013, 07:51:04 PM (http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/3431_510162422382327_930133568_n.jpg) บัว บัว ผุดขึ้นจากตม ตูม คลี่บาน เผยอกลีบ กลิ่นกรุ่น บานรับ ตะวัน สายลม พริ้วผ่าน ฝนโปรย กลีบร่วง เกษรคง หอมระรื่น ไร้เกษร เมล็ดแทน มิสิ้น ตัดบัวเหลือใบ ราก เหง้า ใช้ให้คุณ ค้ำคุน ใจจินต์ มองบัว เห็นซึ่งสัจธรรม ginger |