Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา

คุยเรื่องธรรมะ ทําบุญ => ธรรม พาให้มีสุข => ข้อความที่เริ่มโดย: soda ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2010, 06:13:13 PM

Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา

หัวข้อ: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: soda ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2010, 06:13:13 PM
มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
1. นั่งสมาธิ    อย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
                    เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
                      จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรือง
                  ไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
                    เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
                    เงินทองไหล มาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง
                  จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร ,
                    พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรค ให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
 อานิสงส์ --- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
                       สุขภาพกายจิตแข็งแรง อา ยุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
                       ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตร ทุกเช้า
 อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
                        ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
 อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ
                        สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
                        ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด
 อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
                         แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์
                         ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์ หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
 อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที ่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตร
                         และเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อ ๆ ไป ได้เกิดมาอยู่ใน
                         ร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
  อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะม ีผู้คอยช่วยเหลือ
                          ไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า
                          ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลา ที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์--- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวร
                        ที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด
                        ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
   อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อ ๆ ไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
                           ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11... ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
  อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
                          เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง
                          จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
  อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์
                           ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่ างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา


อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์
1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เ***้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6.. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ด ีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพ พาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้

1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ ( เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ   สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10. สิ่งที่สร้า งจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติ
    ของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร)
1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3.. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4.. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป ็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ 
    ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช

ทั้ง หมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับ จงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับ ท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำ ติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: cupid ที่ มีนาคม 01, 2010, 09:37:36 PM
 *ellow_yellow_christmas_editio ขอบคุณสำหรับสิ่งดีดีแก่มวลสมาชิกฮะพี่โซดา จากน้องน้ำแข็ง ฮิ ฮิ  laugh.gif laugh.gif laugh.gif ;D


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 06, 2012, 08:52:40 PM

(http://thummada.com/php_upload3/13-14.gif)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: paul711 ที่ มกราคม 06, 2012, 09:04:06 PM
 angel.gif angel.gif angel.gif

อนุโมทนาครับคุณ soda คุณหนูใจ  บทความดีๆ ผมเพิ่งบุญส่งวันนี้ได้เข้ามาอ่าน  angel.gif angel.gif angel.gif

ผมมีครบเกือบทุกข้อที่คุณ soda นํามาเขียนไว้  
ขาดข้อบวชพระ ยังไม่เคย ส่วนตักบาตร กับนั่งสมาธิ ทําแต่ไม่ทุกวันครับ
ชื่นใจ บุญผมน่าจะมีพอสมควร
 
ส่วนบทกลอนของคุณหนูใจ ผมให้ธรรมกับคนหลายๆคน อย่างวันนี้ ผมสอนทําสมาธิให้กับคุณแม่ของผู้หญิงท่านหนึ่งที่
มีความทุกข์ใจ เพราะมีคนติฉินนินทา ลูกสาวฟังอยู่ด้วย ลูกสาวบอกว่าฟังที่ผมพูดแล้วขนลุกไปหมด ก็คือเกิดปิติ ผม
ก็ชื่นใจไปด้วย ที่การพูดของผมทําให้คนตาสว่างได้
 angel.gif


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 19, 2012, 08:43:00 PM


(http://www.janjawka.com/wp-content/uploads/2012/01/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 22, 2012, 12:08:49 PM



(http://thummada.com/php_upload/picnum9588.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: googleadmin ที่ มกราคม 22, 2012, 10:18:44 PM
บางทีมัวสนใจสิ่งรอบข้างมากเกินจนลืมสนใจจิตใจตัวเอง พยายามทำบุญ ทำสมาธิ กำหนดลมหายใจให้มีสติอยู่ทุกอริยาบท


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 27, 2012, 07:51:04 PM
เมื่อไหร่ได้มา อย่าลืมให้ไป


(http://variety.teenee.com/saladharm/img3/128048.jpg)

เมื่อไหร่ได้มา อย่าลืมให้ไป


เมื่อไหร่ได้มา อย่าลืมให้ไป
จะทำให้ชีวิตและหัวใจของเธอสมดุล

ถ้าเราได้บ่อยๆ แล้วไม่แบ่งปันให้ใคร
เราก็จะเป็นคนเห็นแก่ได้ ไม่รู้จักพอโดยไม่รู้ตัว


ทำให้เกิดทุกข์ในใจ
การให้และแบ่งปัน จะทำให้กิเลสของเราลดลง

ช่วยรักษาสมดุลทางใจได้ดีทางหนึ่ง
เรียกว่าให้เพื่อใจเราเอง

นานมาแล้ว เคยมีคนสอนฉันว่า
ทุก 2% ของรายได้

ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน หรือเงินพิเศษก็ตาม
ควรแบ่งปันให้คนอื่น

เพราะถ้าเราเอาแต่ได้ บุญเก่าเราจะหมดเร็ว
ก็เล่นเอาแต่ใช้ ไม่เติมลงไป

มีน้อยก็ให้น้อย ดีกว่าไม่ให้เลย
ถ้าเรามัวแต่รับ มัวแต่กอบโกย

เราจะเกิดความโลภโดยไม่รู้ตัว
เหมือนกับยิ่งได้ยิ่งสนุกจนลืมตัว

ที่จริง… มันไม่เกี่ยวกับเรื่องบุญหรือบาปหรอก
แต่ให้เพื่อใจเรา…


เพื่อละลดกิเลสที่ทำให้เกิดทุกข์
และตัวเขาก็ได้ประโยชน์

มีความสุขทั้งสองฝ่าย
เพียงแค่ส่วนเล็กน้อยของรายได้

ถ้าเรารู้จักแบ่งปันคนอื่น
มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราถึงกับล่มจมหรอก

แล้วเงินส่วนนั้น ต่อให้เรางกเก็บไว้
มันก็ไม่ได้ทำให้เราร่ำรวยขึ้นมาอีกด้วย

ก็แบ่งๆ ให้คนอื่น…
ที่เขาลำบากกว่าเราบ้างเถอะ…


———————————————————————-

การ์ตูน. “ยืนอย่างเชื่อมั่น”. กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2546. หน้า 131-135.
 
 




หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 01, 2012, 03:36:17 PM
อยากมีความสุข…จงทำตัวเหมือนน้ำ


(http://p.s1sf.com/ca/0/ud/189/949151/20111026130641.jpg)

หลากหลายปัญหาที่เข้ามาใน ชีวิตหากเราจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างง่ายได้ก็ต้องรู้จักการปรับตัวให้สอด คล้องกับสภาพแวดล้อมนะคะ ดุจดั่งสายน้ำ และเรื่องที่นำมาฝากกันในวันนี้ก็คือ อยากมีความสุข…จงทำตัวเหมือนน้ำ ไปติดตามกันเลยค่ะ

1.รู้จักประมาณตัว

>>>> น้ำ ไม่ว่าจะอยู่ในภาชนะรูปแบบใด หรือแหล่งน้ำธรรมชาติลักษณะไหน ก็สามารถกลมกลืนมีรูปร่างตามนั้น

>>>>คน หากรู้จักปรับตัวให้เข้ากับที่อยู่หรือสิ่งแวดล้อมที่ห่อหุ้มชีวิต อยู่บ้านใหญ่ก็อยู่ได้ อยู่บ้านเล็กก็ปรับตัวได้เหมาะสม เช่นภาษิต นกน้อยทำรังแต่พอตัว ไม่ใช่มีมากใช้มากมีน้อยใช้น้อยก็อาจทุกข์ร้อนได้
2.รู้จักถ่อมตน-เคารพคนอื่น

>>>> น้ำ จะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ น้ำตกเกิดเพราะบนยอดเขามีน้ำอยู่มาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ผิวดินหรือใต้ดิน น้ำก็ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ

>>>> คน เปรียบดั่งคนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ติดยึดกับหัวโขนที่สวมอยู่ หากแต่สามารถปรับได้ตามกาลเทศะ รู้จักเคารพ ให้เกียรติ มีเมตตาไม่ดูถูก ไม่รังเกียจ

3.รู้จักยืดหยุ่น

>>>> น้ำ อ่อนนุ่มแต่มีปะทะมหาศาลยามที่อยู่เฉยๆไม่ทำร้ายใคร แต่ยามน้ำไหลบ่าก็สามารถทำลายแม้กระทั่งขุนเขามหึมาได้

>>>> คน ต้องรู้จักอดกลั้น อดทน และข้ามผ่านช่วงเวลาที่ไม่น่าพอใจไปได้ ด้วยการรู้จักยืดหยุ่น รู้จักเขารู้จักเราเพื่อก้าว เมื่อได้ชัยชนะให้เกียรติคู่ต่อสู้แข็งมาอ่อนกลับชนะจากภายในสู่ภายนอก


 


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 16, 2012, 10:05:09 PM
ขนมชื่อว่า "ไม่มี"

(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img6/129090.jpg)


ชื่อนิทานเรื่องนี้อาจจะทำ ให้ผู้อ่านหลายคนเข้าใจผิดคิดถึงเรื่องของความขัดสนยากจน ถึงแม้เรื่องนี้จะขึ้นด้วยเรื่องของคนจน แต่ก็ลงท้ายด้วยความเป็นผู้มีทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่ไม่รู้ความหมายของคำว่า "ไม่มี" ถ้าลองติดตามอ่านดู ก็จะทราบว่าเขาคนนั้นทำอย่างไร ถึงได้เป็นผู้ที่มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง


เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีครอบครัวของชายยากจนคนหนึ่งชื่อว่า "อันนภาระ" เขาอาศัยสุมนเศรษฐีอยู่โดยทำหน้าที่เป็นคนขนหญ้าเลี้ยงวัว เขาต้องตรากตรำทำงานหนักมาก วันหนึ่งอันนภาระได้ถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เฉพาะตัว โดยไม่ได้สั่งสอนผู้อื่นและอยู่เพียงลำพัง) นามว่า "อุปริฏฐะ" แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า "ด้วยทานอันบริสุทธิ์ที่ข้าพเจ้าทำด้วยจิตอันเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธานี้ คำว่าไม่มีอย่าได้เกิดแก่ข้าพเจ้าอีกเลยในทุกภพทุกชาติไป"


ด้วย อำนาจแห่งทาน ตั้งแต่นั้นในชาติต่อๆ มาเขาก็ได้เป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งประจำพระนคร และได้สร้างบุญถวายแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ตราบจนสิ้นชีวิต


มา ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "โคดม" อันนภาระก็ได้เกิดเป็นพระกุมารแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระนามว่า "เจ้าชายอนุรุทธะ" เป็นพระโอรสของพระเจ้าอาของศาสดา ในวัยเด็กถ้ามีการแข่งขันตีคลีกันจะมีกติกาว่า ใครแพ้จะต้องเป็นผู้เลี้ยงขนม เจ้าชายอนุรุทธะทรงมีฝีมือค่อนข้างแย่กว่าเพื่อนคนอื่นๆ พระมารดาจึงต้องส่งคนรับใช้ให้นำขนมมาเตรียมไว้ให้เสมอ คราวหนึ่งเจ้าชายอนุรุทธะทรงแพ้ตีคลีหลายครั้งจนขนมหมด พระมารดาจึงส่งข่าวมาว่า "ตอนนี้ ขนมไม่มีแล้ว"


เจ้าชายอนุรุทธะ ไม่เคยได้ยินคำว่า "ไม่มี" มาก่อนเลย จึงเข้าพระทัยว่าพระมารดาจะส่งขนมที่ชื่อว่า "ไม่มี" มาให้ จึงเร่งคนรับใช้ให้ไปเอามา ครั้นพระมารดาเห็นคนรับใช้กลับมารับขนมอีก จึงคิดว่านางปรนเปรอและตามใจลูกมากเกินไปจนไม่รู้จักคำว่าไม่มี พระมารดาจึงต้องสอนลูกรักให้รู้จักและได้เข้าใจว่า "ไม่มี" เสียที ดังนั้น พระนางจึงได้ส่งถาดเปล่าๆ ปิดคลุมด้วยถาดทองอีกใบหนึ่ง แล้วจะไปให้เจ้าชายอนุรุทธะ


ขณะนั้น เหล่าเทวดาทั้งหลายซึ่งรู้ว่าเจ้าชายอนุรุทธะเคยตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่า "เราไม่พึงฟังคำว่าไม่มี" ต่าง ร้อนใจคิดว่าถ้าหากตนนิ่งเฉยเสีย ศีรษะของท่าน (เทวดา) จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จึงเนรมิตรขนมทิพย์เป็นจำนวนมากบรรจุลงในถาดทองคำที่คนรับใช้ถือไปถวายเจ้า ชายอนุรุทธะ เมื่อพระองค์เปิดฝาครอบออก กลิ่นขนมทิพย์หอมฟุ้งไปทั่วพระนคร ครั้นเสวยขนมทิพย์แล้วก็ติดใจในรสชาติและกลิ่นหอม คิดว่าเพราะเหตุใดพระมารดาจึงไม่เคยส่งขนมอร่อยๆ เหล่านี้ให้เสวยมาก่อนเลย หรือว่าเมื่อก่อนนี้จะไม่ทรงรักพระองค์


เจ้าชายอนุรุทธะคิดดัง นั้น จึงรีบกลับไปเฝ้ามารดา เพื่อทูลถามเรื่องขนมพร้อมทั้งตั้งเงื่อนไขว่า ต่อไปนี้จะเสวยแต่ขนม "ไม่มี" เท่านั้น พระมารดาไม่ทราบเรื่องมาก่อน จึงแปลกพระทัยมาก แต่เมื่อทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากคนรับใช้แล้วจึงคิดว่า ลูกของตนเป็นผู้มีบุญมากมาเกิดเป็นแน่แท้ เทวดาถึงได้เนรมิตรขนมทิพย์ให้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาที่เจ้า ชายอนุรุทธะต้องการเสวยขนม "ไม่มี" พระมารดาจะทรงล้างถาดทองคำแล้วปิดด้วยถาดทองคำอีกใบหนึ่งแล้วส่งไปให้ โดยหวังว่า เทวดาทั้งหลายจะเนรมิตรขนม "ไม่มี" ให้ แล้งทุกๆ ครั้งก็เป็นเช่นนั้น


นายอันนภาระได้ให้ ทานด้วยจิตที่มีศรัทธาเต็มเปี่ยม วัตถุทานที่เขาใช้ก็หามาได้ด้วยความบริสุทธิ์ และผู้รับทานยังเป็นผู้ประเสริฐยิ่งในโลก เขาจึงสมหวังดังคำอธิฐาน จึงอยากให้ท่านทั้งหลายสมหวังมีทุกๆ อย่างบริบูรณ์อย่างนายอันนภาระหรือเจ้าชายอนุรุทธะด้วย


แต่ พรนี้จะสัมฤทธิผล ก็ต่อเมื่อ ท่านทั้งหลายตั้งปณิธานเหมือนที่นายอันนภาระตั้งใจทำบุญช่วยเหลือ และสงเคราะห์ตามความเหมาะสมกับฐานะ มีความเมตตา มีน้ำใจต่อกัน และพร้อมที่จะให้อภัยกันเสมอ ทุกคนก็มีสิทธิ์ทำได้กันทั้งนั้น แม้จะไม่มีเงินทองก็ใช้มิตรภาพ เพราะบางครั้งคุณค่าแห่งมิตรภาพมันยิ่งใหญ่กว่าเงินทองหรือสิ่งของมีค่าใดๆ เสียอีก





ที่มา dhammajak


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 01, 2012, 08:49:05 PM
สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อยตายมี ๓ ชนิด คือ

(http://variety.teenee.com/saladharm/img3/135728.jpg)


      ๑. กรรม
             ภาพกรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตมักหวนกลับมาปรากฏให้เห็นทั้งๆ ที่เราลืมไปนานแล้ว เช่นใครเคยฆ่าคนตาย ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับฆาตกรรมจะกลับมาปรากฏในจิต ถ้าเคยช่วยชีวิตคนไว้ภาพตอนนั้นจะมาปรากฏ นี้แสดงว่านึกถึงกรรมหรือกระบวนการทำความดีหรือความชั่ว ดังพระบาลีว่าในสมัยนั้น กรรมทั้งหลายที่ตนทำไว้ก่อนนั้น ย่อมเกาะติดในจิตของบุคคลผู้ใกล้ตายนั้น

               ๒. กรรมนิมิตร
             บางคนเคยเห็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำกรรม เช่นบางคนเห็นมีดที่ตนเคยใช้ฆ่าวัว บางคนนึกถึงภาพโบสถ์วิหารที่ตนเคยสร้าง เราระลึกถึงนิมิตของกรรมใด ก็จะไปเกิดใหม่ตามพลังของกรรมนั้น

                 
             ๓. คตินิมิตร

           บางคนไม่นึกถึงกรรมในอดีต แต่กลับนึกถึงภาพของที่ที่จะไปเกิดในชาติหน้านั้น คือเห็นคตินิมิต หมายถึงภาพเกี่ยวกับที่ที่จะไปเกิด เช่นใครที่จะไปเกิดในสวรรค์ คนนั้นจะนึกเห็นวิมาน ใครจะไปเกิดเป็นประเภทสัตว์กินหญ้า จะนึกเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหล่านี้เป็นนิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิใด คงเหมือนกับภาพที่บางคนฝันเห็นล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์จริงๆ (สุบิน)

            รวมความว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต จิตของเราระลึกถึงกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทใด เราจะไปเกิดในภพภูมิอันสอดคล้องกับกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทนั้น ดังนั้นบางคนวางแผนลักไก่คือชั่วชีวิตเขาทำบาปมากกว่าบุญ
 
            เขาจึงกะจะนึกถึงกรรมดีนิดหน่อยนั้นก่อนตาย ถ้านึกถึงพระด้วยตนเองไม่ได้ ก็สั่งลูกช่วยเตือนความจำ คนเรามักจะเตือนคนใกล้ดับจิตให้นึกถึงพระเอาไว้ แต่ใครทำบาปไว้มากคงไม่อาจหลอกตัวเองก่อนตายได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า เสี่ยคนหนึ่งเป็นพ่อค้าขายข้าวเปลือก ชอบโกงชาวบ้านด้วยวิธีตวงข้าวเปลือกไม่เต็มถัง พอเสี่ยคนนี้ใกล้ตาย ลูกสาวก็กระซิบให้เตี่ยนึกถึงพระด้วยการบริกรรมว่า สัมมา อะระหังๆ แต่เตี่ยบริกรรมตามว่า สัมมา กี่ถังๆ


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 12:00:28 PM
ศรัทธาความเชื่ออย่างพุทธมามกะ

(http://variety.teenee.com/saladharm/img9/139986.jpg)

ฉันปฏิญาณว่า ฉันมีความเชื่ออย่างพุทธมามกะ ซึ่งอาจจะแตกต่าง จากความเชื่อของชนเหล่าอื่น ความเชื่อของพุทธมามกะ นั้นคือ

๑) พุทธมามกะ เชื่อโดยตรงต่อเหตุผล

และด้วยความเป็นผู้อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ข้อนี้ย่อมทำให้ความเชื่อของฉันมี พอเหมาะพอสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และเคียงคู่กันไปกับปัญญา

พุทธมามกะ ถือกันเป็นแบบฉบับว่า การเชื่องมงาย เป็นสิ่งที่น่าอับอายอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจุดรวมแห่งความนับถือของพุทธมามกะนั้น เป็นผู้ที่รู้และดำเนินไปตามหลักแห่งการใช้เหตุผล จึงเป็นผู้กำจัดความงมงายของโลก


๒) พุทธมามกะ เชื่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ได้บ่มพระองค์เอง มาเป็นเวลาเพียงพอ จนสามารถลุถึงด้วยพระองค์เอง และทรงชี้ทางให้มนุษย์ มีความสะอาด ความสว่างและความสงบเย็น ได้จริง

เมื่อได้ พิจารณาดูประวัติแห่งคำสอน และการกระทำของพระองค์แล้ว คนทุกคน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่นับถือพระองค์ ก็ย่อมเห็นได้ทันทีว่า พระองค์เป็นผู้ที่สมบูรณ์ ด้วยความสะอาด ความสว่าง และความสงบถึงที่สุด จนสามารถสอนผู้อื่นในเรื่องนี้ ธรรมะ ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุนั่นเอง ทำพระองค์ให้ได้นามว่า พระพุทธเจ้า


๓) พุทธมามกะ เชื่อว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุและนำมาสอนนั้น คือความจริงอันตายตัวของสิ่งทั้งปวง อันมีอำนาจที่จะบันดาลสิ่งทั้งปวงให้เป็นไปตามกฏนั้น และโดยเฉพาะที่มีค่าต่อมนุษย์มากที่สุด ก็คือ กฏความจริง ที่รู้แล้ว สามารถทำผู้นั้นให้ปฏิบัติถูกในสิ่งทั้งปวง และพ้นทุกข์สิ้นเชิง พระธรรมนี้มีอยู่สำหรับให้มนุษย์เรียนรู้และทำตามจนได้รับผลจากการกระทำ เป็นความพ้นทุกข์สิ้นเชิง ทั้งทางกาย และทางใจ


๔) พุทธมามกะ เชื่อว่า พระสงฆ์ คือบรรดามนุษย์ที่มีโชคดี มีโอกาสก่อนใครในการได้รู้ ได้ปฏิบัติ และได้รับผลของการปฏิบัติในพระธรรม ถึงขนาดที่พ้นจากทุกข์ยิ่งกว่าคนธรรมดา ด้วยความแนะนำของพระพุทธเจ้า

พระสงฆ์ จึงเป็น ผู้ที่ควรได้รับการนับถือ และถือเอาเป็นตัวอย่างและเป็นที่บำเพ็ญบุญของผู้ที่ประสงค์จะได้บุญ ใครๆ ก็อาจเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงได้ ไม่ว่า ชายหญิง บรรพชิต หรือฆราวาส เด็ก หรือผู้ใหญ่ มั่งมี หรือ ยากจน คนเป็นพระสงฆ์ได้ด้วยการประพฤติและการบรรลุธรรมที่มีอยู่ในตัวเขา ไม่ใช่เพราะการเข้าพิธี หรือ การเสกเป่า ต่างๆ


๕) พุทธมามกะ เชื่อว่า โลกนี้ไม่มีบุคคลใดสร้าง หรือ คอยบังคับให้เป็นไป

หากแต่เป็นสิ่งที่หมุนเวียนไปเอง ตามกฏของสังขารธรรม คือ กฏธรรมชาติ อันประจำอยู่ในส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก มันเป็นกฏธรรมดา หากแต่ว่า มีบางสิ่งบางอย่าง ลึกลับซับซ้อน ประณีต และมหัศจรรย์พอที่จะทำให้คน บางพวกหลงไปว่า มีผู้วิเศษคนใดคนหนึ่ง เป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆ

เมื่อมนุษย์เรามีความรู้เท่าทัน ความเป็นไปของสิ่งเหล่านี้ได้มากเพียงใด ก็สามารถปรับปรุงตนเองให้ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นหรืออยู่กันได้ด้วยความผาสุกมากเพียงนั้น ไม่ต้องมีคัมภีร์ ซึ่งอ้างว่าส่งมาจากสวรรค์ คงมีแต่คัมภีร์ ที่คนผู้เข้าถึงธรรมะแล้ว รู้เห็นได้อย่างไร ก็บอกไปอย่างนั้น จนผู้อื่นสามารถเข้าถึงธรรมะได้ อย่างเดียวกันก็พอแล้ว เราเรียกคนเหล่านั้นว่า
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย


๖) พุทธมามกะ เชื่อว่า มนุษย์แต่ละคนล้วนมีกรรม หรือการกระทำของตนเอง เป็นเครื่องอำนายความสุข และความทุกข์ แล้วแต่ว่าเขาได้ทำไว้อย่างไร

ในขณะที่แล้วมา ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง เป็นเครื่องปรุงแต่งตัวเอง บังคับความเป็นไปของตัวเองโดยเด็ดขาด จนกล่าวได้ว่าเรามีกรรมนั่นแหละเป็นตัวเราเอง ถ้าเขาอยากมีหรืออยากอยู่ในโลกที่งดงาม เขาก็ต้องทำกรรมดีโดยส่วนเดียว ถ้าเขาเบื่อต่อการเป็นอยู่ในโลกทุกๆ แบบ เขาก็มีวิธีทำให้จิตใจของเขาสูงพอที่จะไม่ทำอะไรๆ ให้เป็นกรรม อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาได้ และอยู่เหนือกรรม โดยประการทั้งปวง ผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้ จักต้องได้รับโทษ หรือมีการทำคืนที่สมควรแก่กันเสียก่อน จึงจะพ้นจากกรรมชั่วนั้น เว้นเสียแต่ เขาได้ทำกรรมดีไว้มากอีกทางหนึ่ง ถึงกับช่วยให้เขามีจิดใจสูง พ้นอำนาจของกรรมไปเสียก่อน ที่มันจะให้ผลได้


๗) พุทธมามกะ เชื่อว่า ตัวแท้ของศาสนานั้น คือ ตัวการกระทำที่ถูกต้องตามกฏแห่งความจริง จนได้รับผลของการกระทำเป็นความสะอาด ความสว่าง และความสงบจริงๆ หาใช่เป็นเพียงคัมภีร์ หรือคำสั่งสอน หรือการสวดร้องท่องบ่น วิงวอน บวงสรวงไม่

พุทธมามกะ มีศาสนาของตนๆ อยู่ที่ กาย วาจา ใจ อันสะอาดของตนเอง ความสะอาด ความสว่าง และ ความสงบ นี้ คือ ความหมาย อันแท้จริงของคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งที่แท้ ทั้งสามองค์ เป็นองค์เดียวกัน พุทธมามกะ จึงทำใจของตน ให้ปักดิ่ง ลงที่ความสะอาด ความสว่าง และความสงบ เท่านั้น ทั้งหมดนี้ คือ ความเชื่อ ๗ ประการ ของพุทธมามกะ



พุทธทาสภิกขุ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๙๘
ที่มา buddhadasa.com


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 12:01:52 PM
“อสทิสทาน” (ทานที่ไม่มีใครทำได้เหมือน) 


(http://variety.teenee.com/saladharm/img8/139985.jpg)

.......สมัยหนึ่ง พระศาสดาประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมืองสาวัตถี พระเจ้า ปเสนทิโกศลทูลอาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แล้วถวายอาคันตุกทานอย่างประณีต ทรงประกาศให้ชาวนครมาดูทานของพระองค์

วันรุ่งขึ้น ชาวนครทูลอาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ไปเสวย และฉันอาหารของพวกตน แล้วทูลให้พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรทานของตน

พระราชาทอดพระเนตรเห็นทานอันมโหฬารของชาวนครแล้ว ทรงถวายทานอีก ทำให้ยิ่งกว่าที่ชาวนครทำ ชาวเมืองก็ไม่ยอมแพ้ รวมกำลังกันถวายทานให้ยิ่งกว่าที่ พระราชาถวาย

รวมความว่าทำบุญแข่งกัน

ในที่สุดพระราชาสู้ไม่ได้ เพราะประชาชนมีมากด้วยกัน จึงบรรทมเป็นทุกข์อยู่ พลางทรงดำริว่า ทำอย่างไรจึงจะถวายทานให้ชนะชาวนครได้ พระนางมัลลิกา อัครมเหสีเสด็จเข้าไปเฝ้า ทรงทราบถึงความโทมนัสของพระราชาแล้วทูลอาสาจะจัดทานถวายเอง และจะให้ชนะชาวนครให้ได้

พระนางขอให้พระราชารับสั่งให้คนจัดดังต่อไปนี้

ให้ทำมณฑปสำหรับภิกษุ 500 รูปภายในวงเวียนมณฑปนั้น ทำด้วยไม้สาละและไม้ขานาง ภิกษุที่เกินจำนวน 500 นั่งนอกวงเวียน ให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน จัดหาช้าง 500 เชือก สำหรับถือเศวตฉัตรกั้นภิกษุ 500 รูปเหล่านั้น ขอให้ทำเรือทองคำ 8 ลำ หรือ 10 ลำไว้กลางมณฑป ให้เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ นั่งบดของหอมอยู่ระหว่างภิกษุทุก ๆ 2 รูป (คือเจ้าหญิงองค์หนึ่งต่อภิกษุ 2 รูป) และเจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ ยืนพัดภิกษุ 2 รูป เจ้าหญิงนอกนี้ มีหน้าที่นำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือ

ให้จัดเจ้าหญิงเป็นพวก ๆ บางพวกถือกำดอกบัวเขียวไปเคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำแล้วนำไปถวายภิกษุ ให้ภิกษุรับเอาไออบ

เรื่องที่จัดเจ้าหญิงให้มาร่วมในการถวายทานนี้ก็ด้วยทรงดำริว่า ชาวนครไม่มี เจ้าหญิงเป็นเครื่องประกอบในทาน เป็นอันได้ชนะชาวนครไปได้เรื่องหนึ่ง เศวตฉัตรของชาวนครก็ไม่มี ช้างจำนวนมากเช่นนั้นก็ไม่มี

พระราชารับสั่งให้ทำตามที่พระนางมัลลิกาทรงแนะนำ

ปัญหามาติดอยู่ที่เรื่องช้างคือช้างไม่พอ ความจริงพระราชามีช้างเป็นจำนวนพัน แต่ช้างที่เชื่องพอจะนำมาถือเศวตฉัตรได้มีเพียง 499 เชือก ขาดไปเชือกหนึ่ง นอกจาก 499 เชือกแล้วเป็นช้างดุร้ายทั้งนั้น

พระราชาทรงปรึกษาพระนางมัลลิกาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระนางมัลลิกาถวายความเห็นว่า ขอให้เอาช้างเชือกที่ดุร้ายนั้นไปถือเศวตฉัตรให้พระคุณเจ้าองคุลิมาล

พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำเช่นนั้น เมื่อช้างที่ดุร้ายเข้าใกล้พระองคุลิมาล มันสอดหางเข้าไปในระหว่างขาของมัน ปรบหูทั้งสองยืนหลับตานิ่งอยู่

มหาชนต่างมองดูช้างดุที่ยืนหลับตาอยู่ใกล้พระเถระและชมว่า พระคุณเจ้า องคุลิมาลมีอานุภาพถึงปานนี้

พระราชาทรงอังคาส (เลี้ยง) ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขด้วยอาหารอันประณีต และด้วยพระหฤทัยอันอิ่มเอิบ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า "สิ่งทั้งปวงในโรงทานนี้ ทั้งที่เป็นกัปปิยภัณฑ์ (สิ่งที่สมควรแก่สมณะ) และอกัปปิยะภัณฑ์ (สิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะ) หม่อมฉันขอถวายพระองค์ทั้งสิ้น"

ในทานนี้ พระราชาทรงสละทรัพย์ 14 โกฏิหมดในวันเดียว ของ 4 อย่างคือ เศวตฉัตร 1 บัลลังก์สำหรับนั่ง 1 เชิงบาตร 1 ตั่งสำหรับเช็ดเท้า 1 ที่พระราชาถวายพระศาสดานั้นเป็นของสูงค่าจนไม่อาจคำนวณได้

ทานดังกล่าวมานี้ ไม่มีใครสามารถทำได้อีก (ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าองค์เดียว) เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกทานอย่างนี้ว่า อสทิสทาน คือทานที่ไม่มีใครทำได้เหมือน

ท่านกล่าว ว่า อทิสทานนี้มีแก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่พระองค์ละครั้งเท่านั้น สตรีย่อมเป็นผู้จัดแจงทานนี้ เพื่อพระศาสดาและภิกษุสงฆ์

.......เมื่อพระราชาทรงบำเพ็ญอสิทิสทานอยู่นี้ มหาอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ กาฬะ รู้สึกเสียดายพระราชทรัพย์เหลือประมาณเขาคิดว่า " นี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่ง ราชตระกูล ทรัพย์ถึง 14 โกฏิ หมดในวันเดียว ภิกษุทั้งหลายบริโภคอาหารที่พระราชาถวายด้วยศรัทธาแล้วก็นอนหลับ มิได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ราชตระกูลฉิบหายเสียแล้ว "

ส่วนอำมาตย์อีกคนหนึ่งชื่อ ชุณหะ คิดว่า " อา! ทานของพระราชายิ่งใหญ่ น่าเลื่อมใสจริง ทานอย่างนี้ผู้ที่ไม่เป็นราชาไม่อาจทำได้ พระราชาย่อมต้องทรงแบ่งส่วนบุญให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เราขออนุโมทนาบุญนั้น "

เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จ พระราชาทรงรับบาตร เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา พระศาสดาทรงดำริว่า

"ทานของพระราชาครั้งนี้เป็นประดุจห้วงน้ำใหญ่ มหาชนมีจิตเลื่อมใสหรือไม่หนอ ทรงทราบวารจิต คือความคิดของอำมาตย์ทั้งสองแล้วทรงทราบว่า ถ้าจะทรงทำการอนุโมทนาให้สมควรแก่ทานของพระราชา ในครั้งนี้ ศีรษะของกาฬอำมาตย์จะต้องแตกเป็น 7 เสี่ยง ส่วนชุณหอำมาตย์จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล"

ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬอำมาตย์นั้น จึงตรัสพระคาถาเพียง 4 บาทเท่านั้น อนุโมทนาทานของพระราชาแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเสด็จไปสู่วัดเชตวัน

ภิกษุทั้งหลายถามพระองคุลิมาลว่า "ไม่กลัวหรือที่ช้างดุร้ายอย่างนั้นยืนถือเศวตฉัตรให้"

พระองคุลิมาลตอบว่าไม่กลัว ภิกษุทั้งหลายจึงไปกราบทูลพระศาสดาว่า พระองคุลิมาลพยากรณ์อรหัตผล อวดตนว่าเป็นอรหันต์ ไม่กลัวช้างดุร้ายเห็นปานนั้น พระศาสดาตรัสรับรองว่า พระองคุลิมาลไม่กลัวจริง

ส่วนพระราชาปเสนทิ ทรงน้อยพระทัยว่า ได้ถวายทานอันมโหฬารปานนั้น แต่พระศาสดาทรงอนุโมทนาเพียง 4 บาท พระคาถาเท่านั้น น่าจะมีอะไรที่ไม่สมควรในทานอยู่บ้าง พระศาสดาคงจะทรงขุ่นเคืองพระทัยเป็นแน่แท้

พระราชารีบเสด็จไปสู่วิหารเชตวัน ทูลถามพระศาสดาในเรื่องนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า พระราชาได้ทรงกระทำชอบทุกอย่าง ทานนั้นได้นามว่า "อสทิสทาน" แต่ที่ทรงอนุโมทนาน้อย ก็เพราะหวังอนุเคราะห์กาฬอำมาตย์ ตรัสเล่าความคิดของอำมาตย์ทั้งสองให้พระราชาทรงทราบ

พระราชาทรงกริ้วกาฬอำมาตย์ตรัสว่า "เราให้ทานมากจริง แต่เราให้ของๆ เรา มิได้เบียดเบียนอะไรท่านเลยไฉนท่านจึงเดือดร้อนปานนั้น"

ดังนี้แล้วทรงเนรเทศกาฬอำมาตย์ออกจากแคว้น ตรัสเรียกชุณหอำมาตย์เข้าเฝ้า ตรัสถามว่า จริงหรือที่มีความคิดอนุโมทนาทานที่พระองค์ทรงกระทำแล้ว เมื่อ ชุณหอำมาตย์ทูลรับว่าจริง ทรงชอบใจและเลื่อมใสจึงทรงมอบราชสมบัติให้เขาครอง 7 วัน และให้ถวายทานได้ตามประสงค์ โดยทำนองที่พระองค์เคยทรงถวายมาแล้ว

พระราชาเสด็จไปสู่สำนักพระศาสดาอีกทูลว่า "พระองค์ทรงดูการกระทำของคนพาลเถิด เขาเหยียดหยามทานที่ข้าพระองค์ถวายแล้วถึงปานนี้ (ทรงหมายถึงกาฬอำมาตย์)"

พระศาสดาตรัสว่า

"คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้ คนพาลไม่สรรเสริญทาน ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาทานอยู่ จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า เพราะการอนุโมทนานั้น"



ที่มา
http://www.dhammajak.net/ (http://www.dhammajak.net/)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 13, 2012, 12:03:01 PM
ขจัดสารพิษในจิตใจ

(http://variety.teenee.com/saladharm/img6/139826.jpg)

ขจัดสารพิษในจิตใจ


เดี๋ยวนี้ผู้คน นิยมทำ ...ดีท็อกซ์... กัน
ดีท็อกซ์เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
เช่น การสวนทวาร เดี๋ยวนี้คนนิยมมาก
สวนทวารด้วยน้ำก็มี สวนด้วยกาแฟก็มี ไม่น่าเชื่อว่าจะแพร่หลายไปได้
คนที่มีการศึกษาใช้วิธีการนี้กันเยอะ
บางคนเสียเงินเป็นหมื่นไปเข้าโปรแกรมดีท็อกซ์
มีการขจัดสารพิษวิธีหนึ่งที่เชื่อว่าได้ผลมาก ก็คือ การอดอาหาร
เหตุผลก็คือ เมื่อร่างกายไม่มีอาหารเข้าไป
ระบบย่อยอาหารก็ได้พักผ่อน เพราะไม่มีอะไรจะให้ย่อย
ทีนี้ระบบย่อยอาหารก็จะเปลี่ยนหน้าที่
ไปทำการขับสารพิษที่สะสมในร่างกายออกมา
มันสลับกัน ถ้ารับอาหารเข้าไป มันจะทำหน้าที่ย่อย
ย่อยแล้วก็ดูดเอาสารอาหารไปเลี้ยงร่างกาย
แต่พอไม่มีอาหารเข้ามามันจะทำหน้าที่ตรงข้าม
คือ ขับเอาสารพิษออกจากร่างกาย


ใครที่ได้อดอาหารจะเห็นเลยว่า สารพิษมันออกมามากมาย
บางทีออกมาทางลิ้น จนลิ้นเป็นฝ้า บางทีออกมาตามผิวหนัง จนส่งกลิ่นเหม็น
หรือทำให้ผิวหนังเป็นปุ่มเหมือนกับเป็นสิว
บางทีก็ออกมาทางอุจจาระปัสสาวะ
คนที่อดอาหารล้างพิษจะเจอแบบนี้
การล้างพิษบางทีแค่ไม่ต้องกินอะไร ร่างกายก็จะทำงานของมันเอง


ถามว่านอกจากสารพิษในร่างกายและในสิ่งแวดล้อมแล้ว
ยังมีที่อื่นอีกไหม อาตมาว่ามีนะ นั่นก็คือ สารพิษในจิตใจ
สารพิษในจิตใจก็น่ากลัวเหมือนกัน สารพิษในร่างกายมากับอาหาร
สารพิษในจิตใจก็มาจากอาหารเหมือนกัน คือ อาหารใจ
ซึ่งก็คือ ความคิดหรืออารมณ์นั่นแหละ
อาหารที่เรากินถ้าย่อยไม่หมดจะกลายเป็นสารพิษ อันนี้เราคงรู้กันดี
สารพิษเหล่านี้จะสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ในลำไส้ใหญ่ หรือในตับ
ส่วนความคิดหรืออารมณ์ก็เช่นกัน
ถ้าเราเสพเข้าไปแล้วไม่รู้จักขจัดออกไป
มันก็หมักหมมนะ กลายเป็นสารพิษในจิตใจของเรา


ความโกรธ ความหงุดหงิด ความกังวล
ถ้าเกิดขึ้นแล้วต่อมามันหายไป ใจกลับสงบ
เจอแบบนี้อย่าเพิ่งคิดว่าจบแล้ว ส่วนใหญ่มันยังไม่จบหรอก
อารมณ์เหล่านี้ทิ้งอนุสัยเอาไว้
อนุสัยเป็นเหมือนเศษหรือตะกอนอารมณ์ที่ตกค้าง
โกรธก็ดี เกลียดก็ดี อิจฉาริษยาก็ดี โลภก็ดี
พวกนี้มันทิ้งตะกอนอารมณ์เอาไว้
ถ้าสะสมมากๆ เราก็จะโกรธง่าย เกลียดง่าย อิจฉาง่าย โลภง่าย
แต่ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่อนุสัยหรือตะกอนอารมณ์ตะกอนกิเลสอย่างเดียว
เพราะว่าอารมณ์ที่เราเสพหรือรับเข้ามา
ส่วนใหญ่เราไม่ปล่อยให้จบแค่นั้น
แต่ยังไปปรุงต่อเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาว
อันนี้แหละจะกลายเป็นสารพิษที่น่ากลัวมาก
เหมือนกับเราไปเติมเชื้อเติมฟืนให้กองไฟ
ไฟเลยไม่ยอมมอด กลับลามใหญ่เลย


ถ้ามอดเป็นเศษถ่าน เราก็เรียกว่า อนุสัย
มันพร้อมที่จะช่วยให้ไฟลุกขึ้นใหม่ ยิ่งมีมากก็ยิ่งลุกง่าย
แต่ว่าถ้าไม่ปล่อยให้มันมอด กลับไปเติมฟืนเติมเชื้อเข้าไปอีก
กองไฟก็จะใหญ่ขึ้นๆๆและร้อนขึ้นๆๆ
เหมือนไฟป่าอยู่ห่าง ๑๐ เมตรก็ยังรู้สึกร้อน
ใครที่มีไฟโทสะเผาใจ แม้ลูกหลานที่อยู่รอบตัว ก็ยังรู้สึกร้อนตามไปด้วย
นับประสาอะไรกับเราซึ่งมีไฟโทสะเผาลุกอยู่ในใจจะไม่ร้อนยิ่งกว่า
ร้อนจนอยู่ไม่สุข กินไม่ได้นอนไม่หลับ
อาจทำให้ป่วยเป็นโรคความดัน โรคหัวใจ โรคประสาท
หรืออาจอยากไปทำร้ายคนอื่น
อันนี้แหละอาตมาเรียกว่าสารพิษในจิตใจซึ่งอันตรายมาก


ถามว่าจะจัดการอย่างไร ประการแรกสุดก็คือ เสพให้น้อยลง
เหมือนกับการจัดการกับสารพิษในร่างกาย
บางวันเราต้องงดบ้าง อาทิตย์หนึ่งงดสักหนึ่งวัน หรืองดเป็นบางมื้อ
ปีหนึ่งอาจงดสัก ๗ วัน ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักเลือกกินอาหาร
อาหารขยะควรงดหรือไม่ก็กินให้น้อยลง
พูดง่ายๆ คือ ต้องรู้จักลดและละบ้าง
สารพิษในจิตใจก็เหมือนกัน
จัดการได้ด้วยการเสพอารมณ์ให้น้อยหรืองดเสียบ้าง
หมายความว่า ลดการออกไปเสพสิ่งเร้าจิตกระตุ้นใจให้น้อยลง
ไม่ว่าแสง สี เสียง หรือสิ่งเสพ ก็ควรเพลาการบริโภคลงบ้าง
ทุกวันนี้ผู้คนใช้เวลาไปกับการเสพสิ่งบริโภค
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเยอะมาก
อยู่ว่างๆ ก็ทนไม่ได้ ต้องออกไปเที่ยวห้างฯ ไปดูหนัง
เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ หรือไม่ก็ไปร่วมวงซุบซิบนินทากับเพื่อน
วันๆ หนึ่งจึงเสพอารมณ์เยอะเหลือเกิน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะ คือ ไม่มีประโยชน์


นอกจากลดการออกไปเสพสิ่งเร้าแล้ว
การออกไปรับรู้เรื่องราวที่รบกวนจิตใจ ที่กระตุ้นให้เกิดความกังวล
โทสะ และโลภะ ก็ควรจะลดลง
ควรใช้ตาดูหูฟังรับรู้สิ่งดี ๆ ที่ไม่กระตุ้นกิเลส
พูดง่ายๆ คือ รู้จักเลือกรับสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่ปิดหูปิดตานะ
ปิดหูปิดตาไม่ใช่วิธีการที่ดี
เราต้องรู้จักใช้ตาดูหูฟังในสิ่งที่ดี อะไรที่กระตุ้นโลภะ โทสะ โมหะ
หรือสร้างสารพิษในจิตใจ เช่น ภาพยนตร์หรือละครน้ำเน่า
สื่อลามก หรือรายการทางวิทยุโทรทัศน์ที่กระตุ้นความโกรธเกลียด
เราควรลดหรือเลิกเสพ เหมือนกับที่เราสอนลูกว่าอย่าไปกินขนมขยะนะ
เพราะมันมีสารพิษ หรือไม่ก็กินให้น้อย ไม่เช่นนั้นร่างกายจะเจ็บป่วย


บางช่วงบางขณะก็ควรจะงดเสพงดรับสิ่งเหล่านี้ไปเลย
เช่น มาอยู่วัด หรือหลีกเร้นมาอยู่ป่า
เพื่อให้ใจว่างเว้นจากการเสพรับอารมณ์ต่างๆ บ้าง
ใจจะได้พักผ่อนเต็มที่
ก็เหมือนกับที่เราควรอดอาหารบ้างอย่างน้อยปีละครั้ง
เพื่อให้กระเพาะอาหารได้พักบ้าง พอใจได้พักแล้ว
การจัดการกับตะกอนอารมณ์หรือสารพิษในจิตใจก็ทำได้ง่ายขึ้น


นอกจากการเลือกรับเลือกเสพ หรือการงดรับอารมณ์แล้ว
เรายังควรเรียนรู้วิธีดึงจิตกู้ใจออกจากอารมณ์ด้วย
นี่คือ การขจัดสารพิษออกไปจากใจ
ช่วงนี้แหละที่ต้องอาศัยสติ ต้องอาศัยปัญญาเข้ามาจัดการ
หลบมาอยู่ที่วิเวกไม่พอ
ต้องฝึกสติให้มาทำหน้าที่ขจัดสารพิษออกไปจากจิตใจของเรา
นอกจากจะไม่รับเพิ่มแล้ว ยังต้องเอาขจัดสิ่งที่สะสมอยู่ในใจออกไปด้วย
อันนี้เป็นหน้าที่ของสติและปัญญาโดยตรง
สติช่วยให้เรารู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
รู้แล้วก็ปล่อยวางได้ ไม่เก็บเอามาปรุงแต่งจนลุกลามใหญ่โต
อารมณ์เหล่านี้หากสติเข้าไปรู้ทัน
เมื่อมันหายไป มันจะไม่ทิ้งตะกอนหรืออนุสัยเอาไว้
ไม่เหมือนกับการห้ามความคิดหรือกดข่มอารมณ์
นอกจากมันจะไม่หายง่าย ๆ แล้ว มั
นยังทิ้งตะกอนอารมณ์ที่พร้อมจะปะทุขึ้นใหม่ได้ง่ายขึ้น


ไม่ว่าสารพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษในร่างกาย
สารพิษในจิตใจ ล้วนเป็นอันตรายทั้งนั้น
เราจึงต้องรู้จักหาวิธีขจัดสารพิษออกไปจากสิ่งแวดล้อม
ร่างกายและจิตใจให้ได้
สำหรับสารพิษอย่างหลัง
จะขจัดได้ก็ต้องเริ่มจากการหมั่นมองตนอยู่เสมอ


สารโกมล พฤศจิกายน ๒๕๕๑
ขจัดสารพิษในจิตใจ

พระไพศาล วิสาโล


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 15, 2012, 07:57:44 PM
อานิสงส์ของการสวดมนต์ ๑๕ ข้อ


(http://variety.teenee.com/foodforbrain/img7/141535.jpg)

การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์คือผลความดี ดังนี้

๑. ทำให้มีสุขภาพดี การสวดมนต์ด้วยการออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า

๒. คลายความเครียด ในขณะสวดมนต์จิตจะจดจ่อกับบทสวด สมองจะปลอดโปร่ง ไม่คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย

๓. เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระไตรรัตน์ บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดมนต์ไปก็เท่ากับว่าได้เพิ่มพูนศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคงยิ่งขึ้น

๔. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจทำให้เกิดความเกียจคร้าน ดังนั้น ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น

๕. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะที่สวดมนต์จิตจะจดจ่ออยู่กับบทสวดไม่วอกแวกวุ่นวายไปในที่อื่น จึงมีความสงบเกิดสมาธิมั่นคง สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส งดงาม แม้เพียงระยะเวลาน้อยนิด ก็เป็นบุญกุศลประมาณค่าไม่ได้

๖. เพิ่มพูนบุญบารมี ขณะที่สวดมนต์จิตใจจะสะอาด ปราศจากกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบุญบารมี เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่ต้องการได้

๗. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาเป็นการมอบความรักความปรารถนาดีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธให้เบาบางลงไป พบแต่ความสุขสงบ

๘. เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การสวดมนต์เป็นการทำความดีทั้งทางกายคือการสละเวลามาทำ ทางวาจาคือการกล่าวคำสวดที่ถูกต้อง และทางใจคือการตั้งใจทำด้วยความมั่นคง ย่อมเกิดสิริมงคลแก่ผู้สวดภาวนาทุกประการ

๙. เทวดาคุ้มครองรักษา ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำย่อมเป็นที่รักของเทวดา จะทำอะไรก็ตามหรือแม้แต่จะเดินทางไปที่ไหนๆ ก็ปลอดภัยจากอันตราย ประสบความสำเร็จเหมือนมีเทวดาให้พร

๑๐. สติมาปัญญาเกิด การสวดมนต์เป็นการสั่งสมคุณความดี ทำให้มีสติและมีจิตสำนึกที่ดีในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะถ้าสวดพร้อมกับคำแปลก็จะเกิดสติปัญญานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้

๑๑. มีผิวพรรณผ่องใสจิตใจชื่นบาน การสวดมนต์ด้วยการเปล่งเสียงเป็นการกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง จะทำให้มีผิวพรรณผ่องใสใจเป็นสุข เพราะขณะที่สวดมนต์จิตจะตั้งมั่นในบุญกุศล ไม่คิดไปในเรื่องอื่นที่ทำให้ใจเศร้าหมอง

๑๒. พิชิตใจผู้คนให้รักใคร่ การสวดมนต์เป็นประจำจะทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้ที่เป็นมิตรอยู่แล้วก็รักใคร่กลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น แม้คนที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็จะหันกลับมาคืนดีในที่สุด

๑๓. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย การสวดมนต์เป็นประจำ จะทำให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ในยามโชคร้ายประสบเคราะห์กรรมอันจะมีมาถึงตัว เพราะจะทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

๑๔. สะเดาะกรรมทำให้ดวงดี การสวดมนต์เป็นการแก้เคราะห์สะเดาะกรรม ขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไร ท่านกล่าวไว้ว่าชีวิตของคนเราจะดีหรือชั่วนั้นก็อยู่ที่การกระทำ ทำดีก็มีความสุข ทำชั่วก็กลั้วทุกข์ร้อนรนใจ การสวดมนต์จะช่วยให้สิ่งที่ร้ายกลายเป็นดี

๑๕. ครอบครัวเป็นสุขสดใส การสวดมนต์เป็นการสร้างความสุข และเกิดความสามัคคีในครอบครัว หากครอบครัวใดที่พ่อบ้านแม่เรือนสวดมนต์และสอนลูกหลานให้สวดมนต์เป็นประจำ จะมีความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข

 

 
 


ขอบคุณ หนังสือสวดมนต์อานิสงส์ครอบจักรวาล
 


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 01, 2013, 07:36:03 PM
ให้มันรู้จักทุกข์ ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์

(http://variety.teenee.com/saladharm/img1/142400.jpg)

นิโรธะ
โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย

วัดถ้ำกองเพล
ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู


การปฏิบัติอานาปานสติถ้าไม่ถูกกับจริต มีความอึดอัดใจ หายใจไม่สะดวก ไม่สบาย ถ้าถูก มันจึงสบาย หายใจเบาลง ปต่คนก็ชอบแต่ความสบาย ถ้าไม่สบายไม่ค่อยชอบ ถ้ามันสบาย มันก็หลงไปเสียกับความสบายละ ถ้าเปลี่ยนบ้างมันจึงจะดี เปลี่ยนคือความเจ็บป่วยนั้น มันเปลี่ยนบ้างมันจึงรู้ มันจึงตื่น หมายความว่าเปลี่ยนมันไม่เพลิน เวทนามัน ทรมานให้เขาปราบเอาบ้าง มันจึงดี เหมือนกันกับเด็กมันดื้อ มันคะนอง พ่อแม่ต้องเฆี่ยนเอาบ้าง มันจึงหายความคะนอง จิตของเรามันเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่ดี สบายแล้ว มันลืม ให้นั่งภาวนา เป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญา คอยเตือนอย่าดื้อ อย่าคะนอง ให้กำหนดให้มันรู้ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้มารู้จักทุกข์ ถ้ามันสบายแล้ว มันไม่รู้จักทุกข์ มันมัวแต่เพลินไปถ้ามันสบายแล้ว ให้มันไม่สบาย แล้วมันจึงกำหนดรู้จักทุกข์

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ให้มันรู้จักทุกข์ ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์ พิจารณาให้มันเห็นชัด มันอยู่ที่ใจแล้ว มันจึงจะค้นหาเหตุ ทุกข์เป็นผล แล้วความทะเยอทะยานนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ ค้นไปให้เห็นเหตุเกิดทุกข์ จะปล่อยวางความทะเยอทะยานความหลง อันสมุทัยนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าคน ว่าสัตว์ นั่นไปหลงสมมุติ พอใจเพราะความหลง สมุทัยก็มาจากความหลง พอมันขี้หลงเข้า หลงอยากเป็นอยากมี หลงสิ่งที่ไม่ชอบ รู้เหตุอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏจักร ไม่มีที่สิ้นสุด ให้ปล่อยวางอันนี้

ปล่อยวางคือไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่ามัน เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันถึงจะสงบ จิตมันถึงจะมีความสุข ความสบาย จิตไม่ดิ้นรน จิตสงบนั่นแหละให้รู้ว่าจิตเราสงบ จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่านิโรธะ ปล่อยวางอันนี้ ความทะเยอทะยานหรือสมุทัย วางอันนี้ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง

การค้น การพิจารณาเรื่องจิตนี้เรียกว่า มัคคปฏิปทา เรียกว่าข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราภาวนาบริกรรมอันใด มันสบายใจ บริกรรมแล้วก็ต้องพิจารณา สมถะ การบริกรรม วิปัสสนาเรียกว่ากำหนดพิจารณา เรื่องพิจารณาสังขารร่างกาย อันนี้เรียกว่าวิปัสสนา ทำไปพร้อม เมื่อบริกรรมไป บริกรรมไป พอจิตสงบสักหน่อย มันไม่ลงถึงที่ มันก็ต้องค้นคว้า ก็ค้นคว้าร่างกายของเรา ต้องพิจารณาสกนธ์กายของเรานี่แหละ

กรรมฐานทุกคนนั่นแหละ พวกพระ พวกเณร พวกญาติโยมนั่นก็เป็นกรรมฐาน กรรมฐานหมด มีอยู่หมดทุกรูปทุกนาม

พระพุทธเจ้าว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรียกว่าปัญจกรรมฐาน กรรมฐานแท้ ให้พิจารณาอันนี้ ผมมันก็ตั้งอยู่บนศีรษะ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ผมไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก ขนก็ไม่ใช่คน เรามาสำคัญว่าขนเรา เล็บเรา ผมเรา ฟันก็ไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก หนังก็ไม่ใช่คน หนังสำหรับห่อกระดูกไว้เท่านั้นแหละ อาการ ๓๒ นี่ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา แยกออกเป็นสัดเป็นส่วน อะไรเป็นคน เป็นสัตว์ ไม่สำคัญว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าเขา ว่าเรา สำคัญที่คนเห็นผิด อาการ ๓๒ นี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมองศีรษะ เป็นต้น หมู่นี้เป็นคนละอย่างๆ มันไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่า มันไม่ใช่คนนะ

อีกอย่าง พระพุทธเจ้าว่า ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมกัน เรียกว่ารูป รูปใหญ่ มหาภูตรูป สิ่งที่อาศัยธาตุ ๔ดิน น้ำ ลม ไฟ คือ เวทนา ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ก็ดี สัญญา ความจำหมายโน่น หมายนี่ จำโน่น จำนี่ จิตเจตสิก คือ ความคิดความอ่าน ความปรุงขึ้นที่จิต คือวิญญาณสังขา ความรู้ทางอายตนะทั้ง ๖ อันนี้เราว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เรียกว่าขันธ์ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ วิญญาณเป็นความรู้เท่านั้น รู้กันอยู่นี่แหละ ค้นไปค้นมาอยู่นั่น มองดูคนอยู่ไหน

สมถะคือการบริกรรม วิปัสสนาการค้นคว้า อาการ ๓๒ นี่แหละ ค้นไป ไม่ส่งจิตไปที่อื่น เวลาเราทำสมาธิ เราต้องตั้งใจว่า เวลานี้ เราจะทำหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ จะกำหนดให้มีสติประจำใจ ไม่ให้มันออกไปสู่อารมณ์ภายนอก ให้มีสติประจำใจอยู่ ไม่ให้ไปภายนอก เดี๋ยวนี้ หน้าที่ของเราจะภาวนา จะทำหน้าที่ของเรา ไม่ต้องคิดการงานข้างนอก เมื่ออกแล้วจะทำอะไรก็ทำไป เวลาเราจะทำสมาธิ ทำความเพียรของเรา ต้องตั้งสัจจะลง ตั้งใจกำหนดอยู่ในสกนธ์กายนี้ กำหนดสติให้รู้กับใจ เอาใจรู้กับใจ ให้จิตอยู่กับจิต กำหนดจิตขึ้น ให้ทำให้มันพออาศัย ศรัทธา วิริยะ เหตุทำให้มากๆ อันนี้แหละก้อนธรรม

พระพุทธเจ้าว่า ก้อนธรรมอันนี้แหละ ก้อนธรรมหมดทั้งก้อน ธรรมไม่มีที่อื่น ไม่มีที่อยู่อื่น จำเพาะรูปใครรูปเราเท่านั้น เป็นธรรมหมดทั้งก้อน ก้อนธรรมอันนี้ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน พระพุทธเจ้าว่า ปัญจุปาทานักขันธา อนิจจา ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความเกิดขึ้นตั้งขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีความแตกสลายไปในเบื้องปลาย ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ขันธ์อันนี้เป็นทุกข์ มีทุกข์บีบคั้นอยู่ มีแต่ทุกขเวทนานั่นแหละ ความสุขมีนิดเดียว ผู้ที่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสักหน่อยความสุขในโลกนี้

โลกคือสกนธ์โลกอันนี้ สกนธ์กายนี้ ปัญจุปาทานักขันธา อนัตตา ธรรมทั้งหลายสกนธ์กายอันนี้ ขันธ์ ๕ อันนี้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลาย จะเป็นสังขตธรรม หรือ อสังขตธรรมก็ตาม ไม่มีความประเสริฐ ไม่มีความดี พิจารณาเห็นสกนธ์กายว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว อันนี้เรียกว่าผู้ถึงวิราคะ วิราโค เสฏโฐ เป็นธรรมอันประเสริฐ วิราคะคือความคลายกำหนัดจากอารมณ์ทั้งหลาย นี่เป็นธรรมอันประเสริฐ นั่นแหละ เมื่อถึงวิราคะ เรียกว่านิโรธ ทุกข์ดับ มีความเบื่อหน่าย เหนื่อยหน่ายในความเป็นอยู่ของอัตตภาพ นี่แหละเรียกว่าปล่อยวาง เห็นตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางตัณหา ความทะเยอทะยาน ความอยาก ความใคร่ในทางกิเลสกาม ความอยากเป็น อยากมี ถึงขั้นนี้ก็กิจสำเร็จแล้ว



คัดลอกมาจาก ::
หนังสืออนาลโยวาท
พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ขาว อนาลโย และประวัติความอาพาธ
คณะศิษยานุศิษย์จัดพิมพ์ถวายโดยเสด็จพระราชกุศล
ในการพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2013, 08:09:58 AM
หลงตัวเอง !

(http://variety.teenee.com/saladharm/img1/146093.jpg)

พระอาจารย์ กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริงๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้งๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง

ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้า ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือ การหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังแสดงออกด้วยการหลงตัวเองอยู่

เห็นแล้วรักแล้วชอบ มั่นใจว่าเป็นเนื้อคู่..ที่ไหนได้ ที่แท้เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบ ฉะนั้น..เดี๋ยวหนูไปเจอคนหน้าเหมือนเมื่อไรก็ชอบเอง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น"


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ - หน้า 3 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


(http://variety.teenee.com/saladharm/img1/146094.gif)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 25, 2013, 08:11:11 AM
"ศีล" ทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


(http://variety.teenee.com/saladharm/img0/146092.jpg)

สีลัง ยาวะ ชรา สาธุ
ศีลทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา ดังนี้

ผู้ไม่มีศีลได้ชื่อว่าเป็นผู้สกปรก ดังท่านแสดงไว้ในเรื่องโทษของศีลว่า
ผู้ล่วงละเมิดในศีลข้อนั้นๆ นอกจากจะเป็นผู้สกปรก เดือดร้อนด้วยโทษนั้นๆ แล้ว

เมื่อตายไปแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ มีนรกเป็นที่สุด เมื่อเสวยผลของกรรมนั้นพอควร
แล้ว จึงจะพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคนแล้วได้รับเศษกรรมนั้นอีก ดังนี้ ...

๑ .. โทษของการฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ..
จะเป็นผู้มีอายุสั้นพลันตาย เป็นคนขี้โรค ทรมาน
รูปร่างก็น่าเกลียด ไม่มีใครเมตตาเอ็นดู

๒ ..โทษของการฉ้อโกง ลักขโมยของเขา ..
จะเป็นคนจนทรัพย์อับปัญญาอนาถาหาที่
พึ่งมิได้ หาทรัพย์มาไว้ได้ ก็จะมีแต่คนมาฉ้อโกง
ลักขโมยเอา และฉิบหายด้วยภัย ต่าง ๆ

๓ .. โทษของการประพฤติมิจฉาจาร ..
เมื่อได้ลูกเมียมาจะได้แต่คนว่ายากสอนยาก
ประพฤตินอกใจ ทำให้ชอกช้ำใจเป็นทุกข์มาก

๔ .. โทษของการกล่าวเท็จโกหกเป็นต้น ..
เมื่อเกิดมาเป็นคนพูดจาสิ่งใดไม่มีคนเชื่อ
ถ้อยฟังคำ มีแต่เขาจะมาหลอกลวงให้เสียทรัพย์
เสียดสีด่าว่าหยาบคายต่าง ๆ นานาเป็นต้น

๕ .. โทษของการดื่มสุราเมรัย ..
จะเป็นคนบ้านใบ้เสียจริตผิดมนุษย์
อีกทั้งเป็นคนโง่เขลา เบาปัญญาไม่น่าคบ

นี่โทษของการไม่ตกแต่งฝึกฝนอบรม กาย วาจา ใจ
ตามศีลธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้สกปรกเศร้าหมอง
ทั้งที่เป็นมนุษย์และละโลกนี้ไปแล้ว

ด้วยเหตุนี้ จึงควรแต่งกาย วาจา ใจ
ให้สะอาดเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

เพราะถ้าไม่สะอาดแต่เมื่อยังอยู่ในโลกนี้
ตายไปแล้วก็จะเป็นผู้สกปรกไม่สะอาดใน
โลกหน้าต่อไปอีก ดังแสดงมาแล้ว ..

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี




ขอบคุณบทความจาก dharma-gateway


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 07, 2013, 07:54:50 PM
การเลี้ยงลูกต้องหัดลูกให้ลำบากให้มากที่สุด

(http://variety.teenee.com/saladharm/img6/146655.jpg)

พระอาจารย์ กล่าวว่า "การเลี้ยงลูกต้องหัดลูกให้ลำบากให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเราแล้วลูกจะอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าลูกไม่ชอบใจหน่อยเดียวแม่ก็รีบหาที่เรียนใหม่ให้ อย่างนั้นลูกจะไม่มีภูมิต้านทานเลย ลูกจะไม่รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายอย่างไร ขาดเราสักคนลูกก็ตายเปล่า ต้องให้เขาเจอแรงกดดันมากๆ ชนิดหัวหงอกตั้งแต่อายุยังไม่ ๒๐ แล้วจะแกร่งเอง..!

น่าจะเป็นนักร้องฝรั่งคนหนึ่ง มีคุณแม่ที่ฝึกลูกชนิดที่คนอื่นรู้คงหัวใจวายตาย ลูกอายุ ๔ ขวบแม่ทิ้งไว้ห่างบ้าน ๒ ไมล์ ให้หาทางกลับบ้านเอง แล้วทุกวันนี้เขาก็เป็นคนประเภทแข็งแกร่งสุดๆ เพราะคุณแม่ฝึกไว้ดี อายุ ๘ ขวบพาปีนยอดเขาที่ติดอันดับโลก จำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่จำได้ว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่เปิดกว้างมากๆ คนงานชอบทำงานด้วย เพราะแนวคิดของเขาก็คือ ถ้าคุณสามารถสร้างความเจริญให้บริษัทได้ คุณจะแหกคอกอย่างไรก็ทำไป

ไม่ห้ามลูกดื่มบรั่นดี แก้วใหญ่ๆ ไปเลยลูก เมาหัวทิ่มตื่นขึ้นมาปวดหัวแทบระเบิด นั่นแหละ..จำไว้ต่อไปอย่าดื่มเพราะจะเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ดื่มอีกเลย โดนเองแล้วเข็ด เป็นคุณแม่ที่แสบไส้จริงๆ พูดง่ายๆ ว่าญาติพี่น้องไม่มีใครอยากฝากลูกให้เลี้ยง กลัวตัวเองหัวใจวายตาย..!

กลัวสะพานแขวนใช่ไหม แม่พาไปเอง จูงเดินไปถึงกลางทาง ปล่อยให้เดินเอง แล้วแม่ก็ไปเลย พอเด็กเจออย่างนั้นเข้าก็ต้องหายกลัวไปโดยปริยาย เห็นผู้ใหญ่ไปได้ก็ต้องไป"


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ - หน้า 6 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 07, 2013, 07:56:18 PM
จะผิดศีลข้อ ๕ ต้องดื่มสุราจนเมาหรือไม่ ?

(http://variety.teenee.com/saladharm/img1/146744.jpg)

ถาม : ผมมีความเห็นไม่ตรงกับเจ้านายเรื่องการดื่มสุรา เจ้านายบอกว่าจะผิดศีลข้อ ๕ ต้องดื่มสุราจนเมา แต่ถ้าดื่มแค่สองแก้วแล้วยังครองสติได้ก็ไม่ผิด เจ้านายก็เลยชวนให้ดื่มบ้าง ผมขอเหตุผลดี ๆ ที่จะไปบอกเจ้านายว่าความจริงว่าเป็นอย่างไร ?

ตอบ : ไม่ต้อง...พระพุทธเจ้า ยังโปรดไม่ได้เลยคนประเภทนี้ เขื่อนที่มีรอยรั่วแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เขื่อนนั้นโดนแรงน้ำดันจนพังทลายได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องศีลเราจะไปคิดว่าละเมิดนิดหน่อยไม่เป็นไร ก็จัดเป็น มิจฉาทิฐิ แล้ว แถมยังปัญญามาก ลักษณะ ปทปรมะ นี่เสียเวลาไปแนะนำ ในเมื่ออย่างไรก็จะหาทางชั่วให้ได้ ก็ปล่อยไปตามทางของเขา

ถาม : ในชีวิตผมเห็นเพื่อนๆ หลายคนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่แบบพอดีๆ ไม่มากเกินไป มักจะมีร่างกายที่แข็งแรง เที่ยวกลางคืนได้ ตื่นเช้าได้ แต่ผมและเพื่อนอีกหลายคนงดเหล้าและบุหรี่ พยายามกินมังสวิรัติ สภาพร่างกายดูเหมือนจะเปราะบางกว่าและเจ็บป่วยบ่อย ผมคิดว่าคงเป็นกรรมเก่ามากกว่า แต่ก็อยากให้ท่านแนะนำเรื่องนี้ด้วยครับ ?

ตอบ : ลองทำอย่างเขาสิ จะได้ชั่วเหมือนเขาบ้าง..! อย่าลืมว่าในเรื่องของการปฏิบัติมักจะมีสิ่งมาขวางเสมอ เขาจะทำให้เราเข้าใจผิดจะได้เลิกปฏิบัติ ดังนั้นถ้าเราไปเชื่อเขา ก็แปลว่าเราเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวและเสียหายหลายล้านด้วย..!

จริงๆ แล้วอยู่ตรงกำลังใจ กำลังใจเขามุ่งมั่นว่าจะได้ไปเที่ยว ความบากบั่นพากเพียรจะมี แต่เป็นฉันทะในทางที่ผิด ขณะเดียวกันตัวเราเองมุ่งมั่นไม่พอที่จะทำความดี ก็เลยไม่สามารถจะทำได้เต็มที่อย่างที่ต้องการ


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๖

ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=3659 (http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=3659)


(http://variety.teenee.com/saladharm/img1/146745.gif)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 26, 2013, 08:39:22 AM
ความตาย...เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

(http://variety.teenee.com/saladharm/img6/147665.jpg)
ความตาย...เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ต้องเวียนเกิดเวียนตายตามบุญบาป
เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่แปรผัน

ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายสบายครัน
มีเท่านั้นใครหาพบจบกันเอยฯ


(มันมีเท่านี้เอง โดย ท่านพุทธทาส อินฺทปญฺโญ)



ขออนุโมทนา เจริญในธรรมครับ 


(http://variety.teenee.com/saladharm/img6/147666.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 11, 2013, 10:42:39 AM
กรรมที่ทำให้เกิดเป็นคนจน

(http://variety.teenee.com/saladharm/img8/148642.jpg)


บุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม
ย่อมไม่เป็นผู้ให้ข้าวน้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีป
แก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย
ทุคติวินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม
สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง
จะเป็นคนมีโภคะน้อย

ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะน้อยนี้ คือ
ไม่ให้ข้าวน้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้
ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ ฯ

จูฬกัมมวิภังคสูตร  (๑๓๕)


(http://variety.teenee.com/saladharm/img8/148643.gif)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 01, 2013, 10:40:52 AM
ระดับบารมีในเรื่องของการทำทาน


(http://variety.teenee.com/saladharm/img7/149871.jpg)

พระอาจารย์ กล่าวว่า "คนที่ชวนทำบุญแล้วไปทันที นั่นบารมีเขาเต็มแล้ว จะสังเกตว่าหลายวัดโฆษกต้องป่าวประกาศ ชักชวนคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า พวกนี้หากินที่ วัดท่าขนุน ไม่ได้หรอก วัดท่าขนุนไม่ต้องเสียเวลาประกาศ ถึงเวลาโยมเขาวิ่งมาทำเอง แต่นั่นเขาพูดอานิสงส์จนน้ำลายแห้ง กว่าโยมจะยอมควักกระเป๋าทำบุญ

เพราะฉะนั้น เรื่องของทาน ถ้าเป็นบารมีต้นอย่างหยาบ ตัดใจทำทานไม่ได้ บารมีต้นอย่างกลาง นี่เป็นประเภทคิดแล้วคิดอีก นับแล้วนับอีก บางทีล้วงออกมาแล้วยังยัดกลับเข้าไป ต้องเป็นสามัญบารมีอย่างละเอียด ถึงจะทำทานได้ แต่รักษาศีลไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของทานนี่เป็นบารมีต้น

บารมีต้นอย่างหยาบตัดใจทำทานไม่ได้หรอก ใจจะขาด แบบเดียวกับ พิราฬกเศรษฐี พิราฬกเศรษฐีจะทำบุญใช้ ๓ นิ้วหยิบ เขาเลยเรียก เศรษฐีตีนแมว เพราะถ้าหยิบเยอะกว่านี้จะขาดใจตาย ถ้าสามัญบารมีอย่างกลาง ก็ประเภททำบุญไปแล้วชักกลับครึ่งหนึ่ง ต้องสามัญบารมีอย่างละเอียดจึงสามารถทำทานได้เต็มกำลังใจตนเอง"


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

ที่มา : เก็บตกจากบ้า


(http://variety.teenee.com/saladharm/img7/149872.gif)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 01, 2013, 10:42:13 AM
กรรมที่ทำกับพ่อแม่ให้ผลทันตาจริงๆ

(http://variety.teenee.com/saladharm/img8/149779.jpg)


พระอาจารย์ กล่าวว่า "อย่าไปคิดมีตัวเล็กๆ นะ ลูกคนอื่นน่ารักทุกคน พอเราเลี้ยงเองอยากจะบีบคอให้ตายวันละ ๓ รอบ ...(หัวเราะ)...

เด็กๆ เขามาตามบุญตามกรรมที่เนื่องกันมา คนไหนที่อาละวาดกับพ่อแม่ไว้มากก็จะได้รับคืนไปหลายเท่า เรื่องกรรมที่ทำกับพ่อแม่นี่เห็นทันตาจริงๆ เห็นมาแทบทุกคน ตอนเด็กๆ ตัวเองแสบแค่ไหน ถึงเวลาตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่แล้วโดนแสบกว่านั้นอีก ถ้าใครรู้ตัวว่าสร้างวีรกรรมไว้มาก พยายามเลี่ยงห่างๆ อย่าไปมีลูกเชียว ได้คืนแน่นอน..!"


สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ - หน้า 5 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
 


(http://variety.teenee.com/saladharm/img8/149780.gif)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 15, 2013, 09:23:37 AM




(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/576607_10151527595895535_886887207_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 17, 2013, 12:38:01 PM


(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/941867_373566316081989_1868998678_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 17, 2013, 12:46:31 PM

พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาส วัดป่าสุคะโต ชัยภูมิ


" วิธีลดความโกรธเกลียดที่ฝังใจ "

ลองหามุมสงบ นั่งขัดสมาธิ ผ่อนคลายทั้งกายและใจ แล้วน้อมจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าและออกสักพักใหญ่ จากนั้นให้จินตนาการว่าคน ๆ นั้นได้มาหาเราและนั่งอยู่ข้างหน้าเรา เขาอยู่ใกล้จนเราสามารถเอื้อมมือไปสัมผัสได้ ในจินตนาการนั้นเราเห็นเขาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะใบหน้าของเขา

ขณะนั้นเรารู้สึกอย่างไร อึดอัดกระสับกระส่ายหรือไม่ กำลังคิดอะไรอยู่ สำรวจว่าหัวใจของเราเต้นเป็นปกติหรือไม่ ลมหายใจเข้าออกเป็นอย่างไร ทีนี้ขอให้มองใบหน้าของเขา จินตนาการว่าเรายิ้มให้เขา ทักทายเขา ไต่ถามทุกข์สุข พร้อมกับหาของมาต้อนรับเขา นึกต่อไปว่า เขายิ้มตอบ และยื่นของฝากมาให้เรา เป็นของที่เราโปรดปรานเสียด้วย เขาเองก็ไต่ถามทุกข์สุขของเราเช่นกัน



(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/599335_596016950418377_1852961434_n.jpg)

ลองยิ้มให้เขาอีกครั้ง สังเกตดูว่าตอนนี้เรายิ้มให้เขาได้ง่ายกว่าเดิมหรือไม่ หรือว่ายังฝืนยิ้มเหมือนครั้งแรก ความอึดอัดกระสับกระส่ายลดน้อยลงหรือไม่ และพูดกับเขาด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งกว่าเดิมไหม

จากนั้นให้สบตาเขา มองลึกเข้าไปจนสามารถเห็นถึงแง่ดีหรือความดีที่เขามี เช่นความดีที่เขาเคยกระทำต่อเรา หรือความดีที่เขามีต่อผู้อื่น ต่อพ่อแม่ ต่อลูกหลาน หรือมิตรสหาย เป็นความดีที่เราชื่นชมหรืออาจทำไม่ได้เหมือนเขาด้วยซ้ำ

ขั้นต่อมาให้นึกถึงความทุกข์ของเขาในอดีต เขาอาจเป็นคนสู้ชีวิตแบบปากกัดตีนถีบมาตลอด ขาดความรักจากพ่อแม่ งานการล้มเหลว หรือความทุกข์ในปัจจุบัน เช่น มีปัญหาครอบครัว ป่วยหนัก หรือเป็นหนี้สิน นึกไปถึงความทุกข์ที่กำลังรอเขาอยู่ข้างหน้าอันเนื่องจากพฤติกรรมบางอย่างของเขา เช่น เพื่อนฝูงตีจาก

นึกต่อไปอีกว่าเรากับเขาล้วนอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว อีกไม่นานก็ต้องตายจากกัน กลายเป็นเถ้าถ่านทั้งคู่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะโกรธกันไปทำไม นึกถึงวันที่เราทั้งคู่จะต้องจากโลกนี้ไป เราอยากจะโกรธกันไปถึงภพหน้าชาติหน้าหรือไม่


(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/972248_595886997098039_103812864_n.jpg)

กลับมาตามลมหายใจและน้อมจิตอยู่ในความสงบสักพัก จากนั้นให้จินตนาการจนเห็นภาพอย่างชัดเจนว่า เราค่อย ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสไหล่หรือแขนของเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม และแล้วเราก็โผเข้าไปกอดเขาไว้ กอดแน่น ๆ เขาเองก็กอดเราเช่นกัน

สำรวจความรู้สึกของเราตอนนี้เป็นอย่างไร เรากอดอย่างเกร็ง ๆ หรือว่าขัดขืนที่จะเข้าไปสัมผัสตัวเขา

จากนั้นก็นึกต่อไปว่าเขาขอตัวกลับ เราลุกไปส่งเขาที่ประตู และมองเขาจนลับสายตา


(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/548928_595874543765951_382279877_n.jpg)

วิธีนี้ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะดีกับเราอย่างที่จินตนาการ แต่ประโยชน์ที่ได้ก็คือช่วยลดความโกรธเกลียดในใจเรา และช่วยให้ภาพของเขาในใจเรานั้นคลายพิษสงลง และสร้างความทุกข์แก่เราน้อยลง อย่าลืมว่าไม่ใช่ตัวเขาเท่านั้นที่ทำให้เราทุกข์ หากแต่ใจที่รู้สึกโกรธเกลียดเขาก็ทำให้เราทุกข์ด้วย เพราะนึกถึงเขาเมื่อไร ก็รุ่มร้อนเมื่อนั้น ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเขาอยู่ไกลจากเราหลายพันโยชน์ ยิ่งเห็นเขาเป็นปีศาจหรือยักษ์มารเท่าไร เรานั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายทุกข์เอง ดังนั้นถ้าไม่อยากทุกข์มากไปกว่านี้ ก็ควรเพลาความโกรธเกลียดลง หรือถอนปีศาจหรือยักษ์มารออกไปจากใจของเรา

การลดความโกรธเกลียดด้วยวิธีจินตนาการดังกล่าว ไม่ใช่การหลอกตัวเอง หากแต่เป็นการพยายามมองเขาให้ครบทุกด้านตามความเป็นจริง เขาเป็นปีศาจหรือยักษ์มารในสายตาของเราก็เพราะเรามองเห็นแต่ส่วนไม่ดีของเขา แม้นั่นจะเป็นความจริง แต่เขาก็มีส่วนอื่น ๆ ที่เป็นความจริงซึ่งเราควรรับรู้ด้วย เช่น ความดี ความทุกข์ และความเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ และตาย การมองแต่ความไม่ดีของเขาเป็นการมองที่ไม่ครบถ้วน ดังนั้นจึงทำให้เกิดอคติได้ง่าย ในทางตรงข้ามหากเรามองเขาครบทุกด้าน เราจะมองเขาเป็นมนุษย์มากขึ้น จนสามารถรักเขาได้

พระไพศาล วิสาโล
https://www.facebook.com/visalo (https://www.facebook.com/visalo)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 17, 2013, 12:47:32 PM

(http://sphotos-a.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn2/971622_373188516119769_1230516823_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 17, 2013, 12:50:44 PM

(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-frc1/374267_523470141022520_68097914_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2013, 09:48:18 AM


(http://sphotos-e.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/264419_374844899287464_2054302960_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 24, 2013, 10:37:23 AM
พระไพศาล วิสาโล

(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/935425_508213909234397_432490933_n.jpg)

ปุจฉา - หนูมีความสงสัยค่ะ หนูเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดูตั้งแต่เด็กๆ

หนูอยู่กับญาติๆ ที่โตมามีอนาคตดีๆ แบบนี้ก็เพราะบุญคุณญาติที่ท่วมหัวหนูอยู่นี้

หนูจึงไม่มีความรักให้พ่อแม่เลยค่ะ แต่ตอนนี้แม่ของหนูป่วย

หนูจึงดูแลท่านตามกำลังของหนูที่ทำได้ แต่ที่หนูทำนี้ก็เพราะสงสารที่ท่านไม่มีใครดูแล

และคิดเสมอว่ายังไงท่านก็คือแม่ แต่ความรู้สึกบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมแม่ไม่เลี้ยงดูเรา

ที่เรามีวันนี้ไม่ใช่เพราะแม่ เพราะบุญคุณคนอื่นทั้งนั้น

เป็นแม่ก็ควรเลี้ยงลูก แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าท่านคงมีเหตุผลของท่านที่เลี้ยงดูเราไม่ได้

ถึงยังไงหนูก็ยังรู้สึกว่าหนูมีอคติต่อท่านในเรื่องนี้ จนบางครั้งเผลอตะคอกใส่ท่าน

ใช้คำพูดไม่ดีต่อท่าน จนตอนนี้หนูสับสนว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่

มันจะเป็นการสร้างบาปมากกว่าการทดแทนบุญคุณค่ะ

ทำไมแม่ไม่เลี้ยงลูกแล้วแม่ไม่บาปบ้าง

ลูกต้องการแม่เหมือนกันตอนเด็กๆเห็นคนอื่นมีแม่ มีพ่อพร้อมหน้าแต่เราไม่มี


พระไพศาล วิสาโล - การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นับเป็นโชคอันประเสริฐอย่างยิ่ง

เพียงแค่นี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่คุณจะสำนึกในบุญคุณของพ่อแม่

เพราะถ้าไม่มีท่านหรือถ้าท่านไม่ดูแลคุณให้ดีตั้งแต่อยู่ในท้องตลอด ๙ เดือน

คุณคงไม่มีโอกาสมาเกิดมาเป็นผู้คนอย่างทุกวันนี้

ดังนั้นเมื่อท่านเจ็บป่วยก็ควรดูแลท่าน ยิ่งท่านไม่มีใครอื่นอีก

การดูแลเอาใจใส่ของคุณยิ่งมีความสำคัญต่อท่านเป็นทวีคูณ

การที่ท่านไม่ได้ดูแลคุณตั้งแต่เล็ก ท่านอาจมีเหตุผลหรือข้อจำกัดของท่าน

แต่ถึงแม้ท่านจะมีเหตุผลที่ไม่สมควรในสายตาของคุณ

คุณก็ไม่ควรกระทำต่อท่านในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าใครจะทำไม่ดีกับคุณ

นั่นเป็นเรื่องของเขา และไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะทำไม่ดีกับเขาเป็นการตอบแทน

อย่าลืมว่าหากเราทำไม่ดีกับใครก็ตาม บาปหรือวิบากนั้นก็ย่อมตกอยู่แก่เราในที่สุด

มองในอีกแง่หนึ่ง หากคุณมีลูก คุณก็อยากให้ลูกดูแลคุณในยามเจ็บป่วย

แต่คุณจะคาดหวังให้ลูกดูแลคุณในยามลำบากได้อย่างไร

หากคุณไม่ดูแลแม่ในยามที่ท่านลำบาก การที่คุณดูแลท่านขณะนี้นับว่าดีแล้ว

ขอให้ดูแลอย่างดีทั้งด้วยกาย วาจา และใจ จริงอยู่การดูแลคนป่วยไม่ใช่เรื่องง่าย

แต่ก็ขอให้อดทน และพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรามาก ๆ

ถ้าเหนื่อยก็พักบ้าง พลาดพลั้งอะไรไป ก็ให้อภัยตัวเองบ้าง แล้วกลับมาตั้งใจทำให้ดีขึ้น


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 24, 2013, 10:49:49 AM
สุขด้วยปัญญา พระไพศาล วิสาโล

(http://sphotos-h.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/384905_336175233069218_329685049_n.jpg)

ผู้มีปัญญากับผู้ไม่มีปัญญาแตกต่างกันตรงไหน ข้อหนึ่งที่สำคัญก็คือ
ผู้มีปัญญานั้นย่อมหาความสุขได้แม้ประสบทุกข์ ส่วนผู้ไม่มีปัญญามัวแต่เป็นทุกข์ทั้ง ๆ ที่พบสุข
เมื่อความเจ็บป่วย ความสูญเสีย หรือความล้มเหลว เกิดขึ้นกับผู้มีปัญญา เขาไม่เอาแต่บ่นหรือตีโพยตีพาย
แต่ยอมรับว่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่ากับใครก็ตาม
ดังนั้นจึงหันมาใคร่ครวญว่าจะแก้ไขหรือจัดการกับมันอย่างไร หากแก้ไขไม่ได้ ก็ยอมรับความจริง
และมองไปข้างหน้า ไม่มัวเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอันเป็นอดีตไปแล้ว
เพราะรู้ดีว่าความเสียใจนั้นเป็นการซ้ำเติมตัวเอง ป่วยกายก็พอแล้ว ทำไมต้องป่วยใจด้วย
เสียทรัพย์ก็พอแล้วจะเสียใจไปอีกทำไม หาไม่อาจทำให้เสียสุขภาพและเสียงานเสียการตามมา
เท่านั้นไม่พอ อาจเสียสัมพันธภาพอีกด้วย
เพราะเผลอระบายอารมณ์ใส่คนใกล้ชิด เช่น ลูกหรือคู่รัก
ผู้มีปัญญานั้นนอกจากจะไม่ปล่อยให้ใจเป็นลบแล้ว ยังรู้จักมองหาข้อดีหรือประโยชน์จากเหตุร้ายที่เกิดขึ้น เช่น
ได้เห็นสัจธรรมว่าสังขารนั้นไม่เที่ยงเลย พบกับพราก เจอกับจากเป็นของคู่กัน
ไม่มีอะไรที่เป็นของเราอย่างแท้จริง มันแค่มาอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น
ถ้ายึดติดถือมั่นว่าเป็นของเราเมื่อใด ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น
ความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตยังเตือนใจให้ไม่ประมาทและฝึกใจให้เข้มแข็ง
ทำให้มีภูมิต้านทานต่อความทุกข์และอดทนต่อความผันผวนปรวนแปรในชีวิตได้มากขึ้น


(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/405482_336175629735845_354166435_n.jpg)

ความทุกข์นั้นไม่ได้มีแต่ด้านลบ แต่ยังมีด้านบวกที่ปัญญาเท่านั้นช่วยให้มองเห็น
หลายคนพบว่าความเจ็บป่วยทำให้เขาได้สัมผัสกับความรักอย่างลึกซึ้งของพ่อแม่
หรือรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่รักและห่วงใยเขา
ขณะที่จำนวนไม่น้อยขอบคุณโรคร้ายที่ช่วยให้เขาได้พบธรรมะและความสงบเย็นในจิตใจ
ส่วนคนที่ล้มละลายก็ได้เห็นน้ำใจของมิตรแท้และรู้ว่าทรัพย์สินเงินทองหาใช่สรณะที่แท้ไม่
ใช่แต่เท่านั้นเขายังมองเห็นว่า ถึงจะเจอเรื่องร้ายเพียงใด ก็ยังดีที่มันไม่ร้ายไปกว่านี้
การมองด้านบวกยังหมายถึง การมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่ยังมีอยู่กับตัว ไม่มัวใส่ใจกับสิ่งที่เสียไปหรือสิ่งแย่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น
แทนที่จะอาลัยแขนขาที่พิการหรือตาที่มืดบอด ก็หันมาชื่นชมอวัยวะต่าง ๆ อีกมายที่ยังดีอยู่
และใช้อย่างเต็มศักยภาพจนทดแทนสิ่งที่เสียไป ดังนั้นจึงพบกับความสุขได้ไม่ยาก
ทำนองเดียวกันแทนที่จะคะนึงถึงทรัพย์ที่เสียไป
ก็หันมาตระหนักว่าตนเองยังมีทรัพย์อีกมากมายที่สามารถให้ความสุขแก่ตนได้
ใช่แต่เท่านั้นสุขภาพก็ยังดีอยู่ อีกทั้งมีพ่อแม่และคนรักอยู่ใกล้ตัว
ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งทรงคุณค่าที่เงินซื้อไม่ได้ด้วยเหตุนี้ทั้ง ๆ
ที่ประสบทุกข์ ผู้มีปัญญาก็ยังสามารถมองเห็นและเก็บเกี่ยวความสุขที่มีอยู่รอบตัว
อีกทั้งยังสามารถสัมผัสความสุขจากภายในอันเกิดจากใจที่ปล่อยวางและยอมรับ
สิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมดา รวมทั้งความสงบเย็นจากสมาธิภาวนา
ในทางตรงกันข้ามผู้ไม่มีปัญญาแม้มีทุกอย่างในชีวิต แต่ก็ยังทุกข์เพราะรู้สึกว่ามีน้อยไป
ทั้ง ๆ ที่มีสุขภาพดี หน้าตาสะสวย ทรวดทรงงดงาม ก็ยังกลุ้มใจเพราะมองเห็นแต่ข้อตำหนิ เช่น
มีสิว ผิวคล้ำ น้ำหนักเกิน ได้โบนัสนับล้านก็ยังไม่พอใจเพราะเห็นเพื่อนได้มากกว่า
มีบ้านที่งดงาม กว้างขวาง อยู่สบาย ก็ยังไม่มีความสุขเพราะเห็นเพื่อนอยู่คฤหาสน์
ถึงจะได้โชคลาภมา ก็ยังเสียใจเพราะคิดว่าน่าจะได้มากกว่านั้น


(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-frc3/377965_336176093069132_729848402_n.jpg)

ผู้ไม่มีปัญญานั้นหากไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เสียไป ก็มัวแต่ชะเง้อมองสิ่งที่ยังไม่มี
หวังว่าจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้มันมาครอบครอง เขาคิดถึงแต่ความสุขที่รออยู่ข้างหน้า
จนลืมไปว่าความสุขนั้นมีอยู่กับเขาแล้ว เป็นความสุขที่สัมผัสได้ในปัจจุบัน
จะเรียกว่าเป็นความสุขที่อยู่ปลายจมูกก็ได้ แต่มันอยู่ใกล้มากจนมองไม่เห็น
หาไม่ก็เป็นเพราะมันอยู่กับเขานานจนกลายเป็นสิ่งจำเจ ไม่มีค่า หรือเป็น “ของตาย”
หารู้ไม่ว่ามันเป็นของชั่วคราว สักวันหนึ่งก็ต้องสูญสลายหายไป
ต่อเมื่อวันนั้นมาถึง เขาจึงจะเห็นคุณค่าของมัน แต่ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว
แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่สรุปบทเรียน มัวแต่เศร้าเสียใจที่สูญเสียมันไป
จนลืมใส่ใจกับสิ่งดี ๆ อีกมากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้
ผู้ไม่มีปัญญานั้นจะเห็นคุณค่าของสิ่งใดก็ต่อเมื่อ
๑) มันยังไม่เป็นของเขา
๒) เขาสูญเสียมันไปแล้ว
แต่ผู้มีปัญญานั้นเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นขณะที่มันยังอยู่กับเขา
เพราะเขาให้ความสำคัญกับปัจจุบันมากกว่าอนาคตหรืออดีต
ดังนั้นเขาจึงมีความสุขทุกขณะ โดยไม่หวังความสุขจากอนาคต หรือหวนหาความสุขในอดีต


(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc7/400410_336176223069119_1603194225_n.jpg)

ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ แต่ใจก็ไม่ตกต่ำย่ำแย่
เพราะนอกจากไม่ยอมให้ความทุกข์ฉาบย้อมครอบงำใจแล้ว
ยังสามารถมองเห็นความสุขทุกขณะด้วยประการฉะนี้


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 31, 2013, 12:18:39 PM
พระไพศาล วิสาโล


(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/181211_660216680672319_1217006797_n.jpg)


การดำเนินชีวิตไม่ต่างจากการเดินทาง บางครั้งก็ต้องเจอทั้งแดดและฝน
หากหนีไม่พ้นหรือไม่มีอะไรบัง การเดินสู้อดดสู้ฝนด้วยใจสงบ
หรือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมดีกว่าการเดินไปบ่นไป
จะว่าไปแล้วแดดหรือฝนทำความทุกข์ให้เราน้อยกว่าใจที่หงุดหงิดหรือก่นด่าฟ้าดินเสียอีก
ในเมื่อไหนๆ ร่างกายก็ต้องร้อนหรือเปียกอยู่แล้ว จะไปเพิ่มความทุกข์ให้จิตใจทำไม
ชีวิตที่มีความสุขจึงไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากทุกข์ แต่คือชีวิตที่รู้จักเกี่ยวข้องกับความทุกข์อย่างถูกต้อง

- พระไพศาล วิสาโล




หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 08, 2013, 06:02:14 PM
หลวงปู่ชา สุภัทโท

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/936586_546640452048923_548941325_n.jpg)

อย่าเสียใจ-อย่าใจเสีย

"..จะเสียอะไร ก็ให้เสียไป อย่าให้เสียใจ หรือ อย่าให้ใจเสียคนที่ใจเสีย หรือเสียใจ ก็คือคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือ.."

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 08, 2013, 06:05:25 PM


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/971691_179765522187807_1568489007_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 08, 2013, 06:08:43 PM
ท่านพ่อลี ธัมมธโร (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/954679_179108602253499_652551176_n.jpg)

" สุขโลกีย์ มันก็ดีแต่ใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ เท่านั้น
เหมือนข้าวสุกที่เราตักใส่จานใหม่ๆ ยังร้อนๆ ควันขึ้น
ก็น่ารับประทาน แต่พอตักไว้นานจนเย็นชืดก็กินไม่อร่อย
ยิ่งทิ้งไว้จนแข็งเป็นข้าวเย็น ก็ยิ่งกลืนไม่ลง
พอข้ามวันก็เหม็นบูด ต้องเททิ้ง กินไม่ได้เลย "

ท่านพ่อลี ธัมมธโร (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์)
วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 08, 2013, 06:13:37 PM
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/970353_542339049145730_1134583846_n.jpg)

ใจคือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือคนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักพันร้อยพันชาติ ก็คือ ผู้เกิดพลาดอยู่นั่นเอง

หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 08, 2013, 06:16:12 PM
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/401123_541711449208490_2114817732_n.jpg)

"..การทำผิด เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
ถ้าค้นพบความผิด แล้วแก้ไข
และ ตั้งใจไม่ทำอีก เป็นซ้ำสอง
น่ายกย่องนับถือ ยิ่งนัก.."

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 16, 2013, 08:43:41 PM



(http://i459.photobucket.com/albums/qq312/alisa_321/shoes/4_3.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 23, 2013, 05:56:40 PM



การทำบุญ ต้องทำเหมือนเป็นยางลบ ไม่ใช่ปากกาหรือดินสอ
ต้องลบกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว
ลดความยึดมั่นว่า ตัวกู-ของกู

-พุทธทาสภิกขุ
จากหนังสือ "ทำบุญสามแบบ" พ.ศ.๒๕๑๐


(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/p320x320/1013424_477259085682634_623322027_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 23, 2013, 05:58:10 PM


(http://sphotos-g.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/1003653_387166331388654_2027373807_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 23, 2013, 05:58:52 PM


(http://sphotos-f.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash4/1000812_387166268055327_1917354895_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 07, 2013, 07:57:32 PM

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

คนเรา ถ้าสามารถเรียกร้องอะไรได้จากชีวิต เพียงแค่ขอให้กินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบาย เท่านี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว

พูดอย่างนี้ หลายคนคงต่อว่าในใจว่า..."อะไรกัน ขอเพียงเท่านี้เองเหรอ...
" ถ้าขออะไรได้ ใครต่อใครคงขอให้ร่ำรวย เจริญด้วยยศศักดิ์ อำนาจและชื่อเสียง
ได้เป็นดาราที่เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆไม่หยุดหย่อน หรือไม่ก็เป็นรัฐมนตรีมีระดับที่สูงทั้งไอคิวและไอเดีย
อย่างน้อยๆก็ขอให้มีแฟนสวย เจ้าบ่าวหล่อ อะไรทำนองนั้น(และที่ลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาดก็คือขอให้ค่าเงินบาทและราคาหุ้นพุ่งกระฉูด)

การกินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบายดูเหมือนจะเป็นสิ่งพื้น ๆ ประเภทหญ้าปากคอก ไม่มีค่าไม่มีราคา
จะใช้หากินหรือเอาไปอวดใครก็ไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตก็กินง่ายถ่ายคล่องอยู่แล้ว จะไปน่าสนใจอะไร

แต่ของที่เป็นหญ้าปากคอกนี่แหละ สำคัญนักแล ลองกลั้นลมหายใจสักนาทีดู
ก็จะรู้ว่าอากาศนั้นมีความหมายเพียงใดต่อชีวิต ถึงจะเป็นเซียนหุ้นฝีมือล้ำเลิศเพียงใด
ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ย่อมประจักษ์แก่ใจว่า ถ้าคืนไหนสามารถหลับได้เต็มตา ก็นับว่าโชคดีทีเดียว

แม้ในยามเงินตราไหลสะพัด ก็ใช่ว่าการนอนหลับสนิทจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ
คนเป็นอันมาก ทำงานตักตวงเงินจนเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่พบว่าสิ่งหนึ่งที่สูญเสียไปคือ
ความสามารถที่จะนอนหลับสนิท ตอนเป็นเด็ก การหลับนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่พอโตขึ้น ของง่ายก็กลับเป็นเรื่องยากไป

การนอน การกิน การถ่าย ไม่มีราคาค่างวดอะไรก็จริง แต่ก็เพราะไม่มีราคาค่างวดนี่แหละ
ถึงได้เป็นปัญหาสำหรับคนยุคนี้นักธุรกิจถึงจะมีเงินร้อยล้านพันล้าน ก็ไม่สามารถเอาเงินซื้อสภาวะกินง่ายถ่ายคล่อง นอนสบายได้
ทุกวันนี้ปัญหาพื้นๆแบบนี้ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับเจ้าของเบนซ์คันหรูเท่านั้น แม้กระทั่งเจ้าอีแตีกอีต๋อยก็เจอ
"โรคสมัยใหม่"แบบนี้มากขึ้นทุกที

น่าแปลกไหมที่มนุษย์แม้จะส่งคนไปโลกพระจันทร์ แปลงเพศ เปลี่ยนยีนได้ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะโรคนอนไม่หลับได้เลย..
.ยานอนหลับที่วางขายกันเกลื่อนนั้น แก้ปัญหาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
และที่จริงก็เพียงแต่ทำให้หลับ (ที่จริงต้องเรียกว่า "หมดสติ")
แต่หาทำให้สบายไม่ ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกงัวเงีย สมองตื้อ ยังไม่ต้องพูดถึงผลข้างเคียงที่ติดตามมา
แม้กระนั้น ยานอนหลับก็ยังติดอันดับขายดีทั่วประเทศ(และทั่วโลก)

ที่จริงไม่ใช่แต่ยานอนหลับเท่านั้น ยาถ่ายก็ขายดีเช่นเดียวกัน คนสมัยนี้มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายทั้งนั้น
แต่ครั้นจะพึ่งยาถ่ายทุกวี่ทุกวัน สุขภาพก็มีแต่จะแย่ลง สมัยนี้ใครที่ไม่มีปัญหาการถ่าย นับได้ว่ามีโชคอันประเสริฐ
เพราะไม่เพียงแต่จะปลอดจากโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลลำไส้ใหญ่เท่านั้น
หากยังมีหวังแคล้วคลาดจากโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วย

เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าการหลับง่ายถ่ายคล่องนั้นซื้อหาไม่ได้และไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ
จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น
หมั่นออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ก็ช่วยได้มาก

แต่การกินง่ายนี่สิ ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ใช่ว่ามีลิ้นแล้วจะกินอะไรเป็นอร่อยไปหมดก็หาไม่
การกินของง่าย ๆ พื้น ๆ แล้วยังรู้สึกอร่อยนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตใจค่อนข้างมาก
ลำพังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้นเห็นจะไม่พอ แม้จะเปลี่ยนมากินผักมาก
ๆ ก็ยังอยากปรุงแต่งให้อร่อย มีสีสันรูปลักษณ์น่ากิน แล้วก็ต้องเปลี่ยนเมนูบ่อย ๆ
ด้วย เพราะขืนกินสูตรเดียวกันทุกวี่ทุกวันก็แย่เหมือนกัน

ทั้ง ๆ ที่การกินง่ายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น่าสังเกตว่า เวลาไปถามรัฐมนตรีหรือนักธุรกิจพันล้านมักจะได้คำตอบตรงกันว่า
ชอบกินราดหน้าบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดบ้าง ดูใคร ๆ ก็ชอบแสดงตัวว่าชอบกินอะไรง่าย ๆ
แต่เวลาประชุมพรรค หรือเลี้ยงฉลองกัน เป็นไฉนจึงชอบจัดตามโรงแรมดัง และสั่งอาหารหรูเริ่ดทุกครั้งไปก็ไม่รู้

การกินง่าย ๆ ให้อร่อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ลิ้นมากเท่ากับที่ใจ
ถ้าใจไปให้คุณค่ากับอาหารราคาแพงคิดว่าอาหารอร่อยต้องกินตามโรงแรม
หรือกินเพราะต้องการแสดงความโก้เก๋อวดบารมีเสียแล้ว กินผีดผัก แกงจืดจะไปมีรสชาติอะไร
แม้แต่กล้วยแขกก็ไม่คู่ควรกับลิ้นของตัวเท่ากับเค้กช็อกโกแลต

จะรู้จักรสชาติอาหารพื้น ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อถอดหัวโขน เปลื้องเหรียญตรา และปีนลงมาจากหอคอยงาช้าง
แต่จะดีกว่านี้ ถ้าหากปรับใจให้ตระหนักว่า ความอร่อยของอาหารนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามันกระตุ้นลิ้นได้มากเพียงใด
อาหารที่มีรสจัดจ้าน ไม่ว่าหวาน เปรี้ยว เผ็ด ชนิดออกนอกหน้าโจ่งแจ้ง ไม่ใช่อาหารอร่อยเสมอไปรสชาติเรียบ ๆ
ก็เป็นเสน่ห์ของอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมยังเป็นเสน่ห์ที่มีคุณค่ากว่ารสจัดจ้าน
เพราะไม่เพียงแต่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น หากยังมีผลกล่อมเกลาจิตใจให้สงบด้วย
ความสงบนี่แหละช่วยให้บังเกิดความสุขความรื่นรมย์ในขณะกินอาหาร
โดยไม่ต้องมีเสียงเพลงจากนักร้องมาช่วยกล่อมเลยอย่าลืมว่า
ความสุขไม่ได้เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจเท่านั้น ความสงบก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขด้วยเช่นกัน
ทั้งยังเป็นสุขที่ประณีตและประเสริฐกว่าเสียด้วย

คงเห็นแล้วว่า การรู้จักกินง่าย ๆ จะว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกก็ได้
(เด็กที่ไหน ๆ กินกล้วยแขกก็รู้สึกอร่อย ตราบใดที่ยังไม่ถูกอิทธิพลโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ครอบงำ)
จะว่าไม่ใช่หญ้าปากคอกก็ได้ เพราะต้องอาศัยคุณภาพจิตระดับหนึ่งด้วย
ว่าไปแล้ว แม้แต่การนอนง่ายถ่ายคล่องก็เกี่ยวข้องกับจิตใจเช่นกัน ถ้าหงุดหงิดคิดมาก
ท้องก็ผูกเป็นเรื่องธรรมดา หากเจ็บช้ำน้ำใจ อึดอัดขัดเคืองใคร ก็พลอยทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน
ถึงหลับได้ก็ฝันฟุ้งจนเหนื่อย ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่านอนไม่พอ ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน

ถ้าอยากนอนง่ายถ่ายคล่องจริง ๆ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางให้เป็นด้วย
นั่นหมายความว่าต้องฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ คิดเป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่คิดแบบ "เรี่ยราด" คนที่ปล่อยใจคิดไปเรื่อย ๆ
สุดแท้แต่อารมณ์ความรู้สึกจะพาไป ง่ายที่จะเป็นคนครุ่นคิดติดยึดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยในสำนักงานมาเป็นอารมณ์ติดค้า
ง แม้กระทั่งเวลากลับมาบ้าน
บางเรื่องแม้จะดูเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน ไม่รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
มันก็จะเข้ามาครอบงำเรา กลายเป็นใหญ่เหนือเรา คราวนี้ถึงอยากจะวาง มันก็ไม่ยอมให้เราวาง
มีแต่จะบังคับให้จิตของเรา ครุ่นคิดปรุงแต่งไปตามที่มันกำหนดทั้งวี่ทั้งวัน
กระทั่งเวลานอนก็นอนไม่ได้ เพราะสลัดมันไปไม่สำเร็จ ปลิงที่ว่าเหนียวหนึบ ยังสู้ความครุ่นคิดกังวลใจไม่ได้

ลองฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ ถึงเวลากินใจก็อยู่กับการกิน ถึงเวลาล้างจานใจก็อยู่กับการล้างจาน
ถึงเวลาคุยใจก็อยู่กับการคุย ไม่พึงปล่อยใจไปกับเรื่องอื่น
คนสมัยนี้มักเข้าใจไปว่าการคิดไปด้วยกินไปด้วยเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเวลาหายากเท่าไหร่
ก็ยิ่งต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนเก่ง ล้ำหน้าคนอื่น
หารู้ไม่ว่านั่นคือการบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง นอกจากจะทำให้จิตไม่มีสมาธิกับงานใด ๆ
แม้แต่งานเดียวแล้วยังทำให้ขาดสติคิดเรี่ยราดหรือฟุ้งซ่านได้ง่าย กลายเป็นคนเจ้ากังวล จมกับความเครียด
ใครที่กินอาหารด้วยจิตแบบนี้ ก็เตรียมยารักษาโรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือยาแก้ท้องผูกไว้ได้เลย
มิหนำซ้ำ ถึงจะกินอาหารฮ่องเต้วิเ
ศษปานใด ก็ไม่มีวันรู้สึกอร่อยไปได้
ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจผ่องใส โปร่งโล่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น แม้จะเป็นข้าวแกงธรรมดา

การกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ
อย่างที่เข้าใจถ้าอยากจะมั่งมีศรีสุขก็อย่าลืมตั้งจิตคิดถึงเรื่องนี้ด้วย
อย่าสนใจเพียงแค่ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ส่วนคนที่มุ่งดับทุกข์ดับกิเลส
ก็อย่าเพิ่งดูแคลนการกินง่ายถ่ายคล่องว่าเป็นเรื่องโลกย์ ๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากการฝึกฝนจิตใจหรือการปฏิบัติธรรมเลยทีเดียว
ถึงที่สุดแล้ว การกินง่ายถ่ายคล่อง หลับสบายนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวธรรมที่สำคัญประการหนึ่งทีเดียว
จางจื๊อ ปราชญ์จีนโบราณได้พูดถึงผู้บรรลุธรรมขั้นสูงว่า ...

มนุษย์ที่แท้ในสมัยโบราณนั้น...
นอนโดยไม่ฝัน
ตื่นโดยไม่วิตก
กินอาหารง่าย ๆ
หายใจลึก ๆ

คนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธรรมไม่ใช่คนที่เหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวได้
หากแต่(เป็นคนที่)มีชีวิตอยู่อย่างสามัญ
เป็นความสามัญที่ไม่ธรรมดาเลย

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้เงินทองจะร่อยหรอ ข้าวของจะแพง แต่ถ้าหากยังกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบาย ก็ควรพึงพอใจได้แล้ว

เพราะฉะนั้นวันนี้ เห็นจะไม่มีอะไรเหมาะสมเท่ากับคำอวยพรว่า... ขอให้ทุกท่าน กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายทุกวันวาร เทอญ.


(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn2/q71/s720x720/7991_689200884440565_2047402869_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 07, 2013, 08:15:54 PM


shared ปิยสีโลภิกขุ - พระภูวดล ปิยสีโล's photo.



ความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา
แต่เมื่อต้องอยู่ร่วมกัน
เราสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่อย่างทุกข์ทรมาน
หรือจะอยู่ร่วมกันโดยสันติ

ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า
ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งนั้นทุกข์ใจมาก
เพราะเกิดความรังเกียจมะเร็ง
แต่เมื่อต้องอยู่กับมะเร็งนานเข้า เธอก็เปลี่ยนความคิด
เห็นว่ามะเร็งกลายเป็นเพื่อนของเธอ
เพราะถ้าเธออยู่ มะเร็งก็ยังอยู่
แต่ถ้าเธอตาย มะเร็งก็ต้องตายไปด้วย
เมื่อคิดได้อย่างนี้ เธออยู่ร่วมกับมะเร็งด้วยความสบายใจมากขึ้น

ทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บป่วยนั้น
ไม่ได้เกิดที่กายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดกับใจด้วย
ถ้าฝึกใจให้นิ่งแล้วมองเข้าไปให้ลึก
จะพบว่าเรามีความโกรธเกลียด ไม่พอใจ แฝงเร้นอยู่
ความโกรธเกลียดนี้เป็นแรงผลักดัน
ทำให้เราอยากขจัดความทุกข์นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และความอยากนี้เองที่ทำให้ทุกข์ซับซ้อนขึ้นไปอีก
กลายเป็นความทรมานทางใจที่ไม่สิ้นสุด

พระพุทธองค์ทรงสอนว่าทุกข์มีไว้เพื่อศึกษาหรือกำหนดรู้
ไม่ได้มีไว้ให้เรากำจัด
เมื่อเราทำผิดหน้าที่ ไม่ตรงตามคำสอน
ทุกข์จึงไม่หาย และกลับยิ่งทวีขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ถ้าเรายอมรับทุกข์ สร้างความพอใจที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ
เราก็จะมีโอกาสศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องทุกข์
จนกระทั่งรู้ชัดว่า ต้นตอของทุกข์นั้นมาจากไหน
และรู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับต้นตออันนั้น

การจัดการกับต้นตอของทุกข์อย่างถูกต้องนั่นเอง
เป็นเหตุให้ทุกข์ดับไป

ดังนั้น เมื่อต้องอยู่ร่วมกับความเจ็บป่วย
เราจึงต้องพยายามวางจิตใจให้เป็นกุศล
ยอมรับว่าตราบใดที่ยังมีร่างกายนี้อยู่
เราจะต้องอยู่กับความเจ็บไปสักระยะ

ถ้าเราสามารถเฝ้ามองจิตใจของตนในขณะเจ็บป่วยทางกาย
แล้วพยายามปล่อยวางความร้อนรนในใจ
ที่เกิดจากความไม่พอใจ ความรังเกียจ และความอยากจะให้หายไว ๆ
เราจะพบว่าความทุกข์นั้นก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

ถึงกายจะปวดอย่างแสนสาหัส
เราก็ไม่ทุกข์ทรมานอย่างสาหัสตามไปด้วย
เพราะเรามีวิธีประคองใจให้อยู่ในกุศล
นึกคิดในเรื่องดีงามที่เคยกระทำ
เจริญเมตตา ส่งความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย
และหาอุบายสอนใจตัวเองไม่ให้เกิดความอยากในสิ่งที่ยังเป็นไปไม่ได้

ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเรายอมให้ทุกข์สอนเราถึงสัจธรรมของชีวิต
เรากลับจะหาประโยชน์ได้จากทุกข์
ยามที่ความเจ็บป่วยทางกายคลายลงไป
การเฝ้ามองกระบวนการทำงานของจิตใจในขณะที่เกิดทุกข์
ย่อมทำให้ความเจ็บป่วยทางใจของเราได้รับการเยียวยาไปด้วย

แล้วเราก็จะมีความเข้มแข็งทางใจ
สามารถรับมือกับทุกข์ครั้งต่อไปได้
โดยรู้สึกทรมานน้อยลงเรื่อย ๆ

Credit ภาพและจัดหน้า ปิยสีโลภิกขุ


(http://sphotos-h.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/1044432_346526462143445_178695207_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 09, 2013, 08:13:04 PM


(http://sphotos-d.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/993324_309646452504802_1657595775_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 09, 2013, 08:13:46 PM

(http://sphotos-h.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/946247_310063169129797_1224991160_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 09, 2013, 08:15:02 PM


(http://sphotos-c.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-frc1/995426_309439635858817_1185891026_n.jpg)

"ธรรมะก่อนนอน"... (นิทานร้อยวัน เรื่องที่12)
... ควายขี้เรื้อน กับเกวียนวิเศษ....

เจ้าเด็กน้อย ตื่นได้แล้ว ดูที่หน้าต่างซิ ควายขี้เรื้อนตัวใหญ่มันถูกขังอยู่น่ะ...
อ้าวใครจับมันขังล่ะ..เด็กน้อยถาม! อ๋อ..มันเดินเข้าวัดโน้นที เข้าวัดนั้นที
เอาขี้เรื้อนขี้ราไปติดพระ ฟังนะ..ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง

มีเศรษฐีใจบุญมองเห็นควาย เป็นเทวดา เพราะเจ้าควายไปหาสีมาทา เอาทองมาแต้ม
เศรษฐีใจบุญก็เพียรนำของดีๆมาให้เจ้าควายขี้กลาก
แถมหาเกวียนวิเศษราคาแพงมาให้ด้วย”เช้าวันหนึ่ง “ เจ้าควายขี้กลาก
เห็นพระเดินบิณฑบาตร ด้วยตัวเองอยากเอาใจพระ
จึงยกเกวียนให้พระนำไปนั่ง บอกพระว่า นั่งเกวียนซิท่าน..! เดินทำไมเมื่อยเปล่าๆ
เราเอาเกวียนมาถวาย เรามีเกวียนวิเศษเยอะ พระบางรูปก็รับเกวียน
บางรูปก็เดินหนีส่วนพระที่นั่งเกวียนหรูก็ติดขี้กลากขี้ราควาย..กันไปหมด

เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าพระองค์ จะตรัสรู้
ท่านได้สละซึ่งสมบัติ รวมถึง ละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง กว่าจะตรัสรู้ได้
และเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ยังทรงเดินด้วยเท้าเปล่ากว่าสิบวัน
ทรงเหน็ดเหนื่อยเพื่อจะเผยแผ่ธรรมะ มีน้ำบนใบพระศรีมหาโพธิ์เป็นเพื่อน
ทรงบําเพ็ญทุกรกิริยา เพียงมิใช่เพื่อพระองค์เอง
แต่เพื่อเหล่ามนุษย์ให้ได้ละถึง ซึ่งกิเลสทั้งปวง
เจ้าพิจารณาดูเองนะเจ้าเด็กน้อย พระสงฆ์ที่ดีมีอยู่เป็นจำนวนมาก
ส่วนขี้กลาก ขี้ราควาย ค่อยๆรักษาเดี๋ยวมันก็หมดไปเองนั่นแหละ คืนนี้ฝันดีนะขอรับ

^_______^
BY : เด็กวัด


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 14, 2013, 12:08:57 PM

(http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-prn1/p320x320/66719_10151742193240535_973259844_n.png)


ขอเชิญฟังธรรมประจำวันอาทิตย์
หัวข้อ "ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้"
รำลึก ๒๐ ปีละสังขารท่านพุทธทาส
วันที่ ๘ ก.ค. ๒๕๓๖

ความโดยย่อ

ความเจ็บไข้นี้พึงเห็นว่าเป็นของธรรมดา ที่จะต้องมีมาแก่สังขารทั้งหลาย
เพราะสังขารทั้งหลายจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งทางขึ้นและทางลง
ความเจ็บไข้นี้มีมาสำหรับจะตักเตือน ไม่ได้มาสำหรับให้เป็นทุกข์หรือเสียใจ
จะเป็นทุกข์หรือเสียใจก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะสังขารต้องเป็นอย่างนี้เอง

ความเจ็บไข้มาเพื่อตักเตือน หรือสั่งสอนให้ฉลาด
มาบอกให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวสำหรับการดับไม่เหลือแห่งความทุกข์ความดับ
ไม่เหลือเป็นความดับของสังขาร
อย่าให้มีเชื้อเหลือมาเกิดอีกต่อไป
ถึงแม้ว่าร่างกายยังไม่ทันจะแตกดับ จิตใจมันก็สมัครจะแตกดับ
เรียกตรง ๆ ว่า เราสมัครที่จะไม่มี "ตัวกู" กันเสียแต่เดี๋ยวนี้

เราจะมีการปลงใจลงไปในทุกสิ่งทุกอย่างว่า หมดเรื่องกันทีสำหรับสังขารนี้ สิ้นเรื่องกันที
ไม่มีความคิดว่าตัวกู ของกู เหลืออยู่อีกต่อไป ถ้าขืนเวียนว่านอยู่ในวัฏสงสารแล้ว
ก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

สังขารมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ถ้าเราไปยึดถือเอามาว่าสังขารเป็น "ของเรา"
ความเจ็บไข้มันก็กลายเป็นของเราไปด้วย
เราก็รู้สึกเป็นทุกข์ เสียใจ น้อยใจ ถ้ามาตั้งใจกันเสียใหม่ให้เด็ดขาดลงไปด้วยสติปัญญา
หรือด้วยกำลังจิตอันเข้มแข็งว่า

เรื่องของสังขารก็เป็นเรื่องของสังขารเถิดอย่ามาเป็นเรื่องของเราเลย

เรื่องของสังขารคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ อนัตตา
แต่เรื่องที่เราปรารถนาเป็นเรื่องหยุด ดับ สงบ เย็น พระนิพพาน
จิตจะต้องมองให้เห็นเช่นนี้เสียก่อน จึงจะไม่ถือเอาเรื่องของสังขารมาเป็นเรื่องของเรา
ให้สังขารเจ็บไข้หรือสลายไปตามธรรมดาเถิด
จิตจะไม่ถือความเจ็บไข้ ความตาย มาเป็นของเรา

พุทธทาสภิกขุ


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 15, 2013, 10:49:12 AM
การทำสมาธิ ทำอย่างไร โดย พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ


(http://www.dhammajak.net/board/files/__12_198.jpg)


โดย พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ
สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา จ.นครราชสีมา
,
จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของ “การทำสมาธิ”  เริ่มจากการรักษาจุดยืนที่ถูกต้องเสียก่อน ถ้าเราไม่รู้ว่าเป้าหมายที่เราต้องการไปให้ถึงนั้นคืออะไร ทำไมเราต้องไปให้ถึงมันให้ได้ และเราจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้อย่างไร ความพยายามของเราก็คงไม่ส่งผลอะไรมากนัก ถ้าเราลงมือทำอะไรโดยไม่ใช้สติปัญญา ความล้มเหลวย่อมเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างแน่นอน

ดังนั้น ตั้งแต่แรกเริ่ม เราจะต้องมีความพยายามที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เราจะต้องมีจุดยืนที่เหมาะสม และเราต้องมองให้ออกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมายได้นั้นคืออะไร  มันก็ไม่ต่างอะไรกับการขับรถจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่ง ถ้าเราเดินทางไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะรู้ว่าจะต้องไปทางไหนอย่างไร และถ้าเราหลงลืมอยู่เรื่อยว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ไหน เราก็อาจจะพบว่าตัวเองกำลังหลงทาง หรือแย่ไปกว่านั้นเราอาจจะกำลังวิ่งวนไปมาเป็นวงกลมอยู่รอบเมือง

เริ่มแรก เราจะต้องเต็มใจที่จะทบทวนความเชื่อพื้นฐานที่ว่า เราคือร่างกายของเรา และเราคือความคิดของเราเสียก่อน ปัญหาเรื่องร่างกายนั้นไม่ได้ยากอะไรนัก แต่ปัญหาเรื่องความคิดจิตใจนี่สิที่ท้าทายยิ่งกว่า เราถูกทำให้เชื่อว่าคือคนที่เราคิดว่าเราเป็น ถ้าคุณพร้อมที่จะเถียงว่าความเชื่อที่ฝังรากลึกนี้ไม่จริง คุณก็สามารถมองเห็นถึงอันตรายจากการที่คุณเอาตัวเข้าไปพัวพันอยู่กับความคิดในรูปแบบต่างๆ ที่เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป ประสบการณ์ชีวิตของเราได้ชักนำให้เราสงสัยอยู่แล้วว่าความคิดเป็นสิ่งหลอกลวง เราเคยเห็นมาแล้วว่ามันมักจะส่งผลให้เรามีทัศนคติที่ไม่ดี และการตัดสินใจที่โหดร้าย ความทรงจำมากมายหลายเรื่องที่เรานึกไม่ออก แต่ก็จำได้ไม่ถูกต้องนัก แผนต่างๆ ที่เราวางเอาไว้ก็ไม่เคยเป็นไปอย่างที่คิด จิตสามารถก่อกำเนิดความทุกข์ทรมานในชีวิตของเราได้อย่างมากมาย เป็นเพราะตลอดมาเราเอาความคิดมาเป็นตัวกำหนดตัวตนของเรา และเพราะว่าเรายอมรับภาพต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมองของเราร่วมกับการมีอัตตา จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องพิจารณาและประเมินข้อสมมติฐานนี้อีกครั้งหนึ่งว่า นี่คือวิธีทางที่ใช่แล้วหรือ

แหล่งที่มา : dhammathai


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 15, 2013, 11:18:52 AM
อย่าอาศัยแต่ผู้อื่น


(http://www.luangta.us/images/photo_1334563019/1335672860.jpg)

หลังจังหัน

น้ำท่วมทางภาคกลางก็ดูหมดปัญหาไปแล้วนะ (ครับ เขาจัดตามที่หลวงตาสั่ง) คือให้จัดตามนั้นเลย จำเป็นมากน้อยเพียงไรทุ่มเลย เราบอกอย่างนั้น เอาศรีไทยใหม่ซึ่งเป็นคนจริงจัง เฉลียวฉลาดด้วย เป็นเจ้าของโรงสีให้เป็นผู้ไปประสานงานทางนั้น มีความจำเป็นมากน้อยเพียงไรจัดตามนั้นเลย ควรทุ่มก็ทุ่มเลย เราจะเป็นคนจ่ายเองหมด จ่ายเรียบร้อยดูเหมือน ๔ ล้านกว่า

ความจำเป็นไม่โดนใครเข้าก็ดูดีหนา ลองมาโดนเราเข้าซิเป็นยังไง ไม่หวังความช่วยเหลือจากผู้อื่นจะหวังที่ไหนน่ะ นั่น เวลาจำเป็นก็ต้องช่วยกันคนเรา เราตายใจเพราะมอบให้ศรีไทยใหม่ เจ้าของโรงสี อ.บ้านผือ เป็นผู้ไปประสานงาน ให้จัดการตามนั้นเลย มีความจำเป็นมากน้อย เอาๆ ๆ เลย ช่วยเท่าไรๆ ช่วยตามความจำเป็น บอกมาที่นี่เท่าไรเราจ่ายให้ทันทีเลย นี่ก็ดูว่า ๔ ล้านกว่า ไม่มากนัก น้ำท่วม

แต่เครื่องมือตาคิดดูซิ เครื่องมือตานี้แหม แพงมาก อันนี้ที่ว่าเราเอามือเขียนตีนลบเราก็ยอมรับนะ คำว่ามือเขียนตีนลบ คือเราเป็นผู้ประกาศเสียเองเพื่อสร้างเนื้อหนังแห่งชาติไทยของเราขึ้น ให้เป็นตัวของตัวๆ อย่าอาศัยแต่ผู้อื่นๆ แล้ววิ่งตามหลังเขาๆ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเลยใช้ไม่ได้เราว่างั้น ถ้าอันใดที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็อาศัยเขาไปก่อน อาศัยเพื่อจะเป็นการศึกษาฟิตตัวไปในนั้นๆ ไม่ใช่อาศัยเขาตลอดวันตาย อ่อนเปียก ใช้ไม่ได้ นี่เราสอน อะไรที่ควรอาศัยเขาเสียก่อนอาศัย แต่อาศัยเพื่อจะผลิตสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาด้วยวิชาของตนที่ไปอาศัยเขาแล้วมาทำ จนกลายเป็นเนื้อเป็นหนังของคนไทยเราขึ้นมา หลักวิชาเป็นของคนไทยแล้วไปไหนไม่จน ถ้าวิชาอาศัยเขากินนี้จนตลอด เราก็ว่าอย่างนี้ละ

ทีนี้มันก็มาโดนเอาตา เลยกลายเป็นมือเขียนตีนลบจะทำยังไง ถ้าจะเอาเครื่องมือตาภายในประเทศของเรานี้มันก็ไม่ได้อย่างใจ ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้เหมือนเครื่องมือที่มาจากเมืองนอก สมบูรณ์แบบๆ ทันกาลทันสมัยทุกอย่าง สมใจ ตกลงที่ว่าให้สร้างเนื้อหนังของตัวเองก็เลยเป็นเอาตีนลบแล้วที่นี่ ต้องสั่งจากเมืองนอกแหละตา แน่ะเห็นไหมล่ะ เราเป็นคนสั่งเอง คือตาเป็นของสำคัญ เครื่องมือไม่ดีก็ไม่ได้ เราก็มุ่งเพื่อตานี้ แล้วเอาเครื่องมือจากเมืองนอกมาเลยกลายเป็นมือเขียนตีนลบไป นี่เราก็ยอมรับว่าเราผิดพลาด ผิดส่วนหนึ่งแต่ก็ถูกส่วนหนึ่ง แบ่งรับแบ่งสู้กันอยู่อย่างนี้

เรียกว่าทุกอย่างเราอยากให้ผลิตในชาติไทยของเรา อะไรที่เป็นไปได้อยู่ไม่อยากให้ไปยุ่งกับสิ่งภายนอก ไม่อย่างนั้นจะเป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองไม่ได้ อาศัยเขาจนกระทั่งวันตาย เดินด้อมๆ ตามหลังเขาไม่มีศักดิ์ศรีดีงามอะไรเลย เพื่อจะให้ฟิตตัวเองให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองนี้ ก็เลยมาโดนเอาเครื่องมือๆ ตา เอาเครื่องมือของเขามาทันกับเหตุการณ์ๆ แล้วคนก็คนไทยของเราจะว่าไง ก็เสริมอยากให้มันดี จะเอาของชุ่ยๆ มาได้ยังไง แน่ะ เลยเอาตีนลบ เป็นอย่างนั้นแหละ

ธรรมที่เราสอนทุกเช้าๆ นี้ออกทางวิทยุนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดอ่านไตร่ตรองเรื่องศาสนธรรม คือธรรมภายในใจจากพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสดาองค์เอกประทานธรรมให้พวกเรา ขอให้นำไปพินิจพิจารณาตามอรรถตามธรรมเราจะมีหลักมีเกณฑ์ การประพฤติเนื้อประพฤติตัว การเสาะแสวงหา การอยู่การกินการใช้สอยจะรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ มีหลักมีเกณฑ์ เรื่องของธรรมเป็นอย่างนั้น ธรรมไม่ได้สั่งสอนใครให้ลืมตัว ผู้มีธรรมย่อมไม่ลืมตัว เป็นเศรษฐีเงินกองเท่าภูเขาก็ไม่ลืมตัว คนผู้ไม่ลืมตัวนี้แลเป็นคนที่หาได้ยากมากที่สุด ธรรมท่านสอน

อย่างพระพุทธเจ้าเห็นไหม คนไม่ลืมตัว ประพฤติตัวเป็นธรรมทั้งแท่ง เป็นศาสดาทั้งองค์มาสอนโลกเห็นไหมล่ะ ไม่ใช่อยากได้อะไรหยิบได้ฉวยเอาๆ มาแบบชุ่ยๆ นี่แสดงว่าไม่มีหลักเกณฑ์ในความเป็นอยู่เคลื่อนไหวไปมา การเสาะแสวงหาการใช้การสอยไม่มีหลักมีเกณฑ์ใช้ไม่ได้นะ เดี๋ยวติดหนี้เขาๆ เลยเป็นนิสัยสันดานติดหนี้เขา ไม่ได้ติดปวดหัว เห็นไหมล่ะ ลงได้เป็นนิสัยแล้วไม่ได้ติดหนี้เขาปวดหัว อย่าให้เป็นอย่างนั้นนะคนไทยเรา เป็นเมืองมีอรรถมีธรรม ควรจะเอาธรรมเข้ามาพิจารณา

ท่านก็บอกไว้แล้วในธรรมะ แต่เราลืมภาษาบาลีเสีย อะไร อิณาทานํ ทุกฺขํ โลเก การติดหนี้ติดสินนี้เป็นทุกข์มากที่สุดในโลก นั่นท่านว่า การไม่ติดหนี้ติดสินเป็นความสุขในโลกในการครองชีพของฆราวาส นั่นฟังซิ นี่ธรรมพระพุทธเจ้าสอน แม้แต่เวลาที่จะบวชก็มีเหมือนกัน เวลาจะมาบวชท่านไม่ให้มีหนี้มีสิน ติดหนี้ติดสินพะรุงพะรังแล้วมาบวช ถาม อนโณสิ๊ ท่านไม่มีหนี้มีสินเหรอ บอก ไม่มี ไม่ติดหนี้ ถ้าติดหนี้บวชไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ

พระพุทธเจ้าถือเป็นสำคัญมากการติดหนี้ติดสิน พี่น้องชาวไทยเราไม่จำเป็นไม่ควรที่จะไปติดอย่าไปติดสุ่มสี่สุ่มห้ามันเป็นนิสัยสันดาน การหาอยู่หากินไม่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ หยิบได้ฉวยไป สุกเอาเผากินใช้ไม่ได้นะ ต้องมีหลักมีเกณฑ์ มันจำเป็นจริงๆ ที่ควรจะกู้ยืมเขา เอ้า กู้ยืม เจ้าของก็แน่ใจในเจ้าของว่าจำเป็นแล้วเวลานี้ เอ้า หาคนอื่นมาช่วยเสียก่อนแล้วค่อยพยายามหามาให้เขา ทุกข์อันนี้ เอ้า ยอมรับ แต่จะพยายามไม่ให้เป็นหนี้เขาอย่างนี้อีก นั่น ต้องใช้ความพยายามพินิจพิจารณา เข็ดหลาบอยู่ตลอด นี่จนเป็นนิสัยสันดานไม่ดี นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าท่านสอน เพื่อจะให้เป็นอิสระของตนเอง คนมีคนจนให้ต่างคนต่างเป็นอิสระ อย่าติดหนี้ติดสินพะรุงพะรัง ชีวิตจิตใจเกาะอยู่กับหนี้กับสิน ไม่เป็นตัวของตัวไม่เป็นเนื้อเป็นหนัง ทุกข์จนกระทั่งวันตายคนเช่นนั้น หาความสุขไม่ได้นะ

ต้องให้มีเนื้อมีหนังติดตัวมีหลักมีเกณฑ์ เราเป็นลูกชาวพุทธ ยิ่งเข้ามาในวัดป่าบ้านตาดนี้แล้วเราสอนจริงจังมาก ไม่ให้คลาดเคลื่อนจากหลักธรรมหลักวินัยเลย การประพฤติของพระของเณรเหมือนกัน เคลื่อนคลาดอย่างน้อยเตือน ถ้ายังพอเตือน เตือนเสียก่อน ถ้าผิดพลาดด้วยความไม่มีหิริโอตตัปปะเป็นความดื้อด้านไล่ออกทันที นี่มันจะสร้างกรรมใหญ่ทำลายทั้งวัดเลย เป็นเนื้อร้ายในวัดนั้นเอาออกไม่ให้อยู่ นั่น ควรแนะนำตักเตือนสั่งสอนกันได้ก็สอนกันไป ด้วยผู้ผิดนั้นไม่มีเจตนา ก็สอนกันไป ถ้าลงว่าไม่มีหิริโอตตัปปะแล้วทำได้ทุกอย่าง เป็น อลัชชิตา หาความละอายบาปไม่ได้ เอาละวันนี้เพียงเท่านั้นละ ก็เทศน์พอสมควรแล้ว นี่ก็ออกทางวิทยุเหมือนกัน เพื่อให้พี่น้องชาวไทยเรามีหลักมีเกณฑ์ในความเป็นอยู่ปูวาย อย่าให้เป็นชีวิตเลื่อนลอย ไม่ดี มีเท่าไรใช้มันอย่างนั้น

(หลวงตาเมตตาให้เครื่องมือตาและอื่นๆ แก่โรงพยาบาลจังหวัดเลยรวม ๙ รายการเป็นเงิน ๑๒,๗๐๐,๐๐๐ บาทค่ะ) ฟังซิ ๑๒ ล้าน ๗ แสน อย่างนี้ละหว่านทั่วประเทศ เงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมาไม่ได้เข้านี่นะ ไม่เข้าเลย บอกว่าไม่เข้าเลย ที่เราจะเอาไปซื้อนั้นซื้อนี้ไม่เห็นมี มีแต่ออกตลอดเวลาอย่างนี้ สมชื่อว่าเงินวัดนี้เป็นเงินเพื่อโลกอย่างที่เขาเขียน ก็เป็นอย่างนั้นตลอดมานี่ เราไม่เคยเก็บ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดทีแรกก็ช่วยอย่างนั้นมาตลอดไม่เคยเก็บนะเงินวัดนี้ คนทุกข์คนจน โรงร่ำโรงเรียน ก้าวเข้าสู่โรงพยาบาลเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตั้งแต่สร้างวัดมาทีแรกช่วยมาอย่างนั้นละ เอาละพอใจ



หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 18, 2013, 10:38:34 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/1045118_313119702157477_558235884_n.jpg)


26 พุทธศตวรรษ
“ธรรมะกับหลวงตา”

เช้าวันนี้ก่อนที่หลวงตาจะออกไปบิณฑบาตพอดีเห็นใบไม้ร่วงอยู่เต็มลานวัด

ท่านจึงบอกเจ้าเด็กวัดให้ไปกวาดลานวัด เพื่อญาติโยมเวลามาทำบุญเห็นลานวัดสะอาดสะอ้านจะได้สบายอก สบายใจ

พอหลวงตาบิณฑบาตกลับมาก็พบว่าที่ลานวัดยังไม่ได้กวาด หลวงตาจึงเรียกเจ้าเด็กวัดมาถามว่า

หลวงตา : นี่..เจ้าเด็กวัด หลวงตาบอกให้เองช่วยกวาดใบไม้ที่ลานวัด ทำไมเองไม่ยอมกวาดล่ะ
เด็กวัด : จะกวาดไปทำไมล่ะขอรับหลวงตา กวาดแล้ว เดี๋ยวใบไม้มันก็ร่วงอีก
หลวงตาได้ฟังเจ้าเด็กวัดเถียงก็ไม่ว่าอะไร หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่พระทุกรูปฉันอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ก็ถึงเวลาของศิษย์วัดที่จะได้รับประทานอาหารกันบ้าง บรรดาศิษย์วัดทั้งหลายรวมทั้งเจ้าเด็กวัด

ต่างช่วยกันยกสำรับกับข้าว มาตั้งที่กลางโรงฉัน ในขณะที่ทุกคนกำลังจะลงมือรับประทานอาหารอยู่นั่นเอง

ก็ได้ยินเสียงหลวงตาพูดดัง ๆ ขึ้นมาว่า

หลวงตา : เฮ้ยๆ ทุกคนกินข้าวกันได้ ยกเว้นเจ้าเด็กวัดคนเดียวไม่ต้องกิน
เด็กวัด: อ้าว ! ..หลวงตา ถ้าไม่ให้ผมกิน ผมก็หิวแย่สิขอรับ
หลวงตา: เอ็งจะกินไปทำไมวะ กินแล้วเดี๋ยวตอนเที่ยงเอ็งก็หิวอีก
เด็กวัด: ?!?!

^_______^
BY : เด็กวัด


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 09:08:11 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p320x320/1070074_565470266832608_1156750431_n.jpg)


"..เงินวัดนี้เพื่อโลก
ใครจะมาสร้างอะไร ..เราไม่เอา
สร้างไปหาประโยชน์อะไร
สร้างหัวใจสิ !
ที่ประเสริฐเลิศโลก อยู่ตรงนี้.."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 09:20:51 AM
ปั้นข้าวเหนียว

สิ่งที่ได้มาเปล่า
คือความเฒ่าชรา
สิ่งที่ต้องแสวงหา
คือคุณค่าของชีวิต



(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/p320x320/1004063_602357716452874_1697504360_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 09:21:13 AM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/581807_10151412127595877_440230704_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 09:21:41 AM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/316162_10151412128110877_184806820_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 19, 2013, 09:22:24 AM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/1069809_10151475983655841_1119273778_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 25, 2013, 08:00:42 AM

หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives
ทบทวนการให้ทานของเรา การทำบุญของเราเป็นระยะ ๆ

โดยเอาความหลุดพ้นเป็นเครื่องวัด เครื่องตัดสินว่าเราทำบุญแล้ว

ความตระหนี่เราน้อยลงไหม ความยึดติดในวัตถุน้อยลงไหม



ถ้ารู้สึกว่าน้อยลง และความรู้สึกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเป็นห่วง ความหวังดีต่อคนรอบข้าง ต่อสังคมเพิ่มมากขึ้น

หลุดพ้นจากความหมกมุ่นแต่ในเรื่องของตน ผลประโยชน์ของตน แสดงว่าการให้ทานของเราได้หลักแล้ว ถูกต้องแล้ว

ชยสาโรภิกขุ



(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p320x320/944545_10151763958735535_1416121178_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 29, 2013, 03:15:00 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/970444_489352851151057_220945417_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 30, 2013, 01:43:58 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1000502_489410807811928_847769690_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 30, 2013, 01:44:40 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/994863_660327727328244_599065751_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 02, 2013, 06:29:00 PM


http://www.bodhiyalai.org/index.php?option=com_content&view=section&id=16&Itemid=62 (http://www.bodhiyalai.org/index.php?option=com_content&view=section&id=16&Itemid=62)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 06, 2013, 09:39:59 AM




(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash2/598962_586469821363984_1650351624_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 06, 2013, 09:40:25 AM


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/1098073_655547864456179_317618868_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 06, 2013, 09:41:16 AM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/563880_654863324524633_1777105805_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 06, 2013, 09:44:51 AM


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/44617_654655401212092_1399388988_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 14, 2013, 11:56:09 AM
ร่วมดาวน์โหลดและส่งต่อ
E-Book "วิธีใช้หนี้พ่อแม่และหน้าที่ของเด็ก"
โดย หลวงพ่อจรัญ
http://www.ebooks.in.th/ebook/2834/ (http://www.ebooks.in.th/ebook/2834/)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1098328_510672375684265_906356975_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 14, 2013, 12:01:38 PM

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

(http://www.santidham.com/abotpic/Simg/pusim.jpg)

ใจหยุด ใจอยู่ ใจรู้ภายใน ไม่ใช่รู้ภายนอก
เมื่อใจสงบแล้ว อะไรๆ ก็สงบหมด
เมื่อใจสบายแล้ว อะไรๆ ก็สบายหมด
“ใจเสีย” อะไรๆ ก็เสียหมด
“ใจดี” อะไรๆ ก็ดีหมด
[มรดกธรรม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร]...

จากหนังสือ "ทุกข์... ไม่ต้องบ่น อดทนเอา"
ดาวน์โหลดได้ที่นี่ http://www.ebooks.in.th/ebook/4669/ (http://www.ebooks.in.th/ebook/4669/)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 14, 2013, 12:21:57 PM

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร


(http://www.santidham.com/abotpic/All_Jrward/pusimCL.png)
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๒ – ๒๕๓๕ รวมอายุ ๘๒ ปี ๙ เดือน ๑๙ วัน พรรษา ๖๓

(http://www.santidham.com/abotpic/Simg/121.jpg)

ธรรมโอวาท จาก พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์ และ ธรรมลิขิต



ธรรมโอวาท จาก พระธรรมเทศนา พุทธาจารานุสรณ์ และ ธรรมลิขิต

คำว่า จิต ได้แก่ ดวงจิต ดวงใจผู้รู้อยู่ ผู้เห็นอยู่ ผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ เราฟังเสียง ได้ยินเสียง ใครเป็นผู้รู้อยู่ในตัวในใจ นั่นแหละมันอยู่ตรงนี้ ให้รวมให้สงบเข้ามาอยู่ตรงนี้ ตรงจิตใจผู้รู้อยู่

ตาเห็นรูป ก็จิตดวงนี้เป็นผู้เห็น ดีใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียใจก็จิตดวงนี้หลงไป เสียงผ่านเข้ามาทางโสต ทางหูก็จิตดวงเก่านี่แหละ กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็จิตดวงนี้เป็นผู้หลง เมื่อจิตใจดวงนี้เป็นผู้หลงผู้เมาไม่เข้าเรื่อง เราก็มาแก้ไขภาวนาทำใจให้สงบ ไม่ให้หันเหไปกับอารมณ์ใดๆ เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ในตัว ในใจ ในสัตว์ ในบุคคลนี้ว่า มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็แตกดับไปเป็นธรรมดาอย่างนี้

การปฏิบัติบูชา ภาวนานี้ เป็นการปฏิบัติภายใน เป็นการเจริญภายใน พุทโธภายใน ให้ใจอยู่ภายใน ไม่ให้จิตใจไปอยู่ภายนอก

 การภาวนา ไม่ใช่เป็นของหนัก เหมือนแบกไม้หามเสา เป็นของเบาที่สุด นึกภาวนาบทใดข้อใด ก็ให้เข้าถึงจิตถึงใจ จนจิตใจผ่องใสสะอาดตั้งมั่นเที่ยงตรงคงที่อยู่ ภายในจิตใจของตน ใจก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ยืนไปมาที่ไหนก็สบายทั้งนั้น ในตัวคนเรานี้ เมื่อจิตใจสบาย กายก็พลอยสบายไปด้วย อะไรๆ ทุกอย่างมันก็สบายไป มันแล้วแต่จิตใจ

ทำอย่างไรใจจะสงบระงับ มีอุบายอะไร ก็อุบายไม่ขึ้เกียจไงละ ให้มีความเพียร จะสู้กับกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในใจได้ ไปสู้ที่ไหน ก็สู้ด้วยความเพียร สู้ด้วยความตั้งใจมั่น เราตั้งใจลงไปแล้วให้มันมั่นคง อย่าไปถอย

เพียรพยายามฝึกตนเองอยู่เสมอ บนแผ่นดินนี้ผู้มีความเพียร ผู้ไม่ท้อแท้อ่อนแอในดวงใจ ไม่ว่าจะทำอะไร ย่อมสำเร็จได้ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นแล้วเราต้องตั้งความเพียรลงไป ภาวนาลงไป เมื่อมันยังไม่ตายจะไปถอยความเพียรก่อนไม่ได้

สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหูก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้ มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้ มันเป็นเรื่องของโลก ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันเป็นความร้อน ความร้อน คือกิเลส กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน

เราได้คลานภาวนาจนเข่าแตกเลือดออกมีไหม ไม่มี มีแต่นอนห่มผ้าให้มัน ตลอดคืน มันจะได้สำเร็จมรรคผลอะไร ก็ได้แต่กรรมฐานขี้ไก่ กรรมฐานขี้หมู ไม่ลุกขึ้นภาวนาเหมือนพระแต่ก่อน พระแต่ก่อนท่านเดินไม่ได้ท่านก็คลานเอา

พุทโธในใจ หลงใหลทำไม ไม่ต้องหลง ไม่ต้องลืม นั่งก็พุทโธในใจ นอนก็พุทโธในใจ ยืนก็พุทโธในใจ เดินไปไหนมาไหน ก็พุทโธในใจ กิเลสโลเลละให้หมด โลเลทางตา โลเลทางหู โลเลทางจมูก ทางกลิ่น โลเลในอาหารการกิน เลิกละให้หมด

ไม่ต้องไปรอท่าว่า เมื่อถึงวันตายข้าพเจ้าจะภาวนาพุทโธเอาให้ได้ อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องทำไว้ก่อน เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ตั้งแต่บัดนี้ เดี๋ยวนี้เวลานี้เป็นต้นไป

 ความตายนี้ไม่มีใครหลบหลีกได้ ท่านให้นึกให้น้อมให้ได้ว่า ทุกลมหายใจเข้าไปก็เตือนใจของตนให้นึกว่า นี่ถ้าลมหายใจนี้เข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ เกิดติดขัดคนเราก็ตายได้ แม้ลมหายใจออกไปแล้ว เกิดอะไรขัดขึ้นมาสูดลมหายใจเข้า มาไม่ได้คนเราก็ตายได้

เราทุกคนดวงใจที่มีชีวิตอยู่ ณ ภายในนี้ ก็อย่าพากันนิ่งนอนใจ อยู่ที่ไหน กายกับใจอยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละเป็นที่ปฏิบัติบูชาภาวนา อยู่บ้านก็ภาวนาได้ อยู่ วัดก็ภาวนาได้ บวชไม่บวชก็ภาวนาได้ทั้งนั้น

 ตั้งจิตดวงนี้ให้เต็ม ในขั้นสมถกรรมฐาน พร้อมกับวิปัสสนา กรรมฐาน ให้แจ่มแจ้งในดวงใจทุกคนเท่านั้น ก็พอ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมาทุกคน ก็ไม่ได้มีอะไรติดมา ครั้งเมื่อเราทุกคนตายไปแล้วแม้สตางค์แดงเดียวก็เอาไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จงพากันนั่งสมาธิภาวนาให้เต็มที่จนกิเลสโลภะอันมันนอนเนื่องอยู่ใน จิตนี้ให้หมดเสียวันนี้ๆ ถ้ากิเลสความโลภนี้ยังไม่หมดจากจิต ก็ยังไม่หยุดยั้งภาวนาจน วันตายโน้น

การภาวนาละกิเลสให้หมดไปจริงๆ นั้น ต้องปฏิบัติดังนี้ เมื่อกำหนดรูปร่างกายของเรา บริกรรมกำหนดลมหายใจจนจิตตั้งมั่นดีแล้ว ต้องกำหนดรูปร่างของเราเอง นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ไปตลอดหมดในร่างกายนี้ ให้เห็นตามความเป็นจริง ที่มันตั้งอยู่และมันเสื่อมไป ด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยมีทวารทั้ง ๙ เป็นสถานที่ไหลออกไหลเข้าซึ่งของไม่งาม

อันความตายนั้น จงระลึกดูให้รู้แจ้งด้วยสติปัญญาของตนเอง ยกจิตใจตั้งให้มั่นอย่าได้หวั่นไหว เจ็บจะเจ็บไปถึงไหนก็แค่ตาย อยู่ดีสบาย อยู่ไปถึงไหนก็แค่ตาย แก่ชราแล้วไม่ตายไม่ได้ เมื่อมาถึงบุคคลผู้ใดจะให้ผู้อื่นช่วยไม่ได้ ต้องภาวนาให้พ้นจากความตาย ความตายนั้นมีทางพ้นไปได้ อยู่ที่การละกิเลส ล้างกิเลสในใจให้หมดสิ้น

วันคืนเดือนปี หมดไป สิ้นไป แต่อย่าเข้าใจว่าวันคืนนั้นหมดไป วันคืนไม่หมด ชีวิตของแต่ละบุคคลหมดไปสิ้นไป มันหมดไปทุก ลมหายใจเข้าออก ฉะนั้น ภาวนาดูว่า วันคืนล่วงไป เราทำอะไรอยู่ ทำบุญหรือทำบาป เราละกิเลสได้หรือยัง เราภาวนาใจสงบหรือยัง

ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์อยู่ที่ใจยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นในชาติตระกูล ในตัว ในตน ในสัตว์ในบุคคล ความยึดอันนี้แหละที่ยึด ไม่ให้มีทุกข์ให้มีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับว่าเราจะไม่ให้แก่ ก็แก่เรื่อยไป ต้องรู้ว่าแก่เพราะอะไร ก็เพราะว่าจิตมายึดถือ เมื่อจิตมายึดมาถือ จิตจึงมาเกาะอยู่ มาเกิด มาแก่ชรา เจ็บไข้ได้พยาธิ ผลที่สุดก็ถึงซึ่งความตาย

บทภาวนาบทใดก็ดีทั้งนั้น ถ้าภาวนาได้ทุกลมหายใจ ก็เป็นอุบายธรรมอันดีทั้งนั้น ความตั้งมั่นในสมาธิภาวนาของจิตใจคนเรานั้น ย่อมมีเวลาเจริญขึ้น มีเสื่อมลงเป็นธรรมดา ถ้าเรามารู้เท่าทันว่า การรวมจิตใจเข้าเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เป็นความสงบสุขเยือกเย็น อย่างแท้จริง ก็ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าได้มีความท้อถอย เมื่อใจไม่ท้อถอยแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เราท้อแท้อ่อนแอได้ เพราะคนเรามีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจทั้งสิ้น

ความเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้ จะเอาที่ไหนไม่มี ผู้ปฏิบัติจงรู้เท่าทัน รู้เท่านั้นแล้วก็ปล่อยว่าง อย่าเข้าไปยึดไปถือ อย่าไปยึดว่าตัวกูของกู ตัวข้าของข้า ตัวเราของเรา เราเป็นนั้นเป็นนี้ ตัวเราของเราไม่มี มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มีแต่หลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งโลก

ให้ทานข้าวของ วัตถุภายนอกก็เป็นบุญ แต่ยังไม่ลึกซึ้ง ให้ทำบุญภายในใจ ให้เป็นบุญอยู่เสมอ ภาวนาพุทโธ นึกน้อมเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอยู่ภายใน นี่แหละ บุญภายใน

อวิชชา แปลว่าไม่รู้ ไม่รู้ต้น ไม่รู้ปลาย ไม่รู้อยู่ จิตจึงได้วนเวียน หลงไหล เข้าใจผิดว่า โลกนี้ยังมีความสุขซ่อนอยู่ ความจริงแล้วในมนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ตาม พรหมโลกก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ตกอยุ่ในกองทุกข์ กองภัย ต้องมีภัย อันตรายรอบด้าน

ชีวิตของคนเราไม่นาน ชีวิตนี้มีน้อยที่สุด เวลาเรายังไม่ตาย ก็ได้ข่าวคน นั้นว่าตาย ที่เขาเอาไปฝังทิ้ง หรือเอาไปเผาไฟ เพื่อไม่ให้กลิ่นมันเหม็นจมูกเขาต่างหาก เราต้องพิจารณา ต้องทำด้วยกำลังศรัทธาของเรา ทำไมพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้ง หลาย ท่านจึงเกิดอสุภกรรมฐานเห็นแจ้งในจิตในใจได้ เห็นคนก็เห็นก้อนอสุภกรรมฐาน เห็นคนก็เห็นความตายของคนนั้น

สงบแต่ปาก ใจไม่สงบ ก็ไม่ได้ ต้องให้ใจสงบ ใจสงบ ก็คือว่า เมื่อฟุ้งซ่านรั่วไหลไปที่อื่นก็ให้คอยระวัง นึกน้อมสอนใจของตัวเองด้วยว่า ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วเป็นทุกข์อย่างนี้แหละ จะไปเอาสุขที่ไหนในโลก ที่ไหน มันก็ทุกข์เท่าๆ กัน เอาสิ่งเหล่านี้มาเตือนใจตนเอง

 เวลาความตายมาถึงเข้า กายกับจิตจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ เรียกว่าแยกกันไป จิตทำบาปไว้ก็ไปสู่บาป จิตทำบุญไว้ก็ไปสู่บุญ จิตละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ได้ก็ไปสู่นิพพาน จิตละไม่ได้ก็มาเวียนตายเวียนเกิด วุ่นวายอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้ามา ตรัสรู้ในโลก มนุษย์ทั้งหลายก็ยังไม่หมดไปจากโลก ยิ่งในปัจจุบันนี้ ยิ่งมากกว่าในสมัย ก่อน มันเกิดมาจากไหน ก็เกิดมาจากจิตที่เต็มไปด้วย อวิชชา-ความไม่รู้ ตัณหา-ความดิ้นรน ไม่สงบตั้งมั่น ก็สร้างตัวขึ้นมาในแต่ละบุคคล แล้วก็มาทุกข์มาเดือดร้อน วุ่นวายอยู่ในวัฏสงสารอย่างนี้แหละ

ให้ละกิเลสออกจากจิตให้หมดทุกคน กิเลสนี้แหละทำให้คนเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ไม่สิ้นสุด กิเลสนั้นเมื่อย่นย่อเข้ามาก็คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ๓ อย่างเท่านี้ ทำไมจึงเกิดมาสร้างกิเลสให้มากขึ้นไปทุกภพทุกชาติ ทำไมหนอ ใจคนเราจึงไม่ยอมละ การละก็ไม่หมดสักที ในชาติเดียวนี้ตั้งใจละ ทั้งพระเณรและญาติโยมทั้งหลาย ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นอย่าโกรธไปตาม ถ้าไม่โกรธไปตาม มันจะตายเชียวหรือ ทำไมจึงไม่ระลึกอยู่เสมอว่า คนเราจะละความโกรธให้หมดสิ้นไป ในเวลาเดี๋ยวนี้ อย่าให้มีการท้อถอยในการสร้างความดี มีการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ พร้อมทั้งการเจริญสมาธิภาวนา ฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไป ใจจึงจะเย็นเป็นสุขทุกคน

ภาวนาให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น จิตของผู้ภาวนาก็สูง คำว่าสูง ก็เหมือนกับเรือที่ลอยลำอยู่ในแม่น้ำ ลำคลองหรือที่มหาสมุทรสาคร ก็คือ จิตมันอยู่เหนือน้ำ

จิตอยู่เหนืออารมณ์ เหมือนเรืออยู่เหนือแม่น้ำ มันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จึงจำต้องฝึกอบรมตัวเองให้มีความอดทน

 เวลาความสุขมาถึงเข้า เราจะไปเอาความสุขในความสรรเสริญเยินยอ มั่งมีศรีสุขอย่างเดียว แต่เราหารู้ไม่ว่า "ความสุขมีที่ไหน ความทุกข์ก็มีที่นั่น"

มรณกรรมฐานนี้เป็นยอดกรรมฐาน คนเราเมื่ออาศัยความประมาท มัวเมาไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเอง ว่าเราคงไม่เป็นไรง่ายๆ เราสบายดีอยู่ เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย ๆ อันนี้เป็นความประมาท มัวเมา

ถ้ามองเห็นความตายทุกลมหายใจเข้าออก สบายไปเลย กูก็จะตาย สูก็จะตาย จะมากังวลวุ่นวายกันทำไม



(http://www.baandokmai.com/images/product/1346.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 15, 2013, 09:57:34 AM
www.facebook.com/amatatum

"อย่าเลี้ยงความไม่สบายใจ"
ถ้าเผลอไปมันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้
พอมีสติรู้สึกตัวว่า ความไม่สบายใจเข้ามาแอบอยู่ในใจ
ต้อง Get it out ! ขับมันออกไปทันที
อย่าเลี้ยงเอาความไม่สบายใจไว้ในใจ มันจะเคยตัว
ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอออดแอด

อะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่สบายใจ เคยตัว
เพราะความไม่สบายใจนี้แหละ เป็นศัตรู เป็นมาร
ทำให้ใจไม่สงบ ประสาทสมองไม่ปกติ
เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายไปด้วย
ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่งแจ่มใส เป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี
เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส


ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่
ทั้งก่อนที่จะทำอะไรหรือกำลังกระทำอยู่
และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้จิตใจแช่มชื่นรื่นเริง
เกิดปีติปราโมทย์ เป็นสุขสบายอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้เกิดกำลังกาย กำลังใจ

"Enjoy living" มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน
จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจง่าย
เหมือนดอกไม้ที่แย้มบานต้องรับหยาดน้ำค้าง
และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น

โอวาทธรรม: ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ท่านธมฺมวิตกฺโก)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1170777_496992310387111_1005503531_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 15, 2013, 09:57:54 AM


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1011456_579722222066867_1173371007_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 16, 2013, 12:28:23 PM


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/12682_497857753633900_1607580297_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 21, 2013, 11:09:57 AM


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1151081_664133843597581_796809425_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 21, 2013, 11:11:28 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/994305_169639656557590_808921601_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 21, 2013, 11:12:58 AM
โพสต์ 19 สิงหาคม 2013 - 20:12

เครือข่ายกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

"..จิตของคนตามธรรมชาตินั้น ไม่มีความดีใจเสียใจ

ที่มีความดีใจเสียใจนั้นไม่ใช่จิต

แต่เป็นอารมณ์ที่มาหลอกลวง

จิตก็หลงไปตามอารมณ์โดยไม่รู้ตัว

แล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์

ผู้ใดตามดูจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงของมาร.."

-:- หลวงพ่อชา สุภทฺโท -:-
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี



(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/s403x403/1157389_579256778787290_591693712_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 21, 2013, 12:50:22 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/529155_503559273052615_27874864_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 29, 2013, 01:00:15 PM

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
 ความสุขไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้แล้ว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมอง วางใจให้ถูก
 
เราก็จะพบความสุขได้เสมอ ความสุขไม่ได้เกิดจากทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ และอำนาจ
 
แต่อยู่ที่ว่าเรามีสติรู้ทันอารมณ์ของตน และมีปัญญารู้เท่าทันธรรมดาโลกหรือไม่
 
หากมองเป็น ไม่เพียงพบความสุขรอบตัวเท่านั้น หากยังสามารถสัมผัสความสุขที่มีอยู่กับตัวเราแล้วด้วย

 เมื่อใดก็ตามที่เราตระหนักว่าความสุขนั้นตามติดเราไปตลอด

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในสถานการณ์ใด มีอะไรมากระทบ เราก็สามารถพบความสุขได้เสมอ

 พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/book/yooTukTeeMeeSook.html (http://www.visalo.org/book/yooTukTeeMeeSook.html)
 


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/s403x403/1238007_725800454113941_1266515539_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 29, 2013, 01:02:29 PM

I Will Do for King
 วันนี้วันพระ...

“กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
 ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน”

คำพยากรณ์แต่โบราณนานมานี้ น่าจะบอกว่ายุคมืดจะมาถึง คือยุคที่คนดีจะถูกเหยียบย่ำ คนชั่วจะได้รับยกย่อง ซึ่งต้องเป็นผลของกรรมที่ได้ทำกันมา ทั้งกรรมชั่ว และทั้งกรรมดี กรรมที่เอื้อมมือมาถึงแล้ว

 อย่างไรก็ตาม เราทุกคนพึงหลีกให้พ้นการเป็นมือแห่งกรรมชั่ว ที่จะเหยียบย่ำคนดี และหลีกให้พ้นจากการเป็นมือแห่งกรรมดี ที่จะยกย่องคนชั่ว เพราะจะเป็นการร่วมสร้างบ้านเมืองของตนให้สิ้นความงดงาม ที่จะเกิดจากกำลังใจของคนดี ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนดี

 บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยความเลวร้าย ที่เกิดจากกำลังใจของคนชั่ว ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนชั่ว พึงรอบคอบในการดูให้รู้จริง ว่าใครดี ใครชั่ว รอบคอบในการฟังเสียงบอกเล่า จึงจะช่วยประเทศชาติให้สวัสดีได้ และช่วยตนให้พ้นบาปได้

 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 แสงส่องใจ วันมหาจักรี-วันเถลิงศก ๖ เมษายน-๑๓ เมษายน ๒๕๔๙
ณ วัดญาณสังวราราม วรมหาวิหาร อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
 


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/s403x403/1236110_698436956837692_1671794526_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 10, 2013, 08:54:51 PM
ตายแล้ว จะไปไหน

(http://variety.teenee.com/saladharm/img6/156846.jpg)

ตายแล้ว จะไปไหน


อยากทราบไหมว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน

...ธรรมดาชีวิตมีอยู่ 2 ธรรมดา คือธรรมดาเกิดและธรรมดาตาย ธรรมดาชีวิตทั้งหลายย่อมมีตายและมีเกิด เมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีธรรมดาตาย และเมื่อตายแล้วก็มีธรรมดาเกิด ชีวิตเกิดมาด้วยอำนาจของกรรมกระทำความดีไว้มากในอดีตและปัจจุบัน ...ก็ตายดีไปสู่สุคติ ...กระทำความชั่วไว้มากทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ตายเลวไปสู่ทุคติ

...พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนในเรื่องตายไว้มาก ...เฉพาะอย่างยิ่งในพระไตรปิฏกฉบับที่ 3 อันมีนามเรียกว่า พระอภิธรรมปิฏก เป็น ธรรมะอันยิ่งใหญ่ เป็นสัจธรรมอันละเอียดสุขุมมาก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง ..พระพุทธองค์ตรัสสอนเราว่ามนุษย์ตายแล้วไปสู่ 5 ทาง ทั้งนี้สุดแต่ความประพฤติของมนุษย์แต่ละคน.. คือ..
....1. ไปสู่ยมโลก (อบายภูมิสมบัติ)
....2. กลับมาสู่มนุษยโลก (มนุษยภูมิสมบัติ)
....3. ไปสู่เทวโลก (เทวภูมิสมบัติ)
....4. ไปสู่พรหมโลก (พรหมภูมิสมบัติ)
....5. ไปสู่อุตตรโลก (นิพพานสมบัติ)

ผู้เขียนขอกล่าวอย่างย่อ พอเข้าใจอย่างง่ายๆ ดังนี้
1. ไปสู่ยมโลก
...มนุษย์ ที่มีความประพฤติเลว เป็นมนุษย์ไม่รักษาศีล ชอบประพฤติทุศีล กระทำทุจริตคดโกงธนาคาร ชอบการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่นิยมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อบายภูมิ เมื่อใช้กรรมในอบายภูมิสิ้นสุดลงแล้ว ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก ตาม ..ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะว่าผู้เขียนมีความเคารพในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงกล่าวจากการตรัสรู้ในเรื่อง ทศพลญาณ มี 10 หัวข้อ ในข้อที่ 3 มีว่า สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ.. คือ มีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสรรพสัตว์ อันเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า หรือวิสัยของพระอรหันต์... มนุษยวิสัยอย่างเราซึ่งยังมีกิเลส ไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า... วิญญาณาสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่จะกลับมาเกิดเป็นคนนั้น คงจะมาเกิดเป็นคนในจำพวก คนชั้นเลว กล่าว คือ เป็นคนจำพวกที่เป็นใบ้ เป็นบ้า หูหนวก ตาบอด มือด้วน เท้าด้วน พิกลพิการ ยากจนค่นแค้น ต้องขอทานเขากิน รูปร่างไม่สวยงาม ไม่น่าดู เป็นโรคเรื้อนพุพองทั้งตัว หรือบางคนมีรูปร่างคล้ายสัตว์ มีจิตใจอย่างสัตว์ เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นสัตว์มาใหม่ๆ จึงชอบยื้อแย่งเขากินเยี่ยงสัตว์ หรือชอบยื้อแย่งเขาทางกามารมณ์เยี่ยงสัตว์ ...มีนิสัยชอบเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีจิตใจชอบคดโกง วิญญาณและเจตสิกได้นำเอาคุณสมบัติในอบายภูมิติดมาใช้ในขณะเกิดเป็นคน วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถ้าวิญญาณมีลักษณะเลว นามรูปที่เกิดจากวิญญาณเลวก็มีรูปและนามไปในทางเลว

2. มาสู่มนุษยโลก
...มนุษย์ ที่มีความประพฤติดี เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก
นายเอียน สตีเวนสัน นักค้นคว้าการระลึกชาติของประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกได้กล่าวที่ห้องฝึกสมาธิของแผนกธรรมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย... (มหาวิทยาลัย สงฆ์) ในราชูปถัมภ์แห่งวัดมหาธาตุ ได้เล่าเรื่องการตายแล้วเกิดของบุคคลต่างๆ ที่เขาได้ทำการสำรวจและค้นคว้าการระลึกชาติของมนุษย์จากหลายประเทศ โดยเขายืนยันว่าได้พบสถิติที่น่าพิจารณา ที่มนุษย์ตายแล้วได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที ส่วนมากก็ระลึกชาติได้ ..มนุษย์ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันทีโดยไม่ผ่านไปยังสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เปรต, สัตวอสุรกาย, สัตว์นรก, ทวย เทพในเทวโลก หรือทวยเทพพรหมโลกนั้น คงจะเนื่องจากภวังค์จิต หรือวิถีจิตของมนุษย์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในทันที มีวิถีจิตหรือภวังค์จิตที่ติดต่อกันในเวลากระชั้นชิดมาก ความจำยังสดใสอยู่ จึงสามารถระลึกชาติได้ ถ้าวิญญาณไปเกิดยังภพต่างๆ เป็นเวลานาน แล้วจึงมีโอกาสกลับมาเป็นมนุษย์อีก.. ไม่สามารถระลึกชาติได้ เพราะภวังค์จิตหรือวิถีจิตไม่ติดต่อกันอย่างใกล้ชิด จึงไม่สามารถจะระลึกชาติได้ แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากการเกิดได้ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า วิมุตติรส วิญญาณที่เป็นวิมุตติรสคงเป็น วิญญาณทิพย์ เช่นนี้ เราก็สามารถปฏิบัติตนให้มีอำนาจเหนือวิญญาณของเราได้ในชาติปัจจุบัน เราก็จะได้ อภิญญา คือ การหยั่งรู้การเกิดในชาติต่างๆ แต่หนหลังของเราได้ใน ทศพลญาณ ของพระพุทธองค์ (ข้อ 8) หรือ อภิญญา ของพระพุทธองค์ (ข้อ 4) ข้อความตรงกัน คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า มนุษย์ประพฤติเรียบร้อย ไม่ประพฤติเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก การที่ทรงกล่าวไว้เช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % ผู้ เขียนเคยมีประสบการณ์เล็กน้อยในการระลึกชาติได้บ้าง วิญญาณของมนุษย์พวกรักษาศีล ซึ่งจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในรูปใหม่และนามใหม่นี้ อาจจะต้องเกิดเป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นกลาง กล่าว คือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะปานกลางไม่ยากจน แต่คงไม่ร่ำรวยมาก พอกินพอใช้ ไม่มีความทุกข์ทรมานมากนัก รูปร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา.. ไม่หูหนวก, ไม่ตาบอด, เป็น ใบ้ เป็นบ้าหรือพิกลพิการแต่อย่างใด มีลักษณะเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ มีจิตใจเต็มไปด้วยมนุษยธรรม ไม่ยื้อแย่งอาหาร หรือยื้อแย่งทางกามารมณ์อย่างสัตว์ เพราะมีวิญญาณที่มีเจตสิกที่มีคุณภาพสูงมาแต่เดิม จึงมีจิตที่ดีงามมีศีลธรรม มีความคิด ความจำได้หมายรู้ เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ไม่มีนิสัยที่ชอบประพฤติเบียดเบียนใครว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน

3. ไปสู่เทวโลก
มนุษย์ ที่มีความประพฤติดี.. เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีความประพฤติเพียงนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใจ เขายังชอบประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เช่น การจัดสรรประโยชน์ต่างๆ ให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เป็นต้น มนุษย์ใจบุญประเภทนี้ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไปจะได้ไปเกิดในเทวโลกเป็นทวยเทพพวกหนึ่งที่ยัง บริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นเทวโลกแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อความ ...ทุกข์ต่อไปอีก

ตามที่พระสมณโคดมทรงกล่าวเช่นนี้.. ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % เพราะ ว่าเคยปฏิบัติเข้าสู่สภาวะสัมผัสจิตละเอียดในบางครั้ง และเห็นว่าวิญญาณของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นเทวโลกที่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ นั้น อาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดี กล่าว คือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะสูง มีความร่ำรวย มีร่างกายแข็งแรง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ มีมันสมองดี มีความอดทนดี มีปัญญาเฉียบแหลม รูปร่างสวยงาม เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นเทวดามาใหม่ๆ มีจิตใจสวยงามเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม ไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ..มีความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ถ้ามนุษย์ชั้นดีเหล่านี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ และเข้าใจซาบซึ้งในธรรมะนั้น แล้วลงมือปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างพระพุทธองค์แล้ว มนุษย์ชั้นดีก็จะได้รับรสดี คือ วิมุตติรส ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์

4. ไปสู่พรหมโลก
..มนุษย์ ที่นิยมปฏิบัติสมถกรรมฐาน (สมถะภาวนา) ..คือ การทำจิตเข้าสู่สมาธิโดยภาวนาฌาน ตามแบบโยคีหรือฤาษี เช่น อุททกดาบสรามบุตร อาฬารดาบส กาลามโคตร ..ผู้ที่เคยเป็นพระอาจารย์ของพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นพวกที่กำหนดสิ่งภายนอกกายเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ โดยอาศัยกรรมฐาน 40 อย่าง ..ในอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์การทำจิตเข้าสู่สมาธิ กรรมฐาน 40 อย่างนั้น คือว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน
กสิณ 10 อย่าง
อสุภ 10 อย่าง
อนุสสติ 10 อย่าง
พรหมวิหาร 4 อย่าง
อรูปธรรม 4 อย่าง
อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 อย่าง
จตุธาตุววัตถานะ 1 อย่าง
รวม 40 อย่าง

..เป็น มนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา จนสามารถเข้าฌานสมาบัติได้ เมื่อมนุษย์พวกนี้กายแตกละจากโลกนี้ไปในขณะที่มีอารมณ์อยู่ในฌานใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกก็จะลอยไปเกิดยังพรหมโลก ในชั้นต่างๆ กันของพรหมโลก จะอยู่พรหมโลกชั้นใดขึ้นอยู่กับชั้นต่างๆ ของฌาน ซึ่งพรหมโลกมีอยู่ 20 ชั้น เป็นอรูปพรหมมี 4 ชั้น เป็นรูปพรหม 16 ชั้น เป็นทวยเทพอีกพวกหนึ่งที่ไม่บริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นพรหมแล้วก็จะต้องมาเกิดยัง..โลกมนุษย์เพื่อรับความทุกข์ต่อไปอีก

ตามที่พระตถาคตทรงกล่าวไว้เช่นนี้.. ผู้เขียนมีความเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะผู้เขียนมีความเคารพเลื่อมใสในการตรัสรู้ ทศพลญาณ ของพระพุทธองค์ ซึ่งมนุษย์ปุถุชนผู้มีกิเลสไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ทศพลญาณ คือ
..1. มีญาณหยั่งรู้เหตุที่ควรเป็น และเหตุที่ไม่ควรเป็น (ฐานาฐานะญาณ)
..2. มีญาณหยั่งรู้ผลแห่งกรรมของสัตว์ (วิปากญาณ)
..3. มีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสัตว์ (สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ)
..4. มีญาณหยั่งรู้คุณสมบัติของธาตุต่างๆ (นานาธาตุญาณ)
..5. มีญาณหยั่งรู้นิสสัยเลวของสัตว์ (นานาวิมุติญาณ)
..6. มีญาณหยั่งรู้ในอินทรีย์ห้าของสัตว์ (อินทริยปโรปริยัตตญาณ)
..7. มีญาณหยั่งรู้อาการของญาณ (ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ)
..8. มีญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
..9. มีญาณหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย (จุตูปปาตญาณ)
..10. มีญาณหยั่งรู้วิธีทำให้ลิ้นอาสวะ (อาสวัคขยญาณ)

มนุษย์ ...ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา ขณะตายจิตอยู่ในญาณใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกจะลอยไปเกิดยังพรหมโลกชั้นใด พระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้ด้วย ..ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ทศพลญาณข้อ 7)
ผู้เขียนมีความเห็นว่า วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นพรหมโลกที่จะต้องกลับมาจุติยังโลกมนุษย์นั้นคงจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดีมาก กล่าว คือ เป็นมนุษย์จำพวกที่มีฐานะสูงมาก มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เช่น เกิดในตระกูลกษัตริย์ เกิดในตระกูลเศรษฐี และมหาเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองอย่างมหาศาล เกิดมาได้เป็นหัวหน้าประเทศ มีโอกาสได้เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือได้เป็นหัวหน้าคณะศาสนา ได้รับความสุขในการดำรงชีวิตสูงกว่ามนุษย์จำพวกอื่น เกิดมามีมันสมองดีมาก มีความจำสูงมาก มีจิตใจสูง มีความเมตตากรุณาแก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์.. เป็นมนุษย์ที่มองเห็นความทุกข์ยากของบุคคลอื่นมากกว่าความทุกข์ยากของตนเอง ถ้ามนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดีมาก เหล่า นี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ ก็คงจะซาบซึ้งในพระธรรมนั้นและเมื่อลงมือปฏิบัติธรรมของพุทธองค์แล้วมนุษย์ ชั้นดีมากก็จะได้พบรสแห่งความสันติอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ ..จะได้พบ วิมุตติรส ของพระพุทธองค์อย่างเดียวกัน และในที่สุดก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันของเขานั้น
รสของน้ำทะเลมีรสเดียวคือ รสเค็ม และรสพระธรรมของพระพุทธองค์ก็มีรสเดียวคือ วิมุตติรส น้ำในลำธาร, ในลำแม่น้ำ, ในลำคลอง, และน้ำฝน มีรสไม่เหมือนกัน เมื่อไหลลงสู่ทะเลรวมกันแล้วก็จะมีเพียงรสเดียว คือ รสเค็ม ฉัน ใดที่มนุษย์เข้าใจซาบซึ้งในพระธรรมของพระพุทธองค์ และได้ลงมือปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ชาติใด ..ภาษาใด วรรณะใด และวัยใด ย่อมจะได้พบรสพระธรรมอย่างเดียวกัน คือ วิมุตติรส ฉันใดก็ฉันนั้น
ข้อ เปรียบเทียบนี้ ...เป็นพระธรรมเทศนาของพระตถาคต ...มีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฏกซึ่งเป็นสูตรหนึ่งที่ว่าด้วยความน่าอัศจรรย์ของ พระธรรมวินัย

5. ไปสู่อุตตรโลก
มนุษย์ ที่นิยมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน... คือ การนำจิตเข้าสู่ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ) ตามแบบพระพุทธองค์ เป็นพวกกำหนดสิ่งภายในร่างกายเป็นอารมณ์ในการนำจิตเข้าสู่สมาธิโดยอาศัยโพธิ ปักขิยธรรม 7 หมวด... ในหมวดใดหมวดหนึ่งเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ) โพธิปักขิยธรรม 7 หมวด คือ..
1. สติปัฏฐานสี่
2. สัมมัปปธานสี่
3. อิทธิบาทสี่
4. อินทรีย์ห้า
5. พละห้า
6. โพชฌงค์เจ็ด
7. มรรคแปด

...เป็นมนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิและปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา... โดยที่กำหนดหมวดใดหมวดหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม 7 หมวด นั้น เป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิจนสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ และได้บรรลุมรรคผลเข้าครองชีวิตพระอรหันต์ อริยบุคคลจำพวกพระอรหันต์นั้น เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นอะไรอีก ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีชาติหน้า สิ้นภพ, ...สิ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอีกต่อไปชั่วนิรันดร ซึ่งชาวพุทธนิยมเรียกว่า ..ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์ ไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อรับความทุกข์อีก
...ตาม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ชาวพุทธไปสู่นิพพานนั้น ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะมีความเห็นว่า อริยบุคคลที่บรรลุมรรคผล เข้าครองชีวิตพระอรหันต์นั้น เป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดีเลิศ เป็น มนุษย์ที่หมดมลทินจากกิเลสทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มีปัญญาอันล้ำเลิศกว่ามนุษย์ ทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มิได้สร้างกรรมอันใดไว้ จึงไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อสนองกรรม ตามกฎแห่งกรรมของพระตถาคต

หมายเหตุ :-
ภาวนา แปลว่า การทำให้เกิดขึ้นในใจ
สมถะ แปลว่า ความสงบจิต (ฌาน)
วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ)
สมถะภาวนา แปลว่า การทำให้ความสงบจิตเกิดขึ้นในใจ
วิปัสสนาภาวนา แปลว่า การทำให้ความเห็นแจ้งเกิดขึ้นในใจ
(จากปทานุกรม)

ที่มา: สารชมรมศาสนาและการกุศล เรื่องที่ 8 ...อยากทราบไหมว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 19, 2013, 08:25:49 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/558881_679002078777424_1613544175_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 19, 2013, 08:26:56 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/551295_679417258735906_2066280091_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 19, 2013, 08:27:30 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1069293_679667092044256_849600689_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 19, 2013, 08:28:00 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1237020_479485985491908_511952035_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กันยายน 19, 2013, 08:28:50 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/1236696_648425065190446_1334122711_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 12, 2013, 11:49:54 AM
วันพระ
 
 
 
วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ หรือ วันอุโบสถ หมายถึง วันประชุมของพุทธศาสนิกชนเพื่อปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาในพระพุทธศาสนาประจำสัปดาห์ หรือที่เรียกกันทั่วไปอีกคำหนึ่งว่า "วันธรรมสวนะ" อันได้แก่วันถือศีลฟังธรรม (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) โดยวันพระเป็นวันที่มีกำหนดตามปฏิทินจันทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วัน ได้แก่ วันขึ้น 8 ค่ำ, วันขึ้น 15 ค่ำ (วันเพ็ญ), วันแรม 8 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ (หากเดือนใดเป็นเดือนขาด ถือเอาวันแรม 14 ค่ำ)
 
วันพระนั้นเดิมเป็นธรรมเนียมของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ที่จะประชุมกันแสดงธรรมทุก ๆ วัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ ซึ่งในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังคงไม่ได้ทรงวางระเบียบในเรื่องนี้ไว้ ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลพระราชดำริของพระองค์ว่านักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ว่าพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการประชุมพระสงฆ์ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ และอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันดังกล่าว โดยตามพระไตรปิฎกเรียกวันพระว่า วันอุโบสถ (วัน 8 ค่ำ) หรือวันลงอุโบสถ (วัน 14 หรือ 15 ค่ำ) แล้วแต่กรณี
 
หลังจากนั้น พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันธรรมสวนะสืบมา โดยจะเป็นวันสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะไปประชุมกันฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์ที่วัด ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่าได้มีประเพณีวันพระมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
 
วันพระในปัจจุบัน คงเหลือธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แต่เฉพาะประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ศรีลังกา, พม่า, ไทย, ลาว และเขมร (ในอดีตประเทศเหล่านี้ถือวันพระเป็นวันหยุดราชการ) โดยพุทธศาสนิกชนเถรวาทนับถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่จะถือโอกาสไปวัดเพื่อทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และฟังพระธรรมเทศนา สำหรับผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนาอาจถือศีลแปดหรือศีลอุโบสถในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใด ๆ โดยเชื่อกันว่าการทำบาปหรือไม่ถือศีลห้าในวันพระถือว่าเป็นบาปมากกว่าในวันอื่น
 
ในประเทศไทย หลังจากวันพระได้ถูกยกเลิกไม่ให้เป็นวันหยุดราชการ ทำให้วันพระที่กำหนดวันตามปฏิทินจันทรคติส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับปฏิทินที่ใช้กันอยู่ทั่วไป (เช่น วันพระไปตรงกับวันทำงานปกติ) ซึ่งคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ทำให้พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยห่างจากการเข้าวัดเพื่อทำบุญในวันพระ
 
นอกจากนี้ ในประเทศไทยยังมีคำเรียกวันก่อนวันพระหนึ่งวันว่า วันโกน เพราะปกติในวันขึ้น 14 ค่ำปกติ ก่อนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ในประเทศไทยที่จะโกนผมในวันนี้


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 12, 2013, 11:53:48 AM
(http://www.jaowka.com/wp-content/uploads/2013/10/junjaowka-35792-1.jpg)

 


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 12, 2013, 01:09:27 PM
(http://www.jaowka.com/wp-content/uploads/2013/09/junjaowka-3127-2.jpg)


(http://www.jaowka.com/wp-content/uploads/2013/09/junjaowka-3096-2.jpg)


(http://www.jaowka.com/wp-content/uploads/2013/10/junjaowka-3038-21.jpg)


(http://www.jaowka.com/wp-content/uploads/2013/10/junjaowka-3169-2.jpg)


(http://www.jaowka.com/wp-content/uploads/2013/09/junjaowka-3152-2.jpg)


(http://www.jaowka.com/wp-content/uploads/2013/09/junjaowka-35756-2.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 22, 2013, 07:37:51 AM
ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1382834_221013038060327_797217717_n.jpg)


ตายแล้วไปไหน

- โดย ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า

---------

ก่อนที่จะรู้ว่าตายแล้วไปไหน เราควรจะต้องเข้าใจว่าความตายคืออะไร หากจะ
 เปรียบกระแสชีวิตของสัตว์โลกเหมือนสายน้ำในนที ความตายก็เปรียบเสมือนจุดโค้ง ตอนที่สายน้ำเปลี่ยนทิศทาง สำหรับผู้บรรลุธรรมหรือพระอรหันต์ ความตายคือการสิ้นสุดลงอย่างแท้จริงของชีวิต เป็นการจบสิ้นการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนปุถุชนอย่างเรา กระแสชีวิตจะมีสืบเนื่องกันไป ไม่มีวันสิ้นสุด ฉะนั้น ความตายจึงเท่ากับเป็นการยุติของกิจกรรมชีวิตในช่วงชีวิตหนึ่ง เพื่อจะตั้งต้นกิจกรรมชีวิตใหม่ในทันทีที่มีการเกิดใหม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ความตายคือจุดสุดท้ายของชีวิตนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตต่อไปนั่นเอง โดยอาจเปรียบได้กับการที่พระอาทิตย์ตกและ ขึ้น ซึ่งแทบไม่มีช่วงของความมืดคั่นอยู่เลย และถ้าจะเปรียบกับหนังสือที่ว่าด้วยการอุบัติของสัตว์โลก ความตายก็เป็นตอนจบของบทหนึ่ง ในขณะที่บทต่อไปก็จะเริ่มต้นขึ้นใหม่ในทันทีทันใดนั้นเอง

 แม้ว่าเราจะหาอุปมาอุปมัยที่ตรงตัวจริงๆ มากล่าวไม่ได้ แต่เราก็อาจเปรียบกระแสแห่งชีวิตเป็นดั่งรถไฟที่วิ่งไปบนราง เมื่อกำลังจะถึงสถานีแห่งความตาย มันจะชะลอความเร็วลงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็จะเร่งความเร็วให้เหมือนเดิมต่อไป โดยไม่มีการหยุดแม้เพียงชั่วขณะเดียว สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ความตายหาใช่สถานีปลายทางไม่ แต่จะเป็นดังสถานีชุมทางที่มีรางรถไฟถึง ๓๑ สายมาบรรจบกัน เมื่อรถไฟวิ่งมาถึงชุมทางนี้ ก็จะเปลี่ยนราง แล้วออกวิ่งต่อไปด้วยความเร็วเช่นเดิม เชื้อเพลิงที่ทำให้รถไฟแล่นไปได้โดยไม่หยุดนี้ ได้แก่กระแสแห่งกรรม ซึ่งบุคคลแต่ละคนได้ประกอบไว้ในอดีตชาติทับถมกันมา ทำให้เกิดการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด
 
 การเปลี่ยนรางเดินของรถไฟนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ประดุจดังการที่น้ำแข็งละลายเป็นน้ำหรือน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง อันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ การถ่ายเทจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่งก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติเช่นกัน รถไฟแห่งชีวิตไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนรางได้เอง แต่ยังสามารถกำหนดรางที่จะวิ่งต่อไปเองด้วย สำหรับรถไฟแห่งการเกิดนั้น สถานีแห่งความตายซึ่งเป็นชุมทางที่รถไฟจะต้องเปลี่ยนเส้นทางนี้มีความสำคัญยิ่ง ในขณะที่ชีวิตปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลง และร่างกายกำลังจะถูกละทิ้งไปนั้น ชีวิตใหม่ก็ใกล้จะอุบัติขึ้น การเกิดจึงเป็นผลของความตาย หรืออีกนัยหนึ่ง ความตายเป็นสิ่งที่กำหนดการเกิดครั้งต่อไป ฉะนั้น ความตายจึงมิใช่เป็นเพียงความตาย หากแต่เป็นการเกิดด้วย ณ สถานีชุมทางนี้เองที่ชีวิตเปลี่ยนไปสู่ความตาย และความตายเปลี่ยนไปสู่การเกิด

 เราจึงควรระลึกว่า ทุกๆ ชีวิตเป็นการเตรียมตัวเพื่อที่จะตาย ถ้าเราฉลาดพอ ก็จะต้องพยายามดำเนินชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดเพื่อเตรียมตัวตายให้ดีที่สุด และการตายที่ดีที่สุดก็คือการที่ไม่กลับมาเกิดอีก ซึ่งได้แก่การตายของพระอรหันต์ อันเป็นการไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างแท้จริง เพราะไม่มีรางให้รถไฟวิ่งอีกต่อไปแล้ว เราจึงควรที่จะพยายามกำหนดการอุบัติขึ้นของชีวิตใหม่ให้ดีที่สุด เพื่อวันหนึ่งเราจะได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริงเช่นนั้นบ้าง ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตของเรา เราเป็นผู้กำหนดความสุขและความทุกข์ ตลอดจนความ หลุดพ้นของเราเอง

 ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจัดวางรางเพื่อรองรับรถไฟที่วิ่งมาอย่างเร็วได้ ? การที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องมีความเข้าใจในเรื่องของ "กรรม" เสียก่อน กรรมหรือการกระทำของเราเกิดจากเจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศล เจตนาที่บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในใจของเราเป็นรากฐานของการกระทำ ไม่ว่าจะด้วยทางกาย วาจา หรือใจ โดยเริ่มจากการมีผัสสะ คือมีสิ่งมากระทบทวารใดทวารหนึ่งของเรา ทำให้เกิดวิญญาณหรือการรับรู้ขึ้น แล้วสัญญาจะเป็นผู้ประเมินผลของผัสสะนั้น จากนั้นเวทนาหรือความรู้สึกทางกายก็จะเกิดขึ้น ตามมาด้วยสังขารคือ สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำของเรา อันเกิดจากเจตนาซึ่งปรุงแต่งโต้ตอบต่อความรู้สึกทางกาย เจตนาในการกระทำนี้มีหลายแบบหลายชนิด เจตนาบางอย่างก็เปรียบเสมือนรอยขีดลงบนน้ำ บางอย่างก็เป็นดังรอยขีดบนพื้นทราย บางอย่างเป็นเสมือนรอยขีดบนหิน ถ้าเจตนาเป็นกุศล การกระทำก็จะเป็นกุศล ซึ่งจะยังให้เกิดผลที่เป็นกุศลด้วย หากเจตนาไม่บริสุทธิ์ การกระทำก็ย่อมจะเป็นไปในทางไม่ดี และก่อให้เกิดผลคือความทุกข์ความเดือดร้อน

 ทั้งนี้มิได้หมายความว่าสังขารหรือการปรุงแต่งทั้งหลายนี้จะมีผลให้เกิดชีวิตใหม่เสมอไป การกระทำบางอย่างอาจจะบางเบาเกินกว่าที่จะก่อผลใดๆ การกระทำบางอย่างอาจจะหนักหรือรุนแรงกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งจะส่งผลในปัจจุบันชาติโดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า กรรมบางชนิดก็ให้ ผลทั้งในปัจจุบัน และยืดเยื้อไปจนชาติหน้า แม้จะไม่ถึงกับเป็นแรงส่งที่ทำให้ไปเกิดใหม่ แต่ก็มีกรรมหลายชนิดที่เรียกว่า กรรมภพหรือสังขารภพ ซึ่งเป็นตัวนำให้ไปเกิด กรรมประเภทนี้เองที่เป็นสาเหตุให้มีกระบวนการเกิดใหม่ขึ้นมา โดยพลังแม่เหล็กในตัวของมันจะถูกดึงดูดให้เข้าไปร่วมกับกระแสสั่น สะเทือนของโลกภพที่มีคลื่นความถี่ขนาดเดียวกัน พลังความสั่นสะเทือนของภพทั้ง สองจะดึงดูดเข้าหากันและกัน อันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

 ในทันทีที่กรรมภพบังเกิดขึ้น รถไฟแห่งการอุบัติขึ้นก็จะถูกดึงดูดจากรางใดรางหนึ่งใน ๓๑ ราง ณ สถานีชุมทางดังกล่าว ราง ๓๑ รางนี้ก็คือภพทั้ง ๓๑ นั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วยกามภพ ๑๑ ภพ อันได้แก่ อบาย ๔ มนุษยโลก ๑ และกามาวจรสวรรค์อีก ๖ ภพของรูปพรหม ๑๖ (ซึ่งเป็นภพของพวกกายละเอียดผู้เข้าถึงรูปฌาน) และภพของอรูปพรหมอีก ๔ (ซึ่งเป็นภพที่มีแต่จิต ไม่มีรูป เป็นภพของผู้ถึงอรูปฌาน)
ในวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อกรรมภพหรือสังขารภพอุบัติขึ้น สังขารหรือกรรมนี้เองที่ทำให้เกิดชาติใหม่ โดยพลังกรรมนี้จะเชื่อมโยงเข้ากับพลังความสั่นสะเทือนของภพที่จะไปเกิด ในขณะที่ความตายมาถึงนั้น ภพทั้ง ๓๑ ภพจะเปิดออก สังขารหรือการปรุงแต่งในขณะนั้นจะเป็นผู้กำหนดว่า รถไฟจะแล่นไปตามรางไหนต่อไป โดยพลังแห่งกรรมจะผลักดันวิญญาณให้เข้าไปสู่กระแสชีวิตใหม่ ตัวอย่างเช่น ถ้าหากก่อนตาย มีความโกรธหรือความมุ่งร้ายต่างๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่รุ่มร้อน กระวนกระวาย กระแสกรรมก็จะถูกดึงดูดให้เข้าไปอยู่ในอบายภูมิ ทำนองเดียวกัน บุคคลที่มีความเมตตาเป็นอุปนิสัย ก็จะมีพลังสั่นสะเทือนของพรหมโลก เป็นต้น นี่เป็นกฎ ธรรมชาติ และกฎเหล่านี้จะจัดตัวเองอย่างมีระเบียบโดยไม่ผิดพลาดเลย ฉะนั้น เราจึงต้องเข้าใจว่ารถไฟดังกล่าวไม่มีผู้โดยสาร แต่แล่นไปด้วยพลังของสังขาร คือกรรม หรือการปรุงแต่งที่สะสมไว้

 ในขณะที่ความตายมาถึง กรรมที่แรงมักปรากฏขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นกุศลหรืออกุศลกรรมก็ได้ ตัวอย่างเช่น หากบุคคลใดเคยฆ่าบิดามารดาหรือผู้ทรงศีลมาแล้ว ความจำเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวจะมาปรากฏขึ้นอีกเมื่อใกล้สิ้นใจ ในทำนองเดียวกัน สำหรับผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนาอยู่เสมอ จิตสุดท้ายจะสงบเยือกเย็นเช่นเดียวกับในขณะที่เคยปฏิบัติวิปัสสนา
 หากไม่มีกรรมภพที่หนักหน่วงรุนแรงปรากฏขึ้น ก็จะเกิดกรรมภพอย่างอื่น ความจำใดๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจะปรากฏออกมา ตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะนึกได้ถึงกรรมดีที่เคยถวายอาหารพระ หรือบางคนอาจนึกได้ว่าเคยฆ่าคน ความจำเกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตจะปรากฏขึ้นเสมอ บางคนอาจจะมองเห็นอาหารเต็มจานที่เคยใส่ บาตร บางคนจะเห็นปืนที่ตนเคยใช้สังหาร

 ผู้อื่น สิ่งเหล่านี้คือกรรมนิมิต
 บางครั้งก็อาจมีนิมิตของชีวิตที่กำลังจะอุบัติขึ้นในอนาคต หรือที่เรียกว่าคตินิมิต (เครื่องหมายแสดงที่ไปเกิด) นิมิตเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวโยงกับโลกภพ ซึ่งมีกระแสดึงดูดให้ไปเกิด เช่น อาจมีนิมิตเห็นสวรรค์ หรือเดรัจฉานภพก็ได้ บุคคลที่กำลังจะตาย มักมีนิมิตเหล่านี้เหมือนเป็นการเตือนล่วงหน้า ทำนองเดียวกับรถไฟ ซึ่งจะมีไฟส่องให้เห็นทางอยู่ที่หัวรถ พลังสั่นสะเทือนของนิมิตดังกล่าว ย่อมจะเชื่อมโยงเข้ากับพลังสั่นสะเทือนของโลกภพที่ชีวิตใหม่กำลังจะอุบัติขึ้น

 นักวิปัสสนาที่ดีย่อมสามารถหลบหลีกรางรถไฟที่จะพาไปสู่ภพภูมิที่ต่ำกว่า ฉะนั้น เราจึงจะต้องเข้าใจกฎธรรมชาตินี้ให้ดี และหมั่นปฏิบัติเพื่อเตรียมตัวเผชิญกับความตายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งผู้สูงอายุยิ่งมีเหตุผลทุกประการที่จะต้องมีสติอยู่ทุกขณะ ถ้าเช่นนั้น เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ? เราจะต้องปฏิบัติวิปัสสนา ฝึกความมีอุเบกขา ไม่ว่าจะมีความรู้สึกทางกายอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ มีเพียงการปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถขจัดนิสัยเก่าๆ เปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจที่เคยแต่จะก่อให้เกิดสังขารใหม่ๆ พัฒนาไปเป็นการรักษาใจให้เป็นอุเบกขาอยู่เสมอ

 ขณะใกล้ตาย คนส่วนมากจะมีความรู้สึกที่ไม่สบาย ความชรา โรคภัย และความตายเป็นทุกข์ ก่อให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรง ถ้าบุคคลใดไม่เคยฝึกให้รู้จักสังเกตเวทนา หรือความรู้สึกทางกาย และฝึกทำใจให้เป็นอุเบกขาแล้ว ก็อาจจะมีความรู้สึกขุ่นเคือง โกรธแค้น หรือพยาบาทมาดร้าย อันเป็นโอกาสให้สังขารภพที่มีกระแสดึงดูดชนิดเดียวกันเกิดขึ้นได้ ส่วนผู้ที่เคยฝึกปฏิบัติ วิปัสสนาจะสามารถเผชิญกับความรู้สึกที่ปวดร้าวรุนแรง โดยการวางใจให้มีอุเบกขา เมื่อใกล้ตาย จนแม้แต่สังขารภพที่ฝังแฝงอยู่ภายในจิตไร้สำนึกก็ไม่อาจครอบงำได้ สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปนั้นมักจะกลัวความตายอย่างที่สุด ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้สังขารภพแห่งความกลัวปรากฏขึ้นมา ความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจที่ต้องพลัดพรากจากบุคคลที่ตนรักจะประดังกันขึ้นมา สังขารภพที่สะสมไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ ก็จะผุดโผล่ขึ้นมาครอบงำจิตใจ ในขณะที่นักวิปัสสนาจะสามารถจับความรู้สึกเหล่านั้นได้ แล้ววางใจให้เป็นอุเบกขา ทำให้สังขารทั้งหลายไม่มีโอกาสรบกวนจิตใจเมื่อใกล้ตาย ฉะนั้น เราจะเตรียมตัวตายได้ก็ด้วยการพยายามเจริญนิสัยให้รู้จัก สังเกตความรู้สึก(เวทนา) ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และฝึกวางใจให้เป็นอุเบกขา โดยมีความเข้าใจในอนิจจังอย่างแท้จริง

 ในขณะที่ใกล้สิ้นใจ จิตที่ได้รับการฝึกให้มีอุเบกขาอย่างมั่นคงแล้ว จะปล่อยวางได้โดยอัตโนมัติ รถไฟแห่งการอุบัติขึ้นก็จะแล่นเข้าสู่รางที่จะอำนวยโอกาสให้บุคคลนั้นได้ปฏิบัติวิปัสสนาสืบต่อไปในชีวิตใหม่ ทำให้ปลอดภัยจากการต้องไปเกิดในภพที่ต่ำกว่า ข้อนี้สำคัญมาก เพราะในอบายภูมิหรือภพที่ต่ำลงไปนั้น เราจะไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติวิปัสสนาเลย
 นักวิปัสสนาที่มีญาติมิตรนั่งปฏิบัติอยู่ด้วยใกล้ๆ ในยามที่ใกล้จะตายนั้น นับว่าโชคดี เพราะจะได้รับพลังสั่นสะเทือนของเมตตา อันจะช่วยให้ตายไปด้วยความสงบสุข ท่ามกลางบรรยากาศแห่งธรรมะที่ปราศจากความเศร้าโศกคร่ำครวญ

 สำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติวิปัสสนานั้น บางครั้งก็อาจจะได้ประสบกับชีวิตใหม่ที่น่าพอใจจากผลของกรรมดีที่ได้กระทำมา เช่น ความที่เป็นผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีศีล ธรรม มีคุณธรรม แต่นักวิปัสสนาที่ปฏิบัติอย่างมั่นคงแล้วจะได้รับผลพิเศษกว่านั้น เพราะจะมีโอกาสได้ปฏิบัติวิปัสสนาอีกในชาติต่อไป อันจะทำให้การเวียนว่ายในสังสารวัฏของเขาสั้นลง และทำให้สามารถบรรลุถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วขึ้น

 การที่เราได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมะในชาตินี้นั้น เป็นเพราะผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีตชาติ ฉะนั้น เราจึงต้องทำชีวิตปัจจุบันให้สมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนา เพื่อว่าเมื่อความตายมาเยือน เราจะได้สามารถเผชิญหน้ากับมันด้วยจิตที่เป็นอุเบกขา อันจะนำมาซึ่งความสุขใน ชีวิตภายหน้าต่อไป



photo from: Supasiri C.


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1393722_225428830952081_1859332039_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 27, 2013, 07:41:25 PM

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1385838_690927094271710_610038437_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/1384003_691412544223165_1261646078_n.jpg)




หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 27, 2013, 07:43:15 PM


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/1383010_678427192188367_76918527_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 27, 2013, 07:54:10 PM

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p480x480/1392805_678426445521775_222476790_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/1378572_676115999086153_1950573415_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/1238267_675611595803260_219688406_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p480x480/1240430_671503609547392_1767481525_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/1004921_554277327962870_1767302368_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/421801_534767829887638_1371277525_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/283803_231210456910045_1796977_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 10, 2013, 08:55:34 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/1174541_572867122776238_1758664227_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 10, 2013, 08:56:35 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p480x480/1375704_604722262924057_298329182_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 20, 2013, 05:29:45 PM


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1479417_10151706551741198_1099968450_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 20, 2013, 05:31:21 PM


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1474407_10152027412985535_681494047_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 26, 2013, 09:11:35 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/1452373_566686186741220_1186593978_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1483328_566685070074665_1533522564_n.jpg)




หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 26, 2013, 09:12:01 PM

https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1393357_552570828152756_2059188066_n.jpg


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 26, 2013, 09:13:32 PM

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/993430_546529912090181_285780857_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 27, 2013, 10:18:35 PM
การเกิดดับที่สัมผัสได้



(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1470299_490060521111200_1632191838_n.jpg)


ก า ร เ กิ ด ดั บ ที่ สั ม ผั ส ไ ด้
พระพุทธยานันทภิกขุ (หลวงพ่อดิเรก พุทธยานันโท)
วัดป่าพุทธยานันทาราม : ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

ดังที่ได้กล่าวมาแต่แรกแล้วว่า ความคิดมี ๒ กระแส

คือ กระแสเกิดกับกระแสดับ “กระแสเกิด” เรียกว่า “กระแสสมุทัยจิต”
คือความคิดที่ขาดสัมมาปัญญาเข้าไปรู้ทัน
มันก็พัฒนาตัวเป็นความอยาก เรียกว่า “สมุทัยสัจจ์”

ส่วนความคิดที่มีสัมมสติ เข้าไปรู้ เรียกว่า “นิโรธสัจจ์”
คือ เป็นความความคิดที่มีสติแล้วกำหนดรู้
จะเปลี่ยนเป็นสัมมาปัญญาทันที

ปัญญาตัวนี้มันจะช่วยจิตให้คิดเฉพาะเรื่อง
และคิดแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น

เช่น นั่งตรงนี้ รู้สึกปวดหนักปวดเบา
มันก็จะคิดว่าห้องน้ำมันอยู่ตรงไหน
กำหนดรู้แล้วลุกไปอย่างรู้ตัว
แล้วก็จบ มันก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ
เพียงแต่ประคองสัมปชัญญะให้รู้ตัวทั่วพร้อม
ขณะที่เดินไปหาเป้าหมายเท่านั้น

ฉะนั้นความคิดที่เป็นกระแสดับ
จึงเป็นความคิดที่ประกอบด้วยสัมมาปัญญา
เป็นความคิดที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ทำแล้วจบมันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น หมดหน้าที่แค่นั้น
นี้เรียกว่าความคิดที่เป็นกระแสดับ คือดับ “สังขารจิต”
ปัญญาญาณจะเข้าไปแทนที่ความคิด

ผู้ปฏิบัติต้องฝึกฝนอาการรู้ชนิดนี้ให้ชำนิชำนาญจนเป็นวสี
จิตก็จะสัมผัสปรมัตถ์ถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกิด “มัคคสมังคี”
คือการรวมลงของกระแสรู้ และประจักษ์แจ้งการเกิดดับของจิตในที่สุด
ตรงนี้ผู้ปฏิบัติต้องไปทำให้ถูก จำไปคิดคำนวณเอาไม่ได้เด็ดขาด

จิตที่สัมผัสการเกิดดับความความเป็นจริงแล้ว
จะทำหน้าที่ที่คอยตอบสนองต่อความต้องการที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นในเวลานั้นๆ

เราเรียกความรู้ชนิดนี้ว่า “ปัญญาญาณ” หรือ “วิปัสสนาญาณ”
หรือจะเรียกว่า “ยถาภูตญาณ” ก็ได้
เป็นความรู้ที่เกิดจากการเจริญสติปัฏฐานสี่ที่ถูกต้องเท่านั้น


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 27, 2013, 10:22:17 PM
จิตที่ติดสุข

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1452586_489602011157051_351364687_n.jpg)

เหตุแห่งการเกิดของมนุษย์เรานั้นประกอบไปด้วยกรรมดีที่เรียกว่า “ บุญ” และกรรมชั่วที่เรียกว่า “บาป” กรรมทั้งสองประเภทนี้ล้วนส่งผลที่ได้รับแตกต่างกัน โดยกรรมดีหรือบุญจะส่งผลในด้านบวกต่อจิตใจ คือ ความสุข ความสบาย ความร่ำรวย ความพึงพอใจ ส่วนกรรมชั่ว หรือบาปย่อมส่งผลในทางกลับกัน คือ ความทุกข์ ความไม่สบายใจ ความยากจน ความลำบากขัดสน แต่สุดท้ายแล้วกรรมทั้งสองประเภทนี้ก็สามารถเป็นเหตุปัจจัยในการเกิดได้เท่าๆกัน

มีผู้ปฏิบัติเคยตังคำถามกับผมว่า “ หากมั่นใจในชาตินี้เขาไม่ได้กระทำกรรมชั่วเพิ่มเติมและหมั่นทำบุญสร้างกุศลไม่ได้ขาด เพื่อที่ชาติหน้าเขาจะได้เกิดมาเสวยสุข ความเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่”

ความเข้าใจข้อนี้ถูกต้องในแง่ที่ว่าการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ผลบุญจากการกระทำนั้นๆ โดยในเบื้องต้นจะเห็นได้จากความรู้สึกสบายใจที่บังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเราได้ทำบุญ ทำความดี หรือ ประกอบกรรมดีใดๆ แต่ถึงกระนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่วต่างก็สลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาส่งผลต่อชีวิตของเราอยู่ดี ทำให้เราได้รับทั้งความสุขและทุกข์สลับกันไป เพราะสุขกับทุกข์นั้นเป็นของคู่กัน เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน มีขาว – มีดำ มีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน เราจึงไม่สามารถที่จะเลือกเอาแต่เฉพาะสื่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้ดั่งที่ใจต้องการ

คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความจริงที่ว่า ไม่ว่าเราจะเกิดมาร่ำรวย มีความสุข มีความสบายกว่าคนทั่วๆ ไปอย่างไร สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากความทุกข์ไปได้ บ้างก็ต้องทุกข์ใจเพราะลูก เพราะทรัพย์สมบัติ เพราะสังขาร (โรคภัย) หรือไม่ก็เรื่องความรัก เรื่องคู่ครอง เป็นต้น

ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้ปฏิบัติที่เพียรสร้างกรรมดีจะมีความมั่นใจว่าตนไม่มีกรรมชั่วหลงเหลืออยู่อย่างแน่นอน แต่หากยังมีความยึดติดในความสุขบังเกิดขึ้นภายในจิต กรรมดีอันเป็นเหตุแห่งการเกิดนั้นก็ยังสามารถทำให้พบกับความทุกข์ได้เช่นกัน นั่นคือทุกข์ที่เกิดกับสังขาร ด้วยเพราะเมื่อเริ่มต้นจากการเกิดแล้วก็ต้องมีการแก่ ตามมาด้วยการเจ็บ และจบลงที่การตาย อันเป็นความทุกข์ตามธรรมชาติซึ่งผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนจะต้องได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนั้นก็ยังมีทุกข์ทางใจอันได้แก่การพลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลที่ตนรัก และการที่ต้องจากสมมติโลกที่ตนคิดว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไป สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความทุกข์อันสืบเนื่องมาจากการเกิดทั้งสิ้น

ถึงตรงนี้ผู้ปฏิบัติคงพอเข้าใจกันมากขึ้นแล้วว่าหากยังคงต้องเกิดไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องได้พบกับความทุกข์เป็นแน่ เพราะการเกิดนั้นมันเป็นทุกข์ ทุกข์จากสิ่งที่ไม่จีรัง มีความเปลี่ยนแปลง และไม่อาจคงทนต่อการเปลี่ยนแปลง

แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าโดยพื้นฐานตามธรรมชาติของนิสัยมนุษย์ หากจะเปรียบเทียบระหว่างความตั้งใจที่จะละเว้นจากการสร้างกรรมเลวกับการทำบุญหรือการทำความดีแล้วไม่ยึดติดในผลบุญที่ได้กระทำลงไปประการหลังคงจะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากกว่ามากมายนัก

คนปกติทั่วไปเมื่อทำบุญก็ย่อมต้องมุ่งหวังในอานิสงส์ผลบุญนั้นเป็นธรรมดา เพราะเราทุกคนต่างก็ถูกปลูกฝังความเชื่อนี้สืบทอดต่อๆกันมา ตั้งแต่เราเริ่มจำความได้ และเราก็มีพัฒนาการกันอย่างรวดเร็วในการเรียนรู้ที่จะอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ ตามที่ใจเราปราถนา เริ่มจากเรื่องการเรียน การงาน ความรัก ความร่ำรวย โชคลาภ สุขภาพ และอีกมากมาย ซึ่งเมื่อความเชื่อดังกล่าวนี้ได้ถูกหล่อหลอมเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรา จึงส่งผลทำให้จิตของเรารู้สึกพึงพอใจในความสุขที่บังเกิดจากการที่บังเกิดจากการทำบุญ กลายเป็นจิตติดสุข และในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยวางไม่ให้จิตไปยึดติดในบุญที่เราได้กระทำ

ผู้ปฏิบัติจึงต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เกิดภูมิความรู้แจ้งว่าแท้ที่จริงแล้วการเกิดนั้นสำคัญกว่ากรรมที่เราจะได้รับจากการเกิดมากมายนัก ในการเกิดแต่ละครั้งมีความเสี่ยงสูงมากที่จิตจะต้องมาแปดเปื้อน เพราะกิเลสเสี่ยงต่อการหลง อยู่กับมายาความคิดและความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งจะเป็นเหตุที่นำพาให้ดวงจิตที่หลงนั้นห่างไกลออกไปจากพระนิพพานมากขึ้นทุกทีๆ

การเกิดจึงเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง ถ้าหยุดการเกิดได้เมื่อไรความทุกข์ทั้งปวงก็จะหมดลงตามไปด้วย รู้เช่นนี้แล้วผู้ปฏิบัติจึงต้องรีบเร่งทำความเพียรและอย่ายึดติดในความสุข จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปอีกชาติหนึ่ง จิตที่สามารถปล่อยวางได้จากกิเลสมายาทั้งปวงบนโลกสมมติใบนี้จึงเป็นจิตที่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างแท้จริง




ที่มา : หนังสือ "นิพพานใกล้แค่เอื้อม" หน้า 14 -17



หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 28, 2013, 09:23:05 PM

(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/bc/Biogradska_suma.jpg)




Life 101 Co.,Ltd.

» เรื่องเล่าของ...หลวงปู่ชา สุภัทโท : ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง

เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน



ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ

พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า

กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตาม ๆ กัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ

พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

======


วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน

- ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง

- เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า

ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี

- ตอนหัวค่ำ...มีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า

ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

- ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที

ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง นอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้

ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น

ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่

ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

======


อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า

ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนาน ๆ

ครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

วัน ๆ ไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง

(เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน

การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัย

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย

อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว

ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น

และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง

ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

======


เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ...

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย

ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน

ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา

แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง

ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ ๆ


"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว

ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น

เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน

มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง

นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี”


“คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน

แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น

หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่

แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก"

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า

ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

======


ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น

ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย

นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินาน ๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

จากคนพูดมาก...กลายเป็นคนพูดน้อย
จากคนที่หยิ่งยโส...กลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่น...กลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว

ท่านก็ยังไม่ยอมสึก

"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถ

พลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่

======


Credit : www.thammasatu.net (http://www.thammasatu.net) | คัดลอกจาก จิรเมธ ศรีโยธี


#Life101Page #หลวงปู่ชา


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 06, 2013, 10:39:04 PM

(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/q71/1384227_655198237858800_2090226931_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 10, 2013, 08:46:16 PM

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

เราอาศัยของสมมุติเป็นอยู่ แล้วเรามาหลงสมมุติอันนั้น
ว่าเรา ว่าเขา อย่างนี้เป็นต้น ก็เลยมาติดสมมุติ ติดบัญญัติ
ติดข้าวของเงินทอง ติดลาภ ติดยศ ติดมั่ง ติดมี ติดทุกข์ ติดยาก
ไม่ต้องการไปทางไหน พากันดีใจอยู่ว่าเราไม่มีโทษ
ความเป็นจริงโทษของพวกเรานี้
ถ้าเราอยู่ในฐานนี้คือมนุษย์โลก ไม่ได้มีความสุขหรอก
จะต้องเดือดร้อนกระวนกระวายอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสือ ภาวนาคือพิจาณาให้รู้ตามเป็นจริง
มรดกธรรม เล่มที่ ๑๐ น.๓๓


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1499430_728053583872273_1939891649_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 10, 2013, 08:55:13 PM
พระไพศาล วิสาโล

จวงจื๊อ ปราชญ์จีนเมื่อ ๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว เล่าว่ามีชายคนหนึ่งรำคาญเงาของตัวเองมาก อีกทั้งยังทนรอยเท้าของตัวไม่ได้ เขาจึงพยายามวิ่งหนีจากทั้งสองสิ่งนี้ แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปไหน เงาและรอยเท้าก็ยังติดตามเขาไป เขาคิดว่าเขาวิ่งเร็วไม่พอ จึงเร่งฝีเท้...า ไม่ยอมหยุด วิ่งแล้ววิ่งเล่า ในที่สุดก็หมดแรง ล้มลงและถึงแก่ความตาย แล้วจวงจื๊อก็ตบท้ายว่า “เขาหารู้ไม่ว่า ถ้าเพียงแต่เขาเข้าร่ม เงาก็จะหายไป และถ้าเขานั่งนิ่ง ๆ ก็จะไม่มีรอยเท้าเลย”

คนทุกวันนี้ไม่ต่างจากคนหนีเงา พยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีทุกข์ โดยคิดว่าเป็นความสุข แต่ทุกข์ก็ยังตามมาไม่หยุด เขาหารู้ไม่ว่า ความทุกข์จะหมดไปเมื่อเขาหันเข้าหาร่มแห่งธรรมและทำใจให้นิ่งสงบ

ถึงที่สุดแล้ว ใครจะมีความสุขหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาออกไปตักตวงแสวงหาทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศได้สำเร็จหรือไม่ แต่อยู่ที่เขามีความสงบนิ่งได้มากน้อยเพียงใดต่างหาก



(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/1459294_796742187019767_1650963210_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 12, 2013, 09:50:52 AM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1463128_209915679195659_1925345284_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 12, 2013, 09:51:28 AM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1476718_209652849221942_1542225369_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 12, 2013, 09:51:53 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1455115_209284115925482_1852185655_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 12, 2013, 09:52:20 AM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1471175_209161079271119_2134416474_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 12, 2013, 05:26:46 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1465273_647329335318401_1574815356_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 12, 2013, 05:27:09 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1465245_646884895362845_1915103865_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 12, 2013, 05:27:37 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1458490_646513508733317_463670818_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 17, 2013, 09:18:50 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p480x480/960082_715092545188498_1930013477_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 17, 2013, 09:19:27 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1472731_10152085180300535_1513515101_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 17, 2013, 09:20:26 PM


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1479299_712514278779658_535343305_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 17, 2013, 09:23:26 PM
เรื่องเล่าวันพระ: ต่ออายุพ่อแม่
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ วัดสนามใน
เขียนเล่าเรื่อง พระไพศาล วิสาโล


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1474476_434394223352771_1306634559_n.jpg)

เมื่อครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เคยมีอาชีพเป็นพ่อค้า ไปทำมาค้าขายที่ประเทศลาวอยู่เป็นประจำ เมื่อบวชแล้วท่านก็ยังได้รับนิมนต...์ให้ไปสอนธรรมที่นั้นอยู่หลายครั้ง เนื่องจากวัดป่าพุทธยานซึ่งเป็นสำนักแรกที่ท่านบุกเบิกที่จังหวัดเลยนั้น อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำโขงเท่าใดนัก

แนวการสอนธรรมของหลวงพ่อไม่เหมือนพระรูปอื่น ๆ ท่านเน้นที่แก่นธรรมมากกว่ากระพี้ จึงพยายามชักชวนผู้คนให้ปฏิบัติธรรมแทนที่จะหมกมุ่นกับพิธีรีตอง แต่ท่านไม่ได้ชักชวนด้วยการพูดเฉย ๆ หากมักจะทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง

ในการจาริกไปประเทศลาวครั้งหนึ่ง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปสวดต่ออายุโยมคนหนึ่งซึ่งเป็นแม่ของเจ้าภาพ เมื่อไปถึงท่านก็นิ่งเงียบ ไม่ได้สวดเหมือนพระรูปอื่น ๆ เจ้าภาพจึงไม่ถวายจตุปัจจัย แต่หลวงพ่อหาได้สนใจไม่ เสร็จพิธีแล้วหลวงพ่อก็ได้ชี้แจงเจ้าภาพว่า หากต้องการต่ออายุพ่อแม่จะต้องทำดีต่อท่าน ไม่ใช่เพียงแค่นิมนต์พระมาสวดแล้วหวังว่าท่านจะอายุยืนกล่าวจบ ท่านก็ชวนลูก ๆ ให้กราบพ่อแม่ตามท่าน ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ฮือฮากันว่าผิดประเพณี เพราะไม่เคยเห็นพระกราบโยม
หลวงพ่อจึงอธิบายว่า
“อาตมาไม่ได้กราบโยม อาตมากราบตัวเองที่สามารถสั่งสอนคนให้เข้าใจได้ว่า การต่ออายุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร”[/b][/size]


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 17, 2013, 09:25:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p480x480/1459184_707681162596303_1270983956_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 01, 2014, 10:51:17 AM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/1497579_739243252753306_1618041228_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 01, 2014, 10:58:00 AM


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1503891_1451556625067546_276005900_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/1545823_10152119967425535_893682782_n.png)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p480x480/1545825_10152118709585535_110652367_n.jpg)
ส.ค.ศ = สร่างความโศก หมดความทุกข์

ชีวิตเย็น เพราะไม่เห็นแก่ตัว
พุทธทาสภิกขุ


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1486813_692077434159349_357881003_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p480x480/1513174_486943591426391_2084436631_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/1535532_487356114718472_1325159194_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 01, 2014, 11:01:51 AM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1525692_736255786385386_1262886810_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p480x480/1484083_737676492909982_1256325651_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/p480x480/1489036_736255993052032_1758162199_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/1554472_738481599496138_1735025739_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/999469_736257253051906_1990167848_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 01, 2014, 11:02:41 AM
]
ถ้าความโลภเป็นสิ่งที่ทำให้อิ่มได้ มนุษย์ก็จะไม่รบกัน
เพราะอิ่มไม่ได้ จึงรบกันอย่างนิรันดร
"ท่านพุทธทาสภิกขุ"

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/733831_385296968273985_236467226_n.jpg)
ขอบคุณรูปภาพ"วัดพุมเรียงฯ"

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1538743_10152112882745535_807783946_n.png)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p480x480/1524830_10152112780660535_1110961804_n.png)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/p480x480/1521536_486446781476072_1637037720_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 08, 2014, 12:53:54 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1482747_389873881149627_1935893457_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 08, 2014, 12:54:23 PM



(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1557674_215097545345134_1849298230_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 08, 2014, 12:59:29 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p403x403/1479404_218808871639673_1687834108_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/p403x403/379709_213714072149153_1634946481_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p403x403/1531982_726474680698123_1466836117_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 08, 2014, 12:59:59 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p403x403/1506976_213713932149167_1090710601_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/p403x403/1536659_215915928595634_1225407650_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p403x403/1536445_217952055058688_1298428969_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p403x403/1479407_213713858815841_2075855459_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p403x403/1532135_217951601725400_1748867919_n.jpg)




หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 08, 2014, 01:01:43 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/p403x403/1011661_218805348306692_1079781961_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/p403x403/1526132_217952348391992_2008335491_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/s403x403/1521418_782466098437127_1797723184_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 12, 2014, 06:02:47 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/375701_496575690460245_1302451426_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 09:46:38 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/1535633_791277574222204_943486660_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 09:50:10 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1531922_787623491254279_1962851918_n.jpg)



หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 09:54:05 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1524587_783446571671971_1069824159_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1510844_782693405080621_2126955495_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1532162_782692785080683_240403416_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1484159_781888528494442_169322252_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1506602_780771481939480_596441796_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1480570_780771005272861_333974695_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 09:54:35 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1476347_775577885792173_1065180452_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 15, 2014, 09:57:29 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/532124_775577715792190_390729050_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/1477744_775040892512539_1444995797_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1497725_774231625926799_2103515958_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 23, 2014, 09:06:36 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1003080_748269545184010_1118022556_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/1560583_752639044747060_1360378034_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1526907_748271261850505_192282641_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/1525496_748270968517201_382351371_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1531584_748270678517230_231383549_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/1560581_394764953993853_222065199_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 29, 2014, 08:56:16 AM


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/1779114_739103942768701_1954843731_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2014, 08:14:37 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1545689_505832206204196_1572601073_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 02, 2014, 08:15:34 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/46054_252661261561251_838587278_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 08:44:03 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1510966_781435651884516_2065958128_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 08:55:34 PM

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1511553_254681971359180_1264075830_n.png)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/999378_254434591383918_103081649_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1781963_254376014723109_1644706036_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1620501_254872554673455_1873764718_n.jpg)
ทุกอย่าง ตายแล้วเอาไปไม่ได้
เพราะธรรมชาติกำหนดไว้ สำหรับอยู่กันในโลกนี้
""ท่านพุทธทาสภิกขุ""

ขอบคุณรูปภาพเสรีชน คนไชยานะคะ


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 08:58:14 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1609901_255229291304448_1980825543_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1619383_254666494694061_556999167_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1891275_254368034723907_765050662_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1620939_254121288081915_463095_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1601030_254056858088358_1915475932_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 09:00:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1609619_254407108053333_319728538_n.jpg)

“ ...คำพูดที่ว่า สุดแล้วแต่โชคชะตา
อันนี้เป็นคำพูดของคนหลงผิด
แล้วมักปล่อยชีวิตไปตามเรื่องตามราว
ถ้าเป็นเรือก็เรียกว่า ไม่ถ่อไม้พาย ไม่เดินเครื่องแล้ว
สุดแล้วแต่เรื่อง เรือมันก็ไปชนหินโสกโครกเท่านั้นเอง
แล้วเรือนั้นก็ไปไม่ได้ ชีวิตของคนเรานั้นก็เหมือนกัน
คนใดที่ชอบพูดว่า สุดแล้วแต่โชคชะตา
คนนั้นไม่ใช่คนต่อสู้ในการดำรงชีวิต
แต่เป็นคนที่ไม่ค่อยจะเอาเรื่อง มักจะเป็นไปตามเหตุการณ์
เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม ผลที่สุดก็ไม่ค่อยได้สาระ...”

ปัญญานันทภิกขุ
(จากหนังสือชนะทุกข์ หน้า 407)



(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1002303_252815178212526_1129118804_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 09:01:02 PM



(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1555477_632867190083382_2069164553_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 07, 2014, 09:06:31 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1656327_679565568733442_861657822_n.jpg)

...อุบายสอนศิษย์..ของพระอรหันต์..

อุบาสิกาท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

"หลวงปู่เจ้าค่ะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ"

"อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม"

"อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่"

หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

"อีตอแหล!"

สิ้นคำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่าหลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่า ทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้

หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึ ๆ ไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

...หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม...


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1901832_532783646838887_53991320_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 08, 2014, 11:17:03 AM

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1511724_632867326750035_865548645_n.jpg)


คนอื่นไม่ดี เราพอรู้ได้ แต่เราเป็นคนไม่ดีในการคิด การพูดและการทำ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องของตัว จึงหาทางแก้ไขยาก ทำนองเรามองดูขนตาคนอื่นเห็นได้ชัด แต่พอย้อนกลับมามองดูขนตาของเราเองเลยไม่เห็น ต้องใช้กระจกเงาเข้าช่วยมองจึงเห็นได้ การมองดูความผิด ถูก ชั่ว ดีของตัวก็ต้องใช้ปัญญา ซึ่งเปรียบกับกระจกเงาส่องเข้าหาตัวเราเสมอ เราสังเกตคนอื่นอย่างไร ควรจะใช้ความสังเกตตัวเราในทำนองเดียวกัน หรือมากกว่านั้น ถ้าใช้ความสังเกตสอดรู้ตัวเองดังที่ว่านี้ จะต้องเห็นจุดดีชั่ว ซึ่งแสดงอยู่ภายในตัวได้ชัด และพอมีทางแก้ไขและส่งเสริมได้เป็นลำดับ ในธรรมที่กล่าวมานี้คือ ธรรมที่ชี้บอกให้ค้นหาของดีในตัวของเราแต่ละราย ๆ พยายามถอดถอนสิ่งที่ชั่วออกไป

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
จากหนังสือคำถาม คำตอบ ปัญหาธรรม


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 08:11:15 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1510918_257261261101251_79201703_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1010781_256903877803656_1735832699_n.png)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1009983_256748971152480_1176692334_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 08:11:28 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1798709_257619337732110_1177290514_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1912535_256854004475310_1370279959_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 08:11:47 AM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1901122_256787697815274_1952791584_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1662147_256788997815144_741874077_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 14, 2014, 08:12:09 AM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1899904_257289957765048_1506646251_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1901491_257480534412657_1693941593_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/11585_196241160586969_1286538141_n.jpg)





หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 10:00:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/993018_646482918745476_2135562582_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 17, 2014, 10:01:08 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1798698_644526965607738_695658700_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 18, 2014, 05:27:36 PM



(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1622274_495772687201636_289087585_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 22, 2014, 10:45:13 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1014422_762234610473100_680654620_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1781944_762973697065858_561287500_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1958258_762234507139777_351812616_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1619278_761519820544579_540496811_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1620829_761519873877907_462057811_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1619419_761519907211237_1111802570_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/1924918_761519987211229_1226516541_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1/1922333_761520063877888_1468711152_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1779182_761520107211217_349534101_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1618685_761520140544547_536394660_n.jpg)

(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1797442_761520167211211_2049368955_n.jpg)

Watcharin Kongtanasatja


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:20:55 AM
ธรรมะ ๙ ตา !!

๑. ความรู้จักสิ่งทั้งปวงว่า เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่ง และจะปรุงแต่งสิ่งอื่นๆอีกต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด นั้นคือ กระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง หรือ ความไม่เที่ยง ซึ่งเรียกว่า “ อนิจจัง”.

๒. เพราะต้องเป็นไปกับด้วยสิ่งที่เป็นอนิจจังหรือการเปลี่ยนแปลงเรื่อย ก็เกิดอาการที่เป็นทุกข์ คือ ทนได้ยาก(ทนอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ตลอดไป) หรือ สิ่งที่เรียกว่า “ ทุกขัง ”.**

๓. เพราะไม่มีอะไรจะต้านทานได้ ต่อสิ่งที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์นี้จึงเรียกว่า ไม่มีตัวตน หรือ ไม่ใช่ตัวตน หรือ “อนัตตา”.

๔. การที่เป็นไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ เรียกว่า
“ธัมมัฏฐิตัตตา” คือ ความที่ต้องเป็นไปเช่นนี้ เป็นธรรมดา.

๕. ทั้งนี้เป็นเพราะ มีกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ นี้เรียกว่า “ธรรมนิยามตา”.

๖. อาการที่ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างนี้ เรียกว่า
“ อิทัปปัจจยตา " เป็นกฎธรรมชาติ มีอำนาจเสมอสิ่งที่เรียกว่า “ พระเป็นเจ้า”.

๗. การที่ไม่มีอะไรต้านทานกฏอิทัปปัจจยตานี้ได้ เรียกว่า “ สุญญตา” คือ ความว่างจากตัวตน หรือ ว่างจากความหมายแห่งตัวตน.

๘. ความจริงอันสูงสุดเรียกว่า “ตถตา” คือ ความเป็นเช่นนั้นเอง อย่างไม่ฟังเสียงใคร ใครจะฝืนให้เป็นไปตามใจตนมันก็กัดเอง คือ เป็นทุกข์.

๙. ในที่สุดก็เกิดความรู้สึกขั้นสุดท้ายว่า “ อตัมมยตา” ความที่ไม่อาจอาศัย หรือ เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้อีกต่อไป ซึ่งมีความหมายอย่างภาษาชาวบ้านพูดว่า “ กูไม่เอากะอีกต่อไปแล้ว ” สลัดออกไปเสีย ก็คือ การบรรลุมรรคผล.

" ธัมมฐิติญาณ " รู้ความจริงของสังขาร ก็สุดลงที่ อตัมมยตา ต่อจากนั้นก็เป็นกลุ่มนิพพานญาณ เป็นฝ่าย โลกุตตระ เริ่มต้นแห่งความเย็น หรือ ความหมายของนิพพาน.

(พุทธทาส ภิกขุ)

คำว่า " ทุกขัง " ในที่นี้ เป็น ความทุกข์ใน ไตรลักษณ์ มิใช่ " ทุกขัง " ในอริยสัจ ๔..


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1939872_415536685250013_562213860_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:21:16 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1966898_767685879927973_2040506596_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:22:42 AM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/1969379_767685993261295_1758949845_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/75969_767686099927951_2086770477_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 12:03:21 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1/1517446_1451719395061644_367359924_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 12:04:20 AM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1653515_645428848827216_1635683676_n.jpg)




(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash4/t1/1979524_645421408827960_1338358968_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 08, 2014, 12:04:44 AM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1/1794511_527366807384069_1344653746_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 15, 2014, 08:55:52 AM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1/541938_294124884075732_1667190213_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 15, 2014, 03:42:39 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1/538041_1414341935489591_1624306388_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 23, 2014, 09:27:00 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10014709_647186112015402_46047414_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มีนาคม 30, 2014, 11:40:53 AM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/1966716_654656594571108_1319406280_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1795619_272138079613569_1483170764_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc1/t1.0-9/1002649_271954212965289_1600099191_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1902840_271675646326479_1995319842_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/1010304_300419373446283_1807725975_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:18:22 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/v/t1.0-9/1394178_604363406276627_1835745516_n.jpg?oh=8be1d519a1e73fbc0f72215927419f23&oe=53CD604F&__gda__=1404991886_da1745be1866a644139b6d62255cfed4)

"ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน
ผู้มีปัญญา ซึ่งมี ธรรมเป็นเครื่องอยู่
มีความเพียร แยกกิเลสให้หมดไป
จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียร
ทั้งกลางวัน และ กลางคืน"

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:19:50 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1382201_604356322944002_1554432904_n.jpg)

"พระพุทธเจ้าสอนลงในจุดรวมว่า
ผู้ที่จะไปสู่ภพชาติใดๆ ต้องขึ้นอยู่กับจิตนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นจงสร้างจิตฝึกฝนอบรมจิตให้ดีเป็นสำคัญ
ถ้าอบรมจิตนี้ด้วยดี คือ โดยศีล โดยธรรมแล้ว
จะมีสักกี่ร้อยล้านภพภูมิของสัตว์ก็ตาม
จิตจะเกิดในภพภูมิที่ดีเท่านั้น
เหมาะสมกับวาสนาบารมีของตน"



(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/1382994_604154906297477_1601786313_n.jpg)

"ปริยัติเปรียบดังแบบแปลนสร้างบ้าน
ปฏิบัติเปรียบดังการลงมือสร้างบ้าน
ปฏิเวธเปรียบดังการเข้าไปอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว

จิตไม่เสื่อมเป็นผลของการภาวนา บุญทุกอย่างที่สร้างไว้ทุกภพทุกชาติ มารวมตัวอยู่ที่การภาวนา เห็นได้จากการภาวนา
จิตนี้ไม่มีตาย เชื้อของภพชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือ อวิชชาเป็นรากฐานสำคัญ"

100 ปี ชาตกาล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:21:12 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/1378175_604170019629299_1580047531_n.jpg)

“คนที่ไม่มีโรคทางกายนับว่าประเสริฐ
แต่คนที่ไม่มีโรคทางใจคือกิเลสที่ประเสริฐกว่า”

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:24:24 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-ash3/l/t1.0-9/1378597_604137242965910_215449277_n.jpg)

"..การปฏิบัติธรรมกันให้มากที่สุดเท่านั้น
ที่จะช่วยให้โลกร้อนน้อยลง สว่างขึ้น อันตรายลดน้อยลง คนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อ จะปฏิบัติธรรมเพียงใดหรือไม่
ไม่มีใครบังคับได้ แต่ทุกคนบังคับตัวเองได้

จึงใคร่ขอให้ช่วยกันบังคับใจตนเอง ให้มาใฝ่ธรรม ปฏิบัติธรรม ให้ยิ่งขึ้นเถิด จะเป็นการช่วยทั้งตนเอง และช่วยทั้งโลกให้มีความสุข ความร่มเย็น ความสว่างไสว ห่างไกลจากความเดือดร้อน จากภัยพิบัตินานาประการ.."

ฑีฆายุโก โหตุ มหาสังฆราชา
100 พระชันษา สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 28, 2014, 05:25:03 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/1395170_604119512967683_1574403236_n.jpg)

โยม : ท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าค่ะ???

หลวงปู่ชา : ต้นไม้ผลิดอกออกผล มีนกมาเกาะกิ่งไม้
แล้วจิกกินผลไม้นั้น จะหวานหรือเปรี้ยว เป็นเรื่องของนกที่จะรู้ได้ แต่ต้นไม้ไม่รู้อะไรเลย

อย่าเป็นพระพุทธเจ้า อย่าเป็นพระอรหันต์ อย่าเป็นพระโพธิสัตว์ อย่าเป็นอะไรเลย

การ "เป็นอะไร" ก็มีแต่ความทุกข์เท่านั้นแหละ
เราไม่มีความจำเป็น ต้องเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง

หลวงปู่ชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 30, 2014, 11:10:44 AM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10334270_664804206888807_7305901454132667097_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 06, 2014, 03:43:44 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/q71/s720x720/10289848_671675819535852_8061831420145475404_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:53:49 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10325241_1509005905989284_6777472644499883_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 05:58:41 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/10341617_1492065234341838_6926427093276036454_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 06:00:10 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10277515_1491924514355910_6617864097578850476_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 06:04:34 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10371502_10152410195365535_4425207018114171321_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 06:04:46 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc3/t1.0-9/1239614_10152409119805535_5198553084852846359_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 06:05:20 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-frc3/t1.0-9/10273428_10152407536660535_7043190412074642945_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 06:05:49 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn1/t1.0-9/10270397_10152407509555535_2596037648570479389_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 13, 2014, 06:06:27 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10334317_10152407220575535_7187978981139667241_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:38:11 PM
(https://scontent-b-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-prn2/t1.0-9/10407187_1424108261190259_2765905805910462246_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:41:05 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10364129_670477706321391_5808175004986795151_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:45:33 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10257471_1424109377856814_8906243640865224264_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:48:01 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10354094_678321572204610_3173909496857895497_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:48:23 PM
(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10300116_678320782204689_2407960044260449586_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:49:48 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10402882_677860595584041_6230928921928922337_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:50:11 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10351976_677859888917445_4597574863219619428_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:51:04 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-frc3/t1.0-9/10363264_677859558917478_5247825583468741624_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:51:34 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10314685_677543352282432_95441929742516848_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:51:48 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-ash3/t1.0-9/10325385_677424082294359_5223652859636007852_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:52:23 PM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn2/t1.0-9/10395839_677423815627719_7541123790042477728_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤษภาคม 21, 2014, 10:52:42 PM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10296994_677423318961102_1888041897068736007_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:26:00 PM
(https://fbcdn-sphotos-g-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xaf1/t1.0-9/10152512_249976815203806_3233735481321035399_n.jpg)

>>> อย่าทำความดีเหมือนไฟไหม้ฟาง <<<

คนที่สร้างความดีไม่ได้ดีนั้น
มักมีกรรมมาบัง เพราะว่า

สร้างความดีผิดตัวบุคคล ๑
สร้างความดีผิดกาลเวลา ๑
สร้างความดีไม่เสมอต้นเสมอปลาย ๑
ทำเป็นกระท่อนกระแท่น ทำๆ หยุดๆ
อย่างนี้แล้วจะได้ดีได้อย่างไร...ไม่ได้ดีหรอก

ทำดีได้ดีก็ทำเสมอต้นเสมอปลาย...ทำให้ติดต่อกันไป
เรามาสร้างความดี...แต่ก็กลับเลิกล้มกลางคัน
เหมือนไฟไหม้กองฟาง
เดี๋ยวก็ไหม้หมดแล้ว...ไม่มีอะไรดีติดตัวไป


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:29:54 PM
(https://scontent-b-hkg.xx.fbcdn.net/hphotos-xpf1/t1.0-9/10303290_929820467045271_8066675593863252510_n.jpg)



(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10460505_929247850435866_4287703448471317048_n.jpg)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/t1.0-9/10441971_928558097171508_6242763197705965783_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:31:40 PM
(https://fbcdn-sphotos-d-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/t1.0-9/10369995_927878230572828_2839448656909179549_n.png)


(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/t1.0-9/10306229_925281414165843_6081143733566535334_n.png)


(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-prn1/t1.0-9/10320481_924648507562467_6888013007450568150_n.png)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 12, 2014, 10:45:41 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfa1/t1.0-9/10169404_313442082148177_39016198544662798_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 26, 2014, 09:50:46 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/t1.0-9/10423626_937802352913749_2167281427371378100_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 26, 2014, 09:52:00 PM
(https://scontent-a-sin.xx.fbcdn.net/hphotos-xpa1/t1.0-9/10441053_672540929489078_5461950915803457896_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 16, 2014, 07:15:27 PM
(https://scontent-a-kul.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/t1.0-9/10320491_10154404191350085_986090156075834579_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 19, 2014, 04:57:51 PM
“เรามักมองว่าการมีสุขภาพดี
ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย กินอิ่มนอนอุ่น
ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต
จึงมักมองข้ามไป

แต่กลับไปใส่ใจ
 เรื่องอื่นๆเช่น ทรัพย์สินเงินทอง
 ชื่อเสียง อำนาจ ฯลฯ พอขาดสิ่งเหล่านี้
 หรือมีน้อยลงไป จึงรู้สึกเป็นทุกข์

 ทั้งๆที่เรายังมีสิ่งดีอื่นๆในชีวิตอีกมากมาย
 ที่ควรให้ความสำคัญ หากเรามองเป็น
 ก็จะไม่ทุกข์ หรือทุกข์น้อยลงมาก”

:::::::::::::::::::::::::::::

พระไพศาล วิสาโล
Cr ศาลาวัด


(https://fbcdn-sphotos-f-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xfp1/t1.0-9/10516745_664600903615171_3231543321868090461_n.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 03, 2015, 10:14:15 PM
(https://fbcdn-sphotos-a-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xpf1/v/t1.0-9/11021222_1019047224776662_6417816034495347552_n.jpg?oh=b532999811109db955e4dd5bd9b72900&oe=5570E93B&__gda__=1437762308_5ced10eae46eae4341e66ee6e5c95817)


วันนี้วันพระ...
"ความประมาท ในการพูด"
"…มหาบุรุษนั้นมีคำกล่าวถึงไว้ว่า จะรอบคอบระมัดระวังมากในการพูด
จนถึงการฝึกการพูดกับตนเองก่อนจะพูดกับผู้อื่น คำใดประโยคใดเรื่องใดที่จะพูดออกไป
แม้ให้ผลเป็นความไม่ดีงามแก่ตนเอง เช่นพูดออกไปแล้วพ่ายแพ้ต่อคำพูดของผู้อื่น จะไม่พูดออกไป

นั่นเป็นการพูดออกไปแล้วเสียกับผู้พูด ความเสียหายเช่นนั้นเมื่อไม่ร้ายแรงหนักหนา
ก็พอจะไม่ถือว่าผู้พูดประมาท แต่ถ้าเป็นความเสียหายที่ใหญ่ยิ่ง เช่นเป็นความเสียหายถึงส่วนรวม เช่น
ทำให้เกิดการแตกสามัคคี เช่นนี้การพูดนั้นนับว่าเป็นการพูดที่ผู้พูดประมาทมาก
การก่อให้แตกความสามัคคีจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
ถือว่าผู้พูดเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาท ก่อโทษให้เกิด แม้เริ่มต้นที่ส่วนน้อย
แต่ย่อมขยายใหญ่โตออกไปได้ ผลเสียหายแม้เริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเพียงในวงแคบ
แต่ขยายใหญ่ต่อไปได้ ผลไม่ดีที่จะเกิดจากความแตกสามัคคี
จะขยายใหญ่ถึงบ้านถึงเมืองได้แน่นอน
"ความประมาทในการพูด" จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ได้ ใหญ่เพียงใดก็ได้..."

แสงส่องใจ วันมหาจักรี ๒๕๔๘
 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
Cr I Will Do for King 


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 03, 2015, 10:17:16 PM
(https://fbcdn-sphotos-c-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xat1/v/t1.0-9/11111211_10153147230310535_6562842292992460296_n.png?oh=a78ef7becf2f78213a5a87bab08515bb&oe=55BB5571&__gda__=1433454003_878dfb9f987ad9f1c718c3e343c28736)


สามารถมีความสุขอยู่ทุก ๆ ขั้นตอนของการมีชีวิต ของการบริหารชีวิต นี่ทำไมจึงไม่มองเห็น ? ทำไมจึงไม่มองเอาความสุขกันที่ตรงนี้ซึ่งเป็นของจริง ? จะไปเอาความสุขกันที่สวรรค์วิมานที่ไหนที่ก็ยังไม่รู้ ที่ก็ยังไม่มีอะไรเป็นที่แน่นอน...

การทำหน้าที่ของตน ๆ นั่นแหละคือการมีธรรมะ

 ข้อนี้อาจจะเป็นที่ไม่เข้าใจ แก่คนที่มีความยึดถือไว้สูงเกินไป ยกเอาเรื่องที่จะต้องปฏิบัติในชั้นสูงที่วัดหรือในป่าหรือในที่อันศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นธรรมะ

 แต่เดี๋ยวนี้อาตมาอยากจะให้เป็นธรรมะ ตามความหมายอันแท้จริงของคำคำนี้ คือความหมายว่าหน้าที่ พูดกันอีกครั้งหนึ่งก็ได้ว่า มนุษย์คนแรกในโลก ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ ที่มันเป็นของมีอยู่และจำเป็น เขาก็เลยเรียกชื่อสิ่งนั้นว่า ธรรมะ ในภาษานั้น ในถิ่นนั้น ในเวลานั้น ในยุคนั้น ธรรมะ แปลว่าหน้าที่ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมะก็คือการปฏิบัติสิ่งซึ่งเป็นหน้าที่

 เมื่อเขายังรู้จักสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ต่ำ ๆ อยู่ ก็สอนธรรมะต่ำ ๆ กันไปพลาง ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้น ก็สอนธรรมะคือหน้าที่ชั้นสูงสุด จนกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน มันก็ยังเป็นหน้าที่อยู่นั่นเอง

 หน้าที่นั้นมันมีอยู่ ๒ ชั้น หรือ ๒ ระดับ
 พูดแล้วพูดอีกไม่กลัวใครรำคาญ...

หน้าที่ชั้นแรก ระดับแรก ก็คือหน้าที่เพื่อให้รอดชีวิตอยู่ได้ นี้ชั้นหนึ่ง
 หน้าที่ชั้นที่ ๒ ระดับที่ ๒ ก็คือหน้าที่ที่ทำให้อยู่เป็นสุขปราศจากทุกข์

 พุทธทาสภิกขุ
 ที่มา ธรรมะคำเดียว



หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ เมษายน 22, 2015, 09:58:56 AM
(https://fbcdn-sphotos-h-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xap1/v/t1.0-9/11182197_10153194073710535_8697216151489743972_n.png?oh=a14d852b38ac4aeed6b4f02d9b4d3fbc&oe=55D0A9C0&__gda__=1440350101_6cae21c8123efb1258f2b2148042a8e6)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 23, 2015, 06:33:35 PM
(https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/1962812_469541149889029_6365883058358869255_n.jpg?oh=4b96dfb3e88dab4177754eb8be9ff3ed&oe=562FCD67)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 23, 2015, 06:33:57 PM
(https://scontent-sin1-1.xx.fbcdn.net/hphotos-xfp1/v/t1.0-9/10410512_1218448264849155_8708147378761338577_n.jpg?oh=19fcc0ff593fe5cca5d4cc493f2beb09&oe=562C8D2A)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กรกฎาคม 23, 2015, 01:27:08 PM
(https://fbcdn-sphotos-b-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xft1/v/t1.0-9/11745320_10153599423569835_2546493610802883334_n.jpg?oh=2639da66df885396c9752c535240e6f6&oe=564B8FC2&__gda__=1443857200_ae12316d93d8455d64160b0766825bf9)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 04, 2015, 09:24:11 AM
เวลามีชีวิตอยู่ใครก็พอช่วยเราได้
 ขาดตกบกพร่องจำเป็นอะไรๆ
เพื่อนฝูง ลูกเมีย หรือผัว ช่วยได้ทั้งนั้น
แต่เวลาจำเป็นจริงๆนี้ หมอก็ช่วยได้ในทางเจ็บไข้ได้ป่วย
แต่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ นั่นล่ะ ไม่มีใครช่วยได้
ยิ่งเวลาขาดใจลงไปแล้ว ใครจะตามช่วยได้ล่ะ
ท่านจึงตัองสอนให้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
พยายามสร้างที่พึ่งไว้เสียตั้งแต่บัดนี้
ที่เป็นวิสัยทำได้อยู่ อย่าได้ประมาทนอนใจ
ถึงคราวจำเป็นมา จะไม่มีใครช่วยเราเลย
นอกจากคุณงามความดีเท่านั้น จะเป็นผู้ช่วยเรา
เพราะภายนอกมันหมดวิสัย ที่จะช่วยกันได้แล้ว
ก็มีภายในคือบุญกุศลที่เราสร้างไว้นี้แหล่ะ
 จะเป็นธรรมชาติที่สนิทติดแนบอยู่กับใจ
พาไปสู่สถานที่ดีคติที่งาม แล้วเสวย ความสุข
ก็เสวยได้จาก กุศลที่เราสร้างไว้นี้แหล่ะ
จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางก็ปล่อยวางกันได้


โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 10, 2015, 07:22:18 AM


(http://www.thaigold.info/Board/uploads/monthly_11_2015/post-2060-0-56363300-1447113466_thumb.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 10, 2015, 07:23:50 AM
(https://fbcdn-sphotos-e-a.akamaihd.net/hphotos-ak-xat1/v/t1.0-9/12189562_905716806179524_513573426976764499_n.jpg?oh=544b1b8bd1ae2d23bf13e24dc55421cd&oe=56B9AB62&__gda__=1454355094_8aa0e3952c2ca3357445e8446e428563)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ พฤศจิกายน 18, 2015, 11:14:55 AM
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/528/2528/images/m1490791.jpg)
 http://www.oknation.net/blog/kan (http://www.oknation.net/blog/kan)

"...เมื่อกล่าวโดยกรรม
ในศานาพุทธ
ความบังเอิญไม่มี

การกระทำทุกอย่าง
ย่อมมีผล เราเรียก
ผลนั้นว่า "วิบากกรรม"

สิ่งใดจะเกิดได้ ต้องมี
เหตุปัจจัยประชุมพร้อม
กรรมจึงสามารถส่งผล
หรือให้วิบากได้

ไม่มีโชคลาภเกิดขึ้นได้
โดยไม่อาศัยบุญ-กรรม

โชคลาภ ไม่สามารถจะ
เกิดขึ้นลอยๆ หรือ
บังเอิญ โดยไม่มีเหตุปัจจัย

ทุกปัญหาเกิดขึ้น
อย่างมีสาเหตุทั้งนั้น
กิ่งไม้ตกใส่หัว
ฟ้าผ่าหัวหมา
ล้วนเกิดจากกรรม

เหมือนใครกิน คนนั้น
ก็อิ่ม คนอื่นอิ่มแทนไม่ได้

เกลือ เค็มเหมือนกันหมด
ไทย ฝรั่ง ลาว แขก

กินในที่ลับ ที่แจ้งก็เค็ม
ดุจกัน เกลืออย่างไร
กรรมก็อย่างนั้น
ทุกชาติศาสนา"


โอวาทธรรม
หลวงปู่หลุย จันทสาโร
วันนี้วันพระ
น้อมนำธรรมสู่ชีวิต


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: hyiphyip ที่ มิถุนายน 21, 2016, 03:08:24 PM
สาธุค่ะ  angel.gif


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ สิงหาคม 27, 2016, 10:26:29 AM
(https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13782246_638072339702575_2582591907825277811_n.jpg?oh=d33d0575758efa4a241c99782b47595b&oe=582FFB5C)

บ้าบุญ เมาบุญ นั่นแหละ เป็นมูลเหตุแห่งโรคจิตชนิดหนึ่ง เป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง หรือกลายเป็นโรคจิตไปเลยก็ได้ มีโรคจิตชนิดหนึ่งซึ่งหมอเขาจัดไว้ว่ามีมูลเหตุมาจากพระศาสนา จะหมายถึงพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าความวุ่นวายใจ ความไม่พักผ่อนแห่งจิตใจ มันได้เกิดขึ้นเพราะความหลงใหลในศาสนาเป็นต้นเหตุ

แล้วโรคจิตชนิดนั้นก็จัดไว้ว่าเป็นโรคจิตที่มีมูลมาจากพระศาสนา รักษายาก ยิ่งกว่าโรคจิตธรรมดา อาตมาเคยสนทนากับหมอโรคจิต บางคนเขาเอาตำราให้ดูว่า โรคจิตที่เนื่องมาแต่ศาสนานี่รักษายากที่สุดเลย เพราะมันลึกซึ้งเหนียวแน่น ยิ่งกว่าโรคจิตธรรมดา ซึ่งกระทบอารมณ์เพียงบางอย่างบางคราวนี้ อาจจะหายไปได้ แต่ถ้าเป็นโรคจิตมามีมูลมาจากเรื่องทางศาสนา ฝังแน่นลึกอยู่ในสันดาน แล้วรักษายาก นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ แล้วสิ่งที่ต้องศึกษา ต้องใคร่ครวญดูให้ดี ๆ

 ทีนี้ ก็จะสรุปความว่า จะเอือมบุญกันเมื่อไร มันก็แล้วแต่บารมีที่สร้างสมมาดีหรือไม่ ถ้าสร้างสมบารมีมาดี มันก็จะเอือมบุญกันได้เร็วกว่า พูดอย่างนี้อย่าเข้าใจผิด ว่าอาตมาสอนให้เลิกทำบุญ ไม่ได้สอนให้เลิกทำบุญ เพราะบุญที่เป็นชื่อของความสุขที่ควรปรารถนาก็มี แล้วบุญเป็นชื่อของเครื่องชำระบาป ล้างบาปให้หมดไปก็มี คนทำบุญอย่างนี้ไปได้ แต่ขอให้มันถูกต้องอย่างนี้ อย่าให้กลายเป็นบุญที่เป็นที่ตั้งแห่งความบ้าบุญ เมาบุญ จนกระทั่งเป็นโรคจิตไปเสีย

 ทำไมจึงต้องหยิบปัญหานี้ ขึ้นมาพิจารณาเพราะว่าเรื่องบุญนี้ มันมีด้วยกันทุกชาติ ทุกศาสนา ในบรรดาหมู่มนุษย์ในโลกนี้ ก็มีคำพูดใช้ตรงกันหมด คือสิ่งที่เรียกว่าดี หรือว่าบุญ แล้วก็ส่วนใหญ่มันก็เนื่องกันอยู่กับศาสนา หรือเป็นคำสอนในทางศาสนา สอนให้รู้เรื่องบุญ ให้ทำบุญ ให้มีบุญ เขาสอนผิด ๆ เขาก็อาจจะเลยไปถึงว่าให้บ้าบุญ

 ถ้าเอากันแต่เพียงว่าเป็นเครื่องล้างบาปอย่างนี้ ก็จะไม่เป็นไร เช่นทำบุญให้ทาน เพื่อจะล้างความขี้เหนียวความตระหนี่ ล้างความเห็นแก่ตัว ล้างโทสะ ล้างจิตที่มันเลวร้ายก็ดีแหละ มันเป็นส่วนดี เป็นความดีโดยส่วนเดียว บุญที่เป็นเครื่องชำระกิเลส แต่แล้วส่วนมากในโลกนี้ เกือบจะทุกศาสนา ไม่ค่อยจะได้มีบุญกันในลักษณะล้างบาป แต่มีบุญกันในลักษณะที่เป็นอุปธิ คือของหนักที่ยินดีที่จะแบก จะหาม จะทูน จะหอบ จะหิ้ว ไปกับตัวทีเดียว เป็นเสียอย่างนี้โดยมาก แล้วก็เป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิตเพราะบุญนั้นเองก็ไม่รู้สึก มันก็ไม่รู้สึก

 พุทธทาสภิกขุ

 ที่มา : ปกิณณกธรรมบรรยาย ครั้งที่ 3 เรื่อง บุญแท้เมื่อหมดความรู้สึกอยากมีบุญ
 ปี พ.ศ. 2525 #จดหมายเหตุพุทธทาส


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 09, 2016, 09:31:01 AM
เมื่ออะไรเกิดขึ้นในชีวิต
อย่าคิดว่า.....เป็นเรื่องคนอื่นทำให้
อย่าคิดว่า........เป็นโชคชะตาราศี
อย่าคิดว่า............ดวงดี ดวงไม่ดี
อย่าคิดว่า......อะไรๆ มาทำให้เป็น
แต่จงคิดให้ถูกต้องว่า....
ฉันเองแหล่ะ.....เป็นผู้ทำสิ่งนั้น


หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ






หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 09, 2016, 09:38:26 AM
       คนที่ไม่มีโรคทางกาย
นับว่าประเสริฐ แต่คนที่ไม่มีโรคทางใจ
       คือกิเลส ประเสริฐกว่า

     -หลวงปู่แหวน สุจิณโน-


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ตุลาคม 16, 2016, 11:00:28 AM
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺ​โช
เทศน์ ณ วัดสวนสันติธรรม
๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙


-เรื่องธรรมดานะ! ท่านอายุมากแล้ว
มีชีวิตอยู่อายุเยอะๆ​ ไม่สบายนะ! ทรมานมาก
ร่างกายมันช่วยตัวเองไม่ได้
หายใจก็ต้องใช้เครื่องช่วย
ไตก็ต้องเครื่องช่วย
อะไรก็ต้องใช้เครื่องช่วย
มีแต่เรื่องเจ็บ.. เจ็บตัวตลอด
-
หลวงพ่อก็เป็น​คนไข้​โรงพยาบาล​ศิริราชเหมือนกัน
หมอก็มาเล่าให้ฟังเหมือนกัน
ท่านถูกฉีดยา ถูกเจาะ ถูกผ่า
หลังๆท่านก็ฮึดเหมือนกัน อะไรอย่างนี้
หลังๆท่านก็ฮึดสู้เหมือนกัน
หมอจะฉีด ท่านก็จะรับ​สั่งว่า​ "จำเป็นอะไร?"
โดนเยอะ! ทรมานนะ!
ไม่ใช่ชีวิตเป็นของวิเศษวิโสหรอก
-
ในส่วนตัวท่าน ท่านสบายของท่านอยู่แล้ว
เพราะความดีท่านทำมาเยอะแล้ว
-
ที่ว้าวุ่นใจ​ คือพวกเราเองแหละ
เราไม่มั่นใจในความดีของเรา
หวังจะพึ่งท่าน
คิดว่าบ้านเมืองไม่มีท่าน.. อยู่ไม่ได้แล้ว
ไปๆมาๆ​ รักตัวเองเยอะนะ!

-รักท่าน ท่านก็พอดีของท่านแล้ว
ไม่ทรมานมาก แค่นี้ก็ทรมานมากอยู่แล้วล่ะ
-
บางทีพ่อแม่เราไม่สบายมากๆนะ
โดนหมอทำอย่างโน้นอย่างนี้นะ
เรายังอยากปล่อยเลย
-
เวลาอะไรก็เหมาะสมไปทุกอย่างนะตอนนี้
บ้านเมืองกำลังร่มเย็นอยู่ สงบอยู่
คิดดู.. ถ้าเร็วกว่านี้สัก ๒​ ปี เกิดอะไรขึ้น!
นึกภาพไม่ออกเลย
ตอนนี้ก็เหมาะ.. เหมาะสมแล้วล่ะ!
คนที่จงรักภักดีกำลังมีอำนาจอยู่
ถ้าได้พวกคิดร้าย เกิดภาวะอย่างนี้
ฉวยโอกาสทำอะไรได้เยอะแยะเลย
บ้านเมืองเสียหายมากกว่านี้
-
ฉะนั้น​ ตรงนี้สมควรแล้ว เหมาะพอดี
-
ชาวพุทธเรามองทุกอย่างด้วยเหตุด้วยผล
ท่านก็แสดงธรรมะให้เราดู..
ไม่เที่ยง​ เป็นอนัตตา
ไม่อยากคิดถึงด้วยซ้ำไปว่า​ ท่านจะสิ้น
แค่คิดเรายังไม่อยากจะคิดเลย
ท่านก็จะต้องสิ้นจนได้
-
ฉะนั้น​ ไม่ใช่เวลาที่จะมาเศร้าโศกนาน

เศร้าโศกนิดหน่อยพอสมควร
ทำความดีไป
บอกว่ารักพ่อ รักพ่อ
ทำอย่างพ่อให้ได้ก็แล้วกัน
-
ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติเข้า
อย่างน้อยก็ลดคนเลวลงไปคนหนึ่งในสังคม
รู้ไหมว่า.. คนเลวอยู่ที่ไหน ?
ลดลงสักคนก็ดีนะ​ บ้านเมืองจะดีขึ้น!
พ่อรู้.. พ่อก็ชื่นใจ!


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 07, 2016, 10:29:50 AM
(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/15319228_1168389686548995_6258723632486467016_n.jpg?oh=e431949c256c9cd4b91d4f02fd891560&oe=58AFAB78)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 07, 2016, 10:30:46 AM
(https://scontent.fbkk7-2.fna.fbcdn.net/t31.0-8/s960x960/15252597_10154638849250535_5193280961540719151_o.jpg)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 07, 2016, 10:34:46 PM
คำสอนหลวงตามหาบัว
 แท้จริงคนที่มีความสุขกับคนที่มีความทุกข์ต่างกันนิดเดียว

1. คนหนึ่งมองหาสิ่งที่ขาด อีกคนมีความสุขกับสิ่งที่มี

 2. คนหนึ่งมองหาแต่วิธีลืม อีกคนทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

 3. คนหนึ่งไม่ยอมเปลี่ยนแปลง อีกคนเข้าใจว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลง

 4. คนหนึ่งหนีไปสุดขอบฟ้าเพื่อดับทุกข์ อีกคนเรียนรู้ว่าทุกข์อยู่ที่ใจ

 5. คนหนึ่งมัวแต่นั่งเสียใจกับคนที่จากไป อีกคนขอบใจกับคนที่ยังอยู่ข้างๆ

 6. คนหนึ่งมองหาแต่ความรัก อีกคนเข้าใจว่าจริงๆแล้วไม่มีคนรักก็ไม่ทุกข์

 7. คนหนึ่งคิดแต่ครอบครอง อีกคนเข้าใจว่าการไม่ครอบครอง ก็จะไม่สูญเสีย

 8. คนหนึ่งพูดไม่คิดกับคนที่รัก อีกคนคิดก่อนพูดกับคนที่รัก

 9. คนหนึ่งคิดแต่ว่าตัวเองไม่มีค่า อีกคนเห็นค่าคนที่รู้ค่าตัวเอง

 10.คนหนึ่งเก็บทุกเรื่องมาคิด อีกคนอภัยทุกเรื่องก่อนนอน


(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-0/s480x480/15390752_546686335527745_7555780940660555963_n.jpg?oh=3c834e066f2e85148a085adf5583a7a6&oe=58B5EAFB)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 29, 2016, 11:55:54 AM
(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/15781200_555158031347242_8758610957935094618_n.jpg?oh=90aaf1e713f80a266cb9020b35bbbc66&oe=58F11E21)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มกราคม 09, 2017, 08:57:55 AM
(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/12342317_977546555626949_6970457407377157823_n.jpg?oh=e1138d40e93910aa33080a5414403e96&oe=58DB9E7C)

พุทธธรรม 9

ขันธ์ ๕...
เป็นกุณแจสำคัญของตถาคต ที่จะออกจาก....ทุกข์
น่าเสียดายที่คนส่วนมากไม่เข้าใจกลับ....อธิบาย
เป็นรูปนามของมนุษย์จึงไขหลักธรรม....ไม่ได้
รูป....ร่างกายของเราที่ตั้งอายตะนะทั้ง๕และใจ
เวทนา(ผัสสะ).....สิ่งรับการกระทบทั้ง๕ทาง
สัณญา(ความจำ)เพื่อตรวจสิ่งกระทบว่าเป็นอะไร
สังขาร จิตปรุงแต่ง(คิด) ชอบ-ชัง-เฉยๆ
วิณณาณ.... เกิดอารมณ์ (ล้วนเป็นทุกข์)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2017, 08:12:38 PM
(https://scontent.fbkk6-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/16602867_1286428908103187_3533424388342670543_n.jpg?oh=7663bcb2b27ce779b3b76195570d237c&oe=59431C2A)

Crคนปลายจีวร

อยู่ให้เขาเบาใจ ยามจากไปให้เขาอาลัยถึง
 ไม่ใช่อยู่ให้เขาหนักใจ จากไปให้เขาไล่ส่ง
 อย่าทำเป็นตากระทู้ หูกระทะ
 เปรียบเทียบถึงหูกระทะที่มีหู แต่ไม่ได้ยิน
 ส่วนตากระทู้ คือ ต้นไม้มีตาเป็นปุ่มๆ แต่มองไม่เห็น
 จงตาดู หูฟัง นำแบบอย่างที่ดีงามมาปฏิบัติ

เขาสอนก็ฟัง เขาทำก็ดู เรียนรู้แล้วปฏิบัติ
 ลงท้ายกลายเป็นสัตบุรุษ
 แต่ถ้าเขาสอนก็ไม่จำ เขาทำก็ไม่ดู
 เรียนรู้ก็ไม่ปฏิบัติ ลงท้ายกลายเป็นควาย
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อัมพร อมฺพโร)
===


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ มิถุนายน 02, 2017, 05:55:34 AM
(https://scontent.fbkk6-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/18740311_116534688931142_5234324862060669311_n.jpg?oh=76df2345c1c40fe7117edc0c20db59a5&oe=59AF1777)


หัวข้อ: Re: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: jainu ที่ ธันวาคม 31, 2017, 10:24:38 AM
ธรรมะก่อนบิณฑบาตร

ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายชั่วโมง
บางคนคิดว่ายิ่่งนั่งภาวนานานเท่าใด ก็ยิ่งจะเกิดปัญญามากเท่านั้น
ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆ อริยบท
การฝึกปฎิบัติของท่านต้องเริ่มขึ้นทันที ที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า
และต้องปฎิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป
อย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนา ให้นานๆ
สิ่งสำคัญก็คือ ท่านเพียงแต่เฝ้าดู
ไม่ว่าท่านจะเดินอยู่หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่

แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง
บางคนต้องตายเมื่อมีอายุ ๕o ปี บางคนเมื่ออายุ ๖๕ ปี
และบางคนเมื่ออายุ ๙o ปี
ฉันใดก็ฉันนั้น ปฎิปทาของท่านทั้งหลาย ก็ไม่เหมือนกัน
อย่าคิดมากหรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย

จงพยายามมีสติ และปล่อยทุกสิ่งให้มันเป็นไป ตามปกติของมัน
แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้น ในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง
มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่า
ที่บรรดาสัตว์ป่าสวยงามและหายาก จะมาดื่มน้ำในสระนั้น
ท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์และแปลกประหลาดทั้งหลาย
เกิดขึ้นและดับไป แต่ท่านก็จะสงบอยู่เช่นเดิม
ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้น แต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที
นี่แหล่ะคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อชา สุภัทโท

สาธุ สาธู สาธุ อนุโมทนามิ
นิพพานปัจจะโย โหตุ