Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 9 10 [11]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อสุขแท้ ก็ถึงธรรม  (อ่าน 16557 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #150 เมื่อ: มิถุนายน 25, 2013, 10:19:58 AM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #151 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2013, 07:39:08 PM »



หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา
เห็นทุกสิ่งที่เกิดดับดั่งนี้ชื่อว่าเห็นทุกข์
เพราะทุกข์นั้นก็คือเกิดดับ
เห็นว่าสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ต้องดับ
และต้องเป็นดั่งนี้ครอบโลกไปหมด
จึงเห็นสัจจะคือความจริงที่ครอบโลกทั้งหมด

สมเด็จพระสังฆราช

รวมสาระธรรม บน instagram
http://instagram.com/suanmokkh_bkk


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #152 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2013, 09:50:04 AM »


พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
ปุจฉา - กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ลูกมีเรื่องทุกข์ค่ะ ลูกสับสนใจของลูกมาก

คือเรื่องของของเป็นแบบนี้ค่ะ ลูกเลิกกับแฟนที่คบกันมา ๑๐ ปีค่ะ สาเหตุเพราะเค้ามีคนใหม่

ตัวลูกเองก็กว่าจะทำใจได้กว่าจะผ่านมาได้ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่า ผ่านมันไปได้จริงๆรึยัง มาเกือบ ๑๐ เดือนได้แล้วค่ะ

พักหลังได้รับการติดต่อจากเค้ามาตลอด (ทั้งๆที่ยังไม่เลิกกับแฟน ยังมาบอกว่าลืมลูกไม่ได้)

ลูกจิตใจยังไม่นิ่งพอทำให้ลูกเศร้ามาก อะไรหลายๆอย่างมันไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก ในใจลูกมันสับสน

หลวงพ่อคะหลังจากที่ลูกตัดใจเลิกกับเค้ามา ลูกมีคนดีดี คนที่มีทั้งความพร้อมทั้งหน้าตา การงาน

เข้ามาให้ลูกได้รู้จักและศึกษา แต่ไม่ว่าเค้าจะทำดีแค่ไหนใจลูกก็คิดอยู่เสมอว่ามันจะเป็นแบบนี้นานแค่ไหน

จะตลอดไปรึป่าว คนคนเหล่านั้นจากลูกไป ลูกก็มีความคิดว่าสิ่งเหล่านี้มัน แค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด

ทุกอย่างเข้ามาให้เราได้เรียนรู้ แต่ทำไมค่ะทำไมใจลูกยังโหยหาความรักอยู่

ทุกวันนี้ลูกเปิดโอกาสเปิดใจแต่พอเอาเข้าจริงๆลูกกลับปฏิเสธมัน ลูกเป็นอะไรไปแล้ว

พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - ฟังดูคุณยังตัดใจจากคนรักเก่าไม่ได้

ทั้งนี้เพราะคุณเองยังโหยหาความรักจากคนอื่น แต่คุณเองก็รู้จากประสบการณ์ว่าเขาไม่ใช่คนที่คุณจะฝากใจไว้ได้

อันที่จริงไม่ว่าใครถึงจะดีแค่ไหน ก็ไม่สามารถฝากใจไว้กับเขาได้อย่างตลอดหรือปลอดภัยเลย

เพราะไม่มีใครที่จีรังยั่งยืนได้ ถึงจะดีแค่ไหน เขาก็ต้องตายจากเราไม่ช้าก็เร็ว

ยังไม่ต้องพูดถึงคนที่เปลี่ยนนิสัยใจคอกลายเป็นคนไม่น่ารัก เห็นแก่ตัว หรือเจ้าชู้

คนเราโหยหาความรัก เพราะข้างในนั้นพร่องความรัก สาเหตุสำคัญที่ทำให้พร่องความรักก็คือ

ขาดความรักตนเองอย่างแท้จริง (ซึ่งอาจเกิดจากความรู้สึกว่าคนอื่นไม่รักเรา ก็เลยรู้สึกไม่ดีกับตนเอง)

คุณลองหันมารักตนเองให้มากขึ้น เห็นคุณค่าของตนเองมองเห็นว่าเรามีอะไรบ้าง

อย่ามองแค่ว่าเราขาดอะไร ที่สำคัญคืออย่าเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกติดไว้กับใครหรืออะไร

ขณะเดียวกันก็ควรเผื่อแผ่ความรักหรือมีน้ำใจให้คนอื่นด้วย เมื่อคุณให้ความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ

คุณย่อมได้รับความรักกลับมาเอง แต่ถ้าเอาแต่เรียกร้องหรือคาดหวังความรักจากผู้อื่น

คุณกลับจะไม่ได้ ยิ่งอยากได้ กลับยิ่งไม่ได้ แต่พอไม่อยากได้ กลับได้มา



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #153 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2013, 09:51:52 AM »


พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo



ปุจฉา - กราบนมัสการ ค่ะดิฉันขอโอกาสเรียนปรึกษาท่านว่า หากเราไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขา
เราจะแสดงออกให้เขารู้ได้อย่างไรโดยปราศจากความรุนแรงและไม่เกลียดชังกันคะ ขอบพระคุณค่ะ


พระไพศาล วิสาโล วิสัชนา - คุณควรพูดกับเขาอย่างสุภาพ พระพุทธเจ้าทรงแนะว่า
เมื่อจะแนะนำหรือทักท้วงใคร ควรมีหลักดังนี้
๑) เป็นความจริง
๒)มีประโยชน์
๓) พูดด้วยคำสุภาพ
๔) มีเมตตา
๕) ถูกเวลา ข้อสุดท้ายนั้นสำคัญมาก แม้ทำ ๔ ข้อแรกได้ครบถ้วน แต่ถ้าพูดไม่ถูกเวลาก็มีปัญหาได้
กระทั่งคำชมพระพุทธเจ้าก็ยังทรงเน้นว่าต้องชมให้ถูกเวลาด้วย นับประสาอะไรกับการพูดแนะนำหรือทักท้วง

ในกรณีของคุณอาจไม่จำเป็นต้องพูดในเชิงแนะนำหรือทักท้วงก็ได้
แต่พูดว่าคุณรู้สึกและคิดอย่างไรกับการกระทำของเขา มันก่อผลเสียต่อตัวคุณและผู้ อื่นอย่างไร
หากเขาทำ ด้วยเจตนาดี ก็ควรบอกเขาด้วยว่าคุณรับรู้เจตนาดังกล่าวของเขา ( หรือรับรู้เหตุผลของเขา)
และหากเขาได้ทำสิ่งดี ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน คุณก็ควรพูดชมเขาด้วย

พร้อมกันนั้นควรเปิดโอกาสให้เขาชี้แจงหรืออธิบาย หากคุณฟังเขาเขาก็มีแนวโน้มที่จะฟังคุณมากขึ้น
ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกโกรธ เคืองระหว่างคุณกับเขาลงได้


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #154 เมื่อ: กันยายน 10, 2013, 08:57:45 PM »

ความสุข...ที่มักถูกมองข้าม

...คุณ เป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ...ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผินๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์.. แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ...ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี

ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็ น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่างๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต (ของผม) เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้ สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า... “.ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง”

เมื่อ เงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ...ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้า หาเงินต่อไปด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความ สุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ ..เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?

คำถาม ข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุด หาเงินเสียที ทั้งๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด

แต่ถ้า เราอยากจะค้นพบคำตอบ ให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้าที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยาก..จะได้อีกไม่หยุดหย่อน

ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรา..มีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่

มี เสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่า กับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน

พูด อีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ ..มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยัง อยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม.. บ่อยครั้ง ของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ..ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา

จะ ว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่า นั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา

ถ้าหากว่า ของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง.. เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่าและความสุขที่ได้มานั้นใน ..ที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก “เฉยๆ” เหมือนเดิม ..และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก ..เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม

..เป็น เช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ? เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป ..แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน

..ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมากๆ ..ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ ดี

..ถ้า เราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ..แต่ ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ ..หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง

..คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อย ครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน ..นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้มีแฟนที่ดีก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่นสวยกว่า หล่อกว่า หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่น่ารักก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่นไม่ได้ แม้จะมีหน้าตาดี้ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา

การ มองแบบนี้ทำให้ “ขาดทุน” สองสถาน.. คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก ..พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน.. แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง

ไม่ มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ.. ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ

บ่อ เกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว ...เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่ามิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือ ยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี

นั่น คือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี.. และเพราะเหตุนั้นแม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้และการไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง

*******************************

คัดลอกบางตอนมาจาก
...หนังสือแผนที่ความสุข โดย พระไพศาล วิสาโล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #155 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2013, 01:02:03 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #156 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2013, 01:04:30 PM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #157 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2013, 08:44:47 PM »

อานิสงส์การภาวนา


อานิสงส์การภาวนา โดย หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

หลวงพ่อท่านเคยพูดเสมอว่า "อุปัชฌาย์ข้า (หลวงพ่อกลั่น) สอนว่า ภาวนาได้เห็นแสงสว่างเท่าปลายหัวไม้ขีด ชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่าช้างกระดิกหูงูแลบลิ้น ยังมีอานิสงส์มากกว่าตักบาตรจนขันลงหินทะลุ" พวกเรามักจะได้ยินท่านคอยให้กำลังใจอยู่บ่อยๆ ว่า "หมั่นทำเข้าไว้ หมั่นทำเข้าไว้ ต่อไปจะได้เป็นที่พึ่งภายหน้า" เสมือนหนึ่งเป็นการเตือนให้เราเร่งความเพียรให้มาก การให้ทานรักษาศีลร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่เท่ากับนั่งภาวนาหนเดียวนั่งภาวนา ร้อยครั้งพันครั้ง กุศลที่ได้ก็ไม่เท่ากุศลจิตที่สงบเป็นสมาธิเกิดปัญญาเพียงครั้งเดียว

แนะวิธีปฏิบัติ

เคยมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งมีปัญหาถามว่า นั่งปฏิบัติภาวนาแล้วจิตไม่รวม ไม่สงบ ควรจะทำอย่างไร ท่านแก้ให้ว่า "การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกัมมัฏฐานที่เรายึดมั่นอยู่นั้น แล้วภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าวไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กันไปมันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกันไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไปก็จะถึงของดี ของวิเศษในตัวเรา แล้วจะรู้ชัดขึ้นมาว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป"

อุบายวิธีทำความเพียร

ครั้งหนึ่งที่ได้สนทนาปัญหาธรรมกับหลวงพ่อ ท่านเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า...เขามาถามปัญหาเข้า ข้าก็ตอบไม่ได้อยู่ปัญหาหนึ่ง ผู้เขียนเรียนถามท่านว่า "ปัญหาอะไรครับ" ท่านเล่าว่า " เขาถามว่า ขี้เกียจ (ปฏิบัติ) จะทำอย่างไรดี" หลวงพ่อหัวเราะ ก่อนที่จะตอบต่อไปว่า "บ๊ะ ขี้เกียจก็หมดกัน ก็ไม่ต้องทำซิ" สักครู่ท่านจึงเมตตาสอนว่า "หมั่นทำเข้าไว้ๆ ถ้าขี้เกียจให้นึกถึงข้า ข้าทำมา 50 ปี อุปัชฌาย์ข้าเคยสอนไว้ว่า ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ก็ต้องทำ วันไหนเลิกกินข้าว...นั่นแหละถึงไม่ต้องทำ"

ควรทำหรือไม่ ?

ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์หลวงพ่อผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก บังเอิญมีแขกมาหาศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ด้วยเสียงอัน ดัง และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ก็จับแขนดึงขึ้นมาทั้งที่ กำลังนั่งภาวนา เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า "ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังอยู่นิโรธสมาบัติได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่าน หน้าท่านพร้อมกับร้อง "แซ๊ก" ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว นกแสกตัวนั้นยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย

ทรรศนะต่างกัน

การมาอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันมากเข้าย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ทิฐิความเห็นย่อมต่างกัน ขอให้เอาแต่ส่วนดีมาสนับสนุนกัน อย่าเอาเลวมาอวดกัน การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจ้วงจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านที่มีศีลมีธรรมก็ดี จะเป็นกรรมติดตัวเราและขัดขวางการปฏิบัติธรรมในภายหน้า ดังนั้น หากใครทำความดี ก็ควรอนุโมทนายินดีด้วย แม้ต่างวัดต่างสำนักหรือแบบปฏิบัติต่างกันก็ตาม ไม่มีใครผิดหรอก เพราะจุดมุ่งหมายต่างก็เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์เช่นกัน เพียงแต่เราจะทำให้ดี ดียิ่ง ดีที่สุด เท่านั้น ขอให้ถามตัวเราเองเสียก่อนว่า แล้วเราล่ะถึงที่สุดแล้วหรือยัง

อุเบกขาธรรม

การอยากชวนคนมาวัด มาปฏิบัติให้มาก ๆโดยลืมดูพื้นฐานจิตใจของบุคคลที่กำลังจะชวนว่า เขามีความสนใจมากน้อยเพียงใด หลวงปู่ท่านบอกว่า ให้ระวังให้ดีจะเป็นบาป เปรียบเสมือนกับการจุดไฟไว้ตรงกลางระหว่างคน 2 คน ถ้าเราเอาธรรมะไปชวนเขา เขาไม่เห็นด้วย ปรามาสธรรมนี้ซึ่งเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเราเป็นคนก่อแล้วเขาเป็นคนจุดไฟ บาปทั้งคู่ เรียกว่า เมตตาพาตกเหว

หลวงปู่ได้ยกอุทาหรณ์ สอนต่อว่า เหมือนกับมีชายคนหนึ่งตกอยู่ในเหวลึก มีผู้จะมาช่วย คนที่หนึ่งมีเมตตาจะมาช่วย เอาเชือกดึงขึ้นจากเหว ดึงไม่ไหวจึงตกลงไปในเหวเหมือนกัน คนที่สองมีกรุณษมาช่วยถึงอีก ก็ตกลงเหวอีก คนที่สามมีมุทิตามาช่วยดึงอีกก็พลาดตกเหวอีกเช่นกัน คนที่สี่สุดท้ายเป็นผู้มีอุเบกขาธรรมเห็นว่าเหวนี้ลึกเกินกว่ากำลังของตนที่ จะช่วย ก็มิได้ทำประการใดทั้งๆ ที่จิตใจก็มีเมตตาธรรมที่จะช่วยเหลืออยู่ คนสุดท้ายนี้จึงรอดชีวิตจากการตกเหวตามเพราะ อุเบกขาธรรมนี้แล

เรารักษาศีล ศีลรักษาเรา

ศีลเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรมทุกอย่าง หลวงพ่อมักจะเตือนเสมอว่าในขั้นต้นให้หมั่นสมาทานรักษาศีลให้ได้ แม้จะเป็นโลกียศีล รักษาได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บริสุทธิ์บ้าง ไม่บริสุทธิ์บ้าง ก็ให้เพียงระวัง รักษาไป สำคัญที่เจตนาที่จะรักษาศีลไว้ และปัญญาที่คอยตรวจตราแก้ไขตน "เจตนาหัง ภิกขเว สีลัง วทามิ" ท่านว่าเจตนาเป็นตัวศีล "เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" เจตนาเป็นตัวบุญ จึงขอให้พยายามสั่งสมบุญนี้ไว้ โดยอบรมศีลให้เกิดขึ้นที่จิตเรียกว่า เรารักษาศีล ส่วนจิตที่อบรมศีลดีแล้ว จนเป็นโลกุตรศีลเป็นศีลที่ก่อให้เกิดปัญญาในอริยมรรค อริยผลนี้จะคอยรักษาผู้ประพฤติปฏิบัติมิให้เสื่อมเสียหรือตกต่ำไปในทางที่ ไม่ดีไม่งามนี้แลเรียกว่า ศีลรักษาเรา

จะเอาโลกหรือเอาธรรม

บ่อยครั้งที่มีผู้มาถามปัญหากับหลวงพ่อ โดยมักจะนำเอาเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน สามี ภรรยา ลูกเต้า ญาติ มิตร หรือคนอื่นๆ มาปรารภให้หลวงพ่อฟังอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งท่านได้ให้คติเตือนใจผู้เขียนว่า "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม" ซึ่งต่อมาท่านได้ให้ความหมายว่า "เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้วต้องกลับเข้ามาหาตัวเอง ถ้าเป็นโลกแล้วจะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดจากในตัวของเรานี้ทั้งนั้น"เคยมีผู้ปฏิบัติกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า"หลวงพ่อครับ ขอธรรมะสั้นๆ ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้กิเลส 3 ตัว คือ โกรธ โลภ หลง หมดไปจากใจเรา จะทำได้อย่างไรครับ" หลวงพ่อตอบเสียงดังฟังชัด จนพวกเราในที่นั้นได้ยินกันทุกคนว่า "สติ"
 
 


http://variety.thaiza.com
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #158 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2013, 10:16:10 AM »



เหตุผลที่การทำทานร่วมกัน เป็นสุขกว่าการทำทานคนเดียว คือ มีจำนวนความสุขอันเกิดแต่การทำทานมากกว่า เปรียบเหมือนลงน้ำสระใหญ่ ย่อมชุ่มชื่นเต็มอิ่ม ได้ดำผุดดำว่ายสบายตัวกว่าลงน้ำในอ่างเล็ก ทุกคนรู้สึกถึงปีติสุขยิ่งใหญ่นั้นได้ในช่วงแห่งการเทน้ำใจไปรวมกัน แม้ไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมถึงสุข แต่ก็รู้ได้ว่าสุขจริง

เหตุผลที่การทำทานร่วมกัน ให้ผลใหญ่กว่าการทำทานคนเดียว คือ เกิดกระแสน้ำใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไ...ม่รู้สึกโดดเดี่ยว แต่รู้สึกปีติว่าน้ำใจดีๆที่เทมารวมกันในปัจจุบัน เป็นหลักประกันความสุขร่วมทางในอนาคต เปรียบเหมือนคนเดินทางไกล ย่อมอุ่นใจเมื่อไม่เห็นตัวเองเดินตามลำพัง แต่ยังมีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่เป็นญาติร่วมน้ำใจ ทั้งข้างหน้า ข้างขวา ข้างซ้าย และข้างหลัง

เหตุผลที่การทำทานร่วมกัน จะช่วยลดการแบ่งชั้นวรรณะลงได้ คือ ไม่ว่าใครทำน้อยหรือทำมาก ก็เหมือนช่วยกันเอาอิฐมากน้อยมาร่วมก่อเจดีย์ตามกำลังของแต่ละคน เมื่อเจดีย์สำเร็จลง ก็ได้กราบไหว้เจดีย์เดียวกัน หมดความสำคัญมั่นหมายว่าไหว้เจดีย์อันเกิดจากอิฐของใครที่ส่วนไหน ปีติอันเกิดจากการเห็นเจดีย์ที่สำเร็จจากการร่วมมือลงแรงกัน ย่อมประสานความรู้สึกมีไมตรีเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต่อไปถ้าต้องร่วมครอบครัว ร่วมงาน หรือร่วมปกครองคน ก็จะมีรากฐานของความรู้สึกรักใคร่กลมเกลียว มีเหตุผลักดันให้อยากเอาสิ่งที่ตนมีไปเติมให้สิ่งที่คนอื่นขาด ไม่อยากแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น นั่นก็เพราะรากของบุญเป็นอย่างไร ผลของบุญก็เผล็ดสอดคล้องตามนั้น

ผลของบุญมีจริง ปรากฏชัดที่ใจเมื่อบุญนั้นใหญ่พอครับ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 17, 2013, 10:20:10 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #159 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2013, 10:16:45 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #160 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2013, 10:17:21 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #161 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2013, 10:17:53 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #162 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2016, 10:43:13 AM »







เลิกพูดเสียที ว่าเกิดมาใช้หนี้กรรม - พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
https://www.youtube.com/watch?v=y6J9xZ3J3NQ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: