Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1] 2 3 ... 5   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เคล็ด[ไม่]ลับ  (อ่าน 32679 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 09:49:18 AM »

สวัสดีค่ะ
      หนูใจ ขอย้ายข้อความที่โพสต์ไปแล้วมารวมอยู่ในที่เดียวกันค่ะ เพื่อจะได้หาอ่านง่ายขึ้น

   

                        ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านไว้ ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ

                                                                       Smiley
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:19:29 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:08:59 AM »

สูตรพอกหน้า



แบบที่ 1 พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (ประเทศสเปน)
วิธีการ : ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้า และลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้ง ไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพัก ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยง ที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก ให้สะอาด เป็นอันเสร็จพิธี

แบบที่ 2 พอกหน้าด้วยแอปเปิ้ล (ประเทศเบลเยี่ยม)
วิธีการ : ปอกแอปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบด จนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก แบบที่ 3 พอกหน้าด้วยแตงโม (ประเทศตุรกี)
วิธีการ : ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น


แบบที่ 4 พอกหน้าด้วยไข่ขาว (ประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
วิธีการ : ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

แบบที่ 5 พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (ประเทศฝรั่งเศส)
 วิธีการ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

แบบที่ 6 พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (ประเทศญี่ปุ่น)
วิธีการ : ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมี วิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

แบบที่ 7 พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (ประเทศรัสเซีย)
 วิธีการ : สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอก หน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:50:58 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:10:04 AM »

วิธีไล่จิ้งจก (เดลินิวส์)
ใครที่ประสบกับปัญหาจิ้งจกกวนใจ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีไล่จิ้งจกมาบอก...
วิธี แรก ใช้ผ้าชุบน้ำมันก๊าซผสมน้ำ แล้วนำไปวางตามมุมอับ กลิ่นเหม็นของน้ำมันก๊าซ จะเป็นตัวไล่ให้จิ้งจกไม่กล้าเข้าใกล้ หรือนำการบูร ลูกเหม็น ไปวางแทนที่ก็ใช้ได้เช่นกัน
อีกวิธีให้ใช้น้ำฉีดไปที่เท้าของจิ้งจก เพราะน้ำจะเข้าไปแทนที่สูญญากาศใต้พังผืดบริเวณเท้า ทำให้หล่นลงมา

เพียงเท่านี้ จิ้งจกก็จะไม่มากวนใจอีกต่อไป

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:11:40 AM »

ครัว



ครัว นับเป็นอีกห้องหนึ่งที่มีเรื่องของระบบเข้ามาเกี่ยวข ้องด้วยมากที่สุด

ครัว นับเป็นอีกห้องหนึ่งที่มีเรื่องของระบบเข้ามาเกี่ยวข ้องด้วยมากที่สุด ทั้งระบบน้ำ ไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบระบายกลิ่น และอื่นๆอีกมากมายที่ชวนให้ปวดหัว ความจริงแล้วปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ถ้าหากคุณมีการวางแผนที่ดีตั้งแต่แรกในการเลือกติดตั ้งครัวที่มีการวางระบบจัดการน้ำ ไฟ ควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ระบบหลักในห้องครัวมี 3 ระบบ

1. ระบบน้ำ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ น้ำใช้และน้ำทิ้ง ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมการในเรื่องการวางระบบน้ำมา ยังบริเวณอ่างน้ำที่ติดตั้งบนเคาน์เตอร์และส่วนของน้ ำทิ้งที่ออกสู่ภายนอก ซึ่งต้องคำนึงถึงเรื่องดังต่อไปนี้

ก็อกน้ำ ควรเลือกชนิดก๊อกสูง ปลายก๊อกลอยพ้นขอบอ่างเนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูงง่า ยต่อการปรับทิศทางและแรงดันน้ำ
ท่อน้ำทิ้ง ควรเลือกใช้ท่อใหญ่และอ่อนซึ่งจะระบายสิ่งสกปรกได้ดี ไม่อุดตันง่าย และควรติดตั้งบ่อดักไขมันเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นจา กปัญหาคราบไขมันสะสมตามท่อน้ำทิ้ง
2. ระบบไฟ สิ่งที่ควรรู้ในการติดตั้งระบบไฟคือ ตำแหน่งของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในครัว เพื่อการกำหนดระยะเต้าเสียบที่เหมาะสม ในส่วนของระบบไฟแสงสว่างนั้น ควรเน้นในบริเวณที่ใช้ทำงานเช่นในส่วนเตรียมอาหารและ เตาไฟ โดยอาจมีการติดตั้งเพิ่มเติมดวงไฟในบางจุด ระวังการติดไฟเพดานกลางห้องเพราะอาจจะทำให้เกิดเงาบน พื้นที่ใช้สอย ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคในการทำงานได้

3. ระบบการระบายกลิ่นและควัน นอกจากหน้าต่างแล้ว การระบายอากาศในครัวจำเป็นต้องมีเครื่องดูดควันและกล ิ่น พร้อมพัดลมดูดอากาศด้วย โดยเฉพาะครัวไทยที่มีควันจากการทำอาหารค่อนข้างมาก ในการติดตั้งไม่ควรต่อท่อระบายควันขึ้นไปในช่องระหว่ างฝ้ากับใต้คานเพราะอาจเกิดคราบน้ำมันจับตัวเป็นแหล่ งเพาะเชื้อโรคได้

นอกเหนือจากเรื่องของการวางระบบในครัวแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งก็คือการเลือกใช้วัสดุโดยคำนึงถึงการใ ช้งานเป็นหลัก เช่นส่วนที่ต้องสัมผัสกับน้ำบ่อยๆ ส่วนที่ต้องอยู่ใกล้ความร้อน หรือส่วนที่ง่ายต่อการหมักหมมของเศษอาหารต่างๆ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอายุการใช้งาน ครัวของคุณ


และจากจุดเล็กๆที่คุณอาจมองข้ามไปแต่ทีมครัวปูน 360 จากบุญถาวรไม่เคยมองข้าม เราจึงเร่งพัฒนานวัตกรรมครัวปูนที่มีคุณภาพเพื่อแก้ป ัญหาในทุกจุดที่จะเกิดขึ้น เริ่มจากการใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ด้วยโครงสร้างคอนกรีตน้ำหนักเบาที่มีความแข็งแรง ทนความร้อนสูง การเลือกใช้แผ่นท็อปที่เป็นอะคริลิคแท้ 100% มีคุณสมบัติพิเศษที่ทั้งแข็งแกร่ง กันการรั่วซึม ไม่มีรอยต่อของหิน ทำให้ไม่เกิดการหมักหมมของเศษอาหาร และยังง่ายต่อการทำความสะอาด ในขณะที่ระบบระบายอากาศภายในตัวครัว ยังได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี ด้วยการเจาะช่องระบายอากาศภายในตัวครัว หรือที่เรียกว่าครัวปูนหายใจได้นั่นเอง เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น ลดปัญหาความอับชื้นที่มักจะเกิดขึ้นกับครัวปูนทั่วๆไ ป

เพราะเราเชื่อว่า เพียงแค่สินค้าและนวัตกรรมที่ล้ำหน้าอาจไม่เพียงพอ เราจึงให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนในการสร้างครัว เพราะเรารู้ดีว่าเรื่องครัวไม่ได้จบแค่การติดตั้งครั ว แต่ยังมีระบบไฟฟ้า ประปา และรายละเอียดอื่นๆที่ต้องดูแลไปตลอด พร้อมเพิ่มความมั่นใจด้วยการรับประกันที่ดีที่สุดจาก บุญถาวร 1 ปีสำหรับเฟอร์นิเจอร์ครัวทั้งหมด และอุปกรณ์ฟิตติ้งต่างๆที่เราพร้อมให้การดูแลมากถึง 10 ปี คุณจึงมั่นใจในบริการของเราได้อย่างเต็มที่
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:12:43 AM »

ประโยชน์ของการขัดผิว


ทราบหรือไม่ว่าการขัดผิวมีประโยชน์อย่างไร วันนี้มีเรื่องนี้มาฝากค่ะ....
ปกติผิวจะมีการผลัดเซลล์ผิว ทุก 2-4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุเกิน 20 ปี การผลัดเซลล์ผิวจะช้าลง ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอย และผิวหมองคล้ำ การขัดผิวด้วยฟองน้ำ เกลือขัดผิว แปรง หรือวิธีอื่นๆ จึงช่วยให้เซลล์ผิวผลัดตัวเร็วขึ้น ทำให้ผิวดูกระจ่างใส
- ผิวแห้ง การขัดผิวที่เสื่อมสภาพออก จะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมซาบเข้าสู่ชั้นผิว ผิวจึงไม่แห้งตึง

- ผิวผสม ลดปัญหาการเกิดสิว ช่วยให้สีผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ

- ผิวมัน ช่วยให้รูขุมขนสะอาดขึ้น ลดการอุดตัน และลบเลือนรอยดำจากสิว

- ผิวที่มีริ้วรอย กระตุ้นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติให้ทำงานดีข ึ้น ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอย และความหมองคล้ำ ผิวจึงดูสดใสและอ่อนวัยขึ้น

- ผิวที่ไม่เรียบเนียน ช่วยลบเลือนจุดด่างดำและริ้วรอยที่เกิดจากสิว

- ผิวแตกลาย / ผิวเปลือกส้ม การขัดผิวด้วยฟองน้ำนุ่มๆ หรือใยบวบธรรมชาติที่แช่น้ำจนนิ่ม ในบริเวณที่ผิวแตกลาย เป็นคลื่น เป็นลอน ทุกวัน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และลบเลือนริ้วรอยให้จางลงได้

การขัดผิวหน้าควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยวนมือเป็นวงกลมเบาๆ หลังขัดผิวควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นใ ห้ผิว

รู้อย่างนี้แล้ว สาวคนไหนอยากมีผิวสวย อย่าลืมหันมาขัดผิวกันดีกว่านะคะ...



ที่มา : เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:54:15 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:13:46 AM »

Smiley 4 วิธีแก้คอเคล็ดเพราะตกหมอน



"โอ๊ย... ช่วยด้วยหันคอไม่ได้" ...คุณล่ะเคยไหมคะ ที่บางครั้งหลังตื่นนอนไม่สามารถหันคอหรือเอียงคอได้ เพราะคอเคล็ดหรือคอแข็ง อย่างที่เราเรียกว่า "ตกหมอน" นั่นเอง

เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ไว้ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการตกหมอนมาฝากค่ะ
อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอและให้อยู่นิ่งๆ โดยการนอนราบชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก
ประคบ ร้อน ด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่นบริเวณกล้ามเนื้ อต้นคอที่เจ็บประมาณ 20-30 นาที และกดนวดบริเวณคอเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น
ดัดยืดคอด้วยตนเอง โดยใช้มือช่วยดันศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้าๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อยแต่ไม่เจ็บ ดันค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วทำซ้ำ 5-10 ครั้ง จนเริ่มรู้สึกทุเลาลง
นวดเบาๆ โดยใช้มือบีบลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย ให้แรงบีบพอประมาณที่ทำให้รู้สึกแน่นตึงและไม่เจ็บ บีบและคลายเป็นจังหวะ การประคบร้อนก่อนการนวดจะช่วยให้นวดได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น
ข้อควรระวัง ไม่ควรกดบีบหรือยืดกล้ามเนื้อจนรู้สึกเจ็บ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น และไม่ควรให้ผู้อื่นดัดคอหรือจับเส้นเด็ดขาด เพราะจะทำให้อักเสบและเรื้อรังได้ ถ้ายังไม่หายค่อยๆ ฝึกออกกำลังกล้ามเนื้อหรือปรึกษานักกายภาพบำบัด

ปกติอาการปวดคอมักจะหายภายใน 1-2 วัน ถ้าอาการรุนแรงขึ้นหรือยังไม่หายสนิท ให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรักษาให้ถูกต้องค่ะ

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 194
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:57:53 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:14:42 AM »

เก็บรักษายาอย่างไรให้ถูกต้อง



เก็บรักษายาอย่างไรให้ถูกต้อง (Ya&You)
ผู้เรียบเรียง ภญ.สุธีรา เตชคุณวุฒิ และ ภญ.จิตติมา ลัคนากุล

โดย ส่วนใหญ่แล้ว ยาสามัญประจำบ้านเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งสำหรับครอบ ครัวและที่ทำงานที่จะมี เก็บไว้ใช้เมื่อมีอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ การเก็บรักษายาที่ ถูกต้องจะมีผลต่อคุณภาพของยา ซึ่งหากเก็บยาไม่ถูกต้องแล้ว ยาดังกล่าวมีโอกาสที่จะเสื่อมคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อฤทธิ์การรักษาโรคของยา และอาจเกิดอันตรายจากการใช้ยาที่เสื่อมคุณภาพ

สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงในการเก็บรักษายาให้ถูกต้อง คือ

 ความชื้น

ตัวยาหลายชนิดเมื่อเจอความชื้นตัวยาจะเกิดการสลายตัว และยาเม็ดส่วนใหญ่เมื่อโดนความชื้นจะมีผลต่อเปลือกเค ลือบทำให้บวมหรือเกาะ เป็นก้อน ซึ่งจะส่งผลให้ฤทธิ์การรักษาของยาไม่เป็นไปตามที่ต้อ งการ จึงไม่ควรเก็บยาในบริเวณที่มีความชื้นสูง และหากขวดยามีสารดูดความชื้นให้เก็บสารดูดความชื้นไว ้ในขวดจนใช้ยาหมด รวมถึงผิดขวดยาให้สนิทเพื่อป้องกันความชื้น

**ไม่เก็บยาไว้ในตู้เย็น นอกจากมีการระบุไว้ หรือไม่เก็บยาในห้องน้ำหรืออ่างล้างหน้า**

 อุณห

อุณหสูง(ร้อน) หรือ อุณหต่ำ(เย็น) เกินไปจะมีผลต่อคุณภาพของยาได้

ยาส่วนใหญ่ จะให้เก็บไว้ในอุณหห้อง ซึ่งหมายถึงอุณหประมาณ 18 -25 องศาเซลเซียส และไม่ถูกแดดโดยตรง

ยาบางชนิด ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นเนื่องจากยาจะเสียได้ง่าย หรือสลายตัวหากเก็บไว้ในอุณหห้อง

**หากระบุให้เก็บในตู้เย็น ให้เก็บในช่องเย็นธรรมดา ไม่เก็บไว้ในช่องแข็ง**

 แสงสว่าง

ยาแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติทนต่อแสงแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามไม่ควรเก็บยาให้โดนแสงแดด และไม่แกะยาออกจากภาชนะบรรจุเดิมของยาโดยที่ยังไม่ต้ องการใช้ เพราะเมื่อแกะยาแล้ว ยาจะโดนแสงทำให้ยาเสื่อมสภาพได้

 อากาศ

ในอากาศมีก๊าซต่าง ๆ ซึ่งจะสามารถเร่งให้ยาเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น ดังนั้นจึงควรเก็บยาในภาชนะที่มีสามารถปิดสนิทมิดชิด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:15:30 AM »

7 วิ ธี กิ น ย า ใ ห้ ไ ด้ ผ ล



เมื่อ เราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องไปหาหมอ เมื่อไปหาหมอ คุณหมอก็จะให้ยามารับประทาน แต่เอ๊.....ทำไมทานยามาตั้งนานถึงมาหายสักที ลองเช็คสิกินยาถูกหรือเปล่า

1. จดโน้ตเล็ก ๆ เตือนเอาไว้ว่าคุณต้องทานยาอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการลืม หรือหากคุณเป็นอะไรไปคนที่เข้ามาช่วยเหลือจะได้ทราบเ บื้องต้นว่าคุณทานยา อะไรบ้าง ทั้งยังสะดวกด้วยเผื่อว่าคุณเปลี่ยนหมอคุณจะได้บอกหม อได้ถูกว่าคุณเคยทานยา ตัวไหนมาแล้วบ้าง

2. กินยาจนกระทั่งยาหมด หรือตามที่แพทย์สั่ง อย่าหยุดกินเพราะคุณรู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว เพราะถ้าคุณรู้ดีขนาดนั้นจะไปหาหมอทำไมกันล่ะ ตรวจเองจะง่ายกว่า

3. จำเวลาทานยาตามกิจกรรมสำคัญ ๆ ในแต่ละวัน เคยเจอใช่มั้ยยาจำพวก ควรกินทุก 4 - 6 ชั่วโมง พอกินไปครั้งหนึ่งแล้วคุณก็ต้องมานั่งนับ นั่งดูเวลาว่านี่ครบกำหนดหรือยังนะ ให้เปลี่ยนใหม่เป็นทานยาก่อนอาหารเที่ยง ทานหลังแปรงฟัน ทานก่อนเลิกงาน หรือทานก่อนนอน เป็นต้น คุณจะได้จำง่ายขึ้น และไม่เผลอลืมทานยา

4. ถามรายละเอียดของการทานยาให้เข้าใจ เช่นเมื่อคุณลืมทานยาแล้วให้ข้ามไปเลย หรือว่า ครั้งต่อไปทานควบไปเลยสองเม็ด ยาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ออกฤทธิ์ก็ต่างกันดังนั้นอย่าลืมถามให้ชัวร์

5. อย่าใส่ยารวมกันในกล่องหรือขวดเดียวกัน เพราะแรก ๆ คุณอาจจะจำได้ แต่พอนาน ๆ ไปคุณอาจจะลืมไปว่ายาตัวไหนต้องทานก่อน ทานหลังยาอะไร เป็นต้น

6. เตรียมพร้อมเสมอเมื่อเดินทาง หากล่องใส่ยาเตรียมไว้ให้พร้อม อย่าเลือกที่เทอะทะเอาที่พอดี ๆ สามารถพกติดตัวได้ไม่อึดอัด และอย่าใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ๆ เพราะคุณอาจจะหยิบออกมาใช้ไม่สะดวก

7. บันทึกการกินยาทุกครั้ง ว่าคุณเป็นอะไร กินยาชื่ออะไร ทานนานแค่ไหน มีอาการแพ้หรือเปล่า และถ้าเป็นไปได้ ให้นำเอายาที่กินอยู่ไปให้หมอดูด้วยทุกครั้ง

เพียงแค่นี้คุณก็จะได้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าทำตามนี้แล้วยังไม่หาย แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพราะคุณอาจจะไม่ถูกกับยาตัวนั้น หรืออาจมีอะไรผิดปกติได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:16:29 AM »

10 ข้อแนะนำการใช้ยา (ธรรมลีลา)




เภสัชกรมนตรี สุวณิชย์ ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.ศิริราช มีข้อแนะนำการใช้ยาดังนี้

 1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ

 2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง

 3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดอาการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ

 4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหารในมื้อนั้น ๆ

 5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง

 6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

 7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ

 8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแช่แข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

 9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด

 10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้วมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที


ขอขอบคุณข้อมูลจา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:24:01 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:22:07 AM »

อาการ ?ไอ? แก้ได้ไม่ง้อยา



ไอ? เป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด แต่ใช่ว่าต้องป่วยด้วยโรคร้ายดังกล่าวนี้เท่านั้นจึง จะมีอาการไอ หากเป็นแค่โรคหวัดก็ยังทำให้คุณไอได้ ?สามัญประจำบ้าน? วันนี้ จึงนำวิธีบรรเทาอาการไอ โดยไม่ต้องใช้ยามาฝากให้ลองปฏิบัติ

ก่อนอื่นเราควรรู้ว่า อาการไอ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ไอฉับพลัน จะมีอาการไอไม่เกิน 3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่ว นบน เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ หรือสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลม เช่น ควันบุหรี่ แก๊ส หรือสีสเปรย์ ส่วนอีกชนิด เรียกว่า ไอเรื้อรัง อาการไอชนิดนี้จะยาวนานมากกว่า 3 สัปหาด์ขึ้นไป อาจเกิดจากโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง การใช้ยาความดันโลหิตสูงบางชนิดต่อเนื่อง โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือโรควัณโรค เป็นต้น

หากเริ่มมีอาการไอ คุณสามารถบรรเทาอาการที่ปฏิบัติตามแล้วอาจหายขาด หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดความทรมานจากความเจ็บปวดช่วงลำ คอ หรือทรวงอกก่อนที่จะไปพบแพทย์

ยาสามัญแสนจะบริสุทธิ์หาง่ายใกล้ตัว คือ น้ำเปล่าไม่เย็น หรืออุ่น ๆ แต่ไม่ควรร้อน ให้ดื่มบ่อย ๆ ทำให้ชุ่มคอ หรือน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว จิบบ่อย ๆ ช่วยลดอาการไอ

ระหว่างที่มีอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีอุณหต่ำ หรืออากาศเย็น หากเลี่ยงไม่ได้ให้ทำร่างกายให้อบอุ่น เช่น สวมเสื้อหนา ๆ หรือสวมถุงเท้า งดรับประทานไอศกรีม เลี่ยงการดื่มและอาบน้ำเย็น งดสูบบุหรี่หรือสูดดมควันบุหรี่ งดอาหารทอดน้ำมัน

แต่ถ้ามีอาการไอเรื้อรังไม่หายหรือทุเลาลงสักที ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง เพราะหากอาการไอทวีความรุนแรงขึ้นอาจกระทบกับบุคลิภา พ รบกวนการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวัน ในทางสุขภาพร่างกาย อาจทำให้กระดูกซี่โครงหัก ถุงลมหรือเส้นเลือดฝอยในปอดแตก และยังส่งผลกระทบไปที่ดวงตา และหูได้.



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:28:52 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:25:18 AM »

กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!??



กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!?? (เดลินิวส์)
โดย : นวพรรษ บุญชาญ

กินยาแล้วนอนทันทีอาจตายได้จริงหรือ เป็นคำถามที่หลายๆ คน ได้อ่านอีเมลที่มีการส่งต่อๆ กันไป อยากรู้คำตอบ
เกี่ยว กับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มีส่วนที่จริงมาก เพราะการกินยาก่อนนอน คือกินยาแล้วนอนทันทียาอาจจะไปจับอยู่ที่ตรงหลอดอาหา ร อยู่กึ่งกลางระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร พอยาไปติดอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไปกัดทำให้หลอดอาหาร เกิดแผล พอเกิดแผลมากๆ คนที่กินยาจะรู้สึกเลยว่าร้อน แน่นหน้าอก ประมาณตี 3 จะลุกขึ้นมาเลย เพราะแน่นหน้าอก ซึ่งมักจะเกิดจากการกินยา 2 ประเภท คือ ยาที่เป็นกรด ประเภทวิตามินซี และยาที่เป็นพวกแคปซูลเหนียวๆ จะมีปัญหาติดหลอดลมมาก

วิธีง่ายๆ คือ จะต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังจากที่กินยา รอประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่กินเข้าไปผ่านไปยังกระเพาะอาห าร เพราะยาบางอย่างเวลากินน้ำตามเยอะเราจะรู้สึกเลยว่า มันจะไหลจากคอลงไปท้อง แต่ถ้าเรากินน้ำน้อยบางทีจะไม่รู้สึก แค่หายจากคอไป ไม่ได้หมายความว่ายาลงไปที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจริงๆ มันอาจจะไปติดอยู่ที่หลอดอาหาร

ดัง นั้นการกินยาก่อนนอน อย่าเพิ่งเอนตัวลงนอนทันที ยิ่งในคนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ายาไปอยู่ตรงหลอดอาหารพอดีก็จะทำให้เกิดแผล จนแผลทะลุ ถ้าเป็นแผลเรื้อรังนานๆ อาจเป็นมะเร็ง เหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ตรงหลอดอาหาร อันตรายกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะกรดไหลย้อน

ถาม ว่าเวลากินยาควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ขอเรียนว่า ดื่มได้ทั้ง 2 ประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้บางชนิดในกลุ่มส้ม มะนาว เพราะมันจะทำให้ยาแตกตัวเร็วตั้งแต่ในปาก แทนที่จะดูดซึมในกระเพาะอาหาร ก็จะแตกตัวในปากไม่ช่วยรักษาโรค แถมทำให้ยาไม่ดูดซึมดี

ส่วน ที่บอกว่า ห้ามกินยาพร้อมกับนม หรือห้ามกินยาหลังดื่มนมนั้น ความจริงแล้วสามารถดื่มนมพร้อมกับยาได้ แต่มีข้อยกเว้นกับยาบางประเภท เช่น เตตร้าไซคลิน ดอกซีไซคลีน ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อ ยารักษาสิวจะกินกับนมไม่ได้
ถ้ายาชนิดเดียวกันแต่มีทั้งยาเม็ด ยา น้ำ แคปซูล ควรกินชนิดใด ขอเรียนว่า ยาเม็ดจะได้ยาเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่ายาประเภทอื่น

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากแนะนำคือ ยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ เช่น แคปซูล ห้ามแบ่งเด็ดขาด เพราะมีบางบ้านแบ่งเอาไปใส่น้ำหวานให้ลูกกิน ซึ่งต้องบอกว่า การแบ่งยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ อาจทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์ และอาจเกิดอันตรายได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:30:39 AM »

วิธีขจัดกลิ่นลูกเหม็นที่ติดเสื้อผ้า

คุณเคยสังเกตไหมว่า เวลาใส่ลูกเหม็นในตู้เสื้อผ้านานๆ จะทำให้เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้มีกลิ่นเหม็น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีการขจัดกลิ่นลูกเหม็นที่ติดเสื้อผ้ามาบอก...

เพียงนำเสื้อไปพรมน้ำให้ชุ่มพอประมาณ แล้วไปแขวนไว้ในที่ๆมีอากาศถ่ายเทสะดวก เพียงชั่วข้ามคืนเดียว กลิ่นลูกเหม็นที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าก็จะจางหายไป



เดลินิวส์ออนไลน์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #12 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:36:20 AM »

วิธีสังเกตยาที่เสื่อมคุณภาพ

- ยาเม็ด สังเกตว่าเม็ดยาจะแตกร่วน สีเปลี่ยนไป มีจุดด่าง ขึ้นรา หรือหากเป็นยาเม็ดเคลือบน้ำตาล เม็ดยาอาจเยิ้มเหนียวมีกลิ่นหืนหรือกลิ่นผิดไปจากเดิ ม

- ยาแคปซูล สังเกตว่าแคปซูลจะบวม พองออก หรือจับกัน ผงยาในแคปซูลเปลี่ยนสี เช่น ยาเตตราซัยคลินที่เสียแล้ว ผงยาจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อไตมาก

- ยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ทาแก้คัน หากเสื่อมสภาพตะกอนจะจับกันเป็นก้อน เกาะติดกันแน่น เขย่าแล้วไม่กระจายตัวดังเดิม มีความเข้มข้น กลิ่น สี หรือรสเปลี่ยนไป

- ยาน้ำเชื่อม เช่น ยาแก้ไอ หากหมดอายุ ยาจะมีลักษณะขุ่นมีตะกอน ผงตัวยาละลายไม่หมด สีเปลี่ยน มีกลิ่นบูดเปรี้ยวหรือรสเปรี้ยว

- ยาขี้ผึ้งและครีม ถ้าพบว่าเนื้อยาแข็งหรืออ่อนกว่าเดิม เนื้อไม่เรียบ เนื้อยาแห้งแข็ง หรือสีของยาเปลี่ยนไป

วิธีการดูว่ายาหมดอายุ คือ ดูวันหมดอายุของยาที่ระบุไว้บนฉลากยา และถ้ายานั้นไม่มีวันบอกหมดอายุ อาจดูจากวันเดือนปีที่ผลิต ซึ่งโดยปกติ ถ้าเป็นยาน้ำจะเก็บไว้ได้ประมาณ 3 ปีนับจากวันผลิต และหากเป็นยาเม็ดจะเก็บไว้ได้ 5 ปี และถ้าเป็นยาหยอดตาหากเปิดใช้แล้วเก็บไว้ได้เพียงหนึ 1เดือน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #13 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:41:03 AM »



5 ประโยชน์จากน้ำมันมะกอก (Lisa)

นี่คือตัวอย่างง่าย ๆ ในการใช้น้ำมันมะกอกให้เป็นประโยชน์ต่อความสวยความงามของคุณ



ปรับสภาพเส้นผมอย่างล้ำลึก หลังจากสระผมและใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้แห้งแล้ว ก็ชโลมน้ำมันลงบนเส้นผมให้ทั่ว สวมหมวกอาบน้ำเอาไว้ แล้วใช้ไดร์เป่าผมเป็นเวลา 10 นาที ปล่อยทิ้งไว้อีก 10 นาที แล้วล้างน้ำออก



ใช้ปรุงสครับขัดผิวตำรับทำเอง สครับที่ใช้ขัดผิวตำรับต่างๆ นั้นมักจะมีน้ำมันมะกอกเป็นส่วนผสมสำคัญเสมอ เพราะน้ำมันมะกอกมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาปรุงตำรับขัดผิว ก็แค่ทาน้ำมันมะกอกลงบนผิว แล้วใช้เม็ดน้ำตาลหรือเกลือหยาบๆ ขัดผิวแบบง่าย ๆ ก็ได้



บำรุงหนังหุ้มเล็บ ผสมน้ำมันมะกอกเล็กน้อยเข้ากับน้ำอุ่น แล้วแช่มือไว้ในส่วนผสมนั้นเป็นเวลาห้านาที จากนั้น อุ่นน้ำมันกอกให้ร้อนขึ้นเล็กน้อย แล้วทาลงบนมือ โดยเน้นบริเวณหนังหุ้มเล็บเป็นพิเศษ

ขจัดเครื่องสำอางที่ดื้อด้าน ถ้าคุณเจอปัญหาล้างเครื่องสำอางบนใบหน้าออกได้ยาก ก็ลองใช้ก้อนสำลีชุบน้ำมันมะกอก แล้วนำไปเช็ดคราบเครื่องสำอางที่ติดแน่นนั้นออก แต่ต้องระวังเป็นพิเศษเวลาที่ใช้ทำความสะอาดเครื่องส ำอางรอบดวงตา

ใช้แทนครีมโกนขน ถ้าคุณมีผิวที่ไวต่อความรู้สึกหรือแพ้ง่าย การใช้น้ำมันมะกอกแทนครีมโกนขนก็นับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ แถมยังทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้นด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:44:36 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #14 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:47:36 AM »

วิธีดูแลรอบดวงตา เมื่อใต้ตาหมองคล้ำ



วิธีดูแลรอบดวงตา เมื่อใต้ตาหมองคล้ำ (Lisa)
นำช้อนกาแฟที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวัน นำไปจุ่มในถ้วยกาแฟ และนำไปแช่ในช่องฟิตของตู้เย็นจากนั้นทิ้งช้อนไว้ประ มาณ ครึ่งชั่วโมงแล้วจึงนำออกมา ครอบไว้ที่ดวงตาทั้ง 2 ข้างจนหมดความเย็น ทำทุกวันหลังล้างหน้าเสร็จแล้วดวงตาที่หมองคล้ำของคุ ณก็จะสดใสไร้ความหมอง คล้ำ
 
วิธีนวดใต้บริหารรอบดวงตา

ใช้ ปลายนิ้วกลางและนาง ยืดคิ้วออกด้านข้าง 3 ครั้ง ใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้างหมุนวนรอบดวงตาพร้อม ๆ กัน โดยวนตามเข็มนาฬิกา และทุกครั้งให้หยุดกดบริเวณหัวคิ้ว ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ จำนวน 4-6 รอบ ใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้วถึงขมับ จำนวน 3 รอบ กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาถึงหางตา 3 รอบ ใช้นิ้วหลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำ อีก 6 รอบ จากนั้นทำตามขั้นตอนข้างต้น ทั้งหมด อีก 3 รอบ จากนั้นนำมือทั้งสองปิดที่ดวงตา ลากน้ำหนักที่ปลายนิ้วออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วจึงค่อย ๆ ยกฝ่ามือออกจากหน้า

ขอบคุณข้อมูล

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 5   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: