Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 [3] 4 5   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เคล็ด[ไม่]ลับ  (อ่าน 32694 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #30 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:32:52 PM »

เทคนิค! วิธีเป่าผมให้แห้งเร็ว


ทุกครั้งหลังสระผมในช่วงเวลาที่เร่งรีบไดร์เป่าผมก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้เวลาในการทำให้ผมแห้งเร็วที่สุด แต่ก็อย่างที่เราเข้าใจดีว่าการใช้ความร้อนจะเป็นอันตรายต่อสภาพเส้นผม แต่ถ้าจะให้มานั่งเป่าผมโดยใช้พัดลมก็เสียเวลาเป็นที่สุด

วิธีเป่าผมให้แห้งเร็ว จะสามารถช่วยทำให้คุณประหยัดเวลาในการเป่าผมได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญยังสามารถช่วยลดปัญหาผมแห้งเสียของคุณได้อีกด้วยนะค่ะ ว่าแล้วเราก็เข้าไปดู วิธีเป่าผมให้แห้งเร็ว กันเลยดีกว่านะค่ะว่าจะมีเทคนิคที่ดีๆ ขนาดไหน แต่ถึงยังไงก็อย่าลืมนะค่ะว่าเส้นผมของคุณก็ต้องการการดูแลและบำรุงเพราะฉะนั้นแล้วยังงัยก็ลองหาเวลาว่างไปดูแลสภาพของเส้นผมบ้างนะค่ะ ก่อนที่สภาพเส้นผมจะแย่จนแก้ไขไม่ได้ค่ะ

เคล็ดลับง่ายๆ ก็คือ การเป่าไดร์ผมจากชั้นผมด้านใต้ขึ้นมาโดยซับผมให้แห้งหมาดที่สุดก่อนเป่า ทามูสลงบนเส้นผมเล็กน้อยมันจะป้องกันเส้นผมจากความร้อนและเคลือบแกนผมไม่ให้ดูดซับน้ำมากขึ้นไปอีก จากนั้นก้มศีรษะลงหรือหนีบเส้นผมส่วนบนขึ้นไปและเป่าชั้นผมที่อยู่ด้านใต้ก่อน เมื่อมันเริ่มแห้งจึงใช้แปรงไดร์ผมที่อยู่ด้านบน เทคนิคนี้จะช่วยลดเวลาในการเป่าผมให้แห้งลงได้ราวหนึ่งในสาม และเพื่อให้การเป่าไดร์ผมเร็วขึ้นเลือกไดร์เป่าผมที่มีกำลังไฟอย่างน้อย 1,800 วัตต์ ไดร์ที่มีกำลังไฟสูงจะทำให้ผมแห้งได้ในเวลาที่น้อยกว่าเครื่องที่มีกำลังไฟต่ำกว่า
 
 


ขอบคุณ Lisa

 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #31 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 10:28:12 PM »

เคล็ดลับขจัดควันขณะปิ้งย่าง




สำหรับแม่ครัวที่ต้องผจญกับปัญหาเวลา ปิ้ง-ย่างอาหารประเภทต่าง ๆ ด้วยเตาถ่านและต้องผจญกับควันไฟที่ลอยคลุ้งอยู่ คงกำลังนึกอยากหาวิธีขจัดควันไฟขณะประกอบอาหารปิ้ง-ย่าง


เมื่อทำการจุดเตาถ่านเรียบร้อยแล้ว ให้นำเอาเกลือป่นมาทำการโรยบนถ่านที่กำลังติดไฟ ก่อนนำเอาอาหารไปปิ้ง-ย่าง เกลือจะทำให้เกิดควันน้อยลงจนแทบไม่มีเลย จึงทำให้เราสามารถปิ้ง-ย่างอาหารได้อย่างสะดวก อาหารไม่เหม็นควันไฟ อีกทั้งยังสุกและมีสีที่น่าทานอีกด้วยนะคะ


ที่มา...nanakedlab.blogspot.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #32 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:34:28 PM »

การล้างรถอย่างถูกวิธี




ทุกวันนี้กิจการหนึ่งที่เราเห็นผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดทุกวันคงไม่พ้นกิจการร้านล้าง ที่ทำให้ชาวคนรักรถหลายคนแวะเวียนไปขัดสีฉวีวรรณรถของตัวเอง แต่แม้มันจะง่ายและได้เสียเงินกัน ทว่า บางครั้งเราก็ควรจะล้างรถด้วยตนเองด้วย และมันอาจจะทำให้เราเรียนรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับรถของเราไปพร้อมกันด้วย




”การล้างรถ” ฟังดูก็เป็นเรื่องง่ายๆ แค่สายยาง น้ำ และแชมพูก็น่าจะสิ้นเรื่องแล้ว แต่ความจริง การที่ธุรกิจล้างรถผุดขึ้นมานั้น ก็เนื่องจากเรื่องง่ายอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเรื่องสำคัญของการล้างรถคือการใส่ใจในรายละเอียด และถ้าวันนี้ใครยังไม่เคยรู้ว่าการล้างรถจริงๆควรจะทำอย่างไร วันนี้เราจะมาเรียนรู้การล้างรถอย่างถูกวิธีกัน


1.ฉีดน้ำมือถู ..เรื่องที่ควรทำก่อนเริ่มกระบวนการ หลายคนที่เคยไปตามร้านล้างรถคงจะพอรู้ขั้นตอนการล้างรถดี แล้วมันก็เริ่มจากการฉีดน้ำลงบนตัวรถ ซึ่งการฉีดน้ำไม่ได้มีเหตุผลในการเตรียมลงน้ำยามแชมพูล้างรถ แต่คือการขจัดคราบดิน ฝุ่น และ สิ่งสกปรกอื่นๆ ออกจากรถก่อนที่จะลงมือปฏิบัติการ ซึ่งตามร้านเหล่านั้นจะมีเครื่องปั้มน้ำแรงดันสูง ทำให้แค่เพียงฉีดคราบสกปรกก็หายไป แต่ถ้าเราที่บ้านน้ำที่ไม่แรงมาก ทำให้เราควรจะใช้มือถูตามไปกับการราดน้ำพร้อมกัน ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นการขัดฝุ่นและคราบสกปรกก่อน ในส่วนใดที่มีคราบเกาะติดแน่นให้ใช้การฉีดน้ำร่วมแล้วนำมือถูด้วย


2.รู้จักแชมพูที่จะใช้ อันที่จริงถ้ารถคุณไม่ได้สกปรกมาก จากขึ้นตอนแรกจะพบว่า สีรถจะสวยขึ้นมาทันตาเห็น แน่นอนว่าการล้างรถด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็สามารถทำให้สะอาดได้ และไม่กินเวลามากนัก แต่อย่าใช้วิธีการนำผ้าชุบน้ำเช็ดรถเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดรอยขนแมวตามมา (รอยขนแมวคือ รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นบนผิวแลกเกอร์ของตัวรถ ทำให้เป็นรอยเล็กๆเยอะๆ เมื่อส่องไฟ)


แม้เราจะบอกว่าน้ำสะอาดก็พอแต่การที่เราจะล้างรถได้หมดจด โดยเฉพาะคราบฝุ่นที่มองไม่เห็นด้วยเปล่านั้น ต้องอาศัย น้ำยาล้างรถ ซึ่งปัจจุบันมี 2 แบบที่นิยมกัน คือ แชมพูและโฟม ซึ่งมีจุดประสงค์เดียวกัน ขจัดคราบเหมือนกัน แต่ต้องเข้าใจก่อน


แชมพู – เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักแชมพูล้างรถเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ยี่ห้อที่หลากหลายออพชั่นที่ผสมแว็กมากมาย สรุปสุดท้ายก็เหมือนกันอยู่ดี คือมันมีหน้าที่ ในการขจัดคราบเป็นสำคัญ แชมพูล้างรถก็ไม่ต่างอะไรจากแชมพูสระผมนัก แต่อย่าเข้าใจผิดว่าใช้แทนกันได้ …นะครับ แชมพูสระผมจะขจัดคราบดีเมื่อเทลงไปบนหัว แต่กลับกันตัวแชมพูล้างรถจะต้องผสมน้ำก่อนในอัตราส่วนที่กำหนดแล้วแต่ยี่ห้อ ซึ่งการใช้งานก็คือจุ่มทั้งฟองและน้ำยาถูไปบนตัวรถเลย สิ่งที่ต่างคือตัวน้ำยาจะมีความลื่นนั่นเอง แต่เหล่าโปรล้างรถบอกว่าแชมพูจะให้รายละเอียดสู้โฟมไม่ได้ แต่ก็พอใช้ได้ถ้าล้างเอง
โฟม - ในช่วงหลายปีมานี้โฟม ถูกพูดถึงมาก เราเห็นร้านล้างรถติดป้ายกันประจำ ทว่าอันที่จริงโฟมนั้น คือฟองที่เกิดจากการใช้หัวเชื้อผสมลงไปแล้ว แล้วนำเอาฟองโฟมมาใช้ในการทำความสะอาดรถ ซึ่งปัจจุบันมีน้ำยาล้างรถบางยี่ห้อทำออกมาในแบบเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบล้างรถเอง
การใช้โฟมล้างรถนั้นมีข้อดีที่ฟองโฟมที่มีคุณภาพจะให้เนื้อฟองที่แน่นและละเอียด ทำให้ขจัดคราบได้ดีกว่าแชมพู แต่แน่นอนการใช้โฟมล้างรถ คือการใช้ฟอง ขจัดคราบสกปรกเป็นสำคัญ




3.ถูอย่างระวัง  เมื่อเลือกน้ำยาล้างรถได้ และจัดการผสมตามสัดส่วนแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญต่อมาคือการถูอย่างระมัดระวัง การถูกแชมพูหรือโฟมนั้นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และจุดประสงค์มันคือการกระจายน้ำยาให้ทั่วบริเวณ ซึ่งหากเป็นไปได้อาจจะใช้ผ้า หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้หาซื้อฟองน้ำอย่างดี ราคาแพงเล็กน้อยแต่ใช้ยาว
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการลงน้ำยาคือการถูเพื่อขจัดคราบสกปรก ทั้งที่จริงๆ เราใช้น้ำยาและน้ำเป็นตัวช่วยขจัดคราบ ซึ่งตรงนี้ไม่ต้องถูแรงมากนัก แค่ถูธรรมดาเท่านั้น และเช่นเดิม ควรเริ่มจากหลังคาก่อน เพราะเป็นจุดสูงที่สุดของตัวรถ จากนั้นไล่ลงมาที่บอดี้ของตัวรถ แล้วค่อยเก็บรายละเอียดเล็กๆที่เหลือ เช่นซอกมุมต่างๆ


4.อย่าทิ้งนาน หลายครั้งที่การล้างรถของเราที่บ้านทำคนเดียว แน่นอนว่ารถ 1 คัน จะลงน้ำยาเสร็จทั้งคันคนเดียวก็ใช้เวลานานอยู่ แต่หากคุณต้องทำคนเดียว ควรจะเลือกลงน้ำยาและล้างไปเป็นส่วนๆ เพื่อลดการที่นำยาจับตัวเป็นคราบแห้ง  และ เมื่อล้างไปตามส่วนอื่นๆ อย่าลืมฉีดน้ำในส่วนที่ทำความสะอาดแล้วด้วย เพื่อไม่ให้ก่อตัวเป็นคราบน้ำ ก่อนที่เราจะเช็ดแห้ง


5.เช็ดแห้ง..จุดตกม้าตายของหลายคน มาถึงตรงนี้ในที่สุดเราก็มาถึงขั้นสุดท้ายของการล้างสีรถภายนอกแล้ว หลายคนมักคิดว่าการล้างรถง่ายนิดเดียว แต่ท้ายที่สุดเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเช็ดแห้งคือการชีชะตาผมงานว่าจะออกมาหมู่หรือจ่า กัน
การเช็ดแห้งนั้น ควรใช้ผ้าที่มืเนื้อนุ่มซับน้ำง่าย หากงบน้อยแนะนำผ้าสำลี หรือมีงบเพิ่มขึ้นมาหันไปคบผ้าไมโคไฟเบอร์สังเคราะห์ หรือ ชาร์มัวร์สังเคราะห์ ทว่าก็ต้องมีหลายผืนหน่อยเพราะผ้ามักจะอุ้มน้ำ แต่ถ้าดีที่สุดต้องเป็นผ้าชามัวร์  เนื่องจากสามารถซับน้ำได้ดีเร็ว และ ทำให้ลดเวลาในการเช็ดได้มากและไม่ค่อยเกิดเป็นคราบน้ำ ที่สำคัญควรมีผ้า 2 ผืนเพื่อเช็ด แล้วเช็ดแห้งตามทันที


การเช็ดแห้งควรเริ่มทำทันทีหลังจากล้างคราบน้ำยางล้างรถออก ให้เริ่มจากบนลงล่างเช่นเดิม โดยการเช็ดควรดูเช็ดให้รายละเอียด ให้ใช้เวลานานในการเช็ด ที่สำคัญห้ามลืมในการใส่รายละเอียดตามซอกประตู ฝาถังน้ำมัน ซึ่งน้ำจะเข้าไปซุกและเป็นคราบได้ในท้ายที่สุด แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังแล้วไม่ยากแต่การล้างรถนั้น สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในรายละเอียดการล้างรถ ซึ่งการล้าง
 
 


ขอบคุณ : ISNHOTNEWS
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #33 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:36:15 PM »

รู้มั้ย! กะพริบไฟหน้าเพื่ออะไร ?


ไฟสัญญาณแต่ละอย่างในรถ ติดตั้งมาโดยคำนึงในเรื่องของความปลอดภัยเป็นสำคัญ

ไฟสัญญาณอันดับแรกที่กลายเป็นธรรมเนียมอันไม่เป็นสากล และน่าจะเกิดอันตรายก็คือ ไฟหน้าใหญ่ ผู้ขับขี่ยวดยานชอบเปิดกัน แวบๆ ให้หลายคนสงสัยว่ามันหมายความว่าอะไรกันแน่

ในประเทศไทยเรานั้น แปลกันเองได้ความว่า "ขอไปก่อนนะ" ธรรมเนียมนี้ก็ค่อยๆ วิวัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ จนบัดนี้บนท้องถนนหลวงเข้าใจกันได้อีก ความหมายหนึ่งว่า เมื่อรถที่วิ่งสวนมาบนถนนหลวงให้สัญญาณไฟหน้ากะพริบ แวบๆ ล่ะก็ ให้เตรียมระวังว่าอย่าขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด อย่าเดินรถในช่องทางขวา อย่าแซงทางซ้าย ฯลฯ เพราะข้างหน้ามีตำรวจคอยดักจับอยู่ สัญญาณนี้เลยกลายเป็นสัญญาณประสานสามัคคีกันในหมู่ผู้ใช้รถบนถนนหลวงไปอีกความหมายหนึ่ง

ส่วนในต่างประเทศบางแห่ง เช่น ในยุโรปและประเทศอังกฤษ ไฟแวบหน้าที่เปิดกันแวบๆ นั้น สัญญาณนี้แปลได้ว่า "เชิญคุณไปได้ ผมให้ทางคุ" ดังนั้น พวกฝรั่งพวกนี้มาขับรถในเมืองไทย เห็นพี่ไทยเปิดไฟไห้แวบๆ ก็นึกว่าเหมือนบ้านตัวก็ออกพรวดไปเลย จึงเกิดอุบัติเหตุเพราะสาเหตุนี้หลายราย นี่ก็คืออันตราย อีกอย่างหนึ่งที่เป็นภาษาสากล แต่อ่านแปลให้ผิดเพี้ยนไปตามวัฒนธรรมของแต่ท้องถิ่นแต่ละประเทศ

แท้จริงแล้วไฟหน้านี้ใช้ทำอะไรและในภาษาสากลหมายความว่าอย่างไร

ไฟแวบหน้าใหญ่นั้น จริงๆ แล้วแปลว่า "ระวัง" หรือ "ผมอยู่ตรงนี้" เพื่อเตือนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้ระมัดระวังว่ามีรถอีกคันอยู่ตรงนี้ หรืออีกนัยหนึ่งสัญญาณ นี้ใช้แทนสัญญาณแตร ในกรณีที่ใช้แตรไม่ได้ เช่น ในเวลากลางคืน กฎหมายห้ามใช้แตร หรือในสถานที่ที่มีเครื่องหมายห้ามใช้แตร เพราะจะรบกวนบุคคลอื่น เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ราชการ หรือกรณีที่เป็นกลางวัน จะใช้เตือนรถที่หันหน้าเข้าหา ใช้ไฟแวบเตือนให้ระวังจะดีกว่าเสียงแตร

เพราะแสงนั้นเดินทางได้เร็วกว่าเสียงหลายเท่าตัวนัก

( ข้อมูล คอลัมน์ คาร์ทิป มติชนรายวัน 2 กุมภาพันธ์ 2556)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #34 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:53:48 PM »

ต้มผักอย่างไรให้สีสวยน่ากิน


สวัสดีค่ะ วันนี้ Food Tips มีวิธีต้มผักให้สีสวย น่ารับประทาน มาแนะนำให้ลองทำกันดูค่ะ


“ผักต้ม” กินกับน้ำพริกต่างๆ เมนูอาหารไทย ประจำบ้าน มาแต่ยุคโบราณ และน้ำพริกนี้ถือได้ว่าเป็นสำรับเอก ที่ใช้ในการรับแขก


ซึ่งหากผักที่ใช้กินคู่กับน้ำพริกนั้นมีสีสันไม่น่ากิน ก็จะทำให้เจ้าบ้านเกิดความอับอายได้ มาจนถึงยุคปัจจะบัน ที่เมนูอาหารสุขภาพ กำลังเป็นที่นิยม หากผักต้มแล้วสีหมองคล้ำ ก็จะทำให้ความน่ารับประทาน ลดลงไป


ดังนั้นวิธีที่จะทำให้ผักต้มมีสีสวยงาม คือ นำน้ำสะอาดใส่ในหม้อ กะดูให้ดี ว่าพอใส่ผักลงต้ม แล้วน้ำจะพอท่วมผักได้ เทคนิคง่ายๆ คือ ใส่เกลือป่นลงในน้ำ สำหรับต้มผักสีเขียว ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย จะทำให้ผักมีผิวมันน่ากินยิ่งขึ้น พอน้ำเดือดค่อยใส่ผักลงต้ม กดผักให้จมน้ำ พอผักสุกช้อนขึ้นจากน้ำ ใส่ในน้ำเย็น จากนั้นจึงสะเด็ดน้ำ และจัดใส่จาน
ส่วนผักสีขาว เช่น หัวไชเท้า ถ้าอยากให้ผักมีสีขาวสวย ให้ใส่น้ำส้มสายชูลงในน้ำที่ต้ม ผักจะมีสีขาวสวย


ไม่ยากเลยใช่มั้ยค่ะ สำหรับการต้มผักให้ดูน่ารับประทาน ลองนำไปทำดูนะค่ะ รับรองบนโต๊ะทานข้าวของคุณจะมีจานผักต้มที่มีสีสด น่ากินเชียวล่ะค่ะ
 
 


ขอบคุณ : ISNHOTNEWS
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #35 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 08:07:33 AM »

วิธีลวกปลาหมึกให้กรอบและไม่เหม็นคาว


วันนี้  นำวิธีลวกปลาหมึกให้กรอบและไม่เหม็นคาวง่ายๆ มาฝากค่ะ


โดยเริ่มจากนำปลาหมึกไปล้างน้ำเปล่าหลายๆ น้ำ ให้หมดเมือก แล้วจึงนำไปหั่นเป็นชิ้นพอคำแล้วบั้ง ในการลวกต้องใช้น้ำในปริมาณที่มากหน่อย และต้องรอให้น้ำเดือดจัดเห็นเป็นฟองปุดๆ แล้วค่อยใส่ปลาหมึกลงไป


 ตอนใส่ปลาหมึกลงไปห้ามคนเด็ดขาดไม่งั้นปลาหมึกจะเหม็นคาวได้ ปลาหมึกลวกแค่เดี๋ยวเดียวก็พอ เพราะเนื้อปลาหมึกสุกง่าย


 ถ้าลวกนานเกินไปก็จะทำให้เนื้อปลาหมึกเหนียว ทานไม่อร่อย ใช้กระชอนช้อนขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วค่อยนำไปปรุงต่อไป
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #36 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 08:09:27 AM »

เก็บเต้าหู้ให้อยู่ได้นาน


เป็นที่รู้ๆ กันดีสำหรับคุณแม่บ้านทั้งหลายว่า “เต้าหู้” เป็นอาหารที่บูดหรือเสียได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเต้าหู้นั้นไม่ได้ใส่สารกันบูด


บางครั้งที่เราได้ซื้อเต้าหู้มาไว้ในตู้เย็นแล้วก็ไม่สามารถเก็บได้ไว้นาน แต่ไม่รวมเต้าหู้หลอดนะคะ เก็บแค่เพียงวันสองวันเต้าหู้จะเริ่มเป็นเมือก มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ดังนั้นจึงนำวิธีวิธีเก็บเต้าหู้มาฝากคุณแม่บ้านค่ะ


สำหรับวิธีที่จะเก็บเต้าหู้ได้นานวันยิ่งขึ้นก็ให้นำน้ำต้มสุกที่ทิ้งไว้ให้เย็นแล้ว ใส่ชามแล้วเอาเต้าหู้ที่ซื้อมานั้นลงไปแช่น้ำให้น้ำท่วมเต้าหู้ แล้วนำเข้าแช่ในตู้เย็น ก็จะสามารถยืดอายุการเก็บไว้ได้นานถึง 7-15 วัน แล้วแต่ว่าเป็นเต้าหู้ชนิดไหน


สำหรับเต้าหู้อ่อนจะเก็บได้ไม่นานเท่าเต้าหู้แข็ง เพราะมีน้ำผสมอยู่ในเนื้อมากกว่า แต่ในกรณีที่เป็นเต้าหู้หลอด ให้เก็บในห้องช่องเย็นธรรมดาก็เก็บไว้ได้นานหลายวัน แต่อย่านำไปแช่ในช่องแช่แข็งเด็ดขาด ไม่งั้นลักษณะของเนื้อเต้าหู้จะเปลี่ยนไป เหมือนจะมีแกนน้ำแข็งอยู่ในเต้าหู้ ส่วนเต้าหู้ทอดเก็บได้ในตู้เย็นช่องธรรมดาแต่ไม่นานก็จะขึ้นรา ดังนั้นการจะประกอบอาหารจากเต้าหู้ก็ไม่ควรซื้อเต้าหู้ในปริมาณที่มากมาเก็บตุนไว้ เพราะรสชาติและกลิ่นของเต้าหู้จะเปลี่ยนไป
 
 


ขอบคุณ : isnhotnews
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #37 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:16:16 AM »

วิธีคั่วพริกแห้งไม่ให้มีกลิ่นฉุน



ส่วนใหญ่แล้วคุณแม่บ้าน มักจะ คั่วพริกแห้ง ไว้ทานเอง เพราะบางทีพริกคั่วที่ซื้อมาจากที่ตลาดอาจจะขึ้นราหรือว่าไม่สะอาด


พริกคั่วเป็นเครื่องปรุงรส ที่คุณแม่บ้านมักจะคั่วไว้ทานเอง เพราะพริกที่คั่วเองนั้นจะ ไม่ไหม้ และมีกลิ่นหอม ได้สีสวยตามที่เราต้องการ แต่ก็มีแม่บ้านบางคนที่หาซื้อพริกที่คั่วมาแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามา คั่วพริก เอง แถมยังคั่วพริกทีไรก็มีกลิ่นฉุนรบกวนผู้อื่นทำให้ ไอ และ จามอยู่เสมอ


มีเคล็ดลับในการ คั่วพริก ไม่ให้มีกลิ่นฉุนมาฝากคุณแม่บ้านเพียงแค่ใช้น้ำมันพืชทาลงในกระทะที่จะ คั่วพริก ให้ทั่ว แล้วเปิดไฟอ่อน ๆ แล้วนำพริกไปคั่วปกติ เพียงเท่านี้คุณแม่บ้านก็จะได้พริกคั่วที่น่าทาน แล้วกลิ่นพริกคั่วยังหอม และไม่ส่งกลิ่นฉุนรบกวนผู้อื่นทำให้ ไอ หรือ จามด้วย
 
 


ขอบคุณ ISNHOTNEWS
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #38 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 09:49:16 AM »

เกร็ดน่ารู้ วิธีบำบัด เด็กสมาธิสั้น



1. อย่าเปิดทีวี ให้มีเสียงดังจนเกินไป หรือสภาพแวดล้อมในบ้านต้องไม่วุ่นวายหรือมีการทะเลาะกันบ่อยครั้ง


2. หามุมสงบสำหรับเด็ก เพื่อให้เกิดสมาธิในการทำการบ้าน


3. มีการสื่อสารที่สั้น กระชับ ชัดเจน หากไม่แน่ใจให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่งสอนไปคืออะไรบ้าง
4. อย่าทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย


5. ส่งเสริมจุดแข็งข้อดีในตัวเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดี และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง


6.จัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้ได้ใช้เวลาว่างอย่างมีประโยชน์ และใช้พลังงานส่วนเกินอย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เช่น ออกกำลังกาย หรือเล่นดนตรี ตามที่เด็กสนใจ


ที่สำคัญ ผู้ปกครอง ควรดูแลเอาใจใส่บุตร-หลาน อย่าปล่อยให้เด็กแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
 
 


ขอบคุณ sakid.com
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #39 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2013, 08:45:01 AM »

3 ผักผลไม้ ดับกลิ่นปาก




ปัญหากลิ่นปากนอกจากจะลดทอนความมั่นใจ ยังบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องแก้โดยด่วน หากยังหาคำตอบไม่ได้ว่าปัญหามาจากไหน ควรเริ่มแก้ที่อาหารการกินและการขับถ่ายเป็นเรื่องแรกๆ วันนี้เราหอบหิ้วผลไม้ไฟเบอร์สูงมาฝากค่ะ

การกินอโวคาโดเป็นวิธีง่ายๆ อย่างหนึ่งค่ะ ที่ช่วยลดปัญหานี้ได้ เพราะเนื้อของอโวคาโดจะช่วยกำจัดอาหารที่เน่าเสียตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของกลิ่นปากให้หมดไป

นอกจากนี้ก็อยากให้ลองน้ำยาบ้วนปากสูตรเปรี้ยวซ่าแบบธรรมชาติดังต่อไปนี้ ส่วนผสมก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มี น้ำคั้นจากขิงสด 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา น้ำอุ่น 1 แก้ว ผสมให้เข้ากัน กลั้วปากวันละครั้ง หลังแปรงฟันในตอนเช้า

ส่วนเรื่องการปรับระบบขับถ่ายให้สมดุลนั้น ตัวช่วยที่ดีที่สุด ก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สุขภาพดีต้องดูแลจากภายในค่ะ



ที่มา .. ชีวจิต
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #40 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2013, 01:20:33 PM »

ถ้าสาวๆ มีกลิ่นตัวคงดูไม่ดีแน่..มาดูหลากวิธีหยุดกลิ่นไม่พึงประสงค์

      ปัญหา "กลิ่นตัว" เกิดจากการที่เรามีเหงื่อออกมาก โดยร่างกายเราจะมี 2 ส่วนที่เหงื่อออกมาก นั่นคือ บริเวณฝ่ามือ-ฝ่าเท้า ซึ่งลักษณะเหงื่อเป็นน้ำใสๆ มีกลิ่นเล็กน้อย และบริเวณข้อพับ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งเป็นเหงื่อที่มีกลิ่นเหม็นกว่า มีความหนืดกว่า ซึ่งกลิ่นเหม็นนั้นเป็นเพราะความอับชื้นและมีการหมักหมมร่วมกับแบคทีเรีย

      เหงื่อที่ออกมากผิดปกติจนเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์จำแนกได้เป็น 3 ประเภท

      1. เกิดจากพันธุกรรม
      2. เกิดจากโรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ วัณโรค คอหอยพอก โรคหัวใจ โรคทางสมอง หรือแม้กระทั่งอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน และ
      3. ไม่สามารถหาสาเหตุได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมอย่างสภาพอากาศร้อนก็เป็นตัวเร่งให้เหงื่อออกมาก โดยจะไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ

   หลากวิธีหยุดกลิ่นไม่พึงประสงค์   

     1. เริ่มจากการดูแลรักษาความสะอาดและอาบน้ำ ซึ่งอาจใช้สบู่ฟอกตามบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อเพื่อลดแบคทีเรียที่ก่อ ให้เกิดกลิ่นได้

     2. การใช้น้ำยาดับกลิ่นแบบดีโอดูแรนท์ (deodorant) ซึ่งช่วยลดกลิ่นแต่ไม่ช่วยลดเหงื่อ ซึ่งการใช้ยาทาประเภทนี้ต้องระวังเพราะในบางคนอาจเกิดอาการแพ้และทำให้เกิด ผื่นดำได้ อย่างไรก็ดีไม่แนะนำการใช้โรลออนที่เราส่วนใหญ่คุ้นเคย เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้แล้วทำให้เกิดอาการดำได้ หากปัญหากลิ่นตัวที่มีสาเหตุจากเหงื่อออกมากก็ควรหาวิธีรักษาเพื่อระงับ เหงื่อดีกว่า

     3. การใช้ยาระงับเหงื่อหรือแอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ซึ่งจะทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ แต่ไม่ควรใช้ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมเพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ ดำจากผื่นได้ โดยประเภทที่มีขายตามท้องตลาดนั้นมักผสมน้ำหอม ทางที่ดีจึงควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อได้

     4. การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า โดยแช่น้ำแล้วใช้กระแสไฟฟ้าผลักเพื่อให้เหงื่อออกน้อยลง

     5. ฉีดโบทอกซ์ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วว่า สามารถรักษาอาการเหงื่อออกมากได้ โดยวิธีนี้จะไปยับยั้งสารที่หลั่งออกมาควบคุมระบบประสาทที่ทำให้เกิดการ หลั่งของเหงื่อ มีผลข้างเคียงน้อย ลดเหงื่อได้ 83% และหลังรับการรักษาแล้วจะแก้ปัญหาเหงื่อออกมากได้นาน 6-8 เดือน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกต่อผู้ที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ

     6. ผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งได้ผลดีแต่อาจทำให้เกิดแผลได้

     7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม ทุเรียน ชะอม สะตอ เป็นต้น


      หากไม่มั่นใจว่า กลิ่นตัวของเรานั้นเป็นปัญหาสำหรับผู้อื่นหรือไม่ ลองสอบถามคนรอบข้างที่ไว้ใจได้ หรือหากเป็นผู้ที่เหงื่อออกมาก และกลิ่นตัวแรง จนยาระงับกลิ่นใดๆ ก็ไม่สามารถหยุดปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ลองปรึกษาคุณหมอดูเพื่อหาสาเหตุให้พบและเข้าไปแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง






ที่มา ศูนย์ผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #41 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2013, 11:46:13 AM »

เคล็ดลับทำความสะอาดทอง



เครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ไม่ว่าจะเป็น สร้อยคอ กำไลข้อมือ ต่างหู แหวน ใส่ไปนาน ๆ เข้า ก็อาจจะมีหมองจนดูไม่น่ามอง หากยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ลองอ่านคำแนะนำต่อไปนี้

วิธีแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน ให้ใส่อาบน้ำ ให้ทองได้ถูกน้ำสบู่บ้าง เครื่องทองก็จะไม่ค่อยหมองแล้ว หรือให้แช่ในน้ำมะนาวข้ามคืน แล้วใช้แปรงขนอ่อนขัดเบา ๆ เสร็จแล้วเช็ดให้แห้ง นำไปคลุกกับแป้งฝุ่น แล้วใช้ผ้านุ่มเช็ดซ้ำ ก็จะได้ทองแวววาวคืนมา หรือจะลองขัดกับน้ำมะขามเปียกก็ได้ แล้วล้างน้ำเปล่าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ก็ได้ผลเช่นกัน

อีกวิธีที่ปลอดภัยสุด ๆ ให้ใช้ผ้านุ่มเช็ดฝุ่นที่ติดตามทองออก แล้วแช่ในน้ำอุ่นที่ผสมกับน้ำยาซักล้างอ่อน ๆ หากสีทองหมองลง ควรล้างด้วยน้ำยาล้างทอง หรืออาจใช้น้ำยาล้างจานผสมน้ำอุ่น ถูเบา ๆ หากสีหมองมาก และเป็นเครื่องประดับที่มีลวดลายละเอียด ควรแช่ในน้ำเดือด ผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตหนึ่งหยิบมือ แช่ทีละชิ้นประมาณ 30 วินาที จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้านิ่ม แต่ในกรณีที่เครื่องประดับมีพลอยตกแต่งอยู่ ไม่ควรใช้วิธีนี้ เพราะอาจทำให้พลอยร้าวได้

เคล็ดลับต่อมาให้ลองใช้แอมโมเนียครึ่งถ้วย ผสมกับนํ้าอุ่น 1 ถ้วย แล้วแช่ไว้ 10-15 นาที ใช้แปรงขนอ่อนขัด ล้างน้ำให้สะอาด เช็ดให้แห้ง เพียงเท่านี้เครื่องประดับทองคำ ก็จะสุกใส น่าสวมใส่แล้ว แต่ต้องหลีกเลี่ยงวิธีนี้หากเครื่องประดับชิ้นนั้นมีไข่มุกอยู่ด้วย เพราะแอมโมเนียจะทำลายผิวของไข่มุก

อย่าใส่เครื่องประดับทองคำลงว่ายน้ำในสระหรือแช่อ่างจากุชชี่ เพราะคลอรีนในน้ำอาจทำลายผิวของทอง หรือทำให้หนามเตยที่ไว้เกี่ยวคลายออกได้ นอกจากนั้นโลชั่นหรือสเปรย์ต่าง ๆ ก็มีส่วนทำให้ความแวววาวของทองคำลดลงเช่นกัน เพราะทำให้เกิดชั้นไขมันเคลือบผิวทองไว้ ดังนั้นเวลาใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ ระวังอย่าให้โดนเครื่องประดับที่ทำจากทอง

เวลาที่เก็บเครื่องประดับที่เป็นทองคำ ควรหุ้มด้วยสำลีหรือผ้านิ่ม ๆ ห่อแยกชิ้น ไม่เช่นนั้น แต่ละชิ้นอาจขูดขีดกันจนมีตำหนิได้ แล้วเก็บใส่กล่องที่เหมาะสมอีกทีหนึ่ง

วิธีทำความสะอาดแว่นตา

ที่มาข้อมูล 9ddn.com

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #42 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2013, 11:50:41 AM »

วิธีทำความสะอาดแว่นตา




การทำความสะอาดแว่นตา นอกจากจะทำให้กระจกแว่นตาดูใส มองเห็นอะไรชัดเจนไม่มีฝุ่นเกาะแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างบุคลิกที่ดีแก่ผู้สวมใส่ด้วย การทำความสะอาดแว่นตาสามารถทำได้หลายวิธี

วิธีแรก ให้ใช้แป้งฝุ่นโรยไปที่เลนส์ของแว่นตา จากนั้นใช้ผ้านุ่มเช็ด ส่วนการทำความสะอาดกรอบแว่นนั้นให้ใช้น้ำอุ่น 1 ขัน ผสมกับเมทิลแอลกอฮอล์ 1 ช้อนโต๊ะให้เจือจาง นำสำลีมาพันปลายไม้จิ้มฟัน จากนั้นชุบน้ำอุ่นที่ผสมไว้แล้วนำไปเช็ดทุกซอกทุกมุมของแว่นตาให้ทั่ว
หากแว่นตาขุ่นมัว ขณะกำลังทำอาหาร โดยมีสาเหตุมาจากควันอาหาร ควันไฟหรือควันไอน้ำ ให้ล้างแว่นตาด้วยน้ำผสมสบู่ หรือน้ำยาล้างจานแล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง จากนั้นใช้ผ้าซามัวร์หรือผ้าสักหลาดเช็ดให้แห้ง ส่วนแว่นตาที่มีไอน้ำจับขณะที่อากาศหนาวหรือเย็นจัดนั้นให้ใช้น้ำสบู่ล้างสัปดาห์ละครั้ง

ถ้าอยากมีแว่นตาที่สะอาดน่าใส่ ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ข้อมูลจาก : http://www.aksorn.com/library/library_detail.php?content_id=1911&Type_id=21
ที่มา : เดลินิวส์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #43 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2013, 09:50:54 AM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #44 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 07:12:05 PM »




บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: