Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 4 5 [6]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติ ตำนาน เรื่องเล่า  (อ่าน 33103 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #75 เมื่อ: มกราคม 11, 2016, 11:50:59 AM »


A park swing made to look like the North Korean Unha-3 rocket, stands in a park in Pyongyang.


A frilly yellow dust cover protects a desktop computer monitor inside a Pyongyang office


An apartment blocks stands above the playground equipment of a kindergarten in Pyongyang.


North Korean soldiers work on a mountaintop ski slope construction site in DPRK's Masik Pass.


Tractor, wagon and bicycle in the North Korean countryside.


A pre-school playground set, shaped like the North Korean Unha rocket near Pyongyang.


A North Korean woman wears silver, glittery shoes and a colorful traditional dress in Pyongyang.


A North Korean cleaning woman sweeps behind potted azaleas at the Koryo Hotel in Pyongyang.


Greetings Earthlings from Pyongyang.


Passengers walk across the snowy tarmac at Pyongyang's airport as an Air Koryo flight arrives from Beijing.


A man takes shelter in the rain next to long propaganda billboards in the town of Samjiyon in Ryanggang province.



A woman walks along an open road southeast of Pyongyang in North Hwanghae province


A man works on his car as others sit next to the sea Wonsan.


Statues of animals playing musical instruments stand along the roadside south of Samsu in Ryanggang province


An exclamation point punctuates a long propaganda slogan in a field in North Hamgyong province.

msn-com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #76 เมื่อ: มกราคม 11, 2016, 12:42:51 PM »


A man stands in front of a row of homes in the town of Kimchaek in North Hamgyong province.


An Associated Press vehicle climbs the slopes of Mount Paektu in Ryanggang province.


A boulder lies on a path near the peak of Mount Paektu in Ryanggang province.


A deer's hoof, used as a door handle, hangs from the front door of the home where North Koreans say the late leader Kim Jong Il was born around Mount Paektu in Ryanggang province.


A hotel employee walks in the lobby of a hotel that accommodates foreign visitors in Chongjin


An apartment block stands behind hotel room curtains on the main street in Hamhung.


A man sits by a cooking fire he built to roast potatoes and chicken in the town of Samjiyon in Ryanggang province.


Young North Korean school children help to fix pot holes in a rural road in North Korea's North Hamgyong province.


Portraits of the late North Korean leaders Kim Il Sung and Kim Jong Il are illuminated on a building side as the sun rises over Pyongyang.


North Korean people rest next to the railroad tracks in a town in North Korea's North Hamgyong province.


Boys play soccer in the town of Hyesan in North Korea's Ryanggang province.


Farmers walk in a rainstorm with their cattle near the town of Hyesan, North Korea in Ryanggang province.


North Korean men share a picnic lunch and North Korean-brewed and bottled Taedonggang beer along the road in North Korea's North Hwanghae province.


North Korean residents walk on a road along a river in the town of Kimchaek, in North Korea's North Hamgyong province.


A North Korean man pushes his bicycle to a village in North Korea's North Hamgyong province.


The remains of lunch sit on a restaurant table in the city of Wonsan, North Korea.


A group of young North Koreans enjoys a picnic on the beach in Wonsan, North Korea.

msn-com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #77 เมื่อ: มกราคม 16, 2016, 02:02:08 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=gMObmX532GE

เมืองลับแล ตำนาน เมืองลึกลับที่ถูกซ่อนเร้น | Remake
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #78 เมื่อ: มกราคม 17, 2016, 11:23:00 AM »

แบบนี้ก็มีด้วย ! คนญี่ปุ่น จัดเทศกาลแห่ กระปู๋ยักษ์ สยิวได้ใจสุดๆ

https://www.youtube.com/watch?v=sFJ3cW453uU

Kanamara Matsuri 2014 - Kawasaki
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #79 เมื่อ: มีนาคม 26, 2020, 07:46:31 PM »

พระบำราศนราดูร รัฐมนตรีปราบโรคระบาด ที่มาชื่อสถาบันบำราศนราดูร
.
สถาบันบำราศนราดูร เป็นสถาบันสังกัดกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นสถาบันที่ดูแลเรื่องโรคติดต่อร้ายแรงอย่างเช่นโรคเอดส์ รวมถึงหน้าที่ในการกักกันผู้ป่วยโรคติดต่ออันตรายตามข้อตกลงระหว่างประเทศ สถาบันแห่งนี้จึงถูกกล่าวบ่อยครั้งเมื่อมีการรายงานข่าวที่เกี่ยวพันกับการระบาดของไวรัสอันตราย (เช่น COVID-19)
.
ที่มาของสถาบันแห่งนี้เริ่มจากหลังการฉลองกึ่งพุทธกาลในปี 2500 ตามด้วยการรัฐประหารของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จากนั้นก็เกิด "ห่าลง" เมืองไทย โชคดีที่ "คุณ" สฤษดิ์ มีมือดีดูแลกระทรวงสาธารณสุข ไม่ใช่นายทุนที่ไม่มีความรู้ทางสาธารณสุขแต่ถูกแต่งตั้งให้มานั่งเก้าอี้เพื่อตอบแทนการสนับสนุนให้ตนมีโอกาสได้ยึดอำนาจ ทำให้การควบคุมโรคอหิวาต์สมัยนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สฤษดิ์พอใจในผลงานของรัฐมนตรีรายนี้มาก เมื่อมีการสร้างโรงพยาบาลใหม่เพื่อดูแลโรคระบาด จึงเสนอชื่อโรงพยาบาลตามชื่อของรัฐมนตรีท่านนี้
.
นั่นคือ "พระบำราศนราดูร"
.
พระบำราศนราดูร หรือ นายแพทย์บำราศ เวชชาชีวะ เดิมมีชื่อว่า ฮกหลง พอโตหน่อยจึงมาใช้ชื่อว่า "หลง" ให้ฟังดูเป็นไทย และเปลี่ยนอีกครั้งเป็น บำราศ ใน พ.ศ. 2485  เพื่อให้ดูเป็นไทยยิ่งขึ้นไปอีกตามนโยบายรัฐนิยมของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม และได้ใช้ชื่อนี้มาโดยตลอด ส่วนสกุล "เวชชาชีวะ" นั้น เป็นนามสกุลพระราชทานที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ พระบำราศ ขึ้นไปถึง เบ๋ง ผู้เป็นปู่
.
พระบำราศ เป็นบุตรของแสง (จิ้นเสง) กับ พร (ชุมพร) เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2439 ส่วนสถานที่เกิดนั้น หนังสืออนุสรณ์งานศพของพระบำราศนราดูรให้ข้อมูลที่ขัดกันไว้ โดยในหนังสือประวัติของพระบำราศระบุว่าเกิดที่ตำบลพุงทลายฝั่งตะวันออก อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี แต่พระบำราศเองเคยบอกปากเปล่าเอาไว้ว่าตนเกิดที่ระยอง ระหว่างที่พ่อไปหาซื้อเรือฉลอม เพราะที่บ้านมีกิจการค้าทางเรือ
.
ในวัยเด็ก พระบำราศบวชเณรอยู่วัดจันทนารามอยู่ราวหนึ่งปี จึงได้ขึ้นเรียนตามระบบสามัญ จบแล้วก็ไปเรียนบาลีที่วัดบวรนิเวศวิหารอีกราวสองปี จึงสึกแล้วไปสอบเข้าเป็นนักเรียนแพทย์ที่โรงเรียนราชแพทยาลัย กระทรวงธรรมการ วังหลัง ธนบุรี เมื่อต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2453 ขณะมีอายุได้เพียง 14 ปีเศษ ถือเป็นนักเรียนแพทย์ที่อายุน้อยที่สุดในชั้น สำเร็จการศึกษาแล้วก็ได้รับราชการในกรมพยาบาล กระทรวงมหาดไทย ตำแหน่งแพทย์ กรมพยาบาล ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2457 ก่อนถูกส่งตัวไปให้ประจำอยู่ที่ลพบุรี
.
ระหว่างเป็นแพทย์อยู่ที่ลพบุรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร อธิบดีกรมสาธารณสุข ทรงประสงค์จะเลือกให้พระบำราศไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ แต่พระบำราศไม่พร้อมเรื่องภาษาอังกฤษจึงไม่ได้ไปเรียนต่อ ครั้น ม.จ. สกลวรรณากร วรวรรณ ขึ้นเป็นอธิบดีแทน ก็พยายามจะส่งพระบำราศไปเรียนต่ออีกรอบ แต่ก็ยังคงติดขัดเรื่องภาษาและด้วยงานราชการที่มากล้น สุดท้ายพระบำราศจึงมิได้เรียนต่อ แต่ก็ก้าวหน้าในระบบราชการอย่างรวดเร็ว
.
ต่อมาในปี 2469 พระบำราศได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งสาธารณสุขมณฑลอยุธยา ระหว่างนี้มีโรคอหิวาต์ระบาดในกรุงเก่า พระบำราศลงพื้นที่ไปดูแลด้วยตัวเองเป็นส่วนมาก มีการสั่งให้สร้างเรือนโรคติดต่อขึ้นที่โรงพยาบาลปัญจมาธิราชอุทิศ เพราะก่อนนั้น มีผู้ติดโรคถูกปฏิเสธการรักษาโดยเหตุว่าไม่มีที่จะรับ ผู้ติดโรคอหิวาต์บางรายจึงถูกพบว่าไปตายในเรือจ้าง พระบำราศจึงได้วางระเบียบว่า จะต้องรับผู้ป่วยทุกรายที่มาถึงโรงพยาบาล พร้อมจัดระเบียบการรักษาให้ดีขึ้น ก่อนที่เขาจะย้ายเข้ากรุงเทพฯ ในปี 2472 รับตำแหน่งผู้อำนวยการกองสาธารณสุข   
.
เมื่อได้เข้าส่วนกลาง พระบำราศก็เติบโตในสายงานเรื่อยมา ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น พระบำราศนราดูร ถือศักดินา 800 ไร่ ในปี 2474 ก่อนหน้าการปฏิวัติหนึ่งปี จนได้เป็นถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุขในปี 2497 (กรมสาธารณสุขได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงสาธารณสุขในปี 2485) อยู่ในตำแหน่งจนเกษียณก็ยังได้รับการต่ออายุราชการไปอีก ถึงปี 2501 จึงพ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงฯ แต่ก็ยังทำหน้าที่ช่วยราชการพิเศษให้กับทางกระทรวงต่อไป
.
ช่วงนี้เอง สฤษดิ์หัวหน้าคณะปฏิวัติ (พ.ศ. 2500) ประสงค์จะขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเอง หลังให้ลูกน้องอย่าง จอมพลถนอม กิตติขจร นั่งขัดตาทัพมาได้ไม่ทันครบปี และอยากได้พระบำราศมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข แม้ทั้งคู่จะมิเคยรู้จักพบหน้ากันมาก่อน เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ว่ารัฐบาลของเขาปราศจากนักการเมืองที่แสวงหาประโยชน์ จึงหวังเอาข้าราชการเก่าที่มีผลงานมารับตำแหน่งช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลของตัวเอง ตามประวัติระบุว่า เบื้องต้นพระบำราศให้คำปฏิเสธไปอ้างว่ามีคนที่เหมาะสมกว่า ทั้งความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ รวมถึงภาษาอังกฤษของตนเองก็ไม่ดี เกรงจะไม่เหมาะ แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2502
.
"พอเริ่มเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข ก็ดำเนินการป้องกันและปราบปรามอหิวาตกโรคทันที ซึ่งขณะนั้นกำลังระบาดหนัก ได้ออกไปตรวจดูการป้องกันและรักษาพยาบาลด้วยตนเองตามท้องที่ต่าง ๆ หลายแห่ง ต่อมาไม่นานโรคก็สงบ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี พอทราบว่ารัฐมนตรีออกไปตรวจดูด้วยตนเองก็มีความยินดีมาก และเร่งให้รีบสร้างโรงพยาบาลโรคติดต่อเป็นการด่วน โดยให้ย้ายโรงพยาบาลโรคติดต่อเดิมจากถนนดินแดงไปหาที่ก่อสร้างใหม่ที่เหมาะสมกว่า ในที่สุดก็ได้ที่ดินของโรงพยาบาลศรีธัญญา นนทบุรี เป็นที่สร้างโรงพยาบาล
.
"เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ชื่อโรงพยาบาลนี้ว่า 'โรงพยาบาลบำราศนราดูร' และ ฯพณฯ จอมพลฯ เองก็ได้เป็นประธานกระทำพิธีเปิดโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 โดยมีรัฐมนตรี ข้าราชการ และผู้มีเกียรติอื่น ๆ ไปร่วมพิธีด้วยเป็นจำนวนมาก" ความตอนหนึ่งจากหนังสืออนุสรณ์งานศพพระบำราศนราดูร ระบุ
.
(โรงพยาบาลบำราศนราดูร ถูกปรับโครงสร้างและเปลี่ยนชื่อเป็น สถาบันบำราศนราดูร ใน พ.ศ. 2545)
.
ระหว่างดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี พระบำราศสร้างผลงานหลายอย่าง เช่น โครงการบำบัดโรคคุดทะราด โครงการควบคุมวัณโรค โครงการกำจัดกวาดล้างไข้มาลาเรีย โครงการควบคุมและบำบัดโรคเรื้อน และเป็นผู้ริเริ่มกราบบังคมทูลขอเงินพระราชทานช่วยเหลือคนโรคเรื้อนตั้งเป็นมูลนิธิ ซึ่งต่อมาพระราชทานนามว่า "มูลนิธิราชประชาสมาสัย" มีการส่งเสริมบทบาทของอนามัยชนบท ประสานงานในการป้องกันและปราบปรามโรคไข้เลือดออก โดยขอแรงหน่วยราชการต่าง ๆ รวมกันจัดตั้งโรงพยาบาลทำการวิจัย และรักษาไข้เลือดออกขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อปี 2507 ทั้งยังเป็นผู้ให้กำเนิดสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ในกระทรวงสาธารณสุข "อาคารดำรงนิราดูร" ก็เป็นนามพระราชทาน เนื่องจากผลงานของพระบำราศนั่นเอง
.
พระบำราศ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลของสฤษดิ์ จนสฤษดิ์เสียชีวิต เมื่อถนอมขึ้นมารับตำแหน่งแทน บำราศก็ยังได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีสืบมาจนถึงปี 2512 หลังมีการเลือกตั้งและจัดรัฐบาลชุดใหม่ (ที่ยังมีนายกฯ หน้าเดิม) บำราศก็ไม่ได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่เดิมต่ออีก
.
ในบั้นปลายหลังวัยเกษียณ พระบำราศที่แข็งแรงมาโดยตลอด แทบไม่เคยเจ็บป่วย ก็ถูกตรวจพบอาการผิดปกติทางหัวใจ คือหัวใจเต้นผิดจังหวะ เส้นเลือดโคโรนารีตีบ และหัวใจอ่อน แต่ก็รักษาสุขภาพเป็นอย่างดี ทำให้อาการต่าง ๆ อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ จนกระทั่งปลายปี 2527 พระบำราศก็ล้มป่วยลงอีกครั้ง เบื้องต้นแพทย์เข้าใจว่าเป็นอาการไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ครั้นเมื่อทำการตรวจอย่างละเอียดก็พบว่าน่าจะเป็นอาการลำไส้เล็กอุดตัน แต่เมื่อลงมือผ่าตัดจริงจึงพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารขั้นสุดท้าย หลังทำการผ่าตัดได้เพียงราวสองอาทิตย์ พระบำราศก็จากไปในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2527 ในวัย 88 ปี
.
เรื่อง: อดิเทพ พันธ์ทอง
.
อ่าน "พระบำราศนราดูร รัฐมนตรีปราบโรคระบาด ที่มาชื่อสถาบันบำราศนราดูร" แบบเว็บไซต์ที่ https://thepeople.co/phra-bamrad-naradura-public-health-minister/
.
#ThePeople #History #บำราศเวชชาชีวะ #พระบำราศนราดูร #สถาบันบำราศนราดูร #โควิด19 #โรคระบาด

*แก้ไขคำเรียก จาก "บำราศ" อย่างลำลอง เป็น "พระบำราศ" ตามคำทักท้วงของญาติ เนื่องจาก แม้จะมีการยกเลิกบรรดาศักดิ์ในปี 2485 แต่ในปี 2487 ได้มีประกาศยกเลิกคำสั่งดังกล่าวออกมาทำให้ผู้มีบรรดาศักดิ์กลับไปใช้บรรดาศักดิ์ได้ตามเดิม
**นามสกุล เวชชาชีวะ มิได้มอบให้กับ เบ๋ง แต่มอบให้กับ พระบำราศ และย้อนขึ้นไปถึงบุพการี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #80 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2020, 10:23:58 PM »

จาก ‘ประเสริฐ’ สู่ ‘แม่โขง’
เพราะ ‘จิม ทอมป์สัน’

‘สุราแม่โขง’ ที่คนไทยรู้จักกันดีเกือบ ๘๐ ปี ผู้ตั้งชื่อให้ก็คือ ‘จิม ทอมป์สัน’ ราชาไหมไทย-ฝรั่งที่เข้าถึงฟีลลิ่งคนไทยอย่างลึกซึ้ง.

สืบเนื่องจากความประทับใจในรสชาติของสุราบางยี่ขันในขณะที่ล่องเรือแม่น้ำโขงกับเพื่อนชาวไทย เมื่อปี ๒๔๘๙ และเกิดปิ๊งไอเดียว่า เขาพร้อมจะสั่งซื้อสุรายี่ห้อนี้จำนวนมาก แต่ขอเปลี่ยนชื่อจาก ‘สุราประเสริฐ’ มาเป็น ‘สุราแม่โขง’ จะให้ความรู้สึกดีกว่าเป็นชื่อของผู้ปรุงเหล้า คือ ‘คุณประเสริฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา’ แต่ภายหลังคุณประเสริฐได้แยกทางกับโรงงานสุราบางยี่ขันพร้อมเก็บเอาสูตรคลาสสิคเอาไปด้วย ต่อมา  ‘คุณจุล กาญจนลักษณ์’ นักปรุงสุราระดับตำนานได้คิดค้นสูตรใหม่ใกล้เคียงกับสูตรเดิมจน โดยใช้ชื่อ ‘สุราแม่โขง’ ต่อไปตามที่มร.จิม ทอมป์สันลูกค้ากิตติมศักดิ์นำเสนอ จนเป็นที่เฟื่องฟูมากที่สุดในตลาดประเทศไทย ชื่อของคุณประเสริฐเจ้าเก่า จึงค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับ ‘สุราประเสริฐ’.

จากความทรงจำของ ‘คุณสวัสดิ์ ตราชู’ คัดจากหนังสือ ‘เตียง ศิริขันธ์ฯ’ สำนักพิมพ์แม่คำผาง ๒๕๕๓ บันทึกว่า

“...วันหนึ่ง นายเตียงนำมิสเตอร์จิม ทอมป์สันลงเรือกลไฟล่องรอนแรมไปตามน้ำโขง ตั้งแต่เวียงจันทน์จนถึงนครพนม เป็นการพักผ่อนไปในตัว ขณะที่อยู่ในเรือก็มีการกินเลี้ยง และดื่มสุราผสมยี่ห้อ ‘ประเสริฐ’ (ผลิตโดยโรงงานสุราบางยี่ขัน) ซึ่งมีรสชาติกลมกล่อมเป็นที่ถูกอกถูกใจมิสเตอร์จิม ทอมป์สันเป็นอย่างมาก  เมื่อมาถึงกรุงเทพฯก็ให้เตียงติดต่อจัดซื้อสุราประเสริฐจากโรงงานบางยี่ขันหลายลัง แต่ต้องให้โรงงานเปลี่ยนชื่อยี่ห้อ ‘ประเสริฐ’ เป็นยี่ห้อ ‘แม่โขง’ เสียก่อน เพราะเขายังฝังอกฝังใจอยู่กับทัศนียภาพของสองฝั่งโขงอย่างมิรู้ลืม.

“ทางโรงงานบางยี่ขันก็ไม่ขัดข้อง ยินดีเปลี่ยนชื่อยี้ห้อให้ตามต้องการ นี่แหละคือชื่อที่มาของชื่อสุรา ‘แม่โขง’ ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของนักดื่มมาตราบจนปัจจุบัน.”
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #81 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2020, 10:30:24 PM »

"ตอนที่ ลาว เวียดนาม กัมพูชา แตกในช่วงปี 2517 - 18 นั้น ผมเรียน ม.ปลาย ที่เตรียมอุดม  ตอนนั้นพอเลิกเรียนก็จะไปหาแม่ที่ทำงานอยู่แถวถนนสุริวงศ์ ใกล้ รร.ทรอคาเดโร 

ยังจำภาพคนเวียดนาม ที่หนีออกจากเวียดนามมาไทย และพักที่ รร.ทรอคาเดโร ซึ่งเป็น รร.ที่ทาง UNHCR  จัดให้เป็นที่พักก่อนที่จะนำพวกเขาไปประเทศที่ 3   

ยังจำภาพได้ติดตา น่าสงสารมาก พวกเขาหอบลูกจูงหลาน หอบทรัพย์สมบัติเท่าที่มีมาเป็นกระเป๋าๆ เต็มไปหมด   บางคนนั่งกอดลูกหลานร้องไห้  บางคนนั่งซึมเศร้าเหม่อลอยเหมือนไม่รู้โชคชะตาในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

หลังจาก ลาว เวียดนาม กัมพูชา แตกแล้วอีกหลายปี ก็ยังมีผู้อพยพหนีตายจากภัยคอมมิวนิสต์เข้าไทยตลอดเวลา

ยังจำเรื่องราวของพ่อแม่ดาราดัง "อนันดา เอเวอริ่งแฮม" ได้ดี  พ่อเขาเป็นผู้สื่อข่าวชาวออสเตรเลีย  พาแม่ของอนันดาซึ่งเป็นคนลาว ว่ายน้ำข้ามโขงมาขึ้นที่ฝั่งหนองคายสำเร็จ เป็นข่าวดังมาก จนถึงกับ Hollywood เอาไปสร้างเป็นหนัง

ตอนประมาณปี 24 ตอนนั้นผมสอบติดเข้าเป็นข้าราชการที่ กต.แล้ว ตอนนั้นมีท่าน พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา เป็น รมว.กต. ผมเข้าทำงานที่กรมพิธีการทูตเป็นที่แรก

ได้มีโอกาสตามคณะผู้ใหญ่ไปเยี่ยมชมค่ายผู้ลี้ภัยที่ชายแดนด้านตะวันออก  ส่วนใหญ่เป็นชาวลาว และชาวกัมพูชาที่หนีตายมา 

ตอนนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯราชินีนาถ พระพันปีหลวง ใน ร.9 ในฐานะองค์ประธานสภานายิกา  ได้ทรงให้เปิดพรมแดนทุกด้านที่ติดกับลาว และกัมพูชา รับเอาผู้ลี้ภัยชาวลาวและกัมพูชาจำนวนนับแสน นับล้านคน ให้ข้ามมาฝั่งไทย 

โดยไทยเราระดมสรรพกำลังทุกหน่วยงาน โดยมี สภากาชาดไทย เป็นหัวหอกในการดูแลผู้ลี้ภัย ร่วมกับ UNHCR  ทุกอย่างฉุกละหุก อลหม่าน ยุ่งเหยิง เพราะต้องดูแลคนเป็นหมื่นๆแสนๆคนต่อวัน ทุกวัน เป็นเวลาหลายปี

เป็นงานที่หนักและต้องเสียสละมาก จนกระทั่ง UN ได้ทูลเกล้าฯถวายเหรียญเชิดชูเกียรติ "เซเรส" ให้พระพันปีหลวงด้วย

บรรยากาศที่ค่ายผู้อพยพลี้ภัยนั้น สุดจะบรรยาย ลูกเด็กเล็กแดงร้องไห้กันกระจองอแง  มีโรคภัยไข้เจ็บระบาดด้วย 

ยังจำได้ดีว่าหากมีทริปไหนที่พวกเราต้องไปค่ายผู้ลี้ภัยชายแดน กลับมาจะต้องป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งเสมอ  แม้กระทั่ง พล.อ.อ.สิทธิ รมว.กต.ก็ยังเจ็บเพราะไปค่ายผู้ลี้ภัย

ตอนนั้นผมเป็นขรก.กต.แล้ว ก็ได้อ่านรายงานข่าวเรื่องที่มีความพยายามจากหลายหน่วยงานทั้งไทยและต่างชาติ ร่วมกับลาวฝ่ายขวา ที่จะนำ สมเด็จพระสังฆราชลาว ข้ามโขงหนีมาไทย เกือบข้ามโขงได้แล้วแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดท่านก็ไปมรณภาพในค่ายอบรม ถ้าจำไม่ผิด เรื่องนี้อ่านแล้วสะเทือนความรู้สึกมาก

ที่พยายามเล่ามาให้ฟังนี้ เพียงเพื่อจะถ่ายทอดให้เด็กรุ่นใหม่บางคน ถ้าหากมีโอกาสได้เข้ามาอ่าน จะได้รู้ว่าในยามที่ "บ้านแตกสาแหรกขาด" นั้นมันเศร้าสะเทือนใจอย่างไร 

ประเทศไทยเราโชคดีที่ในช่วงนั้นเรามีสถาบันที่มั่นคง มิฉะนั้น เราอาจจะต้องแตกพ่ายกับภัยคอมมิวนิสต์ไปแล้ว  ตอนนั้นสำนักข่าวต่างชาติทำนายไว้แล้วว่า ไทยจะเป็นโดมิโนตัวต่อไป  แต่สุดท้ายเราก็รักษาเอกราชและความมั่นคงไว้ได้ ไม่เป็นโดมิโน

อ่านเรื่องราวที่เด็กรุ่นใหม่แสดงความผยอง ท้าทาย อยากให้เมืองไทยพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน โดยที่พวกเขาไม่เคยรับรู้หรือมีประสบการณ์ตรงกับเหตุการณ์ที่ลาว เวียดนาม กัมพูชา แตก แล้วเศร้าใจ

พวกเขาเกิดไม่ทันไม่เป็นไร แต่พวกเขาไม่ขวนขวายในการศึกษาอ่านประวัติศาสตร์  เอาแต่ตั้งคำถามรุกไล่ผู้ใหญ่แบบท้าทาย ถ้าวันนั้นประเทศไทยแตกเป็นเสี่ยงๆ  น้องฟ้า น้องกะปอม อาจเกิดหรือโตในค่ายผู้ลี้ภัย ไม่มีแผ่นดินเป็นของตัวเอง (แต่พวกเขาอาจชอบก็เป็นได้)

ตอนผมอยู่ที่อาร์เจนตินา ก็มีชุมชนลาวอพยพที่รัฐบาลอาร์เจนตินารับไว้ ส่วนใหญ่เป็นพวกรากหญ้าที่ทางสหรัฐ และ ยุโรป ไม่เอา เลยต้องระเห็จมาอยู่ที่อาร์เจนตินา  มีอยู่ 2 ชุมชนใหญ่ อันแรกอยู่ที่ Chascomus  และอีกแห่งอยู่ที่เมือง Posada ใกล้พรมแดนบราซิล  ทั้ง 2 ชุมชนนี้มีจำนวนรวมแล้วหลายพันคน

เวลาผมไปเยี่ยมพวกเขาจะดีใจมาก สาเหตุที่ผมต้องไปเยี่ยม เพราะในชุมชนเหล่านี้มีพี่น้องคนไทยจากจังหวัดต่างๆทางภาคอีสานที่ตอนนั้นแฝงตัวเป็นคนลาวเข้าไปในค่ายผู้ลี้ภัย หวังจะได้ไปใช้ชีวิตที่อเมริกาหรือยุโรป แต่สุดท้ายถูกส่งมาที่อาร์เจนตินาแทนจำนวนนับร้อยคน

ได้ไปคุยส่งภาษาไทย ภาษาลาว กับพี่น้องคนไทย คนลาว ที่ชุมชนทั้ง 2 แห่ง ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าๆก็ยังพูดได้ดี รวมทั้งลูกหลานที่ไปโตที่นั่น หลายคนยังพอพูดได้ แต่ถ้าเป็นลูกหลานที่ไปเกิดที่อาร์เจนตินา ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะพูดไทย พูดลาวไม่ได้แล้ว พูดได้แต่ภาษาสเปน
อยากบอกน้องฟ้า น้องกะปอม ว่า การเป็นพลเมืองชั้นสอง ในประเทศอื่น มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด หรืออย่างที่กระแนะกระแหน ดูถูกชังชาติไว้หรอก เชื่อลุงนิคเหอะ 

ลุงได้เห็นตั้งแต่ตอนลาว เวียดนาม กัมพูชา แตก ได้เห็นสภาพที่อเน็จอนาถใจของการพลัดพรากจากคนที่รัก พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอน  มันหดหู่ใจมาก ถ้าใครอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร แนะนำให้ไปหาหนังเรื่อง  Killing Fields ดู

น้องฟ้า น้องกะปอม หรือ เพื่อนอีฉ้อ อย่าดูถูกดูหมิ่นสถาบันนักเลย ที่เราอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ในหลวง ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระพันปีหลวง  พวกหนูอาจไม่ได้เป็นคนไทย อาจไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนสักแห่ง หรือ อาจไม่ได้เกิดเลย เพราะพ่อแม่หนูอาจถูกฆ่าตายไปก่อนที่จะมีหนูด้วยซ้ำ

อย่าบ้าหลงคารมนักการเมืองที่ลืมกำพืด ลืมรากเหง้า ที่เขาอัดข้อมูลใส่ล้างสมองพวกหนู จนเสีย self ความเป็นคนไทยเลย มันไม่คุ้มหรอก"

ขอบคุณข้อมูลจาก ท่านทูตนริศโรจน์ เฟื่องระบิล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #82 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2020, 08:44:11 AM »

อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้มาเสริมความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของ “มันสีม่วง”ที่เอามาทำเมนูอะไรก็อร่อย มันม่วงเป็นพืชกินหัวมีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มันม่วงมีสารต้านอนุมูลอิสระ สารแอนโทไซยานิน ช่วยยับยั้งเซลมะเร็ง,ช่วยบำรุงสายตา,บำรุงผิวพรรณช่วยชะลอวัย,ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด

“มันม่วง” ดีอย่างไร กระแสมันม่วงมีมาสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าความฮอตของมันม่วงจะลดน้อยลงไปสักเท่าไร เพราะนอกจากจะมีการนำมันม่วงมาทำขนม ทาร์ต,ไอศกรีมมันม่วง เดี๋ยวนี้เริ่มเห็นเมนูขนมไทย ๆ อย่างขนมมันม่วง บัวลอยมันม่วง ไข่นกกระทามันม่วง ตะโก้มันม่วง เรียกว่ามองไปทางไหนก็มีแต่มันม่วงเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แสดงให้เห็นว่ามันม่วงเป็นอาหารที่นำมาทำเมนูอะไรก็อร่อย สีมันเทศสีม่วงก็สวยน่ารับประทาน และในส่วนสรรพคุณของมันม่วงนั้นมีประโยชน์มากเช่นกัน

@มันม่วง คือมันอะไรกันแน่
         จริง ๆ แล้วกระแสมันม่วงที่ฮิตกันมาจากมันม่วงของญี่ปุ่น แต่มันม่วงที่เห็นขายกันตามท้องตลาดบ้านเรา เป็นมันเทศสีม่วงที่ปลูกในไทย เรียกว่า”มันต่อเผือก” ซึ่งมันเทศสีม่วงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Sweet Potato ส่วนชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมันม่วงนั้นคือ Ipomoea batatas (L.) Lam. มันเทศจัดเป็นพืชในวงศ์ Convolvulaceae

          มันเทศสีม่วงจัดเป็นพืชกินหัว มีลำต้นเป็นเถาหรือเป็นพุ่มตั้งตรง ถิ่นกำเนิดของมันเทศสีม่วงอยู่ในเขตร้อนแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ส่วนมันเทศสีม่วงในไทยมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ทั่วทุกภาค โดยมีพื้นที่เพาะปลูกมันเทศสำคัญแบ่งตามภูมิภาคได้ ดังนี้

          - ภาคเหนือ : เชียงใหม่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และสุโขทัย
          - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เลย สุรินทร์ และบุรีรัมย์
          - ภาคกลาง : อยุธยา สุพรรณบุรี และปทุมธานี
          - ภาคใต้ : นครศรีธรรมราช ชุมพร และปัตตานี

@มันม่วง อร่อยและดีต่อสุขภาพ
          ประโยชน์ของมันม่วงที่เด่น ๆ นอกจากจะมีไฟเบอร์เยอะแล้ว ตัวสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าแอนโทไซยานินก็เป็นสรรพคุณสุดยอดของมันม่วง โดยกินมันม่วงแล้วก็จะได้ประโยชน์ตามนี้

1. ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
          แอนโทไซยานินที่มีอยู่ในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน โดยจะทำหน้าที่ยับยั้งการรวมตัวระหว่างออกซิเจนกับคอเลสเตอรอลชนิด LDL จากกระบวนการออกซิเดชั่น จึงถือว่ามันเทศสีม่วงมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

2.  ช่วยบำรุงผิวพรรณ และผม
          สารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอนโทไซยานินและสารฟลาโวนอยด์ในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติช่วยดูดซับอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ยังมีฤทธิ์ต้านรังสียูวี ช่วยให้ผิวพรรณไม่โดนรังสียูวีทำร้าย นอกจากนี้สารอาหารในมันม่วงยังมีส่วนกระตุ้นให้เส้นผมดำ ชะลอการเกิดผมหงอกอีกด้วย

3. ช่วยชะลอวัย
          ผลการศึกษาของ น.ส.พัชรี มั่นคง นักศึกษาหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยทดลองกับแมลงหวี่ ซึ่งมีระบบเอนไซม์คล้ายกับมนุษย์ พบว่า มันเทศสีม่วงมีส่วนช่วยชะลอวัยได้ 13% มันเทศสีเหลืองช่วยชะลอวัยได้ 11% โดยสารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านการเกิดไกลเคชั่น ซึ่งเป็นการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำตาลกับโปรตีนในร่างกาย อันเป็นปัจจัยที่โน้มน้าวให้เซลล์เสื่อมหรือแก่ลง ซึ่งภาวะนี้มักจะพบได้มากในผู้สูงอายุ หรือในผู้ป่วยเบาหวาน ที่น้ำตาลในเลือดจะไปจับโปรตีนในเซลล์ ส่งผลให้เส้นเลือดเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร

4. ช่วยลดโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
          ด้วยความที่สารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านการเกิดไกลเคชั่นระหว่างน้ำตาลกับโปรตีนในร่างกาย ดังนั้นการได้รับแอนโทไซยานินจากมันเทศสีม่วงก็ช่วยยับยั้งการจับตัวของน้ำตาลกับโปรตีนในระดับเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายและเส้นเลือดเสื่อมน้อยลง ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้

5. ต้านมะเร็ง
         การศึกษาจากต่างประเทศโดยนักวิทยาศาสตร์ Wargovich, Chen, Jimenez, and Steele เมื่อปี ค.ศ. 1996 พบว่า สารสกัดจากแอนโทไซยานินมีคุณสมบัติป้องกันมะเร็งได้ โดยการใช้แอนโทไซยานินที่ระดับความเข้มข้นต่ำ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เป็นอาสาสมัครได้

          อีกทั้งยังมีการศึกษาที่สนับสนุนคุณสมบัติต้านมะเร็งของแอนโทไซยานินในมันม่วงด้วยว่า สารต้านอนุมูลอิสระชนิดนี้มีคุณสมบัติต้านมะเร็งลำไส้ โดยมีไฟเบอร์เป็นตัวช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานคล่องตัว ลดความเสี่ยงมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้

@มันม่วง แคลอรีเยอะไหม กินมันม่วงช่วยลดน้ำหนักได้หรือไม่
          อย่างที่เห็นว่ามันม่วงมีแคลอรีอยู่ 114 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม ซึ่งก็จัดว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานในระดับปานกลาง แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่ามันม่วงมีคาร์โบไฮเดรตสูงมากเช่นกัน แต่คาร์โบไฮเดรตในมันม่วงนั้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ทำให้เราอิ่มเร็วและอิ่มอยู่ท้องได้นาน

          ดังนั้นคนที่จะกินมันเทศลดน้ำหนัก ก็ควรเลือกกินคาร์โบไฮเดรตจากอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งต่อมื้อ เช่น หากเลือกกินมันเทศก็ควรเลี่ยงข้าว ขนมปัง รวมไปถึงแป้งในรูปแบบต่าง ๆ ที่สำคัญควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการที่ดี ร่วมกับหมั่นออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4วันต่อสัปดาห์ด้วยจะทำให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น


*ขอขอบคุณข้อความดีๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ*
ขอขอบคุณ พี่ภาคินที่นำข้อมูลดีๆมาให้อ่านค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #83 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2020, 12:31:09 PM »

https://www.blockdit.com/articles/5f47be12d596b75779e520f5
ย้อนวันวานเกือบ 50 ปี!! "ตลาดนัดสนามหลวง"
จำได้มั้ยคะ สมัยวัยรุ่นเรียนจบใหม่ๆ เสาร์อาทิตย์ไปเดินเล่นที่ตลาดนัดสนามหลวง..คิดถึงวันวานนะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #84 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2020, 09:58:12 AM »

https://www.msn.com/th-th/news/newstechnology/%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%87-taken-%e0%b8%9b%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%a2-56-%e0%b8%95%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a5%e0%b9%88%e0%b8%b2-10-%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%8a%e0%b8%99-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%87/ar-BB1c71tm?ocid=mailsignout&li=BB16vLIq

ไม่รู้จะทำให้ลิงค์มันสั้นยังไงค่ะ แต่ลองอ่านดู

อ้างอิง https://www.yahoo.com/lifestyle/miriam-rodr-guez-hunted-her-010047917.html
อ้างอิง https://www.nytimes.com/2020/12/13/world/americas/miriam-rodriguez-san-fernando.html?fbclid=IwAR0BjYDKRGAwqo4mBACdGubGOXUnuGYSXQes-8eCYVQIdAdSAiCger6mTQ4
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #85 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 10:01:55 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=urbREiYdz30

ข้าวซอย เป็นอาหารอีกจานที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของคนเหนือ ข้าวซอยเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการรับเอาวัฒนธรรมธรรมต่างถิ่นที่หลั่งไหลมาสู่ดินแดนล้านนา และผสมผสานกับรสนิยมการกินของคนพื้นถิ่น จนกลายเป็นอาหารที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง

 #ข้าวซอยเชียงใหม่​ #ชุมชนบ้านฮ่อ​ #ข้าวซอยเนื้อ​ #ประวัติศาสตร์นอกตำรา​

ขอขอบคุณข้อมูลประวัติข้าวซอย โดยภูรินทร์ เทพเทพินทร์

 ติดต่อรายการ email: untoldhistory.officail@gmail.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #86 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 09:56:48 AM »

“สะดือประเทศ” หรือจุดศูนย์กลางประเทศไทยเรานั้น ถูกกำหนดให้อยู่บริเวณยอดภูเขาทอง วัดสระเกศ
  สาเหตุที่ภูเขาทองต้องถูกกำหนดให้เป็น สะดือประเทศ นั้น เพราะสมัยก่อนการกำหนดระวางพิกัดแผนที่ของกรมแผนที่ทหารและกรมที่ดิน ใช้มาตราส่วน 1 : 4,000 เป็นมาตรฐาน โดยกำหนดจุดยอดของภูเขาทองเป็น 0,0 แล้วแบ่งตามโซนต่างๆ โดยใช้เส้น Grid ลากเป็นแนวตั้งและแนวนอนกระจายไปทั่วทั้ง 4 ทิศ ทำให้เกิดเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยม ดังที่เราเห็นเป็นเส้นสี่เหลี่ยมบนแผนที่ ซึ่งแต่ละเส้นมีระยะทาง 2 กิโลเมตร โดยจุดกึ่งกลางนั้นมีชื่อเรียกว่า “ศูนย์กำเนิด” และศูนย์กำเนิดนี้เองที่ถูกเรียกว่า “สะดือประเทศ” และได้มีการตอกหมุดหลักฐานประเทศเพื่อใช้เป็นหมุดอ้างอิงค่าพิกัดศูนย์กำเนิดบนยอดภูเขาทองด้วย (ตามระบบ 29 ศูนย์กำเนิด)

ปัจจุบัน ระวางแผนที่แบบจุดกำเนิดไม่ถูกนำมาใช้แล้ว เพราะถูกแทนที่ด้วยระบบ UTM ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ศูนย์กำเนิดบนแผนที่บนภูเขาทองจึงเหลือไว้เพียงความเชื่อที่เป็นมงคลเมืองว่าเป็น “สะดือประเทศ” ส่วนหมุดหลักฐานได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์สำหรับขอพร โดยเชื่อว่าหากต้องการขายที่ดินหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินต้องมาขอพรที่หมุดนี้

ขอบคุณ​ข้อมูลดีๆจาก​ GNSS Thai
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #87 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 01:39:45 PM »

ตำนานเขาวงพระจันทร์
          ท้าวกกขนาก ยักษ์ตนสุดท้ายที่ไม่ยอมแพ้พระราม จึงถูกพระรามแผลงศร โดนยักษ์กระเด็นลอยละลิ่วข้ามมหาสมุทรอินเดียมาตกที่ยอดเขาลูกนี้ แล้วพระรามก็สาปให้ศรปักอกเอาไว้หากวันใดที่ศรเขยื้อนให้หนุมานลูกพระพาย (ลูกลม ถ้าตายเมื่อต้องลมพัดผ่าน จะกลับฟื้นคืนชีพ หนุมานจึงไม่รู้จักตาย) เอาฆ้อนมาตอกย้ำลูกศร ให้ปักอกไว้เช่นเดิม แต่ยักษ์โดนเข้าขนาดนี้ก็ยังไม่ตายนอนรอความตาย
 
          ฝ่ายนางนงประจันทร์ ลูกสาวยักษ์ก็เหาะตามพ่อมา เพื่อปฏิบัติพ่อ เพราะพ่อยังไม่ตาย นอนแอ้งแม้งอยู่ในถ้ำยอดเขานางพระจันทร์นี้และนางทราบว่าหากได้น้ำส้มสายชูมารดที่โคนศรแล้วศรจะเขยื้อนหลุดออกมาได้ แต่หากศรเขยื้อน ไก่แก้วก็จะขันเรียกหนุมานเอาฆ้อนมาตอกศร 
 
          ตำนานนี้เป็นผลให้ลพบุรีไม่มีน้ำส้มสายชูขายมานาน จากตำนานนี้จึงเรียกเขาลูกนี้ว่า เขานงประจันต์หรือนางพระจันทร์ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๖ หลวงพ่อโอภาสี ได้ขึ้นมาบนเขานี้ และเห็นว่าบริเวณเขาทั้ง ๔ ด้าน เป็นรูปเขาโค้ง มองทางไหนก็เห็นเป็นวงโอบล้อมอยู่ จึงขนานนามว่า "เขาวงพระจันทร์"

ภาพ : เอกนรินทร์ ทำชอบ, ธานี สุวรรณรัตน์
และภาพจาก Internet

แบ่งปันภาพถ่ายและเรื่องราวดีดี ได้ที่
www.facebook.com/raoruklopburi
... เพราะทุกที่ คือ "ความทรงจำ" ...
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #88 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2022, 08:56:59 PM »

“ซาแต๊ปึ่ง” ถึง “ข้าวพระรามลงสรง” และความทรงจำจาก ม.ร.ว.ถนัดศรี สมัยเป็นนร.ขาสั้น

ราว 10 กว่าปีที่แล้ว ผมได้ไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูและอาหารจานเดียวสารพัดอย่างรสอร่อยเลิศ ที่ร้านซำไถ่ หลังสถานีรถไฟศีขรภูมิ สุรินทร์

นอกจากถูกปากกับหมูแดงย่างเกรียมๆ หอมๆ ลูกชิ้นและหมูยอที่เขาทำเองกับมือ ผมสะดุดตากับเมนู “ซาแต๊” บนป้ายรายการ ครั้นลองถามไถ่ เจ้าของร้านใจดีอธิบายว่า คือข้าวหรือเส้นแป้ง (แล้วแต่เราชอบ) ราดน้ำเขละๆ ที่คล้ายน้ำสะเต๊ะ จะใช้เนื้อหมู ไก่ วัว หรือกุ้งสดลวกก็ได้ แนมกับผักบุ้งจีนหรือผักกาดขาวลวก ผมเลยสั่งมากิน 1 จาน และไม่เคยลืมรสชาตินั้นจนบัดนี้ แม้ซำไถ่จะเลิกขายซาแต๊ไปเมื่อไม่กี่ปีนี้แล้วก็ตาม
มันช่างน่าเสียดายแกมน่าประหลาด อาจเป็นเพราะผมมี “รักแรกลิ้ม” กับซาแต๊ของซำไถ่ ดังนั้น แม้เมื่อต่อมาได้มากินร้านที่ว่าดังๆ ในกรุงเทพฯ ผมพานรู้สึกหวานไปบ้าง ไม่ถึงเครื่องเทศบ้าง เรียกว่าไม่สมใจสักที อย่าว่าร้านรวงที่ทำซาแต๊ขายนับวันก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ในที่สุด หลังจากสอบถามและค้นสูตรอยู่นาน ผมตัดสินใจทำซาแต๊กินเองในวันหนึ่ง

ซาแต๊ปึ่ง (ข้าวซาแต๊) เป็นสิ่งเดียวกับ “ข้าวพระรามลงสรง” (ชาวโลกรู้จักอาหารไทยชนิดนี้ดีในนาม swimming Rama) สูตรโดยทั่วไปเท่าที่ผมค้นได้ ทำโดยเคี่ยวกะทิกับพริกแกงเผ็ดรสอ่อนๆ เติมเกลือ น้ำตาลปี๊บ ถั่วงบดหยาบ แล้วตักส่วนผสมร้อนๆ นี้ราดบนข้าว/เส้นหมี่ที่วางชิ้นหมูลวก ตับลวก ผักบุ้งลวกหั่นท่อน โปะน้ำพริกเผาแบบผัดน้ำมัน 1 ช้อนพูนๆ

เครื่องเทศผงที่ประสมกันเป็นตัวชูกลิ่นให้ซาแต๊สูตรนี้มีลูกจันทน์ป่น พริกไทยขาว ลูกผักชี ยี่หร่า และกานพลู โดยเพิ่มพริกผงอินเดียอีกเล็กน้อย

ฟังดูง่ายมากใช่ไหมครับ แต่สูตรที่ผมถามพี่บรรเทิง นราภิรมย์ พี่ชายผู้รอบรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีนอีกคนหนึ่งไม่ยักง่ายอย่างนั้น พี่บรรเทิงบอกว่า เตี่ยทำซาแต๊โดยผสมผงเครื่องเทศ 5 ชนิด คือ ดอกจันทน์ป่น ลูกจันทน์ป่น พริกไทยขาวป่น ลูกผักชี-ยี่หร่าป่น เคี่ยวในกะทิ เติมเกลือ ถั่วบดและงาขาวคั่วบด

เมื่อประมวลผลสูตรต่างๆ แล้ว ผมทำแบบสูตรผมเองดังนี้ครับ

โขลกลูกผักชี ยี่หร่า พริกไทยขาวให้ละเอียด ผสมลูกจันทน์ป่น ส่วนดอกจันทน์ผมหาไม่ได้ จึงแทนด้วยกานพลูแห้งสี่ห้าดอก แล้วสับหอมแดงมากหน่อย กระเทียมเล็กน้อย ใส่ตำพอเข้ากัน

เอาถั่วงและงาขาวมาคั่วทีละอย่างจนหอม บดในครกพอหยาบๆ

ล้างผักบุ้งจีน ลวกให้สุก แต่ยังกรอบอยู่ แล้วสงในน้ำเย็น หั่นท่อนยาวเตรียมไว้

ตั้งหม้อหางกะทิจนเดือด เอาสันคอหมูหั่นชิ้นบางลงลวกพอสุก ตักขึ้นพักไว้

ตอนนี้เอาหม้อหางกะทิลงก่อนก็ได้ครับ ตั้งกระทะหัวกะทิแทน เคี่ยวไฟกลางให้งวดเป็นน้ำมันขี้โล้เลยนะครับ ทีนี้ก็ใส่เครื่องตำลงไปผัด ทยอยเติมหัวกะทิทีละหน่อย ใส่ถั่วและงาบดลงไป ปรุงเค็มด้วยเกลือ ถึงตอนนี้ กลิ่นกะทิขี้โล้ผนวกกับเครื่องเทศจะหอมมากๆ ถ้าเห็นว่าสีอ่อนไปก็อาจเติมพริกผงอินเดียและผงขมิ้นชันได้นิดหน่อยตามชอบ

เมื่อส่วนผสมข้นดังใจแล้ว ก็ตักข้าวหรือหยิบเส้นหมี่จัดลงในจานใบใหญ่ เคียงด้วยผักบุ้งลวก บรรจงตักซาแต๊ราดจนชุ่ม กินกับน้ำพริกเผา ถ้ามีน้ำมันพริกก็เหยาะสักเล็กน้อย จะช่วยชูกลิ่นให้น่ากินขึ้น

ความเผ็ดและหวานของน้ำพริกเผาจะเติมรสชาติให้ “ซาแต๊ปึ่ง” จานนี้มีรสสมดุลพอดี ถ้ารู้สึกว่าเลี่ยนไป อาจเพิ่มพริกชี้ฟ้าเขียวแดงหั่นหนาดองน้ำส้มเร็วๆ กินแกล้มด้วยก็ได้

แค่นี้ก็ดูเหมือนจะไม่ยากเย็นเกินไปนักใช่ไหมครับ…

เพื่อให้มีกลิ่นหอมแบบที่คุ้นเคยประสมเข้าไปด้วย จึงใช้หอมแดงและกระเทียมสับตำรวมกับเครื่องเทศ ส่วนความข้นมันขณะเคี่ยว ใช้ถั่วงและงาขาวคั่วบดพอหยาบๆ

นึกถึงครั้งแรกที่ผมรู้จักซาแต๊ที่ร้านซำไถ่ ผมเองก็สงสัยว่า อะไรคือ “ซาแต๊” เคยถามเพื่อนหลายคน พอเขาแปลคำจีนตรงๆ ว่าชาสามอย่าง ก็ไม่เห็นความเข้าเค้าใดๆ

อย่างไรก็ดี ผมแอบนึกมาตลอดว่า ซาแต๊น่าจะมาจากการเพี้ยนเสียงเวลาคนจีนเรียก “สะเต๊ะ” (satay) คำมลายู-อินโด ที่หมายถึงเนื้อหมักเครื่องเทศปิ้ง จิ้มน้ำเกรวี่เขละๆ กลิ่นเครื่องเทศแรงๆ แบบที่คนไทยเรียกเนื้อสะเต๊ะ-ไก่สะเต๊ะนั่นเอง แต่มันตลกตรงที่ผมดันไม่รู้ว่า ที่จริงคนอื่นๆ หลายคนเขารู้เรื่องนี้กันมาตั้งนานแล้ว

ในบทวิจารณ์หนังสือ 60 ปีโพ้นทะเล (อู๋จี้เยียะ เขียน, ปนัดดา เลิศล้ำอำไพ บรรณาธิการแปล, 2554) ของ อาจารย์แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย แห่งคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรตินั้น พี่แสงอรุณอ้างคำกล่าวของผู้เขียนว่า

“…ต้นทศวรรษ 1930 (พ.ศ. 2473) กรุงเทพฯ ยังมีชาวเกาะชวามาทำอาชีพขายเนื้อสะเต๊ะปิ้งอยู่บ้าง เป็นผู้ชาย อายุอานามอยู่ระหว่าง 40-50 ปี…มาจากซาเรมบังของชวากลาง…”

และเขา (อู๋จี้เยียะ) ยังเล่าเหตุที่มีการเรียกสำรับชนิดนี้เป็นศัพท์คำไทยอีกว่า “…จีนแต้จิ๋วเรียกซาเต้ปึ่ง ที่แปลงมาจากเนื้อสะเต๊ะของพี่น้องชาวมุสลิม…ใช้เนื้อหมู ตับหมู ผักบุ้งจีน ลวกแล้ววางบนข้าวสวย ราดน้ำที่เคี่ยวผสมเครื่องแกงและถั่วป่น (แบบน้ำจิ้มเนื้อสะเต๊ะ) ด้วยหน้าตาอาหารที่เป็นสีเขียว อันเกิดจากการนำพระราม (ผักบุ้ง) ไปจุ่มในน้ำร้อน (คืออาบน้ำหรือสรงน้ำ)…”

ส่วนคุณสีหวัชร (นามแฝง) เล่าไว้ใน sihawatchara.blogspot.com ลงวันที่ 20 มกราคม 2558 ของเขาว่า สมัยก่อนนั้น

“…ย่านเยาวราชไปถึงแถบวรจักรสะพานเหล็ก จะมีอาหารคล้ายกันกับข้าวราดแกงของคนไทยอย่างหนึ่ง เรียกว่าข้าวพระรามลงสรง…มีผักบุ้ง หมู ตับ ลวกพอสุก โปะบนข้าว แล้วราดน้ำแกงที่เขละๆ มีน้ำพริกเผา พริกชี้ฟ้า…” แถมยังบอกว่ามีอาแปะเร่หาบขาย ร้องว่า “ซาแต๊ ซัวเถาๆๆ” ด้วย ผมเดาว่าอาแปะคนที่คุณสีหวัชรเห็นคงจงใจยกระดับความแท้ของสินค้าแก ย้อนไปให้เกี่ยวพันถึงย่านซัวเถาในเมืองจีน ที่เป็นต้นเค้าแบบแผนของชุมชนจีนในเยาวราชนั่นเอง

แต่คุณชาย ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ก็ยังเคยเล่าความหลังครั้งนุ่งขาสั้นเป็นนักเรียนไว้ในเว็บไซต์ของสมาคมนักเรียนเก่าเทพศิรินทร์ว่า

“…พระรามลงสรง ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ก็มีกิน ไม่ต้องไปถึงเฉลิมบุรี ขายไม้ละตังค์ พวกเรากินกันได้ไม่กี่ไม้ อย่างเก่งก็ 5 ไม้ เอาผักบุ้งมากๆ ราดน้ำจิ้มเยอะๆ กินกับข้าวสวยหรือปาท่องโก๋…”

แม้ผมจะยังค้นไม่พบว่า ใครตั้งชื่อ “พระรามลงสรง” ให้กับ “ซาแต๊” อาหารจีนที่มีพื้นเพเดิมมาจากกับข้าวมุสลิม หากได้ดัดแปลงตัดทอนกลิ่นรสเครื่องเทศให้อ่อนลง ทั้งยังประยุกต์เอามากินกับผักลวกจนถูกลิ้นคนแต้จิ๋วและฮกเกี้ยน แต่อย่างไรก็ดี การได้ลองทำกินจริงๆ ได้สูดกลิ่นเครื่องเทศบางชุดบางตัว ก็ชวนให้คิดต่อไปได้อีกมาก

เป็นต้นว่า เครื่องเทศทั้งห้าที่พี่บรรเทิงบอกว่าเป็นสูตรลับซาแต๊ที่เตี่ยเคยปรับไปใช้ทำขาหมูตุ๋นด้วยนั้น ทำให้ผมเข้าใจที่มาที่ไปของกลิ่นน้ำเกรวี่ขาหมูนางรองเจ้าดัง 1 ใน 2 เจ้านั้น ซึ่งครั้งแรกๆ ที่ได้กินเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ผมงุนงงมากว่าทำไมเขาจึงใส่ยี่หร่าลงในเครื่องขาหมู เพราะกลิ่นมันช่างไม่เข้ากันเอาเสียเลย จนเมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ผมกลับพบว่าตัวเองชอบรสชาติขาหมูเจ้านี้ขึ้นมาเฉยๆ

ฉันทะ หรือความพึงใจในรูป รส และกลิ่นอาหารมีความเป็นพลวัตเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดังนั้นผมคิดว่าคงไม่แปลก ถ้าวันหนึ่ง “ซาแต๊ปึ่ง” หรือ “ข้าวพระรามลงสรง” จะกลับมาฮิตติดตลาดอีกครั้ง หลังจากผ่านการนิยามความหมาย ดัดแปลงวัตถุดิบ และปรับปรุงส่วนผสมอย่างที่คนรุ่นใหม่ๆ พอจะคุ้นชินรับได้

บางครั้ง อาหารโบราณก็เหมือนญาติผู้ใหญ่ ที่การทำความรู้จักมักคุ้น จำต้องกระทำไปพร้อมๆ กันทั้ง 2 ทาง คือทั้งตัวอาหารนั้นๆ และตัวเราเอง…สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 20 กันยายน พ.ศ.2559


ข้อมูลจาก
https://www.msn.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #89 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2022, 06:12:10 PM »

เปิดประวัติ "พระพรหมเอราวัณ" ที่มาแห่งศรัทธาของชาวไทยและต่างชาติ


ประวัติพระพรหมเอราวัณ
“พระพรหมเอราวัณ” หรือศาลท้าวมหาพรหม ตั้งอยู่หน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เป็นหนึ่งในบรรดาศาลบริเวณแยกราชประสงค์ที่ผู้คนจำนวนมากทั้งชาวไทย และต่างชาติ ให้ความศรัทธาและมากราบไหว้บูชาอย่างต่อเนื่อง ถึงกับเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของการทัวร์กรุงเทพฯ ที่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนต้องแวะมาให้ได้

ที่มาของการตั้งพระพรหมเอราวัณที่บริเวณแยกราชประสงค์เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2494 พลตำรวจเอก‪เผ่า ศรียานนท์ กำหนดให้มีการก่อสร้าง‪โรงแรมเอราวัณขึ้นบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรองรับแขกต่างประเทศ ว่ากันว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมาย เมื่อการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ปลายปี ‪พ.ศ. 2499 ทาง ‪บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมได้ติดต่อ พลเรือตรี‪หลวงสุวิชาน แพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่ กองทัพเรือ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องการนั่งทางใน เข้าดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรม

พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ได้ท้วงติงว่า ในการก่อสร้างโรงแรมไม่ได้มีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นก่อน ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อของโรงแรม "เอราวัณ" นั้น เป็นชื่อของช้างทรงของ‪พระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องมี‪การบวงสรวงที่เหมาะสม วิธีการแก้ไขจะต้องขอพรจาก‪พระพรหมเพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป และจะต้องสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันทีหลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จ และสร้างศาลพระภูมิขึ้นไว้ในโรงแรม

จากนั้นจึงได้มีการตั้งศาล “พระพรหมเอราวัณ” ขึ้น ออกแบบตัวศาลโดยนาย‪ระวี ชมเสรี และ ม.ล.‪ปุ่ม มาลากุล องค์ท้าวมหาพรหมปั้นด้วย‪ปูนปลาสเตอร์ปิดทอง ออกแบบและปั้นโดยนาย‪จิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร และอัญเชิญพระพรหมมาประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 โรงแรมเอราวัณจึงได้ถือเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน ของทุกปีทำพิธีบวงสรวงเทวสถานแห่งนี้เป็นประจำตลอดมา

พระพรหมเอราวัณ ถือเป็นศาลพระพรหมศาลแรกที่มีขนาดใหญ่ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู พระพรหมเป็นพระผู้สร้าง และทรงมีสี่พระพักตร์ แต่ละพระพักตร์เป็นดั่งสัญลักษณ์แทนทิศทั้งสี่ คือ เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ทำให้พระองค์สามารถมองเห็นและปกปักรักษาได้ทั้งโลกมนุษย์และสวรรค์ พระองค์ช่วยปัดเป่าความขัดข้อง อุปสรรค และส่งเสริมโชคและความสำเร็จ ของผู้สักการะที่มีจิตศรัทธาสมปรารถนา

ปัจจุบัน พระพรหมเอราวัณ อยู่ในความดูแลของ "มูลนิธิทุนท่านท้าวมหาพรหม" นักท่องเที่ยวหรือผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมสักการะศาลท่านท้าวมหาพรหม โรงแรมเอราวัณอันศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถเข้าชมสักการะได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด

วิธีบูชาพระพรหมเอราวัณที่ถูกต้อง

เนื่องจากพระพรหมมี 4 พักตร์ 4 ทิศ จึงแนะนำว่าควรบูชาให้ครบทั้ง 4 พักตร์ 4 ทิศด้วย หากบูชาเพียงหน้าเดียวก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เชื่อกันว่าจะได้พรเพียงเรื่องเดียวจากท่าน หากต้องการได้รับพรครบทุกประการ ก็ต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง อันดับแรกคือ เตรียมของในการสักการะพระพรหมให้ครบ 4 ธาตุก่อน ได้แก่

ธาตุดิน คือ ดอกบัว
ธาตุน้ำ คือ น้ำสะอาด
ธาตุลม คือ ธูป
ธาตุไฟ คือ เทียน

การสักการะ “พระพรหมเอราวัณ” เริ่มจากพักตร์แรกและเวียนขวามือของเรา ซ้ายมือของท่าน จนไปถึงหน้าสุดท้าย การขอพรทุกพักตร์จะมีความหมายต่างกัน

พักตร์แรก ใช้ธูป 16 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด
 สำหรับความหมายพักตร์แรกให้ขอเกี่ยวกับเรื่องการงาน การเรียน สิ่งที่ต้องรับผิดชอบในชีวิต การสอบ ขอเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งงาน และความก้าวหน้าในชีวิต ขอเกี่ยวกับเรื่องพ่อ

พักตร์ที่สอง ใช้ธูป 36 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด พักตร์ที่สองขอเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ สังหาริมทรัพย์ เรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ดิน บ้าน คอนโด รถยนต์ อยากมีหรืออยากได้ให้ขอหน้านี้ รวมทั้งหนี้สิน ที่มีคนยืมไปแล้วไม่คืน

พักตร์ที่สาม ใช้ธูป 39 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด พักตร์ที่สามให้ขอเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ คู่ชีวิต ครอบครัว ญาติพี่น้อง เรื่องเกี่ยวกับแม่ คู่สัญญา หุ้นส่วน ความมั่นคงของชีวิต

พักตร์ที่สี่ ใช้ธูป 19 ดอก เทียน 9 เล่ม ดอกบัว 9 ดอก น้ำ 1 ขวด พักตร์ที่สี่ขอเกี่ยวกับเรื่องโชคลาภ สิ่งที่ได้มาโดยบังเอิญ การขอกู้ยืมเงิน ขอออเดอร์สินค้า เรื่องของบุตร ใครยังไม่มีบุตรให้มาขอได้ ประสบผลสำเร็จ


ที่มา
https://www.msn.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: