jainu
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2013, 08:32:34 AM » |
|
จับสองต่างด้าวล้วงไอโฟน-มือถือกว่า 4 ปี รายได้เดือนละกว่า 3 แสน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 6 กุมภาพันธ์ 2556 17:54 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
พล.ต.ต.รอย อิงคไพโรจน์ ผบก.ทท. แถลงข่าวจับกุม 2 ผู้ต้องหาชาวต่างด้าว
ตำรวจท่องเที่ยวแถลงข่าวจับกุมสองผู้ต้องหาชาวต่างด้าว ก่อเหตุล้วงกระเป๋าพร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือไอโฟน 5-ไอโฟน 4 โทรศัพท์รุ่นต่างๆ อีก 11 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ รวม 5 เล่ม สารภาพทำมากว่า 4 ปี รายได้เดือนละกว่า 3 แสนบาท เข้าบ่อน-เที่ยวเตร่
วันนี้ (6 ก.พ.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว (บก.ทท.) พล.ต.ต.รอย อิงคไพโรจน์ ผบก.ทท. พ.ต.อ.ปฏิพัทธ์ สุบรรณ ณ อยุธยา รอง ผบก.ทท. พ.ต.ท.ปัญญณิชช์ ทองขุนนา รอง ผกก.1 บก.ทท. พ.ต.ท.บรรพต เดชมา รอง ผกก.1 บก.ทท. พ.ต.ท.เกื้อกมล ดวงประทีป รอง ผกก.3 บก.ทท. พ.ต.ต.สราวุฒิ ปรีดากรณ์ สว.ส.ทท.1 กก.1 บก.ท. แถลงจับกุมนายบุญมี ศายาวงศ์ อายุ 36 ปี ชาวลาว อยู่ห้องเลขที่ 33/9 เคหะอ้อมใหญ่ กรุงเทพฯ และนายชาติ ชักเรือน อายุ 33 ปี ชาวกัมพูชา อาศัยอยู่แฟลตวังหิน กรุงเทพฯ ผู้ต้องหาคดีล้วงกระเป๋า พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือไอโฟน 5 จำนวน 2 ครั้ง ไอโฟน 4 จำนวน 2 เครื่อง และโทรศัพท์รุ่นต่างๆ อีกจำนวน 11 เครื่อง สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ รวม 5 เล่ม
พล.ต.ต.รอยเปิดเผยว่า สืบเนื่องจากได้รับร้องเรียนจากคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากที่เดินตามแหล่งชุมชน โดนล้วงกระเป๋าทรัพย์สินหายหลายรายการ ตามนโยบายของทางผู้บัญชาการฯ ให้ตรวจตราตามแหล่งชุมชน รถไฟฟ้า โดยทางเจ้าหน้าที่ บก.ทท.ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ว่าสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุล้วงกระเป๋าบนสถานีรถไฟฟ้าได้ เจ้าหน้าที่จึงไปตรวจสอบพบผู้ต้องหาทั้งสองคนจึงนำตัวมาสอบสวน พร้อมทั้งตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของสถานีรถไฟฟ้า พบว่าสามารถจับภาพได้ขณะที่ผู้ต้องหาก่อเหตุกำลังล้วงกระเป๋าผู้เสียหายเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพว่าเป็นบุคคลตามภาพจริง จากนั้นขยายผลตรวจค้นบ้านพักใน อ.สามพราน จ.นครปฐม พบของกลางโทรศัพท์มือถือ และสมุดเงินฝากธนาคารหลายเล่มจึงยึดไว้เป็นของกลาง
จากการสอบสวนนายบุญมีให้การรับสารภาพว่า ตนทำอาชีพรับจ้างขนผักในตลาดไท แต่ได้มีชาวกัมพูชาชื่อนายแทน หัวหน้าแก๊งมาชักชวนล้วงกระเป๋าซึ่งถูกตำรวจจับกุมไปเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2555 ก่อนหน้านี้ จากนั้นตนเห็นว่ามีรายได้ดีจึงได้ชักชวนนายชาติไปร่วมตระเวนก่อเหตุตามสถานที่ต่างๆ ตามสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ห้างยูเนียนมอล และตามที่ต่างๆ โดยมีรายได้เฉลี่ยวันละ 2,000-14,000 บาท เคยได้มากที่สุดวันละ 60,000 บาท เฉลี่ยรายได้ต่อเดือน 2-3 แสนบาท ทำมานานกว่า 4 ปีแล้ว ส่วนใหญ่ได้ทรัพย์สินมานำเอาทรัพย์สินที่ได้ไปขายต่อและนำเงินเล่นการพนันและเที่ยวเตร่
เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันวิ่งราวทรัพย์ นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดี พร้อมประสานสำนักงานตรวจคนเจ้าเมืองขึ้นบัญชีให้เป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าในราชอาณาจักรต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2013, 08:50:56 PM » |
|
นาซาเตือนจะเกิดพายุสุริยะ
องค์การบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติของสหรัฐ หรือ นาซา ได้เตือนว่า พบจุดดับบนดวง อาทิตย์ ที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกถึง 6 เท่า ในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง ที่อาจก่อให้เกิดพายุสุริยะ (solar flares) หรือ การระเบิดใหญ่ในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ ที่จะปลดปล่อยพลังงาน อันมหาศาลออกมา จากบริเวณที่มีความเข้มของสนามแม่เหล็กสูงบนดวงอาทิตย์ ซึ่งแม้ว่าจะ พลังงานเหล่านี้จะมาถึงโลก แต่ก็จะถูกลดทอนลงเมื่้อเข้าใกล้โลก เนื่องจากสนามแม่เหล็ก ของโลกช่วยต้านไว้ แต่ยังคงสามารถรบกวนการสื่อสารทางวิทยุ หรือ ทำให้เกิดดินฟ้าอากาศ ปั่นป่วนได้
หอดูดาวอวกาศโซล่าร์ ไดนามิคส์ ของนาซา ได้จับตาการก่อตัวของจุดดับบนดวงอาทิตย์ที่ใช้ เวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง ระหว่างวันอังคารและวันพุธที่ผ่านมา จุดดับบนดวงอาทิตย์ จะเป็นจุด สีดำบนผิวดวงอาทิตย์ ซึ่งที่จริงแล้ว บริเวณดังกล่าวอยู่บนชั้นโฟโตสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ ซึ่ง มีอุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณโดยรอบ และมีสนามแม่เหล็กที่มีความปั่นป่วนสูงมาก ทำให้เกิดการ ขัดขวางกระบวนการพาความร้อนบนพื้นผิวดวงอาทิตย์ เกิดเป็นพื้นที่ที่มีความเข้มของแสงต่ำ กว่าบริเวณโดยรอบ
คณะนักวิทยาศาสตร์ของนาซา ได้พบจุดดับบนดวงอาทิตย์ หลังจากเฝ้าจับตาในช่วงระหว่าง วันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ และพบว่ามันค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น จนโตกว่าโลกของเราถึง 6 เท่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2013, 10:30:15 PM » |
|
Logos Hope จอดที่ท่าเรือคลองเตย เปิดให้เข้าชมวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556 -11 มีนาคม 2556 วันอังคาร-เสาร์ เปิด 10.00 น.- 22.00 น. วันอาทิตย์และจันทร์เปิดเวลา 14.00 น.- 22.00 น. Logos Hope ร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก---
ร้านหนังสือแห่งนี้อยู่บนเรือขนาด 430 ฟุต มีหนังสือกว่า 5000 เล่ม เดินทางไปพบปะนักอ่านทั่วโลกมานานกว่า 8 ปีแล้ว Logos Hope ดำเนินการโดยองค์กรการกุศลเยอรมัน ภารกิจของเรือหนังสือลำนี้คือนำหนังสือราคาถูกไปจำหน่ายให้ชุมชนที่ด้อยโอกาสทั่วโลก
ลูกเรือทุกคนไม่มีเงินเดือนแต่จะได้รับประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง ต้องเซ็นสัญญาทำงาน 1-2 ปี และตลอด 8 ปีตั้งแต่เรือหนังสือลำนี้เริ่มเดินเครื่อง ได้ไปเยือนมาแล้วมากกว่า 42 ประเทศ โดยมักจะจอดอยู่ที่ท่าเรือแห่งละประมาณ 2-3 สัปดาห์ ช่วงนี้อาสาสมัครบนเรือจะเข้าไปทำงานกับชุมชนและเปิดให้ผู้สนใจขึ้นไปเยี่ยม ชมเรือได้ แต่รับผู้เข้าชมได้จำกัดครั้งละ 450 คนเท่านั้น
ภารกิจสำคัญของเรือนอกจากจะนำหนังสือราคาถูกไปจำหน่ายในพื้นที่ที่หาหนังสือ ยากด้วยราคาจำหน่ายปลีกที่ต่ำกว่าราคาปกแล้ว ยังช่วยจัดตั้งห้องสมุดโรงเรียนในท้องถิ่น สร้างบ้านให้เด็กๆ และองค์กรการกุศลอื่นๆ ตามแต่ความเหมาะสมของสถานที่ที่เดินทางไป นอกจากนี้ ยังมีโครงการให้การศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันโรคเอดส์ การฝึกสมรรถภาพทางกาย และอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่เริ่มภารกิจมา Logos Hope จำหน่ายหนังสือไปแล้วมากกว่า 3 ล้านเล่มและมีผู้เยี่ยมชมเรือมากกว่า 2.5 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะมี Logos Hope ลำปัจจุบัน เคยมีเรือหนังสือมาแล้ว 2 ลำโดยเริ่มดำเนินการเมื่อปี 1970 เรือลำแรกคือ Logos ลำต่อมาคือ Doulos คงคุ้นๆ กันดี เพราะเคยมาจอดที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ ปัจจุบันทั้งสองลำปลดประจำการไปแล้วเหลือ Logos Hope ลำเดียวที่ยังทำหน้าที่อยู่
ขณะนี้ (8 มกราคม 2013) เรือจอดอยู่ที่ฮ่องกง ออกจากท่าเรือฮ่องกงวันที่ 22 มกราคมและจะมาอยู่ที่สีหนุวิลล์ กัมพูชาวันที่ 28 มกราคม-16 กุมภาพันธ์ จากนั้นชาวไทยเตรียมพบกับร้านหนังสือลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ได้ ตั้งแต่ 20 กุมภาพันธ์ - 12 มีนาคม 2013 เป็นโอกาสดีโดยเฉพาะชาวกรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลกเชิญไปชมกันได้นะคะ
เช็คตารางการเดินเรือที่นี่http://www.gbaships.org/index.php?option=com_content&view=article&id=34&Itemid=39&lang=en รู้จักเรือเพิ่มเติมที่นี่ http://www.gbaships.org/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: เมษายน 13, 2013, 10:49:00 AM » |
|
อุตุฯ เตือน ภาคใต้ฝนหนักมาก-ภาคเหนือ ภาคกลาง มีพายุฝนฟ้าคะนอง
อุตุฯ เตือนใต้ฝนหนักมากคลื่นสูง-เหนือ,กลางมีพายุ (ไอเอ็นเอ็น)
กรมอุตุฯ เผย ภาคใต้ตั้งแต่นครศรีธรรมราชลงไปมีฝนหนักมาก ช่วง 13-16 เม.ย. ส่วนภาคเหนือ-กลาง มีพายุฝนฟ้าคะนอง 13-14 เม.ย. ขอประชาชนเฝ้าระวัง
กรมอุตุประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา ฉบับที่ 5 เรื่อง "หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง" เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศมาเลเซียและตอนล่างสุดของภาคใต้แล้ว และจะเคลื่อนลงสู่ทะเลอันดามันในระยะต่อไป ทำให้ภาคใต้มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับอ่าวไทยบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง จะมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และชาวเรือระวังอันตรายจากคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 13-16 เมษายน 2556 ไว้ด้วย
ขณะที่ภาคเหนือ และภาคกลาง ขณะนี้ บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีน ยังคงแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณภาคเหนือ และภาคกลาง มีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้น ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากสภาวะอากาศดังกล่าว ในช่วงวันที่ 13-14 เมษายน 2556 นี้
อนึ่ง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ (13-16 เมษายน 2556) บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกในระยะแรก (13-14 เมษายน 56) ทำให้อากาศคลายความร้อนอบอ้าวลง คาดว่า จะมีอุณหภูมิในช่วงบ่าย ประมาณ 33-37 องศาเซลเซียส สำหรับภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 13-15 เมษายน 2556 ประกาศ ณ วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 05.00 น.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: เมษายน 13, 2013, 10:54:09 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: มิถุนายน 17, 2013, 01:13:21 PM » |
|
รอยเตอร์’ระบุ เศรษฐกิจไทยกำลังบูมที่‘ภาคอีสาน’ ไม่ใช่‘กรุงเทพฯ’อีกต่อไป โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ คนงานก่อสร้างกำลังทำงานอยู่ในสถานที่ก่อสร้างศูนย์การค้า 168 แพลตตินัม ในจังหวัดอุดรธานี ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เวลานี้ภาคอีสานของไทยกำลังมีเศรษฐกิจที่เติบโตขยายตัวอย่างรวดเร็ว
รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – สำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่สารคดีที่ชี้ให้เห็นว่า เวลานี้ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมกำลังเริ่มชะลอตัวลง แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลับมีอัตราการเติบโตขยายตัวอย่างสูงลิ่ว จนเป็นที่สนใจจับตาของพวกนักลงทุนและบริษัทธุรกิจทั้งหลาย ทั้งนี้เหตุผลสำคัญประการหนึ่งมาจากปัจจัยทางการเมือง นั่นคือการที่ภาคนี้เป็นฐานของ “คนเสื้อแดง” ที่สนับสนุน “ทักษิณ” อย่างเหนียวแน่น จึงได้รับประโยชน์มากมายจากนโยบายต่างๆ ในยุค “ยิ่งลักษณ์” นอกจากนั้นแล้ว การเดินหน้าของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ก็ยังทำให้ภาคอีสานยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
ในสารคดี (feature) ของรอยเตอร์ที่เขียน พอล คาร์สเทน (Paul Carsten) และ ไพรัตน์ เต็มไพโรจน์ (Pairat Temphairojana) ได้บรรยายให้เห็นภาพว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเวลานี้ อาคารศูนย์การค้า, โรงงาน, และสถานที่ก่อสร้าง กำลังปรากฏเผยโฉมให้เห็นเคียงข้างไร่นาฟาร์มเกษตร เป็นเสมือนเชื้อเพลิงทางเศรษฐกิจอันทรงพลังในตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ชั้นนำที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย และถึงแม้อัตราการเติบโตโดยรวมของประเทศไทย ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเริ่มที่จะชะลอตัว ทว่าเศรษฐกิจของภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลับกำลังอยู่ในท่ามกลางความเฟื่องฟู
รอยเตอร์บอกว่า การกลับมาฟื้นตัวในทางเศรษฐกิจของภาคอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ยากจนที่สุดและมีประชากรมากที่สุดของไทย บังเกิดขึ้นเคียงคู่ไปกับประดานโยบายที่มุ่งกระตุ้นการขยายตัว ตั้งแต่การเพิ่มค่าแรงไปจนถึงมาตรการอุดหนุนสินค้าการเกษตร ซึ่งก็กำลังสร้างความมั่งคั่งให้แก่อาณาบริเวณที่อยู่ตรงหัวใจของขบวนการ “เสื้อแดง” ที่หนุนหลังนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2011
ในขณะที่ชนชั้นกลางใหม่ๆ กำลังปรากฏโฉมให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ พวกนักลงทุนและบริษัทธุรกิจทั้งหลายจึงกำลังจับจ้องให้ความสนใจ คริส วู้ด (Chris Wood) กูรูด้านตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ของ ซีแอลเอสเอ (CLSA) หยิบยกภาคตะวันออกเฉียงเหนือนี่แหละ มาเป็นเหตุผลอธิบายว่าทำไมจึงควรวางเดิมพันระยะยาวเอาไว้กับประเทศไทย
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกำลังเกิดการแสดงฤทธิ์พุ่งพรวดขึ้นไปในทางเศรษฐกิจมหภาค” เขาบอก
ศักยภาพของภาคอีสานอาจไม่ปรากฏเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ ถ้าหากพวกโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวม 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งกำลังก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างแรงอยู่ในเวลานี้ กลายเป็นตัวรับเคราะห์จากความแตกร้าวลึกล้ำระหว่างพรรคเพื่อไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับบรรดาฝ่ายค้านทั้งหลาย
แต่ถ้าแผนการนี้เดินหน้าต่อไปได้ตามที่คาดหมายกันอยู่ทั่วไปแล้ว มันก็จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทีเดียว ราหุล บาจอเรีย (Rahul Bajoria) นักเศรษฐศาสตร์แห่ง บาร์เคลย์ส แคปิตอล (Barclays Capital) ให้ความเห็น
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือจุดต่อไปที่พวกนักลงทุนและพวกผู้บริโภคจะพากันเข้ามา ถ้าหากสามารถเชื่อมโยงต่อไปถึงจีนได้แล้ว มันจะกลายเป็นจุดเข้าประเทศของประเทศไทยไปเลยทีเดียว ไม่ใช่กรุงเทพฯอีกแล้ว” เขาบอก
“แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับระบบราชการที่จะดำเนินโครงการต่างๆ ในขณะที่พวกเขายังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ที่อยู่ในอำนาจในเวลาปีหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า”
รอยเตอร์ชี้ว่า อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นกระโจนขึ้นไปถึง 40% นับตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2011 นับเป็นการพุ่งพรวดมากที่สุดไม่ว่าจะเทียบกับภูมิภาคไหนของประเทศไทย และจากการสัมภาษณ์สอบถามพวกนักธุรกิจตลอดจนจากข้อมูลการลงทุนก็บ่งบอกว่าแนวโน้มเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป
จำนวนโครงการการลงทุนของภาคเอกชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มขึ้น 49% ในปี 2012 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมียอดการลงทุนสูงขึ้นมากว่าเท่าตัว จนอยู่ในระดับ 2,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 71,300 ล้านบาท) ทั้งนี้ตามข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนเหล่านี้จำนวนมากกระจุกอยู่ในด้านอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่อาคารคอนโดมีเนียม ไปจนถึงทาวน์เฮาส์ และช็อปปิ้งพลาซ่า
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากรขนาดใหญ่ มีประชากรที่หนาแน่น ดังนั้นรายได้จึงมีเยอะ” นายนริศ เชยกลิ่น รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) กล่าว โดยที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่พำนักอาศัยของประชากรราวหนึ่งในสามของไทยซึ่งมีประชากรทั้งสิ้น 68 ล้านคน
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เซ็นทรัลพัฒนา ได้เปิดศูนย์การค้ามูลค่า 2,750 ล้านบาทขึ้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแห่งที่ 3 ของบริษัทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว
**ความเฟื่องฟูเนื่องจากแรงขับดันทางการเมือง**
รอยเตอร์ชี้ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในภาคอีสานเวลานี้ สามารถนำเอาเรื่องปัจจัยทางการเมืองมาอธิบายได้อย่างน้อยก็บางส่วน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้น ได้ประกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาททั่วทั้งประเทศเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สำหรับบางจังหวัดทางภาคอีสานแล้วนี่คือการปรับเพิ่มขึ้นถึง 35% จึงจัดอยู่ในพวกจังหวัดที่ได้ค่าจ้างสูงขึ้นมากที่สุด และเป็นการได้เพิ่มขึ้นอีกหลังจากที่มีการขึ้นค่าจ้างกันทั่วประเทศ 40% ไปรอบหนึ่งแล้วในเดือนเมษายน 2012
คนงานจำนวนมาก อย่างเช่นพวกที่กำลังก่อสร้างศูนย์การค้า 168 แพลตินัม มอลล์ ในจังหวัดอุดรธานี เวลานี้ต่างรู้สึกพอใจที่จะเดินทางกลับภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อทำงานซึ่งได้รับค่าจ้างพอๆ กับที่ได้เมื่อทำงานในกรุงเทพฯแล้ว
“คนเสื้อแดง” ในภาคอีสาน อยู่ในกลุ่มที่ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันเหนียวแน่นที่สุดต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งแม้ลี้ภัยตนเองไปตั้งฐานอยู่ในดูไบ แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
เมื่อตอนที่เขาครองอำนาจตั้งแต่ปี 2001 นโยบายแบบประชานิยมของเขา ตั้งแต่โครงการรักษาโรคให้ฟรีๆ ในความเป็นจริง ไปจนถึงการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับคนจนในชนบท ได้ทำให้เขากลายเป็นฮีโรในภาคอีสาน
คนเสื้อแดงได้กลายเป็นแกนกลางของขบวนการที่ทำให้กรุงเทพฯตกอยู่ในภาวะอัมพาตในช่วงเดือนเมษยน-พฤษภาคม 2010 ด้วยการจัดการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้น ตลอดจนกลุ่มพลังต่างๆ ที่โค่นล้มขับไล่ทักษิณลงจากอำนาจ
การประท้วงตอนนั้นถูกปราบปรามด้วยกำลัง แต่คนเสื้อแดงก็สามารถแก้แค้นในการเลือกตั้งปี 2011 และเวลานี้ก็ได้เห็นรางวัลค่าตอบแทน
“ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูจำนวนมากเกิดขึ้นในต่างจังหวัด ซึ่งเป็นเพราะแรงขับดันทางการเมือง ส่วนหนึ่ง ก็เพราะที่นั่นคือที่อยู่ของพวกผู้สนับสนุนทักษิณนั่นเอง” วู้ด แห่ง ซีแอลเอสเอ แจกแจง
ตามข้อมูลของธนาคารโลก สัดส่วนคนจนในประเทศไทยได้ลดลงมาเหลือเพียงเท่ากับ 13% ของประชากรเมื่อปี 2011 จากที่เคยอยู่ในระดับ 58% ในปี 1990 ทว่าจีดีพีเฉลี่ยต่อหัวในภาคอีสานในปี 2011 ยังคงอยู่ในระดับไม่ถึง 1 ใน 8 ของตัวเลขนี้ในกรุงเทพฯ ซึ่งเท่ากับ 1,600 ดอลลาร์ (ราว 49,600 บาท) ต่อปี ทั้งนี้ตามตัวเลขของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ภาวะเช่นนี้กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลง ด้วยนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่มุ่งเพิ่มพูนอำนาจซื้อโดยวิธีให้การอุดหนุนแก่ผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ เป็นต้นว่า ข้าว, มันสำปะหลัง, และยางพารา ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เกษตรกรได้รับเงินค่าข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ซึ่งพวกผู้ส่งออกบอกว่าสูงกว่าตลาดโลกถึงราว 50%
“ทั้งในยุคทักษิณและในยุคยิ่งลักษณ์ มีการให้อะไรเยอะแยะมากมายแก่ภาคอีสาน และกำลังมีเงินเยอะแยะมากมายไหลบ่าเข้าไปในภาคนี้ ซึ่งมากกว่าที่รัฐบาลก่อนๆ เคยใช้จ่ายในภาคอีสานเยอะทีเดียว” นายอิทธิพนธ์ ตรีวัฒนสุวรรณ นายกเทศมนตรีนครอุดรธานี บอก
ชีวิตในภาคอีสานกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง น.ส.ปัญจพร พัฒนพิฑูรย์ กรรมการผู้จัดการของบริษัทซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการ 168 แพลตินัม บอกว่า ปัจจุบันประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการศึกษาที่ดีขึ้นกว่าในอดีต ทัศนคติในเรื่องต่างๆ กำลังวิวัฒนาการไปอย่างรวดเร็ว และเกิดการขยายเขตเมืองในอัตราที่รวดเร็วยิ่งกว่าในกรุงเทพฯเสียอีก
**ใครๆ ก็ไปลงทุนในภาคอีสาน**
การรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2006 ซึ่งโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณตกลงจากอำนาจ ก่อให้เกิดช่วงเวลาแห่งความไม่สงบอยู่หลายปี แต่ความราบรื่นทางการเมืองได้หวนกลับคืนมานับแต่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะการเลือกตั้ง
“เมื่อเราเปลี่ยนตัวนักการเมือง พวกเขาก็เปลี่ยนนโยบาย ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้กันยิ่งกว่านี้แล้ว ก็จะทำให้เศรษฐกิจเสียหาย” นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าว
บริษัทแสนสิรินั้นกำลังพัฒนาโครงการอาคารคอนโดมีเนียมมูลค่า 127 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,937 ล้านบาท) 2 โครงการในจังหวัดขอนแก่นในปี 2013 นี้ และวางแผนสร้างโครงการที่ 3 ซึ่งจะมีมูลค่า 35 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,085 ล้านบาท) ในปี 2014
“อย่างน้อยที่สุด 5 ปี แล้วจากนั้นเราก็จะทำอะไรสำเร็จขึ้นมาบ้างอย่างแน่นอน” นายอุทัยบอก ซึ่งมุ่งที่จะเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องสร้างทางรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
เวลานี้โครงการดังกล่าวนี้กำลังมีความเป็นไปได้อย่างมาก โดยได้รับแรงกระตุ้นจากน้ำท่วมเมื่อปี 2011 ซึ่งสร้างความหายนะให้แก่เขตอุตสาหกรรมในภาคกลาง ใกล้ๆ กรุงเทพฯ
“พวกให้บริการทางโลจิสติกส์ และพวกผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค ต่างกำลังโยกย้ายไปอยู่จังหวัดที่ไกลออกไป สืบเนื่องจากเรื่องน้ำท่วม” นายปธาน สมบูรณสิน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทคอน โลจิสติกส์ พาร์ค จำกัด (TPARK) บริษัทด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นกิจการในเครือของ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว บริษัทของเขากำลังลงทุนเป็นจำนวนที่อาจจะสูงถึง 2,000 ล้านบาทในโครงการศูนย์โลจิสติกส์บนพื้นที่ 79 เอเคอร์ (ราว 197.5 ไร่) ในจังหวัดขอนแก่น
ภาคอีสานยังควรที่ได้ประโยชน์จากการที่โรงงานและศูนย์กระจายสินค้ามีการเคลื่อนย้าย เพื่อเป็นการรับมือกับ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” (AEC) ซึ่งมีกำหนดที่จะทำให้สำเร็จภายในปลายปี 2015 หรือปี 2016
ระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Corridor) ของเออีซี ซึ่งจะเป็นเส้นทางหลวงและเส้นทางของโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการค้า จะเริ่มต้นจากเมืองท่าดานัง ในเวียดนาม ผ่านลาว, ไทย, และพม่า ไปจนถึงทะเลอันดามัน โดยที่จะตัดผ่านจังหวัดขอนแก่น เมืองศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและศูนย์กลางการพาณิชย์ของภาคนี้
โครงการนี้จะสนับสนุนความมุ่งมาดปรารถนาของไทยที่จะวางฐานะตนเองเป็นปากทางเข้าสู่ประเทศจีน โดยอาศัยเครือข่ายถนนและทางรถไฟที่ตัดผ่านลาว
โครงการต่างๆ ทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนกระบวนการขยายตัวเมืองซึ่งจะเกิดขึ้นจากโครงการเหล่านี้ ถ้าหากสามารถเดินหน้าไปตามแผนแล้ว ก็จะกลายเป็นตัวสนับสนุนอัตราเติบโตของไทยในอนาคต เครดิต สวิส ระบุเอาไว้เช่นนี้ในรายงานฉบับหนึ่ง อีกทั้ง เครดิต สวิส ยังปรับเพิ่มประมาณการแนวโน้มอัตราเติบโตของจีดีพีไทยในช่วงปี 2014 ถึง 2018 ให้เป็น ระหว่าง 4.5 ถึง 5.0% จากเดิมที่ให้ไว้เพียง 4.2%
ดังนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจอะไรที่พวกบริษัทผู้ผลิตของไทย เป็นต้นว่า บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน), บริษัทไทยเบฟเวอเรจจำกัด (มหาชน), และเครือปูนซีเมนต์ไทย ตลอดจนพวกบริษัทต่างชาติที่มีโรงงานในเมืองไทย ดังเช่น บริษัทพานาโซนิค คอร์ป, บริษัทคราฟต์ ฟู้ดส์ กรุ๊ป อิงก์, และบริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ล้วนแต่กำลังถูกดึงดูดเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
“ถ้าคุณมองไปที่พวกบริษัทภาคธุรกิจทั้งหลาย พวกบริษัทใหญ่ทุกๆ แห่งต่างก็ไปที่นั่นกันทั้งนั้น พวกเขาไม่พูดเรื่องเกี่ยวกับกรุงเทพฯกันอีกต่อไปแล้ว พวกเขาพูดถึงเรื่องต่างจังหวัด” นายแพตริก ชาง หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์อาเซียน แห่ง บีเอ็นพี ปาริบาส์ อินเวสต์เมนต์ พาร์ตเนอร์ส ให้ความเห็น “สิ่งที่เซ็กซี่เร้าใจเอามากๆ ก็คือการขยายเขตเมืองในต่างจังหวัด และวิถีทางที่กระบวนการนี้ส่งผลกระทบต่อการบริโภค”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2013, 05:28:22 PM » |
|
กุมิตัน สมุนพระราม Fanpage's photo
รถพลังงานไฟฟ้ารุ่น smart fortwo
พร้อมด้วยต้นแบบของพาหนะสองล้อพลังงานไฟฟ้าคือ smart ebike และ smart escooter โดย ebike เป็นจักรยานไฟฟ้าที่เริ่มการผลิตไปแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา ส่วน escooter มีแผนในการเปิดตัวในราวปี 2014
ขณะนี้ผู้ผลิตบอกว่าจะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากคันต้นแบบที่มีความเร็วสูงสุด 45 กม./ชม.และมีระยะทางในการใช้งานราว 100 กม. เมื่อสมาร์ทนำต้นแบบรุ่นนี้เข้าสู่การผลิตมีแนวโน้มที่จะนำเอาถุงลมนิรภัยและระบบเบรก ABS เข้ามาใช้ด้วย ส่วนเทคโนโลยีอีกอย่างในคันต้นแบบจะใช้สมาร์ทโฟนติดตั้งอยู่ตรงกลางแฮนด์แทนการใช้หน้าปัดปกติ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมและเป็นศูนย์กลางของการสื่อสารต่างๆ มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 4 กิโลวัตต์ติดตั้งอยู่ที่ดุมล้อหลัง รับพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนและใช้เวลาในการชาร์จไฟราว 3-5 ชั่วโมง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: มกราคม 06, 2014, 08:50:22 PM » |
|
จีนเปิด “ศูนย์รับทิ้งเด็ก” อีกแห่ง เผย มีคนนำเด็กมาทิ้งทุกวัน
นครหนันจิงของจีน เปิด "ศูนย์รับทิ้งเด็ก" พ่อแม่ที่ไม่ต้องการลูก สามารถนำเด็กมาทิ้งได้โดยไม่มีใครรู้เห็น เผยนับจากเปิดศูนย์ฯมา มีผู้นำเด็กมาทิ้งเกือบทุกวัน ยืนยันว่าไม่ได้อำนวยความสะดวกแก่พ่อแม่แต่ต้องการรักษาชีวิตเด็ก
ที่ประเทศจีน มีการสร้างศูนย์รับทิ้งเด็ก มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองสือจยาจวง มณฑลเหอเป่ย ได้เปิดศูนย์บริการรับทิ้งเด็กเป็นแห่งแรกของจีนเมื่อกว่าสองปีที่แล้ว ต่อมา ก็มีเมืองต่างๆ ที่เปิดศูนย์รับทิ้งเด็ก ได้แก่ หนันจิง, ซีอัน และเซินเจิ้น ขณะที่บางเมืองก็มีแผนเปิดศูนย์ฯ ดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่า การสร้างศูนย์รับทิ้งเด็ก มีจุดประสงค์เพื่อรักษาชีวิตเด็กๆ ที่พ่อแม่ไม่ต้องการ และไม่คิดว่าจะเป็นการส่งเสริมการทิ้งเด็ก โดยล่าสุดกับการเปิดศูฯย์ที่เมืองหนันจิงเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ก็มีคนนำเด็กมาทิ้งทุกวัน
ศูนย์แห่งใหม่เปิดมาตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. แต่ก็มีเด็กที่ถูกนำมาทิ้งไว้ 10 กว่าคนแล้ว ซึ่งภายในศูนย์รับทิ้งเด็ก ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์ตรวจสอบความชื้น ตู้อบทารก เตียง และเทอร์โมมิเตอร์ โดยไม่มีกล้องวงจรปิด หรือ CCTV ดังนั้น จะไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่หรือผู้นำเด็กมาทิ้งเป็นใคร เมื่อพ่อแม่นำเด็กมาทิ้ง อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ติดตั้งไว้ จะส่งสัญญาณไปยังสำนักงานสถานเด็กกำพร้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เจ้าหน้าที่สามารถเดินทางมารับเด็กภายใน 5 นาที
เจ้าหน้าที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนันจิง หวังว่าวิธีนี้จะช่วยชีวิตเด็กทารก ที่พ่อแม่ไม่ต้องการ และมักนำทิ้งถังขยะ สวนสาธารณะ ถนน และที่สาธารณะต่างๆ ทารกเหล่านี้อาจหนาวตายได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: มีนาคม 09, 2014, 08:01:08 PM » |
|
รำลึกความทรงจำ ครบ 100 ปี "สนามบินดอนเมือง"
ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ศูนย์กลางการเดินทางด้วยอากาศยานสำหรับคนกรุงเทพฯจะมีอายุครบ 100 ปีในวันที่ 8 มีนาคมนี้ หลังจากวันเดียวกันเมื่อพ.ศ. 2457 นายทหาร 3 นายนำเครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมิมาลงที่สนามบินดอนเมืองเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ครั้งแรกของ "สนามบินดอนเมือง" ท่าอากาศยานดอนเมืองถือเป็นรากฐานการบินและเป็นหนึ่งในสนามบินที่สร้างขึ้นเป็นลำดับแรกๆของประเทศไทยผ่านการเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์ต่างๆมาหลายครั้งโดยภายหลังกองทัพเข้ามาปรับปรุงในช่วงแรกสนามบินถูกใช้ชื่อว่า "สนามบินดอนเมือง" จนเมื่อปีพ.ศ.2498ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น"ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ"หลังบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดใช้งานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549 "ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ" จึงเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น "ท่าอากาศยานดอนเมือง" เมื่อช่วง 2550
ประชาชนชาวไทยยังจำช่วงเวลาการประกาศปรับเปลี่ยนการบริการสนามบินหลังบริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด(มหาชน) (ทอท.) เปิดใช้งานท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอย่างเป็นทางการ ช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านมีประชาชนจำนวนมากมาเก็บภาพบรรยากาศสนามบินดอนเมืองในคืนวันที่ 27 ก.ย.ก่อนสนามบินดอนเมืองเปลี่ยนรูปแบบไปให้บริการเครื่องบินส่วนตัวและเครื่องเช่าเหมาลำล่วงเลยมาจนถึงช่วงที่กลับมาใช้งานอีกครั้งสนามบินดอนเมืองยังเคยประสบปัญหาน้ำท่วมเมื่อปลายปี2554 แม้ว่ารัฐบาลจะไม่สามารถป้องกันสนามบินดอนเมืองซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยไว้ได้จนต้องถอยไปใช้สำนักงานบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) แต่หลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายหลายฝ่ายเร่งกลับมาบูรณะซ่อมแซมรันเวย์ที่ถูกน้ำท่วมจนสามารถกลับมาให้บริการปกติได้จนถึงวันนี้
ปัจจุบันสนามบินดอนเมืองได้รับการพัฒนาปรับเปลี่ยนให้เป็นท่าอากาศยานรองรับสายการบินต้นทุนต่ำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี2555โดยว่าที่เรืออากาศโทจตุรงคพลสดมณีผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมืองบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลัง ทดม.เปิดให้บริการเต็มรูปแบบอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2555 ท่าอากาศยานใช้อาคารผู้โดยสารอาคาร 1 ให้บริการ โดยทดม.มีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ 18.5 ล้านคนต่อปี และในปัจจุบันมีสายการบิน Low Cost ที่ทำการบินประจำ จำนวน 7 สายการบิน ได้แก่ สายการบินไทยแอร์เอเชีย, สายการบินอินโดนีเซียแอร์เอเชีย, สายการบินแอร์เอเชีย, สายการบินโอเรียนท์ไทย, สายการบินนกแอร์, สายการบินไทยไลอ้อนแอร์ และสยาม จีเอ
ว่าที่เรืออากาศโท จตุรงคพล เปิดเผยอีกว่า ท่าอากาศยานยังมีศักยภาพและมีโอกาสรองรับการเติบโตสำหรับเส้นทางการบินในภูมิภาคได้อีกมาก ขณะที่ปีนี้ ทดม.ยังมีแผนพัฒนาปรับปรุงพื้นที่อีกหลายรายการ มีเป้าหมายให้ทดม.รองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปีภายในปี 2559 และปรับปรุงระบบบริหารจัดการทั้งผู้โดยสารภายในประเทศทั้งขาเข้าและขาออกให้สะดวกและบริการรวดเร็วขึ้น
ในช่วงสถานการณ์การเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมาสนามบินดอนเมืองมักถูกใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติการของหลายฝ่าย โดยปลายปี 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดท่าอากศยานดอนเมืองเพื่อกดดันนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในตอนนั้นให้ออกจากตำแหน่ง แม้เหตุการณ์ช่วงนั้นจะค่อนข้างตึงเครียดแต่สุดท้ายสถานการณ์ก็คลี่คลายหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนและอีก 2 พรรคเป็นผลให้นายกฯพ้นจากตำแหน่ง
ปัจจุบันท่าอากาศยานยังสามารถให้บริการอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจำนวนผู้โดยสารส่วนเที่ยวบินระหว่างประเทศจะลดลงในช่วงเหตุการณ์วุ่นวายแต่สำหรับผู้โดยสารในประเทศยังมีสถิติเพิ่มขึ้นจากเหตุผลหลายปัจจัยทั้งจากเรื่องบริการที่หลากหลายจากสายการบินและเรื่องแรงดึงดูดในประเทศอื่นๆเช่นการลงทุนและการท่องเที่ยว
ระยะเวลาหนึ่งทศวรรษของสนามบินดอนเมืองผ่านร้อนผ่านหนาวและผ่านน้ำมาหลายระลอกหลังจากนี้ท่าอากาศยานดอนเมืองจะยังเดินหน้าปรับปรุง และพัฒนาเหมือนเช่นที่ผ่านมา สำหรับวาระครบรอบ 100 ปีของ ทดม. ท่าอากาศยานยังมีจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปีและจะมีการเปิดงานครบรอบ 100 ปีในวันที่ 8 มีนาคม 2557 ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ในงานมีกิจกรรม การแสดง และนิทรรศการที่ให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้บริการถือเป็นการร่วมรำลึกความทรงจำการเดินทางที่ผ่านมาไปพร้อมๆกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: เมษายน 25, 2016, 01:41:54 PM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=4A4IP0R9Kksพระเจ้าอยู่หัว.เศรษฐกิจพอเพียง.2541 เศรษฐกิจพอเพียงใน ประเทศ "ติมอร์-เลสเต" อ.สุภาค์พรรณ เริ่มอธิบายถึงชื่อประเทศติมอร์เลสเต ว่า ก่อนหน้านี้ เราจะได้ยินชื่อติมอร์ตะวันออก แล้วต่อมาทำไมถึงเรียก ติมอร์เลสเต คงต้องบอกว่า จะเรียกชื่อไหนก็ไม่ผิด เพราะคำว่า เลสเต เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า ตะวันออก ซึ่งก่อนหน้านี้ ติมอร์เลสเต อยู่ภายใต้อินโดนีเซีย และอินโดฯก็เรียกว่า อีสต์-ติมอร์ คนไทยบางคนก็เรียกทับศัพท์ว่า อีสต์-ติมอร์ แต่ส่วนตัวเรียก ติมอร์ตะวันออก และเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเป็นติมอร์เลสเต เราจะเรียกติมอร์ตะวันออกก็ไม่ผิด
“อยากให้คนไทยเปิดใจรับติมอร์เลสเต เพราะได้ยื่นใบสมัครขอเข้าเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนลำดับที่ 11 ซึ่งเมื่อติมอร์เลสเตได้เข้าเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว เราก็จำเป็นต้องรู้ว่าติมอร์เลสเตเป็นมาอย่างไร คนติมอร์เลสเตเป็นอย่างไร ฐานะทางเศรษฐกิจ การเมือง เป็นอย่างไร ที่หาอ่านภาพรวมได้จากหนังสือเล่มนี้ (The ASEAN Way ชุด ติมอร์เลสเต) ซึ่งบอกที่มาว่า ติมอร์เลสเตมีที่มาอย่างไร มาอยู่ภายใต้โปรตุเกส 400 ปี เป็นอย่างไร อยู่ภายใต้อินโดนีเซียอีก 30 ปี เป็นอย่างไร กว่าจะได้เอกราช จะมีประวัติความเป็นมา เอกลักษณ์ของชาติ โดยเฉพาะเรื่องสกุลเงิน”
เมื่อถามถึงศาสนาที่ชาวติมอร์เลสเตนับถือ อ.สุภาค์พรรณ อธิบายอีกว่า ชาวติมอร์เลสเตอยู่ภายใต้โปรตุเกสมานานจึงทำให้ชาวติมอร์เลสเตส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์ จึงมีความแตกต่างจากชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ ถ้าดูตามแผนที่ จะเห็นว่า ติมอร์เลสเต อยู่ชิดทางฝั่งออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ มากกว่า ทางเกาะชวาที่เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ติมอร์เลสเต เป็นคนพื้นเมืองที่มีอธิปไตยเป็นของตนเอง เมื่อโปรตุเกสเข้ามาปกครองถึง 400 ปี ระหว่างนั้น มีการคบค้าสมาคม พ่อค้าจากจีน จาก เนเธอร์แลนด์มาตั้งรกร้าง มาค้าขาย จึงทำให้มีความหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีเชื้อสายโปรตุเกส จึงนับถือศาสนาคริสต์ แต่ไม่ใช่คริสต์เหมือนทางยุโรป จะเป็นคริสต์ที่นำมาผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นเมือง โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ ความเชื่อเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นนี้ก็ยังมีอยู่ อีกทั้งบุคลิกภาพคนติมอร์เลสเตก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคนอินโดนีเซียเลย หากใครเคยไปก็อาจจะคิดไปได้ว่า กำลังอยู่ในประเทศโปรตุเกส ฉะนั้น เมื่ออินโดนีเซียมาบุกยึด ก็ไม่สามารถจะผสมกลมกลืนได้เลย
เมื่อถามถึงภาษาของติมอร์เลสเต อ.สุภาค์พรรณ เล่าต่อไปว่า ไม่ว่าแต่ละท้องถิ่นจะมีภาษาของตัวเอง แต่ก็ต้องพูดบาฮาซ่าอินโดนีเซียให้ได้ทุกคน อย่างไรก็ตาม คนติมอร์เลสเตจะพูดภาษาโปรตุเกส และภาษาเตตุง ที่มีความคล้ายภาษาโปรตุเกส ได้อีกด้วย เวลาติดต่อราชการก็ต้องพูดภาษาอินโดนีเซีย หากพูดกันเองก็จะพูดโปรตุเกสหรือเตตุง
“ชนชาติแรกในหมู่เกาะอินโดนีเซีย ก็คือ คนมลายู ชาวติมอร์เลสเต ก็เช่นกัน ชนชาติแรกก็เป็นชาวมลายู ความมลายูยังคงอยู่ แม้จะมาอยู่ภายใต้โปรตุเกส อินโดนีเซีย หรือ มีชาวจีน อินเดีย มาทำการค้า มาแต่งงาน มีการผสมผสานทางวัฒนธรรม แม้พื้นเพจะเป็นคนมลายู แต่ปัจจุบัน ภาพเหล่านั้นก็เลือนไปแล้ว เวลาพูดถึงติมอร์ก็บอกว่าคนติมอร์ แต่ดั้งเดิมก็คนมลายูนี่เอง ถ้าตอนที่หลุดจากโปรตุเกส 1942 ญี่ปุ่นเข้ามายึดแทน 3 ปี ซึ่งหากอินโดนีเซียไม่เข้ามายึด ก็คงไม่มีทางที่จะมีวัฒนธรรมหรือภาษาอินโดนีเซียเข้ามาในติมอร์เลย”
อ.สุภาค์พรรณ เล่าต่อไปอีกว่า หลังจากติมอร์เลสเตประกาศเอกราชปี ค.ศ. 2002 อาเซียนยินดีต้อนรับเข้าประเทศสมาชิกอย่างเต็มที่ เพราะด้วยพื้นที่เข้าข้อกำหนดจะสามารถเป็นสมาชิกประเทศอาเซียนได้ แต่ติมอร์เลสเตในตอนนั้น ก็คิดว่า อยู่ภายใต้โปรตุเกสมานาน ก็น่าจะไปในแนวคนยุโรป คนตะวันตก จึงได้ปฏิเสธไม่เข้าอาเซียน เพราะเข้าใจว่า ด้วย การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม น่าจะเข้าไปทางเอเชียแปซิฟิก ไปทางออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ทางกายภาพทางเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมจริงๆ ไม่ใช่แนวตะวันตก ทางออสเตรีเลีย นิวซีแลนด์ จึงไม่ได้อ้าแขนรับอย่างที่คิด จึงต้องยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกประเทศอันดับที่ ๑๑ เมื่อปลายปี ๒๕๕๔
นอกจากนี้ ชาวติมอร์เลสเต ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับคนไทย โดยเฉพาะทหารตำรวจไทย ซึ่งในช่วงที่ลงประชามติเพื่อเอาเอกราช ก็เกิดการจลาจลรุนแรง รัฐบาลอินโดนีเซียได้ขอร้อง UN ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพ ซึ่งมีทหารไทยเข้าร่วมด้วย หรือแม้แต่คณะช่วยเหลือ ที่ไทยจะส่งทหารไปทำงานโยธา งานพยาบาล และตั้งโครงการมนุษยธรรม โครงการแพทย์ อาหารกลางวันสำหรับเด็ก และนำโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปให้ชาวติมอร์เลสเตได้รู้จักการทำไร่นาสวนแบบผสม เช่น การทำปุ๋ยอินทรีใช้เอง หลักเศรษฐกิจพอเพียง จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวติมอร์เลสเตได้รู้จักการพึ่งพาตนเอง http://mcot-web.mcot.net/…/con…/id/554c7760be0470d0a68b474e… ---------- ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ภาพรวมความสัมพันธ์ทั่วไป - ไทยและติมอร์-เลสเต มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไทยให้ความช่วยเหลือติมอร์ฯ ด้านการรักษาความมั่นคงและสันติภาพ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ โดยได้ส่งกองกำลังทหารเข้าร่วมในกองกำลัง International Force in East Timor (INTERFET) ตามคำขอของประธานาธิบดีอินโดนีเซียระหว่างปี ๒๕๔๒-๒๕๔๓ เพื่อประสานงานระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียและสหประชาชาติในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในติมอร์ฯ และส่งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในติมอร์ฯ อย่างต่อเนื่อง ผู้นำติมอร์ฯ มีทัศนคติที่ดีต่อไทย และกองกำลังทหารไทยได้รับการยอมรับจากชาวติมอร์ฯ อย่างมาก โดยเฉพาะในกิจการด้านพลเรือนซึ่งมุ่งเน้นการฝึกฝนให้ชาวติมอร์ฯ สามารถพึ่งตนเองได้
- ความร่วมมือระหว่างไทยกับติมอร์ฯ เน้นให้ความสำคัญกับด้านเศรษฐกิจ พลังงานและเกษตรกรรม ติมอร์ฯ มีทรัพยากรด้านพลังงานอุดมสมบูรณ์ จึงมีศักยภาพเป็นแหล่งพลังงานให้แก่ไทยได้ ในขณะที่ติมอร์ฯ ประสงค์จะเรียนรู้ประสบการณ์ของไทยในการบริหารจัดการและการจัดตั้งบริษัทเอกชนด้านพลังงานจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และความเชี่ยวชาญด้านเกษตรกรรมของไทย ได้แก่ การพัฒนาพันธุ์ข้าว และการประมง
- ไทยดำเนินนโยบายการทูตเพื่อสนับสนุนการพัฒนาติมอร์ฯ อย่างต่อเนื่อง โดยไทยได้ให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการแก่ติมอร์ฯ ผ่านสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) ตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ ผ่านการให้ทุนฝึกอบรม/ดูงาน ทุนศึกษาระดับปริญญาโทในสาขาต่าง ๆ รวมทั้งการจัดทำโครงการหมู่บ้านต้นแบบตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง (Self-Sufficiency Village Model) ในจังหวัดดิลีและอะลิ่ว และการส่งผู้เชี่ยวชาญไทยเดินทางไปปฏิบัติงานที่ติมอร์ฯ ในโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ไทยให้การสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนของติมอร์ฯ โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ -------------------------------------------------------- ๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทรงรับนายโฮเซ รามอส-ฮอร์ตา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx… ----------- ข่าวกิจกรรมกระทรวงฯและสถานทูต : การเยี่ยมชมโครงการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เมืองเฮรา ประเทศติมอร์-เลสเต เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๘ นางสาวบุษกร พฤกษพงศ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงดิลี พร้อมด้วยนายซัดดัม สะแต อาสาสมัครโครงการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และนาย GuilhermeViana Freitas ปฏิบัติหน้าที่ล่าม เยี่ยมชมโครงการพัฒนาหมู่บ้านต้นแบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เมืองเฮรา ประเทศติมอร์-เลสเต โดยโครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาไทย-ติมอร์-เลสเต ระยะเวลา ๓ ปี โดยกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ
ในโอกาสนี้เอกอัครราชทูตได้พบและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับนาย Alex หัวหน้าชุมชนเมืองเฮรา และนาย Joseเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรติมอร์ฯโดยนาย Alexได้รายงานว่า ตนเป็นผู้นำชุมชนดูแลโครงการนี้มา ๒ ปีแล้ว ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากประเทศไทยและนำมาเผยแพร่ให้สมาชิกของโครงการได้เรียนรู้ และนำไปปฏิบัติ ส่งผลให้การเพาะปลูกพืชผักเป็นไปอย่างเป็นระบบ ปัจจุบันมีสมาชิก ๒๙ คน และสามารถสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกเดือนละประมาณ ๒๐๐ - ๔๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งได้ใช้บริโภคในครัวเรือนด้วย นอกจากนี้ สมาชิกในชุมชนได้เรียนรู้การทำกล้วยอบแห้งจากผู้เชี่นวชาญชาวไทยเพิ่มรายได้ด้วยอีกทางหนึ่ง http://www.mfa.go.th/…/57522-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0… ----------------------------------- ดร.ฟาสติโน คอร์โดโซ และอาจารย์ โยฮันเนส อัสโบโก้ 2 นักวิชาการ มหาวิทยาลัยแห่งชาติติมอร์-เลสเต ระบุ ได้ศึกษาและนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้กับสังคมชาวติมอร์-เลสเต (หรือติมอร์ตะวันออกเดิม) เคยนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปขับเคลื่อนในหมู่บ้าน มีการร่วมมือกันและมีการตั้งกลุ่มสหกรณ์ ออมทรัพย์โดยใช้กรณีศึกษาที่มาจากเมืองไทย ผ่านไป 4 ปีกลุ่มเศรษฐกิจพอเพียงยังคงดำรงอยู่และมีกิจกรรมต่างๆ ที่มีความก้าวหน้าพอสมควร ขณะที่สมาชิกมีจำนวนมากขึ้นหลังจากที่เห็นผลจากการทำงาน http://www.virtualdepots.com/…/im…/cardoso-and-usboko-th.jpg
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: เมษายน 28, 2016, 06:42:29 PM » |
|
คนปลายซอย จันทร์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘ เวทีโลก"เปลี่ยน"เวทีประเทศ เมื่อข่าวคราวอื้ออึง จากอเมริกามาถึงบางกอกว่า นายกฯลุงตู่กำลังเพริดกับแสงสีและไออุ่นแฟนๆที่ล้นหลามเกินหน้า-เกินตาในนิวยอร์ค ก็อยากปลอบใจแฟนคลับในเมืองไทยว่า...อย่าน้อยอก-น้อยใจกันไปเลยนะ! ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อ"นายกฯที่ไม่ได้มาจากเลือกตั้ง"คนนี้ ไม่คอร์รัปชั่น-ไม่ล้มสถาบัน-ไม่หลอกประชาชนไปเป็นฐานการเมือง เพื่อใช้อำนาจรัฐลอกประโยชน์ชาติ ไปต่อยอดรวยตระกูลโกงตัวเอง แล้วจะไม่ให้ ไทย-เทศ แห่ห้อมสรรเสริญได้ไง? อีก ๒-๓ วัน ลุงตู่ก็ แบค ทู ไทยแลนด์ ทันมาดู"นาดาล-โจโควิช"ดวลแรกเก็ตกัน ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก ๒ ตุลา. รายการนี้ ต้องชมทรู กับซีพี เขาหน่อย นัยว่า"ทุ่มทุนจัด"เพื่อสร้างสีสันบรรยากาศประเทศไทย"ปลอดภัย-น่าอยู่-น่าเที่ยว"เป็นพิเศษ หลังจากเรื่องร้ายๆผ่านไป ก็ดีครับ..... ทำให้สมกับที่ไทยเรา ได้รับการโหวตจากผู้แทนแต่ละประเทศ กลุ่ม G 77 ด้วยมติเอกฉันท์...... "๑๓๔ ประเทศ ยกให้ไทยเป็นประธานกลุ่มในวาระปี ๒๕๕๙!" การประชุมโหวตครั้งนี้ นายบัน คี มุน เลขาฯยูเอ็น นายโมนส์ เลิคเคทอฟ ประธานสมัชชายูเอ็น รัฐมนตรีและผู้แทนจาก ๑๓๔ ประเทศสมาชิก เข้าประชุมครบ G 77 ก่อตั้งมา ๕๑ ปี........ ที่เรียก G 77 เพราะแถลงการณ์ร่วมกันครั้งแรก ๗๗ ประเทศ และครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของไทยในรอบ ๕๑ ปี ที่ได้เป็นประธานกลุ่ม รู้ๆเห็นๆกันทั้งโลกคาตาขนาดนี้.......... อย่างนี้ ไม่ต้องคุยก็ได้เนอะ ว่า"นายกฯที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง"ที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ของไทยคนนี้ ประชาสังคมโลก ๑๙๓ ประเทศ"ในองค์แห่งสหประชาชาติ" เขารังเกียจ.... หรือ ยินดีต้อนรับ และให้เกียรติสูงสุด!? นี่คือการแสดงถึงความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยบนเวทีโลกและเวทีระหว่างประเทศ และนี่คือคำตอบ"เนื้อหา"การบริหาร อันมีประชาชนเป็น"ศูนย์กลาง"ที่ประจักษ์ โดยรัฐบาลคสช. "ประชาธิปไตย-เผด็จการ"วันนี้ กำลังตกผลึกทางเป็นจริงว่า..."ก็แค่ระบบ-ระบอบหนึ่ง"ที่คนมีอิทธิพลกลุ่มหนึ่งบัญญัติขึ้น เป็นแค่รูปแบบ.... มิใช่คำตอบของเนื้อหาที่ประชาชน-ประชาโลกไขว่หาแท้จริง!? ที่ไทยได้รับความเชื่อมั่นและให้เกียรติเป็นประธาน G 77 ครั้งนี้ ในความคิดเห็นผม ส่วนหนึ่งต้องยกให้เป็นผลงาน จากการทำงานหนักของ"คุณวีรชัย พลาศรัย"เอกอัครราชทูตผู้แทนชาวไทยประจำสหประชาชาติ"คนนี้ และอ้อ...ดอน...ที่ไม่ใช้"ดอน กีโฆเต้".......... หากแต่เป็น"ดอน ปรมัตถ์วินัย"รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ! ทั้ง ๒ ท่านนี้ ถือเป็นทรัพยากรบุคคลแห่งกระทรวงการต่างประเทศ ที่เป็นคู่บุญรัฐบาลคสช.เพื่อประเทศชาติแท้จริง เบื้องหลังของความสำเร็จ"ทุกอย่าง"ที่ออกมาเป็นภาพสวยและสง่างามในนามไทยในเวทีสหประชาชาติวันนี้ ต้องช่วยกันปราบมือให้ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเขาด้วยนะครับ! ในการประชุมโหวต ๑๓๔ ประเทศนั้น ท่านทูต"อภิชาติ ชินวรรโณ"เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส ที่จะขึ้นเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ๑ ตุลา.นี้ ท่านเข้าประชุมในฐานะตัวแทนประเทศไทย เห็นมั้ย...งานนี้ คนกระทรวงต่างประเทศ ในนาม"ทีมไทยแลนด์"ช่วยกันปิดทองหลังพระได้อร้าอร่ามถึงใจจริงๆ! เอ้า...ทำความรู้จัก"G 77"กันซัก ๓-๓ คำ........ เป็นกลุ่มประเทศ"กำลังพัฒนา"รวมตัวเป็นพันธมิตรกัน เพื่อสร้างขีดความสามารถ เพื่อต่อรองกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คือกลุ่มประเทศจักรวรรดินิยมอำนาจทางเศรษฐกิจนั่นแหละ
G 77 เป็นกลุ่มใหญ่สุดในสหประชาชาติ และเป็นกลุ่มระดับรัฐบาล ไม่ใช่พวกสัมภเวสีกิ๊กก๊อกอย่างฮิวแมนไรช์อะไรนั่น! ๑๓๔ ประเทศ กลุ่ม G77 มีประเทศไหนบ้าง เพื่อนักเรียนไปต้องเสียเวลาค้น จดไว้เลยนะ
๑.อัฟกานิสถาน ๒.แอลจีเรีย ๓.อาร์เจนตินา ๔.เบนิน ๕.โบลิเวีย ๖.บราซิล ๗.เบอกินา ฟาโซ ๘.ประเทศกัมพูชา ๙.แคเมอรูน ๑๐.แอฟริกากลาง
๑๑.ชาด ๑๒.ชิลี ๑๓.โคลอมเบีย ๑๔.คองโก (กินชาซา) ๑๕.15 คองโก(บราซซาวิ) ๑๖.คอสตาริกา ๑๗.คิวบา ๑๘.โดมินิกัน ๑๙.เอกวาดอร์ ๒๐.อียิปต์
๒๑.เอลซัลวาดอร์ ๒๒.เอธิโอเปีย ๒๓.กาบอง ๒๔.กานา 25. กัวเตมาลา ๒๖.กินี ๒๗.ไฮติ ๒๘.ฮอนดูรัส ๒๙.อินเดีย 30.อินโดนีเซีย
๓๑.อิหร่าน ๓๒. อิรัก ๓๓.จาเมกา ๓๔.จอร์แดน ๓๕.เคนยา ๓๖.คูเวต ๓๗.ลาว ๓๘.เลบานอน ๓๙.ไลบีเรีย ๔๐.ลิเบีย
๔๑.มาดากัสการ์ ๔๒.มาเลเซีย ๔๓.มาลี ๔๔.มอริเตเนีย ๔๕.โมร็อกโก ๔๖.เมียนมาร์ ๔๗.เนปาล ๔๘.นิการากัว ๔๙.ไนเธอร์ ๕๐.ไนจีเรีย
๕๑.ปากีสถาน ๕๒.ปานามา ๕๓.ปารากวัย ๕๔.เปรู ๕๕.ฟิลิปปินส์ ๕๖.รวันดา ๕๗.ซาอุดิอาราเบีย ๕๘.เซเนกัล ๕๙.เซียร์ราลีโอน ๖๐.โซมาเลีย
๖๑.ศรีลังกา ๖๒.ซูดาน ๖๓.ซีเรีย ๖๔.แทนซาเนีย ๖๕.ไทย ๖๖.ไป ๖๗.ตรินิแดดและโตเบโก ๖๘.ตูนิเซีย ๖๙.ยูกันดา ๗๐.อุรุกวัย
๗๑.เวเนซุเอลา ๗๒.เวียดนาม ๗๓.เยเมน ๗๔.แองโกลา ๗๕.แอนติกาและบาร์บูดา ๗๖.บาฮามาส ๗๗.บาห์เรน ๗๘.บังคลาเทศ ๗๙.79 บาร์เบโดส ๘๐.เบลีซ
๘๑.ภูฏาน ๘๒.บอสเนียและเฮอร์เซโก ๘๓.บอตสวานา ๘๔.บรูไน ๘๕.บุรุนดี ๘๖.เคปเวิร์ด ๘๗.จีน ๘๘.คอโมโรส ๘๙.ไอวอรี่โคส ๙๐.จิบูตี ๙๑.โดมินิกา ๙๒.ทอเรียลกินี ๙๓.เอริเทรี ๙๔.ฟิจิ ๙๕.แกมเบีย ๙๖.เกรเนดา ๙๗.กินีบิสเซา ๙๘.กายอานา ๙๙.คิริบาส ๑๐๐.เลโซโท
๑๐๑.มาลาวี ๑๐๒.มัลดีฟส์ ๑๐๓.หมู่เกาะมาร์แชลล์ ๑๐๔.มอริเชียส ๑๐๕.ไมโครนีเซีย ๑๐๖.มองโกเลีย ๑๐๗.โมซัมบิก ๑๐๘.นามิเบีย ๑๐๙.เกาหลีเหนือ ๑๑๐.นาอูรู
๑๑๑.โอมาน ๑๑๒.ปาเลสไตน์ ๑๑๓.ปาปัวนิวกินี ๑๑๔.กาตาร์ ๑๑๕. เซนต์คิตส์และเนวิส ๑๑๖.เซนต์ลูเซีย ๑๑๗.เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีน ๑๑๘.ซามัว ๑๑๙.เซาตูเมและปรินซิปี ๑๒๐.เซเชลส์
๑๒๑.สิงคโปร์ ๑๒๒.หมู่เกาะโซโลมอน ๑๒๓.แอฟริกาใต้ ๑๒๔.ซูดานใต้ ๑๒๕.ซูรินาเม ๑๒๖.สวาซิแลนด์ ๑๒๗.ทาจิกิสถาน ๑๒๘.ติมอร์เลสเต ๑๒๙.ตองกา ๑๓๐.เติร์กเมนิสถาน
๑๓๑.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๑๓๒.วานูอาตู ๑๓๓.แซมเบีย และ ๑๓๔.ซิมบับเว ครับ.
...ลอกซะตาลายเลย ก็จะเห็นว่า สหประชาชาติ มี ๑๙๓ ประเทศ ในจำนวน ๑๙๓ คือ ๑๓๔ ประเทศ ที่จัดเป็นกลุ่ม G77 ดูเหมือนอาเซียนทั้งหมด แถม จีน-อินเดีย-บราซิล-ซาอุ-อิหร่าน-ปาเลสไตน์ อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ในปี ๒๕๕๙ หรือ 2016 ............. เขาให้เกียรติ ด้วยความเชื่อมั่นประเทศไทย ภายใต้การบริหารรัฐบาลคสช.โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกให้ประเทศไทย เป็นประธานกลุ่ม! นี่คุยกันแบบเจียมตัวนะ.......... เมื่อไทยเราได้รับความไว้วางใจนี้มา ถ้าพลาดเก้าอี้"สมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น"ก็...พอเข้าใจได้ แต่ถ้าได้เก้าอี้"สมาชิกไม่ถาวรฯ"ด้วย คงต้องให้นายกฯลุงตู่รำถวายศาลหลักเมืองแน่! ฟังท่านทูต"วีรชัย พลาศรัย"ซึ่งจะทำหน้าที่ประธานกลุ่ม G 77 พูดซักนิดนะ.... "ไทยไม่ได้นำกลุ่ม 77 มาเป็นตัวประกัน เพื่อสนองประโยชน์ของเรา แต่ทำงานเพื่อประโยชน์ของทุกชาติในโลกเท่าที่จะทำได้ การเป็นประธานกลุ่ม เป็นโอกาสที่จะแสดงความรับผิดชอบของไทยในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง โดยมีเป้าหมาย คือการพัฒนาที่ยั่งยืน และสานต่อความร่วมมือกับทุกประเทศ" ครับ...วันนี้ แค่ G 77 ก็อิ่ม !
ไม่ต้องคุยเรื่องพี่น้องไทยเราในอเมริกาที่รวมพลให้กำลังใจลุงตู่หน้ายูเอ็นจนล้ำหน้า-ล้ำตาผู้นำบ้านเมืองอื่นเขาก็ได้ ที่ว่าไข้จับถึงคาขวดน้ำเกลือ...แบบนี้ หาย!
ด้วยบรรยากาศชื่นมื่นสำหรับนายกฯไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของไทย ทั้งในและนอกยูเอ็น รวมทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไปสหรัฐอเมริกา แบบนี้ตะหาก ที่เกรงว่า จะมีคนบางตระกูล ไม่กระอักเลือดตาย ก็...จะตายในคุกเอาน่ะซี้!
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|