Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 10 11 [12]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: read news  (อ่าน 10429 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #165 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2020, 08:06:54 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=o4aI8DmBy38

PDPA จะบังคับใช้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เราต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง : Suthichai live 17/12/2563
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #166 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2020, 09:16:59 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=MT6x3NJvzfw

เมื่อจีนเปิดตัว Quantum Advantage สู้สหรัฐฯ! : Suthichai live 08/12/2563
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #167 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2020, 12:36:11 PM »

โควิดยก ๒ ***มันมาตามนัด
โดย ศ.นพ. นิธิ มหานนท์


                            ไม่แปลกใจที่ช่วงนี้มีการระบาดของโคโรนาไวรัสอีกครั้งในประเทศไทย ถ้าจำกันได้ผมเคยเล่าให้ฟังกันตั้งแต่การระบาดครั้งแรกเมื่อปีก่อนว่า ไวรัสทางเดินหายใจแบบนี้จะมีการแพร่ระบาดเป็นฤดูกาล และจะเริ่มและระบาดมากในหน้าหนาวและขณะนี้เราก็เข้าช่วงอากาศหนาวเย็นพอดี ประเทศไทยเราป้องกันและหยุดการระบาดครั้งแรกไว้ได้อย่างดีมาก จนแทบไม่มีภูมิต้านทานในประเทศเลย ในขณะที่หลายๆประเทศในโลกนี้ ทั้งที่อยู่รอบๆและที่ห่างไกลประเทศเรายังมีการระบาดอยู่ แต่คนไทยในประเทศเริ่มคุ้นเคย(บ้าง)กับวิถีชีวิตใหม่ เห็นประเทศอื่นๆมีแต่คนติดเชื้อคนป่วยล้นโรงพยาบาลแต่ในบ้านเราชิวๆ ประกอบกับความชะล่าใจ(การ์ดตก)ของสังคมและรัฐ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจ(ที่ไม่เคยพอเพียง) ทั้งๆที่เตือนไว้แล้วเช่นกัน ลองย้อนไปดูโพสต์และบทความเดิมๆที่ลงไปครับ  
 
                           เราค่อยๆปล่อยให้(คนที่มี)เชื้อเข้ามาอยู่ในประเทศไม่ใช่เฉพาะแรงงานต่างชาติที่เรา(บังเอิญ)ไปพบนะครับ(อย่าไปโทษเขา) คงยังไม่ลืมว่าก่อนหน้านั้น เราก็พบการติดเชื้อในประเทศอยู่รายสองรายที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ ซึ่งก็เคยเตือนไว้(อีกแล้ว)ว่า มีคนที่มีเชื้อโควิดเดินป้วนเปี้ยนปะปนอยู่กับเราอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่เคยสืบสวนโรคให้ลงไปถึงผู้ที่แพร่เชื้อจริงๆ เป็นคนที่ 0 ได้ โชคดีที่ช่วงนั้น สภาพอากาศยังไม่ถึงจุดพอเหมาะให้เชื้อแพร่กระจายหรือระบาดได้ง่าย
 
                          ระบาดวิทยาของโรคนั้นไม่ใช่เรื่องของการแพทย์(ที่มัวแต่จะคิดว่า เอาอยู่) หรือของวิทยาศาสตร์(ที่ชื่นชมภูมิใจว่า รู้มากรู้ดีขึ้นแล้วมียามีวัคซีน) แต่มันเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์ที่มีส่วนร่วมด้วยเป็นอย่างมากเพื่อให้เข้าใจการระบาดแต่ละครั้ง แต่ละที่ แต่ละหน แม้จะเกิดระบาดในประเทศเดียวกัน แต่ต่างที่ต่างเวลาก็จะไม่เหมือนกันครับ .น่าเสียดายที่การตรวจเชิงรุกของกระทรวงสาธารณสุขในที่พักแรงงานต่างชาติล่าสุดตั้งเป็นพันกว่ารายนั้นไม่ได้ข้อมูลทั้งเรื่องการแพร่ระบาดและเรื่องระบาดวิทยาของชุมชนที่อยู่กันในลักษณะเช่นนั้นเลย แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ระบบการตรวจ ติดตามและสืบสวนโรคของประเทศไทยและระบบ อสม.นั้นดีที่สุดในโลก(ดูจากผลการจัดการกับการระบาดครั้งแรก) และในครั้งนี้ก็ยิ่งรวดเร็วไปกว่าก่อนอีก ส่วนจะเอาอยู่แค่ไหนต้องรอดู
 
                         ในครั้งแรกเรามีsuper spreading event ใหญ่ๆครั้งเดียวในสนามมวยที่รู้และเห็นคนเข้าออกได้หมด และจุดเล็กๆในผับที่ก็พอตามได้ หลังจากนั้นจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ปล่อยคนออกต่างจังหวัด อสม.จับตัวติดตามได้หมด..แต่คราวนี้ มีจุดใหญ่ที่ตลาดกลางกุ้ง แล้วถูกปล่อยเป็นคลื่นเล็กๆ ไปหลายจุดหลายที่ หลายแห่งเป็นตลาดที่มีคนผ่านเข้าออกมาก บางแห่งเป็นที่ผิดกฎหมายหาตัวยากจึงทำให้มาตรการติดตามนั้น ไม่เฉียบขาด ไม่ชัดเจน และไม่เด็ดขาดเท่าครั้งแรก ไม่กล้าปิดที่อโคจรที่ถูกกฎหมาย..ด้วยความเข้าใจว่า เกรงใจเศรษฐกิจและเงินในกระเป๋าประเทศครับ
 
                       โคโรนาไวรัสเป็น RNA virus ครับ คือในเซลล์มันจะมีแต่ RNA ไม่มี DNA ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสิ่งมีชีวิตในการถ่ายทอดพันธุกรรม(เรียกได้ว่ามันเป็น incomplete life form หรือ lowest life formเลยครับ)ดังนั้น การถ่ายทอดพันธุกรรมของมันจะสมบูรณ์ได้ไม่ง่ายนัก(มันมีการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมตลอดเวลาแต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่ารหัสพันธุกรรมที่เปลี่ยนไปส่งผลให้เกิดกลายเป็นพันธุ์ใหม่-new strain) ต้องอาศัยเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่นๆในการขยายพันธุ์และถ่ายทอดพันธุกรรม และนี่เป็นคุณสมบัติที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า จะทำให้มันกลายพันธุ์ได้ง่ายและบ่อย และจึงปรากฏอย่างที่เราทราบกัน หนึ่งปีผ่านไป มันเปลี่ยนรหัสพันธุกรรมไปแล้วหลายรุ่นหลายครั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คาดการณ์ไม่ได้ วัคซีนอาจจะครอบคลุมได้หมดหรือได้บ้างก็ต้องรอดูกันไป 
สำหรับผม สิ่งที่จะช่วยในการต่อสู้กับโรคนี้ให้ได้ผลในทางปฏิบัติได้ดีคือ

๑) การมีการตรวจที่ง่ายและได้ผลเร็วทันที และการตรวจนั้นต้องมีความไวสูง (คือถ้าใครมีหรือติดเชื้อจริง ต้องตรวจพบทุกรายโดยยอมให้มีผลบวกลวงได้บ้าง) สามารถตรวจพบโดยที่ผู้ติดเชื้อยังไม่มีอาการได้ยิ่งดี

๒)ยาต้านไวรัสที่ได้ผลดี และสามารถให้กับผู้ติดเชื้อได้ง่ายด้วยการรับประทาน
 
                              สองอย่างนี้ประกอบกัน ร่วมกับการให้วัคซีนในวงกว้าง(ซึ่งผมว่ายังอีกนาน) อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงจะทำให้เราสามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติได้ ซึ่งคาดว่าไม่ต่ำกว่า สองปี(อย่างเร็ว)ล่ะครับ แต่ถ้ามีวัคซีนเจนเนอเรชั่นแรกให้ใช้กันทั่วไป ภายในปลายปีหน้า ฤดูหนาวหน้า การระบาดก็คงจะเบาลง ..อย่าลืมว่า ที่ยุโรปและอเมริกา เขาจะหนาวมากกว่าเราอีกและหนาวหนักขึ้นในสองสามเดือนหน้า นะครับ ดังนั้น ถ้ายังไม่มีวัคซีน การระบาดในแถบนั้นจะสูงขึ้น แต่ถ้าวัคซีนได้ผล การระบาดในแถบนั้นจะดีขึ้น
 
                              ณ เวลานี้ ยุโรปและอเมริกาเริ่มใช้วัคซีนกันแล้ว(จากเหตุนี้รอดูฝรั่งเป็นหนูทดลองให้เราบ้าง ) ของเราไม่ต้องรีบเลยครับ กว่าจะได้วัคซีนการระบาดในประเทศก็ไม่เร็วกว่ากลางปีซึ่งการระบาดเราจะดีขึ้นเองอยู่แล้ว (หวังว่าจะเดาถูกนะครับ.ขอให้ระบาดแค่ในบ่อน และในที่อโคจรที่ผิดกฎหมายเท่านั้น ) .ผมคาดว่า น่าจะค่อยๆดีขึ้นใน 4-6 สัปดาห์จากนี้ เว้นแต่จะมีจุดแพร่หนักๆ (super spreading place ) อีก
 
โดยสรุป ตามความเห็นส่วนตัว (ผมยังหาหลักฐานทางวิชาการมายืนยันไม่ได้ทุกมุมมอง) คือ

๑) การระบาดครั้งนี้น่ากังวลน้อยกว่าคราวแรก แต่จะพบคนติดเชื้อมากขึ้นเพราะการตรวจไวขึ้น ทั่วถึงขึ้นและคนที่สัมผัสใกล้ชิดคนมีเชื้อเข้าใจมากขึ้นในการยอมเข้ามาตรวจ (เว้นแต่พวกติดจากสถานที่ผิดกฎหมายซึ่งน่าห่วงว่าจะยอมมาตรวจไหม) ในขณะเดียวกัน จะมีคนมีอาการหนักและเสียชีวิตน้อยลง เพราะความเข้าใจทางการแพทย์ในวิธีและจังหวะการรักษา ร่วมกับความเข้าใจในการป้องกันคนที่มีความเสี่ยงที่จะอาการหนัก อย่างเช่นผู้สูงอายุ

๒) วัคซีนไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ป้องกันตัวเองอย่างมีสติในการใช้ชีวิตจะดีที่สุด โดยไม่ต้องเครียดเกินเหตุ.....ใส่หน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง เลี่ยงที่อโคจร

๓) ครั้งนี้ การหยุดระบาดอาจจะช้ากว่าครั้งแรกเพราะมาตรการไม่เฉียบขาด ไม่ชัดเจนและจริงจังเท่าครั้งแรก ด้วยความที่เราไม่แข็งแรง(ทางเศรษฐกิจ)เท่าเดิม และการสร้างเสริมความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจแบบพอเพียงทำได้ช้าเกิน (จากวิธีการทำงานและคิดในระบบราชการไทย)

๔) เราจะยังคงไม่มีข้อมูลการแพร่ระบาดและระบาดวิทยาของเจ้าโควิดนี้ในประเทศไทยต่อไป....เอวัง
 
นิธิ มหานนท์
เลขาธิการราชวิทยาลัยจุ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุ

 
๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๑๖.๓๐น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 29, 2020, 01:07:44 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #168 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2020, 01:13:40 PM »

A Tale of Two Countries
เรื่องเล่าจากสองประเทศที่คงกลายเป็นตำนาน

ความแตกต่างระหว่างไทยกับสหรัฐในการเตรียมตัวรับมือกับโคโรน่าไวรัสเมื่อตอนโรคเริ่มระบาด เมื่อราชสีห์ไม่ฟังหนู

วอชิงตันโพตส์รายงานวันนี้บนหน้าแรกเปรียบเทียบการทำงานของ CDC ในสหรัฐกับกลุ่มแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย โดยรายงานผลการสืบสวนจากการสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐกว่า 30 คนและโดยการอ่านเอกสารข้อมูลภายในของ CDC ในสหรัฐ และนำข้อมูลมาเปิดเผยว่าอะไรคือความผิดพลาดในชั้นต้นของ CDC ที่นำมาสู่หายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดของสหรัฐตั้งแต่เป็นประเทศมา

วันนี้ไทยดังเป็นพลุ

บทความนี้ยาวหน่อย เพราะอธิบายทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยและในสหรัฐ ส่วนของไทยจะแปลละเอียดหน่อย ส่วนของสหรัฐจะสรุปคร่าวๆ

เมื่อไวรัสเริ่มระบาดที่หวู่ฮั่น หมอและโรงพยาบาลในสหรัฐต่างรอชุดตรวจโรคจาก CDC

วันที่ 13 ม.ค. WHO ได้เปิดเผยสูตรวิธีทำชุดตรวจต่อสาธารณะ (สูตรนี้ WHO ได้มาจากเยอรมันนี) เพียงในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยสามารถใช้สูตรนี้ทำชุดตรวจขึ้นเพื่อนำไปใช้งาน แต่ทำไม CDC ในสหรัฐใช้เวลาอีก 46 วันหลังจากนั้นกว่าจะมีชุดตรวจ? ผลคืออะไร?

CDC ถือกำเนิดในปีพ.ศ. 2489 โดยเติบโตขึ้นจากการเป็นองค์กรเล็กๆที่ต่อสู้โรคมาเลเรียทางใต้ของสหรัฐ กลายเป็นองค์กรเพื่อการต่อสู้กับโรคอื่นๆทั่วโลก  สำนักงาน CDC ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนอกสหรัฐอยู่ในกรุงเทพ ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกนอกสหรัฐที่ CDC เข้ามาจัดตั้งโปรแกรมด้านระบาดวิทยาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2523 เพื่อช่วยในการฝึกฝนอบรมบุคลากรด้านการวิเคราะห์สืบสวนโรคระบาด CDCในไทยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นนักระบาดวิทยา ผู้เชี่ยวชาญในแล็ป และผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆรวมประมาณ 170 คน

ไทม์ไลน์

ในช่วงต้นเดือนม.ค. แพทย์ไทยในกรุงเทพเริ่มกังวลกับการระบาดในหวู่ฮั่นซึ่งอยู่ห่างจากไทยไม่ถึง 7 ชั่วโมงบิน และเริ่มวางกลยุทธ์เตรียมตัวรับมือกับภัยคุกคามจากไวรัส โดยทำงานร่วมกับ CDC ในไทยอย่างใกล้ชิด แพทย์ไทยยังได้เรียนรู้จากนักวิทยาศาสตร์จากหลายที่เกี่ยวกับพันธุกรรมของโคโรน่าไวรัสมากพอที่จะเริ่มพัฒนาชุดตรวจสำหรับใช้ในโรงพยาบาล ซึ่งซุดตรวจแบบแรกของไทยเป็นการตรวจแบบ Real-time Polymerase Chain Reaction หรือ RT-PCR ถึงวันที่ 12 ม.ค. ไทยใช้ชุดตรวจแบบแรกนี้คอนเฟริ์มเคสแรกของโลกนอกประเทศจีน  ในวันเดียวกันนั้น จีนโพสต์ genetic sequence ของโคโรนาไวรัสในอินเทอร์เน็ต ในวันรุ่งขึ้น - 13 ม.ค. WHO แชร์โปรโตคอลการตรวจต่อสาธารณะ ซึ่งก็คือสูตรที่ระบุวัสดุที่จำเป็นในการทำชุดตรวจ นักวิทยาศาสตร์ไทยใช้โปรโตคอลดังกล่าวในการสร้างชุดตรวจแบบที่สอง และทำได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้รับข้อมูลจากWHO การ "มีมากกว่าหนึ่ง" นี้จะกลายเป็นต้นแบบในการพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสในที่สุด หมอ Anthony Fauci ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของสหรัฐมักกล่าวเทียบแนวทางกลยุทธ์นี้กับฟุตบอลว่า “การยิงประตูต้องยิงหลายๆครั้ง” (ถึงจะเข้า)

แนวทางนี้ให้ผลตอบแทนทันทีต่อประเทศไทย

คุณหมอ ผศ. กฤต พงศ์พิรุฬห์ นักวิจัยและแพทย์ด้านระบาดวิทยาจากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กล่าวทางอีเมลกับวอชิงตันโพสต์ว่า “เราไม่ได้อาศัยเทคนิคการตรวจเพียงอย่างเดียวจากแล็ปเพียงแห่งเดียว” จากการใช้สูตรของ WHO เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทยพบผู้ป่วยรายอื่นภายในไม่กี่วันหลังจากนั้น รวมถึงคนขับแท็กซี่คนไทยที่ไม่เคยไปหวู่ฮั่น คุณหมอกฤตและเพื่อนร่วมงานสงสัยว่าเขาติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวชาวจีน เจ้าหน้าที่ไทยติดตามสืบตัวผู้มีความใกล้ชิดกับคนขับแท็กซี่และพบว่ามีผู้ติดเชื้อคนอื่น ทำให้ไทยสามารถแยกตัวผู้ติดเชื้อออกเพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจายได้โดยเร็ว

หนึ่งในผู้ติดเชื้อในเคสนี้ที่ไทยเป็นแบบไม่มีอาการ - นี่เป็นการเตือนล่วงหน้าแก่ชาวโลกว่าการแพร่เชื้อชนิดนี้เป็นไปได้แม้จากผู้ที่ไม่มีอาการ
ถึงสิ้นเดือนม.ค.ไทยพบผู้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 จำนวน 11 ราย คุณหมอกฤตอธิบายรายละเอียดไว้ในอีเมลและในวารสาร Emerging Infectious Diseases ของ CDC (ลิงค์ข้างล่าง) ผู้เขียนบทความนี้มีทั้งหมด 12 คน และ 4 คนในจำนวนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญของ CDC โดยสามคนอยู่ในกรุงเทพและอีกคนในแอตแลนตา

“การมีชุดตรวจ RT-PCR ในช่วงแรกช่วยลดการแพร่เชื้อและช่วยชีวิตคนได้อย่างแน่นอน” หมอกฤตกล่าวกับวอร์ชิงตันโพสต์ทางอีเมล

นักวิทยาศาสตร์ไทยได้แบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและความสำเร็จขั้นต้นกับสำนักงานใหญ่ของ CDC โดยทันที มีการประชุมทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ระหว่างบุคลากรของ CDC ในกรุงเทพและสำนักงานใหญ่ในแอตแลนตา

นายแพทย์ John R. MacArthur ผู้อำนวยการของ CDC ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2556 กล่าวว่าเมื่อการทดสอบ PCR ยืนยันเคสแรกที่กรุงเทพ “ผมติดต่อกับผู้นำของ CDC ในแอตแลนตาทันทีเพื่อแจ้งให้พวกเขาทราบว่าเกิดอะไรขึ้น” แต่อนิจจา สำนักงานใหญ่ CDC ไม่นำกลยุทธ์ด้านการทำชุดตรวจและข้อมูลอื่นๆจากไทยที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในไทยมาใช้ในสหรัฐ ผลของการที่สามารถตรวจคนได้ตั้งแต่เมื่อโรคเริ่มระบาดทำให้ไทย ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นมีอัตราการเสียชีวิตจากโคโรน่าไวรัสเพียง 2 คนในแสนคน สถิติอัตราความตายของสหรัฐเวลานี้คือ 91 คนในแสนคน

สรุปด้านสหรัฐ - แล้วทำไม CDC ในสหรัฐถึงได้ล้มเหลวในการรับมือกับไวรัสด้านการตรวจในตอนแรก

1) ประมาทอย่างร้ายแรง เมื่อตอน SARS ระบาด สหรัฐไม่มีผู้ป่วยเลย, เมื่อตอน MERS ระบาด สหรัฐมีผู้ป่วยสองคน รอดทั้งคู่ เลยให้ความสำคัญโคโรน่าไวรัสต่ำมาก หมอ Nancy Messonnier ผู้อำนวยการศูนย์โรคทางเดินหายใจของ CDC กล่าวว่า "เป็นไปได้ที่เราจะมีโคโรน่าไวรัสอย่างน้อยหนึ่งเคสในสหรัฐ"

2) ไม่พ้น Management Decision...ความผิดพลาดในการตัดสินใจของผู้บริหารขั้นสูงของ CDC สหรัฐ วอชิงตันโพสต์ใช้คำว่า "หยิ่งยโสอหังกา" กับทัศนคติของ CDC - สูตรได้จาก WHO มีในมือแต่ไม่ใช้ ตัดสินใจทำเอง ข้าเก่ง ข้าแน่ ข้าคือCDC ค้นคว้าเอง ทำเองได้ - แพทย์และผู้เชื่ยวชาญในสหรัฐลงความเห็นในเวลานี้ว่า สิ่งที่สหรัฐควรทำตอนนั้นคือใช้สูตรของ WHO ไปก่อน แล้วในเวลาเดียวกันก็ค่อยพัฒนาสูตรของตัวเองเพิ่มขึ้น ใช้กลยุทธ์ "มากกว่าหนึ่ง" แบบไทย ซึ่งฟังดูแล้วน่าจะเป็น common sense

3) ดูแลการผลิตไม่ดี เกิดปัญหาในการผลิตชุดตรวจในแล็ปของ CDC ชุดตรวจบางส่วนไม่เวิร์คเพราะมีสารปนเปื้อน

4) ไม่ตรวจการบ้านตัวเองก่อนส่ง ทำชุดตรวจเสร็จแล้วส่งไปตามรัฐต่างๆ เจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนค้นพบว่าสิ่งที่ CDC ส่งมาใช้ตรวจไม่ได้

5) ระบบรัฐการที่เงอะงะ มะงุมมะงาหรา ระหว่าง CDC กับ FDA (ซึ่งมีหน้าที่อนุมัติชุดตรวจของ CDC) FDA ออกกฏที่ทำให้เสียเวลามากในตอนแรก

6) เอาการเมืองมายุ่มย่ามกับการแพทย์และวิทยาศาสตร์ เริ่มด้วยการเอาหมอ Robert Redfield  ซึ่งไม่มีประสบการณ์บริหารองค์กรมาก่อนเลยไม่ว่าระดับไหน มาเป็นผู้อำนวยการ CDC ซึ่งใหญ่และซับซ้อน ไม่ขอพูดมากกว่านี้ครับ เจ็บคอ ผู้อำนวยการคนใหม่จะเริ่มงานเดือนหน้า หวังว่าคงดีขึ้น

7) ไม่ฟังคำเตือนและรายงานผลจากไทย ทั้งๆที่ส่วนหนึ่งของผู้รายงานก็เป็นผู้บริหารระดับสูงของ CDC เอง

เสียเวลาให้ไวรัสไป 46 วัน ระหว่างนั้นแทบไม่มีการตรวจ ไวรัสเลียปาก


จากความผิดพลาดครั้งนี้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CDC ที่ถูกย้ายและเชิญออกอย่างเงียบๆหลายราย CDC กำลังเขียนรายงานเพื่อเปิดเผยความผิดพลาดของตัวเองต่อสาธารณชน คงได้อ่านในอีกไม่นาน


https://www.washingtonpost.com/investigations/cdc-covid/2020/12/25/c2b418ae-4206-11eb-8db8-395dedaaa036_story.html

https://wwwnc.cdc.gov/eid/article/26/7/20-0598_article

ได้รับความอนุเคราะห์จากพี่ภาคินคนเก่งสุดยอดค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #169 เมื่อ: มกราคม 10, 2021, 05:07:13 PM »

https://mgronline.com/qol/detail/9640000001986

เสร็จสมบูรณ์! “ถนนไกรสีห์” ถนนขนานเส้นบางลำพู แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใกล้ข้าวสาร
เผยแพร่: 9 ม.ค. 2564 11:39   โดย: ผู้จัดการออนไลน์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #170 เมื่อ: มกราคม 26, 2021, 10:49:17 PM »

https://www.thansettakij.com/content/strategy/465871?as=

ซีอีโอดุสิตธานี เปิดครัว บ้านดุสิตธานี ขายไข่เจียว โจ๊ก 40 บาทช่วยฝ่าโควิด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #171 เมื่อ: มกราคม 26, 2021, 11:01:08 PM »

https://news.thaipbs.or.th/content/292672
มีผลแล้ว ราชกิจจาฯ ประกาศจ่ายค่าทำศพผู้สูงอายุคนละ 3 พันบาท

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ่ายค่าจัดการศพตามประเพณีของผู้สูงอายุ คนละ 3,000 บาท

วันนี้ (19 พ.ค.2563) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง การสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี โดยมีรายละเอียดดังนี้

            โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณีให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 11 วรรคหนึ่ง (12) มาตรา 11 วรรคสาม และมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ประกอบข้อ 2 แห่งประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกําหนดหน่วยงานผู้มีอํานาจหน้าที่รับผิดชอบดําเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริมและการสนับสนุนผู้สูงอายุในด้านต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 พ.ศ.2553 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง การสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี”

ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ 3 ให้ยกเลิก

(1) ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี พ.ศ.2557 ลงวันที่ 22 ก.ย.2557

(2) ประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ลงวันที่ 23 ส.ค.2561

ข้อ 4 การสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี หมายถึงการช่วยเหลือเป็นเงินในการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณีรายละ 3,000 บาท

ข้อ 5 การสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณีนั้น ผู้สูงอายุที่ตายต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(1) อายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์ขึ้นไป

(2) สัญชาติไทย

(3) ผู้สูงอายุที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เว้นแต่ผู้สูงอายุที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ยังไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือยังไม่ได้ลงทะเบียน ให้ผู้อํานวยการเขต หรือนายอําเภอ หรือกํานัน หรือผู้ใหญ่บ้าน หรือนายกเทศมนตรี หรือนายกองค์การบริหารส่วนตําบล หรือนายกเมืองพัทยา หรือประธานชุมชน เป็นผู้ออกหนังสือรับรอง ตามแบบที่อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุกําหนดการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณีตามประกาศนี้ให้รวมถึงผู้สูงอายุซึ่งอยู่ในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ สถานสงเคราะห์ สถานดูแล สถานคุ้มครอง หรือสถานใด ๆ ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ดําเนินการในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจัดการศพตามประเพณีโดยมูลนิธิ สมาคมวัด มัสยิด โบสถ์

ข้อ 6 การยื่นคําขอเพื่อขอรับการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี ให้ผู้ที่รับผิดชอบในการจัดการศพตามประเพณีรายนั้นยื่นคําขอในท้องที่ที่ผู้สูงอายุมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหรือภูมิลําเนาในขณะถึงแก่ความตาย ดังต่อไปนี้

(1) กรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคําขอที่สํานักงานเขต

(2) จังหวัดอื่น ให้ยื่นคําขอที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด หรือที่ว่าการอําเภอ หรือสํานักงานเทศบาล หรือที่ทําการองค์การบริหารส่วนตําบล หรือศาลาว่าการเมืองพัทย แบบคําขอรับการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี ให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุกําหนด

ข้อ 7 ผู้ยื่นคําขอรับการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณีตามข้อ 6 ต้องยื่นคําขอภายในกําหนดหกเดือนนับตั้งแต่วันที่ออกใบมรณบัตรพร้อมเอกสาร ดังต่อไปนี้

(1) ใบมรณบัตรของผู้สูงอายุ

(2) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้สูงอายุ หรือหนังสือรับรองตามข้อ 5 (3)

(3) บัตรประจําตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐที่มีรูปถ่ายและเลขประจําตัวประชาชนของผู้ยื่นคําขอ กรณีการจัดการศพตามประเพณีโดยมูลนิธิ สมาคม วัด มัสยิด โบสถ์ ให้แนบหนังสือแสดงการจดทะเบียน หรืออนุญาตให้สร้าง จัดตั้ง หรือดําเนินงานมูลนิธิ สมาคมวัด มัสยิด โบสถ์ด้วย

(4) สมุดบัญชีหรือเลขที่บัญชีธนาคารของผู้ยื่นคําขอ เว้นแต่ประสงค์จะขอรับเงินสดให้ดําเนินการตามระเบียบของทางราชการ

(5) หนังสือรับรองเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการศพตามประเพณี ซึ่งออกโดยบุคคล ตามข้อ 5 (3) หรือหัวหน้าหน่วยงานตามข้อ 5 วรรคสอง สําหรับกรณีผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ ทั้งนี้ ผู้ยื่นคําขอและผู้รับรองต้องไม่เป็นบุคคลเดียวกัน แบบหนังสือรับรองให้เป็นไปตามที่อธิบดี กรมกิจการผู้สูงอายุกําหนด

ข้อ 8 การอนุมัติจ่ายเงินสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณี

(1) กรุงเทพมหานคร ให้ผู้อํานวยการเขตเป็นผู้มีอํานาจอนุมัติ

(2) จังหวัดอื่น ให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเป็นผู้มีอํานาจอนุมัติ

ข้อ 9 ในกรณีผู้ที่มีคุณสมบัติและได้ยื่นคําขอเพื่อรับการสงเคราะห์ในการจัดการศพตามประเพณีถูกต้องตามประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง กําหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนการสงเคราะห์

ในการจัดการศพตามประเพณี พ.ศ.2557 ลงวันที่ 22 ก.ย.2557 ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติและได้ยื่นคําขอดังกล่าวถูกต้องตามประกาศนี้

ข้อ 10 ในกรณีมีปัญหาข้อขัดแย้งในการปฏิบัติตามประกาศนี้ ให้ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด

ประกาศ ณ วันที่ 25 มี.ค.2563 จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


จาก Thai PBS NEWS
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #172 เมื่อ: มีนาคม 13, 2021, 07:42:15 AM »

ไข่ไก่ : กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ ตัด สารโคเลสเตอรอล ออกจากบัญชีสาร ที่ประชากรสหรัฐฯ ต้องระมัดระวังแล้ว โดยกล่าวว่า ผลการวิจัย ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง สารโคเลสเตอรอล ในอาหารที่เราบริโภค กับโคเลสเตอรอลในเลือดซึ่งร่างกายเราสร้างขึ้นมาเอง
สรุปกินไข่ได้มากกว่า 1 ฟองต่อวัน
สำหรับวัยไม่เกิน 50 กินได้วันละ 6 ฟอง
คนอายุ 80 กินวันละ 2 ฟอง ป้องกันอัลไซเมอร์ 

http://www.forbes.com/sites/fayeflam/2015/02/12/why-eggs-and-other-cholesterol-laden-foods-pose-little-or-no-health-risk/

คุณประโยชน์ 10 ประการของไข่ไก่:

1. ไข่เป็นอาหารที่ดี สำหรับดวงตา ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานไข่วันละฟอง อาจจะช่วยป้องกัน โรคจอประสาทตาเสื่อม จากสารคาโรทีนอยด์ที่อยู่ในไข่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูทีน (lutein) และซีแซนทีน (zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารที่พบบริเวณตา โดยฉาบอยู่บนผิวของ เรตินา เพราะร่างกายจะได้รับ สารอาหารทั้งสองอย่างนี้โดยตรงจากไข่มากกว่าอาหารชนิดอื่น

2. ไข่ทำให้เป็นต้อกระจก น้อยลง จากคนที่กินไข่ทุกวัน มีความเสี่ยงที่จะเป็น ต้อกระจกน้อยลง อันเนื่องมาจาก ลูทีน และ ซีแซนทีน ในไข่ดังได้กล่าวมาแล้ว

3. ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน โดย 1 ฟอง จะมีโปรตีนคุณภาพดี 6 กรัม และกรดอะมิโนสำคัญอีก 9 ชนิด

4. ผลการทำวิจัยโดย มหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด  พบว่า การบริโภคไข่เป็นประจำยังช่วยป้องกัน เลือดจับตัวเป็นก้อน เส้นเลือดอุดตันในสมอง และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

5. ไข่เป็นแหล่งโคลีน ที่ดีในกลุ่มของ วิตามินบี ช่วยในการควบคุมการทำงานของสมอง ระบบประสาท และระบบไหลเวียนของเลือด โดยไข่ 1 ฟอง จะมีโคลีน มากถึง 300 ไมโครกรัม

6. ไขมันในไข่ มีคุณภาพดี ไข่ 1 ฟอง มีไขมันอยู่ 5 กรัม และมีเพียง 1.5 กรัมเท่านั้น ที่เป็นไขมันชนิดอิ่มตัว

7. แม้ว่าจะขัดแย้งกับความเชื่อเดิมๆ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่ กลับพบว่า การบริโภคไข่วันละ 2 ฟอง เป็นประจำ  ไม่มีผลกระทบต่อระดับไขมันในร่างกาย มิหนำซ้ำอาจจะช่วยทำให้ไขมันดีขึ้น

8. กินไข่ได้วิตามินดี เพราะไข่เป็นอาหารเพียงชนิดเดียว ที่เป็นแหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติ

9. ไข่อาจจะช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานไข่ 6 ฟองต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านมลง ร้อยละ 44

10. ไข่ทำให้ เส้นผม และ เล็บ มีสุขภาพดี เพราะว่าไข่มี ซัลเฟอร์ สูง รวมถึงยังมีวิตามิน และแร่ธาตุอีกหลายชนิด หลายคนจึงพบว่าผมยาวเร็วขึ้น หลังจากที่เพิ่มไข่เข้าไปในอาหารที่รับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เคยขาดอาหารที่มี ซัลเฟอร์ หรือ วิตามินบี 12 มาก่อน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #173 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 02:17:10 PM »

ราชบัณฑิตยสภา ยืนยัน "กรุงเทพ​มหานคร" ใช้ได้ทั้ง “Krung​Thep​ Maha​ Nakhon​“ และ  ”Bangkok” ครับ …

หลังปรากฎกระแสข่าว ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้(15 ก.พ.)  มีมติเห็นชอบตามที่ ราชบัณฑิตยสภา ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศ ดินแดน และเมืองหลวงใหม่ ให้ถูกต้องและชัดเจน โดยเมืองหลวงของประเทศไทย ให้แก้ไขจาก ‘Bangkok’ เป็น ‘Krung Thep Maha Nakon’

กระแสข่าวระบุว่า ครม.เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดนเขตการปกครอง และเมืองหลวง ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 และให้ใช้ประกาศสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง ลงวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564 รายละเอียดดังนี้

ปรับปรุงแก้ไขการกำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง เช่น ชื่อภาษาอังกฤษเมืองหลวงของประเทศไทย ให้แก้ไขจาก ‘Bangkok’ เป็น ‘Krung Thep Maha Nakhon (Bangkok)’ โดยเก็บชื่อเดิม (Bangkok) ไว้ในวงเล็บ

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมชื่อเมืองหลวงอื่นๆ  เช่น

เมืองหลวงของมาเลเซีย เพิ่มชื่อ ‘กัวลาลุมปูร์’ นอกเหนือจากชื่อเดิมคือ ‘กัวลาลัมเปอร์’

เมืองหลวงของเยอรมนี เพิ่มชื่อ ‘แบร์ลีน’ นอกเหนือจากชื่อเดิมคือ ‘เบอร์ลิน’

เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ เพิ่มชื่อ ‘แบร์น’ นอกเหนือจากชื่อเดิมคือ ‘เบิร์น’

เมืองหลวงของเวียดนาม เพิ่มชื่อ ‘ห่าโหน่ย’ นอกเหนือจากชื่อเดิมคือ ‘ฮานอย’

เมืองหลวงของอิตาลี เพิ่มชื่อ ‘โรม่า’ นอกเหนือจากชื่อเดิมคือ ‘โรม’

"กรุงเทพ​มหานคร" ใช้ได้ทั้ง Krung​Thep​ Maha​ Nakhon​ และ​ Bangkok

ล่าสุด ราชบัณฑิตยสภา ชี้แจงว่า "กรุงเทพ​มหานคร" ใช้ได้ทั้ง “Krung​Thep​ Maha​ Nakhon​“ และ”Bangkok”

สำนักงานราชบัณฑิตยสภาโดยคณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมชื่อภูมิศาสตร์สากลได้ปรับปรุงแก้ไขการกำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง ให้ถูกต้องและชัดเจน โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชาจากกระทรวงการต่างประเทศร่วมพิจารณาด้วย เพื่อให้ส่วนราชการนำการกำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครองและเมืองหลวงดังกล่าวไปใช้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง แล้ว จะอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ประกอบกับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนดำเนินการต่อไป

ส่วนคำว่า  "กรุงเทพ​มหานคร" ยังคงใช้ว่า “Krung​Thep​ Maha​ Nakhon​“ หรือ ”Bangkok” ได้เช่นเดิม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 10 11 [12]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: