Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 3 [4]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกษาการลงทุน  (อ่าน 12432 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #45 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2010, 09:36:48 PM »

มาศึกษาที่นี่ ท่าทางได้รู้ศัพท์ที่คุย ๆ กันบ้าง อ่านกระทู้อื่น ๆ ไม่ค่อยจะเกจ ฝากตัวด้วยค่ะ
ยินดีจ้ะ ไม่ใช่ยิ่งอ่านยิ่งมืนเหมือนยัยเอ็มนะ Grin
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
siamza16
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #46 เมื่อ: มีนาคม 17, 2010, 07:24:47 PM »

มาอ่านด้วยครับ ได้ความรู้บ้างๆก็ดีครับ
บันทึกการเข้า
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #47 เมื่อ: เมษายน 27, 2010, 02:15:35 PM »

ngoodin
ผู้นำชุมชน
แฟนพันธุ์แท้

 ออนไลน์

กระทู้: 2754


    Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน
« ตอบ #16841 เมื่อ: เมษายน 25, 2010, 05:54:01 pm »  

--------------------------------------------------------------------------------

เอามาฝากเพื่อนๆ ครับ สำหรับธรรมชาติของกองทุน k-oil
เนื่องจากทุกวันที่ 20 ของเดือน กองทุน dbo ซึ่งเป็นกองทุนหลักจะต้องเปลี่ยนสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า ทำให้ nav ของกองทุนลดลง แม้ว่าในวันดังกล่าวราคาน้ำมันดิบ wtic จะเพิ่มขึ้นก็ตาม

ดังนั้น จึงส่งผลให้ nav ของ k-oil ลดลงในช่วงวันที่ 19-21 ของเดือน ซึ่งเท่าที่จับดูจะเป็นเช่นนี้แทบจะทุกเดือนทีเดียว

ดังนั้น เพื่อน ๆ ที่ซื้อแล้วถือยาว ๆ อย่างคุณ MORLEK จึงได้กำไรไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะพอถึงวันที่ 19-21 ทีไร nav จะลดลงทุกที บางทีลงเยอะถึง 1-2% อย่างเช่นเดือนนี้เป็นต้น

จึงควรมีหลักว่า หากซื้อไว้แล้ว พอถึงประมาณวันที่ 18-19 ควรพิจารณาขายออกทำกำไรเสมอ จะออกทั้งหมดหรือบางส่วนก็แล้วแต่ แล้วค่อยรับใหม่วันที่ 20-21 ซึ่งจะทำให้ได้ต้นทุนต่ำลง ไม่ควรถือข้ามเดือนครับ

หลักนี้อาจนำไปใช้กับกองทุนน้ำมันอื่น ๆ ที่ใช้ dbo เป็นกองทุนหลักได้ด้วย แต่ผมไม่ได้เล่นกองทุนอื่นจึงไม่ได้ดูค่า nav มาให้ว่าจะเป็นแบบ k-oil หรือไม่ เพื่อน ๆ ลองพิจารณาดูนะครับ
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #48 เมื่อ: พฤษภาคม 13, 2010, 11:05:51 AM »

Chicken Little
แฟนพันธุ์แท้

 ออฟไลน์

กระทู้: 368



    Re: การลงทุนอย่างพอเพียง ในตลาดทุน
« ตอบ #1880 เมื่อ: พฤษภาคม 12, 2010, 10:24:48 am »   

--------------------------------------------------------------------------------

K-oil
ต้องดูค่า NAV. ปิดของ กองทุน DBO ครับ
เพราะไปลงทุนผ่านกองทุนนี้อีกครั้ง
ดูย้อนหลังได้ที่
http://finance.yahoo.com/q/hp?s=DBO
ซึ่ง วันที่ 6 กองทุน DBO NAV.ต่ำกว่าวันที่ 10
6/5/2010   DBO = 26.76 USD = 84.85
10/5/2010  DBO = 27.11 USD = 84.20
ผลคือ ค่า NAV. k-oil ของวันที่ 10  ยังไงก็ต้องสูงกว่าวันที่ 6
ปล.สังเกตุค่าเงิน USD ด้วยนะครับ
และการปิดสัญญาส่งมอบของกองทุน DBO ประมาณทุกวันที่ 20 (แล้วแต่จะติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มั้ย)
จะมีผลต่อค่า NAV. ในเดือนต่อมาด้วยครับ สนใจจุดนี้นิดนะ จะได้วางแผนได้มีประสิทธิภาพครับ ^ ^
 
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
Piya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2



« ตอบ #49 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2010, 11:49:11 AM »

รบกวนสอบถามพี่ๆค่ะ
ค่า nav ที่เพิ่ม สมมุติ set 50 วันนี้ 514.00 วันรุ่งขึ้น 520.00 ถ้าลงทุนใน
tmbset50 ค่า nav เพิ่มเท่าไหร่คะ ขอบพระคุณค่ะ
 Wink Wink Wink
บันทึกการเข้า
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #50 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2010, 04:48:38 PM »

รบกวนสอบถามพี่ๆค่ะ
ค่า nav ที่เพิ่ม สมมุติ set 50 วันนี้ 514.00 วันรุ่งขึ้น 520.00 ถ้าลงทุนใน
tmbset50 ค่า nav เพิ่มเท่าไหร่คะ ขอบพระคุณค่ะ
 Wink Wink Wink


ใครเล่น tmb ตอบน้องเขาหน่อยเน้อ
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
patcha
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 212


« ตอบ #51 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2010, 08:15:18 PM »

รบกวนสอบถามพี่ๆค่ะ
ค่า nav ที่เพิ่ม สมมุติ set 50 วันนี้ 514.00 วันรุ่งขึ้น 520.00 ถ้าลงทุนใน
tmbset50 ค่า nav เพิ่มเท่าไหร่คะ ขอบพระคุณค่ะ
 Wink Wink Wink

ไม่ได้เล่นของ TMB เลยมีแต่ Nav ของ K-Set 50 กับราคาปิดของ Set 50   ในแต่ละวัน แต่คิดว่าน่าจะมีข้อมูลย้อนหลังของค่า ที่เวปของ TMB นะค่ะ เอาราคาปิดแต่ละวันไปก่อนแล้วน้องไปหาค่า Nav จาก TMB มาเติมนะค่ะ
วันที่ 17/5/2010       ราคาปิด   527.44    -11.64      Nav…?....
วันที่ 18/5/2010       ราคาปิด   532.13    + 4.69
 วันที่ 19/5/2010       ราคาปิด   536.16    - 5.97
วันที่ 24/5/2010       ราคาปิด   519.39    -16.77
วันที่ 25/5/2010       ราคาปิด   502.71    -16.68
วันที่ 26/5/2010       ราคาปิด   508.13    + 5.42
วันที่ 27/5/2010       ราคาปิด   514.05    + 5.92
วันที่ 31/5/2010       ราคาปิด   524.14    +10.09

ถ้าเป็น K-Set 50  สมมุติซื้อที่ 502.71 ขายที่ประมาณ 514.05   +11.34 จุด  กำไรจะอยู่ที่ประมาณ 1.75% ได้กำไรเท่าไหร่เอาตังค์..อุ๊ยไม่ใช่ เอาข้อมูลมาแบ่งปันกันด้วยนะค่ะของ TMB
บันทึกการเข้า
patcha
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 212


« ตอบ #52 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2010, 11:27:13 PM »

พอดีเห็นน้องเค๊าถามเรื่อง TMB Set-50 ทำให้สงสัยว่าผลกำไรเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ธนาคารไหนจะได้เยอะกว่า เลยเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกันดู ว่าลงทุนเท่ากัน ซื้อวันเดียวกัน แล้วก้อขายคืนวันเดียวกัน ปรากฏว่า K Set-50 ที่เล่นอยู่ได้กำไรน้อยสุด  Undecided(เป็นงั้นไป) เห็นข้อมูลน่าสนใจดีเลยเอามาแปะไว้ที่นี่ด้วยเผื่อมีประโยชน์กะนักลงทุนท่านอื่นๆ
ลงทุนที่10,000 บาท    ซื้อ 25/5/2010 (502.71)          ขาย 27/5/2010 (514.05)
                           Offer            Unit(ที่ได้)         Bid           % Profit
K Set-50             12.5545         796.5271       12.7746        1.7532
TMB Set-50         36.6967         272.5041       37.4093        1.9419
AYFENSet 50         9.4890       1053.8518        9.6776         1.9876     
SCB Set Index       7.7876       1284.0926       --- สถานะ รอประกาศ----                       

แต่ปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อกำไร-ขาดทุนว่าแต่ธนาคารแตกต่างกันยังไงยังไม่มีข้อมูล เพราะ Set-50 พัชลงทุนใน Kbank ที่เดียว  ส่วนของ SCB Set Index ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนยังไม่มีออกมา แล้วจะมาเพิ่มวันหลังนะคะ
ส่วน Nav ได้มาจาก   http://www.thaimutualfund.com/AIMC/aimc_navSearchResult.jsp   
บันทึกการเข้า
patcha
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 212


« ตอบ #53 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2010, 02:19:22 AM »

 Smiley มาแล้วค่ะ ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนของวันที่ 31/5/2010 ลองเอากองทุนที่ซื้อไว้เมื่อวันที่ ซื้อ 25/5/2010 มาขายวันที่ 31/5/2010 ลองดูบ้างนะค่ะ ซึ่งหุ้นจะขึ้นมาจากวันที่ซื้อ +21.43 จุด

ลงทุนที่10,000 บาท  ซื้อ 25/5/2010 (502.71)          ขาย 31/5/2010 (524.14)
                           Offer            Unit(ที่ได้)         Bid           % กำไร
K Set-50             12.5545         796.5271       13.0280        3.7716
TMB Set-50         36.6967         272.5041       38.1392        3.9309
AYFENSet 50         9.4890       1053.8518        9.8822         4.1437     
SCB Set Index       7.7876       1284.0926        8.0909         3.8946

AY ยังครองแชมป์ส่วน Kbank ยังตามหลังอยู่เหมือนเดิม Cry สงสัยต้องหันกลับมามอง AY ใหม่ซะแล้ว
บันทึกการเข้า
Piya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2



« ตอบ #54 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2010, 11:09:31 AM »

Smiley มาแล้วค่ะ ประกาศมูลค่าหน่วยลงทุนของวันที่ 31/5/2010 ลองเอากองทุนที่ซื้อไว้เมื่อวันที่ ซื้อ 25/5/2010 มาขายวันที่ 31/5/2010 ลองดูบ้างนะค่ะ ซึ่งหุ้นจะขึ้นมาจากวันที่ซื้อ +21.43 จุด

ลงทุนที่10,000 บาท  ซื้อ 25/5/2010 (502.71)          ขาย 31/5/2010 (524.14)
                           Offer            Unit(ที่ได้)         Bid           % กำไร
K Set-50             12.5545         796.5271       13.0280        3.7716
TMB Set-50         36.6967         272.5041       38.1392        3.9309
AYFENSet 50         9.4890       1053.8518        9.8822         4.1437     
SCB Set Index       7.7876       1284.0926        8.0909         3.8946

AY ยังครองแชมป์ส่วน Kbank ยังตามหลังอยู่เหมือนเดิม Cry สงสัยต้องหันกลับมามอง AY ใหม่ซะแล้ว
ขอบคุณ คุณพัชมากๆค่ะ จะเห็นว่า ผลตอบแทน AYFENSET 50 ดีมากๆ แล้วคือตัวไหน ของธนาคารอะไรคะ
เริดดดดด ค่ะ สนใจมากมายค่ะ
บันทึกการเข้า
patcha
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 212


« ตอบ #55 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2010, 12:35:23 PM »

AYFENSet 50 เป็นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาค่ะ แต่คุณPiya ลองเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียอย่างอื่นเปรียบเทียบกันด้วยนะค่ะ เช่นเวลาปิดรับคำสังซื้อขายเพราะบางทีหุ้นบ้านเราในบางวันราคาก้อเหวี่ยงเยอะเหมือนกัน Smiley
บันทึกการเข้า
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #56 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2010, 03:34:25 PM »

 ngoodin 

ขาใหญ่
 
กลุ่ม:
ขาใหญ่ โพสต์:
398 เข้าร่วม:
21-June 10 ที่อยู่กรุงเทพมหานคร โพสต์ วันนี้, 11:22 AM

ได้ความรู้ใหม่จากเวปพันทิพนักรบกองทุน
กราฟสำหรับกองทุนทุกกองทุนพร้อม indy ตอนนี้ผมสบายเลยไม่ต้องมาทำกราฟเองอีกแล้ว สามารถเรียกกราฟจาก nav ของกองทุนได้โดยตรง
เพื่อน ๆ ไปที่นี่เลย
http://mychart.zapto.org/index.php

 
  ngoodin 

ขาใหญ่
 
กลุ่ม:
ขาใหญ่ โพสต์:
398 เข้าร่วม:
21-June 10 ที่อยู่กรุงเทพมหานคร โพสต์ วันนี้, 11:30 AM

การกำหนดสัญญาณซื้อขาย ผมเล่นสั้น จึงจะใช้ ema10 เป็นจุดซื้อขาย
ตัวอย่าง scbaud ราคาตัด ema10 ขึ้นเป็นสัญญาณซื้อแ้ล้ววันนี้ผมเปลี่ยนใจเข้า scbaud เต็มพอร์ตทดลองกราฟใหม่
 

ต่อไปผมจะกำหนดจุดเข้าซื้อขายกองทุนโดยใช้จุดตัดนี้ทุกกองครับ ไม่มีการประเมินจาก set ทองคำ หรือ aud จาก mt4 อีก เพราะการกำหนดจุดเข้าซื้อด้วย nav ของแต่ละกองทุนโดยเฉพาะน่าจะตรงกว่า เมื่อมีเครื่องมือดีอย่างนี้ผมอาจจะลองกลับเข้าเล่น k-oil อีกครั้งก็ได้


 

บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #57 เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2010, 02:30:46 PM »

คาถารวยหุ้น...แบบรายใหญ่ (บทความเก่าๆอ่านแล้วได้ประโยชน์ดี)       

นำมาจาก M&W ฉบับเดือนมี.ค. 50

เสี่ยปู่ “จากเก็งกำไรสู่หุ้นที่มีคุณค่า”

น้อยคนนักจะรู้ว่า “เสี่ยปู่” ก่อนกระโดดเข้ามาในตลาดหุ้น เคยรับราชการอยู่ที่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัว คือ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน

ในปี 2530 เขาตัดสินใจเดินเข้าสู่ตลาดการลงทุนอย่างเต็มตัวด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 5 แสนบาท และทันทีที่เข้ามา เขาก็ได้รับรสชาดคำว่า “ขาดทุน” เมื่อเจอกับวิกฤติการณ์ Black Monday ที่ทำให้เงินหายไปทันที 3 แสนบาท ทำให้เสี่ยปู่ถอนตัวออกจากตลาด

ทว่าเพียงแค่ปีเดียวเสี่ยปู่ตัดสินใจกลับเข้ามานั่งหน้ากระดานหุ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับการมองโลกในแง่ดีต่อการลงทุน และเขาไม่ได้ทำให้ตัวเองผิดหวังเมื่อพอร์ตโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยวิธีการ ลงทุนแบบเก็งกำไร ด้วยการลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด ในที่นี้หมายถึง ถ้าตลาดหุ้นปรับขึ้น 2% แต่หุ้นที่ลงทุนต้องปรับขึ้นมากกว่า อาจจะทยานขึ้น 4%, 5% หรือ 10% หรือตลาดหุ้นปรับลดลง แต่หุ้นที่ตัวเขาลงทุนกลับสวนทางไต่ระดับขึ้น จากพอร์ตระดับแสนบาทกลายเป็นล้านบาทและทะลุร้อยล้านบาทเสี่ยปู่ใช้เวลาไม่ ถึงทศวรรษในการสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง

เสี่ยปู่โลดแล่นอยู่กับสไตล์การลงทุนแบบเก็งกำไรเป็นเวลาเกือบ 15 ปี เขาตัดสินใจ “หยุด” และหันมาเน้นสไตล์การลงทุนในหุ้นที่มีคุณค่าและถือในระยะยาว “หุ้นที่มีคุณค่า คือ หุ้นที่มีกำไรเจริญเติบโตเป็น Growth stock ซึ่งทุกวันนี้มีหุ้นหลายตัวที่มีกำไรเจริญเติบโตดี”

วิธีการ ก็คือ เมื่อเลือกหุ้นที่ดีแล้วต้องรอจังหวะการลงทุนด้วยการซื้อในจังหวะที่ตลาด ปรับลดลงก็น่าสนใจ “หุ้นบางตัวจะมีช่วงขึ้นและลงห่างกัน 20-30% ดังนั้นถ้าซื้อช่วงที่จังหวะปรับลดลงจะดีมากๆ” เสี่ยปู่ บอก

ทุกวันนี้สไตล์การจัดพอร์ตของเสี่ยปู่ ประมาณ 80% มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว (3-5 ปี) ซึ่งถ้าหากราคาหุ้นยังไม่สูงเกินไปเขาจะถือไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศตลาดยุคนี้เขายิ่งถือระยะยาว และถ้าได้รับเงินปันผลจะนำเงินปันผลไปลงทุนในหุ้นเพิ่มเติม

เสี่ยปู่จะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรแบบถาวร 5-10% ต่อปี และจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยจะเลือกหุ้นเป็นรายตัวมากกว่าลงทุนเป็นรายอุตสาหกรรม เสี่ยปู่ต้องนั่งดูงบการเงินเพราะเชื่อว่าอะไรที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ “ไม่หลอกลวง” พร้อมๆ กับมองว่ามีบริษัทเอกชน “หลอกลวง” เข้ามาจดทะเบียนอยู่บ้าง เช่น มีผลการดำเนินงานดีเยี่ยมและประมาณการณ์ว่าจะเติบโตต่อเนื่อง แต่เมื่อเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กลับไม่เป็นอย่างที่บอกนักลงทุนไว้

ทุกวันนี้เสี่ยปู่ยังเดินเข้าห้องค้าทุกวันเพื่อดูแลพอร์ตของตัวเอง เพราะในชีวิตการลงทุนของเขาแล้วนอกจากตลาดหุ้นแล้ว มีเพียงการเก็บเงินฝากไว้ที่ธนาคารพาณิชย์เท่านั้น และกำลังศึกษาการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพราะมองว่าเป็นตลาดหุ้นที่ เติบโตจาก “ศูนย์” อย่างแท้จริง และคาดว่าอีก 10 ปีเป็นตลาดหุ้นที่เติบโตอย่างน่าสนใจ

จากคุณ : ดร.เพียว     
เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 53 19:59:50   

บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #58 เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2010, 02:32:01 PM »

เสี่ยอนุชิต “6 ปี 100 ล้านบาท”

เขาตื่นนอนราวตีห้า อาบน้ำ แต่งตัว เดินทางออกจากบ้าน ซื้อหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่ง ถึงอาคารสินธรราวๆ แปดโมง เดินเข้าห้องค้าหลักทรัพย์เกือบทุกแห่งที่ตั้งในอาคารดังกล่าวเพื่อดูบท วิเคราะห์หุ้น

เปิดตลาดนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซื้อขายหุ้นตามที่ตัวเองกั่นกรองมาแล้ว ถ้าวันไหนมองว่าหุ้นไม่มีความน่าสนใจก็ใช้กลยุทธ์ Wait & See เพื่อรอจังหวะเหมาะๆ ในการเข้าลงทุน

ตกเย็นเมื่อตลาดหุ้นปิดทำการ เดินไปสวนลุมพินี เพื่อวิ่งจ๊อกกิ้งกับเพื่อนๆ จากนั้นเดินทางไปสถานีขนส่งเอกมัยเพื่อนั่งรถทัวร์กลับบ้าน จังหวัดชลบุรี

นี่เป็นชีวิตประจำวันมานานเกือบ 10 ปี ของ “เสี่ยอนุชิต” – คุณอนุชิต อัศวศุภลาภ นักลงทุนรายใหญ่แห่งเมืองชลบุรี

เสี่ยอนุชิตเล่าว่าการลงทุนในสมัยแรกๆ จะเป็นแบบเก็งกำไรทั้งหมด มีกำไรก็ขาย ราคาปรับลดลงก็เข้าไปรับ อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าตลาดหุ้นช่วงนั้นยังซื้อขายแบบเคาะกระดาน มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับน้อยมาก ดังนั้นการเก็งกำไรจึงไม่ใช่รายนาทีเหมือนเช่นทุกวันนี้ บางครั้งการเก็งกำไรอาจจะใช้เวลาเป็นวันๆ หรือเป็นสัปดาห์

หลังจากเสี่ยอนุชิตรู้จักตลาดหุ้นได้ไม่นานก็ได้สัมผัสบทเรียนอันเจ็บปวด เมื่อวิกฤติการณ์ Black Monday ถล่มตลาด ที่ทำให้เขา “หมดตัว” และหายหน้าตาไปจากตลาดหุ้นไทยเกือบ 2 ปี จนกระทั่งปี 2532 เขาตัดสินใจเข้ามาอีกรอบเพราะด้วยความคิดที่ว่า “จะได้คืน” ด้วยเม็ดเงินลงทุน 4 แสนบาท พร้อมๆ กับปรับเปลี่ยนสไตล์การลงทุน โดยลงทุนในหุ้น 5-6 ตัวเท่านั้น ผสมผสานด้วยกลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐานและหาสัญญาณทางเทคนิค

เสี่ยอนุชิตจะหาจังหวะเข้าลงทุน บางคนอาจจะมองว่าเป็นจังหวะไม่น่าจะเข้า แต่เขากลับมองตรงข้าม โดยอาศัยความเชื่อมั่นตัวเองจากข้อมูลทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคมาเป็นองค์ ประกอบในการตัดสินใจว่าจะเข้าหรือจะออกจากตลาด

“ผมเสพข้อมูลทุกอย่าง อ่านบทวิเคราะห์เกือบทุกโบรกเกอร์ ดูเทคนิค ช่วงเช้าจะไม่เข้ามาในตลาดทันที ไม่ได้สนใจมาร์เก็ตติ้งแต่สนใจกับบทวิเคราะห์ ผมเป็นพวกปัจจัยพื้นฐานเพราะจะบอกว่าควรจะซื้อหุ้นตัวไหน ผมเป็นเทคนิคอล เพราะจะบอกว่าควรจะขายหุ้นตอนไหน” เสี่ยอนุชิต เล่า

พูดง่ายๆ เสี่ยอนุชิตเรียนรู้ทั้งสองด้าน ทั้งปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค และเขายังไม่เชื่อในข้อมูลง่ายๆ จนกว่าจะมีความแน่ใจ “คติพจน์การลงทุนของผม ต้องมีวินัยในการซื้อขาย อย่าหูเบา อย่าลงทุนตามข่าวลือในห้องค้า ถึงแม้ผมอาจจะมาตลาดทุกวันแต่เดือนนั้นอาจจะไม่ลงทุนเลยถ้าไม่แน่ใจ และอย่าลืมความอดทนในการซื้อและขายด้วย”

และทันทีที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นสูงสุด 1,789 จุด เมื่อวันที่ 5 มกราคม ปี 2537 เสี่ยอนุชิตตัดสินใจขายหุ้นในพอร์ตทั้งหมดเพราะมองว่าตลาดขึ้นมามากแล้ว ผลลัพธ์เขามีเงินในพอร์ตประมาณ 100 ล้านบาท

จนกระทั่งปี 2544 เสี่ยอนุชิตเริ่มลงทุนในรูปแบบเต็มตัวอีกครั้งภายใต้พอร์ตที่มีอยู่ราวๆ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการกลับมาครั้งนี้เขากลับใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ “ชัวร์ๆ ”และ “หนักๆ” ในหุ้นแค่ 1-2 ตัวเท่านั้น

“การซื้อหุ้นเยอะๆ ดูข้อมูลไม่ทันและทำให้ผิดพลาดในการลงทุน ดังนั้นนักลงทุนที่ดีอย่าลงทุนหลายๆ ตัว โดยที่ไม่รู้จักหุ้นตัวนั้นดี” เขา บอก “ถึงผมจะลงทุนในหุ้นแค่ 1-2 ตัว แต่ทำการบ้านหนักมากด้วยการดูหุ้นเกือบทุกตัวทั้งกระดาน”

สำหรับกลยุทธ์ของเสี่ยอนุชิตอยู่ที่การจับจังหวะตลาดหุ้นให้ดี ถ้ามั่นใจและเลือกหุ้นได้แล้วก็ทยอยเข้าซื้อ อย่าซื้อครั้งเดียว ถ้าหุ้นขึ้นต้องรีบขายออกไป ที่สำคัญอย่าลืมว่าผู้ที่ถือหุ้นได้นานๆ เป็นผู้ที่มีต้นทุนต่ำเท่านั้น

ในช่วงที่มีการประท้วงการบริหารงานของรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรที่สวนลุมพินี เสี่ยอนุชิตตัดสินใจขายหุ้นในพอร์ตตัวเองออกทั้งหมด ผลลัพธ์เขาสามารถทำกำไรได้สวยงามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่บอกว่าได้ไปมากน้อยแค่ไหน

มีคำถามว่าเสี่ยอนุชิตนำเงินที่เหลือไปเก็บไว้ในรูปแบบไหน คำตอบที่ได้จากเขา ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นจะนำเงินไปซื้อที่ดินไว้แถวชายทะเลจังหวัดระยองและเขาใหญ่ เพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงแต่ถ้ามีคนให้กำไรน่าพอใจบางครั้งเขาขาย ทำกำไรบ้าง ที่เหลือนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล

“ปรัชญาการลงทุนของผม คือ ไม่สนใจเรื่องสภาพคล่อง แต่สนใจผลตอบแทน

จากคุณ : ดร.เพียว     
เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 53 20:03:31   

บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #59 เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2010, 02:48:43 PM »

กูรูหุ้นพันล้าน : ตอนที่ 6 พายเรือตามน้ำ       

สมมติว่า ขณะนั้น SET กำลัง “นิยม” หุ้นกลุ่มไหน เราก็ต้องจับตามองหุ้นกลุ่มนั้น เพราะการ “ฝืนกระแส” จะทำให้เรา “เสี่ยงสูง” ที่จะขาดทุน

หลักการเล่นหุ้นข้อหนึ่งที่ วิชัย วชิรพงศ์ พยายามย้ำ…ในการเล่นหุ้นให้ชนะตลาด “เราต้องพายเรือตามน้ำ อย่าพายเรือทวนน้ำ”

“หลักการเล่นหุ้น..คุณอย่าพยายามฝืนภาวะตลาด” เสี่ยยักษ์ เน้นย้ำ..

จากประสบการณ์..ในตลาดหุ้น 20 ปี เซียนหุ้นพันล้านแนะนำว่า หุ้นที่เล่นแล้วได้กำไรมากกว่าขาดทุน จะเป็นหุ้นที่กำลังอยู่ในกระแสนิยมของตลาดในช่วงเวลานั้นๆ

…เราต้องพยายามอ่านหลักจิตวิทยาของตลาดว่า คนอื่นเขาคิดอย่างไร..? กับหุ้นตัวที่เราจะเล่น อย่าพยายาม “คิดเอง-เออเอง” คนเดียว

“สมมติว่า ขณะนั้น SET กำลัง “นิยม” หุ้นกลุ่มไหน เราก็ต้องจับตามองหุ้นกลุ่มนั้น เพราะการ “ฝืนกระแส” จะทำให้เรา “เสี่ยงสูง” ที่จะขาดทุน”

วิชัยบอกว่า การเล่นหุ้นฝืนทิศทางตลาด..เล่นแล้วมันเหนื่อย !!! เหมือนการขึ้นรถผิดคัน ทำไม! รถคันนี้มันถึงไม่ออกจากท่ารถสักที เรารอแล้วรออีก คันนี้ก็ไป คันนั้นก็ไปก่อน

คำเปรียบเทียบที่เซียนหุ้นรายนี้บอกให้ฟัง การเล่นหุ้นที่จริงมันเป็นแฟชั่น คุณไปเที่ยวทะเลคุณต้องใส่ขาสั้นไป ถ้าคุณใส่กางเกงยีนส์สวมรองเท้าบูต มันไม่เข้ากัน ถ้าวันไหนอากาศหนาว (สภาวะตลาดไม่ดี) จะขึ้นเหนือก็ต้องใส่เสื้อแจ๊คเก็ต ระวังตัวเอาไว้หน่อย แต่เราดันใส่ขาสั้นไปเที่ยวเหนือตอนอากาศหนาว..มีแต่เจ๊ง!

“เราต้อง Follow the Trend หรือซื้อตามแนวโน้มตลาด”

คำว่า “รู้จริง” จะต้องเข้าใจทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ การที่คุณอ่านหนังสือ เท่ากับรู้แค่ทฤษฎี ยังถือว่า “รู้ไม่จริง” ต้องเอา 2 อย่างนี้มาใช้ร่วมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้น

ประเด็นนี้ วิชัยมองว่า ประสบการณ์ชีวิตของนักเล่นหุ้นแต่ละคน บางครั้งก็อาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จ เพราะทัศนคติที่ติดตัวมาในอดีตของแต่ละคน เมื่อเข้าสู่ตลาดหุ้น มักจะมีผลต่อพฤติกรรมการลงทุน ทำให้ปฏิกิริยาในการตัดสินใจของนักลงทุนแต่ละคนแตกต่างกันคนละขั้ว ทั้งๆ ที่เรียนรู้มาจากตำราเล่มเดียวกัน

เพราะฉะนั้น นักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จ…คุณต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ เมื่อวานนี้..คุณอาจจะมองว่าหุ้นตัวนี้ดี วันนี้..คุณอาจจะมองหุ้นตัวเดียวกันว่ามันไม่ดีแล้วก็ได้ อย่าคิดว่าคุณเป็นคนที่ไม่มีหลักการ

“ในเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยน… วิธีคิดก็ต้องเปลี่ยน ทำไมคน 2 คน มาจากพื้นฐานเดียวกันทุกอย่าง คนหนึ่งเล่นหุ้นได้กำไร อีกคนหนึ่งเล่นหุ้นขาดทุน ก็เพราะทัศนคติของคน 2 คนนี้ แตกต่างกัน” เขาวิเคราะห์ให้ฟัง

แม้ว่าวิธีคิดของคนเรา “เปลี่ยนยาก” ก็จริง แต่เราสามารถพัฒนาตัวเองได้ สำคัญที่สุดเราต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเราเอง..อย่าโทษใคร?

เสี่ยยักษ์ย้ำว่า ประสบการณ์ที่ผิดพลาดจะเป็นบทเรียนสอนคุณเอง..ถ้าคุณยอมรับมัน และพร้อมที่จะแก้ไข คุณจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้ามัวแต่นั่งโทษคนนั้นคนนี้ โทษนั่น โทษนี่ คุณจะไม่มีวันพัฒนาตัวเอง…

“ผมมีประสบการณ์จริงเรื่องหนึ่งจะเล่า ให้ฟัง มีลุงคนหนึ่งเล่นหุ้นอยู่โบรกเกอร์เดียวกับผม ลุงคนนี้มีอายุ 70 ปีแล้ว ในอดีตแกประสบความสำเร็จจากการดำเนินชีวิตอย่างมาก จนมีเงินมีทองหลายสิบล้านบาท

…เชื่อมั้ยว่าแกมาเล่นหุ้น เล่นไปเล่นมา เหลือพอร์ตอยู่ 3 ล้านบาท ไปเอาทุนมาเติมอีก ตอนนี้เหลือเงินอยู่ล้านกว่าบาท”

“ผมเคยบอกแกว่า อาเจ็ก..เลิกเถอะ! อย่ามาเล่นอีกเลย อยู่บ้านเถอะ แกก็บอกว่า เออ!น่าไม่เป็นไร คือเขามีเงินหลายสิบล้านบาท เล่นไปเล่นมาเหลืออยู่ล้านกว่า แกก็ยังทู่ซี้เล่น นั่นคือแกไม่รู้จักพัฒนาตัวแกเอง

ประวัติของลุงคนนี้แกเคยทำธุรกิจ ประสบความสำเร็จมาก่อน การจะตัดสินใจ Cut Loss ครั้งละ 5 ล้าน 10 ล้าน เขาจะไม่กล้า จะมีความรู้สึกว่าติดไว้ก่อนไม่เป็นไร วิธีคิดแบบนี้แสดงว่าแกไม่เป็นมืออาชีพ แต่แกมานั่งเล่นหุ้นเป็นอาชีพ วิธีการมันผิด”

วิชัยบอกว่า หลักการที่ถูกต้อง เราต้องกำหนดจุด Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) พอขาดทุนถึงจุดนี้ ก็ต้อง Cut Loss ตัดขายทิ้ง

“หุ้นเวลาเป็น “ขาลง” (Bearlish Down Trend) เราต้องตัดทิ้ง อย่าถือ และอย่าซื้อถัวเฉลี่ย”

วิชัย เปรียบเทียบคนที่ติดหุ้นไว้อย่างเจ็บปวดว่า เปรียบเสมือนคนที่เคยไปกินอาหารป่า ร้านที่เขามีเนื้อตะพาบน้ำขาย

“ผมจะอธิบายลักษณะของคนที่ “ติดหุ้น” อย่างเจ็บแสบที่สุดให้ฟัง”

สมมติว่าร้านอาหารป่ามีตะพาบน้ำไว้ขายลูกค้าอยู่ตัวหนึ่ง วันนี้ผมไปสั่งตะพาบน้ำผัดเผ็ด 1 จาน ตะพาบน้ำตัวนี้มันใหญ่ผัดทั้งตัวไม่หมด พ่อครัวก็จะเฉือนเอาเนื้อข้างๆ แต่ตะพาบตัวนั้นมันยังไม่ตาย มันก็ทุรนทุราย เอามาผัดให้เรากินจานหนึ่ง

สภาพของตะพาบน้ำตัวนั้น มันหงายท้องนอนพะงาบๆ ลืมตาอยู่แต่มันยังไม่ตาย นี่คืออาการของคน “ติดหุ้น”

“นี่ผมพยายามจะเล่าให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด”

วันที่ 2 ไม่มีคนมากิน ตะพาบก็พะงาบๆ อยู่อย่างนั้น เหมือนคนติดหุ้นที่รอวันตาย แต่มันไม่ตาย มันทุรนทุราย ชีวิตไม่มีความสุข เครียดไปหมด

วันที่ 3 พอมีคนมาสั่งเนื้อตะพาบน้ำผัดเผ็ดอีก 1 จาน พ่อครัวคนเดิมก็เฉือนเนื้อของมันอีกข้างหนึ่ง มันก็ยังไม่ตายอีก แต่คราวนี้มันเจ็บเจียนตาย สภาพของคนติดหุ้นจะเป็นอย่างงั้นจริงๆ

“ผมอยากจะให้กำลังใจว่า ตั้งแต่ผมเป็นนักลงทุนรายย่อย จนมาเป็นนักลงทุนรายใหญ่อย่างทุกวันนี้ได้ ผ่านมาหมด หลายๆ คนบอกว่าเป็นรายใหญ่ได้เปรียบ จริงๆ ไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้เปรียบรายใหญ่

…คุณซื้อหุ้น 1 ครั้ง คุณได้หุ้นเต็มพอร์ต คุณขาย 1 ครั้ง คุณขายได้หมดพอร์ต

ถ้าเกิดเป็นรายใหญ่ เขาจะซื้อขายกันทีเป็น “ร้อยล้านหุ้น” ผมก็เคยมีหุ้นร้อยกว่าล้านหุ้น แล้วจะขายได้ยังไงหมด อย่างกรณีของหุ้นไออาร์พีซี (IRPC) มี Bid เสนอซื้ออยู่ 3 ช่อง ขายทีเดียว 3 ช่อง ยังไม่หมดเลย เพราะรวมกัน 3 ช่อง มี Bid แค่ 10 กว่าล้านหุ้น เพราะฉะนั้นนักลงทุนรายย่อยใครว่าเสียเปรียบ…ไม่จริงเลย”

จากคุณ : กองกำลังปั้นฝัน   
เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 53 14:10:59 

บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: