Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 [2] 3 4   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกษาการลงทุน  (อ่าน 12469 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
IPSUM
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7478



« ตอบ #15 เมื่อ: กันยายน 19, 2009, 10:44:36 AM »

เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ  ขอคารวะ


หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ Grin


กี่ฟองดี  Cheesy


เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ

สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ

ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ


สวยทุกคน 


ไม่ตรงคำถาม Tongue


งั้นเอาใหม่

ใจ...กว้างเหมือนกันทุกคน   Grin


ผิดประเด็น
บันทึกการเข้า

   รัก เธอ ประ เทศ ไทย  รัก เธอ ตลอด ไป...
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #16 เมื่อ: กันยายน 19, 2009, 11:35:58 AM »

เจ๊มิจินี่ไม่ธรรมดาแฮะ  ขอคารวะ


หมายถึงเจ๊ เค้าพิเศษใส่ไข่เหรอ Grin


กี่ฟองดี  Cheesy


เซนเซ ถามหน่อยจิ วันก่อนไปกันอะ

สาวๆ มีเซนเซ เจ๊ยอง ซาร่า ป้ามิจิ ใช่ปะ

ใครกว้างที่สุดอะ อิอิ


สวยทุกคน 


ไม่ตรงคำถาม Tongue


งั้นเอาใหม่

ใจ...กว้างเหมือนกันทุกคน   Grin


ผิดประเด็น


ถูกต้องที่สุดตะหาก   Grin
บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #17 เมื่อ: กันยายน 19, 2009, 02:54:16 PM »

ngoodin
แฟนพันธุ์แท้

 ออนไลน์

กระทู้: 1277


     Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน
? ตอบ #6320 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 06:43:31 pm ?   

--------------------------------------------------------------------------------
อ้างจาก: Nicegold ที่ กันยายน 18, 2009, 06:27:03 pm

ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจอารมณ์ตัวเองค่ะว่า ระหว่าง การขายหมู กับ Stop Loss อันไหนที่ทำให้เราเสียความรู้สึกมากกว่ากัน และอันไหนที่เราได้ผลประโยชน์มากกว่ากัน ยังไม่เคยทำเป็นตัวเลขเปรียบอย่างเป็นทางการค่ะ ตอนนี้ก็ใช้ข้อมูลรอบด้านเช่น ข้อมูลจากเว็ปไทยโกลด์ กราฟคุณseam888 กระทู้จากพันธ์ทิพย์ ข้อมูลตลาดหุ้นเอเซีย อเมริกาและไทย สุดท้ายก็ประกอบกับการตัดสินใจของตัวเองค่ะ ถ้ารู้สึกว่ามันเสี่ยงและเสียวแล้วก็ขอถอยไปตั้งหลักก่อนค่ะ ดูจะไม่เป็นระบบของนักลงทุนที่ถูกต้อง ยอมรับนะค่ะว่า ทำว่าเล่นอย่างมีระบบและวินัยหมายความว่าอะไร มาตรฐานอยู่ที่ไหน เอาอะไรมาเครื่องวัด เพราะดิฉันยังมือใหม่ก็เลยยังไม่กระจ่างคำๆ นี้ค่ัะ หวังว่าคุณseam888 คงจะเข้าใจนะค่ะ

---------------------------------------------------------------------------
ผมว่าอยู่ที่เราเลือกวิธีลงทุน ว่าเราลงทุนแบบไหน เมื่อเลือกเริ่มวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว ก็ต้องจบด้วยวิธีนั้น อย่างวิธีของ ผมคือเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขาย และตั้งเป้าทำกำไรไว้ สมมติว่าตั้งเป้าไว้ 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อยอดที่เข้าซื้อ เมื่อไปถึงจุดที่ตั้งไว้ ก็ต้องขายยอดนั้นออก เท่ากับเราประสบความสำเร็จในการลงทุนวิธีนั้นแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงการ stop loss เพราะเป็นการเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขายแต่ละยอด ก็ต้องจบเป็นยอด ๆ ไป โดยถือหลักว่ายอดไหนขาดทุน ไม่ขาย จะขายเฉพาะยอดที่ได้กำไรเท่านั้น ยอดไหนดอยก็ดอยไป การขายเมื่อถึงจุดที่กำหนดของเราเอง อาจทำให้เราขายหมูก็เป็นได้ และในขณะเดียวกันถ้าโชคดีก็อาจทำให้เราขายในจุดที่สูงสุดเลยก็ได้

ส่วนหากเลือกวิธีลงทุนแบบลงไปหมดทั้งก้อนในช่วงขาขึ้น แล้วปล่อยให้วิ่งไปจนจบรอบ คือกราฟเริ่มหักหัวเป็นขาลง (คือเลยจุดสุดยอดไปแล้วและเริ่มตำลงมาถึงจุด stoploss) เราก็ต้องขายออกทันที ดังน้้น วิธีนี้จึงไม่มีทางที่เราจะขายได้ราคาสูงสุด เพราะเราไม่รู้ว่าสูงสุดเท่าไหร่จนกว่ามันจะหักหัวลงมา   และหากเราลงทุนผิดทางคือคิดว่ามันจะขึ้นแต่มันดันลงทันที ทำให้เกิดขาดทุน เมื่อขาดทุนถึงจุดที่กำหนด เช่น ขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องตัดใจขายขาดทุนทันทีโดยไม่ต้องหวังว่ามันจะกลับขึ้นไป อันนี้ก็ถือว่าเราเล่นตามระบบที่กำหนดแล้ว แม้จะขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีทุนพอที่จะเข้าลงทุนในรอบใหม่ รอบนั้นถือว่าไม่ใช่วันของเรา

มีวิธีลงทุนอีกหลายแบบ แบบปิรามิดคว่ำ หงาย แบบ DSM  KZM ฯลฯ ลองศึกษาแล้วเลือกวิธีที่เรายอมรับได้เหมาะกับเราที่สุด แล้วลองเล่นวิธีนั้นอย่างเดียวถ้าเราพอใจก็ ok ถ้าไม่พอใจก็ลองวิธีอื่น แล้วจะพบความจริงว่า แม้วิธีที่เราพอใจ อาจจะไม่ใช่วิธีที่เราได้เงินมากที่สุด แต่เป็นวิธีที่เรามีความสุขมากที่สุด

แล้วคุณจะลงทุนอย่างสนุกสนาน ไม่เครียด ได้กำไรที่ยอมรับได้ อย่าไปอิจฉาคนที่ได้กำไรมากกว่าเรา อย่าตำหนิตัวเองว่าทำไมโง่ขายหมู ความสำเร็จของการลงทุนอยู่ที่เราสามารถทำตามระบบที่วางไว้โดยไม่มีความรู้สึก ความโลภ ความอยากเอาชนะ มารบกวนจิตใจครับ ถ้าทำได้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ในการลงทุนอย่างแน่นอนครับ

 
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #18 เมื่อ: กันยายน 19, 2009, 03:06:43 PM »

ngoodin
แฟนพันธุ์แท้

 ออนไลน์

กระทู้: 1277


     Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน
? ตอบ #6320 เมื่อ: กันยายน 18, 2009, 06:43:31 pm ?   

--------------------------------------------------------------------------------
อ้างจาก: Nicegold ที่ กันยายน 18, 2009, 06:27:03 pm

ดิฉันก็ยังไม่แน่ใจอารมณ์ตัวเองค่ะว่า ระหว่าง การขายหมู กับ Stop Loss อันไหนที่ทำให้เราเสียความรู้สึกมากกว่ากัน และอันไหนที่เราได้ผลประโยชน์มากกว่ากัน ยังไม่เคยทำเป็นตัวเลขเปรียบอย่างเป็นทางการค่ะ ตอนนี้ก็ใช้ข้อมูลรอบด้านเช่น ข้อมูลจากเว็ปไทยโกลด์ กราฟคุณseam888 กระทู้จากพันธ์ทิพย์ ข้อมูลตลาดหุ้นเอเซีย อเมริกาและไทย สุดท้ายก็ประกอบกับการตัดสินใจของตัวเองค่ะ ถ้ารู้สึกว่ามันเสี่ยงและเสียวแล้วก็ขอถอยไปตั้งหลักก่อนค่ะ ดูจะไม่เป็นระบบของนักลงทุนที่ถูกต้อง ยอมรับนะค่ะว่า ทำว่าเล่นอย่างมีระบบและวินัยหมายความว่าอะไร มาตรฐานอยู่ที่ไหน เอาอะไรมาเครื่องวัด เพราะดิฉันยังมือใหม่ก็เลยยังไม่กระจ่างคำๆ นี้ค่ัะ หวังว่าคุณseam888 คงจะเข้าใจนะค่ะ

---------------------------------------------------------------------------
ผมว่าอยู่ที่เราเลือกวิธีลงทุน ว่าเราลงทุนแบบไหน เมื่อเลือกเริ่มวิธีใดวิธีหนึ่งแล้ว ก็ต้องจบด้วยวิธีนั้น อย่างวิธีของ ผมคือเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขาย และตั้งเป้าทำกำไรไว้ สมมติว่าตั้งเป้าไว้ 5 เปอร์เซ็นต์ ต่อยอดที่เข้าซื้อ เมื่อไปถึงจุดที่ตั้งไว้ ก็ต้องขายยอดนั้นออก เท่ากับเราประสบความสำเร็จในการลงทุนวิธีนั้นแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงการ stop loss เพราะเป็นการเฉลี่ยซื้อเฉลี่ยขายแต่ละยอด ก็ต้องจบเป็นยอด ๆ ไป โดยถือหลักว่ายอดไหนขาดทุน ไม่ขาย จะขายเฉพาะยอดที่ได้กำไรเท่านั้น ยอดไหนดอยก็ดอยไป การขายเมื่อถึงจุดที่กำหนดของเราเอง อาจทำให้เราขายหมูก็เป็นได้ และในขณะเดียวกันถ้าโชคดีก็อาจทำให้เราขายในจุดที่สูงสุดเลยก็ได้

ส่วนหากเลือกวิธีลงทุนแบบลงไปหมดทั้งก้อนในช่วงขาขึ้น แล้วปล่อยให้วิ่งไปจนจบรอบ คือกราฟเริ่มหักหัวเป็นขาลง (คือเลยจุดสุดยอดไปแล้วและเริ่มตำลงมาถึงจุด stoploss) เราก็ต้องขายออกทันที ดังน้้น วิธีนี้จึงไม่มีทางที่เราจะขายได้ราคาสูงสุด เพราะเราไม่รู้ว่าสูงสุดเท่าไหร่จนกว่ามันจะหักหัวลงมา   และหากเราลงทุนผิดทางคือคิดว่ามันจะขึ้นแต่มันดันลงทันที ทำให้เกิดขาดทุน เมื่อขาดทุนถึงจุดที่กำหนด เช่น ขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องตัดใจขายขาดทุนทันทีโดยไม่ต้องหวังว่ามันจะกลับขึ้นไป อันนี้ก็ถือว่าเราเล่นตามระบบที่กำหนดแล้ว แม้จะขาดทุน 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีทุนพอที่จะเข้าลงทุนในรอบใหม่ รอบนั้นถือว่าไม่ใช่วันของเรา

มีวิธีลงทุนอีกหลายแบบ แบบปิรามิดคว่ำ หงาย แบบ DSM  KZM ฯลฯ ลองศึกษาแล้วเลือกวิธีที่เรายอมรับได้เหมาะกับเราที่สุด แล้วลองเล่นวิธีนั้นอย่างเดียวถ้าเราพอใจก็ ok ถ้าไม่พอใจก็ลองวิธีอื่น แล้วจะพบความจริงว่า แม้วิธีที่เราพอใจ อาจจะไม่ใช่วิธีที่เราได้เงินมากที่สุด แต่เป็นวิธีที่เรามีความสุขมากที่สุด

แล้วคุณจะลงทุนอย่างสนุกสนาน ไม่เครียด ได้กำไรที่ยอมรับได้ อย่าไปอิจฉาคนที่ได้กำไรมากกว่าเรา อย่าตำหนิตัวเองว่าทำไมโง่ขายหมู ความสำเร็จของการลงทุนอยู่ที่เราสามารถทำตามระบบที่วางไว้โดยไม่มีความรู้สึก ความโลภ ความอยากเอาชนะ มารบกวนจิตใจครับ ถ้าทำได้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ในการลงทุนอย่างแน่นอนครับ

 


บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
MOOK
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 136



« ตอบ #19 เมื่อ: กันยายน 22, 2009, 12:59:07 PM »

 Smiley
บันทึกการเข้า
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #20 เมื่อ: กันยายน 23, 2009, 02:55:49 PM »

ngoodin
แฟนพันธุ์แท้

 ออนไลน์

กระทู้: 1305


     Re: หุ้น+ข่าว+ทอง+บทความ+กองทุน
? ตอบ #6485 เมื่อ: วันนี้ เวลา 01:31:57 pm ?   

--------------------------------------------------------------------------------
อ้างจาก: WORLD ที่ วันนี้ เวลา 11:37:13 am

us ที่ว่านี้คือ ธนบัตร ใช้มั้ยครับ หรือมีกองทุน USD ด้วย


หมายถึงธนบัตรคร้าบบบ

อ้างจาก: ส้มโอมือ ที่ วันนี้ เวลา 12:17:34 pm
--ข่าวนี้มีประโยชน์ต่อคุญงูดินในการดูดวงมั้ยครับ

พายุทรายปกคลุมนครซิดนีย์
 



มีประโยชน์คร้าบบ คุณส้มโอมือ เพราะดาวเสาร์กำลังจะยกราศีเข้าสู่ภพอริของดวงเมือง ซึ่งดวงเมืองกับดวงโลกอยู่ที่จุดเดียวกันครับ ดังนั้น ปลายปีนี้ต่อไปเป็นเวลาสองปีครึ่งจะเกิดความแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพงไปทั่วโลกคร้าบบบ ผมถึงสนใจในกองทุนการเกษตรไงคร้าาบบ แต่ยังไม่มีตัวที่ถูกใจก็รอ ๆ ดูก่อน ให้คุณส้มโอมือนำร่องไปก่อน

 


   คอลัมน์
          โหราพยากรณ์
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 10 ฉบับที่ 2622 ประจำวัน ศุกร์ ที่ 4 กันยายน 2009
         โดย ทวิณัฐ คำพันธ์
 
           ?พระเสาร์? เทพเจ้าแห่งโทษทุกข์     
         
การ ที่ดาวเสาร์ (๗) ไปสถิตในราศีกันย์ เป็นอริกับดวงเมืองและดวงโลกนั้น มีผลดังนี้ ประการแรกคือ มีผลโดยตรงต่อเรื่องของอาหารการกิน เนื่องจากการโคจรของดาวเสาร์ (๗) ครั้งนี้อยู่ในราศีปลายธาตุดิน มีดาวยูเรนัส (๐) ซึ่งอยู่ในราศีมีนเล็ง ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการกลายพันธุ์และสูญพันธุ์ของพืชหลายชนิด ที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารของมนุษย์ ผลไม้จะถอยรส ทั้งยังส่งผลให้เกิดมีความวิปริตแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ พืชที่ไม่ใช้ดินจะกลายเป็นพืชที่ประกอบไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ขณะที่ในผืนดินกลับจะพบแต่สารพิษปลอมปนมากขึ้น พืชสมุนไพรจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ในการเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ พืชที่หายากในป่าลึกจะทยอยสูญพันธุ์ไป

ในขณะที่ความต้องการแรงงานด้าน การเกษตรและกสิกรรมจะมีความต้องการมากขึ้น ธุรกิจอันเกี่ยวเนื่องกับการเกษตรและอุปกรณ์ทางการเกษตรจะเป็นที่ต้องการของ ตลาดมากขึ้น ในขณะเดียวกันการเพาะปลูกพืชผักสมุนไพรเพื่อสุขภาพจะเป็นอาชีพทำเงิน และพลิกฟื้นสร้างความมั่งคั่งให้กับเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป

โรคร้ายในอดีต ที่เคยคร่าชีวิตผู้คนให้เสียชีวิตจำนวนมากจะกลับมาระบาดอีกครั้ง โดยกลายพันธุ์มีความรุนแรงมากขึ้น และจะคร่าชีวิตของคนหนุ่มสาวในวัยฉกรรจ์ไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่พึงเฝ้าระวังคือ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ไทฟอยด์ บิด อหิวาตกโรค แม้โรคเหล่านี้จะระบาดในช่วงระยะสั้นๆ แต่ความรุนแรงนั้นคงจะต้องเฝ้าระวังและประมาทมิได้

การย้ายราศีของดาว เสาร์ (๗) ครั้งนี้ดูจะโฟกัสเตือนไปให้ระวังเรื่องของอาหารการกิน และโรคภัยไข้เจ็บเพียงอย่างเดียว แต่ก็ใช่จะมีแต่เรื่องร้าย ยังมีสัญญาณที่ดีซ่อนอยู่คือ โรคร้ายอย่างเช่นมะเร็งบางชนิดจะพบหนทางในการรักษาให้หายขาด แน่นอนว่าพืชพื้นบ้านในเอเชียจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยชีวิตมนุษยชาติผู้ ต้องทนทุกข์ทรมาน?ทุบโต๊ะ
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
ribbinn
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 115


« ตอบ #21 เมื่อ: กันยายน 23, 2009, 08:27:23 PM »

มาคอยติดตามค่ะ ขอบคุณมากนะคะ Grin
บันทึกการเข้า
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #22 เมื่อ: กันยายน 29, 2009, 12:20:04 PM »

ช่วงนี้ยังไม่เจอบทความใหม่ๆ ไว้เจอแล้วจะมาโพรสต่อนะคะ เรื่องอาจไม่ต่อเนื่องกัน คือพออ่านเจอก็เอามาแปะไว้ เพื่อไว้อ่านเองด้วย แล้วแชร์ให้เพื่อนๆ ที่สนใจ ใครมีอะไรน่าสนใจก็เอามาแปะไว้ด้วยนะคะ
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #23 เมื่อ: กันยายน 29, 2009, 01:49:44 PM »

เอามาจากกระทู้นู๋มินท์แปะไว้กันลืม O0

Re: กฎ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุน ด้วยการวิเคาะห์ทางเทคนิค
? ตอบ #1 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2009, 08:45:13 ?
อ้างถึง
กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ
หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

1. ดูแนวโน้ม
 เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น  เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที  การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้  ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
 แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม  โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที  อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
 วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว  จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง  อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่  และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
 เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์   โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน  คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว  เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย  อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน  และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3  อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5. ใช้เส้นแนวโน้ม
 เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด  สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต  เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน  หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม  เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย  เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

6. ติดตามค่าเฉลี่ย
 หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย  เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม  อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน  รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย  ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน  สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า  หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน  เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators  (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว  Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics  ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100   เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold)  ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20  นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics  และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI   สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators  จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว  เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน  สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

8. มองเห็นสัญญาณเตือน
 Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel)   ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน  สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์  สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์  สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน  MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
 Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด  เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์  หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์  การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
 สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า  ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว  สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน  ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่   ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่  หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง  ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย

ทั้งสิบข้อนี้ ใครที่สนใจศึกษาเรื่องเทคนิค ลองนำไปปฎิบัติดูนะครับ นอกจากนี้ยังมีกฎ อื่น ๆ อีกมากมาย เอาไว้จะค่อย  ๆ รวบรวมมาฝากกันครับ ขอให้โชคดีมีชัย ร่ำรวยกันทุกคนครับ
(จากคุณอาวเฮี้ยงฮง)
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
brabus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #24 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2009, 03:56:33 PM »

มาศึกษการลงทุน

ขอบคุณ คุณMIJI มากค่ะ Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #25 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2009, 11:58:13 PM »



ข้ออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับผม



สัญญาณ 1

เข้าเขต rsi overbought
ตรงนี้หลายคนเข้าใจผิดว่า

overbought แปลว่าหุ้นจะตก

แต่ความจริง overbought เป็นแค่จุดควรระวัง
เพราะยังไงมันก้อยังชี้หัวขึ้น

ไว้ RSI กลับหัวลงก่อนค่อยคิดยังไม่สาย



ปล. ผมคิดว่า RSI ไม่เหมาะสำหรับ เป็นเครื่องที่ใช้ตัดสินใจซื้อขาย แต่เหมาะสำหรับการ support การตัดสินใจจากราฟอื่นๆ

ปล.2 ดูกราฟหลายประเภทเกินไปจะก่อนให้เกิดความ "งง" ได้ ถ้าสัญญาณบอกต่างกัน

ปล.3 ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ  -  MACD ไม่เหมาะกับการเล่นสั้นหรือดูกราฟ day เลย

ปล.4  อันนี้สำคัญสุด  เล่นเทคนิคัล ต้องเชื่อกราฟ ไม่งั้นไม่รู้จะดุกราฟไปทำไม

** แก้คำผิดพิมพ์ bought เป็น sold อายยยย


จากคุณ : Laganus   
เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 19:58:04

ไม่ใช่จานปลา แต่ขอแสดงความเห็น

RSI และ MACD มักจะมีสัญญาณขัดกันเสมอ 

RSI เป็น Oscilator ใช้สำหรับเทรดในระบบ Mean Reversion  ( ซื้อขาย ตรงขอบการแกว่ง แล้วมาปิด position ตรงค่าเฉลี่ย )

ส่วน MACD เป็น Trend Following indicator ( ซื้อขาย เมื่อมีสัญญาณว่าเกิดเทรนด์ )

โดยธรรมชาติของ 2 indy ..เมื่อราคาขยับขึ้นมาสูงจะไปกระตุก indy จำพวก trend following เช่น MACD ให้ทริกเกอร์ บอกว่าเทรนด์ขึ้นมาแล้ว  ในขณะเดียวกัน ราคาที่ขึ้นมาสูง ก็จะไปกระตุกต่อม oscilator เพื่อบอกว่า เวลานี้ แพงไปแล้วนะ

ดังนั้น ต้องเลือกเอาสักอันว่าจะอยู่ค่ายไหน

..หรือถ้าจะเชื่อมัน 2 ตัว ( ไม่ค่อยแนะนำเพราะไม่ค่อยได้ตังค์ ) ก็ให้ใช้ MACD เป็น First condition  เช่น MA12 > MA26 ถึงจะพิจารณาซื้อ แล้วจะเข้าซื้อขายจุดไหน ให้ดู Trigger จาก RSI อีกที

ปล.. อย่าลืมปรับค่า RSI ให้เข้ากับ Momentum ของตลาดด้วย

จากคุณ : seun   
เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 20:36:50

การใช้ RSI ในการหาสัญญาณซื้อขาย แยกเป็น 2 กรณี

1 ช่วง sideway การหาสัญญาณซื้อ/ขาย จากการตัดบริเวณ 30/70 ปกติ

2 ตลาด trending เป็นขาขึ้นชัดเจน ให้ดูเฉพาะ "สัญญาณซื้อ" จาก oversold area เท่านั้น (หากวกกลับขึ้นมาเกิน 60 ได้ ให้ซื้อ)

3 ตลาดขาลงชัดเจน ให้ดูเฉพาะ "สัญญาณขาย" จาก overbought area เท่านั้น (หากวกกลับขึ้นมาเกิน 40 ให้ "ขาย")

จากคุณ : babeoil_ja   
เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 20:52:25 

จานปลา ไม่ใช้อินดิเคเตอร์ครับ

ดังนั้น ไม่มีสัญญาณซื้อ สัญญาณขายอะไรนั่นหรอกครับ

ซื้อ เมื่อแท่งเทียนมันเหมือนจะไม่ลงแล้ว

ขาย เมื่อแท่งเทียนมันเหมือนจะไม่ขึ้นแล้ว

เข้ามาบอกแค่นี้แหละ ... 

จากคุณ : อันปังแมน   
เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 52 20:42:11 



บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #26 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2009, 12:12:18 PM »

p59
แฟนพันธุ์แท้

 ออฟไลน์

กระทู้: 1372


    เล่นทองให้มีแต่กำไรไม่มีติดดอย 13-10
? เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:17:23 am ?  

--------------------------------------------------------------------------------
วันนี้ขอเปิดหัวข้อใหม่กับข้อมูลใหม่ๆครับ

ใครเชื่อก็เล่นตามได้เลยครับ
เชื่อ100%ก็เล่นตาม100%
เชื่อ10%ก็เล่นตาม 10%
ไม่เชื่อเลยก็ไม่ต้องเล่นครับ

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เราเล่นทองนะครับ ดังนั้นสิ่งทีเราพูดถึงคือทองคำนะครับ ไม่ใช่เงินบาท เงินจะเป็นอย่างไรผมจะไม่พูดถึง

เริ่มวันนี้เลยนะครับ

ใครที่มีของตามที่ต้องการแล้วก็ถือต่อไปนะครับ
ใครที่ยังไม่มีให้ซื้อเข้าเลยครับ (ซื้อให้มากที่สุดเท่าที่ต้องการซื้อไม่ต้องกลัวติดดอยนะครับเพราะไม่มีคำว่าติดดอยครับ)

สมมุติ วันนี้ผมซื้อเข้า 100 บาท ราคา....ไม่ต้องใส่ใจ ทองอยู่ที่ 16600 บาท แต่ไม่ต้องใส่ใจ (แต่จะจดไว้ก็ได้)
แต่จงจำไว้ว่า เรามีทองอยู่ 100 บาท ต่อให้ทองจะขึ้นไปบาทละ    20000 บาท เราก็ยังไม่ได้กำไรนะครับ
เพราะเราก็ยังมีทองอยู่ที่   100 บาทเท่าเดิม
เราจะมีกำไรก็ต่อเมื่อทองลง
ดังนั้น คุณจะซื้อเข้าตอนไหนก็ได้ เช่น คุณซื้อเข้าตอน บาทละ 20000 บาท พอทองลง คุณก็ขายออก เช่นคุณขายออกที่บาทละ 19800 บาท เท่ากับ 19800x100=1,980,000 บาท คุณได้รับเงิน 1,980,000 บาท (คุณยังไม่ขาดทุนนะครับ)
พอทองลงไปที่ 19,500 แล้วทองขึ้นคุณก็ซื้อเข้า คุณจะได้ทองคำหนัก 101.53 บาท (19500x101.53=1,989,835บาท)จะเห็นว่าคุณกำไรทองคำตั้ง1.53 บาทเป็นต้น
และนี้คือวิธีเล่นทองคำแบบกำไรแน่ๆไม่มีติดดอย
***ใครเชื่อก็ตามมา
   ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องตาม
   เราเล่นทอง
   ไม่เกี่ยวกับเงินบาท
   จะได้กำไรมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกานเข้าออกแต่ละครั้งว่าเราเข้าออกได้แม้นแค่ไหน แต่กำไรทุกครั้งที่เข้าออกแน่นอนและไม่มีติดดอย
 ------------------------------------------------------------------------------------

แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือพอขายแล้วลง ไม่กล้าซื้อกลับเพราะกลัวจะลงอีก หรือขายไปแล้วขึ้นต้องซื้อแพงกว่าที่ขายไป

การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 13, 2009, 12:30:06 PM โดย MIJI » บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #27 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2009, 12:37:38 PM »

StarTree
เด็กอนุบาล

 ออฟไลน์

กระทู้: 1


    Re: เล่นทองให้มีแต่กำไรไม่มีติดดอย 13-10
? ตอบ #12 เมื่อ: วันนี้ เวลา 08:31:57 am ?   

--------------------------------------------------------------------------------
ถูกต้องแล้วครับ

ปี   ราคาทองต่ำสุด   ราคาทองเฉลี่ย   ราคาทองสูงสุด   %เติบโตต่อปี   %เติบโตต่อปี(สะสม)
2006   10050.00   10887.00   13000.00
2007   10450.00   11395.00   13400.00                 4.67      4.67
2008   12200.00   13794.00   15450.00               21.05      13.35   
2009   13550.00   15302.00   16600.00               10.93      13.52   

ตั้งแต่ปี  2008 เป็นต้นมา ใครเล่นทองระยะสั้นแล้วได้กำไรต่ำกว่าปีละ 13% ถือว่าขาดทุนต้นทุนแล้วครับ (สู้เก็บข้ามปีไม่ได้)
เพราะจะตามไม่ทัน อัตราการเติบโต ของทอง (เงินมันเฟ้อ)
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
sunflower
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 27


« ตอบ #28 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2009, 04:36:02 PM »

p59
แฟนพันธุ์แท้

 ออฟไลน์

กระทู้: 1372


    เล่นทองให้มีแต่กำไรไม่มีติดดอย 13-10
? เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:17:23 am ?  

--------------------------------------------------------------------------------
วันนี้ขอเปิดหัวข้อใหม่กับข้อมูลใหม่ๆครับ

ใครเชื่อก็เล่นตามได้เลยครับ
เชื่อ100%ก็เล่นตาม100%
เชื่อ10%ก็เล่นตาม 10%
ไม่เชื่อเลยก็ไม่ต้องเล่นครับ

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เราเล่นทองนะครับ ดังนั้นสิ่งทีเราพูดถึงคือทองคำนะครับ ไม่ใช่เงินบาท เงินจะเป็นอย่างไรผมจะไม่พูดถึง

เริ่มวันนี้เลยนะครับ

ใครที่มีของตามที่ต้องการแล้วก็ถือต่อไปนะครับ
ใครที่ยังไม่มีให้ซื้อเข้าเลยครับ (ซื้อให้มากที่สุดเท่าที่ต้องการซื้อไม่ต้องกลัวติดดอยนะครับเพราะไม่มีคำว่าติดดอยครับ)

สมมุติ วันนี้ผมซื้อเข้า 100 บาท ราคา....ไม่ต้องใส่ใจ ทองอยู่ที่ 16600 บาท แต่ไม่ต้องใส่ใจ (แต่จะจดไว้ก็ได้)
แต่จงจำไว้ว่า เรามีทองอยู่ 100 บาท ต่อให้ทองจะขึ้นไปบาทละ    20000 บาท เราก็ยังไม่ได้กำไรนะครับ
เพราะเราก็ยังมีทองอยู่ที่   100 บาทเท่าเดิม
เราจะมีกำไรก็ต่อเมื่อทองลง
ดังนั้น คุณจะซื้อเข้าตอนไหนก็ได้ เช่น คุณซื้อเข้าตอน บาทละ 20000 บาท พอทองลง คุณก็ขายออก เช่นคุณขายออกที่บาทละ 19800 บาท เท่ากับ 19800x100=1,980,000 บาท คุณได้รับเงิน 1,980,000 บาท (คุณยังไม่ขาดทุนนะครับ)
พอทองลงไปที่ 19,500 แล้วทองขึ้นคุณก็ซื้อเข้า คุณจะได้ทองคำหนัก 101.53 บาท (19500x101.53=1,989,835บาท)จะเห็นว่าคุณกำไรทองคำตั้ง1.53 บาทเป็นต้น
และนี้คือวิธีเล่นทองคำแบบกำไรแน่ๆไม่มีติดดอย
***ใครเชื่อก็ตามมา
   ใครไม่เชื่อก็ไม่ต้องตาม
   เราเล่นทอง
   ไม่เกี่ยวกับเงินบาท
   จะได้กำไรมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับกานเข้าออกแต่ละครั้งว่าเราเข้าออกได้แม้นแค่ไหน แต่กำไรทุกครั้งที่เข้าออกแน่นอนและไม่มีติดดอย
 ------------------------------------------------------------------------------------

แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือพอขายแล้วลง ไม่กล้าซื้อกลับเพราะกลัวจะลงอีก หรือขายไปแล้วขึ้นต้องซื้อแพงกว่าที่ขายไป

การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง


พี่ค่ะ พยามอ่านแล้วก็ยังสับสน ทำมั้ยเราถึงจะได้กำไรก็ต่อเมื่อทองลง ?


บันทึกการเข้า
mvb
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4457


« ตอบ #29 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2009, 04:44:36 PM »

เค้าอิงจำนวน/น้ำหนักทองครับพี่ ไม่สนใจคำนวนเป็นตัวเงินครับ

น่าจะประมาณนี้ครับ
บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: