Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: คนรักสุขภาพคูณสอง  (อ่าน 1369 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« เมื่อ: สิงหาคม 21, 2013, 01:15:01 PM »

21/08/2013
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2013, 01:06:22 PM »


shared Boon48's photo.
 .....สูตรน้ำผักผลไม้ต้านมะเร็ง ของฟ้าหญิงจุ.....




......สูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงจุ.....
เป็นสูตรน้ำผักต้านมะเร็ง ลองทำทานกันดูนะคะ
 บทความคัดลอกมานะคะ..
 น้องที่ทำงานมีญาติเป็นมะเร็ง 2 คน
หมอนัดให้ทำคีโม 1 คน ผ่าตัด 1 คน โดยให้ไปพักผ่อนก่อน 1 - 2 อาทิตย์ก่อนทำการรักษา.....
 ระหว่างนั้นเองน้องที่ทำงาน ได้สูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงฯ มา ก็เลยลองให้ญาติทานดู แทนน้ำเลย
 วันละ 1 ลิตร เป็นเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น ไปตรวจอีกครั้งก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็ง เล็กลงจนเกือบไม่มีเลย 1 คน
 ส่วนอีกคนมะเร็ง หายไปเลย .ไม่น่าเชื่อ เค้าตื่นเต้นกันมากหมอรพ.จุฬา ขอสูตรกันยกใหญ่
 ตอนนี้น้องๆ ที่แผนก เลย สั่งกินกันทุกวัน เพื่อเป็นภูมิต้านทาน
ส่วนใครที่มีญาติเป็นมะเร็ง นำสูตรนี้ไปทำให้กินได้เลย หรือบอกต่อๆ กันไป...เป็นอานิสงฆ์นะ

น้ำผักผลไม้สูตรในวัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็ง
 จะดีมากมีคนแถวบ้านเป็นมะเร็งอายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ต้องให้คีโมแต่ปรากฏว่าพอรับประทาน
 น้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือนปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และแข็งแรงขึ้นมากจนหมอตกใจ
 ลองนำไปปั่นทานกันดู..น่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อยส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย
 สูตรมีดังนี้
 1. แอปเปิ้ล 1 ผล
 2. แครอท 1 ลูก
 3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
 4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
 5. มะนาว 1 ลูก
 6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
 7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
 8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
 9. ฝรั่ง 1 ผล
 10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
 11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
 นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน
 
สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วยให้รับประทานวันละ 1 ลิตร
แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.jatuka.com/ความรู้ทั่วไป/สูตรน้ำผักต้านมะเร็ง/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 07:27:03 PM »

ไข้หวัดใหญ่

วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ข้อแตกต่างระหว่างไข้หวัด เชื้อไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก ไข้หวัดมรณะ ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ โรคไข้หวัดข้ออักเสบ การดูแลผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร

ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อ Influenza virus เป็นการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ เช่น จมูก คอ หลอดลม และปอด เชื้ออาจจะลามเข้าปอดทำให้เกิดปอดบวม ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัวปวดกล้ามเนื้อมาก จะพบมากทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการเสียชีวิตมักจะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียน

สำหรับไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไข้ไม่สูงมาก

ในปี คศ.2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้

1.ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน คือเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน(เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน

2.เด็กที่อายุ 6-23 เดือนควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย

3.ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2)-like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1)-like, และ B/Hong Kong/330/2001
4.ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท
เชื้อที่เป็นสาเหตุ

การติดต่อ

เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายโดยทางเดินหายใจ วิธีการติดต่อได้แก่

•ติดต่อโดยการไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางเยื่อบุตาและปาก
•สัมผัสเสมหะของผู้ป่วยทางแก้วน้ำ ผ้า จูบ
•สัมผัสทางมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค

อาการของโรค

อาการของไข้หวัดใหญ่จะเหมือนกับไข้หวัด แต่ไข้หวัดใหญ่จะเร็วกว่า ไข้สูงกว่า อาการทำสำคัญได้แก่

1.ระยะฟักตัวประมาณ1-4 วันเฉลี่ย 2 วัน

•ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน
•เบื่ออาหาร คลื่นไส้
•ปวดศรีษะอย่างรุนแรง
•ปวดแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบกระบอกตา
•ไข้สูง 39-40 องศาในเด็ก ผู้ใหญ่ไข้ประมาณ 38 องศา
•เจ็บคอคอแดง มีน้ำมูกไหล
•ไอแห้งๆ ตาแดง
•ในเด็กอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
•อาการไข้ คลื่นไส้อาเจียนจะหายใน 2 วัน แต่อาการน้ำมูกไหลคัดจมูกอาจจะอยู่ได้ 1 สัปดาห์

2.สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงมักจะเกิดในผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว

•อาจจะพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ่มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
•อาจจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ซึมลง หมดสติ
•ระบบหายใจอาจจะมีอาการของโรคปอดบวม จะหอบหายใจเหนื่อยจนถึงหายใจวาย
•โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่จะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางรายซึ่งอาจจะมีอาการปวดข้อและไอได้ถึง 2 สัปดาห์

ระยะติดต่อ

ระยะติดต่อหมายถึงระยะเวลาที่เชื้อสามารถติดต่อไปยังผู้อื่น

•ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ
•ห้าวันหลังจากมีอาการ
•ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 07:39:13 PM »

ไข้หวัด   
 
ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ทางเดินหายใจส่วนบนเรียก upper respiratory tract infection URI เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งรวมเรียกว่า Coryza viruses ประกอบไปด้วย Rhino-viruses เป็นสำคัญ เชื้อชนิดอื่นก็มี Adenoviruses, Respiratory syncytial virus เมื่อเชื้อเข้าสู่จมูก และคอ จะทำให้เยื่อบุจมูกบวมแดง และมีการหลั่งสารหลั่งที่เป็นเมือกออกมา แม้ว่าโรคจะหายเองใน 1 สัปดาห์ แต่เป็นโรคที่นำผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด โดยเฉลี่ยเด็กจะเป็นไข้หวัดปีละ 6-12 ครั้งต่อปี ผู้ใหญ่อาจจะเป็น 2-4 ครั้งต่อปี ผู้หญิงจะเป็นบ่อยเนื่องจากใกล้ชิดกับเด็กมากกว่า คนสูงอายุจะเป็นปีละครั้ง

อาการของไข้หวัด

ผู้ใหญ่จะมีอาการจาม น้ำมูกไหลมาก่อน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย แต่มักจะไม่ค่อยมีไข้ เชื้อจะออกจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย 2-3 ชั่วโมง และหมดภายใน 2 สัปดาห์ บางรายมีอาการปวดหู เยื่อแก้หูมีเลือดคั่ง บางรายมีเยื่อบุตาอักเสบ เจ็บคอกลืนลำบาก โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน แต่อาจจะมีน้ำมูกไหลนานถึง 2 สัปดาห์

ในเด็กอาจจะรุนแรง และมักจะกลายเป็นหลอดลมอักเสบ และปอดบวม

การติดต่อ

โรคนี้มักจะระบาดในฤดูหนาวเนื่องจากความชื้นต่ำ และอากาศเย็น

•คนปกติสามารถติดโรคจากน้ำลาย เสมหะของผู้ป่วยที่ปลิวมากับจามหรือไอผ่านทางลมหายใจ
•เชื้อยังสามารถผ่านทางปากจากมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
•ผู้ป่วยสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ 1-2 วันก่อนที่จะเกิดอาการ และ 1-2 วันหลังเกิดอาการ
•ผู้ที่ติดหวัดได้ง่ายคือเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี เด็กที่ขาดอาหาร เด็กในสถานรับเลี้ยงเด็ก

วิธีการติดต่อมีด้วยกันกี่วิธี

1.มือของเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่สัมผัสเชื้อจากเสมหะของผู้ป่วย หรือสิ่งแวดล้อม แล้วขยี้ตา หรือนำเข้าทางปาก
2.หายใจเอาเชื้อที่ผู้ป่วยไอออกมา
3.หายใจเอาเชื้อที่กระจายอยู่ในอากาศ

การรักษา


•ไม่มียารักษาเฉพาะ หากมีไข้ก็ให้ยาลดไข้ Pacetamol ห้ามให้แอสไพรินทร์
•ให้พักและดื่มน้ำมากๆ
•ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ

เมื่อไรจึงจะหาย

โดยทั่วไปใช้เวลา 2-4 วันหลังจากนั้นจะดีขึ้น โรคแทรกซ้อนที่สำคัญคือหูชั้นกลางอักเสบ ต้องได้รับยาปฏิชีวนะ

จะป้องกันหวัดได้อย่างไร

เป็นการยากที่จะป้องกันการติดเชื้อหวัด และยังไม่มีวัคซีนที่ป้องกันโรคหวัดได้ ดังนั้นการดูแลสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

•หลีกเลี่งที่ชุมชน เช่นโรงภาพยนตร์ ภัตราคาร ในช่วงระบาด
•ไอหรือจามใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษปิดปากและจมูก
•ให้ล้างมือบ่อยๆ
•ไม่เอามือเข้าปาก หรือขยี้ตาเพราะอาจจะนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้
•อย่าอยู่ใกล้ชิดผู้ที่ป่วยเป็นเวลานาน

อากาศหนาวจะทำให้เป็นไข้หวัดหรือไม่

เป็นความเชื่อที่ว่าอากาศหนาวจะทำให้เกิดไข้หวัด หรือทำให้หวัดเป็นมากขึ้น จากการศึกษาพบว่าอากาศ การออกกำลังกาย และอาหารไม่ทำให้เกิดไข้หวัด และยังพบว่าความเครียด โรคภูมิแพ้ และรอบเดือนมีส่วนทำให้เกิดโรคหวัด

วิตามินซี รักษาหวัดได้หรือไม่

หลายท่านเชื่อว่าการรับประทานวิตามินซีขนาดสูงจะสามารถรักษา และป้องกันไข้หวัดได้ จากการศึกษายังไม่มีหลักฐานว่ารักาาได้จริง หรือทำให้โรคหายเร็วขึ้น นอกจากนั้นการได้รับวิตามิน ว๊ขนาดสูงยังทำให้เกิดท้องร่วง และมีผลต่อการตรวจน้ำตาลในเลือด รวมทั้งการแข็งตัวของเลือด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 03, 2013, 07:44:24 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 07:39:26 PM »

อาการ                      ไข้หวัด  

ไข้                                 ไม่สูงในผู้ใหญ่ เด็กอาจจะมีไข้
ปวดศีรษะ                              พบน้อย ปวดตามตัว เล็กน้อย
อ่อนแรง                             เล็กน้อย
อ่อนเพลีย                            ไม่พบ
คัดจมูก                             พบบ่อย
จาม                              พบบ่อย
เจ็บคอ                             พบบ่อย
ไอ แน่นหน้าอก                        ไอไม่มาก ไอแห้งๆ
โรคแทรกซ้อน                         ไซนัสอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบ
การป้องกัน                           ไม่มี





อาการ                         ไข้หวัดใหญ่
 
ไข้                          ไข้สูง 38-40 เป็นเวลา 3-4 วัน
ปวดศีรษะ                           ปวดศีรษะมาก
ปวดตามตัว                           พบบ่อย และปวดมาก
อ่อนแรง                           พบได้นาน 2-3 สัปดาห์
อ่อนเพลีย                              พบมาก
คัดจมูก                              พบเป็นบางครั้ง
จาม                                พบเป็นบางครั้ง
เจ็บคอ                               พบเป็นบางครั้ง
ไอ แน่นหน้าอก                           พบบ่อย บางครั้งเป็นรุนแรง
โรคแทรกซ้อน                            หลอดลมอักเสบ และปอดบวม
การป้องกัน                          ฉีดวัคซีน; amantadineor rimantadine (antiviral drugs)
การรักษา                        Amantadine or rimantadine ภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 03, 2013, 08:32:15 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 07:47:14 PM »

ผัก ผลไม้ 10 ชนิดที่ให้วิตามิน C มากกว่าส้ม และหากินได้ง่ายในเมืองไทย
โดย : http://en.wikipedia.org/wiki/Vitamin_c


  กินส้มเยอะๆสิ จะได้วิตามินซีเยอะๆ เป็นคำพูดที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะเพราะรสชาติที่อร่อย หาทานง่าย ราคาถูกและสีสันสวยงาม เลยน่าจะทำให้เด็กๆทานได้ง่ายและในปริมาณมากกว่าผลไม้อื่นๆ
ซึ่งจริงๆแล้ว เพราะเคยได้ยินมาบ่อยๆๆๆ ว่า "ส้มจริงๆให้วิตามินซีน้อยกว่าฝรั่งอีก" แล้วด้วยอยากกินอะไรน้อยๆแต่ได้ปริมาณมากๆ (อนึ่ง คือ ขี้เกียจ) เลยลองหาข้อมูลดูครับ

จึงได้พบว่า...มีผลไม้ที่มีขายในเมืองไทยหลายชนิด ที่มีวิตามินซีมากกว่าส้มเสียอีก บางอย่างแทบจะนึกไม่ถึง เช่น พุทรา (Jujube) กลับเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีมากกว่าส้มถึง 10 เท่า!!!*

มาดูกันเลยว่า มีผัก/ผลไม้อะไรบ้างที่ให้วิตามินซีมากกว่าส้มครับ

*ข้อมูลจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Vitamin_c

Chart แสดงปริมาณวิตามินซี (mg) ในผัก/ผลไม้ปริมาณ 100 g




ประโยชน์ของวิตามินซีกับการต้านแก่

ช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็น และคอลลาเจนก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกายเช่นกัน

วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดั้งนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 03, 2013, 08:33:08 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 08:49:11 PM »

ป้องกันเอาไว้ก่อนที่จะเป็น อ่านให้จบด้วยน้ะ

-นอนให้เพียงพอ  6ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

-ดื่มน้ำสะอาด สะอาด 4-6-8 แก้ว ต่อวัน

-ไม่เครียด คิดมากปวดหัว ค่อยๆคิด

-อาหารดีสุขภาพดี เลือกให้ครบ ห้าหมู่ ไม่ใช่  5หมู

-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่าบอกว่าไม่มีเวลา เดินขึ้นบันไดแทนลิฟว์บ้างก็ได้น่ะ เขย่งเท้าหมุมหัวไหล่บ้าง เดินเร็วๆ รวมๆให้ได้ 30นาที

-หายใจยาวๆ จะได้รู้ว่ายังอยู่ ขอที่มีอากาศดีๆ หายใจยาวๆๆ ดูด้วยว่าได้แค่ไหน เดี๋ยวเป็นลม

- ฟังเพลงช้าบ้าง เร็วบ้าง ร้องไปด้วย ไม่เพาะก็ร้องเบาๆเด้อ ขยับตัวตามจังหวะ เอาพอดี พอดีเด้อ ดูวัยเป็นหลัก

-เป็นหวัด น้ำมูกไหล สวม มาร์ค ผ้าปิดปาก เชื้อโรคไม่แพร่กระจาย เป็นผลดีต่อส่วนร่วม

- หัดพกมั่งอ่ะเสื้อกันฝน 7อีเล่งเว๊น สิบบาทมั่ง ร่ม อันเล็กๆจะหนักกระเป๋าสักเท่าไหร่ หาถุงพลาสติกไว้ด้วยเพื่อร่มเปียก

-อย่าตากฝน ถ้าจำเป็นก็ต้องทำความสะอาด หัว ตัว ให้แห้ง ให้เร็วที่สุด

-หัดซื้ออะไรที่ดีๆ กินเข้าไปบ้าง ศึกษาก่อนซื้อ หรือหัดสังเกตุ กินไปแล้วดีไหม ไม่ดีอย่ากินอย่าไปเสียดาย

-ประหยัดมากๆ โรคมันเยอะ ค่ารักษามันแพง เวลาเป็นอะไรจะได้เดินเข้า รพ. ไม่ใช่เดินเข้า ว. เลย

-วัคซีน จำเป็นแค่ไหน คิดก่อนฉีด เดินทางไปในที่เสี่ยงไหม หรืออยู่ในที่คนชุมชนเยอะๆ เป็นหวัดบ่อยไหม ราคา 300-600 บาท

-ล้างมือ ให้สะอาดเสมอ

-เอาแค่นี้ก่อนวันหลังมาเขียนใหม่ ง่วงแล้ว


ขอบจัยหลายๆๆที่อ่านแล้ว จำใส่ใจด้วยน่ะจ้ะเพราะ ว่าเป็นสิ่งดีๆ สำหรับทุกคนค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 04, 2013, 05:11:25 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2013, 08:40:44 AM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #8 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 09:48:36 AM »

คำศัพท์และวลีที่ควรรู้ไว้ในเวลาเจ็บป่วย Words and phrases you should know when you are sick

Pain Descriptors การบ่งชี้ถึงอาการปวด


• acute pain ปวดเฉียบพลัน
• chronic pain ปวดเรื้อรัง
• burning pain ปวดแสบปวดร้อน
• constant pain ปวดตลอดเวลา
• cramps, cramping pain ปวดเกร็ง ปวดแบบเป็นตะคริว
• crushing pain ปวดแบบบีบรัด
• cutting pain ปวดเหมือนถูกของมีคมบาด
• dull pain ปวดตื้อ ๆ
• electrical pain ปวดเเหมือนไฟชอร์ต
• gnawing pain ปวดเหมือนถูกแทะ
• intermittent pain ปวดแบบเป็นๆหายๆ
• numbing pain ปวดร่วมกับอาการชา
• pins and needles sensation ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทง
• periodic pain ปวดเป็นพักๆ
• pulsating pain ปวดตามจังหวะชีพจร
• radiating pain, radicular pain ปวดบริเวณผิวหนังที่เส้นประสาทมาเลี้ยง ปวดแบบเริ่มจากจุดศูนย์กลางแล้วแผ่ออกไป
• sharp pain ปวดแปล๊บ ปวดจี๊ดจิ๊ด
• shifting pain ปวดที่หนึ่งแล้วย้ายไปปวดอีกที่หนึ่ง
• shooting pain ปวดแบบเจ็บเสียวแปลบร้าว
• tingling sensation ความรู้สึกเหมือนมีอะไรไต่หรือโดนกัดต่อย
• throbbing pain ปวดตุบๆ
• muscle spasm กล้ามเนื้อหดเกร็ง
• stabbing pain เจ็บแบบเสียดแทง
• visceral pain ความเจ็บปวดในบริเวณกว้าง
• to feel sensitive รู้สึกเจ็บเสียว
• sensitive feeling ความรู้สึกเจ็บเสียว
• to have aches and pain ปวดเมื่อย

ปัจจุบันนี้ แพทย์คนเดียวมักจะไม่รักษาคนไข้ทุกขั้นตอนมักจะส่งคนไข้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจหรือเพื่อขอความคิดเห็นเพื่อช่วยในการรักษา นี่เป็นรายการของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ที่ผู้เขียนได้รวบรวมไว้ข้างล่างนี้

Medical Specialists ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สาขาต่างๆ

• allergist, immunologist หมอโรคภูมิแพ้
• anesthesiologist, anesthetist วิสัญญีแพทย์ หมอยาสลบ
• audiologist นักโสตสัมผัสวิทยา
• cardiologist หมอโรคหัวใจ
• dermatologist หมอโรคผิวหนัง
• emergency care specialist แพทย์ชำนาญทางกรณีฉุกเฉิน
• gastroenterologist หมอโรคทางเดินอาหาร แพทย์ระบบทางเดินอาหาร
• geriatrist, geriatrician แพทย์คนชรา|หมอคนแก่
• hematologist นักโลหิตวิทยา
• hospitalist แพทย์ที่รักษาเฉพาะคนไข้ในโรงพยาบาล
• infectious disease specialist แพทย์ทางโรคติดต่อ
• intensivist แพทย์รักษาคนไข้เฉพาะในไอซียู
• internist, internal medicine physician หมออายุรกรรมอายุรแพทย์
• neurologist หมอทางประสาทวิทยา
• neurosurgeon หมอรักษาโรคทางสมอง,ศัลยแพทย์สมองและเส้นประสาท
• obstetrician สูติแพทย์ หมอสู หมอสูติ
• obstetrician and gynecologist, OB-GYN, OBGYNสูตินารีแพทย์
• gynecologist นรีแพทย์
• neonatologist แพทย์เฉพาะเด็กแรกคลอด
• nephrologist แพทย์ทางโรคไต หมอไต
• nurse-midwife พยาบาลผดุงครรภ์
• midwife หมอตำแย
• occupational medicine physician

หมอรักษาโรคหรือการบาดเจ็บจากการทำงาน

• oncologist แพทย์เฉพาะมะเร็ง หมอโรคมะเร็ง
• ophthalmologist จักษุแพทย์, หมอตา
• odontologist หมอที่เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างฟัน
• oral and maxillofacial surgeon หมอศัลยกรรมช่องปาก
• orthopedist|orthopaedist แพทย์โรคกระดูก หมอกระดูก
• otolaryngologist โสตศอนาสิกแพทย์ หมอหูคอจมูก
• pathologist พยาธิแพทย์
• pediatrician กุมารแพทย์ หมอเด็ก
• plastic surgeon ศัลยแพทย์ตกแต่ง หมอศัลย์
• podiatrist หมอเท้า
• psychiatrist จิตแพทย์
• pulmonologist, pulmonary medicine physician

แพทย์ทางระบบหายใจ

• radiotherapist, radiation onconlogist รังสีแพทย์ทางมะเร็ง
• radiologist รังสีแพทย์
• rheumatologist แพทย์ทางโรคข้อ
• urologist ศัลยแพทย์ทางระบบปัสสาวะ
• surgeon ศัลยแพทย์ หมอผ่าตัด
• cardiac surgeon ศัลยแพทย์หัวใจ
• colon and rectal surgeon, colorectal surgeonศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
• general surgeon ศัลยแพทย์ทั่วไป
• hand surgeon ศัลยแพทย์มือ
• oral surgeon ศัลยแพทย์ช่องปาก
• pediatric surgeon ศัลยแพทย์เด็ก
• plastic and reconstructive surgeon ศัลยแพทย์ตบแต่ง
• thoracic surgeon ศัลยแพทย์ช่องอก
• trauma surgeon ศัลยแพทย์ผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
• vascular surgeon ศัลยแพทย์เส้นเลือด
• assistant surgeon ผู้ช่วยศัลยแพทย์

Dental Specialists ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรม

• endodontist ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษารากฟัน
• oral surgeon ทันตแพทย์ศัลยกรรมช่องปาก
• orthodontist ทันตแพทย์จัดฟัน
• pediadontist ทันตกรรมเด็ก
• periodontist ทันตแพทย์ปริทันต์ หมอฟันเฉพาะทางรักษาโรคเหงือก

Medical Conditions ภาวะด้านการแพทย์

คำศัพท์ที่มักใช้สับสนกันหรือใช้แทนกันคือคำว่า
โรค (disease) อาการ (symptom) และ ภาวะ (condition)
แต่ทั้งสามอย่างก็คืออาการที่ทำให้เราไม่สบายกายนั่นเอง

Abdominal Problems ปัญหาเกี่ยวกับช่องท้อง

• appendicitis ไส้ติ่งอักเสบ
• constipation ท้องผูก
• dehydration ภาวะที่ร่างกายขาดน้ำ
• diarrhea ท้องเสีย การถ่ายอุจจาระเหลว
• food poisoning อาหารเป็นพิษ
• heartburn อาการแสบร้อนกลางอก
• acid reflux กรดไหลย้อน
• irritable bowel syndrome (IBS) ลำไส้แปรปรวน
• nausea คลื่นไส้
• stomach flu หวัดลงกระเพาะ
• ulcer แผลเปื่อย, แผลพุพอง
• gastric ulcer (GU), Peptic Ulcer (PU) แผลที่กระเพาะอาหาร
• urinary incontinence ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

Bone, Muscle and Joint Problems ปัญหาเรื่องกระดูกกล้ามเนื้อและข้อต่อ

• arthritis ข้ออักเสบ
• bunions นิ้วหัวแม่เท้าผิดรูป
• bursitis เบาน้ำอักเสบ
• carpal tunnel syndrome (CTS) โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ
• hammertoes นิ้วเท้าหงิกงอผิดปกติ ข้อยึด
• muscle cramps ตะคริว
• osteoporosis โรคกระดูกพรุน
• sports injuries การบาดเจ็บทางการกีฬา
• strains กล้ามเนื้อฉีก
• sprains อาการเคล็ด
• sprain and Dislocation ข้อเคล็ดและข้อเคลื่อน
• tendonitis เอ็นอักเสบ

Cardiac Circulatory Problems ปัญหาวงจรการทำงานของหัวใจ

• arrhythmia หัวใจเต้นผิดจังหวะ
• congestive heart failure หัวใจเลือดคั่ง
• heart failure หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย
• sudden cardiac arrest ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
• acute myocardial infarction กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
• coronary artery disease โรคหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบ
• hypertension ความดันโลหิตสูง high blood pressure
• varicose veins เส้นเลือดขอด

Chest and Respiratory Problems ปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจ

• allergies อาการแพ้
• asthma โรคหอบหืด
• bacterial infection โรคติดเชื้อแบคทีเรีย
• bronchitis หลอดลมอักเสบ
• cold ไข้หวัด
• influenza ไข้หวัดใหญ่
• laryngitis กล่องเสียงอักเสบ
• pneumonia ปอดบวม
• sinusitis ไซนัสอักเสบ
• strep throat คออักเสบ
• swollen glands
• tonsillitis ต่อมทอนซิลอักเสบ

Digestive Problems ปัญหาด้านระบบย่อยอาหาร

• cirrhosis ตับแข็ง
• colitis ลำไส้ใหญ่อักเสบ
• gallstones นิ่วในถุงน้ำดี
• hemorrhoids ริดสีดวงทวาร
• hepatitis ตับอักเสบ
• hernia ไส้เลื่อน
• jaundice ดีซ่าน
• polyps ติ่งเนื้อ

Endocrine Problems ปัญหาของระบบต่อมไร้ท่อ

• diabetes เบาหวาน
• goiter คอพอก
• hyperthyroidism ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนออกมามากกว่าปกติ

Eye and Ear Problems ปัญหาเรื่องตาและหู

• conjunctivitis เยื่อบุตาอักเสบ
• ear infection หูติดเชื้อ
• ear wax ขี้หู
• sties, sty กุ้งยิง
• swimmer’s ear น้ำเข้าหู
• tinnitus หูอื้อ หรือเสียงในหู
• vertigo เวียนศีรษะบ้านหมุน

From the Medical Package of Paiboon Language Academy's General English Program, Compiled and Translated by Benjawan Poomsan

จาก Medical Package ในคอร์สภาษาอังกฤษทั่วไปของ สถาบันภาษา ไพบูลย์ รวบรวมและแปลโดย เบญจวรรณ ภูมิแสน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #9 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 10:04:41 AM »

มาตรวจสุขภาพ เจอหมอ (พญ อิสรีย์ ประดิษฐ์กุล) ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยพบมาในชีวิต อธิบายละเอียดทุกตัวเลขครึ่งขั่วโมง และได้ความรู้ใหม่คือ

1. ห้ามออกกำลังกายด้วยการขึ้นลงบันไดเด็ดขาด ทำให้เข่าพัง

2. ห้ามเล่นฮูลาฮูป เพราะจะทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อน

3. ถ้าออกกำลังด้วยการเดินสายพาน ห้ามใช้โหมดขึ้นเขา

4. ควรให้ร่างกายสัมผัสแดดอ่อนๆ ทุกวัน

5.  คนอายุ 50+ ต้องออกกำลังแบบ cardio และ ยกเวท (ดัมเบล ห้ามบาร์เบล) เบาๆ เพื่อออกกำลังหลังให้แข็งแรง

6. ใครที่เป็นไขมันพอกตับต้องออกกำลังเท่านั้น ไขมันถึงจะหลุด

7. ลด LDL ด้วยการลดอาหารทอด มัน ทะเล อาหารแปรรูป(ไส้กรอก)

8. กะทิกินได้เป็น HDL (หมอคำนวณให้เห็นว่า ถ้า HDL สูงพอจะไป cover LDL ได้)

9. ส่องกล้องหามะเร็งลำไส้ไม่จำเป็นถ้าตรวจสารบ่งชี้มะเร็งทุกปี และถ้าไม่มีอาการท้องผูกปวดท้องต่อเนื่อง

Cr:ท่านผู้หญิงภรณี มหานนท์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #10 เมื่อ: มีนาคม 10, 2022, 05:47:33 PM »

ผลตรวจสุขภาพประจำปี รู้ได้อย่างไร ค่าสุขภาพแบบไหน เข้าข่ายเสี่ยงโรค

นพ. ธเนศ สินส่งสุข วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565


การตรวจสุขภาพ เป็นการป้องกันก่อนการเกิดโรค เนื่องจากบางโรคมักไม่แสดงอาการ และกว่าจะมีอาการแสดงก็รุนแรงจนยากที่จะรักษา หากพบค่าสุขภาพผิดปกติในผลตรวจสุขภาพ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด
 
การวัดค่าความดันโลหิตเพียงครั้งเดียวอาจไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงจำเป็นต้องวัดซ้ำ 2 – 3 ครั้ง และตรวจติดตามผลเป็นระยะ เนื่องจากค่าความดันโลหิตมีปัจจัยกระทบได้ง่าย เช่น ความเหนื่อยล้า ความตื่นเต้น และความเครียด หรือการพักผ่อนน้อย

หลังการตรวจสุขภาพ ฟังแพทย์อธิบายผลตรวจสุขภาพและค่าต่างๆ ในแผ่นกระดาษ จำได้บ้างลืมบ้าง เนื่องจากมีทั้งอักษรย่อ ทั้งตัวเลข พร้อมคำแนะนำมากมายเต็มไปหมด ค่าน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตค่อนข้างสูง ไขมันในเลือดปริ่มเพดานค่ามาตรฐาน รู้หรือไม่ว่า ตัวเลขเฉพาะเหล่านั้นบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพและความเสี่ยงโรคร้ายบ้าง 

ค่าน้ำตาลในเลือด (Blood sugar)
ทางการแพทย์ใช้การตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเพื่อคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวาน ซึ่งค่าปกติของระดับน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 70-100 mg/dl หากมีระดับน้ำตาลมากกว่า 100 – 125 mg/dl ถือว่ามีความเสี่ยงหรือมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวาน และหากมากกว่า 126 mg/dl ถือว่าเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานระยะเริ่มต้น

อย่างไรก็ตาม ค่า HbA1c (Glycated hemoglobin) หรือการตรวจน้ำตาลสะสม เป็นค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดสะสมช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร มักใช้เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวานและติดตามการควบคุมโรคเบาหวาน รวมถึงประเมินความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ค่า HbA1c ปกติ คือ น้อยกว่า 5.7 mg% หากมีค่า 5.7 – 6.4 mg% ถือเป็นผู้มีความเสี่ยงเป็นเบาหวาน  และหากมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 6.5 mg% ถือเป็นโรคเบาหวาน

นอกจากตัวโรคเบาหวานที่ตัวโรคมีความอันตรายอยู่แล้ว ยังมีอันตรายในรูปแบบของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองส่งผลให้เกิดอัมพฤกษ์/อัมพาต หรือโรคจอประสาทตาเสื่อมจากภาวะเบาหวานขึ้นตาจนส่งผลต่อการมองเห็นและเกิดภาวะตาบอดในที่สุด

ค่าไขมันในเลือด (Cholesterol, Triglyceride, HDL, LDL)
การที่จะให้ผลการตรวจระดับไขมันในเลือดมีความแม่นยำมากที่สุด ผู้ตรวจควรงดอาหารและน้ำประมาณ 12 ชั่วโมงก่อนทำการเจาะเลือด โดยสามารถแบ่งการตรวจค่าไขมันในเลือดได้ ดังนี้

คอเลสเตอรอล (Cholesterol) เป็นระดับไขมันรวมในกระแสเลือด กรณีพบภาวะไขมันในเลือดสูงกว่า 200 mg/dl  สามารถทำให้หลอดเลือดแข็ง ตีบ และอุดตัน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจได้

ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) หากตรวจพบไตรกลีเซอไรด์มีค่าสูงกว่า 150 mg/dl ถือว่ามีความเสี่ยงโรคไขมันอุดตันและหลอดเลือดแข็งตัว
ไขมันเอชดีแอล HDL (High-Density Lipoprotein cholesterol) เป็นไขมันดี มีหน้าที่จับไขมันตามผนังหลอดเลือดเพื่อนำไปทำลายที่ตับ หากมีระดับ HDL สูงจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งระดับ HDL ในหลอดเลือดไม่ควรต่ำกว่า 40 mg/dl

ไขมันแอลดีแอล LDL (Low-Density Lipoprotein cholesterol) หรือไขมันตัวร้าย หากมีปริมาณมากจะเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดตีบตันตามอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจและสมอง ดังนั้นจึงไม่ควรมีระดับ LDL สูงเกินกว่า 130 mg/dl

ค่าความดันโลหิต
การวัดค่าความดันโลหิต ช่วยให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดเบื้องต้น  ซึ่งค่าความดันโลหิตปกติ ตัวบนไม่ควรเกิน 120 มม.ปรอท และตัวล่างไม่เกิน 80 มม.ปรอท  สำหรับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ค่าใหม่ อ้างอิงตามคำแนะนำจากสมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกาปี 2017 คือ 130/80 มม.ปรอทขึ้นไป

ทั้งนี้ หากมีค่าความดันโลหิตสูง อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายอื่นๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคไต เป็นต้น ทั้งนี้ การวัดค่าความดันโลหิตเพียงครั้งเดียวอาจไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง จึงจำเป็นต้องวัดซ้ำ 2 – 3 ครั้ง และตรวจติดตามผลเป็นระยะ เนื่องจากค่าความดันโลหิตมีปัจจัยกระทบได้ง่าย เช่น ความเหนื่อยล้า ความตื่นเต้น และความเครียด หรือการพักผ่อนน้อย เป็นต้น

ค่าการทำงานของตับ (Liver function test)
การตรวจการทำงานของตับสามารถตรวจจากผลเลือดได้ โดยผู้ตรวจไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนการเจาะเลือด โดยผลเลือดที่แสดงค่าการทำงานของตับแบ่งออกได้ ดังนี้

Alanine aminotransferase (ALT) หรือ Serum glutamic pyruvic transaminase (SGPT) เป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งในเซลล์ตับ ค่า ALT ปกติเท่ากับ 0-48 IU/L หากตรวจพบค่าผิดปกติ สามารถบ่งชี้ความผิดปกติที่เกิดในเซลล์ตับและการเกิดโรคในตับ เช่น ตับแข็ง ได้
Aspartate aminotransferase (AST) หรือ Serum glutamic-oxaloacetic transaminase (SGOT) เอนไซม์ที่พบในเซลล์ตับและในอวัยวะอื่นๆ เช่น หัวใจ ไต สมอง และกล้ามเนื้อ ปกติมักตรวจคู่กับ ALT เพื่อประเมินการทำงานของตับ ซึ่งค่าปกติของ AST นั้นเท่ากับ 0-35 IU/L   
Alkaline phosphatase (ALP) เอนไซม์ที่ผลิตขึ้นมาด้วยโปรตีนจากอวัยวะต่างๆ ที่เกิดโรคหรือเกิดความผิดปกติ เช่น ตับ กระดูก ลำไส้เล็ก ไต ปกติมักตรวจคู่กับ ALT และ AST เพื่อประเมินการทำงานของตับ ค่าปกติของ ALP ในผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 120 U/L กรณีพบ ALP มีค่าสูงอาจบ่งชี้ว่าเกิดปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ตับอักเสบ โรคมะเร็งตับ หรือรับประทานยาที่เกิดพิษต่อตับ
   
Albumin คือ โปรตีนที่สร้างจากตับ เป็นส่วนประกอบสำคัญของเลือด การตรวจวัดโปรตีน Albumin ช่วยในการประเมินการทำงานของตับและความสมดุลของการสร้างอัลบูมินที่ตับและการขับออกทางไต ค่าปกติของ Albumin นั้นเท่ากับ 3.5-5 mg/dL   
Total bilirubin การตรวจวัด bilirubin ใช้ในการประเมินการทำงานของตับได้ โดยค่าปกตินั้นน้อยกว่า 2 mg/dL   

ผลตรวจสุขภาพผิดปกติ ควรทำอย่างไร
การตรวจสุขภาพ คือ แนวคิดการป้องกันก่อนการเกิดโรค อาจตรวจพบความเสี่ยงโรคหรือค้นพบโรคในระยะเริ่มต้น กรณีพบผลผิดปกติที่บ่งบอกการเริ่มต้นของโรค แพทย์อาจสั่งยา หรือมีคำแนะนำอื่นๆ เพิ่มเติมเฉพาะโรค เช่น การปรับพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้ป่วย รวมถึงอาจส่งต่อเพื่อรับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง 

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพตามคำแนะนำของแพทย์คือหัวใจสำคัญ ผู้เข้าตรวจสุขภาพไม่ควรละเลยคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงแต่ยังไม่เป็นโรค เนื่องจากการรักษาในระยะเริ่มต้นมีโอกาสหายขาดได้มากกว่า และมีแนวโน้มที่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันจะช่วยป้องกันโรคร้ายต่างๆ ได้ ดังนี้

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารรสจัด ดื่มน้ำ 8-10 แก้วต่อวัน รวมถึงเพิ่มกากใยอาหารจากผักและผลไม้เป็นประจำ

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กรณีมีโรคประจำตัว ภาวะน้ำหนักเกิน หรือมีความเสี่ยงต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ 
ดูแลอารมณ์และจิตใจ ไม่เครียดหรือวิตกกังวลมากเกินไป 

นอนหลับให้เพียงพอ รวมถึงการนอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อการพักผ่อนอย่างสูงสุด

“HEALTH RACE” เติมเต็มสุขภาพครบสูตร
“HEALTH RACE” เติมเต็มสุขภาพครบสูตร
หลายครั้งที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่กลับทำได้ยาก ทั้งไม่มีความรู้ ไม่มีเวลา ไม่มีแรงบันดาลใจ หรืออาจไม่อยากทำ คงจะดีไม่น้อยหากการดูแลสุขภาพให้ยั่งยืนจะมี “เพื่อนคู่คิดสุขภาพ (Health Companion)” เดินคู่ไปด้วยกัน โดยเฉพาะหากเพื่อนเคียงข้างนั้นเป็นแพทย์เฉพาะทางและผู้ชำนาญการทางสุขภาพด้านต่างๆ ด้วยโปรแกรม HEALTH RACE โปรแกรมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่ช่วยสร้างสถิติใหม่ในการดูแลสุขภาพให้ดีด้วยตัวคุณเอง นอกจากเครื่องมือที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงแล้ว ยังเพิ่มการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องระยะยาว ช่วยเติมเต็มกับ 4 ปัจจัยหลักของการมีสุขภาพที่ดี 4 ประการ หรือ “4อ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือเป็นหัวใจของโปรแกรม HEALTH RACE เพื่อช่วยให้ไปถึงเป้าหมายทางสุขภาพที่ได้ตั้งไว้ ดังนี้

อาหาร – การดูแลด้านอาหารที่เฉพาะ เพื่อสุขภาพที่ดีและตรงกับเป้าหมายของตัวเองมากที่สุด รับคำแนะนำจากนักกำหนดอาหาร ที่มีประสบการณ์
 
อิ่มกาย – การดูแลด้านการออกกำลังกายในแบบเฉพาะบุคคล โดยมีการประเมินก่อนการออกกำลังกายโดยแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจและด้านกีฬา มีการใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย อาทิเช่น เครื่อง Isokinetic รวมถึงการดูแลต่อเนื่องโดยนักเวชศาสตร์การกีฬา เพื่อสุขภาพที่ดีแบบยั่งยืน

อิ่มอารมณ์ – การดูแลด้านอารมณ์และจิตใจโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง เพราะเมื่อสุขภาพกายดีแล้ว ต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพใจด้วยเช่นกัน
 
อิ่มนอน – การดูแลด้านการนอนหลับ ซึ่งหากมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับไม่มีคุณภาพ หรือนอนกรน ก็ควรได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมกับปัญหาการนอนหลับที่เผชิญอยู่ได้

สำหรับผู้ที่สนใจการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ผู้ที่สนใจการดูแลสุขภาพแบบที่สามารถเลือกกำหนดโปรแกรมเองได้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized program) ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพโดยมีผู้ชำนาญการด้านต่างๆ คอยดูแลอย่างใกล้ชิด  หรือผู้ที่มาตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ ผิดปกติจากค่ามาตรฐาน และแพทย์แนะนำให้ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ ก่อนอาการจะทวีความรุนแรงและต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต สามารถติดต่อที่ศูนย์สุขภาพ เพื่อให้ Health Companion ติดต่อกลับและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการมีสุขภาพองค์รวมที่ดีกับโปรแกรม HEALTH RACE ได้


https://www.samitivejhospitals.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #11 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2022, 10:57:07 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=dJANDGv72ks&feature=youtu.be

อาหารไทยที่ช่วยชะลอวัย5อย่าง EP67/2 | ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์
อาหารไทยชะลอวัย 6อย่างคือ แกงเลียง ส้มตำ แกงเขียวหวาน ต้มยำน้ำใส ผัดไทย และเมี่ยงคำใบชะพู ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งอ่อนกว่าวัยและทำให้อายุยืนยาว เรามาสั่งเมนูชะลอวัยกันครับ ชมแล้วชอบส่งต่อรับบุญกัน ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #12 เมื่อ: กันยายน 07, 2022, 08:20:48 AM »

กรมอนามัย เผย‼️ดื่มกาแฟมากเกิน 4 แก้วต่อวัน อาจส่งผลกระทบกับ 4 ระบบสำคัญของร่างกาย แนะ ควรดื่มกาแฟแต่พอดี

เลือกกาแฟดำที่ไม่มีส่วนผสมอื่นจะได้ประโยชน์กับร่างกาย ไม่ควรดื่มกาแฟขณะท้องว่าง และไม่ดื่มร่วมกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนชนิดอื่น หลังดื่มกาแฟควรตามด้วยน้ำเปล่า เพื่อป้องกัน ภาวะขาดน้ำและการตกค้างของคาเฟอีนในร่างกาย

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า คนวัยทำงานนิยมดื่มกาแฟ เพื่อให้ตื่นตัว สดชื่น ลดความง่วง เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ในช่วงเช้าหรือระหว่างวัน ทำให้มีพฤติกรรมเคยชินในการดื่มกาแฟ #จึงอาจเผลอดื่มมากเกินไป   และยังมีโอกาสได้รับคาเฟอีนจากแหล่งอาหารอื่นที่ไม่ใช่กาแฟร่วมด้วย เช่น น้ำชา น้ำอัดลม โกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง

ผู้ใหญ่สามารถบริโภคคาเฟอีนได้ โดยควรรับในปริมาณที่เหมาะสมจากเครื่องดื่ม และอาหารต่างๆ แนะนำให้จำกัดปริมาณคาเฟอีนที่ได้รับในแต่ละวันไม่เกิน 300 – 400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเทียบเท่ากับกาแฟ 3 – 4 แก้ว

หากร่างกายได้รับคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปหรือเรียกว่าการบริโภคคาเฟอีนเกินขนาด (Caffeine Overdose) จะส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้

1.) ระบบประสาทส่วนกลาง จะทำให้มือสั่น นอนไม่หลับ เกิดความวิตกกังวล ปวดศรีษะ บางครั้งอาจทำให้ชักได้

2.) ระบบทางเดินอาหาร จะเพิ่มการหลั่งของกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้ปริมาณน้ำย่อยและกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ จึงควรหลีกเลี่ยงกาแฟทุกชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มหรืออาหารที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ

3.) ระบบการไหลเวียนโลหิต คาเฟอีนกระตุ้นหัวใจ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต อาจเพิ่มความดันโลหิตชั่วคราว โดยเฉพาะในผู้ที่ปกติไม่บริโภคคาเฟอีน กลุ่มที่มีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่เดิม ภาวะความดันโลหิตสูงอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ

4.) ระบบทางเดินปัสสาวะ คาเฟอีนลดการดูดน้ำกลับ ตอนผ่านเข้าไปในไต ทำให้ไตขับน้ำออกมาเยอะขึ้น กระตุ้นให้เกิดการปัสสาวะบ่อยขึ้น แคลเซียมซึ่งเป็นสารก่อนิ่วชนิดหนึ่ง จะถูกขับออกมาพร้อมปัสาวะ ในภาวะที่มีปริมาณผิดปกติ และสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยอาจก่อให้เกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะหรือการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การทำงานของไตเสื่อมลง และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเกิดภาวะไตวาย

ควรเลือกดื่มเป็นกาแฟดำไม่ใส่นมและน้ำตาล  เลือกสั่งแบบหวานน้อย หรือเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ ‘#ทางเลือกสุขภาพ’ ที่ปรากฏบนซองหรือบรรจุภัณฑ์สินค้า หรือหากต้องการจำกัดไขมันหรือน้ำตาล อาจเลือกเป็นสูตรแคลอรีต่ำ หรือสูตรไม่มีน้ำตาล จะช่วยให้สมองตื่นตัว รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หรือ เมื่อดื่มกาแฟเย็นแล้ว ควรลดอาหารหวาน มัน และของทอด ในมื้ออาหารหลักลง ซึ่งผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ อาจเสี่ยงภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายทางปัสสาวะ จึงควรกินอาหารที่มีแคลเซียม จากแหล่งอื่นร่วมด้วย เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว เป็นต้น และกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำเปล่าสะอาด 8 – 10 แก้วต่อวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน

ข้อมูล : กรมอนามัย
การดื่มกาแฟ ดื่มกาแฟมากไป
กรมอนามัย ทางเลือกสุขภาพ
NBT2HD
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #13 เมื่อ: กันยายน 08, 2022, 12:20:53 PM »

กินน้ำผักวันละ 11 แก้ว จากจะต้องผ่าตัดโรคร้าย เเต่ร่างกายดีขึ้นเอง

จัน ลั่นทุ่ง

https://www.msn.com/th-th/news/national/

เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ของน้ำผัก 5 ชนิดพิชิต 100 โรค ฟังดูอาจเว่อร์ เเต่คนเล่าของเราคือ พี่อภิชาติ เพื่อนอีจันเอง บอกว่าเชื่อผมเหอะมันดี

พี่อภิชาติเจอจันบ่อยมาก ในฐานะคนรู้จัก คนร่วมงานกัน เเต่จู่ๆเขาก็อภิชาติก็ชวนจันว่า

"ไปกินน้ำผักบ้านผมมั๊ย ผมอายุ 73 เป็นมะเร็งโรคหัวใจ เตรียมตัวตาย เเต่ฟื้นร่างกายได้เพราะน้ำผักนี่เเหละ ไม่ต้องคีโตให้ทรมาน"

โอ้ววว มันวิเศษขนาดนั้นเชียว ถ้าพี่เขากล้าการันตี จันก็ลองสักตั้ง จากวันที่เราคุยกันไม่กี่คำ เราก็เตรียมของขนใจบุกบ้านพี่อภิชาติ เพื่อเรียนคอร์สนี้แบบจริงจัง
เริ่มเลยละกันค่ะ น้ำผักสูตรนี้พี่อภิชาติบอกว่า กว่าจะได้มามันยากนะ ยากทั้งการหาสูตร ยากทั้งความไม่เชื่อตั้งเเต่เเรกของตัวเอง
พี่อภิชาติยอมเปิดใจ โดยเริ่มจากการจ้างหมอ หรือคนที่ทำสูตรน้ำผักพิชิต 100 โรคนี้ขึ้นมาทำให้กินที่กรุงเทพฯ 5 วัน
คอร์สนี้ใช้เวลา 5 วัน เเต่ต้องใช้ความอดทนสูงมาก เพราะต้องดื่มน้ำผักสีเขียวสกัด จากผัก 5 อย่างวันละ 11 แก้ว เพื่อเอาสารพิษในร่างกายออกมา เปลี่ยนเลือดเสียๆให้กลายเป็นเลือดดี เเละฟื้นฟูระบบร่างกายใหม่หมด

ไหนๆก็ไหนๆ พี่อภิชาติก็ลองสักตั้ง เพราะไม่มีอะไรจะเสีย

5 วันของการพิสูจน์สรรพคุณน้ำผักนี้เริ่มขึ้น

โดยคอร์สนี้มี 2 สูตร คือ ผักสีเขียวปั่น 10 แก้ว เเครอท-แอปเปิ้ลเขียวปั่น 1 แก้ว ต่อ 1 วัน

ส่วนวัตถุดิบใน 1 เเก้วก็จะมี

(ผักชี-ผักคะน้า-ผักคอส-พริกหวาน-เเอปเปิ้ลเขียว )

ขั้นตอนการทำต้องใช้เครื่องปั้นแยกกาก หรือเครื่องสกัดเย็น

1.ล้างผักทุกอย่างด้วยเกลือหรือด่างทับทิม แช่ไว้ 15 นาที

2.พักผักให้สะเด็ดน้ำ สลัดน้ำในผักออกให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้น้ำไปเจือจางความเข้มข้นของน้ำจากผัก

3.หั่นผักทุกอย่างเป็นชิ้นประมาณ 2-3 นิ้ว เพื่อให้ง่ายต่อการปั่น

4.พริกหวานและแอปเปิ้ลเขียวให้เอาเม็ดออก

5.นำทุกอย่างเข้าเครื่องสกัดแยกกาก โดยใส่ตามลำดับ

1. -พริกหวาน

2. -ผักชี

3. -แอปเปิ้ลเขียว

4. -คอส

5. -คะน้า

6.ปั่นเสร็จนำมากรองในตะแกรงถี่อีกครั้ง เพื่อให้กระเพาะดูดซึมง่ายขึ้นโดยไม่มีกาก

เเละต้องต้องค่อยๆจิบอย่ากระดกที่เดียว และต้องจิบภายใน 15 นาที ประมาณ 7 จิบหมดแก้ว หลังจิบเสร็จห้ามดื่มน้ำเปล่าตาม 30 นาที
ส่วนใน 5 วัน การกินน้ำผัก 11 เเก้ว แบ่งตามเวลา ตามนี้

05.30 น. ดีท็อกซ์

07.00 น. น้ำผักแก้วที่1

08.00 น. ทานข้าวเช้า

09.00 น. น้ำผักแก้วที่2

10.00 น. น้ำผักแก้วที่3

11.00 น. น้ำผักแก้วที่4

12.00 น. กินข้าวเที่ยง

13.00 น. น้ำผักแก้วที่5

14.00 น. น้ำผักแก้วที่6

15.00 น. น้ำผักแก้วที่7

16.00 น. น้ำผักแก้วที่8

17.00 น. กินข้าวเย็น

18.00 น. น้ำผักแก้วที่9

19.00 น. น้ำผักแก้วที่10

20.00 น. น้ำผักแก้ว 11

(แครอท+แอปเปิ้ลเขียว)

ก่อนนอน ดีท็อกซ์
เเละที่สำคัญอาหารที่ต้องทานระหว่างอยู่ในคอร์สจะต้องเป็นอาหารสะอาด หรือง่ายๆคือไม่มีฤทธิ์ไปทำลายหรือต่อต้านสรรพคุณของน้ำผัก

สิ่งที่กินได้เเละกินไม่ได้
พี่อภิชาติเล่าไปหัวเราะไปว่า

"คุณเชื่อมั๊ยน้ำที่ผมต่อต้านบอกไม่เอาๆวันนั้น พอผ่าน 5 วัน ผมรู้สึกได้เลยว่ามันทำให้ร่างกายผมดีขึ้น ผมเดินขึ้นบ้าน 2 ชั้น โดยไม่หอบ จากนอนซมให้คนมาเยี่ยม ผมลุกไปตีกอล์ฟได้ 18 หลุมโดยไม่ต้องพัก ผิวพรรณผมที่มีเเต่กระเเห้งกร้าน เริ่มผลัดออก เเละคุณรู้มั๊ย ก่อนหน้าที่ผมจะกินน้ำผัก หมอบอกผมต้องผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ เเต่พอไปตรวจอีกรอบหมอบอกไม่ต้องเเล้ว หัวใจผมเเข็งเเรงขึ้นเยอะ คุณว่ามันมหัศจรรย์มั๊ย?"อนนี้ในตู้เย็นพี่อภิชาติมีเเต่ผักที่เตรียมไว้กินประจำ เพราะระยะเวลาในการเข้าคอร์ส 5 วัน

เเต่หลังจากเข้าคอร์ส 5 วัน หลังจากนั้นอยู่ที่วินัยของเรา แต่ควรกินวันละ 4 แก้วตามสะดวกและหลังจากเข้าคอร์ส 5 วันแล้ว 1 เดือน ควรกลับมากินคอร์ส 11 แก้ว อีก 2 วันหรือถ้าเป็นไปได้ เว้นเดือนต่อเดือน ก็เข้าคอร์ส 2 วัน วันละ 11 แก้ว เดือนเว้นเดือน

พอฟังมาถึงตรงนี้จันคิดว่ามันต้องอยากแน่ๆ พี่อภิชาติหัวเราะเเล้วพูดว่า ก็เเล้วแต่คุณมันต้องอดทนจริง เเต่ถ้าผลลัพธ์มันได้ขนาดนี้ ผมยอม

เพราะไม่มีรสชาติใดอร่อย เทียบเท่าความรู้สึกของการมีสุขภาพที่ดีคนที่เคยผ่านวิกฤตมา เขาจะรู้ดีว่าการมีสุขภาพที่ดีคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด ร่างกายมีร่างเดียว… จงดูแลเขา เท่าที่เราดูแลได้


https://www.msn.com/th-th/news/national/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B0-11-%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87/ar-AA11yRpc?ocid=msedgdhp&pc=U531&cvid=76848d8a532f4b76803b3f0a58c1cf7f

ย่อลิ้งค์ไม่เป็นค่ะ สนใจอ่านเนื้อหาเต็มกดตามนี้ค่ะ
ขอบคุณบทความดีๆค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: