Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 30 31 [32] 33   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ชวนกันเข้าครัว  (อ่าน 78956 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #465 เมื่อ: มกราคม 03, 2016, 01:38:05 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=iFNuzwTyo9Q


wongnai สูตรเด็ดเมนูต้มยำเครื่องทะลัก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #466 เมื่อ: เมษายน 25, 2016, 01:26:30 PM »

10 สูตรทำไอศกรีมไม่ใช้เครื่อง เย็นฉ่ำรับซัมเมอร์แบบฟิน ๆ

http://cooking.kapoo...view117368.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #467 เมื่อ: เมษายน 28, 2016, 05:51:02 PM »

แจกสูตร ยำตะไคร้กุ้งสด



ส่วนผสมและสัดส่วน

 1. ตะไคร้ซอยบางๆ 5 ต้น
 2. พริกขี้หนูซอย
 3. หอมแดงซอย 2 – 3 หัว
 4. กุ้งสด 4 – 5 ตัว
 5. กุ้งแห้งทอดกรอบ ตามชอบ
 6. มะม่วงหิมพานต์อบสุกครึ่งซีก ตามชอบ
 7. น้ำตาลปี๊บ ตามชอบ
 8. น้ำมะนาวตามชอบ
 9. เกลือหรือน้ำปลา ตามชอบ
 10. น้ำเปล่า

 วิธีปรุง

 1. เตรียมเครื่องยำต่างๆ ซอยผักต่างๆ กุ้งแกะเปลือกผ่าหลัง ลวกสุกไว้ เตรียมไว้

 2. เตรียมทำน้ำยำโดย ตั้งน้ำเปล้าเล็กน้อยให้เดือดใส่น้ำตาลปี๊บลงไปคนให้ละลาย จนส่วนผสมเริ่มข้นเหนียว

 3. เติมเกลือ น้ำมะนาว คนให้เข้ากันชิมรสตามชอบ ใส่เครื่องยำต่างๆ ลงไปคลุกให้เข้ากัน ตักใส่จานโรยด้วยกุ้งแห้งทอดกรอบ

 Cr. สูตรอาหาร http://th.openrice.com/th/recipe/ยำตะไคร้กุ้งสด/937
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #468 เมื่อ: เมษายน 28, 2016, 05:54:59 PM »

วิธีทำ น้ำสลัด หลากหลายสไตล์



ถ้าพูดถึงเมนูสำหรับคนลดความอ้วนแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นสลัด แต่จะกินสลัดแบบเดิมๆ ทุกวันก็คงจะเบื่อ วันนี้เลยเอาวิธีทำน้ำสลัด ที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้านเราเอง ใครชอบสูตรไหน ก็จดกันไปทำได้เลยมาเริ่มกันที่

น้ำสลัดน้ำใสสไตล์ญี่ปุ่น

 ส่วนผสม

 1. ซีอิ๊วถั่วเหลืองญี่ปุ่น 1/4 ถ้วยตวง
 2. น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วยตวง
 3. น้ำตาล 1/4 ถ้วยตวง
 4. มายองเนส 1/4 ถ้วยตวง
 5. งาคั่ว และน้ำมันงา 1/4 ถ้วยตวง

 วิธีทำน้ำสลัด

 1. นำ 3 ข้อแรก มาผสมกัน ถ้ารสยังไม่ถูกใจให้ปรุงรสตามชอบ ถ้ารู้สึกหวานไป ให้เติมน้ำส้มสายชูเพิ่ม เอาใส่หม้อ ตั้งเตาให้น้ำตาลละลาย ยกลงจากเตา

 2. แล้วใส่มายองเนส คนให้เข้ากันตามด้วยงา และน้ำมันงานิดหน่อยพอแต่งกลิ่น

 3. นำไปราดบนผักที่เตรียมไว้ ก็พร้อมรับประทานแล้ว

 ****น้ำสลัดแบบนี้เหมาะกับผักเรดโอ๊ค กรีนโอ๊ค และมะเขือเทศ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบของเลี่ยนๆ

น้ำสลัดลูกพลับ

 ส่วนผสม

 1. ลูกพลับ 2 ผล
 2. มะนาว 1 ผล(ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ)
 3. เกลือ 1 ช้อนชา
 4. น้ำมันโอลิฟ 1 ช้อนโต๊ะ
 5. พริกไทยดำเล็กน้อย

 วิธีทำน้ำสลัด

 1. ปอกเปลือกลูกพลับ แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำลูกพลับ และส่วนผสมใส่ลงเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ

 ****เหมาะมากที่จะรับประทานกับสลัดผลไม้ ยิ่งใครที่ชอบรสเปรี้ยวอมหวานแล้ว ห้ามพลาด

 น้ำสลัดครีมแคลอรี่ต่ำ

 ส่วนผสม

 1. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
 2. กระเทียมสับ 1 ช้อนชา
 3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
 4. น้ำมันสลัด 2 ช้อนโต๊ะ
 5. น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
 6. พริกไทยดำ 1/2 ช้อนชา

 วิธีทำน้ำสลัด

 1. วิธีทำนั้นง่ายมาก เพียงแค่นำส่วนผสมทั้งหมด ใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ลองชิมดู แล้วปรุงรสตามที่ชอบ

 ****ถึงน้ำสลัดอันนี้จะเป็นน้ำสลัดครีม แต่ก็มีแคลอรี่ต่ำ คนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ แล้วเบื่อสลัดน้ำใส ลองมาทำน้ำสลัดสูตรนี้ดู

 น้ำสลัดทาวน์แซน ไอซ์แลนด์

 ส่วนผสม

 1. มายองเนส 5 ช้อนโต๊ะ
 2. ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
 3. พาสเลย์สับ 1 ช้อนโต๊ะ
 4. พริกไทยดำ 1 ช้อนชา

 วิธีทำน้ำสลัด

 1. สูตรน้ำสลัดสูตรนี้ บอกได้เลยว่า ง่ายยิ่งกว่าง่าย เพียงเอาส่วนผสมทั้งหมดเทใส่ถ้วย แล้วคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว

 ****น้ำสลัดสูตรนี้ ใช้เวลาในการทำน้อยมากๆ เพื่อรสชาติที่ดีกว่า จึงควรทำใหม่ทุกครั้ง

 น้ำสลัดพริกไทยดำ

 ส่วนผสม
 1. มายองเนส 1 ถ้วย
 2. น้ำตาลทราย 1.5 ถ้วย
 3. น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
 4. เกลือ 1/4 ช้อนชา
 5. พริกไทยดำ 2 ช้อนชา

 วิธีทำน้ำสลัด

 1. ใส่มายองเนสลงในชาม ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลือ และพริกไทยดำ คนด้วยตะกร้อให้เข้ากันดี ชิมให้มีรสชาติออกเปรี้ยว หวานเล็กน้อย และเผ็ดพริกไทย

 ****พริกไทยดำมีสรรพคุณต่อต้านความอ้วน เนื่องจากมีสารไปเปอรีน ที่มีกลิ่นฉุนและมีรสชาติเผ็ดร้อน ที่สามารถขัดขวางไม่ให้เซลล์ไขมันใหม่ก่อตัวขึ้นได้

น้ำสลัดโคลสลอว์

 ส่วนผสม
 1. มายองเนส 1/2 ถ้วย
 2. มัสตาร์ด 1/2 ช้อนชา
 3. วิปปิงครีมชนิดกล่อง 1/4 ถ้วย +2 ช้อนโต๊ะ
 4. ปาปริก้า 1/2 ช้อนชา
 5. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
 6. เกลือ 1/4 ช้อนชา
 7. พริกไทยดำ 1/2 ช้อนชา

 วิธีทำน้ำสลัด
 1. นำวิปปิงครีมผสมกับมายองเนสในชาม เติมมัสตาร์ด และปาปริก้า คนให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว เกลือ และพริกไทยดำ ชิมรสให้ออกเปรี้ยว เค็ม ให้มันและเผ็ดเล็กน้อย น้ำสลัดจะมีสีครีม ข้นไม่มาก มีสีแดงของปาปริก้า

 ****น้ำสลัดชนิดนี้มักรับประทานกับกะหล่ำปลีหั่น แอปเปิ้ลแดงหั่น เซเลอรีหั่นบาง แครอทหั่นเส้น

 Cr. สูตรอาหาร http://www.thaihow.com/1249
 Cr. ภาพอาหาร Internet

 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #469 เมื่อ: เมษายน 28, 2016, 06:04:08 PM »

ปั้นน้ำเป็นเงิน น้ำผลไม้และน้ำสมุนไพร บรรจุขวดขาย 8 สูตร ทำง่าย ขายคล่อง!!



น้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรพร้อมดื่ม

 (1. น้ำเก๊กฮวย)

 ส่วนผสม
 1. น้ำ 20 ลิตร
 2. เก๊กฮวย ตรานก 150 กรัม
 3. น้ำตาลทราย 2.75 กิโลกรัม
 4. เมล็ดดอกพุด 5 ดอก
 5. ใบเตย 4 ใบ

 วิธีทำ
 1. ต้มน้ำพร้อมใส่ใบเตย จนน้ำเดือด

 2. ทุบเมล็ดดอกพุดห่อผ้าขาวบาง ชงให้ได้สีตามต้องการ

 3. เมื่อได้สีตามต้องการแล้ว เอาห่อเมล็ดพุดออก

 4. เติมน้ำตาล เคี่ยวไปจนเดือด ปิดไฟ

 5. ใส่เก๊กฮวย เกลี่ยเบาๆ ให้ทั่ว ปิดฝา เป็นอันเสร็จ


(2. น้ำเฉาก๊วย)

 ส่วนผสม
 1. น้ำสะอาด 20 ลิตร

 2. ใบเตย 5-6 ใบ

 3. น้ำตาลทราย 3.5 กิโลกรัม

 เฉาก๊วยแข็ง 2 กิโลกรัม

 วิธีทำ
 1. ขูดเฉาก๊วยเป็นเส้น ใส่ลงในขวดที่นึ่งไว้แล้ว ประมาณ 1 ช้อนส้อม แยกไว้

 2. ตั้งน้ำพร้อมใบเตยให้เดือด

 3. ใส่น้ำตาลทรายลงไป เคี่ยวให้เดือด

 4. กรองและบรรจุลงในขวดที่ใส่เฉาก๊วยไว้แล้ว

 หมายเหตุ ต้องใช้เฉาก๊วยแข็ง ซึ่งหาซื้อได้ตามตลาดสด ไม่ใช้เฉาก๊วยนิ่ม เพราะจะเละและไม่ให้สี เมื่อบรรจุน้ำเชื่อมลงไป สีของเฉาก๊วยจะยังไม่ออก รอไว้สักครู่สีจะออกมาเอง


(3. น้ำมะพร้าว)

 ส่วนผสม
 1. น้ำ 12 ลิตร
 2. มะพร้าวอ่อนน้ำหอม 6 ลูก
 3. น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม
 4. ใบเตย 5 ใบ
 5. น้ำหัวเชื้อ (น้ำและเนื้อมะพร้าวอ่อน)
 6. สับมะพร้าว แยกน้ำแยกเนื้อไว้

 น้ำเชื่อม
 1. ตั้งน้ำและใบเตย จนเดือด

 2. ใส่น้ำตาลทรายลงไป จนเดือด

 3. ใส่น้ำหัวเชื้อ (อุณหภูมิจะลดลง) จับอุณหภูมิให้ได้ 85 องศาเซลเซียส (ใช้เทอร์โมมิเตอร์) เป็นเวลา 3 นาที หรือ 90 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 12 วินาที ดับไฟ ต้องปฏิบัติโดยเคร่งครัด เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำผลไม้ สี และกลิ่น

 4. ยกลง กรอง กรอกใส่ขวด ลดอุณหภูมิโดยการน็อคน้ำเย็น


(4. น้ำลำไย)

 ส่วนผสม
 1. น้ำสะอาด 20 ลิตร
 2. ลำไย 150 กรัม
 3. โอทึ้ง 2 ทัพพี (120 กรัม)
 4. กรดมะนาว ปลายช้อน
 5. ใบเตย 4 ใบ
 6. น้ำตาลทราย 2. 75 กิโลกรัม

 วิธีทำ
 1. ตั้งน้ำ ใส่ใบเตย ลำไย และกรดมะนาว

 2. เคี่ยวจนเดือด ลำไยบานเป็นลูก มีกลิ่นหอม

 3. ใส่โอทึ้ง น้ำตาลทราย รอให้เดือด ปิดไฟ

 หมายเหตุ ก่อนที่ลำไยจะบาน จะเหมือนกับยุ่ยก่อน อย่าตกใจคิดว่าลำไยเละ รอสักครู่ จะบานเอง


(5. น้ำมะตูม)

 ส่วนผสม
 1. น้ำ 20 ลิตร
 2. มะตูม 300 กรัม
 3. น้ำตาลทราย 2.75 กิโลกรัม

 วิธีทำ
 1. เตรียมน้ำสะอาด 20 ลิตร

 2. ย่างมะตูมให้เหลืองหอม ไม่ควรให้เกรียม เพราะจะทำให้มีกลิ่นควันและเหม็นไหม้

 3. นำน้ำพร้อมมะตูมขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวให้มะตูมเปื่อย สังเกตโดยใช้ทัพพีจิกเนื้อมะตูมจะฉีกขาดง่าย

 4. ใส่น้ำตาลทราย รอเดือด เป็นอันเสร็จ


(6. น้ำกระเจี๊ยบ)

 ส่วนผสม
 1. น้ำ 20 ลิตร
 2. ดอกกระเจี๊ยบแห้ง 250 กรัม
 3. น้ำตาลทราย 2.3 กิโลกรัม
 4. เกลือ 60 กรัม
 5. กรดมะนาว 15 กรัม

 วิธีทำ
 1. ตั้งน้ำพร้อมดอกกระเจี๊ยบแห้ง

 2. ใส่กรดมะนาวและเกลือ

 3. เคี่ยวจนดอกกระเจี๊ยบเปื่อยยุ่ย สีซีดลง

 4. ใส่น้ำตาลทราย รอเดือด เป็นอันเสร็จ


(7. น้ำฝรั่งพร้อมดื่ม 25% - น้ำฝรั่งพร้อมดื่มเนคต้า)

 ส่วนผสม
 1. น้ำฝรั่ง 4,000 กรัม (4 กิโลกรัม)
 2. น้ำตาลทราย 2,000 กรัม (2 กิโลกรัม)
 3. กรดมะนาว 30 กรัม
 4. เกลือป่น 60 กรัม
 5. เพคติน 20 กรัม
 10. น้ำสะอาด 10 ลิตร

 วิธีทำ
 1. ฆ่าเชื้อขวดและฝา

 2. ผสมน้ำตาลกับเพคตินให้เข้ากัน

 3. เตรียมน้ำเชื่อม โดยผสมส่วนผสมในข้อ 2 กับกรดมะนาว และน้ำต้มให้เดือด กรองด้วยผ้าขาวบาง

 4. ผสมน้ำฝรั่งกับน้ำเชื่อม คนให้เข้ากัน แล้วนำขึ้นตั้งไฟให้ได้อุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส โดยใช้เทอร์โมมิเตอร์ เป็นเวลา 3 นาที ยกลง บรรจุขวดที่ลวกฆ่าเชื้อแล้วทำให้เย็นโดยแช่ในน้ำ

 5. หากกรองด้วยผ้าขาวบาง เป็นน้ำฝรั่ง 25%

 6. หากไม่กรองด้วยผ้าขาวบาง เป็นน้ำฝรั่งเนคต้า (มีอณูเนื้อ)

 7. เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส


(8. น้ำเสาวรส-บีทรูท-แครอท)

 ส่วนผสม
 1. เสาวรส (เฉพาะเนื้อและเมล็ด) 2,000 กรัม (2 กิโลกรัม)
 2. บีทรูท (ปอกเปลือกออก) 1,200 กรัม
 3. แครอท (ปอกเปลือกออก) 800 กรัม
 4.น้ำตาลทราย 2,000 กรัม (2 กิโลกรัม)
 5. กรดมะนาว 30 กรัม
 6. เกลือป่น 60 กรัม
 7. เพคติน 20 กรัม
 8. น้ำสะอาด 10 ลิตร

 วิธีทำ
 1. นำเสาวรส บีทรูท และแคร์รอต ปั่นในเครื่องปั่นไฟฟ้า หากเครื่องหนืด ให้ใช้น้ำในสูตรช่วยเล็กน้อย กรองโดยใช้ถุงกรองแยกกาก แล้วแยกไว้

 2. ผสมน้ำตาลกับเพคตินให้เข้ากัน

 3. เตรียมน้ำเชื่อม โดยผสมน้ำตาลทราย กรดมะนาว เกลือป่น และน้ำต้มให้เดือด กรองด้วยผ้าขาวบาง

 4. ผสมน้ำเสาวรส บีทรูท และแคร์รอต กับน้ำเชื่อม คนให้เข้ากัน แล้วนำขึ้นตั้งไฟให้ได้อุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส โดยใช้เทอร์โมมิเตอร์ เป็นเวลา 3 นาที ยกลง บรรจุขวดที่ลวกฆ่าเชื้อแล้วทำให้เย็นโดยแช่ในน้ำ

 5. เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียส

 Cr. สูตรอาหาร http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07066151252&srcday=2009-12-15&search=no
 Cr. ภาพอาหาร http://pantip.com/topic/30643813
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #470 เมื่อ: เมษายน 28, 2016, 06:26:11 PM »

แจกฟรี สูตรเครื่องดื่มวุ้น เย็นจับใจปานอยู่ขั้วโลกเหนือ แบบไม่ง้อตู้เย็น




ไว้ อาลัยแด่อุณหภูมิ 40 องศาด้วยสูตรทำโค้กวุ้น, น้ำผลไม้วุ้น หรือแม้แต่เบียร์วุ้น ให้กลายเป็นสเลอร์ปี้แบบบ้านๆ ดับร้อนกันง่ายๆ แบบไม่ง้อตู้เย็น


 ร้อนจุงเบย >< เลิกบ่นแล้วมาทำเครื่องดื่มคลายร้อนแบบง่ายๆ ในราคาประหยัดกันดีกว่าค่ะ ถ้าเพื่อนๆ พร้อมแล้วล่ะก็ เริ่มกันเลยค่า




วัตถุดิบ

1.น้ำอัดลม, น้ำผลไม้, เบียร์   เลือกได้ตามชอบ
2.น้ำแข็ง  4  ถุง
3.เกลือเม็ดใหญ่  1 ถุง

อุปกรณ์

       1. กล่องโฟมหรือกระติกน้ำแข็ง 

ลงมือโลดดดด!!

1. ไล่อากาศ

เริ่มด้วยการนำน้ำอัดลมมาเปิดฝาเพื่อไล่อากาศออก แล้วปิดฝาน้ำอัดลมให้สนิทและใส่ลงในกล่องโฟม




2. แช่ + เขย่า

ใส่น้ำแข็งลงไปทั้งหมดและโรยเกลือเม็ดใหญ่ให้ทั่วๆ ปิดกล่องและคอยเขย่ากล่องโฟมบ่อยๆ จนครบ 15 นาที


Tip..ลองสังเกตุดูว่าน้ำอัดลมจับตัวเป็นน้ำแข็งหรือยัง ถ้ายังแช่ต่ออีก 5 นาทีจ้า






3. เท

เย้! ในที่สุดก็ได้สเลอร์ปี้แล้ว อย่าช้าเทใส่แก้วแล้วมาดูดดื่มกับเครื่องดื่มเย็นจับใจ แบบที่ไม่ต้องง้อตู้เย็น


Tip..เมื่อน้ำอัดลมจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว ห้ามเขย่าเด้อ ให้เทใส่แก้วเลยไม่งั้นจะเป็นน้ำเสียก่อน

ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ครบ 15 นาทีแล้วพลิกขวด เอาเหรียญบาทเคาะ 1-2 ที เป็นวุ้นแน่นอนจ้า






ที่มา https://www.wongnai.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #471 เมื่อ: เมษายน 28, 2016, 07:59:22 PM »


"ขนมจีนน้ำยาปู" กินกับเพื่อนๆที่บ้าน แซ่บเวอร์

ส่วนผสม : น้ำยาปู
 ********
 1.พริกแกงใต้ 500 กรัม
 2.หัว+หางกะทิ 2กิโล
 3.กรรเชียงปู 8ขีด-1กิโล
 4.น้ำตาลปี๊บ/เกลือ/ส้มแขก กะตามชอบ

วิธีทำ
 *****
 1.เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน ใส่พริกแกงลงไปผัดให้หอม
 2.ใส่หางกะทิลงไป คนให้เข้ากัน ปรุงรสเค็มหวานตามชอบ ใส่ส้มแขกลงไปจะทำให้มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ปล่อยให้เดือด
 3.ใส่เนื้อปูลงไปคนให้เข้ากันแบบเบามือเพื่อไม่ให้เนื้อปูแตกปล่ยให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟ
 4.ตักราดขนมจีน กินพร้อมผักซอย ไข่ต้ม มันดีงามมากๆๆ ‪#‎maekwansri






วิธีทำ
 *****
 1.เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน ใส่พริกแกงลงไปผัดให้หอม




2.ใส่หางกะทิลงไป คนให้เข้ากัน ปรุงรสเค็มหวานตามชอบ ใส่ส้มแขกลงไปจะทำให้มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย ปล่อยให้เดือด



3.ใส่เนื้อปูลงไปคนให้เข้ากันแบบเบามือเพื่อไม่ให้เนื้อปูแตกปล่ยให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟ



4.ตักราดขนมจีน กินพร้อมผักซอย ไข่ต้ม มันดีงามมากๆๆ





https://www.facebook.com/Maekwansri-646819155398235/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #472 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2016, 11:37:17 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=yKHDKh8jm9w

กิน อยู่ คือ - วุ้น เจลาตินต่างกันอย่างไร
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #473 เมื่อ: กันยายน 02, 2016, 11:33:54 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=Ok_BdU3gNro

สูตรเด็ด ! วิธีทำ หมูกรอบ แบบไม่ต้องต้ม ไม่ต้องตากแดด กรอบนอก นุ่มใน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #474 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2016, 04:00:23 PM »

ยำรวมเห็ดกุ้งสด


เห็ดนำมาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย อาหารที่ปรุงจากเห็ดจะมีรสชาติดี เห็ดบางชนิดมีสรรพคุณทางยา บางชนิดเป็นพิษต่อร่างกาย คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะใกล้เคียงกับผัก คือ มีวิตามิน เกลือแร่ โดยเฉพาะโปรตีนในเห็ดจะมีคุณภาพดีกว่าในผัก
ส่วนผสม (สำหรับ 1 ที่) : เห็ดนางฟ้าฉีก 25 กรัม เห็ดฟางหั่นตามยาว 40 กรัม เห็ดหูหนูสดหั่นเป็นริ้ว 30 กรัม เห็ดหอมสดหั่นตามขวาง 16 กรัม หอมหัวใหญ่ซอยบางๆ 20 กรัม ขึ้นฉ่ายหั่นเป็นท่อน 8 กรัม แครอตซอย 20 กรัม น้ำปลา 12 กรัม น้ำมะนาว 10 กรัม กระเทียมสับ 3 กรัม น้ำตาลมะพร้าว 10 กรัม พริกขี้หนูสับ 3 กรัม กุ้งสดแกะเปลือกผ่าหลังลวก 30 กรัม

วิธีทำ : นำกุ้งและเห็ดแต่ละชนิดลวกพักไว้ นำกระเทียมสับ พริกขึ้หนูสับผสมรวมกันปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะนาว คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วใส่กุ้งและเห็ดลวกลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่แครอตซอย หอมหัวใหญ่ซอย คลุกเบามือให้ส่วนผสมเข้ากันอีกครั้ง แล้วโรยหน้าด้วยขึ้นฉ่าย
(เครดิตภาพ : udon-news, mrs.kimwon)



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #475 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2016, 03:19:34 PM »

ยำผักกูด
 ผักกูด คือ ยอดอ่อนของไม้จำพวกเฟิร์น ยอดอ่อนและปลายยอดม้วนงอแบบก้นหอยและมีขนอ่อนๆ เป็นผักป่าที่มีรสจืดอมหวาน กรอบ ชาวบ้านนิยมเก็บกินช่วงหน้าแล้งเพราะรสชาติจะอร่อยกว่าฤดูอื่นๆ ผักกูดอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และบีตาแคโรทีน ซึ่งหากกินร่วมกับเนื้อสัตว์ก็จะทำให้เกิดการดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ได้ดีขึ้น ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงสายตา อาหารจานนี้เหมาะที่ควบคุมน้ำหนักตัวอย่างยิ่ง
(เครดิตภาพ : nagoyalover, ปลายแป้นพิมพ์, แจ้ว, benz47, แพรริโกะ, ฟ้าลั้นลา)

วิธีทำ
:>> http://bit.ly/1iHfNze


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #476 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2017, 04:29:24 PM »



ขนมฟักทอง
ขนมฟักทองเป็นขนมไทยโบราณทำกินเองที่บ้านได้ง่ายๆ วิธีการไม่ยุ่งยาก วัตถุดิบหาได้ง่าย กินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในปัจจุบันจะทำใส่ถ้วยตะไล แต่ถ้าจะให้หอมควรทำใส่ห่อหรือกระทงที่ทำจากใบตอง เพราะจะได้กลิ่นหอมใบตองด้วย ฟักทองช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต บำรุงตับ ไต ปรับสมดุลในร่างกาย หากกินทั้งเปลือกก็จะได้คุณค่าเพิ่มขึ้นอีก

(เครดิตภาพ : บูด้อน, library.cmu.ac.th, painaima)

วิธีทำ :>> http://bit.ly/1kiTIci
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #477 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2017, 04:35:26 PM »

ส้นใหญ่ราดหน้าปลาเต้าซี่

โพสโดย somsak เมื่อ 1 มกราคม 2553 00:00
ประวัติของก๋วยเตี๋ยวน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ แห่งกรุงศรีอยุธยา โดยชาวจีนล่องเรือมาขายสินค้ากับคนไทย นอกจากขายสินค้าแล้ว ยังนำเส้นก๋วยเตี๋ยวมาด้วยโดยปรุงกินกันในเรือ ต้มน้ำซุป ใส่หมู ใส่ผัก คนไทยเห็นเป็นของแปลกตาในยุคนั้นอย่างที่สุด แต่เมื่อเห็นบ่อยเข้าก็มีการนำเส้นก๋วยเตี๋ยวมาประกอบเป็นอาหารอื่นๆ สร้างความคุ้นเคยระหว่างคนไทยกับก๋วยเตี๋ยวเพิ่มขึ้น


นอกจากนี้  คนจีนเริ่มมีการทำเส้นก๋วยเตี๋ยวเองในเมืองไทย โดยนำแป้งข้าวเจ้ามาทำเส้นก๋วยเตี๋ยวมากขึ้น คนไทยจึงรู้จักเส้นก๋วยเตี๋ยวกันเป็นอย่างดีในเวลาต่อมา หลังจากสิ้นยุคกรุงศรีอยุธยา มาถึงสมัยกรุงธนบุรี ยิ่งมีคนจีนเดินทางมาค้าขายและมาสร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองไทยมากขึ้น และมีการทำเส้นก๋วยเตี๋ยวกันมากขึ้น จึงหาซื้อได้ง่ายและแถมด้วยการทำก๋วยเตี๋ยวขายแบบหาบเร่ไปถึงผู้ซื้อทีเดียว รวมถึงการเร่ขายทางเรือด้วย โดยมีทั้ง น้ำ แห้ง แต่เป็นหมูทั้งหมด ยังไม่มีก๋วยเตี๋ยวเนื้อเกิดขึ้น
คนจีนมักทำเส้นก๋วยเตี๋ยวกันในครัวเรือน วิธีการคือนำเอาเมล็ดข้าวสารแช่น้ำไว้ตั้งแต่หัวค่ำ จนเช้าแล้วนำข้าวสารไปโม่ให้ละเอียดเป็นแป้ง ต่อมาก็ทำเป็นแผ่น โดยนำหม้อใบโตใส่น้ำต้มให้เดือด นำผ้ามัดปิดไว้ที่ปากหม้อ เว้นช่องให้ความร้อนที่เป็นไอผ่านได้สะดวก จากนั้นนำแป้งที่โม่ไว้และเหลวพอเหมาะพอดี ตักพอประมาณ เทละเลงลงบนผ้าที่มัดไว้ปากหม้อ ให้กระจายมีความบางกำลังดี แล้วเอาฝาหม้อปิดไว้ รอเพียงครู่เดียวแป้งก็สุก นำไม้พายแซะแผ่นแป้งที่สุกแล้วพาดไว้บนราวไม้ไผ่ ผึ่งให้แห้ง พอแห้งหมาดๆ ก็นำลงมาทาน้ำมันถั่วเคลือบไว้แล้วซ้อนแผ่นอื่นทับไปอีก จะได้ไม่ติดกัน หลังจากนั้นก็ใช้มีดหั่นเป็นเส้นๆ เส้นเล็กหรือใหญ่ก็แล้วแต่ว่าลงมีดหั่นอย่างไร ถ้าลงมีดห่างก็ได้เส้นใหญ่ ลงมีดชิดกันก็จะได้เส้นเล็ก แต่ปัจจุบันหั่นด้วยเครื่องกันหมดแล้ว จึงได้ขนาดของเส้นเท่ากันสม่ำเสมอ นี่คือที่มาของเส้นก๋วยเตี๋ยว


ส่วนเต้าซี่ เป็นถั่วเหลืองพันธุ์ดำ ซึ่งมีวิธีการหมักเฉพาะตัว มีกลิ่นและรสแตกต่างไปจากเต้าเจี้ยว  บางตำรับบอกว่าก่อนนำมาปรุงทำอาหารให้ล้างก่อน บางตำรับบอกไม่ต้องล้าง สำหรับวิธีการทำอาหารจานนี้ต้องล้างเต้าซี่ก่อน เพื่อล้างความเค็มออกไปบ้าง




าดหน้า เป็นอาหารจานเดียวอีกอย่างหนึ่งที่ทำได้ง่าย กินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ วัตถุดิบหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป ถ้าหาซื้อเต้าซี่ไม่ได้ให้ใช้เต้าเจี้ยวดำเม็ดใหญ่ก็ได้ แต่รสและกลิ่นจะไม่หอมเท่าเต้าซี่



ค่าโภชนาการของเส้นใหญ่ราดหน้าปลาเต้าซี่ 1 จาน ให้พลังงาน 841 กิโลแคลอรี ซึ่งเป็นพลังงานประมาณ 1 ใน 3 สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานวันละ 2,400 กิโลแคลอรี ได้แก่ หญิง-ชายที่ใช้พลังงานมากๆ (เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน และนักกีฬา) อาหารจานนี้ให้โปรตีนสูงมากถึงเกือบร้อยละ  71 ของปริมาณที่แนะนำให้กินใน 1 วัน (แนะนำเฉลี่ยวันละ 50 กรัม) และให้ไขมันที่สูงมากเช่นกัน คิดเป็นประมาณร้อยละ 85 ของปริมาณที่แนะนำให้กิน (แนะนำเฉลี่ยวันละ 60 กรัม) หรือพลังงานที่มาจากไขมันคิดเป็นร้อยละ 55 ของพลังงานทั้งหมดของอาหารจานนี้ โดยเป็นไขมันที่มาจากน้ำมันที่ใช้สำหรับผัด ทอด และน้ำมันงานั่นเอง


อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรี ได้แก่ เด็ก หญิงวัยทำงาน ผู้สูงอายุ และผู้ที่ต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี ได้แก่ วัยรุ่นชาย-หญิง ชายวัยทำงาน สามารถกินอาหารจานนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยผู้ที่ต้องการพลังงานวันละ 1,600 กิโลแคลอรี อาจแบ่งตักอาหาร 3 ใน 5 ส่วน และผู้ที่ต้องการพลังงานวัน 2,000 กิโลแคลอรี อาจแบ่งตักอาหาร 3 ใน 4 ส่วนของหนึ่งหน่วยบริโภค หรืออาจเลือกกินหมดทั้งจาน แต่ควรลดปริมาณอาหารในมื้อถัดไปแทน ซึ่งรวมถึงการลดอาหารที่มีไขมันสูงในมื้อถัดไปด้วย โดยหลีกเลี่ยงอาหารประเภทผัดและทอด อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ เนื้อสัตว์ติดหนังหรือติดมัน เป็นต้น




มื่อดูคุณค่าโภชนาการอื่นๆ พบว่าอาหารจานเดียวจานนี้ ให้เส้นใยอาหารที่ค่อนข้างดี คิดเป็นประมาณร้อยละ 14 ของปริมาณที่แนะนำให้กินใน 1 วัน (แนะนำวันละ 25 กรัม)

นอกจากนี้ ผักคะน้าที่ใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งของอาหารจานนี้ ยังเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซีและบีตาแคโรทีน ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระต่างๆ ออกจากร่างกาย โดยให้วิตามินซีถึงร้อยละ 91 ของปริมาณที่แนะนำให้กินใน 1 วัน (แนะนำวันละ 60 มิลลิกรัม) และให้บีตาแคโรทีน 775 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 หน่วยบริโภค อย่างไรก็ตาม ทั้งวิตามินซีและบีตาแคโรทีนอาจถูกทำลายไปบ้างจากความร้อนในการลวก

สำหรับปริมาณคอเลสเตอรอลของอาหารจานนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่แนะนำ คือไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนโซเดียมอาจมีปริมาณมากไปสักนิด คิดเป็นร้อยละ 58 ของปริมาณที่แนะนำให้กิน แต่ยังอยู่ในช่วงที่แนะนำเช่นกัน คือไม่ควรเกินวันละ 2,400 มิลลิกรัม

 


ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 369-015
นิตยสารหมอชาวบ้าน  เล่มที่: 369
เดือน/ปี: มกราคม 2553
คอลัมน์: เข้าครัว
นักเขียนหมอชาวบ้าน: ริญ เจริญศิริ, ศศพินทุ์ ดิษนิล


https://www.doctor.or.th/article/detail/10282
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #478 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2017, 10:06:03 PM »

หมีมีหม้อ added 3 photos and a video.

22 July at 16:00 · รูปที่โพสต์คลิป


-ข้าวคลุกน้ำพริกกะปิ
-ผักลวกและผักสด เช่น แครอทลวก แตงกวา
-เนื้อปลาทู (อย่าลืมแกะก้างปลาออกนะ)
-ชะอมสับ
-ไข่ไก่ 2ฟอง
-น้ำปลา
-สเปรย์น้ำมัน
-พลาสติกแรป

•วิธีการทำ•

-ตอกไข่ไก่ลงชาม ใส่ชะอมสับลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา
ตีให้เข้ากัน
-ตั้งกระทะให้ร้อน ฉีดสเปรย์น้ำมันและเทไข่ลงไป ร่อนให้ทั่วกระทะ นำฝาหม้อมาปิด ใช้ไฟอ่อนนะคะจะได้ไม่ไหม้
-เมื่อไข่สุก ค่อยๆแซะออกจากกระทะ นำมาวางบนเขี่ยงหรือจาน ตักข้าวคลุกน้ำพริกกะปิใส่ให้เกือบทั่วแผ่นไข่
วางผักและเนื้อปลาทูที่เตรียมไว้
-ค่อยๆม้วนให้เป็นซูชิ (วิธีการม้วนดูได้ตามขั้นตอนในวิดีโอนะคะ) นำพลาสติกแรปมาแรปให้เข้ารูป ทิ้งไว้ประมาณ 2-3นาที นำแรปออกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
-จัดเสริฟ์ลงจานพร้อมน้ำพริกกะปิรสแซ่บและผักเคียง
เสร็จเรียบร้อยพร้อมทานกับซูชิแบบง่ายๆสไตล์และรสชาติแบบไทยรูปที่โพสต์������������ อร่อยแบบอีซี่ๆจานนี้ไม่ทำทานไม่ได้
#หมีมีหม้อ




https://www.facebook.com/hashtag/หมีมีหม้อ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #479 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2018, 10:45:10 PM »


ต้มกะหล่ำเจ


ครื่องปรุงและส่วนผสม ต้มกะหล่ำเจ

1.กะหล่ำปลี 4 หัว
2.เห็ดหอม 10 ดอก
3.ฟองเต้าหู้ทอด 1 ถ้วยตวง
4.ซิอิ๊วขาว 1/2 ถ้วยตวง
5.ซอสปรุงรส 2 ถ้วยโต๊ะ
6.พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
7.น้ำมันพืช
8.น้ำเปล่า

วิธีการทำ ต้มกะหล่ำเจ

ผ่ากะหล่ำปลี ออกเป็นสี่ถึงหกซีก (ขึ้นอยู่ว่าหัวเล็กหรือใหญ่) นำไปล้างน้ำให้สะอาด และผึ่งให้แห้ง จากนั้นเทน้ำมันพืชใส่กะทะ รอจนน้ำมันร้อน ใส่กะหล่ำปลีลงทอดให้เหลือง และดูว่าผักนุ่มลง (เวลาทอดให้ใช้ไฟปานกลาง คอยกลับข้างกะหล่ำด้วย น้ำมันที่ใช้ต้องมากพอท่วมผัก ไม่เช่นนั้นผักจะไหม้) จากนั้นตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน (ต้องสะเด็ดน้ำมันนานๆ ไม่อย่างนั้นเวลาต้มออกมา จะมันมาก) ถึงตอนนี้กลิ่นกะหล่ำทอดก็หอมไปทั่วบ้านแล้วล่ะ

เรียงกะหล่ำใส่หม้อ โรยด้วยพริกไทยเม็ด บุบพอแตก ใส่น้ำเปล่าพอท่วมผัก ใส่ฟองเต้าหู้ทอด นำขึ้นตั้งไฟ
ส่วนเห็ดหอมแห้ง ให้นำไปแช่น้ำจนนุ่ม (ถ้าดอกแข็งมากให้ใช้น้ำอุ่น) จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ (อย่าลืมตัดแกนออก เพราะส่วนมากจะแข็ง เดี๋ยวจะทานไม่อร่อย) นำกะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย ใส่เห็ดหอมที่เตรียมไว้ลงผัด ใช้ไฟอ่อน ผัดจนเห็ดหอม มีกลิ่นหอม ปรุงรสด้วยซิอิ๊วขาวเล็กน้อย ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน

ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว และซอสปรุงรส ตั้งไฟจน เดือนเข้ากันดี ชิมรสและปรุงรสเพิ่มตามความชอบ (ถ้าจะประหยัด ชิมแล้วรู้สึกว่าไม่เค็ม ปรุงรสเพิ่มด้วย เกลือ แต่ถ้าจะให้อร่อยเลิศแบบทุ่มทุนสร้างแนะนำว่าให้ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว ไม่ใช้เกลือค่ะ แบบว่าอร่อยมากๆ ขอบอก )


thank you  kha
http://www.thaifooddb.com/Recipe_Special/special_002.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 30 31 [32] 33   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: