Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ใครบางคน อ่านน้ะ  (อ่าน 1073 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« เมื่อ: ตุลาคม 30, 2013, 12:20:59 PM »

โรคซ้ำ กรรมซัด ปรียานุช ปานประดับ ใช้ความรักสู้กับความตาย !




ชีวิตที่วนเวียนด้วยโรคภัยของอดีตนางงามวัย 48 ปี กว่า 20 โรคที่เธอต้องเยียวยา ผ่านการผ่าตัดมาแล้วถึง 7 ครั้ง หนำซ้ำยังเดินไม่ได้จนต้องนั่งวีลแชร์ถึง 2 ปี กระทั่งเธอถูกทำนายว่าจะหมดอายุขัยภายในสิ้นปี
วันนี้… เธอจึงลุกขึ้นสู้กับความตาย!!

     “หมอดู (อาจารย์สมยศ จิรนาถโภคิน) ที่เคยทำนายป๋า (สมชาย สามิภักดิ์ คู่ชีวิตของ จุรี โอศิริ) ว่าจะเสียชีวิตในปี 2552 ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น คือ ตาย ตามที่หมอดูทำนาย…และหมอดูคนเดิม ก็ทำนายนุชว่าจะตายในปีนี้ เขาบอกว่าข้างในร่างกายของนุชอ่อนแอมาก… จนไม่สามารถจะดำรงชีวิตต่อไปได้”

     เนื้อหาบางช่วงในหนังสือ “เมื่อเวรกรรม ไล่ล่าดาราดัง” ที่อดีตมิสเอเชียแปซิฟิก ปรียานุช ปานประดับ ถ่ายทอดชะตาชีวิตของเธอจนกลายเป็นประเด็นชวนผวา เนื่องจากคำทำนาย ดังกล่าวสอดคล้องกับสุขภาพตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพราะหลายคนรู้ดีว่าเธอเผชิญกับโรคภัยนานามาแล้วกว่า 20 โรค กระทั่งถึงขั้นผ่าตัด 7 ครั้ง และเดินไม่ได้จนต้องนั่งวีลแชร์นาน 2 ปี
     ในวันที่ “ซ้อนุช” คู่ชีวิตของ ตู่-นพพล โกมารชุน นักแสดงและผู้กำกับคนดัง ยังมีลมหายใจ และเปี่ยมด้วยพลังใจอันยิ่งใหญ่ เธอหัวเราะให้กับคำตอบเมื่อถูกถามถึงความรู้สึก “หากต้องตายภายในสิ้นปี”

     “ไม่เคยถูกใครทำนายแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ตกใจอะไร เพราะอย่างไรทุกคนก็ต้องตาย ถ้าทำนายว่าไม่ตายนี่สิ จะตกใจมากกว่า (หัวเราะ) โดนทำนายว่าอายุจะยืน แบบนี้กลัวมาก ทุกอย่างเป็นไปตามชีวิต เป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น ทำนายว่าเดือนหน้าไม่ดี ก็จะไม่ออกไปไหนไกลๆ อยู่แต่ในบ้าน ส่วนจะเกิดอะไรก็สุดแล้วแต่เวรแต่กรรม เพราะเราฝืนชะตาฟ้าลิขิตไม่ได้” อดีตนางงามที่ยังคงเค้าความสวยแม้ใบหน้าจะปราศจากเครื่องสำอางใดๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม






นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่า ต่อให้คำทำนายระบุไว้ว่า อยู่ได้แค่สิ้นปีนี้ หากมีสติและไม่ประมาทกับ ทุกการกระทำก็น่าจะเพียงพอ โดยเฉพาะกิจกรรมอะไรที่เคยทำแบบหามรุ่งหามค่ำ ทำแบบตลอดเวลา เฉกเช่นคนไฮเปอร์ ทุกอย่างให้เหลือเพียงภาพในอดีตเท่านั้น

     “ผลพลวงของการเจ็บป่วยไม่สบายทุกวันน้ี เพราะเราทำงานหนัก ไม่ถนอมร่างกาย เราเต็มที่กับงาน มากเกินไป เปิดกล้องละครครั้งละ 2-3 เรื่องพร้อมๆ กัน ใส่ใจทุกรายละเอียด เครียดกับการทำงานตลอด อยากให้งานออกมาดี ทำเองทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเขียนบท ประพันธ์บท บอกแอ็กติ้ง จัดฉาก ตัดต่อ ลงเสียงเอง ไม่ปล่อยให้ทีมงานหรือน้องๆ ได้โชว์ฝืมือ หรือทำกันเองบ้าง อดหลับอดนอน 3-4 วันก็เป็นไร มาตอนนี้รู้ซึ้งเลย”

     ความเจ็บป่วยทางกายที่เกิดขึ้นกับสาวสวยระดับมิสเอเชียแปซิฟิกเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก โดย “ซ้อนุช” แห่งบริษัทเป่าจินจง เล่าย้อนถึงโรคภัยที่เกิดขึ้นเป็นลำดับว่า เริ่มจากเมื่อตอนเด็กๆ ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ เป็นไมเกรน พอขยับมาตอนอายุ 18 ปี ปวดประจำเดือนแบบหนักหนาสาหัส ติดต่อกันถึง 15 วัน บางวันถึงกับเป็นลมล้มพับ จนหมอตรวจพบว่าเลือดไหลไปอยู่ในเยื่อบุมดลูก ต้องกินยาระงับปวดทุกๆ 4 ชั่วโมง นับจากนั้นเป็นต้นมา

     “หนักสุดๆ ตอนอายุ 20 กว่า ตรวจพบว่าเป็นซีสต์ในมดลูก แต่ไม่ต้องผ่า หมอให้ฉีดยาสลายซีสต์เท่านั้น ผ่านมา 2 ปี อาการกำเริบจนถึงขั้นเดินไม่ได้ ยกของหนักก็ไม่ได้ จะมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอด ให้หมอตรวจหามะเร็งก็ไม่เจอ เพราะตอนนั้นกังวลมาก เนื่องจากพ่อเสียด้วยโรคมะเร็ง ส่วนญาติๆ ทางแม่ก็เป็นโรคหัวใจ เลยกลัวว่าจะเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่คิด และโชคดีที่ตรวจแล้วไม่เป็นเบาหวาน หรือความดัน”

     อดีตนางงามที่ผันตัวเองมาเป็นนักแสดงวัย 48 ปี พูดถึงโรคร้ายที่รุมเร้าต่อว่า หลังจากที่หมอตรวจ อาการปวดท้องอย่างรุนแรงในครั้งนี้ พร้อมกับฉีดยาระงับปวด จึงสั่งให้กินยาคุมต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 2 ปี และทันทีที่หยุดกินยา เนื่องจากอยากมีลูกกับคู่ชีวิต ตู่-นพพล โกมารชุน ปรากฏว่าหน้าอกขยายขึ้นทุกวัน จนที่สุดก็กลายเป็นซีสต์ ข้างหนึ่งใหญ่ 2 เซ็นติเมตร อีกข้างใหญ่ 3 เซ็นติเมตร ที่สุดจึงไปผ่าออก และหยุดพักได้แค่เดือนเดียว ต้องกลับมาเล่นละครเรื่อง คือหัตถาครองพิภพ

     โรคร้ายยังไม่จบแค่นั้น ปี 2538 หมอตรวจเจอเนื้องอกที่มดลูกขนาดเท่ากำปั้น และเจอช็อกโกแลตซีสต์กระจายทั่วบริเวณท่อรังไข่ตันทั้งสองข้าง ปีกมดลูกอักเสบ บวมโต พังผืดมดลูก และปีกรังไข่ก่อตัวเป็นใยแมงมุม จึงต้องผ่าตัดแบบยกเครื่องใหม่ โดยรวมที่ต้องผ่าตัด ทั้งเล็กและใหญ่ ประมาณ 7 ครั้งได้

     และผลจากการแพ้ฮอร์โมน ทำให้เธอมีอาการข้างเคียง อาทิ หน้าบวม ผิวแห้ง ปากลอก และหิวน้ำตลอดเวลา ที่สุดหมอก็สันนิษฐานว่าเป็นไทรอยด์ โดยทุกวันนี้อาการที่เพิ่มขึ้นคือ ปวดตาดำ เจ็บคอ เส้นเสียงอักเสบตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เสียง หรือตะโกนแม้แต่น้อย ยังไม่หมดเท่านี้ เธอยังเป็นโรคที่หนึ่งในแสนคนจะเป็นอีกด้วยนั่นคือ แคลเซียมรั่วซึมออกมาจากปลายประสาทของเส้นเลือดฝอย จึงทำให้แคลเซียมไหลมารวมตัวกันอยู่ที่ข้อมือและข้อต่อต่างๆ ของร่างกาย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือตรวจพบ ว่าเป็นโรคลูปัส

     เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ และไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ข้อต่อทุกส่วนของร่างกายต้องผ่าตัดอย่างเดียว โดยเฉพาะหัวเข่า เมื่อไม่สามารถเดินเหินได้อย่างปกติเหมือนเช่นเคย ทั้งยังไม่สามารถผ่าตัดได้ทันที เนื่องจากรอเปลี่ยนเข่าได้ปีละข้างเท่านั้น จึงเป็นที่มาของการนั่งรถเข็นวีลแชร์ตามที่เป็นข่าวอยู่พักใหญ่

     ส่วนวิธีรักษา คือกินยาสมุนไพรต้ม ช่วงแรกๆ ต้องทนกล้ำกลืนฝืนทน เนื่องจากยามีรสฝาด และขมมากๆ จนอาเจียนออกมาชนิดที่หมดเรี่ยวหมดแรงเลยทีเดียว

ปัจจุบัน แม้ซ้อนุช จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ก็ยังมีอาการปวดข้อ ปวดเข่า และกระดูกบริเวณต่างๆ
จนไม่สามารถนั่งหรือทำอะไรนานๆ ได้ ดังนั้นการเปลี่ยนอิริยาบทด้วยการนอน จึงพอจะช่วย บรรเทาความเจ็บปวดได้บ้าง
“นั่งนานไม่ได้ ปวดหลังมากๆ ก็นอน อย่างไปห้องตัดต่องาน ปวดหลังปุ๊บก็นอนปั๊บ แต่ต้องเป็นห้องตัดต่อที่สนิทๆ กันนะ เขาถึงไม่ว่าอะไร” เธอกล่าวพลางขออนุญาตเอนตัวลงนอน พูดคุยแทน




ไม่เพียงความทรมานจะเกิดขึ้นกับร่างกาย ทว่ายังส่งผลกระทบกับจิตใจ เพราะนอกจากเธอจะไม่ได้สีซอ หรือตีขิม ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ถนัดแล้ว ยังไม่สามารถที่จะยกกล้องมาถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ที่ชื่นชอบ รวมถึงยิงปืน ซึ่งเป็นกีฬาโปรดได้เหมือนก่อนด้วยเช่นกัน

     ทั้งนี้เจ้าตัวกล่าวด้วยน้ำเสียงปลงๆ ว่า “ทุกวันนี้ไม่คิดอะไรมาก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด วันหนึ่งถ้าตื่นขึ้นมา แล้วไม่หายใจ ก็ไม่เป็นไร เพราะทำใจแล้ว จะคิดมากก็ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น เพราะรู้สึกว่า ทำไมชีวิตถึงได้เหนื่อยขนาดนี้” กล่าวพลางหันไปมองคู่ชีวิตที่คอยดูแลเธอไม่ห่าง

     หลังจากที่วางมือจากงานทุกอย่าง อันเนื่องมาจากอาการป่วยเรื้อรังที่เป็นอยู่ ดูเหมือนว่าปาปี๊ (สรรพนามที่ใช้เรียกและแทนชื่อ ตู่-นพพล) จะดีอกดีใจอย่างออกนอกหน้า เพราะหากผู้หญิงชื่อปรียานุชไม่ป่วย ก็จะนั่งไม่เป็น หรืออยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกไปหยิบนู่น หันไปทำนี่อยู่ตลอด จนไม่มีใครตามทัน แม้กระทั่งคนร่วมเตียง





“เหมือนตามสุนัขเลยจริงๆ เหมือนหมาบ้าที่ไม่ยอมอยู่เฉยๆ เวลาที่แข็งแรง พี่ตู่จะบอกว่าเขาเบื่อมาก แต่ตอนนี้เขากลับชอบมากกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องทำอะไรเยอะ คือชอบให้เหนื่อยบ้าง ทำอะไรช้าลงหน่อย แต่ไม่ต้องเยอะเหมือนที่ผ่านๆ มาหรอก” รอยยิ้มยังคงฉายบนใบหน้าของเธออยู่เสมอ

     ทุกวันนี้ ปรียานุชพยายามทำทุกอย่าง เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จึงเป็นภูมิคุ้มกันทางใจให้เธอต่อสู้กับโรคภัย และแม้จะไม่มีทายาทสืบสกุลตามที่เคยฝันไว้ แต่เธอก็ยังมีสุนัข 9 ตัว ให้ดูแลและสร้างความสุขไปพร้อมๆ กัน


http://women.mthai.com/amazing-women/154142.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2013, 12:25:03 PM »

แห่ชื่นชม ฮีโร่หญิง ใจกล้าโดดน้ำเจ้าพระยาช่วยสาวอกหักฆ่าตัวตาย

ดูคลิปฮีโร่หญิง ใจกล้าโดดน้ำเจ้าพระยาช่วยคนฆ่าตัวตาย(คลิป)
>>> http://news.tlcthai....ews/214498.html




ชื่นชมสาวใจกล้า จนต้องย่องให้เป็นฮีโร่สาว ที่กระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อไปช่วยคนที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายโดยไม่ได้คิดถึงชีวิตของตัวเอง และสามารถช่วยเหลือผู้หญิงที่กระโดนน้ำเพื่อที่จะฆ่าตัวตายได้อย่างสำเร็จ มีการเผยแพร่คลิปที่มีผู้ถ่ายไว้ไปทั่วโลกออนไลน์ และมีคนชื่นชมอย่างกว้างขวางเลยทีเดียว
สำหรับคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว พบว่าเจ้าของคลิปได้นำมาโพสไว้บนหน้า Facebook ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้เข้ามากดชมคลิป กดไลท์ รวมถึงมีการโพสกล่าวชื่นชมสาววัยรุ่นที่กล้าหาญ ตัดสินใจกระโดดลงไปช่วยหญิงสาวที่คิดฆ่าตัวตายในแม่น้ำกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการตรวจสอบสาววัยรุ่นภายในคลิป ทราบว่าสาวที่มีใจกล้าหาญรายนี้คือ น.ส.อมรา หรือน้องแอม พันธุ์ปัญญา อายุ 24 ปี ทำงานเป็นพนักงานอยู่ร้านขายของใช้สำหรับเด็กแห่งหนึ่ง ภายในเขตตลาดปากน้ำโพ





เมื่อติดต่อไปยัง น.ส.อมรา เพื่อสอบถามเรื่องราวเหตุการณ์ในวันนั้น สาววัยรุ่นใจกล้าหาญ เปิดเผยว่า ขณะที่ตนและกลุ่มเพื่อนอีก 3-4 คน กำลังจับกลุ่มนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ริมเขื่อนแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงจุดเกิดเหตุ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นหญิงสาววัยกลางคน อายุน่าจะประมาณ 30-35 ปี กำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถือ ในสภาพร้องไห้ฟูมฟาย และมีน้ำเสียงพูดจาโวยวายคล้ายคนเมา จึงได้เฝ้าสังเกตุดูพฤติกรรมอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อหญิงคนดังกล่าวได้กระโดดลงไปในแม่น้ำ ต่อหน้าต่อตาผู้คนที่มานั่งเล่นในบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีใครกล้าให้การช่วยเหลือ จึงตัดสินใจเสี่ยงชีวิตกระโดดลงน้ำว่ายไปช่วย แล้วไปพยุงร่างนำขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย
ที่มา : postjung.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2013, 12:26:56 PM »



"ดาบแชน" ฮีโร่เก็บกู้ระเบิด เมื่อสันติภาพแลกด้วยความตาย   
เช้าของวันที่ 28 ต.ค. เสียงระเบิดดังสนั่นริมทางหลวงสาย 42 บ้านส้มป่อย ม.4 ต.กาเยาะมาตรี อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส แผ่นดินไทยสูญเสียนักกู้ระเบิดไป 3 คน หนึ่งในนั้นมี ร.ต.ต.แชน วรงคไพสิฐ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ดาบแชน" เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความโศกสลดไปทั่ว นำไปสู่การขบคิดถึงชนวนระเบิดที่แท้จริง นั่นก็คือระเบิดแห่งความเกลียดชังในหัวใจของผู้คนที่ยากจะเก็บกู้..
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2015, 05:13:43 PM »

Tom Hanks Can Describe His 27-Year Marriage To Rita Wilson In ONE Word



Rita Wilson and Tom Hanks go together like peanut butter and jam, salt and pepper, and every other great combination you could think of. Not only have they both aged gracefully, but they are still together. This is a long time for normal people, not to mention residents of Hollywood. They have now been together for an astounding 27 years (that's, like, 200 in Hollywood)!

Tom has been asked about his marriage and the couple's "secret" to longevity. His answer is both surprising and inspiring.


No, "Bird" Is Not The Word

The two agree that they got married for "all the right reasons." Their mutual feelings of familiarity and homeyness when together made for the strongest of soft places to fall. 

Tom said, "When we first looked at each other there was definitely a kind of a, ‘Hey, this is the place!’ I felt that anyway.” 




Love Being Together


Added to their "secret" to lifelong love is simply wanting to be together. A lot.

“Life is one damn thing after another and it's actually more pleasant to be able to go home with someone you like to spend time with in order to get with it,” says Hanks.




"Untouchable"


That's it. The one word Tom Hanks would use to describe his marriage is "untouchable." What a wonderful 27 years it must have been if they both have so much conviction in their union. Sigh. How very refreshing, indeed




This Says It All...



http://diply.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 04, 2020, 10:10:51 PM »

ประสาร มฤคพิทักษ์
หอมกลิ่นความดี (59) : น้ำใจเจ้าของเสียงขยี้ฟองเบียร์
FB Prasarn Marukpitak 27 กพ.63

     ค่ำวันนั้นเราอยู่ด้วยกันสามคน ก่อนเกิดเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 มี ธีรยุทธ บุญมี ประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร
และผม ประสาร มฤคพิทักษ์ เรากำลังระดมรายชื่อผู้คนใน
แวดวงต่างๆเพื่อเป็นกำลังร่วมกันในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ
ที่ได้รายชื่อมาแล้ว มีสายอาจารย์มหาวิทยาลัย สายนิสิต
นักศึกษา สายนักธุรกิจ สายข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ
สายสื่อมวลชน ยังขาดแต่สายศิลปินที่ยังไม่ได้ชื่อ แล้วจะ
ชวนเชิญใครดี พี่ประพันธ์ศักดิ์นั้นเองพูดขึ้นว่า
     “คุณสุเทพ วงศ์กำแหง ดีไหม น่าจะเซ็นชื่อร่วมได้นะ”
     อีกสองคนเห็นด้วย แล้วพากันนั่งแท็กซี่ไปภัตตาคาร
VIP ที่ซึ่งรู้ได้ว่า สุเทพ วงศ์กำแหง ร้องเพลงประจำอยู่ที่นั่น
     เมื่อไปถึง เลือกที่นั่งแล้ว นั่งรออยู่ชั่วครู่ พี่สุเทพ ร้องเพลง
จบไปแล้ว ลงมานั่งด้วยกับเรา
     ทักทายกันด้วยไมตรีจิตแล้ว เราบอกว่า
     “พวกเรากำลังเรียกร้องรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อำนาจเป็น
ของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย”
     แล้วยื่นคำประกาศเรียกร้องรัฐธรรมนูญพร้อมแบบฟอร์มชื่อ
ต้อนรับคนที่จะร่วมลงชื่อ
     พี่สุเทพ หยิบขึ้นมาอ่านแค่ 2 บรรทัดแรก แล้วขอปากกา
จากผมเซ็นชื่อให้ทันที
     นี่เป็นเสี้ยวประวัติศาสตร์แห่งการประกอบส่วนในการเคลื่อน
ขบวน 14 ตุลาคม 2516 อันยิ่งใหญ่
     เมื่อศิลปินประชาธิปไตย ล่วงลับสู่สุคติ จึงควรจารึกไว้

คารวาลัย
สุเทพ วงศ์กำแหง
~~~~~~~~~~~~
เมื่อ”รักคุณเข้าแล้ว”เป็นไร
“เธออยู่ไหน” “คืนนี้พี่คอยเจ้า”
“บทเรียนก่อนวิวาห์”กลับ”บ้านเรา”
“เพียงคำเดียว”นานเนาใน”ดวงใจ”
     
“เหมันต์พิศวาส” “ในคืนหนึ่ง”
“จงรัก” “ครวญ” “คิดถึง” จึงขานไข
“สุเทพ วงศ์กำแหง”ลาลับไป
ขอคารวาลัยไปนิรันดร์

ประสาร มฤคพิทักษ์
27กพ. 63


ด้วยความอาลัยค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 24, 2020, 08:43:43 PM »

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ดิฉันจะได้กอดราตรีสวัสดิ์ลูกหรือจูบสามี จนกว่าพระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าถึงเมื่อไหร่

เป็นที่ยืนยันแล้วว่าไวรัสกระจายในย่านที่ดิฉันอยู่  การเป็นพยาบาลห้องฉุกเฉินหมายความว่ารับประกันความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อซ้ำแล้วซ้ำอีก 100%  ดิฉันเพียงแต่อยากจะสื่อถึงทุกคนที่ต้องอยู่แต่บ้านกับครอบครัว จนเบื่อจะแย่ อยากออกไปข้างนอกเต็มทน  บางครั้งเพียงแค่ปรับมุมมองสักเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะช่วยให้คุณมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีซึ่งคนอื่นไม่มีได้

เริ่มจากเวรที่ฉันจะต้องเข้าในวันพรุ่งนี้  ออกเวรแล้วดิฉันจะกลับเข้าบ้านทางประตูห้องซักผ้าซึ่งเปิดเข้ามาจากข้างนอกได้  จะถอดเสื้อผ้ารองเท้าออก  เอาทุกอย่างใส่ในเครื่องซักผ้า  กดซักโหมดฆ่าเชื้อ   จะใช้ Clorox เช็คทุกอย่างที่แตะต้อง จากนั้นหยิบผ้าเช็ดตัวที่สามีวางไว้ให้มาคลุมตัวเดินเข้าห้องนอน  นี่จะเป็นห้องที่หลังจากวันนี้ไปห้ามคนอื่นเข้า  ดิฉันจะอาบน้ำร้อน  เสร็จแล้วจะฆ่าเชื้อทุกอย่างที่แตะต้อง ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ  แล้วแต่งตัว

เสร็จกระบวนการนี้แล้ว ดิฉันก็จะสามารถเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นได้  โดยอยู่ห่างจากทุกคนที่ฉันรัก 6 ฟุต  แต่จะไม่แตะต้องใครเลย  เพราะดิฉันอยู่ในบรรยากาศที่มีเชื้อแพร่กระจาย  ใช้หน้ากากอันเดียวตลอดเวลาที่เข้าเวร 1 วันเป็นอย่างต่ำ  ไม่สามารถแน่ใจได้ว่า ความชื้นจากลมหายใจจะทำให้ประสิทธิภาพของหน้ากากลดลงหรือไม่  จึงต้องปฏิบัติตนเสมือนมีเชื้ออยู่  และสามารถแพร่ใส่คนอื่นได้

ดิฉันจะคุยกับสามีและลูกจากระยะห่างที่ปลอดภัย  แต่จะไม่สัมผัสใครที่รักเลย  ดิฉันไม่ใช่คนที่ชอบกอดคนอื่น  แต่คาดว่าใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าคงมีวันที่ดิฉันอยากกอดใครเหลือเกิน  แต่จะไม่สามารถกอดได้  นี่เป็นทางเดียวที่จะปกป้องคนที่อยากกอดได้

ถ้าหิว จะให้ใครสักคนทำอาหารให้  โดยจัดใส่จานชามประเภทใช้แล้วทิ้ง  เพื่อจะได้ไม่ต้องห่วงว่าฆ่าเชื้อหมดเกลี้ยงหรือไม่  จะดื่มไวน์ในถ้วยพลาสติก  ขณะตอบคำถาม 100 ข้อของลูก  และพยายามไม่สนใจสีหน้าสามี  อาจจะต้องบอกลูกคนเล็กเป็นครั้งที่ล้านว่าแม่ปลอดภัยดี  หลังจากนั้นดิฉันจะกอดลมส่งให้ลูก บอกราตรีสวัสดิ์  เมื่อลูกเข้านอนแล้ว ดิฉันจะสามารถพูดอะไรได้เต็มปากมากขึ้นกับสามี  แต่ความจริงก็คือ บางทีดิฉันอาจจะต้องโกหกบ้างนิดหน่อย  ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน  พอง่วงดิฉันก็จะเข้านอนตามลำพังในห้องที่ห้ามคนอื่นเข้า

ชีวิตดิฉันจะเป็นอย่างนี้ทุกวัน  แม้แต่วันหยุด (จนกว่าจะไม่มี)  ดิฉันสามารถแพร่เชื้อได้ก่อนที่จะมีอาการ  ดังนั้น จนกว่าวิกฤตนี้จะผ่านไป  สถานการณ์ในชีวิตดิฉันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง  บางครั้งดิฉันอาจจะกอดเพื่อนร่วมงาน  เพราะเขาก็สกปรกพอ ๆ กับดิฉัน  แต่ในห้วงเวลาอันหนักอึ้งนี้  ดิฉันจะไม่สามารถได้รับสัมผัสแห่งรักของมนุษย์จากคนที่รักดิฉันที่สุด  เป็นเวลาหลายสัปดาห์ หลายเดือน  ใครเล่าจะรู้ได้  เพราะส่วนนี้อยู่ในมือของประชาชนเป็นผู้กำหนด

สิ่งที่ดิฉันอยากขอร้องคุณก็คือ  ขณะที่คุณนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านโดยมีลูกอยู่บนตัก  โปรดช่วยให้วิกฤตนี้จบลงเร็วๆ  ด้วยการไม่ออกไปข้างนอก เว้นแต่จำเป็นจริงๆ  อ้อมแขนดิฉันว่างเปล่าทุกวัน ไม่เหมือนคุณเลย  ดิฉันเข้านอนคนเดียวทุกวันที่ยังมีการระบายในชุมชน  อยู่บ้านเถอะ  กอดลูกคุณ  นอนกับสามี  กินในจานกระเบื้อง  จิบไวน์จากแก้วก้านยาว  ขอบคุณในสิ่งที่คุณยังสามารถทำได้แต่เราบางคนทำไม่ได้  ดิฉันทำหน้าที่ของตัวเองอยู่   โปรดทำหน้าที่ของคุณด้วยเถิด

One Vaxxed Nurse

ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลกนี้โปรดจงคุ้มครองปกป้องด้วยเถิดค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 03, 2020, 10:58:38 PM »

ภาษาแรงหน่อยนะครับแต่อยากให้เห็นถึงความรู้สึกของเขา

   ถอดคำพูดของเพื่อนคนไทยที่อยู่อังกฤษ…คนหนึ่งอยู่ตอนเหนือของอังกฤษ
ที่ได้คุยกันวันก่อนโคตรน่าสงสาร ตอนนี้เป็นPanic attack
บวกโรคเครียดไปแล้ว……

“…ดีแล้ววววววว ที่ยังได้อยู่ในบ้านเรา…
ตอนนี้ภาวนาสวดมนต์อย่างเดียวเลยกู
อย่าให้ติด…เพราะถ้าติดอาการต้องหนักมากๆ
ไอจนพูดไม่เป็นภาษาคน เค้าถึงจะรับ…
แต่ถ้าติดไวรัสจริงแต่อาการไม่หนักเค้าให้รักษาตัวเองอยู่บ้าน…
ก็รู้ความยากของการเจอหมอของที่นี่…
กูนอนไม่หลับเลย พอค่ำมาเมืองทั้งเมืองเงียบกริบ
มันเครียดอยู่ลึกๆ อยากกลับบ้าน……”

“…ยังไงหมอพยาบาลที่บ้านเราก็ยังดูแลดีกว่าที่นี่
กูยังจำที่เคยมาหาหมอกระดูก
เล่าว่านอนรอหน้าห้องตรวจรอหมอ12ชม.
ตอนนี้รอบตัวติดกันเยอะมาก
ฝรั่งแม่งจากที่มันไม่แคร์อะไร เอ๊ะอะไปผับ
เอ๊ะอ๊ะ ปาร์ตี้ ตอนนี้เพื่อนตายเพื่อนหายไปเยอะ
ถึงเริ่มกลัว นี่มีคนไทยที่รู้จักเสียไปวันก่อน
ไม่แน่ใจว่าโควิดมั้ย ยังไม่รู้ผลไรเลย เก็บศพรวมกันหมด
กูอยากกลับบ้านที่สุด ติดยังไงรักษาที่นั้นก็ดีกว่า……”

“……ลำบากมากตอนนี้…ของกินของใช้ต้องตุน
รู้มั้ย คิวลงทะเบียนช๊อปปิ้งทุกซุปเปอร์
อาทิตย์แรกๆพันสองพันคิว ตอนนี้
กว่าจะลงได้คิวรอเป็นแสนกว่าคิวที่ ลงทะเบียนแล้ว
รอแจ้งกว่าจะได้สั่งของ กว่าของจะมา
คิวรอของมาส่งถึงสามอาทิตย์ ชีวิตต้องคิดล่วงหน้า
จะซื้ออะไร อะไรหมดต้องเผื่อไว้ รอสามสี่อาทิตย์กว่าของจะมา
จะออกไปซื้อของก็ไม่มี ออกไปแม่งก็เสี่ยง
หยิบจับห่าไรนอกบ้านกูเป็นโรคจิตไปหมดแล้ว
บ้านเราดีฉิบหาย อ่านข่าวแล้วกูอิจฉารู้สึกว่าหมอคนไทยโคตรเก่งเลย
อยู่ใกล้จีนแต่ตัวเลขขึ้นช้า เป็นไงกูอยู่ไกลกว่าจีน
ตายห่าไปกี่พันแล้ว คนไทยยังสิบกว่าอยู่เลย วันก่อนตายไป5ร้อยกว่าวันเดียว

“……กูแทบไม่อยากอ่านข่าวฟังข่าวบีบีซีเลย…กูนอนไม่หลับ
ถึงหลับความรู้สึกเหมือนตกเหวทุกๆคืน……
นั่งสมาธิสวดมนต์ยังไงก็ช่วยเรื่องใจไม่ได้มาก
เพราะรอบบ้าน รอบข้างมันติดกันเยอะ
ระแวงไปหมด…ดีที่ไม่ได้อยู่ในลอนดอน……”

ไม่มีอะไรพูดมากไปกว่า…ฟังอยากเดียวเลย
ให้เพื่อนได้ระบายสุดท้ายพูดได้แค่ว่า
”รักษาตัวดีๆนะ…ต้องอยู่อย่างมีความหวังและต้องรอดเท่านั้น”

ฟังแล้วก็จิตตกไปตามมันเลย…
ถ้าใครไม่เคยไปใช้ชีวิตนานๆที่ต่างประเทศ
คุณไม่รู้หรอกว่าประเทศเราถึงจะจะโกงจะส้นตีนอะไรแต่ยังไง
เราก็ยังเป็นคนชนชั้นหนึ่ง มีสิทธิ์ มีตัวตน
บ้านเรายังมีศีลธรรม จริยธรรม และมีน้ำใจเสมอเวลาเกิดวิกฤติ
ยิ่งเจ็บป่วยในต่างบ้านต่างเมือง ลำบากที่สุดในชีวิต
อย่าบอกนะว่าเคยไปอยู่ เรียนแค่ปีสองปีอย่าพูดเลย
ยังไม่เข้าใจ เข้าถึงการเป็นคนชนชั้นสองชั้นสามของบ้านเมืองเค้าหรอก
ไม่มีที่ไหนดีเท่าแผ่นดินนี้อีกแล้ว
8ปีของฉัน…ในต่างแดน
มันทำให้รักและเห็นคุณค่าที่ได้เกิดเป็น”คนไทย”

วิกฤตนี้จะรอดได้ต้องช่วยกัน พร้อมใจกัน
วิกฤตนี้ทำให้ได้เห็นข้างในใจแต่ละคน
มีทั้งพยายามช่วย บ้างพยายามขวาง
นี่ไง…กรุงศรีถึงแตก เพราะมีคนเปิดประตูให้ข้าศึก
ทำตัวแปลกแยกและเนรคุณแผ่นดินอยู่ในทุกยุคทุกสมัย……!!!

เรากำลังต่อสู้กับไวรัสว่ายากแล้ว
อย่าต้องต่อสู้กันเองเลย…!!!


สู้ สู้ค่ะ ส่งกำลังใจไปให้ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 03, 2020, 11:04:41 PM »

สิ่ง​ที่​ไม่​อยาก​คิด​มัน​กำลัง​คืบคลาน​มา​แบบ​เงียบ​ๆ​

วันนี้​กลับ​บ้าน​แถว​พาหุรัด​-สำเพ็ง​ ตอน​แรก​ตั้งใจ​ไป​บอก​น้อง​ว่า​ช่วง​นี้​ถ้า​ไม่​จำเป็น​ ไม่​ต้อง​ไป​แบงก์​ใน​ราย​รอบ​แถว​บ้าน...

แต่​กลับ​ไป​รับ​รู้​เรื่อง​หญิง​สาว​นาง​หนึ่ง​ไป​งาน​เลี้ยง​กิน​ข้าว​บ้าน​เพื่อน​  ทั้ง​ๆ​ที่​ เขา​ก็​ห้าม​เรื่อง​ Social Distancing​ กลับ​มา​บ้าน​พร้อม​โควิท​แบบ​ไม่​รู้​ตัว​  แต่​แพร่​เชื้อ​ต่อ​ให้​พ่อ​แม่​เธอ​ครบ​ถ้วน​เป็น​ทั้ง​ครอบครัว​

ไม่​เท่านั้น​ เธอ​ไป​ร้าน​ที่​ซอย​ข้าง​ซอย​ไชน่า​เวิลด์​ พาหุรัด​ แพร่​โควิท​ให้​ลูก​น้อง​เธอ​ทั้ง​หมด​ ติด​เชื้อ​ถ้วนหน้า​

พ่อ​เธอ​ออก​อาการ​ป่วย​รุนแรง​จน​ต้อง​มี​รถ​เฉพาะ​กิจ​มารับ​ทั้ง​ครอบครัว​ไป​โรงพยาบาล​ ลูก​น้อง​คน​ไทย​ทั้ง​หมด​ถูก​กักตัว​ และ​ สุ่ม​ตรวจ​ เกือบ​ 80​% เทสต์​positive 

ที่​น่า​ช็อค​ซีเนม่า​กว่า​ เธอ​แอบ​จ้าง​แรงงาน​พม่า​ผิด​กฎหมาย​ สาม​ใน​สี่​คน​แอบ​หนี​ทันที​เพราะ​กลัว​ตำรวจ​มากกว่า​รู้​ว่า​ทั้ง​สาม​เป็น​พาหะ?  ตอนนี้​ไป​กบดาน​ที่​ไหน​ไม่รู้​ พาหะ​เคลื่อน​ที่....  พร้อม​แพร่​ เพราะ​ทั้งสาม​คิดว่า​ไม่​ป่วย​ และ​ ความ​รู้​น้อย​ เพราะ​ฉะนั้น​ ไม่​ต้อง​ถาม​สำนึก​รับ​ผิดชอบ​

รู้​แต่​ว่า​ เชื้อ​ไม่​ได้​หยุด​แค่​นั้น​ วันนี้​ร้าน​ฝั่ง​ตรงข้าม​ซอย​นี้​ มี​รถมา​รับ​ผู้​ป่วย​เฉพาะ​กิจ​เพิ่ม​ทั้ง​ครอบครัว​อีก​ อาการ​หนัก​ คือ​ ผู้​สูง​อายุ​

ตาม​สมมุติ​ฐาน​ที่​ตั้ง​ไว้​กำลัง​เหมือน​อิตาลี​โมเดล​ หลัง​จาก​เกือบ​สอง​อาทิตย์​ที่​เริ่ม​ปิด​ห้าง​ใน​ กทม.  หลัง​พบ​ super spreader จาก​เคส​ที่​สนาม​มวย​ลุมพีนี​ ทองหล่อ​ ผล​ลัพธ์​เริ่ม​แสดง​ผล​จริงๆ​แล้ว​

นอก​จาก​เคส​ที่​กล่าว​ข้างต้น​ มี​คน​ซ่อม​ร่ม​ที่​อยู่​ไม่​ไกล​จาก​ซอย​นี้​ มี​อาการ​ป่วย​ ผล​ทดสอบ​ คือ​บวก​ ทั่ง​ผัว​และ​เมีย​ นี่​คือ​ ที่​ตรวจ​เจอ​

ยัง​ไม่​นับ​รายรอบ​พาหุรัด​ที่​เคย​แออัด​ยัด​ทะนาน​ด้วย​ผู้​คน​...

และ​ข่าว​วันนี้​ จาก​นสพ. แนวหน้า​ แจ้ง​ว่า​ พบ​ พนง. แบงก์​กรุงไทย​ สาขา​สี่แยก​​ ติด​ จำต้อง​ปิด​สาขา​นี้​ 14​ วัน​

​ ทรงวาด​ สำเพ็ง​ เยาวราช​ หัวเม็ด  สะพานหัน  วัง​บูรพา​ พาหุรัด​ ไม่ได้​ไกล​กัน​เท่าไหร่​เลย​ ผม​เดิน​แถว​นี้​มา​ตั้งแต่​เด็ก​จน​อายุ​จะ​เกษียณ​งาน​ได้​แล้ว​

ถ้า​เจอ​เคส​ที่​พาหุรัด​ และ​ ​ แบบนี้​....

มัน​คิด​ไป​ได้​ว่า​ เชื้อ​คง​ระบาด​แบบ​ไม่​ออก​อาการ​ใน​หลาย​คน​ย่าน​นี้​แล้ว​

เพราะ​ฉะนั้น​ ขอร้อง​ให้​อยู่​บ้าน​นะ​ครับ​

เคอร์ฟิว​ควร​มา​ เพราะ​พฤติกรรม​คน​ยัง​มี​แบบ​ไม่​เห็น​โลงศพ​ไม่​หลั่ง​น้ำตา​เยอะ​ จาก​การ​สังเกต​คน​แถว​นี้​มาตลอด​ชีวิต​กว่า​ครึ่ง​ร้อย​ปี​

แถว​นี้​ตรอก​ซอก​ซอย​เยอะ​ เหมาะ​มาก​แก่​การ​ฟัก​ตัวอ่อน​ของ​โรค​ และ​ส่ง​ต่อ​เชื้อ​ ด้วย​บ้าน​ที่​แออัด​ ตึก​แถว​แชร์​ผนัง​กัน​ บ้าน​เรียง​ติด​กัน​หมด​

มัน​ใกล้​ตัว​มา​ทุก​ที​......



ขอขอบคุณน้ะค่ะ
เป็นบทเรียนที่ต้องเรียนรู้กันน้ะค่ะ ว่าต้องทำตัวเองยังไงบ้าง เพื่อตัวเราและคนรอบๆตัวเราค่ะ




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 03, 2020, 11:06:36 PM »

ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ นายกสภามหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช(ต้นสังกัดวชิรพยาบาล)
และประธานคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ตลอดจนบรรดาผู้บริหารโรงเรียนเเพทย์ฯ ร่วมกันระดมทั้งกำลังใจและระดมสมอง จนสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์ ต้าน โควิด-19 ดังนี้

1.เปิดตัว นวัตกรรมหน้ากากป้องกันการติดเชื้อ Covid-19 ที่มีมาตรฐานสูง กว่า N95 สามารถกรองอนุภาคได้ถึง N99 ซึ่ง วชิรพยาบาลดัดแปลงขึ้นใช้งานได้จากวัสดุที่มีอยู่ในโรงพยาบาล

2.ผลิตให้ ทุกโรงพยาบาล และจะผลิตเพิ่มให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน ติดต่ออธิการบดีวชิรพยาบาลได้โดยตรง

3.หน้ากากนี้ใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสนับสนุนจากรัฐบาล (เท่ห์สุดๆ)

4.คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลผลิตได้เป็น 10,000 ชิ้น ภายใน 10 วันนี้ สนับสนุน โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งที่ขาดแคลน (ชื่นใจว่ะ)

5.โรงพยาบาลขนาดเล็ก ที่รับมือผู้ป่วย โควิด-19 อย่างกังวล เมื่อได้เครื่องมือนี้จะช่วยหมอและพยาบาลได้อย่างมั่นใจขึ้นมาก

6.ปตท. และ พีทีทีโกลบอล เคมีคอล และกลุ่มเอกชนหลายกลุ่ม ร่วมกับ วชิรพยาบาลช่วยผลิต เพื่อรีบส่ง โรง’บาลที่ขาด แคลนทันด่วนคือ

6.1 หมวก ชุดคลุม อัดอากาศแรงดันบวก (PAPR) ให้ทุกโรงพยาบาลจำนวน 500 ชุด
6.2 ผลิตชุดอุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์มาตรฐานสูง ใช้ในห้อง ICU จำนวน 5,000 ชุด
6.3 จัดทำเปลนอนความดันลบ สำหรับขนย้ายผู้ป่วย มูลค่าเปลละ 100,000 บาท
6.4 ตอนนี้แจกจ่ายโรง’บาลที่ขาดแคลน อย่างเร่งด่วน สนับสนุนให้ระบบการแพทย์พยาบาล ทำงานได้อย่างทันท่วงที สามารถดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มศักยภาพ

7.แรงสุดคือ วชิรพยาบาล จะส่งทุกอย่างเองผ่านไปรษณียไทยไปยังโรงพยาบาลต่างจังหวัดที่กำลังรับมือผู้ป่วยโควิด-19 โดยไม่ต้องมีจดหมายมาขอ รู้มั้ยครับ พรุ่งนี้เช้า จะส่งEMS  ให้ รพ.แพร่, รพ.เลย และ รพ.ตรัง ก่อน โรงพยาบาลอื่น ๆ ติดต่อวชิรพยาบาลเลยครับ

#บุคลากรทางการแพทย์จะต้องได้รับการดูแลด้วยมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เราจะช่วยกันเองได้
#เราคงนั่งรอรัฐบาลไม่ได้ในเมื่อยอดผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน
#บุคลากรทางการแพทย์ต้องมั่นใจว่าตนจะได้รับการดูแลให้ปลอดเชื้อในขณะที่รักษาผู้ป่วย

ในใจใคร่ครวญว่าอาจารย์สุรพลควรเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุขสักเดือนหนึ่งระบบสาธารณสุขไทยคงรับมือได้เต็มที่กว่านี้

ย้ำว่านี่คือ การต้าน โควิด-19 ที่เป็นเรื่องของพวกเราทุกๆ คนจริงๆ พวกเรานะ ไม่พูดถึงคนอื่น  รัฐบาลกระตุ้นให้พวกเราช่วยกันเองได้เก่งยิ่ง เก๊ง เก่ง

ประสานงานที่วชิรพยาบาลตามนี้ครับ
https://www.nmu.ac.th/th/?p=28306

ขอบคุณครับ
พี่ป๊อ รายงาน
ณ รพ.วชิระ
30-03-2020 วันวิกฤติโควิด-19
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 05, 2020, 09:11:39 AM »

"ทำไม?ทหารต้องอุ้มลา ฝ่าดงระเบิด"

ภาพที่เห็นข้างบนเป็นภาพยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารกำลังอุ้มลาเดินผ่านทุ่งที่เต็มไปด้วยกับระเบิด ทหารที่อุ้มลาอยู่ไม่ได้รักลาตัวนั้นเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะว่ากลัวลามันจะวิ่งเพ่นพ่านแล้วทำให้กับระเบิดทำงาน แล้วทุกคนจะเดือดร้อนหรืออาจถึงตาย เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าในยามวิกฤตเราต้องระมัดระวังคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วยังทำอวดฉลาด ทำอะไรตามอำเภอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยใหญ่หลวงตามมาในคนหมู่มาก

เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก

แต่น่าเสียดาย

ความเป็นจริงก็คือเรามีจำนวนลามากกว่าจำนวนทหาร การแก้ปัญหาเรื่อง covid-19 จึงอาจต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น
เราทุกคนต้องพยายามเปลี่ยนลาเหล่านั้นให้เป็นทหารและไม่ทำตัวเองเป็นลา ต้องพยายามให้การศึกษาแก่คนที่ไม่รู้ เปลี่ยนทัศนคติพวกเขา
วิกฤตจะผ่านไปได้ ถ้าเราทุกคนร่วมมือกันแก้ปัญหา 
(คัดลอกมาจากไลน์กลุ่ม..ศิษย์เก่าจุฬาฯ..เห็นว่ามีข้อคิดดีๆ..อ่านเล่นๆเผื่อไม่เป็น..ลา)

#ร่วมใจฝ่าภัยโควิดด้วยกัน
#ขอบคุณเจ้าของเรื่อง


ไม่มีรูปน้ะค่ะ อ่านแล้วน่าสนใจดีค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 05, 2020, 11:06:25 AM »

ลองอ่านดู น่ารักดีค่ะ
ั รักข้ามพรมแดน
:
1- "คุณตาคาร์สเท็น" (Karsten Hanson) หนุ่มเยอรมันวัย 89 เป็นแฟนกับ "คุณยายอิงก้า" (Inga Rasmussen) สาวเดนมาร์กวัย 85 มานาน 2 ปีแล้ว

2- ทั้งสองอยู่กันคนละประเทศ โดยคุณตาอยู่ที่ Suderlugum ซึ่งเป็นเมืองชายแดนทางตอนเหนือของเยอรมัน ส่วนคุณยายอยู่ที่เมือง Gallenhus เมืองชายแดนของเดนมาร์ก

3- พรมแดนไม่เคยเป็นอุปสรรคความรัก เพราะขับรถไปไม่ไกลก็ถึงบ้านของกันและกันแล้ว คุณตาคุณยายจึงไปมาหาสู่กันทุกวันเหมือนกับคู่รักทั่วไป

4- ต่อมาเมื่อไวรัสโควิด-19 ระบาด เดนมาร์กประกาศปิดชายแดนเมื่อ 11 มีนาคม ห้ามพลเมืองของประเทศอื่นเดินทางเข้าประเทศ แล้วเมื่อวันที่ 16 มีนาคม เยอรมันก็ล็อกดาวน์ประเทศด้วย ทำให้คุณตากับคุณยายถูกตัดขาดออกจากกันทันที ไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนกันได้อีก

5- แต่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นความคิดถึงได้ ทุกวันคุณตากับคุณยายจะขับรถมาเจอกันตรงชายแดนซึ่งมีรั้วไม้กั้นไว้ บางวันคุณยายทำอาหารเช้าง่าย ๆ มาให้คุณตา บางวันคุณตาก็ชงกาแฟและปิ้งขนมปังมาให้คุณยาย ต่างคนต่างเอาเก้าอี้มาคนละตัว แล้วนั่งทานอาหาร-ดื่มกาแฟด้วยกันตรงรั้วชายแดน

6- เรื่องของคุณตาคุณยายกลายเป็นไวรัลขึ้นมาเพราะมีอยู่วันหนึ่ง นายกเทศมนตรี (ฝั่งเยอรมัน) ออกมาปั่นจักรยานแล้วเห็นคุณตาคุณยายนั่งดื่มกาแฟมุ้งมิ้งกันอยู่ เลยแวะทักทายจนได้รู้เรื่องราวความรักอันน่าประทับใจของทั้งคู่ เขาจึงขอถ่ายรูปไว้แล้วนำมาโพสต์ จนกลายเป็นข่าวที่ทำให้คนสองประเทศยิ้มได้ในเวลานี้

7- คุณตาบอกว่ามันเป็นเรื่องเศร้าที่เราไปหากันที่บ้านไม่ได้เหมือนเคย แต่ในเมื่อเราเปลี่ยนอะไรไม่ได้ คิดมากไปก็เท่านั้น ยอมรับความจริงและปรับเปลี่ยนชีวิตให้สอดคล้องไปกับมันดีกว่า

8- แล้วคุณตายังบอกอีกว่าไม่ได้กอดและคิสคุณยายมาหลายวันแล้ว เพราะเคารพกฎของ Social Distancing

ขอบคุณคุณตาคุณยายสำหรับเรื่องราวน่ารักและวิธีคิดดี ๆ นะคะ
:
#poetryofbitch
#ลำนำเดอะบิทช์
thank you kha[/size
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #11 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 12:32:00 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=68N74YudMsE

ยอดเชฟอาหารมังสวิรัติชื่อดังของ จ.เชียงใหม่ วัย 65 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่า ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา
การดู 26,249 ครั้งแสดงครั้งแรกแล้วเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 2022

เป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้วที่ ป้าตา-จำเนียร เอี่ยมเจริญ งดเว้นการทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดและเดินสู่เส้นทางสายมังสวิรัติอย่างเต็มตัว จนกระทั่งฝีมือการปรุงอาหารมังสวิรัติของเธอเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ จนมีเจ้าของงานอีเวนต์มากมายที่เชิญเธอไปเป็นเชฟและคอยจัดการด้านอาหารภายในงาน
.
ขณะที่ในประเทศญี่ปุ่นเองก็มีหลายเมืองที่หญิงวัย 65 ปี เดินทางไปสอนการทำอาหารที่นั่น ยังไม่รวมถึงลูกศิษย์อีกหลายคนที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล บินมาเรียนทำอาหารกับคุณป้าถึงเชียงใหม่
.
"The O Idol season 2" และ "มนุษย์ต่างวัย" พาไปลิ้มรสอาหารและทำความรู้จักกับชีวิตอันแสนเรียบง่าย สันโดษ ณ บ้านกลางป่า ที่ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา อาศัยโซลาร์เซลล์และสูบน้ำบ่อใช้แทน
.
“ทุกครั้งที่ทำไม่ว่าจะถวายครูบาอาจารย์หรือทำให้ลูกค้าทาน เราจะใส่ใจและมีสติระลึกรู้อยู่ตลอด เมื่อจิตมีสติมีสมาธิแล้ว เราก็จะทำอาหารออกมาได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพ จะว่าไปก็ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารหรอก แต่ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิตเลย”
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #12 เมื่อ: มีนาคม 10, 2022, 05:17:17 PM »

เรื่องเล่า จากครู พยงค์ มุกดา ถึงพี่ ต้อย เศรษฐาศิระฉายา เบื้องหลังเพลง"เป็นไปไม่ได้"

หลายปีมาแล้วจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แต่ก่อน ครูพยงค์ มุกดา เสียชีวิตราว3ปี ผมมีโอกาสร่วมงานวันคล้ายวันเกิด ผู้ใหญ่ที่เคารพนับถิอ คนหนึ่งคือคุณอุดม ฤทธิดิเรก  มีครู พยงค์ มุกดา มาร่วมด้วยและมีโอกาสสนทนาและชื่นชมครูพยงค์ ถึงภาษาในเนื้อเพลงของครูพยงค์ว่ามีความเป็นภาษากวี มีความไพเราะเพราะพริ้งมาก ตอนหนึ่ง ครู กล่าวถึง "พี่ต้อย เศรษฐา " ว่า พี่ต้อยเศรษฐามา ขอให้แต่งเพลิงประจำวงดนตรี"ดิอิมพอสซิเบิ้ล " ให้หน่อย ครูถามพี่ต้อย "อิมพอสซิเบิ้ล แปลว่า เป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย" พี่ต้อย เศรษฐา ตอบว่า "ใช่ครับ"  ครูก็บอกต่อว่า "ได้ เดี๋ยวแต่งเสร็จจะบอก" หลังจากนั้นเดือนกว่าๆครูก็แต่งๆเสร็จ ให้ชื่อเพลิงว่า"เป็นไปไม่ได้"

   โดยเปรียบเทียบทศกัณฐ์ ตัวละคร สำคัญใน มหาภารตะ ฮินดู รามเกียรติ์ ว่ามี สิบหน้า สิบปาก สิบลิ้น  ยี่สิบตา  ยี่สิบแขน พยายามทำทุกวิถึทาง ที่จะพิชิตห้วใจนางสีดา ให้มารักตน แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายพ่ายแพ้จนตัวตาย  นับประสาอะไรกับผู้ร้องเพลงนี้สมมติตนเองว่าเป็น ทศกัณฐ์ มีฤทธิ์สารพัด อยากโอบ อยากกอด อยากมองเธออยากบอกความในใจกับผู้ที่เป็นคนที่ตนรัก แต่เขามีหน้าเดียว ปากเดียว ตาคู่เดียว สองแขน แถมจนอีกต่างหาก เทียบไม่ได้เลยกับ ทศกัณฐ์ ซึ่งทำทุกอย่าง นางสีดาก็ไม่สนใจ แล้วตัวเขาล่ะ จะสารภาพรักกับคนที่ตนรัก หล่อนจะรับรักเขาไม๊ คิดแล้วก็น่าจะได้คำตอบว่า "เป็นไปไม่ได้" เป็นชื่อเพลง ประจำวง "ดิอิมพอสซิเบิ้ล" ตามที่"พี่ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา"ต้องการ
   ครู พยงค์ มุกดา ยังเล่าติดตลกว่า "ผมเป็นคนเดียวที่ทำให้คนสงสาร ทศกัณฐ์" และนี่คือที่มาที่เป็นเบื้องหลัง เพลง "เป็นไปไม่ได้" ที่ ครู พยงค์ มุกดา เล่าให้ฟัง ในครั้งนั้น

   ขอ สดุดี ครูพยงค์ มุกดา ศิลปินแห่งชาติ และพี่ต้อย เศรษฐา ศิระฉายา ศิลปินแห่งชาติเช่นกัน ผู้ที่เพิ่งจากไป และขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ เศรษฐา ศิระฉายา ศิลปินแห่งชาติ ด้วยความเคารพ ผม ทวีศักดิ์ เกษปทุม ผู้เขียนบทความนี้จากบทสนทนา กับ ครูพยงค์ มุกดา (ไม่สงวนสิทธิ์บทความนี้ นำเผยแพร่เพื่อสดุดี ศิลปินแห่งชาติทั้ง2ท่านนี้).
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: