jainu
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: มีนาคม 07, 2014, 11:57:39 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 12:00:31 AM » |
|
ผักแพว....แกล้มแหนมเนือง ดีจังเลย
ผักแพว หรือ ผักไผ่ หรือ ผักแพวไทย (บางพื้นที่อาจเรียกว่าผักแพวแดง) เป็นชนิดที่มีลำต้นแดง สามารถพบได้ทั่วไป (Polygonum odoratum Lour. จัดอยู่ในวงศ์ Polygonaceae)
ผักแพวขาว เป็นชนิดเดียวกันกับผักไผ่ แต่มีลำต้นเขียวอ่อน (Polygonum odoratum Lour. จัดอยู่ในวงศ์ Polygonaceae)
ผักไผ่น้ำ หรือ เอื้องเพ็ดม้า (Polygonum tomentosum Willd. หรือ Costus speciosus Smith จัดอยู่ในวงศ์ Polygonaceae)
ผักแพวแดงฝรั่ง หรือ ผักแพวแดง (Iresine herbstii Hook. จัดอยู่ในวงศ์ Amaranthaceae)
ผักแพวน้ำ (Alternanthera sessilis DC. จัดอยู่ในวงศ์ Amaranthaceae)
ผักแพวขาว หรือที่นิยมเรียกว่า หญ้างวงช้าง (Heliotropium indicum Linn. จัดอยู่ในวงศ์ Boraginaceae)
คุณค่าทางโภชนาการของผักแพว ต่อ 100 กรัม พลังงาน 54 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 7.7 กรัม เส้นใยอาหาร 1.9 กรัมดอกผักแพว ไขมัน 0.5 กรัม โปรตีน 4.7 กรัม น้ำ 83.4% วิตามินเอ 8,112 หน่วยสากล วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.59 มิลลิกรัม วิตามินบี3 1.7 มิลลิกรัม วิตามินซี 77 มิลลิกรัม ธาตุแคลเซียม 79 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 2.9 มิลลิกรัม ธาตุฟอสฟอรัส 272 มิลลิกรัม
สรรพคุณของผักแพว
รสเผ็ดของผักแพว มีสรรพคุณที่ช่วยทำให้เลือดลมในร่างกายเดินสะดวกมากขึ้น ผักแพวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย และช่วยในการชะลอวัย (ใบ)ช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง (ใบ)
ใบผักแพว สรรพคุณช่วยรักษาโรคตัวจี๊ด แต่ต้องรับประทานติดต่อกัน 5-8 วัน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ (ใบ)ช่วยทำให้เจริญอาหาร (ใบ)ช่วยรักษาโรคหวัด (ใบ)
ช่วยบำรุงประสาท (ราก)
ช่วยขับเหงื่อ (ดอก)ช่วยรักษาโรคปอด (ดอก)
ช่วยรักษาหอบหืด (ราก)ช่วยแก้อาการไอ (ราก)
ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันและแก้อาการท้องผูก และช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะเป็นผักที่มีไฟเบอร์สูงถึง 9.7 กรัม ซึ่งจัดอยู่ในผักที่มีเส้นในอาหารมากที่สุด 10 อันดับของผักพื้นบ้านไทย (ใบ)
ผักแพวมีรสเผ็ดร้อน จึงมีสรรพคุณในช่วยแก้ลม ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (ใบ,ยอดผักแพว)
ใช้เป็นยาขับลมขึ้นเบื้องบน ช่วยให้เรอระบายลมออกมาเวลาท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ใช้รักษาริดสีดวงทวาร (ใบ,ดอก,ต้นราก)
รากผักแพว สรรพคุณช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร (ราก)
แก้กระเพาะอาหารพิการ หรือกระเพาะอักเสบ ช่วยแก้ท้องเสีย อุจจาระพิการ ช่วยแก้อาการเจ็บท้อง ช่วยแก้อาการท้องรุ้งพุงมาน (ใบ,ดอก,ต้นราก)
ลำต้นผักแพว สรรพคุณใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ต้น)
ช่วยรักษาโรคตับแข็ง ช่วยลดอาการอักเสบ (ใบ)
ใบผักแพว สรรพคุณใช้แก้ตุ่มคัน ผดผื่นคันจากเชื้อรา เป็นกลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบหรือทั้งต้นนำมาคั้นหรือตำผสมกับเหล้าขาว แล้วใช้เป็นยาทา (ใบ,ทั้งต้น)
ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยรักษาอาการปวดข้อ ปวดกระดูก (ราก)
ช่วยแก้เส้นประสาทพิการ แก้เหน็บชาตามปลายนิ้วมือปลายเท้า และอาการมือสั่น ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงเลือดลมของสตรี (ใบ,ดอก,ต้นราก)
ข้อควรรู้ ! : ผักแพวหลักๆ แล้วมีอยู่สองชนิดที่เป็นพืชชนิดเดียวกัน ต่างกันแค่สีต้น คือ ผักแพวแดง และผักแพวขาว จัดเป็นสมุนไพรคู่แฝดที่นำมาประกอบเป็นจุลพิกัดหรือใช้คู่กันเป็นยาสมุนไพรจะมีฤทธิ์ยาแรงขึ้น และมีประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้นด้วย
รสเผ็ดของผักแพว ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในเลือด เหมาะเป็นผักสมุนไพรลดความอ้วนได้โดยไม่ขาดสารอาหาร เพราะอุดมไปด้วยเส้นใยและวิตามิน แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่มากพอหรือวันละไม่น้อยกว่า 3 ขีด
ผักแพวมีวิตามินเอสูง จึงช่วยบำรุงและรักษาสายตาได้เป็นอย่างดี โดยวิตามินสูงถึง 8,112 หน่วยสากล
ในขณะที่อีกข้อมูลระบุว่ามีมากถึง 13,750 มิลลิกรัม
ผักแพวเป็นผักที่ติดอันดับ 8 ของผักที่มีวิตามินซีสูงสุด โดยมีวิตามินซี 115 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 กรัม
ผักแพวมีแคลเซียมสูงถึง 390 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม จึงช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรงได้เป็นอย่างดี
ผักแพวมีธาตุเหล็กสูงสุดติด 1 ใน 5 อันดับของผักที่มีธาตุเหล็กสูง
ยอดอ่อนและใบอ่อน ใช้ประกอบอาหาร หรือใช้รับประทานเป็นผักสด หรือใช้แกล้มกับอาหารที่มีรสจัด ใช้เป็นเครื่องเคียงของอาหารอีสาน อาหารเหนือ อาหารเวียดนามหรือนำมาหั่นเป็นฝอยใช้คลุกเป็นเครื่องปรุงสดประกอบอาหารประเภทลาบ ลู่ ตำซั่ว ก้อยกุ้งสด ข้าวยำ แกงส้ม เป็นต้น
ใบผักแพวนำมาใช้แก่งประเภทปลา เพื่อช่วยดับกลิ่นของเนื้อสัตว์ หรือกลิ่นคาวปลาได้
Tip : การเลือกซื้อผักแพว ควรเลือกซื้อผักแผวสด หรือดูที่ความสดของใบเป็นหลัก ไม่เหี่ยวและเหลือง แต่ถ้ามีรอยกัดแทะของหนอนและแมลงบ้างก็ไม่เป็นไร ส่วนการเก็บรักษาผักแพว ก็เหมือนกับผักทั่วๆไป คือเก็บใส่ในถุงพลาสติกแล้วปิดให้สนิท หรือจะเก็บใส่กล่องพลาสติกสหรับเก็บผักก็ได้ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นในช่องผัก
โดย ทางแพทย์สายพุทธ แหล่งอ้างอิง http://www.greenerald.com/ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. www.foodnetwork.com. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (th) www.thairath.co.th. หนังสือผักพื้นบ้านต้านโรค. พ.ญ. ลลิตา ธีระสิริ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:09:24 PM » |
|
ในทางสมุนไพรมีวิธีรักษาได้เหมือนกันและนิยมกันแพร่หลาย เพราะได้ผลดีและช่วยทำให้อาการขัดเท้าแพลงหายได้เร็วขึ้น โดยเวลาที่เกิดข้อเท้าแพลง หรือข้อเท้าพลิก ให้เอาขิง ตะไคร้แกง หรือตะไคร้บ้าน และกะเพรา แบบสด กะจำนวนมากน้อยตามต้องการ ต้มกับน้ำท่วมข้อเท้า ต้มจนเดือดยกลงให้น้ำอุ่น เอาเท้าข้างที่แพลง หรือพลิกลงแช่พร้อมใช้มือนวดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้เลือดบริเวณดังกล่าวไหลเวียนดี ทำเช่นนี้ 2 – 3 วัน จะทำให้หายปวดและหายเร็วขึ้น ขิง ตะไคร้ และ กะเพรา เป็นพืชครัว มีวางขายทั่วไปตามตลาดสด ใช้ปรุงอาหารได้หลากหลายแตกต่างกันไปตามรสชาติ และพืชครัวทั้ง 3 ชนิดนี้ นอกจากจะรับประทานได้อร่อยแล้ว แต่ละชนิดยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรมากมายไม่เหมือนกันอีกด้วย แต่เมื่อนำไปต้มรวมกันจะมีฤทธิ์เป็นยาช่วยบรรเทาอาการ ข้อเท้าแพลงหรือข้อเท้าพลิกเด็ดขาดมาก จึงเหมาะสำหรับคน ที่ชอบสมุนไพร ชอบวิธีรักษาแบบธรรมชาติ และต้องมีเวลาในการต้มยาเท่านั้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: คอลัมน์เกษตรบนแผ่นกระดาษ โดยนายเกษตร หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:11:06 PM » |
|
รางจืดหมอแผนไทยใช้ทำอะไรบ้างรางจืดหมอแผนไทยใช้ทำอะไรบ้าง
ก่อนตัดสินใจใช้สมุนไพรใดๆ ท่านได้รู้เรื่องพิษ,ประโยชน์สรรพคุณของสมุนไพรดีพอหรือยัง ในวันนี้ขอนำเสนอเรื่องรางจืดสรรพคุณล้างพิษ,รู้ไหมพิษอะไรบ้างมาดูกันค่ะ
รางจืด...แก้พิษจากยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าหญ้าจำพวกพาราควอต นับเป็นสารเคมีที่มีพิษร้ายแรงต่อร่างกายมนุษย์มากที่สุดชนิดหนึ่งเนื่องจากในขนาดกินประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ก็สามารถทำให้คนตายได้ โดยสารตัวนี้จะไปทำให้เกิดการสร้างออกซิเจนที่ไม่เสถึยรขึ้นอย่างมาก ออกซิเจนเหล่านี้จะไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์เกิดการออกซิเดชันของไขมันที่อยู่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์และทำให้เซลล์ตาย พิษของพาราควอตจะเห็นชัดที่สุดในปอดเพราะปอดเป็นบริเวณที่มีออกซิเจรมากที่สุด ซึ่งพาราควอตจะทำให้เนื้อเยื้อปอดถูกทำลายจนไม่สามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้จนเสียชีวิตในที่สุด
จากรายงานผู้ป่วยของโรงพยาบาลเจ้าพระ-ยา ยมราช จังหวัดสุพรรณบุรี เก็บตัวอย่างเป็นเวลา ๓ ปี ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๓-๒๕๓๕ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอตมาที่โรงพยาบาล ๖๔ ราย พบว่ามีผู้ป่วยรอดชีวิต ๓๓ ราย เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังกับการรักษาในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๓๒ มีผู้ป่วยที่กินพาราควอต ๑๑ รายพบว่าเสียชีวิตทุกราย ซึ่งตัวเลขของโรงพยาบาลศิริราชที่มีการรักษาพิษพาราควอตเช่นเดียวกัน มีอัตราการตายประมาณร้อยละ ๘๐ แต่การรักษาพิษพาราควอตนั้นไม่ได้ให้แต่รางจืดอย่างเดียว แต่จะมีการทำให้ผู้ป่วยอาเจียนออกมาก่อนแล้วล้างท้องด้วยฟูลเลอร์สเอิร์ท (Fuller's earth) และทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามากๆ ให้แอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ โดยการให้วิตามินซีปริมาณสูงๆ และสตีรอยด์ รวมทั้งการรักษาแบบประคับประคองอื่นๆ ให้ยาต้มรางจืด วิธีเตรียมคือนำใบแห้งหนัก ๓๐๐ กรัม ใส่ในน้ำสะอาด ๑ ลิตร ต้มในหมอดินโดยใช้ไฟกลางเดือนนาน ๑๕ นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ให้ผู้ป่วยดื่มหรือให้ทาง NG tube ครั้งละ ๒๐๐ มิลลิลิตร ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลแม้ว่ารายงานนี้ไม่ถือเป็นงานวิจัยแต่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก
รางจืด...แก้พิษจากสัตว์ที่เป็นพิษและพืชพิษ ใช้แก้พิษแมงดาทะเลเป็นอีกหนึ่งรายงานของการใช้รางจืดแก้พิษ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่โรงพยาบาลชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีครอบครัวหนึ่ง ๔ คนที่กินไข่แมงดาทะเล ๒ ราย มีอาการรุนแรงจนหมดสติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งสารพิษที่อยู่ในแมงดาทะเล คือ เทโทรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) สารนี้จะพบในแมงดาทะเลและปลาปักเป้า ซึ่งมีพิษทำให้ผู้ป่วยอาจถึงตายได้ ความรุนแรงของอาการพิษที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับปริมาณไข่แมงดาทะเลที่ได้รับ เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ ๔๐ นาทีถึง ๔ ชั่วโมง ทุกรายมีอาการชารอบปาก คลื่นไส้ อาเจียน อาการชาจะลามไปยังกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ อาการรุนแรง หมดสติ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการรักษาปัจจุบันไม่มีวิธีเฉพาะ ไม่มีสารแก้พิษโดยเฉพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองจนผู้ป่วยขับเอาสารนี้ออกจากร่างกายให้หมดแพทย์ผู้รักษาใช้รางจืดจากการร้องขอของญาติ เมื่อกรอกใส่สายยางลงไป ๔๐ นาที อาการดีขึ้น ซึ่งแพทย์ผู้รักษารู้สึกประทับใจกับรางจืดมากและบอกว่าจังหวัดที่อยู่ชายทะเลปีหนึ่งจะมีคนตายจากพิษแมงดาทะเลหรือปลาปักเป้าทุกปี ถ้าทุกโรงพยาบาลสามารถปลูกต้นนี้และใช้กับผู้ป่วยของตัวเองจะช่วยให้ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
รางจืด...สู้กับพิษของตะกั่วต่อสมอง ตะกั่วเป็นมลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ที่มีรถติด มีโอกาสได้รับสารตะกั่วสูงกว่าคนทั่วไป พิษตะกั่วต่อร่างกายมี อยู่หลายระบบ ที่สำคัญคือสมอง เนื่องจากตะกั่วจะไปสะสมอยู่ในสมองส่วนฮิปโพแคมพัสซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำ มีงานวิจัยออกว่ารางจืดแม้จะไม่ได้ช่วยลดระดับตะกั่วในเลือดของหนูที่เราให้ตะกั่วเข้าไป แต่ไปช่วยลดพิษของตะกั่วต่อความจำและการเรียนรู้ของหนู และทำให้เซลล์ประสาทตายน้อยลง ด้วยกลไกการต้านออกซิเดชัน โดยตัวของรางจืดเองและการไปช่วยรักษาระดับเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง
รางจืดช่วยในการลด เลิกยาบ้า จากการที่ชาวบ้านนำรางจืดมาแก้พิษยาเสพติดภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงได้ศึกษา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:30:44 PM » |
|
น้ำสมุนไพรลดอาการวัยทอง.1. หา กระชายดำ หรือ กระชายแกง (อย่างใดอย่างหนึ่ง) ประมาณ 1.5-2 ขีด ปั่นด้วยเครื่องปั่นแล้วค่อยๆ เติมน้ำ 1 ลิตรลงไป (ขวดเป๊ปซี่หรือโค๊กขนาด 1 ลิตร) ให้หมด
2. ใช้กระชอนหรือผ้าขาวบาง กรองเอากากทิ้ง เอานำใสๆ ออกมาใส่ภาชนะ ปล่อยให้นอนก้น แล้วรินเอาน้ำใสๆ ใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็น (เก็บได้ 1 สัปดาห์) เป็นน้ำกระชาย
3. นำมะนาว 1 ลูกมาล้างน้ำให้สะอาด และคั้นเอาน้ำมะนาวใส่แก้ว (250 ซีซี) ผสมน้ำผึ้ง (แท้) ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ หรือ 2 ช้อนชาลงไป คนให้เข้ากัน (ใส่เกลือเล็กน้อย) แล้วเทน้ำกระชายที่เราทำเก็บไว้ลงไปผสม (คนให้เข้ากัน) ให้ได้น้ำสมุนไพร 1 แก้ว
4. รับประทานวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน หรือวันละ 2 ครั้ง โดยเพิ่มมื้อเช้าตอนท้องว่าง
เมื่อได้รับประทานสมุนไพรตามสูตรแก้วัยทองนี้ ก็จะช่วยลดอาการวัยทอง โดยเฉพาะอาการร้อนวูบวาบตามร่างกายลงได้อย่างได้ผล สำหรับผู้ชายที่มีอาการวัยทอง ก็ใช้สมุนไพรตัวนี้ก็คงได้ผลเช่นกัน โดย ทางแพทย์สายพุทธ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:32:11 PM » |
|
สมุนไพรวัยทองค่ะ
ผู้ที่เข้าสู่วัยทองมักมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว โกรธง่าย ร้อนวูบวาบ ปวดศีรษะ ปัสสาวะบ่อย เอวเริ่มหายไป นอนไม่หลับ ฯลฯ อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นได้กับผู้ที่กำลังเข้าวัยทอง วัยทองเริ่มเมื่อไร? ผู้หญิงตั้งแต่อายุ 30-50 ปี และผู้ชายก็มีวัยทองเหมือนกัน มีสมุนไพรหลายชนิดสามารถลดอาการวัยทอง ซึ่งเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของไทยเรานั่นเอง
สมุนไพรที่แนะนำ คือ - กระชาย ถั่วเหลือง ลดอาการร้อนวูบวาบ
- ขิง ช่วยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ และการนอนหลับ
- โสม เห็ดหลินจือ กระเทียม กระเพรา ถั่วเหลือง เถาวัลย์เปรียง ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน
- ขันทองพยาบาท ยอ ช้าพลู มะขาม แคบ้าน ผักกระเฉด รักษาโรคกระดูกพรุน
- เพกา หญ้าปักกิ่ง ชา กระเบา จำปีป่า ทับทิม มะขามป้อม ต้านโรคมะเร็ง
- ชุมเห็ดเทศ ขี้เหล็ก ระย่อม แปะก๊วย บัวบก พระจันทร์ครึ่งซีก ดูแลระบบประสาท
- ฟ้าทะลายโจร ผักคราดหัวแหวน ชะเอมจีน รักษาอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- มะนาว ฝรั่ง มะระ ทองพันชั่ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด
- กวาวเครือ ดีปลี กระชาย กระเจี๊ยบแดง ตะโกนา รักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
- ขลู่ หญ้าหนวดแมว หญ้าคา โคกกระสุน หญ้างวงช้าง ฟักทอง มะเขือเทศ แครอท รักษาต่อมลูกหมากโต
- กระเจี๊ยบแดง หญ้าคา ขลู่ ตะไคร้ สับปะรด อ้อยแดง หญ้าพันงู ช่วยขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
- ถั่วเหลือง ขึ้นฉ่าย ทานตะวัน ทับทิม รักษาความดันโลหิตสูง
สมุนไพรที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่อยู่ใกล้ตัวเราทั้งนั้น สมุนไพรบางอย่างก็ทำเป็นอาหารเสริมชนิดต่าง ๆ เลือกซื้อง่ายและสะดวก เราควรจะเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม จะดีกว่า ง่ายที่สุดก็คือน้ำพริกและผักต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องเคียง อย่าคิดว่ามีเพียงแต่ "ยา" เท่านั้นที่ทำให้เราแพ้ได้ เพราะสมุนไพรบางชนิดก็อาจทำให้คุณเกิดอาการแพ้ได้เหมือนกัน..
โดย ทางแพทย์สายพุทธ เรียบเรียงโดย : นางปาลิตา โตศรีสวัสดิ์เกษม . นักวิชาการศึกษา ศว.สระแก้ว. 17 /5 / 56 . ข้อมูลอ้างอิง : www.thaihealth.or.th
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:33:10 PM » |
|
เรื่องของวัยทองค่ะ
• วัยทอง (Menopause) เป็นวัยหนึ่งของชีวิต เป็นวัยที่รังไข่สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยและไม่สม่ำเสมอ • รังไข่ทำงานน้อยลงทำให้สร้างฮอร์โมนออกมาน้อยลง [ estrogen, progesterone] • วัยทองเริ่มเมื่อไร หญิงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปจน 50 ปี
ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสตรีวัยทอง ได้แก่ estrogen และ progesterone
Estrogen เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่ซึ่งมีอิทธิผลต่อระบบต่าง ๆ ของสตรีอย่างมาก อาทิเช่น - ควบคุมการเจริญและการทำงานของระบบสืบพันธุ์ การเพิ่มของไขมันร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยสาว - ทำให้เกิดการสะสมของของเหลวและเกลือในเนื้อเยื่อ - ช่วย calcium ในการเข้าไปเสริมสร้างกระดูก - ลดระดับ low density lipoprotein (LDL) cholesterol - การรักษาระดับน้ำตาลในเลือด
Progesterone เป็นฮอร์โมนที่สร้างจาก corpus luteum จะทำหน้าที่เกี่ยวกับการหลุดลอกตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้เกิดเป็นประจำเดือนออกมา นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบประสาทในการทำให้เกิด sedative ดังนั้นการที่มีระดับ progesterone สูง อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าและเหนื่อยล้าได้นอกจากฮอร์โมน 2 ตัวที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังมีฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ในการประสานและควบคุมหน้าที่ซึ่งกันและกันระหว่าง ฮัยโปธาลามัส ต่อมปิตูอิตารีกลีบหน้า และรังไข่ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในสตรีวัยทองนี้ FSH และ LH จะมีระดับสูงขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการแปรปรวนต่าง ๆ ของสตรีวัยทอง
ช่วงอายุวัยทอง....
1. Premenopause คือสภาวะก่อนหมดประจำเดือน ซึ่งยังคงมีประจำเดือนอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งอาจพบว่ามีประจำเดือนขาดหายไปบ้าง แต่ไม่เกิน 3 เดือน และโดยทั่วไปถือว่าสภาวะนี้จะเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 40 ปี
2. Perimenopause คือสภาวะก่อนหมดประจำเดือน อาจมีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือไม่มีประจำเดือนมาเป็นระยะเวลา 3-11 เดือน มักจะเกิดกับสตรีอายุเฉลี่ย 47.5 ปี
3. Postmenopause คือสภาวะหมดประจำเดือนอย่างถาวร (มากกว่า 12 เดือนขึ้นไป)ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ และโรค - อาการร้อนวูบวาบ ตามร่างกาย เหงื่อออกในเวลากลางคืน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ ซึ่งมักเรียก กลุ่มอาการเหล่านี้ว่าเป็น Hot Flushes หรือ Hot Flashes - มี อาการซึมเศร้า หงุดหงิด กังวลใจ อารมณ์หวั่นไหวง่าย ความจำเสื่อม ไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย ความต้องการทางเพศลดลง - ช่องคลอดแห้ง รู้สึกแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอด มีการหย่อนยานของมดลูกและช่องคลอด มีการหย่อนยานของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ขณะไอหรือจาม และมีความอยากถ่ายปัสสาวะอยู่เสมอ - ผิวหนังแห้ง เหี่ยวย่น ผมแห้ง ผมร่วง - ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดตามข้อ - เต้านมมีขนาดเล็กลง หย่อน - มี การกระจายตัวของไขมันมาสะสมที่บริเวณหน้าท้อง และภายในช่องท้อง - มีแนวโน้มที่จะเกิดฟันผุและสูญเสียฟันได้ง่าย รวมทั้งมีการอักเสบของเหงือกหรือจะเกิดอาการ เลือดออกจากเหงือกได้ง่ายหลังจากได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อย - อาจมีอาการ ตาแห้ง - ระบบการฟังเสื่อมลง - มีอัตราเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ และโรคตับ - โรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ - โรคสมองฝ่อ (Alzheimer's disease), ความจำเสื่อม - โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ทำให้กระดูกหักได้ง่าย ครั้งหน้ามาดูว่าควรกินอะไรกันนะคะ โดย ทางแพทย์สายพุทธ ข้อมูล หมอชาวบ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 08:30:35 PM » |
|
มหาหงส์ สมุนไพรสารพัดประโยชน์
มหาหงส์ เป็นพันธุ์ไม้พวกเดียวกัน ขิง ข่า และขมิ้น พบขึ้นมากในภาคเหนือ ดอกออกที่ยอดเป็นช่อสั้น มีใบประดับสีเขียวรูปคล้ายเรือเรียงเป็นกระจุก ดอกมันจะบานครั้งละ 1-3 ดอก ดอกสีขาวล้วน มีกลิ่นหอมเย็น ผลเป็นรูปรี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
น้ำมันหอมระเหยจากเหง้ามหาหงส์สามารถไล่ยุงได้เป็นอย่างดี
ตำรายาไทยใช้ เหง้า เป็นยาบำรุงกำลัง ขับลม บำรุงไต ตากแห้งแล้วบดให้ละเอียดผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน กินแก้กษัย
http://fb.com/khongdeethailandwww.nextsteptv.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 08:32:58 PM » |
|
ข้าวหอมนิล ข้าวที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์
ข้าวเจ้าหอมนิล เป็นข้าวที่ได้รับการคัดเลือก และพัฒนาจนได้ข้าวที่มีเมล็ดข้าวกล้องเรียวยาว สีม่วงเข้ม ข้าวกล้องเมื่อหุงสุกจะนุ่มเหนียว และมีกลิ่นหอม น่ารับประทาน ที่สำคัญคือ ข้าวกล้องมีโปรตีนสูงถึง 12.5% และยังประกอบไปด้วย ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง แคลเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งสูงกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105
มีสารแอนโทไซยานิน ช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดที่หัวใจ และสมอง บรรเทาโรคเบาหวาน
http://fb.com/khongdeethailandwww.nextsteptv.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 08:40:12 PM » |
|
กะหล่ำปลี ภัยร้ายต่อสุขภาพจากการกินดิบ
กะหล่ำปลีดิบ เป็นผักยอดนิยมสำหรับการรับประทานคู่กับอาหารหลากหลายชนิด ตัวอย่างเช่น ส้มตำ ลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นทอด เป็นต้น ก่อนอื่นมาดูประโยชน์ของผักกะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมาก การรับประทานกะหล่ำปลีฝอย 1 ถ้วย เท่ากับการรับประทานส้มเขียวหวาน 1 ผล และกะหล่ำปลี ยังประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินบี 2 วิตามินอี โฟเลต เบต้าแคโรทีน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น เหล็ก โพแทสเซียม และแมกนีเซียม อีกด้วย
สรรพคุณทางยาของกะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีมีสรรพคุณในการต้านมะเร็ง และบรรเทาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ จากผลงานวิจัยเกี่ยวกับสารกลูตามีนในกะหล่ำปลีพบว่าช่วยเคลือบกระเพาะอาหาร ได้ และในกะหล่ำปลี ยังมีสารซัลเฟอร์ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำใส้ใหญ่ ทำให้ระบบการขับถ่ายดี อีกทั้งยังช่วยลดคอเลสเตอรอล ระงับประสารทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น สารอื่นในกะหล่ำปลี เช่น อินโดลฟลาโวนอยด์ คาร์บินอล ซัลฟาราเฟน กลูโคซิโนเลต เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิก ซึ่งสารเหล่านี้มีผลช่วยต้านการก่อตัวของโรคมะเร็ง บำรุงระบบไต ชะล้างสารพิษ ทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบจากแผลในสำไส้ บรรเทาอาการแน่นหน้าอก แก้ท้องผูก และเจ็บคอจุกเสียดแน่นท้องได้เป็นอย่างดี
สรรพคุณทางด้านความสวยความงามของกะหล่ำปลี เนื่องจากกะหล่ำปลีสามารถช่วยเพิ่มสารกลูตาไทโอน ซึ่งมีผลต่อการล้างพิษจากควันไอเสียและยา ส่งผลทำให้ตับพิการได้ และผลข้างเคียงของสารกลูตาไทโอน คือทำให้ผิวขาวขึ้นอีกด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผักยอดนิยมอย่างกะหล่ำปลีหากรับประทานดิบจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพในระยะยาวได้อย่างไร…. เนื่องจากในกะหล่ำปลีดิบ มีสาร Goitrogen ซึ่งมีผลทำให้ต่อมไทรอยด์ไม่จับกับไอโอดีน ส่งผลให้ไม่เกิดการสร้าง Thyroscine เป็นบ่อเกิดของโรคคอหอยพอก แต่สารพิษชนิดนี้จะถูกทำลายได้โดยการทำให้เมนูอาหารกะหล่ำปีให้สุกเสียก่อน
ดังนั้นการรับประทานกะหล่ำปลีพบว่ามีคุณประโยชน์อยู่มาก แต่หากรับประทานดิบ จะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ เพื่อเป็นการป้องกันและดูแลสุขภาพจึงควรเลือกรับประทานกะหล่ำปลี ที่ได้ทำให้สุกเสียก่อน: http://club.sanook.com/25673/กะหล่ำปลี-ภัยร้ายต่อสุข
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 08:42:31 PM » |
|
เจียวกู้หลาน(ปัญจขันธ์)...รักษาเบาหวานได้
งานวิจัยในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า ในใบชาเจียวกู้หลานมีสารสำคัญชื่อ Gypenosides ถึง 82 ชนิด ซึ่งมากกว่าที่มีในโสม 3-4 เท่า ผลการวิจัยของจีนและญี่ปุ่นพบสรรพคุณของ เจียวกู้หลาน ตรงกันว่ามีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้นอนหลับ ลดระดับไขมันในเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งบางชนิด ต้านการอักเสบ และลดระดับความดันโลหิตสูง รวมทั้ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยส่วนประกอบที่สำคัญอันหนึ่งก็คือ ซาโปนิน ที่มีอยู่ในเจียวกู้หลาน มีคุณสมบัติในการลดอาการป่วยจากโรคตับอักเสบและโรคเบาหวาน โดยเข้าไปช่วยกระตุ้นสร้างอินซูลินจากตับอ่อน จึงช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้ ...อีกทางเลือกสำหรับการควบคุมนำ้ตาลในผู้ป่วยเบาหวานครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 08:45:06 PM » |
|
ชาขาว...ต้านมะเร็ง
สารต้านอนุมูลอิสระที่พบในชาขาวส่วนใหญ่เป็นสารโพลีฟีนอล (polyphenol) จำพวกสารคาเทชิน (catechin)] ซึ่งพบมากถึง 70% ของปริมาณสารโพลีฟีนอลทั้งหมดที่มีในชาขาว มีคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ คือ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ลดระดับของคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ต้านแบคทีเรีย ไวรัส และป้องกันฟันผุ เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจากการบริโภคชาขาวหนึ่งแก้ว พบว่าการบริโภคชาขาวได้รับสารปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าการบริโภคผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักโขม บร๊อคโคลี่ สตรอเบอรี่ ในสัดส่วนการบริโภคที่เท่ากัน ...การดื่มชาขาวเป็นประจำจึงมีผลดีต่อสุขภาพหลายอย่างครับDr.C
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 08:47:43 PM » |
|
GABA ... GABA เป็นกรดอะมิโนที่ผลิตจากกระบวนการ decarboxylation ของกรดอะมิโน (glutamic acid) กรดนี้จะมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง นอกจากนี้ GABA ยังถือเป็นสารสื่อประสาทประเภท สารยับยั้ง (inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้นซึ่งช่วยทำให้สมองเกิดการผ่อนคลายและนอนหลับสบาย จากการศึกษาในหนู พบว่าการบริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสาร GABA มากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกันการทำลายสมอง เนื่องจากสารเบต้าอไมลอยด์เปปไทด์ (Beta-amyloid peptide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความทรงจำ (อัลไซเมอร์) ดังนั้นจึงได้มีการนำสาร GABA มาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่างๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก ได้ครับDr.C
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|