Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1] 2 3 ... 9   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรจ้ะ  (อ่าน 18423 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« เมื่อ: มกราคม 14, 2014, 07:52:25 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 14, 2014, 07:52:55 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 04:32:11 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:01:42 PM »

กล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง(ยาอายุวัฒนะ)
 
๑.กล้วยน้ำว้าสุก ๑ หวี(น้ำหนักประมาณ ๑ กิโลกรัม)๒.น้ำผึ้ง ๑ กิโลกรัม(กะให้พอท่วมกล้วย)๓.ขวดโหล ๑ ใบ (แก้ว หรือ พลาสติกใสประเภท PET ห้ามใช้ PVC)
 
ตำรับที่ ๑ (Credit สำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง)
 
นำกล้วยที่ปอกแล้วมาหั่นตามขวาง เรียงใส่ขวดโหล แล้วเทน้ำผึ้งให้ท่วมกล้วยพอดีๆ หมั่นคนและกลับกล้วยจากข้างล่่างขึ้นข้างบน ครบ ๓ เดือนเอาเนื้อกล้วยซึ่งแข็งทิ้งไป นำน้ำที่ได้มากรองด้วยผ้าขาวบางไว้รับประทาน
 
วิธีและขนาดในการรับประทาน
 
ประมาณสี่ช้อนคาว หรือ ๑ ถ้วยชาจีนทุกคืนก่อนนอน อย่ามากกว่านี้เพราะเป็นยาร้อนจะทนไม่ไหว กินสัก ๑๕ วันจะรู้สึกร่างกายอบอุ่นกระชุ่มกระชวยผิดธรรมดา(คงเป็นที่ถูกใจของบรรดาท่านชายทั้งหลาย) ซึ่งเจ้าของตำรับบอกว่านอกจากเป็นยาอายุวัฒนะแล้วยังทำให้เตะปี๊บดังอีกด้วย
 
ตำรับที่ ๒ (จาก ตำรายาอายุวัฒนะ ทิพย์โอสถของบรรพชน)
 
นำกล้วยที่ปอกเปลือกแล้วทั้งลูกเรียงใส่โหลแล้วเทน้ำผึ้งให้ท่วมกล้วยตั้งไว้โดยไม่ปิดฝาแต่หาผ้าขาวมาปิดแทนฝากันฝุ่นและแมลง เพราะหากปิดฝาสนิทน้ำผึ้งจะเปรี้ยวทำให้เป็นการหมักแบบหมักไวน์ หมั่นกดกล้วยให้จมครบสองสัปดาห์จึงนำกล้วยมารับประทาน วันละ ๑ ลูก ส่วนน้ำผึ้งที่แช่กล้วยจะนำมาทานก็ได้แต่ห้ามเกินหนึ่งช้อนชา
 
สรรพคุณตำรับนี้จะทำให้ผิวพรรณผ่องใส ขับถ่ายคล่องสบาย
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:08:22 PM »

มะเขือพวง จิ๋วแต่แจ๋ว
คนไทยเรารู้จักและกินมะเขือพวงมานานแล้ว มะเขือพวงทำให้กลิ่นรสของเครื่องจิ้มต่างๆ มีความพิเศษออกไปจากปกติ เรากินผลอ่อนมะเขือพวงโดยนำไปโขลกกับน้ำพริกปลาทู น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกะปิ...
http://www.doctor.or.th/article/detail/10763


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2014, 09:12:40 PM »

รางจืดราชาของยาแก้พิษ
รางจืด...เป็นสมุนไพรชนิดเดียวที่มีการใช้แก้พิษในอดีตและมีข้อมูลการวิจัยสนับสนุน...
http://www.doctor.or.th/article/detail/11960

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2014, 07:36:12 AM »

เรื่องของ "ยาหอม" หรือ "ยาลม"

ยาหอมช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก ประกอบด้วยตัวยาสมุนไพร 10 ถึง 59 ชนิด มีคำกล่าวว่า “ไม่มียาในโรงพยาบาลอะไร จะมาใช้แทนยาหอมได้ เพราะกินแล้วสบาย สดชื่น ช่วยให้มีแรงขึ้นมาได้...” ยาหอม เป็นตำรับยาแผนโบราณมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน หน้ามืด คลื่นไส้ แก้ลมจุกเสียด แน่น ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ลำไส้ และอาการไม่สบายท้อง เป็นที่นิยมใช้โดยเฉพาะในผู้สูงอายุจนถึงปัจจุบัน

ทำไมเรียกว่ายาหอม ที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะว่าส่วนประกอบสมุนไพรหลักล้วนเป็นเกสรดอกไม้หอม ๆ 5 ชนิด เช่น มะลิ พิกุล บุนนาค สารภี เกสรบัวหลวง หรือ 7 ชนิด เพิ่ม ดอกจำปา ดอกกระดังงา หรือ 9 ชนิด เพิ่ม ดอกลำดวน ดอกลำเจียก เข้าไปอีก บวกกับสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมอีกหลายชนิด เช่น กฤษณา ขอนดอก กระลำพัก เปลือกสมุลแว้ง เปราะหอม ชะลูด หญ้าฝรั่น เทียน5 (เทียนดำ เทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก เทียนตาตั๊กแตน) โกฏ5 (โกฏสอ โกฏเชียง
โกฏเขมา โกฏหัวบัว โกฏจุฬาลัมพา) จันทน์แดง จันทน์เทศ จันทน์ชะมด ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ กระวาน กานพลู พิมเสนเกล็ด เป็นต้น สมุนไพรทั้งหมดบดเป็นผงใส่ขวดโหลไว้ เวลากินก็ตักมา 1 ช้อนกาแฟ ละลายน้ำสุก หรือน้ำฝนที่แช่ดอกมะลิ – ดอกกุหลาบ กินเรื่อย ๆ และได้สูดดมกลิ่มหอม ๆ ด้วย เป็น วิธีสุคนธบำบัด (aroma theraphy) อีกต่างหาก รับรองว่า อาการวิงเวียน สวิงสวาย อ่อนเพลีย กำลังวังชาไม่ค่อยดี จิตใจที่เคยขุ่นมัว มีเสมหะในลำคอ ธาตุที่เคยไม่ปกติจะหายไปโดยลำดับ จนไม่เหลือ สบายกายสบายจิตยิ่งนักแล.

ตัวอย่างสรรพคุณของดอกไม้หอม ๆ ในตำราแพทย์แผนไทย ท่านระบุไว้ว่า

- พิกัดเกสรทั้ง 5 คือ จำกัดจำนวนเกสรดอกไม้ 5 อย่าง คือ
ดอกมะลิ
ดอกพิกุล
ดอกบุนนาค
ดอกสารภี
เกสรบัวหลวง
สรรพคุณ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ไข้จับ แก้ลมวิงเวียน แก้น้ำดีช่วยให้เจริญอาหารและแก้โรคตา

ยาหอม มีมากมายหลายตำรับ ตัวยาจะแตกต่างกันไปบ้างแต่จะต้องมีตัวยาสมุนไพรที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นรวมอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย

จากประกาศของกระทรวงสาธารณสุข (2542) ได้กล่าวถึงยาหอมที่เป็นยาสามัญ ประจำบ้านไว้ 4 ตำรับ ดังนี้

1. ยาหอมนวโกฐ แก้ลมคลื่นเหียน อาเจียน ใช้น้ำลูกผักชี เทียนดำต้ม/ แก้ลมปลายไข้ ใช้ก้านสะเดา ลูกกระดอม และบอระเพ็ดต้มเอาน้ำ ถ้าหาน้ำกระสายไม่ได้ ใช้น้ำสุกแทน

2. ยาหอมเทพจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ

3. ยาหอมทิพโอสถ แก้ลมวิงเวียน ละลายน้ำดอกไม้ หรือน้ำสุก

4. ยาหอมอินทจักร์ แก้ลมบาดทะจิตใช้น้ำดอกมะลิ/ แก้ลมคลื่นเหียน อาเจียนใช้น้ำลูกผักชี เทียนดำต้ม ถ้าไม่มีใช้น้ำสุก/ แก้ลมจุกเสียดใช้น้ำขิงต้ม

“การศึกษาผลของยาหอมและสารสกัดสมุนไพรต่ออัตราการไหลเวียนเลือดในสมอง” โดย นางสาวอัมพร จาริยะพงศ์สกุล แห่งภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ นางสุทธิลักษณ์ ปทุมราช แห่งภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ปัจจุบันยาหอมเป็นยาแผนโบราณของไทยที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับถึงสรรพคุณในการเป็นยาบำรุงหัวใจ แต่ที่เป็นลักษณะเด่นในการนำยาหอมมาใช้คือ ยาหอมสามารถแก้ไขภาวะของคนใกล้เป็นลมหมดสติ (near syncope) หรือที่เรียกว่า แก้อาการเป็นลมหน้ามืด ซึ่งอาการดังกล่าวนี้เป็นผลมาจากภาวะที่สมองมีเลือดไปเลี้ยงลดลงชั่วขณะ (transient cerebral insufficiency) ให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้ ยาหอม 1 ตำรับ มีสารสมุนไพรเป็นส่วนประกอบอยู่หลายชนิด ส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งของยาหอม หรือองค์ประกอบรวมทั้งหมดอาจมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ที่มีผลต่อการหดและคลายตัวของหลอดเลือดภายในสมองได้โดยตรง จึงมีผลดีดังกล่าวข้างต้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลการศึกษาและวิจัยถึงฤทธิ์ของยาหอมและสารสมุนไพรต่าง ๆ ต่อการไหลเวียนเลือดในสมองเลย ปัจจุบันนักวิจัยไทยมีความรู้ ความสามารถ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน จึงถึงเวลาที่จะศึกษาสรรพคุณของยาหอมและสารสมุนไพรต่าง ๆ โดยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อการนำผลิตผลจากสมุนไพรไทยที่มีคุณค่ายิ่งออกสู่ตลาดโลกได้อย่างมีคุณภาพ…

จะเห็นว่าน้ำกระสายยามีบทบาทมากในการออกฤทธิ์ พวกเราชาวไทยนับว่าโชคดีที่มียาดี ๆ ไว้แก้อาการ บรรเทาทุกข์ เพราะฉะนั้นเราควรมียาหอมไว้ประจำบ้าน ทานได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ได้สงวนไว้เฉพาะคนชราเท่านั้นค่ะ

http://www.pleasantherbsgarden.com/

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #7 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2014, 07:39:59 AM »



บอระเพ็ดขมน้ำผึ้งหวานอยู่ด้วยกันดื่มเพื่อสุขภาพ

บอระเพ็ด ขมมาก มีใครจำได้ไหมค่ะ ว่าเคยได้ชืมมาบ้าง จำได้เองหรือพ่อแม่ปู่ยาตายายเล่าให้ทราบเมื่อเราโตขึ้น หรือมีใครเคยทำด้วยตัวเองเพื่อหย่านมลูก ฟังเรื่องราวแล้วคงได้ยิ้มกันบ้าง เด็กหลายๆคนคงไม่กลัวรสขม ก็หิวอยากกินนมแม่มากกว่าไม่ได้ขมตลอด แต่พอเป็นผู้ใหญ่กันแล้วบอระเพ็ดบางคนไม่รู้จักเลยว่าเป็นอย่างไร เป็นสมุนไพรเป็นยารักษาโรคได้ นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน ได้ทำวิธีที่ไม่ยากที่จะนำบอระเพ็ดมาใช้เพื่อสุขภาพ พร้อมนำสรรพคุณของบอระเพ็ดมาฝากดังนี้

บอระเพ็ด ชื่ออื่นๆ บอระเพ็ดตัวเมีย เจมูลย่าน เจตมูลหนาม จุ่งจริงตัวเมีย (เหนือ) เครือขอฮอ (อีสาน

ใบ รสขมเมา แก้รำมะนาด ปวดฟัน ฆ่าแมลงที่เข้าหู ฆ่าพยาะิไส้เดือน แก้ไข้ แก้โรคผิวหนัง ดับพิษปวดแสบปวดร้อน บำรุงน้ำดี

ลูก รสขม แก้ไข้ แก้เสมหะเป็นพิษ

เถา รสขมเย็น แก้พิษฝีดาษ แก้ไข้เหนือ ไข้พิษฝีกาฬ โรคแทรกซ้อนของไข้ทรพิษ แก้ไขทุกชนิด แก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้เลือดเย็น แก้สะอึก บำรุงกำลัง บำรุงน้ำดี บำรุงไฟธาตุ เจริญอาหาร

รากอากาศ รสขมเย็น แก้ไข้สูงมีอาการคลั่งเพ้อ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ เจริญอาหาร

บอระเพ็ด บำบัดเบาหวาน

สารสำคัญที่พบ มีรายงานว่าพืชนี้มีสารขมชื่อpcroretin นอกจากนั้นก็ยังมีสารจำพวก diterpenoid ชื่อ tinospran ซึ่งใกล้เคียงกับ columbin ที่แยกได้จากเถาและราก นอกจากนี้ยังพบสารประเภท amine 2 ชนิด คือ N-trans-feruloy tyramine N-cis-feruloyl tyramine และสาร phenoiic glucoside ชื่อ tinoluberide

ประโยชน์ทางยา

ใช้เป็นยาแก้ไข้ในตำรายาอายุรเวทของอินเดียกล่าวไว้ว่า พชชนิดนี้ใช้ในทางยาเช่นเดียวกับชิงช้าชาลี Tinospora cordiflia (Willd) Mier ex Hook.f.& Thoms.นอกจากใช้เป็นยาแก้ไข้ วึ่งกล่าวไว้ว่าดีเท่ากับ Cinchona แล้วยังใช้แก้ธาตุไม่ปกติ และโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ นอกจากนั้นยังกล่าวได้ว่า สารขมนั้นแก้ไข้ แก้อาการอักเสบ แก้อาการเกร็ง บำรุงกำลัง แก้ร้อนใน เป็นยาขมเจริยอาหาร บำรุงน้ำดี

ส่วนที่ใช้ เถา (ต้น)

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน องค์ประกอบทางเคมีที่พบ คือ สารกลุ่ม alkloids และ diterpene lactones ซึ่งมีรสขมจัด

วิธีใช้ ใช้เถาสด 30- 40 กรัม ต้มน้ำดื่ม

ข้อควรระวัง ควรระวังการใช้ขนาดสูงติดต่อกันนานๆ เพราะมีรายงานในสัตว์ทดลองว่า ทำให้การทำงานของตับและไตผิดปกติ

รายงานการทดลอง ในปี ค.ศ 1988 และ 1969 มีการศึกษาทดลอง สารสกัดจากบอระเพ็ดในคนและหนู พบว่า ผลการทดลองสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของคนและหนูได้

บอระเพ็ดหมักน้ำผึ้ง

วิธีทำ

1. เถาบอระเพ็ด ตัดเป็นท่อนยาวพอประมาณ ปอกผิวบางๆออก

2. ล้างน้ำให้สะอาด ผึ่งให้แห้ง

3. แห้งดีแล้ว ตัดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือยาวๆ ให้พอเหมาะกับขวดที่จะหมัก

4. บอระเพ็ดใส่ในขวด

5. เทน้ำผึ้งแท้ใส่ลงไปให้ท่วม

6. ปิดฝาให้แน่นแล้วเข่าหรือคนให้น้ำผึ้งละลายกระจายไม่เหนียวนอนก้นขวด เสร็จแล้วคลายฝาขวดไม่ให้แน่น

7. รุ่งขี้นอีกวันและจต่อมาอีกหลายวันบอระเพ็ดจะลอยขึ้น ก็ปิดฝาให้แน่นแล้วค่อยๆเอียงหรือเขย่าเบาๆให้น้ำผึ้งโดนบอระเพ็ดทั่วถึงด้านบนที่ลอย แล้วคลายฝาทุกๆวัน ประมาณ 7 วันหรือขยันทำมองทุกวันก็ทำได้เรื่อยๆ จนบอระเพ็ดจมลงก้นขวด

ปลูกไว้หรือพบที่ไหนนำมาทำเก็บไว้ หมักน้ำผึ้งนานได้ที่ เกิน 3 เดือนหรือนานกว่าเป็นปี ก็ไม่เสีย ดื่มโดยผสมน้ำหรือไม่ก็ได้ตามชอบของผู้ดื่ม

กานดา แสนมณี

http://www.gotoknow.org/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #8 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2014, 07:41:29 AM »




กดข้อนิ้วป้องและกระตุ้นการรักษาโรคค่ะ

วันนี้ขอนำเสนอเสนอวิธีการกดข้อนิ้วเพื่อรักษา 9 โรคค่ะ

1. โรคตับ กดคลึงข้อทั้ง 2 ของหัวแม่มือขวา

2. หูอื้อ กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วนางทั้ง 2 ข้าง

3. ปวดเข่า กดคลึงด้านข้างทั้ง 3 ของนิ้วก้อยมือซ้าย

4. เบาหวาน กดคลึงข้อทั้ง 2 ของหัวมือมือซ้าย

5. ความดันโลหิตสูง กดคลึงโคนนิ้วก้อยมือซ้าย

6. หัวใจ กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วก้อยมือซ้าย

7. ปวดประจำเดือน กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วชี้ทั้ง 2 ข้าง

8. ตาเมื่อย กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วกลางมือขวา

9. เสริมพลังแก่ร่างกาย กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วกลางมือซ้าย

แต่ละจุดให้กดคลึงครั้งละ 3 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้ามีไข้หรือนิ้วมีบาดแผลควรหยุดทำค่ะ

โดย ทางแพทย์สายพุทธ
ขอขอบคุณความรู้ดีดีจากหนังสือชีวจิต





สาระน่ารู้ทางการแพทย์ : จุดสะท้อนบนฝ่าเท้า
@ เป็นจุดสำคัญต่างๆ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย จุดสะท้อนบนฝ่ามือและฝ่าเท้าตามตำราจีนหมอแผนโบราณนั้น ทุกส่วนของร่างกายเกี่ยวโยงถึงกันด้วยพลังการหมุนเวียนภายในร่างกายหากเรารู้จักไว้จะช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้มากมายจริง ๆ(แก้ก่อนที่มันจะสายเกินไป)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 13, 2014, 08:32:48 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #9 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2014, 01:02:52 PM »

เคล็ดลับสำหรับมือใหม่หัดหมัก(พอสังเขป)
โดย N-Aufait Aufond เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2014 เวลา 12:06 น.
เคล็ดลับสำหรับมือใหม่หัดหมัก(พอสังเขป)
 
๑.การหมักทุกชนิดสำหรับสูตรป้าเช็ง คือ น้ำตาล ๑ กก / ผักหรือผลไม้ ๓ กก / น้ำสะอาด ๕ ลิตร สำหรับถังหมักขนาด ๑๐ ลิตร น้ำตาลที่ใช้ คือน้ำอ้อยผง แต่หากหาไม่ได้จะใช้น้ำตาลทรายเม็ดสีรำแทนได้(น้ำอ้อยผงจะดีที่สุด)
 
๒.หากหมักผักใบซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างเบา ให้เพิ่มน้ำผสมน้ำตาลอีกสัก ๒๐ ถึง ๒๕ เปอร์เซ็นต์
 
๓.การหมักลูกยอ ควรใช้ลูกยอแก่จัดถึงสุกจะทำให้ได้สรรพคุณจากลูกยอ แต่หากหมักลูกยอสุกเม็ดยอจะลอย วิธีแก้ไขคือหาผ้าขาวบางมาห่อเม็ดยอไว้แล้วแช่ไว้ในถังหมักตามเดิม เมื่อหมักได้อายุสามารถนำเม็ดยอมาบดแล้วกินเป็น Enzyme ผงได้
 
๔.ช่วงหมักสามเดือนแรก ต้องใส่ใจหมั่นทำความสะอาดและกดให้วัตถุที่หมักจมน้ำ และต้องระวังแมงหวี่ซึ่งชอบไข่ตามขอบถังและขอบฝา เมื่อฟักตัวเป็นหนอนจะทำให้ต้องลำบากในการช้อนหนอนออก แต่หากมีการลอดหูลอดตาเกิดเป็นหนอนขึ้นมาก็แค่ตักหนอนออก ไม่ต้องเทน้ำหมักทิ้งแต่อย่างใด
 
๕.การเก็บน้ำฝาถัง บางท่านก็เก็บตอนน้ำหมักมีรสเปรี้ยว ซึ่งส่วนมากก็เป็นน้ำหมักผลไม้ป่า และไม่แนะนำหากหมักพลอยเพชรซึ่งใช้ผักที่ปลูกขายเป็นพืชเสรษฐกิจเพราะจะมีการใช้ยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมาก และควรรอให้มีอายุครบปีจึงนำมาใช้
 
๖.การเดือดเป็นฟองในการหมักเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องตกใจ การเกิดฝ้าขาวจากการขยายตัวของยีสต์ในการหมักก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน แค่หมั่นคนหมั่นกลับของหมักจากด้านล่างขึ้นด้านบนช่วงสามเดื่อนแรกในการหมักก็จะไม่มีปัญหาแล้ว ผลพลอยได้จากการกลับการคน จะทำให้คนที่นิ้วล็อค มือชา หายได้ แม้กระทั่งคนเป็นสะเก็ดเงินก็หายมาหลายคนแล้ว
 
๗.ราขาวในการหมักเป็นราดี แต่หากเกิดราดำต้องรีบช้อนทิ้ง และเติมน้ำตาลผงเพื่อช่วยให้จุลินทรีย์ตัวดีแข็งแรง
 
๘.การแก้ไขน้ำหมักมีกลิ่นผิดปกติ คือ โรยน้ำตาลผงลงไป ปริมาณก็แล้วแต่ว่ากลิ่นผิดปกติมากน้อยแค่ไหน ให้พิจารณาเอาเอง
 
๙.น้ำหมักที่จะนำมาใช้ ๔ เดือน อุปโภค ๑ ปี บริโภค
 
๑๐.ผลไม้ ว่าน หรือผักหัว ที่จะนำมาหมัก หากมีขนาดใหญ่ก็สามารถหั่นได้ หากไม่ใหญ่นักก็หมักทั้งผล ทั้งเปลือก เพราะเปลือกจะมีสรรพคุณทางยามากเช่นกัน การหั่นจะทำให้น้ำหมักมีกลิ่นหอมจากวัตถุในการการหมักนั้นๆ แต่บางชนิดการย่อยสลายจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำหมักขุ่นข้นต้องรอตกตะกอนนาน
 
๑๑.ผัก ผลไม้ สมุนไพร และว่านที่ทานได้ทุกชนิด สามารถนำมาหมักได้ สรรพคุณที่ได้ก็แล้วแต่วัตถุในการหมักชนิดนั้นๆ
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #10 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2014, 10:29:08 PM »























ชมรม ผู้ดำเนินการสปาไทย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #11 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2014, 10:41:29 PM »








บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #12 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:12:18 AM »




ธาตุวัตถุสลายตัวง่าย...... กำมะถันเหลือง

กำมะถันเหลือง เป็นธาตุวัตถุที่นำมาใช้เข้ายาต้มรักษาโรคมะเร็งหลายๆ ตำรับ เช่น โรคมะเร็งลาม
ชื่อพื้นบ้าน: กำมะถันเหลือง มาด มาดเหลือง สุพรรณถัน ลิ่วอิ้ง (จีน) Sulfur

ลักษณะ: เป็ธาตุวัตถุ สะสมอยู่ใต้พื้นโลก ถูกส่งขึ้นมาด้วยแรงระเบิดของภูเขาไฟ หรือตามน้ำพุร้อนต่างๆ ทำเป็นแท่งกลม แบนหรือบดเป็นผง เมื่อเผาไฟจะได้ซัลเฟอร์ออกไซด์ ใช้อบฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ได้เกือบทุกชนิด

สรรพคุณทางยา: ผงหรือก้อน รสเมาฝืดคอ ขับลมในกระดูก แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ประดง ฆ่าพยาธิทั้งภายนอกและภายใน แก้จุกเสียดในโรคป่วง แก้โรคผิวหนังผื่นคันพุพอง รักษาบาดแผลและโลหิต

ข้อมูลอื่นๆ.....

กำมะถัน หรือ สุพรรณถัน หรือ มาศ เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sulphur มาจากภาษาละตินว่า Suphurium สันสกฤตใช้คำว่า Sulvere กำมะถันมีลักษณะเป็นของแข็งสีเหลืองอ่อน (สุพรรณ = ทอง) ไม่มีกลิ่นหรือมีกลิ่นเพียงเล็กน้อย เมื่อหลอมเหลวจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ

สุพรรณถันมีอันยรูปสามัญ 3 รูป ได้แก่

1. สุพรรณถันธรรมดา หรือกำมะถันรอมบิก

2. สุพรรณถันถันรูปเข็ม หรือกำมะถันโมโนคลินิก หรือกำมะถันปริสมาติก

3. กำมะถันเหนียว หรือกำมะถันพลาสติก

สุพรรณถันมีการใช้ในอุตสาหกรรมหลายอย่าง เช่น ทำไม้ขีดไฟ ทำดินปืน ทำยาปราบแมลง ทำให้ยางแข็งตัว ทำดอกไม้เพลิง แต่ที่สำคัญที่สุดคือใช้เตรียมกรดกำมะถัน ดังมีคำกล่าวที่ว่า “ความเจริญของประเทศอาจวัดได้จากปริมาณของกรดกำมะถันที่ใช้”

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #13 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:14:44 AM »



คุณค่าผักพื้นบ้าน.....
ผักคราดหัวแหวน ( toothache plant )

ชื่อท้องถิ่น ผักเผ็ด, ผักตุ้มหู, หญ้าตุ้มหู


คนรุ่นใหม่ น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยรับประทานผักคราดหัวแหวน ซึ่งผักชนิดนี้เป็นผักพื้นบ้าน นิยมรับประทานกันมาแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดแล้ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเอาทั้งต้นกินเป็นผักสดกับป่นปลา แจ่ว ซุบขนุน ซุบเห็ด ซุบหน่อไม้ หรือใส่แกงหน่อไม้ แกงอ่อมปลา เนื้อ หรือหมู ดับกลิ่นคาวได้ดีมาก รสชาติหอมเผ็ดปร่าชาลิ้นอร่อยมาก โดยเฉพาะดอกจะมีรสเผ็ด ใบรสหวานปนขมและเย็น เมื่อปรุงกับอาหารจะชวนให้รับประทานมาก คนโบราณนิยมเอาใบสดเคี้ยวแก้ปวดฟัน เป็นยาชาได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผักคราดหัวแหวน นอกจากจะใช้ปรุงเป็นอาหารและกินสดกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ได้อร่อยตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ทั้งต้นยังมีสรรพคุณทางสมุนไพรอีกด้วย โดยนำไปสกัดทำเป็นยาชา มีสรรพคุณแก้พิษตามทวาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้ผอมเหลือง แก้เด็กตัวร้อน ต้นสดตำผสมเหล้า 40 ดีกรี หรือน้ำส้มสายชูอมแก้ฝีในคอ ต่อมน้ำลายอักเสบดีมาก แก้ไข้ แก้ปวดฟัน ทั้งต้นรสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับลม และช่วยย่อยอาหารได้
นิยมปลูกแพร่ หลายตามสวนยาจีน สวนยาไทย มีต้นวางขายเป็นผักสดให้คนซื้อไปรับประทานตามแผงขายผักพื้นบ้านทั่วไป ราคากำละไม่เกิน 10 บาท

- จัดเป็นผักที่เป็นทั้งอาหาร และ ยาสมุนไพร และเป็นหนึ่งในยาสมุนไพรในงานสาธารณสุขมูลฐาน

ผักคราดหัวแหวน กลุ่มยาแก้ปวดฟัน เป็นพืชล้มลุก ลำต้นมักทอดเลื้อย ปลายยอดตั้ง ต้นสีเขียวปนสีม่วงแดง มีขน ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม สลับตั้งฉาก รูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบจักฟันเลื่อย แผ่นใบสีเขียว มีขนประปรายทั้งสองด้าน ดอก ออกเป็นช่อรูปกรวยคว่ำ ตามซอกใบ ดอกสีเหลือง ผล เป็นผลแห้ง รูปไข่

- ส่วนที่ใช้ ก็คือ ราก ต้น ทั้งต้น ใบ ดอก

- สรรพคุณทางสมุนไพร

· ใบ แก้ปวดศีรษะ แก้โลหิต เป็นพิษ
· ดอก ขับน้ำลาย แก้โรคในคอ แก้ปวดฟัน แก้โรคติดอ่างในเด็ก รักษาแผลในปากในคอ แก้โรคลิ้นเป็นอัมพาต
· เมล็ด เคี้ยวแก้ปากแห้ง
· ราก ต้มดื่ม เป็นยาถ่าย อมบ้วนปากแก้อักเสบในช่องปาก เคี้ยวแก้ปวดฟัน
· ทั้งต้นของผักคราดหัวแหวน
- รสเผ็ด ซ่าปาก ทำให้ลิ้น และเยื่อเมือกชา และยังสามารถแก้ต่อมน้ำลายอักเสบ ได้อีกด้วย
- แก้ฝีในคอ แก้ไข้ คอตีบตัน แก้ซาง แก้คัน และแก้ริดสีดวง แก้เริมได้อีกด้วย
- แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง แก้ไอ ระงับหอบ ไอหวัด และไอกรน หอบหืดได้ด้วย
- แก้เหงือก และฟันปวด แก้ปวดบวมฟกช้ำ และแก้ไขข้ออักเสบจากลมขึ้นด้วย
- แก้บิด ท้องเดินได้เป็นอย่างดี
- แก้แผลบวม มีพิษ งูพิษกัด สุนัขกัด ตะมอย
- ใบ แก้ปวดฟัน แก้ปวดศีรษะ รักษาแผล มีฤทธิ์เป็นยาชา
- ดอก แก้ปวดฟัน แก้ปวดศีรษะ

· วิธีใช้ ผักคราดหัวแหวน
- ใช้รับประทานภายใน ต้มแห้ง ต้มน้ำดื่ม หรือบดเป็นผง รับประทานกับน้ำ หรือผสมกับเหล้ารับประทาน
- ใช้ทาภายนอก ต้นสดตำพอก หรือเอาน้ำทาถู ใช้ต้นสด 1 ต้น ตำให้ละเอียด เติมเกลือ 10 เม็ด คั้นน้ำ ใช้สำลีพันไม้ชุบน้ำยาจิ้มลงในซอกฟัน และทำให้หายปวดฟันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

หมายเหตุ

เมื่อเอาก้านช่อดอกหรือลำต้นมาเคี้ยว จะทำให้รู้สึกชามากกว่าเคี้ยวแต่ใบอย่างเดียว ดังนั้นการจะนำมาใช้ในทางทำให้ชา เช่น แก้ปวดฟันหรือทางแก้ปวดบวม คันต่าง ๆ ก็น่าจะใช้ลำต้นหรือก้านช่อดอกซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่าใช้ใบ การใช้แก้ปวดฟัน ให้เอาก้านสดมาเคี้ยวตรงบริเวณฟันซี่ที่ปวด เพื่อให้น้ำจากก้านซึมเข้าไปตรงที่ปวด จะทำให้ชาสามารถระงับอาการปวดฟันได้ดี ถ้าฟันที่ปวดเป็นรู ใช้ขยี้ให้เละ อุดเข้าไปในรูนั้น สักครู่จะทำให้ชาและหายปวด (เคี้ยวแล้วประมาณ 1 นาที จะรู้สึกชาและจะชาอยู่ประมาณ 20 นาที ถ้ายังไม่หาย ก็เคี้ยวอีก 3-4 ครั้ง จนกว่าจะหาย พบว่าหายปวดไปได้นานและบางคนว่าจะไม่ปวดอีกเลย) เคี้ยวพืชนี้แล้วจะมีน้ำลายออกมาก ใช้เป็นสารกระตุ้นให้หลั่งน้ำลายได้ดี ยอดอ่อนใช้แกงกินหรือกินเป็นผักสดได้ ช่วยกระตุ้นให้น้ำลายออกมาก ช่วยให้การย่อยในปากและกระเพาะดีขึ้น และกินแก้เลือดออกตามไรฟัน ใช้ตำพอกแผลและแผลเนื้อตายได้ ใช้ต้นนี้ร่วมกับใบหนาดใหญ่ และใบมะขามต้มอาบหลังฟื้นไข้ และในโรคปวดตามข้อ หญิงมีครรภ์และหลังคลอด

รากใช้เป็นยาถ่าย ใช้รากแห้ง 4-8 กรัม ต้มในน้ำ 1 ถ้วยกิน รากใช้ต้มเอาน้ำอมบ้วนปาก แก้อาการอักเสบในช่องปากและเจ็บคอ นอกจากนี้อาจใช้ก้านขยี้ทาแผลในปากเด็ก ซึ่งเกิดเนื่องจากร้อนใน

- การขยายพันธุ์ เมล็ด ปักชำมีรากออกตามข้อ ใช้ลำต้นปลูกโดยใช้ลำต้นที่มีข้อ 2–3 ข้อ ฝังลงไปในดินให้ส่วนยอดโผล่เหนือผิวดิน ฤดูกาลเก็บส่วนขยายพันธุ์ได้ตลอดปี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโตขึ้นทั่วไปในที่ลุ่ม ชื้นแฉะพบตามป่าละเมาะ

- ดอกผักคราดหัวแหวนขาวเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.10 (สนใจรายละเอียด GC Chromatogram ติดต่อที่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ

- ผลรายงานทางคลินิกของจีน

1.แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ใช้ต้นแห้งบดเป็นผง ทำเป็นยาน้ำเชื่อม (ในน้ำเชื่อม 10 มิลลิลิตร มีเนื้อยานี้ 3.2 กรัม) กินครั้งละ 30 มิลลิลิตร วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร10 วัน เป็น 1 รอบของการรักษาจากการรักษาคนไข้ 85 ราย) รักษา 2 รอบของการรักษา 8 ราย รักษารอบเดียว 77 ราย) พวกที่เริ่มเป็นรักษาหาย 30 ราย ได้ผลดีขึ้นอย่างเด่นชัด 22 ราย คนไข้หอบ 8 ราย รักษาหาย 1 ราย ได้ผลดีขึ้นอย่างเด่นชัด 7 ราย

2. ใช้เป็นยาชา เอาต้นนี้มาทำเป็นยาฉีดให้มีความเข้มข้น 50% ในการผ่าตัดหน้าท้อง ฉีดยานี้ลงไปทีละชั้น หลังจากนั้น 3-8 นาทีก็ทำการผ่าตัดได้ ระหว่างผ่าตัดอาจฉีดยาลงไปได้อีก เพื่อควบคุมอาการปวด ในการผ่าตัดที่ท้องหรือกระเพาะใช้ขนาด 100-150 มิลลิลิตร ผ่าตัดเล็กใช้ 60-80 มิลลิลิตร การใช้ทำให้ชาภายนอกหรือผ่าตัดในการคลอด หรือส่วนสำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กระเพาะ ท่อมทอนซิล จำนวน 346 ราย ทำให้ขาได้ผลดี 326 ราย ได้ผลพอใช้ได้ 17 ราย ล้มเหลว 3 ราย ในการตรวจก่อนและหลังการผ่าตัดเกี่ยวกับไตและเลือด ยังไม่พบอาการผิดปกติอะไร พวกที่แพ้ง่ายจะมีความดันเลือดลดลงเล็กน้อย และแผลหลังการผ่าตัด มักเป็นแผลเป็น

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #14 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2014, 09:19:00 AM »



วิธีการทำลูกประคบสมุนไพร .....

การประคบสมุนไพร คือ การใช้สมุนไพรมาห่อด้วยผ้าเป็นลูก เรียกว่า ลูกประคบ นำลูกประคบไปนึ่งให้ร้อนแล้วนำมาประคบบริเวณที่ปวดหรือเคล็ด ขัดยอก จะช่วยบรรเทาอาการ ปวดเคล็ดขัดยอกได้ สมุนไพรที่ใช้ทำลูกประคบส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีน้ำมันหอมระเหย เมื่อนึ่งร้อนแล้วน้ำมันหอมระเหยซึ่งเป็นตัวยาจะออกมากับไอน้ำและความชื้น เมื่อประคบตัวยาเหล่านั้นจะซึมเข้าในผิวหนัง ช่วยรักษาอาการเคล็ด ขัดยอก และอาการปวด นอกจากเน้นแล้ว ความร้อนจากลูกประคบจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ช่วยให้ตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้ดีขึ้น ทั้งกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยยังช่วยให้เกิดความสดชื่นด้วย

อุปกรณ์การทำลูกประคบ
1. ผ้าดิบสำหรับห่อลูกประคบ ขนาด 35 x ยาว 35 เซนติเมตร 2 ผืน
2. เชือก ด้ายดิบ หรือหนังยาง
3. ตัวยาที่ใช้ทำลูกประคบ
4. เตา พร้อมหม้อสำหรับนึ่งลูกประคบ
5. จานหรือชามอลูมิเนียมเจาะรู (เพื่อให้ไอน้ำผ่านได้) สำหรับรองลูกประคบ


ตัวยาที่นิยมใช้ทำลูกประคบ (ลูกประคบ 2 ลูก)
1. เหง้าไพล (500 กรัม) สรพคุณ แก้ปวดเมื่อย ลดการอักเสบ
2. ผิวมะกรูด ถ้าไม่มีให้ใช้ใบแทนได้ (200 กรัม) สรรพคุณ มีน้ำมันหอมระเหย แก้ลมวิงเวียน
3. ตะไคร้ (200 กรัม) สรรพคุณ แต่งกลิ่น
4.ใบมะขาม (100 กรัม) สรรพคุณ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยบำรุงผิว
5. ขมิ้นชัน (100 กรัม) สรรพคุณ ช่วยลดอาการอักเสบ แก้โรคผิวหนัง
6. ใบส้มป่อย (100 กรัม) สรรพคุณ ช่วยบำรุงผิว แก้โรคผิวหนัง ลดความดันโลหิต
7. เกลือแกง (60 กรัม) สรรพคุณ ช่วยดูดความร้อนและช่วยพาตัวยาซึมผ่านผิวหนังได้สะดวกขึ้น
8. การบูร (2 ช้อนโต๊ะ) สรรพคุณ แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้พุพอง
9. พิมเสน (2 ช้อนโต๊ะ) สรรพคุณ แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้หวัด


วิธีการทำลูกประคบ
1. หั่นหัวไพล ขมิ้นชัน ต้นตะไคร้ ผิวมะกรูด เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำมาตำพอหยาบ ๆ
2. นำใบมะขาม ใบส้มป่อย ผสมกับสมุนไพรข้อ 1 เสร็จแล้วให้ใส่เกลือ การบูร คลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียว แต่อย่าให้แฉะเป็นน้ำ
3. นำตัวยาที่จัดเตรียมเรียบร้อย แล้วใส่ผ้าดิบห่อเป็นลูกประคบประมาณลูกส้มโอ (น้ำหนักประมาณ 400 – 500 กรัม) รัดด้วยเชือกให้แน่น
(ลูกประคบเวลาถูกความร้อนยาสมุนไพรจะฝ่อลงให้รัดใหม่ให้แน่นเหมือนเดิม)
4. นำลูกประคบที่ได้ไปนึ่งในหม้อนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณ 15-20 นาที
5. นำลูกประคบที่รับความร้อนได้ที่แล้วมาประคบคนไข้ที่มีอาการต่าง ๆ โดยสับเปลี่ยนลูกประคบ


วิธีการประคบ
1. จัดท่าคนไข้ให้เหมาะสม เช่น นอนหงาย นั่ง นอนตะแคง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จะทำการประคบสมุนไพร
2. นำลูกประคบที่รับความร้อนได้ที่แล้วมาประคบบริเวณที่ต้องการประคบ (การทดลอบความร้อนของลุกประคบคือแตะที่ท้องแขนหรือหลังมือของผู้ประคบก่อน)
3. ในการวางลูกประคบบนผิวหนังคนไข้โดยตรงในช่วงแรก ๆ ต้องทำด้วยความเร็ว วางแช่นาน ๆ เพื่อป้องกันคนไข้จากการลูกลวกด้วยความร้อน
4. เมื่อลูกประคบคลายความร้อนลงก็สามารถเปลี่ยนลูกประคบอีกลูกที่นึ่งได้ที่ (นำลูกเดิมไปนึ่งต่อ) ทำซ้ำตามข้อ 2 , 3 , 4


ประโยชน์ของการประคบ
1. บรรเทาอาการปวดเมื่อย
2. ช่วยลดอาการบวม อักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ หลัง 24-48 ชั่วโมง
3. ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
4. ช่วยให้เนื้อเยื่อ พังผืด ยืดตัวออก
5. ลดการติดขัดของข้อต่อ
6. ลดอาการปวด
7. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

ข้อควรระวัง
1. ห้ามใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไป โดยเฉพาะกับบริเวณผิวหนังอ่อน ๆ หรือบริเวณที่เคยเป็นแผลมาก่อน ถ้าต้องการใช้ควรมีผ้าขนหนูรองก่อนหรือรอจนกว่าลูกประคบจะคลายร้อนลงจากเดิม
2. ควรระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต เด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวความรู้สึกตอบสนองต่อความร้อนช้า อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ พองได้ง่าย ถ้าต้องการใช้ควรจะ “ ใช้ลูกประคบที่อุ่น ๆ ”
3.ไม่ควรใช้ลูกประคบสมุนไพรในกรณีที่มีแผลการอักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) ในช่วง 24 ชั่วโมง แรกอาจจะทำให้บวมมากขึ้น
4. หลังจากประคบสมุนไพรแล้ว ไม่ควรอาบน้ำทันทีเพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และอุณหภูมิของร่างกายปรับเปลี่ยนไม่ทันอาจจะทำให้เป็นไข้ได้


วิธีเก็บรักษา
1. ลูกประคบสมุนไพรที่ทำในแต่ละครั้ง สามารถเก็บไว้ใช้ซ้ำได้ 3-5 วัน
2. ควรเก็บลูกประคบไว้ในตู้เย็น จะทำให้เก็บได้นานขึ้น ควรตรวจลูกประคบด้วย ถ้ามีกลิ่นบูดหรือเหม็นเปรี้ยวไม่ควรเก็บไว้)
3. ถ้าลูกประคบแห้ง ก่อนใช้ควรพรมด้วยน้ำหรือเหล้าขาว
4. ถ้าลูกประคบที่ใช้ไม่มีสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อนลงแสดงว่ายาที่ใช้จืดแล้ว (คุณภาพน้อยลง) จะใช้ไม่ได้ผลควรเปลี่ยนลูกประคบใหม่

อ้างอิงจาก www.ittm.dtam.moph.go.th

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 9   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: