Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 9   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สมุนไพรจ้ะ  (อ่าน 18460 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #15 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:09:22 AM »



เรื่องของลมในกองธาตุที่สัมพันธ์กับระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต....

ในระบบหายใจ และระบบการไหลเวียนโลหิต เทียบได้กับการทำงานของลมในร่างกาย ก็คือ การทำงานร่วมกันของลมอุทธังคมาวาตา กับลมอโธคมาวาตา ซึ่งลมในกองธาตุทั้ง 2 นี้ก็จะทำงานร่วมกับลมอัสสาสะปัสสาสะวาตาด้วย

ซึ่งการทำงานร่วมกันของลมที่เกี่ยวข้่องกับระบบการหายใจและระบบการไหลเวียนเลือด เป็นดังนี้

- การหายใจเข้า เป็นการทำงานร่วมกันของลมอโธคมาวาตาและอัสสาสะวาตา

- การหายใจออก เป็นการทำงานร่วมกันของลมอุทธังคมาวาตาและปัสสาสะวาตา

อธิบายเรื่องของลม 6 กอง ดังนี้คือ
1. ลมอุทธังคมาวาตา คือลมพัดขึ้นเบื้องบน จากเหนือสะดือ ถึง ศีรษะ

2. ลมอโธคมาวาตา คือลมพัดลงเบื้องล่าง ตั้งแต่ใต้สะดือ ถึงปลายเท้า

ลมทั้งสองนี้เมื่อระคนกัน คือ ลมอโธคมาวาตา พัดย้อนขึ้นไประคนกับลมอุทธังคมาวาตา หรือลมอุทธังคมาวาตากลับพัดลงมาหาอโธคมาวาตา จึงเป็นเหตุให้โลหิตถูกพัดเป็นฟองและร้อนดังไฟ กำลังที่โลหิตแปรไปก็เกิดแต่อาการ ๓๒ ของร่างกาย

ส่วนลมในทิศเบื้องต่ำ คือลมอัมพฤกษ์และลมอัมพาต เกิดแต่ปลายเท้าถึงเบื้องบน ลมทั้งสองนี้ เป็นที่ตั้งแห่งฐานลมทั้งหลาย เมื่อระคนกันก็ให้หวาดหวั่นไปทั่ว เพราะไปกระทบกับ ลมหทัยวาตะ คือน้ำเลี้ยงหัวใจ ให้บุคคลถึงแก่ชีวิต

เมื่อลมระคนกันให้กำลังโลหิตแปรไป อาการที่ปรากฎจึงเป็นอาการทางระบบประสาท ให้จุกแน่น ชักมือกำ เท้างอ ดิ้นไป ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง ขากรรไกรแข็ง เจรจาไม่ได้ บ้างสิ้นสติ หรือลมนั้นมีกำลังขับโลหิต ให้คั่งเป็นวงเป็นสีตามร่างกาย

3. กุจฉิสยาวาตา คือ ลมพัดในท้อง นอกลำไส้
4. โกฏฐาสยาวาตา คือ ลมพัดในลำไส้ ลมในกระเพาะ
5. อังคมังคานุสารีวาตา คือ ลมพัดทั่วร่างกาย
6. อัสสาสะปัสสาสะวาตา คือ ลมหายใจเข้าออก

ซึ่งลมดังกล่าวมีตัวควบคุม 3 อย่าง คือ

1. หทัยวาตะ หมายถึง ลมเกี่ยวกับหัวใจ จิตใจหรือลมที่ทำให้หัวใจเต้น

2. สัตถกวาตะ หมายถึง ลมที่คมเหมือนอาวุธลักษณะรวดเร็วฉับพลัน เล็ก แหลม เจ็บแปลบ เกิดจากปลายประสาท และเส้นเลือดฝอยผิดปกติ

3. สุมนาวาตะ เส้นสุมนา คือเส้นกลางลำตัว น่าจะหมายถึง ระบบไหลเวียนของเลือดและประสาท หรืออื่น ๆ ที่มีผลต่อการเคลื่อนไหว ระบบนี้น่าจะอยู่บริเวณกลางลำตัว

ซึ่งลมทั้ง 3 นี้ จะเป็นสาเหตุหลักให้ลมทั้ง 6 ชนิดดังกล่าวผิดปกติไป เกิดเจ็บป่วยด้วย โรคลมต่าง ๆ ดังนั้น อาการของโรคลมที่เกิดจากลม กองละเอียด มักจะมีอาการหน้ามืด ตาลาย เวียนศีรษะ ใจสั่น สวิงสวาย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ตกใจ เสียใจ แพ้ท้อง และทำงานกลางแดด จัดนาน ๆ เป็นต้นนอกจากนี้หมอพื้นบ้านยังได้กล่าวถึง โรคลมที่เกิดจากลมกองหยาบ คือ ลมหายใจเข้าออก ลม ในท้อง และลำไส้ มักจะมีอาการจุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เรอ และขับผายลม เป็นต้น

แพทย์แผนปัจจุบันโดยนายแพทย์จักรพงศ์ ไพบูลย์ ที่ปรึกษาสถาบันการแพทย์แผนไทย ได้สรุปดังนี้

กลุ่มอาการดังกล่าวได้แก่


1. Vertigo ( อาการบ้านหมุน )
2. Papitation ( อาการใจสั่น )
3. Emotional Stress ( อารมณ์เครียด )
4. Headache ( ปวดศีรษะ )

หรือจากการแบ่งสาเหตุได้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ คื


1. สาเหตุจากสมอง ได้แก่ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เกิดอาการ Vertigo, Cerebral insufficency, Syncope
2. สาเหตุจากจิตใจและอารมณ์ ได้แก่ Anxity, Depression
3. สาเหตุจากหัวใจ ได้แก่ Papitation, Angina, Arrythmia
4. สาเหตุจากระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ Nausia, Vomilting, Morning Sickness
5. สิ่งอื่น ๆ ภายในและภายนอก ได้แก่ ปวดเกินไป , แน่นเกินไป , ยืนนาน ๆ , ร้อนเกินไป (Heatstroke)

(ที่มา ยาหอมไทย แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก)
ขอขยายความเรื่องลมเพื่อความเข้าใจและเห็นภาพชัดขึ้น ลม (วาโยธาตุ)

วาโยธาตุหย่อน ให้โทษ 13 ประการ คือให้เกิดลมไปต่าง ๆ มักให้ถอนใจ หาว เรอ ผายลม ลมในท้องมาก สะบัดร้อนสะบัดหนาว ร้อนในอก ตัวและมือเท้าสั่น ลมพัดทั่วกาย มือเท้าตาย ลมทำพิษให้คลั่งไคล้

วาโยธาตุกำเริบ ให้โทษ 12 ประการ คือ ให้ลิ้นแข็ง คอแห้งเป็นผง กระหายน้ำ เขม่นตา ขนพองสยองเกล้า ฟันคลอน คัดจมูก เบื่ออาหาร มือเท้าเย็น ฟันแห้ง ปากแห้ง

วาโยธาตุพิการ เมื่อท้องว่างให้อาเจียน บางทีอิ่มให้คลื่นเหียนอาเจียนก็มี ให้ท้องคลอนเพราะมีลม

(ที่มา คู่มือเวชกรรมแผนโบราณ ฝ่ายธรรมชาติบำบัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี ศูนย์ประสานงานการแพทย์แผนไทยภาคกลาง จังหวัดปราจีนบุรี สนับสนุนโดยสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข)

เพิ่มเติม.... ระบบทางเดินหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต

ระบบทางเดินหายใจ

ระบบทางเดินหายใจเริ่มจากจมูก ต่อจากนั้นจะเป็นโพรงที่ติดต่อระหว่างจมูก (Nasal) กับคอหอย (Pharynx) ที่เรียกว่า Nasopharynx ตำแหน่งคอหอยจะมีกระดูก อ่่อนด้านบน เรียกว่า Thyroid Cartilage ด้านล่างเรียกว่า Cricoid Cartilage ต่อจากคอหอยก็จะเป็นส่วนของหลอดลม (Trachea) จากนั้นหลอดลมจะแบ่งเป็น แขนงหลอดลมหลัก (ฺMain Bronchi) ข้างซ้ายและขวา โดยจะมีมีการแตกแขนง ออกไปเรื่อยๆในเนื้อปอด เรียกว่า Bronchial Tree ซึ่งที่ย่อยที่สุดจะเรียกว่า Bronchioli ก่อนทีจะไปต่อกับถุงลมมากมายที่เรียกว่า Alveoli บริเวณ Alveoli จะเป็นบริเวณที่มีการแลกเปลียนอากาศ

เมื่อมองเนื้อปอดจากภายนอก จะเห็นเนื้อปอดมีลักษณะเหมือนฟองน้ำ ซึ่่งภายในจะมีอากาศจากลมหายใจเข้าผ่านจากจมูก ไปยังโพรงระหว่างจมูกและคอหอย ต่อไปยังคอหอย หลอดลม แขนงหลอดลม และไปเก็บในถุงลม จากรูปด้านซ้่าย เป็นภาพขยายของบริเวณถุงลม (Alveolus) ซึ่งจะอยู่ใกล้เส้นเลือดฝอยที่อยู่ในปอด จุดดังกล่าวจะเป็นจุดที่มีการแลกเปลี่ยนอากาศ โดยเลือดที่ผ่านเข้ามาที่ปอดนั้น เป็นเลือดที่มาจากอวัยวะต่างๆ ซึ่งได้ใช้ออกซิเจนไปจึงเหลือออกซิเจนน้อย แต่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง เม็ดเลือดแดงจะมีสีน้ำเงินหรือที่เรียกว่าเลือดดำ เมื่อเส้นเลือดฝอยผ่านมาที่บริเวณถุงลม จะเกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซโดยวิธีออสโมซีส คือเคลื่อนจากที่ที่มีความแข็งข้นสูงไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเส้นเลือดฝอยที่มีความเข้มข้นมาก จะเคลื่อนทีมายังถุงลม และก๊าซออกซิเจนที่มีความเข้มข้นมากในถุงลม จะเคลื่อนที่ไปยังเส้นเลือดฝอย เลือดที่ผ่านออกจากปอดจึงเป็นเลือดที่มีก๊าซออกซิเจนมาก และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย หรือที่เรียกว่าเลือดแดง เพื่อที่จะส่งไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆในรอบต่อไป ส่วนก๊าซที่มีคาร์บอนไดออกไซด์มากในถุงลม ก็จะถูกขับออกในช่วงของการหายใจออก

ระบบไหลเวียนโลหิต จำเป็นต้องใช้ 2 ระบบทำงานสัมพันธ์กัน คือ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบทางเดินหายใจ หัวใจและปอดอยู่ติดกันในทรวงอก แต่ภาพนี้เขียนแยกออกจากกันเพื่อให้ง่ายต่อการอธิบาย เนื่องจากเซลต้องการอาหารเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งอาหารหลักของเซลคือกลูโคส และต้องการออกซิเจนเพื่อช่วยในกระบวนการสันดาปให้เกิดพลังงาน หลักการของระบบไหลเวียนโลหิต นอกจากจะส่งกลูโคสให้เซลแล้ว จะทำหน้าที่ 2 ประการคือ

ส่งเลือดที่มีออกซิเจนสูง คาร์บอนไดออกไซด์ต่ำไปให้กับเซลต่างๆทั่วร่างกาย (เลือดแดง)
นำเลือดที่มีออกซิเจนต่ำ คาร์บอนไดออกไซด์สูง (เลือดดำ) ไปฟอกที่ปอด เพื่อให้เป็นเลือดแดงที่จะส่งไปให้เซลในรอบใหม่
จากรูปจะเห็นว่า ได้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนสีแดง กับส่วนสีน้ำเงิน ขอเริ่มจากส่วนสีน้ำเงินก่อนคือ เส้นเลือดเมื่่อไหลผ่านอวัยวะต่างๆ อวัยวะต่างๆก็จะนำออกซิเจน(O2) และกลูโคส (C6H12O6)ไปใช้ และปล่อยของเสียได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และแอมโมเนีย (NH3) ในรูปของ ยูเรียเข้าในในกระแสเลือด ยูเรียจะถูกขับออกที่ไต ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะไปฟอกที่ปอด จากรูปจะเห็นเส้นเลือดดำทั้งหมดจะไหลเข้าไปในเส้นเลือดดำใหญ่ Venacava เข้าไปยังหัวใจห้องบนขวา ที่เรียกว่า Right Atrium (RA) จากนั้นจะผ่านลิ้นหัวใจเข้าไปในหัวใจห้องล่างซ้ายที่เรียกว่า Right Ventricle (RV) หัวใจห้องล่างซ้ายก็จะบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปที่ปอดผ่านเส้นเลือดแดงชื่อ Pulmonary Artery ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดแดงที่มีออกซิเจนต่ำที่สุด และคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุดในร่างกาย โดยเส้นเลือดที่ไปยังปอดก็จะแยกเป็นเส้นเลือดที่ขนาดเล็กลง จนเป็นเส้นเลือดฝอยที่ปอด และไปทำการแลกเปลี่ยนอากาศกับถุงลมดังรูปที่แสดงก่อนหน้า เลือดที่ออกจากปอดที่ผ่านการฟอกแล้วจะมีีออกซิเจนสูง และก๊ีาซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ จะไหลเข้ามารวมกันเป็นเส้นเลือดดำชื่อ Pulmonary Vein แล้วเทเข้าหัวใจทางด้านห้องบนซ้ายที่เรียกว่า Left Atrium (LA) จากนั้นไหลผ่่านลิ้นเข้าในหัวใจห้องล่างซ้ายที่เรียกว่า Left Ventricle (LV) ซึ่งเมื่อหัวใจห้องล่างซ้าย บีบตัวก็จะส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย การเต้นของหัวใจขึงมี 2 จังหวะ คือ ช่วงบีบตัวก็จะบีบเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แลไปสู่ปอด ส่วนช่วงคลายตัวคือช่วงที่รับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ การทำงานของหัวใจและปอดจะเชื่อมโยงกัน ระบบใดมีปัญหาก็จะทำให้อีกระบบหนึ่งมีัปัญหาไปด้วย

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #16 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2014, 10:08:53 PM »

โรงพยาบาลธรรมชาติ

โรงพยาบาลธรรมชาติ

๑. ไขมันในเลือดสูง แทนที่จะหายามากินให้ปวดหัว ตับพัง
ก็หากระเทียมสดมากินสักวันละ 10 กลีบกับกินหอมหัวใหญ่สดวันละครึ่งหัว

๒. ปวดหัว ให้หาผักคะน้าหรือปวยเล้ง (แมกนีเซียม) กินวันละ ๕ ขีด
และกินปลาทูอีกวันละ ๒ ตัว (น้ำมันปลาลดการอักเสบได้)
หรือจะชงโกโก้กินหน่อยก็ช่วยได้ค่ะ

๓. เป็นหวัด ไอ จามบ่อย ให้หมั่นแปรงลิ้นและกิน กระเทียม
หอม พริกให้มากเข้าไว้

๔. ภูมิแพ้ แค่กินฝรั่งวันละ ๕ ชิ้นกับเมล็ดฟักทองวันละ ๑ กำมือ (สังกะสี)

๕. แพ้ฝุ่นละออง ไรฝุ่น หาโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติและนมเปรี้ยวไม่หวานจัดมากิน

๖. โรคหืดหอบ ไอเรื้อรัง กินต้มยำไก่, กินหัวหอมใหญ่ หอมแดงต้นหอม
และเอาหอมซุก ไว้ใต้หมอน

๗. ไขข้ออักเสบ หาปลาเนื้อมันกินวันละ ๒ ขีด เช่นปลาทู, ปลาสวาย,
ปลาแซลม่อน, ปลาซาร์ดีน, ปลาทูน่าหรือแม้แต่ปลากระป๋อง

๘. กระเพาะปัสสาวะอักเสบบ่อยให้กินน้ำกระเจี๊ยบไม่หวานจัดวันละ ๓ มื้อ
หรือน้ำแครนเบอรี่ ของฝรั่งในปริมาณเท่ากัน ( เปรี้ยวจัดมาก)

๙. ท้องอืด แก๊สมาก ให้กินกล้วยหักมุกปิ้งหรือขิงบ่อย ๆ

๑๐. ท้องผูก ชงน้ำผึ้งดื่มวันละ ๓ ช้อนโต๊ะ และให้กินน้ำมะขามต้มติด
เนื้อมาก เช้า เย็น

๑๑. โรคกระเพาะอาหาร หากล้วยหักมุกปิ้งกิน, กินกล้วยหรือ
กินผักกระหล่ำปลีให้มาก

๑๒. เวียนหัว คลื่นไส้ง่าย ให้หาอาหารทำจากขิงรับประทาน เช่น
ปลาผัดขิง ไก่ผัดขิง, น้ำขิง, ชาขิงหรือเต้าฮวย

๑๓. วัยทอง วูบวาบ อารมณ์ปรวน ให้กินปลาทูน่าให้มาก และ
กินเต้าหู้เหลืองวันละ ๑ แผ่น ถ้ากินเต้าหู้แล้วเบื่อให้สลับกับถั่วง
วันละ ๑ กำมือก็ได้

๑๔. หงุดหงิดง่าย ให้กินอาหารร่าเริง คือ ข้าวเหนียวดำ ข้าวโพด
กลอย กล้วยหอมและปลาทูน่า

๑๕. กระดูกพรุน ให้กินงาดำวันละ ๔ ช้อนโต๊ะ (ได้แคลเซียมมาก)
มะม่วงจิ้มกะปิ และ สับปะรด ซึ่งมีธาตุสมานกระดูดอยู่มาก( แมงกานีส)

๑๖. ความจำไม่ดี ให้กินปลาทูวันละ ๒ ขีด หอยแครง และหอยนางรม
ซึ่งมีธาตุสังกะสีช่วยสมองได้

๑๗. มะเร็งเต้านม ให้กินบร็อคโคลีหรือคะน้าวันละ ๕ ขีด

๑๘. มะเร็งปอดทางเดินหายใจ ให้กินเสาวรส ฝรั่ง ส้ม มะนาว มะขามป้อม
มะละกอ มะม่วง ให้มาก เพราะวิตามินซีช่วยสมานหลอดเลือดใน ปอดได้ดี
แต่ต้องระวังวิตามินเอโดยเฉพาะผู่ที่ยังสูบบุหรี่อยู่

๑๙. ท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน กินแอปเปิ้ลเขียววันละ ๑-๒ ผล
หรือน้ำแอปเปิ้ลเขียวปั่นทั้งกาก จะเป็นการล้างพิษในตัวด้วย

๒๐. เจ็บอก โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบ กินปลาทะเล น้ำมันมะกอก
เอ็กซ์ตร้าเวอร์จิน ผลอโวคาโดเพราะเหล่านี้มีไขมันดีไปช่วยขับ
ตะกรันน้ำมัน เก่าออกถ้าชอบดื่มชาให้หาชาเขียวสดมาชงดื่มเองวันละถ้วย

๒๑. ความดันสูง ต้องตัดบุหรี่และอาหารเค็ม ลองหาข้าวโอ๊ตไม่ขัดสี
มากินและผักขึ้นฉ่ายสดหรือปั่นก็ได้ จะช่วยคุมความดันให้ดีขึ้น

๒๒. เบาหวานถามหา ให้เลี่ยงแป้งกับน้ำตาล และ กินผักเขียวจัด
อย่างคะน้า บร็อคโคลี ผักโขมให้มาก ถ้าอยากหวานให้กินส้มโอ
และฝรั่งเพราะ มีน้ำตาลอยู่น้อยมาก

โรงพยาบาลธรรมชาติ หัวจรดเท้ารักษาเองได้ก่อนไปหาหมอ
"ขอให้ทุกๆคนมีีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงๆน่ะครับ" 


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #17 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 09:43:31 PM »




บอระเพ็ดลดผมร่วง

ถ้าพูดถึงบอระเพ็ดหลายคนคงจะต้องร้องยี้เลยทีเดียวเพราะความขมของมันที่เคยได้ลิ้มลองนั้นมันช่างขมติดปากติดคอเสียจริง เอาเป็นว่าถ้าคุณครูเอ่ยถึงบอระเพ็ดเมื่อไหร่ละก็เสียงเด็กประถมที่ชอบคุยกันนั้นจะเงียบกริบทันที เพราะว่าไม่มีใครกล้าลองเสี่ยงอมเจ้าบอระเพ็ดที่ขมปี๋แบบนั้นได้ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าบอระเพ็ดนั้นนอกจากจะเป็นสมุนไพรชั้นเลิศที่รักษาโรคต่างๆได้แล้ว บอระเพ็ดยังมีผลเกี่ยวกับความสวยความงามที่เป็นเรื่องของผู้หญิงเราอีกด้วย เพราะว่าบอระเพ็ดนั้นมีประโยชน์ช่วยลดผมร่วงได้เป็นอย่างดี และสามารถเป็นตัวบำรุงผมให้ดำเงางามมีน้ำหนักอีกด้วย

ส่วนผสมที่ต้องเตรียมมีดังต่อไปนี้

■บอระเพ็ดหั่นเป็นชิ้นเล็กจำนวน 1 ถ้วย

■น้ำเปล่าสะอาดจำนวน 2 ถ้วย

ขั้นตอนและวิธีการทำสูตรบอระเพ็ดลดผลร่วง ซึ่งมีขั้นตอนในการทำดังต่อไปนี้

■นำบอระเพ็ดที่เตรียมไว้มาต้มลงในหม้อที่มีน้ำเดือดจัด ซึ่งจะใช้เวลาในการต้มประมาณ 3 นาที เพื่อให้ตัวยาที่มีอยู่ในบอระเพ็ดนั้นละลายรวมตัวกับน้ำ เมื่อครบเวลาแล้วก็ทำการดับไฟ

■นำบอระเพ็ดที่ต้มเสร็จแล้วไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นให้กรองเอาแต่น้ำมาใช้ ทิ้งไว้สักครู่

■หลังจากที่สระผมด้วยแชมพูตามปกติแล้ว ให้ชโลมน้ำบอระเพ็ดที่เตรียมไว้ลงบนศีรษะให้ทั่วเส้นผม จากนั้นให้นวดด้วยปลายนิ้ววนไปมาให้ยาที่มีอยู่ในตัวบอระเพ็ดนั้นซึมเข้าสู่หนังศีรษะ

■ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นให้สะอาด

ซึ่งสูตรบอระเพ็ดลดผมร่วงนี้สามารถทำได้เป็นประจำสัปดาห์ละ
1-2 ครั้งด้วยกัน เพื่อผลลัพธ์ของเส้นผมที่ลดการขากหลุดร่วงของเส้นผม และยังเป็นการบำรุงเส้นผมให้มีความเงางามและมีน้ำหนักได้ดีอีกด้วย เป็นอย่างไรกันบ้างกับสูตรบอระเพ็ดลดผมร่วงที่ผู้เขียนได้นำมาแนะนำกันในวันนี้ หวังว่าคงจะถูกใจสาวๆที่มีผมร่วงกันบ้างนะค่ะ ซึ่งขั้นตอนการทำนั้นก็ไม่ยุ่งยากถ้าใครสนใจก็สามารถนำไปลองทำกันดูได้

http://www.banlady.com/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #18 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:36:52 PM »



เครื่องดื่มสมุนไพรรักษาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือขัดเบา
1.กระเจี๊ยบแดง
ใช้กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอกตากแห้ง บดเป็นผง ครั้งละ 1 ช้อนชา (หรือ 3 กรัม) ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย (200 มล.) จะได้น้ำสีแดง ดื่มวันละ 3 ครั้ง.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #19 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:41:38 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #20 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:42:29 PM »




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #21 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:44:12 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #22 เมื่อ: มีนาคม 01, 2014, 09:13:21 PM »

Fahsai Fahsai
สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย
ลำต้น ใช้เป็นยาแก้เบื่ออาหาร เจริญอาหาร
ใบ เป็นยาใช้ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ(ผมเองก็งงกับศัพท์คำนี้อยู่น่าจะหมายถึงขับประจำเดือน) วิธีใช้ด้วยการนำมาต้ม เอาน้ำดื่มกิน
ดอก เป็นยาแก้ไข้เรื้อรัง ผอมแห้ง ใช้นำมาต้มเอาน้ำดื่ม
เหง้า ใช้เป็นยาขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียด ปวดท้อง บำรุงธาตุ ขับปัสสาวะ เสมหะเป็นพิษและบำรุงน้ำนม วิธีใช้โดยการนำหัวหรือเหง้าสด ประมาณ 2 หัว (20 กรัม) ปิ้งไฟแล้วนำมาฝนผสมกับน้ำปูนใส ประมาณครึ่งแก้ว แล้วใช้น้ำดื่ม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 01, 2014, 09:16:21 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #23 เมื่อ: มีนาคม 01, 2014, 09:14:26 PM »

Fahsai Fahsai
ต้นสมเสร็จหรือต้นหัสชัย
บริเวณชายฝั่งอ่าวนครศรีธรรมราช ในเขตอำเภอปากพนัง นับว่าเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์มากบริเวณหนึ่ง ในแง่ของความหลากหลายทางชีวภาพของพันธ์ไม้ ซึ่งมีหลายอย่างที่เราไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก

พืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกกันว่าต้นสมเสร็จ ไม่ใช่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่แถวบ้านเราสูญพันธ์ไปแล้ว แต่เป็นต้นไม้พุ่มชนิดหนึ่ง ผลเป็นสีส้ม แดง สวยงาม ชาวบ้านในแถบนั้นได้เล่าให้ฟังถึงว่าทำไม่จึงเรียกว่าสมเสร็จ กล่าวคือ พืชชนิดนี้นั้นมีองค์ประกอบที่เป็นตัวยาเบ็ดเสร็จอยู่ในต้นเดียวกัน นำส่วนต่างๆ ไปต้มรับประทานแล้วสามารถที่จะบรรเทาอาการจากโรคต่างๆ ได้ สารพัดโรคทีเดียว พืชสมุนไพรชนิดนี้จึงน่าศึกษาอย่างยิ่ง จะเป็นตำนานแบบยาผีบอก หรือยาจากในฝัน คงจะไม่ได้อีกต่อไป จะต้องต่อยอดความรู้ให้แน่ชัดว่ามีตัวยาใด รักษาโรคใดได้ดีที่สุด อาจค้นพบตัวยาที่อาจใช้รักษาโรคหวัดเม็กซิโก หวัดนกก็ได้ ถ้าให้สามารถศึกษาแล้วพบว่าบรรเทาอาการได้จริง แล้วจะทำให้อ่าวนครเป็นแหล่งสมุนไพรที่รักษาโรค ทำให้เป็นทีรู้จักไปทั่วโลกก็ได้ และต่อไปอาจเป็นแหล่งท่องเที่ยวชมพืชสมุนไพรก็อาจะเป็นไปได้ เรื่องนี้ทีมนักวิจัยอ่าวนครคงต้องลงลึกไปในรายละเอียดมากกว่านี้แน่นอน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #24 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 07:46:59 PM »



สูตรสมุนไพรแก้ปวดศีรษะ

สูตรการรักษาด้วยสมุนไพรไทยนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ ตั้งแต่หัวจรดเท้า นั้น ในสมัยโบราณนั้นไม่มีโรงพยาบาลเมื่อในสมัยปัจจุบัน คนโบราณจึงเก่งเรื่องสมุนไพรไทยสามารถนำมาทำเป็นยารักษาโรคต่างๆได้ สมุนไพรหลากหลายชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้น อาจจะมีไม่น้อยกว่า 2,000 ชนิด ที่นำมาสกัดเป็นยาในปัจจุบัน ในสมัยก่อนจะใช้ทาและต้มกิน โดยเฉพาะอาการป่วน หัวตาร้อนจะมีสมุนไพร เช่นแก่นขี้เหล็ก ผักเสี้ยน สมุนไพรวานถอนพิษ การปวดหัว ปวดท้องนั้นจะใช้สมุนไพรมาต้มดื่มแทนน้ำ และนอกจากนี้ หากใครมีอาการปวดศีรษะนั้น หมอชาวบ้านจะแนะนำวิธีการรักษาแบบง่ายๆให้กลับไปทำที่บ้าน โดยใช้สมุนไพรที่ทุกบ้านมี ปลูกไว้รับประทานที่หลังบ้าน โดยมีวิธีการทำดังต่อไปนี้ค่ะ

- แป้งดินสอพอง1 ลูก เผาไฟให้สุก บดละเอียดผสมพิมเสนบดเข้ากัน อัตราส่วน 1 ต่อ 5 ส่วน นัตถุ์เข้าทางจมูกทั้งสองข้างพอสมควร

- หัวขิง หัวข่า หัวเปราะ หัวกระชาย หัวหอม ผักชีลาว ตำเข้ากัน การบูรแทรก ห่อผ้าสูดดม

- แก่นขี้เหล็ก ผักเสี้ยนผี ต้นแมงลัก ส่วนเท่าๆกัน ใส่หม้อต้ม เติมน้ำท่วมยา 3 ส่วน

เหลือ 1 ส่วน รับประทานครั้งละ ครึ่งถ้วยกาแฟ ก่อนอาหาร เช้า เย็น

- ดอกกานพลู ๒ ดอก เคี้ยวแหลกละเอียด ดื่มน้ำชาจีนอุ่นๆตาม 1 แก้ว

หมายเหตุ : ควรรับประทานกันกว่าอาการจะหายเป็นปรกติ สามารถรับประทานแทนน้ำเปล่าได้ค่ะ
ยังมีหลายสูตรที่สามารถช่วยลดอาการปวดหัวและยังช่วยล้างพิษให้กับร่างกายได้พัดออกเสียออกจากร่างกายอีกหนึ่งทางค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สมุนไพรในไร่
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #25 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 07:48:19 PM »



”แมงลัก” สูตรแก้ปวดหัวเรื้อรัง

โรคปวดหัวเรื้อรัง มีคนเป็นเยอะ สาเหตุมาจากหลายอย่าง เป็นแล้วทรมานมาก บางครั้งถึงกับหน้ามืดตามัวเลยทีเดียว ต้องกินยาจากแพทย์จึงจะหาย ในทางสมุนไพรมีวิธีแก้ได้ โดยให้เอาต้น ใบ และดอก ของ “แมงลัก” กับ “ผักเสี้ยนผี” แบบแห้ง และแก่นต้น “ขี้เหล็ก” จำนวนเท่ากัน อย่างละ 15 กรัม หากเป็นแบบสด ต้องเพิ่มเป็น 20 กรัม ต้มกับน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว ต้มดื่มเรื่อย ๆ อาการปวดหัวเรื้อรังจะดีขึ้นและหายได้ เคยมีคนเป็นไมเกรนดื่มแล้วดีขึ้น เรื่องนี้ต้องทดลองดู ซึ่งตัวยาทั้ง 3 ชนิดมีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี บริเวณโครง 21 แผง คุณพร้อมพันธุ์ ราคาสอบถามกันเอง

แมงลัก มีลักษณะดอกใบและผลคล้ายโหระพา จะต่างกันที่กิล่น เมล็ด “แมงลัก” แช่น้ำให้พองลื่น รับประทานทำให้ระบายท้องดี บางคนอยากผอม กินแล้วทำให้ไม่อยากอาหาร “ผักเสี้ยนผี” มีสรรพคุณเด่น ได้แก่ ใบ แก้โรคเช่าเสื่อม ถุงน้ำในหัวเข่า และโรคพยาธิด่างขาวด้วย ส่วน “ขี้เหล็ก” มีประโยชน์ทางอาหารแลทางยาเยอะ ที่ดัง ๆ คือ เอาทั้ง 5 ของ “ขี้เหล็ก” กะจำนวนตามต้องการ ต้มน้ำดื่มเรื่อย ๆ เป็นยาช่วยลดความดนโลหิตสูงได้เร็วมาก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://headacheofmigraine.blogspot.com/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #26 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 07:49:13 PM »



"ใบมะยม" กับสูตรแก้ปวดหัว

อาการปวดหัวมีหลายรูปแบบ แต่ที่จะพูดถึงในวันนี้คือ "ปวดหัว" ที่เกิดจากสาเหตุเพราะเครียด คิดมาก อดนอน หรือขาดการออกกำลังกาย ซึ่งอาการดังกล่าวเป็ฯแล้วจะทรมานมาก ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิดง่าย โมโหไปหมด บางครั้งปวดจนทนไม่ไหว ต้องกินยาคลายเครียด หรือยาแก้ปวดหนัวที่แพทย์จ่ายให้ จึงจะทุเลาและหายได้ ยิ่งในยุคข้ายากหมากแพงเช่นปัจจุบัน คนเป็นกันเยอะ เพราะรายรับกับรายจ่ายชักหน้าไม่ถึงหลัง ซึ่งอาการปวดหัวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ถ้าปล่อยให้เป็นนาน ๆ ไม่ดีแน่ ผู้ป่วยที่เครียดจัด หรือปวดหัวหนัก ๆ อาจก่อเหตูที่ไม่คาดคิดก็ได้

ในส่วนของ "ใบมะยม" ใช้แก้อาการที่กล่าวข้างต้น มีวิธีรับประทานแบบง่ายคือ ให้เอาใบมะยมที่เป็นใบแก่รวมกัน 1 กำมือ ต้มน้ำสะอาดกะตามต้องการ ใส่น้ำตาลกรวดอย่าให้หวานนัก ต้มจนเดือดแล้วดื่มต่างน้ำขณะอุ่นครั้งละ 1 แก้ว เช้า-เย็น ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ และก่อนนอน ทำดื่มเรื่อย ๆ จะช่วยให้ อาการปวดหัวที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าว ทุเลาลงและหายในที่สุด

มะยม หรือ PHYLLANTHUS ACIDUS LINN. SKEELS อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE มีสรรพคุณเฉพาะ ใบ เป็นส่วนประกอบ ยาเขียว กินดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ไข้หัวต่าง ๆ เปลือกต้น แก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ ต้มน้ำ ดื่มแก้ไข้ เพื่อโลหิต ต้มอาบ แก้ผดผื่นคัน ราก แก้โรคผิวหนัง เม็ดผื่นคัน ประดง แก้น้ำเหลืองเสีย ผล กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต ระบายท้อง ตำรวมกับพริกไทยพอกแก้ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลังเด็ดขาดนัก

ใบมะยม

ทางอาหาร ผลอ่อน รับประทานเป็นผักสด จิ้มน้ำพริก ลาบ ใส่แกงเลียง ผลแก่ ปรุงเป็นส้มตำแทนมะละกอ จิ้มเกลือพริกป่น ดองทำมะยม ทำแยม ทำแช่อิ่ม และมะยมหวาน นิยมรับประทานกันแพร่หลาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คอมลัมน์เกษตรกรบนแผ่นกระดาษ โดย "นายเกษตร" หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #27 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 07:50:13 PM »


แก้อาการปวดหัว.....โดยวิธีธรรมชาติ

.....
อาการปวดหัวนั้น ไม่จำเป็นที่คุณต้องพึ่งยาเสมอไป ลองมาบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติดูก่อนดีไหมคะ....

1. บำบัดด้วยน้ำ
วางถุงน้ำแข็งบนหน้าผาก หรือจะใช้ผ้าเย็น ๆ โพกศีรษะก็ได้ค่ะทำไปพร้อมกับการแช่เท้าในน้ำอุ่น ค่อย ๆเพิ่มความร้อนของน้ำขึ้น ใช้เวลา 15-20 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลงค่ะ

2. งดอาหาร
อาหารแสลงบางชนิด เช่น เนื้อรมควัน ชอคโกแล็ค ผงชูรส ไส้กรอก เบคอน และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มักเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหัวได้

3. ใช้วิตามิน
การขาดวิตามิน B- COMPLEX อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ลองมองหาอาหารที่มี วิตามินบีมาก ๆ เช่น ผักโขม กะหล่ำปลีข้าวซ้อมมือ และอาหารธัญพืชต่าง ๆ

4. ขิง
มีงานวิจัยพบว่า ขิงมีคุณสมบัติในการแก้ไมเกรน หากมีอาการปวดหัวในช่วงบ่าย ๆ ลองจิบน้ำขิงอุ่น ๆ สักแก้ว ถ้าไม่สะดวกจะต้มเอง ขืงผงบรรจุซอง ก็สะดวกดีค่ะ

5. น้ำมันหอม
น้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ มีคุณสมบัติในการลดความกระวนกระวายใจได้ ลองนำมานวดบริเวณขมับ ไรผม และต้นคอ จะช่วยผ่อนคลายได้

6. นวด
การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ หาใครสักคนมาคอยนวดที่ต้นคอและช่วงไหล่หรือจะนวดเองก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดค่ะ

7. ไปเดินเล่นสักห้านาที
การเดินเล่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินส์ ซึ่งเป็นยาแก้ปวดขนานเอก

8. ดนตรีบำบัด
ถ้าคุณปวดหัวจากความเครียด ในทางการแพทย์ค้นพบว่า ดนตรีช่วยบำบัด อาการได้ โดยเฉพาะดนตรีทีมีท่วงทำนองเรียบง่ายฟังสบาย ๆ อาจมีสรรพเสียง ของธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้องเกลียวคลื่น เสียงนก หรือลมฝน จะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบนิ่งขึ้นช่วยลดความตึงเครียดได้

เป็นวิธีแก้อาการปวดหัว แบบธรรมชาติกันจริงๆ ใครชอบแบบไหนก็ลองทำดูนะคะ รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ถ้าทำทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ก็ก็ถึงเวลาที่คุณควรไปพบแพทย์แล้วล่ะค่ะ

ปวดหัวจากความเครียด
มีอาการปวดบริเวณรอบศีรษะ รู้สึกมมึนๆเหมือนสมองถูกบีบ มักเกิดจากความเครียดหรืออาการอ่อนเพลีย การพักผ่อนให้เพียงพอหรือนวดบริเวณต้นคอและขมับจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชนิดนี้ได้ หรือจะใช้วิธีการฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ และหายใจลึกๆและสำหรับการทำงานที่ติดต่อกันหลายชั่วโมงก็ควรจะหยุดพักเป็นระยะๆ รวมทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดอาการปวดหัวชนิดนี้ได้ค่ะ

ปวดหัวจากแอลกฮอล์
มักมีอาการปวดบริเวณเบ้าตา ,ถ้าคืนไหนคุณดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์มากเกินไปก่อนเข้านอนควรจะดื่มน้ำตามมากๆด้วยเนื่องจากน้ำจะช่วยต้านฤทธิ์ของแอลกฮอล์ได้ส่วนรุ่งเช้าควรดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากเมาค้างได้

ปวดหัวจากไซนัส
จะมีอาการปวดบริเวณดั้งจมูกและเบ้าตาวิธีการบรรเทาอาการปวดหัวแบบนี้ ต้องพึ่งยาลดน้ำมูก เพื่อให้จมูกโล่ง หรืออาจจะใช้วิธีประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น การจิบเครื่องดื่มอุ่นๆก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณมีไข้ ควรจะหาหมอด้วยนะคะ

ปวดหัวจากคาเฟอีน
จะมีอาการปวดตุ๊บๆบริเวณด้านบนของศีรษะอาการส่วนใหญ่จะคล้ายๆกับปวดหัวที่เกิดจากความเครียด ถ้าคุณปวดหัวแบบนี้ การพักผ่อนให้เต็มอิ่ม จะช่วยได้ดีทีเดียว การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และการนอนเป็นเวลาจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปวดหัวชนิดนี้ได้แต่ถ้าคุณติดกาแฟ ก็ควรจะดื่มให้เป็นเวลา(เวลาเดียวกันทุกวัน) และดื่มเพียงวันละ1-2 แก้ว จะดีกว่า

ปวดแบบไมเกรน
จะมีอาการปวดตุ๊บๆ บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่งบางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดไมเกรนนั้น เชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาหารบางชนิดอาจทำให้บางคนเกิดอาการไมเกรนกำเริบมากขึ้นได้ เช่น ไวน์แดง เนื้อสัตว์แปรรูป ผงชูรสการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่นร้อนอบอ้าวเกินไปความหิว ความตื่นเต้น การเดินทางหลายๆแห่งในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เกิดไมเกรนได้คนที่เป็นไมเกรนบ่อยๆ จึงควรหมั่นสังเกตว่าเกิดจากปัจจัยอะไรจะได้หลีกเลี่ยงได้ การเข้านอนเป็นเวลา และหลับให้เต็มตา จะช่วยผ่อนคลายอาการไมเกรนได้ ส่วนเซ็กส์ที่สุขสมนั้น มีงานวิจัยยืนยันว่า เป็นยาขนานเอกในการบำบัดอาการไมเกรนกันทีเดียว

คนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อยๆ นักวิจัยเขาแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Tyramines และ Nitrite เพราะบางคนอาจจะมีความไวต่อสารสองชนิดนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

ช็อกโกแลต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรน จะมีอาการกำเริบขึ้นทุกครั้งที่กินช็อกโกแลต คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลต อย่าเพิ่งเศร้าใจนะคะ เพราะนักวิจัยเขาบอกต่ออีกว่า ช็อกโกแลตชนิดขาวกินได้ไม่ทำให้ปวดหัวหรอกค่ะ

ไวน์แดง ผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แดง จะเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มวอดก้ามะนาว ซึ่งไม่เกิดอาการดังกล่าว ผู้ที่มีอาการไมเกรนเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงไวน์แดงจะดีกว่า

กุนเชียง เนื้อแดดเดียว เป็นอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทำให้มีสีแดงโดยเติมดินประสิวลงไป ซึ่งก็คือสาร Nitrite ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการปวดหัวได้

ลูกชิ้นเด้งทั้งหลาย ผู้ผลิตบางรายจะใส่สารบอแร็กซ์ ซึ่งเป็นสารอันตราย ทำให้บางคนเกิดอาการปวดหัว คลื่นใส้ และอาเจียนได้

สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สำหรับคนที่มีอาการปวดหัวเรื้องรัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลการวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนจะมีอาการกำเริบขึ้นเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไป

แม้อาการปวดหัว อาจจะไม่ได้เกิดจากอาหารเหล่านี้โดยตรง แต่สำหรับคนที่เป็นโรคปวดหัวเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่าค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.thaihealth.info/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #28 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 07:51:29 PM »




วิธีแก้ปวดหัวได้ด้วยตัวเอง ภายใน 5 นาที

พวกเราโดยปกติก็ใช้รูจมูกทั้งสองข้างหายใจเข้า ออก
โดยไม่รู้ความแตกต่างของรูจมูกด้านซ้ายหรือขวาว่าแตกต่างกันตรงไหน?
วิธีแก้ปวดหัวได้ด้วยตัวเอง ภายใน 5 นาที

แต่องค์ความรู้แพทย์แผนอินเดียโบราณ อธิบายเอาไว้ว่า

“จมูกด้านขวาคือตัวแทนแห่งสุริยะ และพลังงานความร้อน
จมูกด้านซ้ายคือตัวแทนแห่งจันทรา และพลังงานความเย็น”

1) เวลาปวดหัว ลองเอานิ้วมืออุดรูจมูกด้านขวาแล้วใช้รูจมูกด้านซ้ายสูดลมหายใจเพียงข้างเดียว

2) เวลาอ่อนเพลีย ทำกลับด้านกันคือ เอานิ้วมืออุดรูจมูกด้านซ้ายแล้วใช้รูจมูกด้านขวาสูดลมหายใจเพียงข้างเดียว

จะพบว่าอาการที่เป็นอยู่จะบรรเทาลงภายในเวลาไม่เกิน5นาที !!!!!

ให้ลองสังเกตุตัวเองว่าเวลารู้สึกตัวตื่นขึ้นตอนเช้า เราใช้รูจมูกด้านไหนหายใจคล่องกว่ากัน??
ถ้าคำตอบคือรูจมูกด้านซ้าย คุณจะรู้สึกอ่อนเพลีย
ให้รีบอุดรูด้านซ้ายและหายใจด้วยรูจมูกด้านขวาทันที และไม่นานนักก็จะสดชื่นขึ้น หายงัวเงีย

หัดทำไปอยู่บ่อยๆ สักหนึ่งเดือนก็จะเริ่มสังเกตุได้ละเอียดขึ้น
ว่องไวขึ้นจนไม่ต้องรอให้เกิดอาการปวดหัวแล้วถึงแก้ไข
เพียงเริ่มๆจะปวด เริ่มๆจะอ่อนเพลีย ก็ดับอาการได้ทันที


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://ไออี.ไทย/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #29 เมื่อ: มีนาคม 03, 2014, 09:26:53 PM »




‘มะระขี้นก’ เป็นผักที่มีสรรพคุณเป็นยาชัดเจน เมื่อนำผลสดปั่นเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ต้องกินเป็นประจำทุกวันด้วย

ที่มา : รศ. ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 9   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: