jainu
|
|
« ตอบ #105 เมื่อ: เมษายน 09, 2015, 09:39:13 PM » |
|
รู้ไว้ 5 สมุนไพร เพื่อวัยสูงอายุ5 สมุนไพรเพื่อวัยสูงอายุ คอลัมน์ 360องศากับแพทย์ทางเลือก ข้อมูล : พญ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ
ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์และเทคโนโลยี ผนวกกับการที่คนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ จึงส่งผลให้ ประเทศไทยได้ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเตรียมร่างกาย จิตใจ ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นไว้แต่เนิ่นๆ หรือดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทตั้งแต่อายุน้อย ๆ จะทำให้การปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติเป็นไปได้ดีกว่าการดำรงชีวิตที่ขาดเป้าหมายที่ดี
การแพทย์แผนไทยถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการนำสมุนไพรหลากหลายชนิดมาใช้รักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เพื่อช่วยในการประคับประคอง อาการ และลดความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งสมุนไพรเพื่อวัยสูงอายุและผู้ที่ใกล้เข้าสู่วัยสูงอายุ มีดังนี้
1. สมุนไพรบำรุงกระดูก เนื่องจากผู้สูงอายุมักพบปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียแคลเซียมที่กระดูก ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง กระดูกเปราะและหักง่าย ดังนั้นหลักในการดูแลทั่วไป คือ ให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ โดยเฉลี่ยประมาณวันละ 800 มิลลิกรัม อาหารที่ควรรับประทาน ได้แก่ นม ปลาป่น หรือปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง นอกจากนี้ยังมีผักใบเขียวหลายชนิดที่มีปริมาณแคลเซียมสูง และหาง่าย ราคาถูก ได้แก่ ใบยอ ช้าพลู มะขาม แค และผักกะเฉด
2. สมุนไพรบำรุงสายตา จากความเสื่อมถอยของร่างกาย ผู้สูงอายุมักจะพบปัญหาโรคทางสายตา เช่น ตาฝ้าฟาง ตาเป็นต้อกระจก ต้อเนื้อ และขาดวิตามินหลายชนิด เนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อยลง หลักการดูแลทั่วไป คือ การรักษาตามอาการ ซึ่งการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น ควัน แสงแดดจัดโดยตรง และเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูง ได้แก่ กะเพรา ขี้เหล็ก แครอท และฟักข้าว
3. สมุนไพรช่วยเจริญอาหาร ตามตำรายาไทย สมุนไพรช่วยเจริญอาหารมักจะมีรสขม ซึ่งเรียกว่า bitter tonic และสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนจะช่วยกระตุ้นให้น้ำลายและน้ำย่อยอาหารออกมา ซึ่งสมุนไพรที่จะสามารถช่วยเจริญอาหาร ได้แก่ สะเดา กระชาย และพริกขี้หนู
4. สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ช่วยระงับประสาท และช่วยให้นอนหลับ มีหลายชนิด เช่น ระย่อม ให้ใช้ส่วนผงรากแห้งบดละเอียด รับประทานวันละ 100 มิลลิกรัม ก่อนนอน แต่ถ้าเป็นขี้เหล็กให้ใช้ส่วนใบแห้ง ประมาณ 30 กรัม หรือใบสด 50 กรัม ต้มเอาน้ำดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. สมุนไพรเสริมสรรถภาพทางเพศ ปัญหาสมรรถภาพทางเพศเกิดได้ในวัยสูงอายุ ดังนั้นหากเข้าใจธรรมชาติของร่างกายมนุษย์แล้ว การนำสมุนไพรมาใช้จึงเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสมุนไพรที่มีบันทึกตามตำรายาไทย มีหลายชนิด เช่น กวาวเครือ กระเทียม ดีปลี กระชาย กำลังช้างสาร โด่ไม่รู้ล้ม ตะโกนา ม้ากระทืบโรง สะค้านแดง โสมไทย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การทำจิตใจให้แจ่มใส เป็นการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องที่สุด สมุนไพรที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง ตามตำราการแพทย์แผนไทยที่มีบันทึกไว้ ถึงอย่างไรสภาพร่างกายที่เสื่อมถอย ร่วงโรยตามวัย ยาใด จักช่วยท่านได้ถ้าจิตใจของท่านไม่สงบ ดังนั้นตามแนวพุทธศาสนา การทำสมาธิ ภาวนา จะช่วยให้จิตใจเป็นสุข ร่างกายก็จะสุขตามไปด้วยเช่นกัน
msn
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 05:52:40 PM » |
|
แมงลัก : ผักริมรั้วมากคุณค่า เป็นพืชล้มลุกอยู่ในสกุลเดียวกับกะเพราและโหระพา ต่างกันที่กลิ่น ใบจะมีสีเขียวจางกว่าใบกะเพรา ใบแมงลักใช้กินสด ใส่สลัดผัก ประดับจานอาหาร ส่วนมากในประเทศไทยจะกินกับขนมจีน หรือใส่แกงเลียงและแกงต่างๆ ผลที่คนไทยเรียกว่าเมล็ดแมงลักใช้ทำขนมน้ำแข็งไส ใส่ไอศกรีม ใส่น้ำเต้าหู้ หรือใส่ในวุ้น สรรพคุณทางยา 1.ขับลมในลำไส้ อาหารไม่ย่อย อาการอึดอัด แน่นไม่สบายท้อง ให้นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม 2.ขับเหงื่อ เมื่อมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ค่อยสบาย นำต้นและใบแมงลักต้มน้ำดื่ม 3.บรรเทาอาการหวัด อาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หลอดลมอักเสบ ใช้ใบแมงลัก 1 กำมือล้างสะอาด โขลกคั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไลบรรเทาอาการดังกล่าว สำหรับกรณีของหลอดลมอักเสบให้คั้นน้ำดื่ม 1 ถ้วยตะไล 3 เวลาเช้า-กลางวัน-เย็น 4.บรรเทาอาการผื่นคัน พิษจากพืช พิษสัตว์กัดต่อย หรืออาการคันจากเชื้อรา ใช้ใบแมงลักสดโขลกพอกบริเวณที่มีอาการ และเปลี่ยนยาบ่อยๆ 5.แก้ท้องร่วงท้องเสีย ใบแมงลักสัก 2 กำมือ ล้างสะอาด โขลกบีบคั้นน้ำดื่ม แก้ท้องร่วงได้
6.เพิ่มน้ำนมแม่ ให้แม่ที่ให้นมลูกกินแกงเลียงหัวปลี ใส่ใบแมงลัก และให้ลูกดูดหัวน้ำนมบ่อยๆ เพิ่มการสร้างน้ำนมแม่ 7.บำรุงสายตา ใบแมงลักมีวิตามินเอสูง การกินใบแมงลักเป็นประจำช่วยบำรุงสายตา 8.บำรุงเลือด แก้โลหิตจาง ใบแมงลักอุดมด้วยธาตุเหล็กช่วยบำรุงโลหิต 9.เสริมสร้างกระดูก ใบแมงลักมีแคลเซียมสูงช่วยบำรุงกระดูก 10.ยาระบาย ใช้เมล็ดแก่ของแมงลัก สัก 1 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ปล่อยให้พองตัวดีแล้ว เติมน้ำตาลเล็กน้อย ดื่มแก้ท้องผูก แนะนำให้ใช้กับหญิงตั้งครรภ์และแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง ที่ไม่ต้องการภาวะท้องผูกเพราะเป็นการแก้ปัญหาแบบธรรมชาติ 11.ใช้ลดความอ้วน เปลือกผล (ที่เรียกเมล็ดแมงลัก) มีสารเมือกซึ่งสามารถพองตัวในน้ำได้ 45 เท่า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบกินอาหารที่มีกาก ใช้ผลแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้จนพองตัวเต็มที่ กินก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมง ดื่มน้ำตาม ช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง ลดปริมาณพลังงานอาหาร ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว จำนวนครั้งในการขับถ่ายและปริมาณอุจจาระเพิ่มขึ้น ลดอาการท้องผูกด้วย ** ข้อควรระวังการใช้แมงลัก ถ้าใช้เมล็ดแมงลักที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ จะทำให้มีการดูดน้ำจากลำไส้เกิดอาการขาดน้ำ และอาจเกิดอาการลำไส้อุดตันได้ (โดยเฉพาะแมงลักที่บดเป็นผง) (เครดิตภาพ : Charity, Professional, หนูรี, pirun) ** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: เมษายน 22, 2015, 11:59:55 AM » |
|
ผักตำลึง กับผลการทดลอง ลดน้ำตาลในเลือด และมีสารอาหารมาก ชื่ออังกฤษ : Ivy Gourd ชื่อท้องถิ่น : ผักแคบ (เหนือ) แคเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน) สี่บาท ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตำลึงเป็นไม้เถามีอายุอยู่ได้หลายปี เมื่ออายุมากเถาจะใหญ่และแข็ง เถาสีเขียวตามข้อมีมือเกาะ ใบออกสลับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกสีขาว ข้างในมีเกสรสีเหลืองอ่อน ผลคล้ายลูกแตงกวา แต่ขนาดเล็กกว่า ผลดิบสีเขียว และมีลายขาว เมื่อลูกสุกเต็มที่สีแดงสด ปลูกเป็นผักขึ้นตามรั้วบ้านตามชนบททั่วไป ปลูกโดยใช้เมล็ด
สาระสำคัญที่พบ น้ำย่อยแป้ง ( amylase ) ฮอร์โมน และอัลคาลอยด์ มีกรดอะมิโน ( amno acid ) หลายชนิด ในผลตำลึงพบสาร คิวเคอร์บิตาซิน ( cucurbitacin ) มีสาร pectin ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการลดน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้มี daucosterol , glucopyranosyl , sitosterolm , taraxerone คุณค่าทางด้านอาหาร ในตำลึงมีคุณค่าทางด้านอาหารสูง ประกอบด้วยวิตามินเอ และสารแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามิน และอื่นๆ นับเป็นอาหารบำรุงที่ดี ยอดตำลึงใช้เป็นผักปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่น ลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงจีดตำลึงหมูสับ แกงเลียง หรือใส่ก๋วยเตี๋ยวแทนถั่วงอกก็ได้ ส่วนที่ใช้เป็นยา ใบสด ขนาดที่ใช้ ตำลึง250 กรัมต่อน้ำหนักตัว50 กิโลกรัม เช้า – เย็น วันละ 2 ครั้ง
รสและสรรพคุณยาไทย รสเย็น ใบสด ตำคั้นน้ำ แก้พิษแมลงกัดต่อย ที่ทำให้ปวดแสบปวดร้อน และคัน ประโยชน์ทางยา ใช้เป็นยารักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ยุงกัด ถูกตัวบุ้ง ใบตำแย แพ้ละอองข้าว โดยเอา ใบสด 1 กำมือ ( ใช้มากน้อย ตามบริเวณที่มีอาการ ) ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย
ใบแก่ ของตำลึงมีสรรพคุณทางยาคือ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด อุดมไปด้วยสาร pectin ซึ่งหมอยาสมุนไพรพื้นบ้านชาวตะวันออก ได้ใช้รักษาโรคเบาหวานแต่โบราณ เมื่อปีพ.ศ. 2523 ได้มีการศึกษาโดยการแบ่งคนไข้โรคเบาหวานชาวปากีสถาน 32 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม เท่าๆกัน กลุ่มหนึ่งให้รับประทาน ยาใบตำลึงวันละ 6 เม็ด พบว่าเมื่อให้ยาติดต่อกัน 6 สัปดาห์น้ำตาลในเลือดของคนไข้กลุ่มนี้ลดลง และความสามารถในการใช้น้ำตาลดีขึ้น 20% เพียงแต่ว่ากระบวนการรักษาโรคเบาหวานของตำลึงนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด
รายงานการทดลอง ส่วนใหญ่นั้น จะพบว่าส่วนต่างๆของตำลึงมีผลในการลดน้ำตาลในเลือด เช่น พ.ศ 2496 ในประเทศอินเดีย ให้กระต่ายที่เป็นโรคเบาหวาน กินน้ำต้มรากตำลึงเป็นเวลาประมาณ 58 – 71 วัน พบว่า น้ำตาลในเลือดของกระต่ายส่วนใหญ่ลดลงจนเกือบเป็นปกติ
พ.ศ 2515 ในประเทศไทย มีการทดลองใช้สารสกัดแอลกอฮอล์ จากเถาตำลึง กับกระต่ายที่เป็นเบาหวาน พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดหลังจากกินยา ไปแล้ว 1 ชั่วโมง และยาออกฤทธิ์นาน 6 ชั่วโมง โดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 50% ของยาลดน้ำตาล ทอลบูตาไมค์ พ.ศ 2536 ประเทศเยอรมัน ทดลองใช้สารสกัดจากผลตำลึง ขนาด 200 มก./100 กรัม ในหนูปกติ มีฤทธ์ ลดน้ำตาลในเลือดได้
พ.ศ 2546 ในประเทศอินเดีย ทำการทดลองในหนูที่เป็นเบาหวาน ที่กระตุ้นโดยสาร Streptozotoein โดยใช้ สารสกัดจากใบตำลึง 200 มก./กก. ให้สารสกัดทางปากแก่หนู เป็นเวลานาน 45 วัน ให้ผลลดน้ำตาลในเลือดไ ด้ดีกว่ายา glibenclamide มีรายงานการทดลองจากต่างประเทศ ว่าน้ำต้มผักตำลึงจะมีฤทธิ์ครึ่งหนึ่งของน้ำยาสกัดแอลกอฮอล์ ส่วนในคนนั้น พบว่า มีการทดลองโดยนำใบตำลึงมาคั้น ในอัตราส่วนน้ำ 20 มล.ต่อใบตำลึง1 กก. โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานดื่มวันละ 2 ครั้ง พบว่า ได้ผลในการลดน้ำตาล เช่นกัน
ส่วนรายงานการทดลองที่ไม่ได้ผล นั้นส่วนหนึ่งพบว่าเมื่อนำส่วนของตำลึงที่ใช้ประกอบอาหารมาสกัดให้หนูที่เป็นเบาหวานกิน ปรากฏว่าไม่สามารถลดน้ำตาลในหนูได้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะใบและยอดอ่อนของตำลึงมีอายุน้อยเกินไป ในปีค.ศ 2003 ประเทศอินเดีย มีการทดลอง สารสกัดจากใบตำลึงในหนูที่ถูกกระตุ้นให้เป็นเบาหวาน พบว่า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
การทดสอบความเป็นพิษ โดยป้อนสารสกัดทั้งต้นด้วยน้ำ และแอลกอฮอล์ ( 1:1 ) ในขนาด ( 1:1) ในขนาด 10 ก/กก. ไม่พบสารพิษ ขอบคุณข้อมูลตำลึง จากหนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน รวบรวมเรียบเรียงโดยเภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก(พิมพ์ครั้งที่ 2 ฉบับปรับปรุง) ตำลึงตัวเมีย ใบ รสเย็น ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ดับพิษฝีถอนพิษของตำแย แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน ดอก รสเย็น แก้คัน เมล็ด รสเย็นเมา ตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด เถา รสเย็น ใช้น้ำจากเถาหยอดตา แก้ตาฟาง ตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ ชงกับน้ำ ดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ ราก รสเย็น ดับพิษทั้งปวง น้ำยาง, ต้น,ใบ, ราก รสเย็น แก้โรคเบาหวาน หัว รสเย็น ดับพิษทั้งปวง ตำลึงตัวผู้ หัว รสเย็น ดับพิษทั้งปวง ระบายท้อง ขอบคุณสรรพคุณตำลึงจากหนังสือเภสัชกรรมไทย ฯ โดยวุฒิ วุฒิธรรมเวช
ผักตำลึง บางคนกินมากเกินต่อครั้ง หรือต่อมื้ออาหาร ทำให้เกิดการะบายท้อง แล้วเข้าใจว่าท้องเสีย พอต่อมาก็ทำให้ไม่อยากกินอีก หรือสั่งผู้ทำอาหารว่าไม่ต้องนำมาทำอาหารอีกนะ กินแล้วท้องเสีย ทำไมไม่คิดว่า ล้างลำไส้ด้วยผักตำลึง ช่วยระบายท้อง บ้างก็ดีนะ พอมื้อต่อๆมาเราก็ควรกินแต่พอดี หากไม่ทานเลย ก็น่าเสียดายคุณค่าของสารอาหารในผักตำลึง ซึ่งเป็นผักที่ปลูกเองได้ ไม่ปลูกก็เก็บริมรั้วบ้านตัวเองหรือเพื่อนบ้าน ได้เช่นกัน หรือหาซื้อได้ง่ายจากตลาดและมีราคาถูก ผู้อยู่ในเมืองเราคงต้องหันมาเริ่มปลูกตำลึงกันไว้บ้างแล้วนะคะ หรือบ้านที่มีอยู่บ้างแล้วก็ต้องไม่ถอนตัดทิ้งหมดเหลือ ราก-เถาไว้บ้าง
ผู้เขียนเวลากลับบ้านสุพรรณ มีให้เห็นรอบบ้าน เจ้าตำลึงก็พันเลื้อยเต็มไปหมด ไม่ว่าบนต้นมะกรูด มะลิเป็นพุ่ม กระถิน ฯ ก็ต้องดึงถอนทิ้งบ้าง เมื่อเด็กๆเก็บยอดตำลึงเด็ดสดๆจากต้น สั้นๆเฉพาะยอด มาลวกจิ้มน้ำพริก ก็อร่อยมากแล้ว ตำลึงเป็นผักที่นำมาต้มบดเป็นอาหารให้เด็กเล็ก ก่อนทานข้าวเป็นเมล็ดดีมากๆ เพราะสารอาหารที่มีประโยชน์มีมาก บดให้ละเอียดง่าย ต่อนี้ไปเราไม่ควรมองข้ามผักตำลึงนานเกินไป นำมาทำอาหารกันบ้างนะคะ และครอบครัวไหนที่มีผู้ป่วยโรคเบาหวานก็นำใบแก่ตำลึงตัวเมีย ฯ ทำเป็นอาหารให้ทานเป็นประจำ เพื่อช่วยลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งในแต่ละมื้อควรแบ่งทานแต่พอดี หรือผู้ที่เป็นโรคท้องผูก ก็ทานผักตำลึงบ่อยๆก็น่าจะช่วยระบายท้องได้ดี ด้วยความปรารถนาดี กานดา แสนมณี http://www.gotoknow.org/posts/484296
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #109 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2015, 10:09:46 AM » |
|
น้ำอัญชัน ดอกอัญชันมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมและนัยน์ตามากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ต้องการบำรุงสายตาและช่วยป้องกันอาการเหนื่อยล้าของสมอง ป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง ส่วนประกอบ : ดอกอัญชัน 100 กรัม น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ : นำดอกอัญชันสด 100 กรัมล้างน้ำให้สะอาด ใส่หม้อ เติมน้ำเปล่า 2 ถ้วย ต้มจนเดือดปิดฝาทิ้งไว้ ประมาณ 2-3 นาที แล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจากหม้อต้ม จากนั้นผสมน้ำดอกอัญชันกับน้ำเชื่อม น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว คนให้เข้ากัน ชิมรสมตามชอบ เทใส่แก้ว ตามด้วยน้ำแข็งพร้อมดื่ม อย่างไรก็ตามหากไม่ชอบกินหวาน สามารถใช้ดอกอัญชันตากแห้ง 10-25 ดอก ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย ดื่มแทนชาก็ได้
(เครดิตภาพ : ปูขาเก เซมารู, Morningglory Khae)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2015, 09:19:12 AM » |
|
ลดสารพิษเพื่อสุขภาพด้วยสมุนไพร คนเมืองพึงระวังเรื่องสุขภาพ เพราะท่านอยู่ในกลุ่มที่สะสมสารพิษ โรคภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่าย คนเมืองเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ ทั้งด้านอากาศ อาหาร น้ำ และร่างกายต้องสะสมสิ่งแปลกปลอมที่เป็นสารพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำทุกวัน ทำอย่างไรคนเมืองจึงจะมีทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีได้ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เลือกไม่ได้เช่นนี้ สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำคือใช้สมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพ ซึ่งสมุนไพรดังกล่าวนี้มีสรรพคุณตามตำราการแพทย์แผนไทยช่วยในการล้างพิษ น่าที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในรูปเครื่องดื่มประจำวัน หรือใช้ในการอาบอบเพื่อช่วยขับพิษในร่างกายได้ สมุนไพรที่มีสรรพคุณในการล้างพิษที่น่าสนใจมีอยู่หลายตัว เป็นสมุนไพรที่มีรสจืด จากการสอบถามหมอพื้นบ้านหลายท่านที่มีประสบการณ์ในการรักษาผู้ที่กินยาฆ่าแมลง หรือเกษตรกรที่เจ็บป่วย เพราะใช้สารพิษหรือสารเคมีทางการเกษตร รวมถึงผู้ที่ติดยาเสพติด หมอพื้นบ้านใช้สมุนไพรในกลุ่มนี้รักษาซึ่งใช้ได้ผลดี ดังนั้นแม้คนในเมืองจะไม่ไช่กลุ่มคนที่เผชิญกับสารเคมีโดยตรงอย่างเกษตรกร แต่ในกระบวนการบริโภคนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพืชผักที่นำมาประกอบอาหารนั้น ล้วนแต่ผ่านการปลูกด้วยการฉีดยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี เช่นกัน นอกจากนี้วิถีชีวิตประจำวันยังดูดซับสารพิษจากมลภาวะทางอากาศอีกเป็นประจำ จึงอยากเสนอทางเลือกในการดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพร เพื่อช่วยลดสารพิษในร่างกาย รางจืด เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันกว้างขวางในเรื่องสรรพคุณช่วยลดสารพิษ โดยเฉพาะบรรดาคอเหล้าทั้งหลายมักนิยมนำไปต้มดื่มเพื่อแก้อาการเมาค้างหรือ ถอนพิษเมาค้าง นอกจากรางจืดตัวนี้แล้ว ยังมีว่านรางจืดอีกตัวที่นิยมอมก่อนไปกินเหล้า เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ไม่เมาเหล้า (แล้วจะกินไปทำไมก็ไม่รู้ให้เปลืองเงิน) นอกจากนี้ ชาวบ้านตามชนบททั่วไปยังใช้ถอนพิษเมาเบื่อจากเห็ด โดยส่วนมากชาวชนบทมักจะนิยมเก็บเห็ดไปทาน โดยบางคนก็ไม่มีความรู้ว่าเห็ดที่ตนเก็บมานั้นกินได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้เองที่เรามักพบข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีคนกินเห็ดจนต้องเข้า โรงพยาบาลล้างท้องทุกปี แต่หมอพื้นบ้านเขาต้มล้างจืดให้ดื่มแก้ทางกันไม่นานอาการก็ดีขึ้น สรรพคุณของรางจืดตามตำราใช้รากและเถามาปรุงเป็นยาถอนพิษ แก้พิษเบื่อเมา แก้พิษไข้ หรือใช้เป็นยาแก้ร้อนในกระหายน้ำ ส่วนมากจะพบตามร้านขายยาหรือหมอพื้นบ้านที่ใช้รากหรือเถา แต่โดยทั่วไปนั้นจะใช้ใบรางจืดตากแห้งต้มดื่มหรือชงดื่มเป็นชา งานวิชาการหรืองานวิจัยเกี่ยวกับรางจืดยังไม่พบมากนัก จริง ๆ แล้วถ้ามีการส่งเสริมการวิจัยสมุนไพรตัวนี้ให้สามารถใช้ได้ ศึกษาเพิ่มเติมทางคลินิกถึงความปลดภัย น่าจะมีอนาคตไกล ที่สำคัญคุณสมบัติอย่างนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชนด้วย วิธีใช้ คัดเลือกใบแก่ ล้างให้สะอาด แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากแดดหรืออบให้แห้ง ใช้ต้มดื่มหรือชงแบบชาเป็นประจำเช้า-เย็น วันละ 1 แก้ว ย่านาง เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่รู้จักโดยทั่วไป แต่จะเป็นชาวชนบทส่วนใหญ่ที่ใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรชนิดนี้ ในตำรายาแผนไทยย่านางเป็นหนึ่งในตำรายาเบญจโลกวิเชียรหรือยาห้าราก ที่มีสรรพคุณโดดเด่นในการถอนพิษไข้ ย่านางมีชื่อเรียกหลายชื่อ เถาย่านาง เถาวัลย์เขียว หญ้าภคินี ปู่เจ้าเขาเขียว ผักจอยนาง เป็นผักพื้นบ้านอีกชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการคือมีวิตามินเอและแคลเซียมสูงมาก ๆ และการประกอบอาหารที่ใช้น้ำคั้นจากย่านางนี้เพื่อเป็นการฆ่าฤทธิ์ของสารบางตัวที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น ช่วยลดฤทธิ์ขมเฝื่อน ช่วยให้หน่อไม้มีรสชาติหวานอร่อยขึ้น ในขี้เหล็กก็เช่นกัน ประโยชน์ทางยานั้นจะใช้ราก ซึ่งมีรสจืด ใช้แก้ไข้ทุกชนิด เช่น ไข้ผิดสำแดง คือ อาการไข้ที่เกิดจากการกินอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย ไข้พิษ ไข้เหนือ ถือเป็นยากระทุ้งพิษหรือขับพิษไข้ โบราณใช้ใบย่านางต้มกับใบรางจืดให้ผู้ป่วยดื่มและใช้เช็ดตัวเพื่อแก้ไข้ตัวร้อน ปัจจุบันย่านางได้รับความนิยมสูงในการนำมาดูแลสุขภาพ ลดความร้อนในร่างกาย โดยเอาน้ำคั้นใบย่านางดื่มหรืออาจคั้นร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์ยาเย็นเหมือนกัน เช่น ใบเตย ผักบุ้ง ผักบุ้งไทย เป็นผักพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณโดดเด่นแก้พิษถอนพิษ หมอพื้นบ้านหลายท่านแนะนำให้ใช้น้ำต้มผักบุ้งดื่มเพื่อล้างสารพิษจากยาฆ่าแมลง หรือในตำรับยาอบและอาบสำหรับรับบำบัดผู้ติดยาเสพติดก็จะมีผักบุ้งเป็นตัวยาหลัก ผักบุ้งมีหลายชนิด แต่บ้านเราทั่วไปนิยมบริโภคผักบุ้งจีนเพราะมีสีเขียวอวบ น่ารับประทานและรสชาติค่อนข้างจะหวานกว่าเล็กน้อย แต่ผักบุ้งบ้านเรารสชาติค่อนข้างเฝื่อน นิยมรับประทานแกล้มส้มตำมะละกอ หรือลวกจิ้มน้ำพริก สรรพคุณตามตำรายาระบุว่า รากผักบุ้งมีรสจืดเฝื่อน แก้ถอนพิษผิดสำแดง ส่วนลำต้นและใบ มีรสเย็นถอนพิษเบื่อเมา นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณเป็นยาฆ่าเชื้อ สามารถรักษาแผลเป็นหนองได้ และลดอาการคันจากพิษแมลงกัดต่อยได้ด้วย ในแต่ละมื้อมีผักบุ้งไทยสัก 1 กำมือ รับประทานแกล้มน้ำพริกเป็นประจำทุกวัน ถ้าไม่รับประทานสดก็อาจต้ม แล้วนำน้ำต้มนั้นอย่าทิ้งเด็ดขาด ใช้ดื่มล้างพิษได้ ถ้ารับประทานผักบุ้งทุกวันก็ช่วยลดสารพิษในร่างกายได้แล้วจะในรูปผักสดหรือ ต้มดื่มน้ำก็ใช้ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง http://www.healthcorners.com/2011/article.php…
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2015, 04:29:02 PM » |
|
*หลนธัญพืช* สวนผสมฤทธิ์เย็น 1. ถั่วเขียว 1/2 ถ้วย 2.ถั่วเหลือง 1/3 ถ้วย 3.ถั่วทอง(ถั่วเขียวซีก) 1/3 ถ้วย 4.ลูกเดือย 1/3 ถ้วย
ส่วนผสมฤทธิ์ร้อน 1.ข้าวบาเล่ย์ 1/5 ถ้วย 2.ข้าวจ้าวขาว 1/ 5 (ถ้ามีข้าวกล้องข้าวซ้อมมือหรือข้าวหลากสีก็ยิ่งดีค่ะ) 3. หัวกะทิ 200 ml. 4.หอมแดงหัวเล็ก แกะเปลือกสับละเอียด 6 หัว 5. กระเทียม แกะเปลือกสับละเอียด 5 กลีบ (เขียวก็ได้ไม่เจียวก็ใส่แบบสดๆก็ได้) 6.มะขามเปียกแช่น้ำกรองเอาแต่น้ำ 1/2 ถ้วย (ปรับเปรี้ยวมากน้อยตามชอบ) 7.เนื้อมะพร้าวขูดคั่ว(แทนเนื้อกุ้งมีก็ใส่ไม่มีก็ไม่ใส่) 1/3 ถ้วย 8. น้ำตาลทรายไม่ขัดสี 3 ช้อนแกง (ปรับหวานมากน้อยตามชอบ) 9. เกลือ 3 ช้อนชา 10. น้ำมันมะพร้าว สำหรับเจียวกระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ นำธัญพืชและข้าวที่แช่ค้างคืนไว้ไปล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปปั่นให้ละเอียด ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะพร้าวใส่กระเทียมลงเจียว พอเหลืองตักออกผสมลงกับธัญพืช เทหัวกะทิลงกระทะต่อ พอเดือดเทธัญพืชที่ปั่นไว้แล้วลงผัด คลุกเคล้าไปมา พอสุก ใส่เนื้อมะพร้าวขูด เคล้าไปมาให้เข้ากัน พอสุกปรุงรสด้วยเกลือน้ำตาลและน้ำมะขามเปียก คลุกเคล้าไปมาผัดต่ออีกแป๊บพอหอมปิดไฟ ตักเสิร์ฟแกล้มผักสด (เก็บใส่ตู้เย็นไว้ทานได้หลายวันจ้า) *หมายเหตุ* เมนูนี้ดัดแปลงมาจาก หลนเต้าเจี้ยว สามารถเพิ่มลดปรับเปลี่ยนเครื่องปรุงและธัญพืชให้เหมาะสมถูกสมดุลร่างกายนะคะ ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากคุณปิ่น ห้องไลน์ปรุงกิเลสชวนชิม หลนธัญพืช
Cr อาหารสุขภาพหมอเขียววใครๆก็ทานได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2015, 04:30:53 PM » |
|
สารในหอมแดง หอมแดง (Shallot) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium ascalonicum Linn. อยู่ในวงศ์ Amaryllidaceae ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่มีสมาชิกหลายร้อยชนิด เช่น หอมใหญ่ ต้นหอม หอมจีน กระเทียม กระเทียมใบ เป็นต้น ในหอมแดงสดจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย ไดอัลวินไตรซัลไฟด์ (Diallyltrisulfide) เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม ฟลาโวนอยด์ (Flavonid) กลัยโคไซด์ (Glycosides) เพคติน (Pectin) และกลูโคคินิน (Glucokinin)
สรรพคุณทางยา ฟลาโวนอยด์ในหอมแดง มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ การบริโภคหอมแดงเป็นประจำจึงสามารถลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ลดไขมันในเส้นเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ สามารถป้องกันการติดเชื้อ และช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดได้ ทำให้เจริญอาหาร และช่วยย่อยอาหาร ทั้งนี้ ฟลาโวนอยด์ปริมาณสูงมากๆ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจแล้ว ยังลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ด้วย สารต่างๆ ดังกล่าวในหอมแดงยังมีคุณสมบัติต้านหรือยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรีย ศึกษาโดยใช้น้ำหอมหัวแดงถนอมเนื้อหมูสด โดยใช้เนื้อหมูขนาด 3x3x1 นิ้ว คั้นเอาน้ำหัวหอมประมาณ 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร วางเนื้อหมูลงในภาชนะ เติมน้ำหัวหอมแดงให้ท่วมเนื้อหมู แล้วเก็บใส่กล่องพลาสติกปิดฝา หรือใช้ใบตอง หรือถุงพลาสติกห่อไว้ ผลที่ออกมาหอมแดงจะถนอมเนื้อหมูไม่ให้บูดเน่าได้ก่อนนำไปประกอบอาหารอย่างน้อย 5 วัน โดยไม่ต้องแช่เย็น แต่เนื้อหมูอาจมีสีซีดลงไปบ้าง ในหอมแดงยังมีธาตุฟอสฟอรัสปริมาณสูง ช่วยให้มีความจำดี นอกจากนี้หอมยังใช้บำรุงรักษาหน้าได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ทุบหรือฝานหอมแดงให้เป็นแว่นบางๆ ทาบริเวณที่เป็นสิว ฝ้า หรือจุดด่างดำ เพียงไม่กี่สัปดาห์ก็เห็นผล การรับประทานหอมไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียง แต่เป็นผลดีกับร่างกายมากกว่าเพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก อุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี ในหอมแดง 100 กรัม มีโปรตีน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 11 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม น้ำตาลหลายๆ ชนิดรวม 10.6 กรัม และมีพลังงานเพียง 50-60 แคลอรี เปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมวงศ์ซึ่งละม้ายกันยิ่งแต่ขนาดโตกว่า คือหอมใหญ่ หอมแดงมีคุณสมบัติคล้ายหอมใหญ่มาก แต่มีรสฉุนกว่า และมีความหวานมากกว่าหอมใหญ่ประมาณ 2 เท่า สำคัญที่สุดหอมแดงมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าหอมหัวใหญ่ ดังนั้น ควรฝึกให้รู้จักรับประทานหอมแดงตั้งแต่ยังเด็ก บางคนรับประทานหอมไม่เป็นเพราะไม่ฝึกมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง http://daily.khaosod.co.th/view_news.php…
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:21:09 AM » |
|
การใช้สมุนไพร อายุรเวท รักษามะเร็ง รองศาสตราจารย์ ดร.อ้อมบุญ วัลุต ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
การรักษาผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งตามทฤษฎีการแพทย์แผนตะวันตก มี ๒ วิธีหลักที่ปฏิบัติกันแพร่หลายคือการใช้รังสี และการใช้เคมีบำบัด ซึ่งทั้งสองวิธี ต่างก็ใช้หลักการเดียวกันคือทำลายเนื้อร้าย แต่ทั้งนี้ไม่สามารถเลือกทำลายเฉพาะเนื้อร้ายได้ เซลล์ดีจำนวนมากต้องถูกทำลายไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซลล์ที่มีการแบ่งตัวเร็วเช่น เซลล์ผม เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุทางเดินอาหาร และเซลล์เม็ดเลือดในไขกระดูก จึงเกิดผลข้างเคียงตามมาเช่น ผมร่วง แผลในปาก ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร โลหิตจาง เม็ดเลือดขาวต่ำเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่าย อีกทั้งผู้ป่วยยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นอีก จากการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเหตุนี้จึงมีผู้ป่วยตายด้วยโรคมะเร็งปีละ ๕๐,๐๐๐ คน นับเป็นการสูญเสียทรัพยากรเนื่องจากเคมีบำบัดล้วนเป็นยานำเข้าทั้งสิ้น ยังไม่นับถึงค่าใช้จ่ายในส่วนบุคลากรที่ต้องใช้เวลาในการอภิบาลผู้ป่วยเหล่านี้เป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตบุคคลเหล่านั้นได้
มะเร็งนับเป็นโรคที่ร้ายแรงและคร่าชีวิตผู้คนมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ต่อเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่ 21 นับเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตในอเมริกา (ร้อยละ 25) ปัจจุบันมีผู้แสวงหาแนวทางอื่นในการรักษามากขึ้น เช่นจากการแพทย์อายุรเวทของอินเดียที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล ในตำราอายุรเวทได้มีการกล่าวถึงมะเร็งว่าเป็นเนื้องอกที่เกิดจากการอักเสบหรือไม่อักเสบก็ได้ อาจเกิดจากความไม่สมดุลย์ของระบบ วาตะ (ระบบประสาท) ปิตตะ (ระบบโลหิตดำ) หรือเสมหะ (ระบบโลหิตแดง) หนึ่งหรือ สองระบบ เป็น benign neoplasm แต่ถ้าเกิดจากความผิดปกติของทั้งสามระบบจะกลายเป็น malignant tumour หรือเนื้อร้ายนั่นเอง
สาเหตุของการเกิดมะเร็งนั้นตำราอายุรเวทได้กล่าวถึงการบาดเจ็บของผิวชั้นที่หกที่เรียกว่า โรหิณี (epithelium) ของกล้ามเนื้อและหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการใช้ชีวิตที่ผิดพลาด การกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ สุขอนามัยที่ไม่ดี และ พฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องอันก่อให้เกิดความไม่สมดุลย์ของระบบในร่างกาย (dosha) นำไปสู่การเกิดเนื้องอก ในแต่ละคนเกิดมะเร็งแตกต่างกันไปแล้วแต่ปัจจัยเสี่ยงและพันธุกรรมซี่งทำให้แต่ละคนมีการตอบสนองต่ออาหารชนิดเดียวกันได้ต่างกัน (ขึ้นอยู่กับ dosha ของแต่ละคน) ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสื่อมของระบบในร่างกายได้แก่ สิ่งกระตุ้นระบบวาตะ การกินรสขม รสเผ็ด หรือรสฝาดมากเกินไป อาหารแห้ง หรืออยู่ในสภาวะเครียดมากไป สิ่งกระตุ้นระบบปิตตะ การกินรสเปรี้ยว รสเค็มมากเกินไป อาหารทอด หรืออยู่ในสภาวะโกรธมากไป สิ่งกระตุ้นระบบเสมหะ การกินรสหวานมากเกินไป อาหารมัน หรือชอบอยู่นิ่งๆเกินไป สิ่งกระตุ้นระบบเลือด (rakta) กินอาหารที่เป็นกรดหรือเป็นด่างมากเกินไป อาหารทอดหรือย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อารมณ์โกรธหรือโศกเศร้ามากไป การตากแดดจัดหรือทำงานภายใต้ความร้อนนานไป สิ่งกระตุ้นระบบกล้ามเนื้อ (mamsa) การกินอาหารจำพวกเนื้อ ปลา โยเกิต นมและครีมมากไป การนอนกลางวัน และการกินมากเกินไป สิ่งกระตุ้นระบบไขมัน (medo) การกินอาหารประเภทน้ำมัน อาหารหวาน แอลกอฮอลล์และความขี้เกียจ
หลักของการรักษามี 4 อย่างคือ
บำรุงสุขภาพ (health maintenance) รักษาโรค (disease cure) การคืนสู่สภาพปกติ (Rasayana /restoration of normal function) จิตวิญญาณ (spiritual approach)
หลักที่สำคัญคือต้องหาสาเหตุของการเจ็บป่วยที่ทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์และแก้ไขส่วนขาดและลดส่วนเกิน โดยทั่วไปจะเป็นส่วนประกอบของสมุนไพรหลายๆ ชนิด ซึ่งจะเข้าไปช่วยระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายพร้อมๆ กันและบำรุงร่างกายไปด้วย สมุนไพรสามารถออกฤทธิ์ต่างๆ ดังนี้
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2015, 08:54:12 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 08:29:47 AM » |
|
ต่อ ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง (antiproliferative) ระงับการอักเสบ ซ่อมแซม DNA ต้านการอ็อกซิไดส์ กำจัดอนุมูลอิสระ ยับยั้งจุลชีพ เป็นต้น สมุนไพรต่อไปนี้ล้วนมีผลการทดสอบที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษามะเร็ง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2015, 09:15:38 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #116 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2015, 09:04:11 AM » |
|
ต่อ ฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculata) ในอินเดียใช้กันมานานรักษาไทฟอยด์ แก้อักเสบ แก้มาเลเรีย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน สารสำคัญคือ andrographolide สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด
มะตูม (Aegle marmelos) สารจากผลมะตูมสามารถยับยั้ง thyroid cancer และมีฤทธิ์ยับยั้งไวรัส และต้านการอักเสบ
บัวบก (Centella asiatica) มีสาร asiaticoside ที่ช่วยให้แผลเรื้อรังหายได้เร็วขึ้น เพิ่มภูมิคุ้มกัน และในบราซิลมีการใช้เพื่อรักษามะเร็งมดลูก
ขมิ้น (Curcuma longa) สารสำคัญคือ curcumin มีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์และต้านการอักเสบที่แรง สามารถทำให้เกิดการตายของเซลมะเร็งหลายชนิดเช่น ผิวหนัง ลำไส้ใหญ่ กระเพาะ ลำไส้เล็ก รังไข่ และยังมีฤทธิ์ต้านไวรัส แบคทีเรียและราอีกด้วย
หญ้างวงช้างดอกขาว (Heliotropium indicum) อายุรเวทใช้ใบในการรักษาไข้ ลมพิษ แผล การอักเสบเฉพาะที่ กลาก ปวดข้อ (rheumatism) มีอัลคาลอยด์ Indicine-N-oxide ที่มีฤทธิยับยั้งเนื้องอก มีการทดลองทางคลีนิคในลิวคีเมีย และ solid tumour
ว่านหางจรเข้ (Aloe vera) มีสาร aloe-emodin ที่กระตุ้น macrophage ให้กำจัดเซล์ลมะเร็ง และยังมี acemannan ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ว่านหางจรเข้ช่วยกระตุ้นการเจริญของเซลล์ปกติและยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง
Rubia cordifolia พืชตระกูลเดียวกับกาแฟมีมากในอินเดียตอนใต้ สารสกัดจากพืชนี้มีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้านมะเร็งหลายชนิดเช่น leukemia, ascetic carcinoma, melanoma, lung and large intestinal tumour เป็นต้น
Whitania somnifera หรือ Indian ginseng เป็น adaptogen ที่ช่วยทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ โดยผ่าน Hypothalamic Pituitary Adrenal (HPA) axis มีสารสำคัญคือ whithanolide ซึ่งมีฤทธิ์เสริมภูมิต้านทาน และสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งผิวหนัง
กะเพรา (Ocimum sanctum) เป็นสมุนไพรที่ใช้ในการแพทย์โบราณหลายระบบ เช่นอายุรเวท สิธธา ยูนานนิ กรีก โรมันเป็นต้น ใช้ในระบบทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ หัวใจ ผิวหนัง ฯลฯ
ทุเรียนเทศ (Anona muricata) สาร acetogenin จากผลทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
ลูกใต้ใบ/หญ้าใต้ใบ (Phyllanthus niruri/amarus) เป็นที่รู้จักว่าเป็น stonebreaker และมีการใช้แพร่หลายทั่วโลก ในระบบปัสสาวะและน้ำดี ตับอักเสบ หวัด วัณโรค และโรคจากไวรัสอื่นๆ
ดีปลี (Piper longum) มี piperine ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอ็อกซิไดส์ทั้ง in vitro และ in vivo จึงเป็นส่วนประกอบของตำรับยารักษามะเร็งของอายุรเวท
Podophyllum hexandrum เป็นพืชบนเทือกเขาหิมาลัย มีสาร podophyllin และ podophyllotoxin ซึ่งยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น sarcomas ,adenocarcinoma และ melanoma มีการเตรียมอนุพันธ์และใช้เป็นยารักษามะเร็งตับคือ etoposide
บอระเพ็ด (Tinospora cordifolia) สารสำคัญจากบอระเพ็ดกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่มระดับเม็ดเลือดขาว และสามารถลดขนาดเนื้องอกได้ 58.8% เทียบเท่า cyclophosphamide
รักขน (Semecarpus anacardium) ผลของรักขนมีการใช้ในอายุรเวทเพื่อรักษามะเร็ง มีงานวิจัยแสดงว่าสารสกัดคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและยืดอายุในกรณี leukemia, melanoma และ glioma ในสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นมะเร็งตับสารสกัดจากรักขนทำให้เนื้อเยื่อตับเป็นปกติ ยาเตรียม anacartin forte นิยมใช้รักษามะเร็งหลอดอาหาร chronic myeloid leukemia, urinary bladder และมะเร็งตับ
ยังมีสมุนไพรอีกมากที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเซลล์มะเร็งโดยตรงหรือช่วยระงับอาการข้างเคียงต่างๆ ของผู้ป่วยมะเร็งซึ่งรอผลการสนับสนุนจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2015, 09:16:03 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #117 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2015, 11:11:22 AM » |
|
สมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์ ของดีจากธรรมชาติ บรรเทาอาการได้ชะงัด สมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์ อีกหนึ่งทางเลือกในการบรรเทาอาการโรครูมาตอยด์ เลือกให้เป็นกินให้ถูกก็ช่วยให้อาการดีขึ้นได้ โรครูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาหายได้ ดังนั้นการรักษาทางการแพทย์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ทว่านอกเหนือจากการใช้ยาแผนปัจจุบันแล้ว สมุนไพรก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ควบคู่กันไปเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด และลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา วันนี้กระปุกดอทคอมเลยหยิบเอา 10 สมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์มาบอกต่อ ใครที่กำลังป่วยด้วยโรคนี้หรือมีคนใกล้ชิดป่วยด้วยโรคนี้ ก็ลองเสาะหาสมุนไพรเหล่านี้ไปใช้กันได้ บอกเลยว่าไม่ใช่สมุนไพรที่หายากอะไรเลย
ฟ้าทะลายโจร แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกขมกันแล้วใช่ไหม แต่สำหรับผู้ป่วยโรครูมาตอยด์แล้ว ฟ้าทะลายโจรถือเป็นสมุนไพรยอดคุณเลยเชียวล่ะ เพราะฟ้าทะลายโจรนั้นมีคุณสมบัติในการช่วยต้านการอักเสบ ต้านไวรัส ต้านอนุมูลอิสระ และต้านเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ซึ่งในอดีตมักถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ นอกจากนี้การศึกษาอื่น ๆ แสดงให้เห็นอีกว่าฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาอาการไข้หวัด โรคมะเร็ง หรือแม้แต่ช่วยในการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ได้อีกด้วย แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าสารตัวได้ที่อยู่ในฟ้าทะลายโจรที่มีคุณสมบัติเช่นนั้น แต่ในการศึกษาในปี 2009 นั้นก็ทำให้เราได้ทราบกันว่าฟ้าทะลายโจรสามารถลดอาการบวมของข้อต่อและทำให้สามารถเคลื่อนไหวข้อต่อได้ง่ายขึ้น โดยในการวิจัยได้ให้ผู้ป่วยรับประทานฟ้าทะลายโจรวันละ 3 ครั้งติดต่อกัน 14 สัปดาห์ และพบว่าอาการปวดข้อและขยับร่างกายไม่สะดวกอันเนื่องมาจากโรครูมาตอยด์ลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้การรักษาโรครูมาตอยด์ด้วยการใช้ฟ้าทะลายโจรนั้นก็ไม่จำเป็นต้องนำใบสดมาใช้เพียงอย่างเดียว เพราะในปัจจุบันฟ้าทะลายโจรนั้นมีทั้งแบบอัดเม็ดและแคปซูลให้เลือกได้ตามสะดวก แต่ก็ต้องระมัดระวังผลข้างเคียงในการใช้ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ท้องเสีย มีอาการแพ้ หรือแม้แต่ลิ้นเปลี่ยนรสอีกด้วย หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับกลิ่นหอม ๆ ของกำยาน แต่หารู้ไม่ว่าจริง ๆ แล้วสรรพคุณของกำยานนั้นมีมากกว่ากลิ่นนะคะ เพราะแพทย์อายุรเวทของอินเดียได้นำกำยานมาใช้เพื่อต้านการอักเสบมาตั้งแต่โบราณแล้ว โดยส่วนที่นำมาใช้นั่นก็คือยางจากเปลือกของต้นกำยานนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันเราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาต้นกำยานให้ลำบาก เพราะตอนนี้เราสามารถหาสารสกัดจากกำยานในรูปแบบของแคปซูลอาหารเสริมหรือจะเป็นครีมทาได้แล้ว
สับปะรด สับปะรดนั้นเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง แถมในแกนสับปะรดยังมีสารโบรมีเลน (Bromelain) มีคุณสมบัติในการช่วยย่อยโปรตีนและต้านการอักเสบได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะถูกนำมาใช้ลดการอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ และเมื่อนำมาวิจัยและทดลองกับผู้ที่มีอาการข้ออักเสบนั้นก็พบว่าสามารถบรรเทาอาการได้ดีเลยทีเดียว
พริก พริกป่นมีคุณสมบัติที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานนั่นก็คือการช่วยย่อยอาหาร แต่ก็มีการนำมารักษาอาการปวดอย่างกว้างขวางเช่นกัน เนื่องจากในพริกป่นมีสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งปัจจุบันสารแคปไซซินนี้ก็ถูกสกัดมาใช้ในรูปแบบของครีมใช้ทาบรรเทาอาการปวด โดยล่าสุดศูนย์การแพทย์ Lagoneแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ได้ยืนยันว่าครีมที่มาจากสารแคปไซซิน สามารถบรรเทาการปวดจากโรคข้อเข่าเสื่อมรวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเนื้อเยื่อได้อีกด้วย มีประโยชน์จริง ๆ เลยว่าไหม
เมล็ดขึ้นฉ่าย เราอาจจะเคยได้ยินถึงประโยชน์ของขึ้นฉ่าย แต่จริง ๆ เมล็ดขึ้นฉ่ายนั้นถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคไข้หวัด อาหารไม่ย่อย รวมทั้งโรคไขข้อต่าง ๆ มานานนับพันปีแล้ว นอกจากนี้ยังนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งล่าสุดก็ความเชื่อว่าเมล็ดขึ้นฉ่ายมีสรรพคุณอันทรงประสิทธิภาพในการรักษาอาการโรคไข้ข้ออักเสบ โรคเกาต์ รวมทั้งบรรเทาอาการของโรครูมาตอยด์ลงได้ และยังมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกว่ารากของขึ้นฉ่ายนั้นก็มีคุณสมบัติในการลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและความดันโลหิตลงอีกด้วย
ดอกคาโมมายล์ ดอกคาโมมายล์เป็นสมุนไพรโบราณที่ถูกหยิบมาใช้ในการรักษาอาการป่วยสารพัด ไม่เว้นแม้แต่การรักษาอาการอักเสบ ช่วยให้นอนหลับสบาย แก๊สในกระเพาะอาหาร หรือแม้แต่โรครูมาตอยด์ เนื่องจากสารสไปโรเอเทอร์ (Spiroether) หนึ่งในยาคลายการหดตัวของกล้ามเนื้อที่มีอยู่ในธรรมชาติ อันมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งการรับประทานดอกคาโมมายล์นั้นก็สามารถเลือกรับประทานได้หลากหลายทั้งน้ำมันสกัด และชาดอกคาโมมายล์ จะเลือกใช้อย่างไรนั้นก็แล้วแต่จะสะดวกเลย
ขิง ขิงเป็นสุดยอดสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคสารพัดมานับกว่าพันปี ไม่ว่าจะเป็นโรคหวัด คลื่นไส้ ไมเกรน ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ หรือแม้แต่ความดันโลหิตสูง ทั้งนี้ ขิงยังมีคุณสมบัติเด่นในการช่วยลดอาการปวด ต้านการอักเสบและต้านสารอนุมูลอิสระ นอกจากนี้โรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยไมอามี่ก็ยังได้ค้นพบอีกว่า การรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของขิง วันละ 2 ครั้งติดต่อกัน 3 เดือนยังช่วยให้อาการปวดของผู้ป่วยโรครูมาตอยด์ลดลงและช่วยให้การทำงานของข้อต่อต่าง ๆ ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้แพทย์เป็นผู้กำหนดปริมาณการรับประทานจะดีกว่าเพื่อความปลอดภัย โดยสามารถรับประทานขิงทั้งแบบสด แบบอบแห้ง เป็นผงชงดื่ม หรือจะรับประทานแบบแคปซูลก็ดีทั้งนั้นเลย
ชาเขียว ชาเป็นเครื่องดื่มที่คนเราดื่มมากที่สุดในโลกรองจากน้ำเปล่า โดยเฉพาะชาเขียวที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบทวีปเอเชีย เนื่องจากรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ชาเขียวยังมีสรรพคุณทางยาช่วยบำรุงสุขภาพ ทั้งช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหารและบำรุงหัวใจ ทั้งนี้การศึกษาจากศูนย์การแพทย์ในมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ก็ยังเปิดเผยให้ทราบอีกว่า ชาเขียวมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ และช่วยป้องการถูกทำลายของข้อต่าง ๆ ที่เกิดจากโรครูมาตอยด์ได้อีกด้วย แต่ก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนจะเริ่มดื่มชาเขียวนะคะ เพราะการดื่มมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละคนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องผูกได้
ขมิ้น ขมิ้นถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์มาตั้งแต่ 4,000 ปี โดยถูกนำมาใช้รักษาโรคหลากหลายรวมทั้งในเรื่องของระบบย่อยอาหารหรือแม้แต่รักษาความผิดปกติของตับ เป็นต้น ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ขมิ้นมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ และสารเคอร์คูมินก็ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย วิธีการรับประทานขมิ้นก็ไม่ยาก เพราะนอกจากจะรับประทานสด ๆ แล้ว ก็ยังสามารถนำแบบที่เป็นผงอบแห้งไปปรุงกับอาหาร หรือถ้าจะรับประทานเป็นอาหารเสริมก็สามารถเลือกรับประทานที่เป็นแคปซูลได้เช่นกัน
โรสแมรี สมุนไพรจากแถบเมดิเตอร์เรเนียนอย่างโรสแมรีนี้เป็นสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้กันอย่างหลากหลายในวงการอาหารและเครื่องสำอางกันมานาน ทั้งที่จริงแล้วสมุนไพรชนิดนี้ก็มีประโยชน์ทางด้านการแพทย์ไม่แพ้สมุนไพรชนิดอื่น ๆ เลยเชียวล่ะ เพราะเจ้าโรสแมรีนี้มีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงความจำ ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ และช่วยแก้ปัญหาอาหารไม่ย่อยได้ นอกจากนี้การทดลองในห้องปฏิบัติการยังพบว่าโรสแมรีมีคุณสมบัติในด้านการต้านอนุมูลอิสระได้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ไม่ต้องหาแบบสด ๆ มารับประทานก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะมีเดี๋ยวนี้มีทั้งแบบเป็นแคปซูลและแบบน้ำมันที่สกัดมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถรับประทานได้เลย แต่ถ้าจะนำโรสแมรีอบแห้งมารับประทาน ศูนย์การแพทย์ในมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ก็เตือนว่าไม่ควรรับประทานเกินวันละ 6 กรัมนะคะ จัดมาให้กันแบบเต็ม ๆ แล้วกับสมุนไพรรักษาโรครูมาตอยด์ ยังไงก็ลองนำไปใช้กันได้ตามสะดวก แต่ก็อย่ามัวแต่พึ่งยาสมุนไพรเพียงอย่างเดียวเพราะยังไงการรักษาด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้แข็งแรง รวมทั้งหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้โรครูมาตอยด์กำเริบ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ใช้วิธีการรักษาหลาย ๆ ด้านร่วมกันก็ดีกว่ามุ่งรักษาไปในทางเดียว http://health.kapook...view123772.html
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #118 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2015, 05:53:36 PM » |
|
(เครดิตภาพ : เย็นกายสบายใจ, สุชญา, prayod, dailynews)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #119 เมื่อ: เมษายน 22, 2016, 08:39:41 PM » |
|
แตงโม : ป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มากด้วยสารไลโคพีนสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน สรรพคุณเนื้อแตงโม แก้พิษสุรา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการเจ็บคอ ส่วนเมล็ดเป็นยาเย็นและขับปัสสาวะ นอกจากนี้ยังเชื่อว่า การกินแตงโมช่วยบำรุงกำลังและเจริญปัญญาอีกด้วย
สรรพคุณทางยาสมุนไพร 1. น้ำคั้นจากผล แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ปากเป็นแผล ขับปัสสาวะ แก้อาการผิดปกติของร่างกายเนื่องจากอากาศร้อน และแก้อาการอึดอัดร้อนรุ่มกลุ่มใจ 2. เปลือกผล แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ปากและลิ้นเป็นแผล ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ ปัสสาวะขับ 3. เมล็ดใน หล่อลื่นลำไส้ แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดความดันโลหิต ขับเสลด แก้อาเจียนเป็นเลือด ไอเรื้อรัง 4. รากและใบ แก้บิด ท้องร่วง
ตำรับยา 1. แก้ร้อนจัด ลิ้นคอแห้ง วิงเวียน นอนไม่หลับ พูดไม่ออก คั้นน้ำแตงโมให้กิน 2. แก้ท้องร่วงในฤดูร้อน แก้ร้อนรุ่ม กระวนกระวายใจ ใช้แตงโม 1 ผล หั่นเป็น 10 ส่วน แบ่งเอามา 1 ส่วนรวมกับกระเทียม 7 กลีบ ใช้กระดาษห่อ 7-9 ชั้น เอาดินพอกให้มิด ใส่กระบอกไม่ไผ่เผาให้แห้ง นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำกิน 3. แก้ถูกไฟหรือน้ำร้อนลวก ใช้แตงโมที่แก่เอาเมล็ดออก เอาเนื้อในคั้นเอาน้ำใส่ขวดเก็บไว้ 3-4 เดือน จนมีรสเปรี้ยวเก็บเอาไว้ใช้แก้แผลถูกความร้อนลวก โดยใช้น้ำเกลือเย็นๆ ชะล้างบาดแผลให้สะอาดก่อน แล้วใช้สำลีชุบน้ำแตงโมเปรี้ยวนี้พอกแผลวันละหลายๆ ครั้ง แผลที่ถูกความร้อนลวกระดับ 1 (ผิวหนังแดงเหมือนแดดเผา) และแผลระดับ 2 (ผิวหนังพุพองและลอก) จะหายใน 1 อาทิตย์ แผลระดับ 3 (ผิวหนังหลุดลอกกินลึกถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง) จะหายใน 2 อาทิตย์ 4. แก้ไตอักเสบ บวมน้ำ ใช้เปลือกแตงโมแห้งมาใหม่ๆ หนัก 40 กรัม ร่วมกับรากหญ้าคาสดหนัก 60 กรัม ต้มน้ำแบ่งกิน 3 ครั้งใน 1 วัน 5. คนที่นั่งนานๆ แล้วปวดเอว ยืดหดตัวไม่ได้ ใช้เปลือกแตงโมเขียวๆ มาตากให้แห้งในที่ร่มบดเป็นผงผสมเกลือกิน
บางคนกล่าวว่า เอาเนื้อแตงโมหั่นเป็นแผ่นทำให้แห้งกินทุกวันแก้โรคตาต่างๆ ได้
(เครดิตภาพ : narongrits, veggieblly)
** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|