Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศรัทธา ธรรม  (อ่าน 13498 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #165 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2017, 03:21:30 PM »



จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า

เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บตาย ของเรา

เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร ด้วยกันกะเรา

เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง

 เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา

 เขาย่อมพลั้งเผลอ บางคราวเหมือนเรา

 เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา

 เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่

เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ

 เขาก็อยากดีเหมือนเรา ที่อยาก ดี -เด่น -ดัง

เขาก็มักจะกอบโกย และเอาเปรียบเมื่อมีโอกาสเหมือนเรา

เขามีสิทธิที่จะบ้าดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา

 เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆเหมือนเรา

 เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา

 เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา

เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลันเหมือนเรา

 เขามีหน้าที่รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา

 เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา

 เขามีสิทธิ ที่จะเลือก(แม้ศาสนา) ตามพอใจของเขา

 เขามีสิทธิ ที่จะใช้สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา

 เขามีสิทธิ ที่จะเป็ฯโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา

 เขามีสิทธฺ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา

 เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี

 เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา

 เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น

เขามีสิทธิ แห่งมนุษยชน เท่ากันกับเรา,สำหรับจะอยู่ในโลก

 ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.

#๑๑๑ปีพุทธทาส #พุทธธรรมกับสังคม

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #166 เมื่อ: มกราคม 06, 2019, 10:43:40 AM »

ฝรั่งเขียนเรื่อง ความจริง และ จุดเด่น ของ พุทธศาสนา 19 ประการที่ต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

๑.พระพุทธศาสนา  ปฏิเสธว่า  มีผู้สร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้าม โลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุธาตุทั้ง4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา

๒.พระพุทธศาสนา  ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้  หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก

๓.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์เท่านั้น

๔.พระพุทธเจ้า  ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร

๕.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์  ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้

๖.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ  ตรงข้าม ทรงสอนให้ใช้ปัญญา พิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า  ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง  ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น

๗.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็น และมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา

๘.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน

๙.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ

๑๐.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ  ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ

๑๑.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์  เป็นตัวอธิบายว่า  เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน  กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด

๑๒.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ  ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท ๑๐ และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ ๑๐

๑๓.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น

๑๔.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร  การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา

๑๕.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด  ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลส
ที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป

๑๖.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่างๆ ขึ้นมา

๑๗.การฝึกสมาธิ  สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า  ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ

๑๘.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา) หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน  สรรพสิ่งในโลก  จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม  จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน

๑๙.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา  ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด  ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์  จึงต้องช่วยตนเอง  เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ

~ เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่ ก็แสดงว่า มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา มาก ขอกราบคารวะ และ ขอชื่นชมด้วยใจจริง


Thank you  Kha
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #167 เมื่อ: มกราคม 11, 2020, 07:57:09 PM »

http://m.horoworld.com/seamsi

ท่านที่ชื่นชอบการ
เสี่ยงเซียมซี
เดียวนี้ไม่ต้องไปนั่งเขย่าไม้ไผ่ที่วัดแล้ว
14 วัดดัง ได้ส่งมาให้เขย่าได้ในโทรศัพท์ของท่านเอง
เชิญกดปุ่มเลือกวัด
และเขย่าเซียมซีตามใจชอบ ให้ทำนายแม่นๆ โดยไม่ต้องไปที่วัด

http://m.horoworld.com/seamsi
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #168 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2020, 11:37:36 PM »

เพิ่งรู้นะนี่ว่า พระพุทธศาสนาของเรา แผ่ไปกว้างไกลแล้ว
(ประเมินจากการเข้าร่วมสังเกตุการณ์ในการประชุมเตรียมจัดงานวันวิสาขบูชาโลก เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 63 ที่ห้องประชุมชั้น 4 สำนักงานอธิการบดี มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร. ที่วังน้อย อยุธยา) ว่า

~ ในงานวันวิสาขบูชาโลก  ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-3 พฤษภาคม 2563 นั้น จะมีชาวต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ จะเดินทางมาร่วมงานในฐานะผู้แทนชาวพุทธ ที่อยู่ในประเทศนั้นๆ หรือ อยู่ในเขตปกครองพิเศษนั้นๆ รวม 84 แห่ง รวมจำนวน 1,246 คน จะมาประชุมกันที่ หอประชุมใหญ่ มจร.วังน้อย อยุธยา ใน 2 วันแรก ในวันสุดท้าย วันที่ 3 พฤษภา 63 จะย้ายมาประชุมที่ศูนย์การประชุม UN  ที่ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ และ จะมีการประกาศปฏิณญาสากลกรุงเทพฯ ในการตกลงที่จะจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาษาอังกฤษ ที่แปลจากพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐในวันสุดท้ายของการประชุม โดยมีชาวต่างประเทศจากประเทศต่างๆ และเขตปกครองพิเศษมาร่วมงานในครั้งนี้ เป็นผู้แทนชาวพุทธ จาก

1. อาเจนตินา 2 คน 
2. อัลมาเนีย 3 คน
3. ออสเตรีย 2 คน
4. ออสเตรเลีย 2 คน
5. บังคลาเทศ 22 คน
6. เบลารุส 5 คน
7. เบลเยี่ยม 5 คน
8. ภูฏาน 17 คน
9. โบลิเวีย 3 คน
10. บราซิล 6 คน
11. บัลกาเรีย 3 คน
12. กัมพูชา 52 คน
13. คานาดา 3 คน
14. จีน 88 คน
15. เขตปกครองพิเศษฮ่องกง 51 คน
16. เขตปกครองพิเศษไต้หวัน 16 คน
17. เขตปกครองพิเศษมาเก๊า 7 คน
18. ชิลี 4 คน
19. โคลัมเบีย 3 คน
20. คองโก 3 คน
21. คอสตาริก้า 4 คน
22. โครเอเทีย  4 คน
23. คิวบา 4 คน
24. สาธารณรัฐเช็ค 4 คน
25. เดนมาร์ค 3 คน
26. อียิปต์ 3 คน
27. อีคัวดอร์ 2 คน
28. เอลซาวาดอร์ 3 คน
29. อังกฤษ 10 คน
30. เอสโทเนีย 3 คน
31. เอธิโอเปีย 3 คน
32. ฟินแลนด์ 3 คน
33. ฝรั่งเศส 14 คน
34. เยอรมัน 3 คน
35. กาน่า 3 คน
36. กรีก 3 คน
37. กัวเตมาลา 3 คน
38. ฮังการี 5 คน
39. อินเดีย 37 คน
40. อินโดนีเซีย 36 คน
41. ไอร์แลนด์ 3 คน
42. อิสราเอล 3 คน
43. อิตาลี 3 คน
44. ญี่ปุ่น 257 คน
45. เคนย่า 5 คน
46. เกาหลีใต้ 27 คน
47. เกาหลีเหนือ 4 คน
48. ลาว 37 คน
49. ลัธเวีย 5 คน
50. ลิธัวเนีย 5 คน
51. มาเลเซีย 25 คน
52. เม็กซิโก 9 คน
53. มองโกเลีย 13 คน
54. เมียนม่าร์ 52 คน
55. เนปาล 18 คน
56. เนเธอร์แลนด์ 5 คน
57. นิวซีแลนด์ 5 คน
58. นอร์เวย์ 7 คน
59. ปารากัว 3 คน
60. เปรู 3 คน
61. ฟิลิปปินส์ 6 คน
62. โปแลนด์ 4 คน
63. โปตุกัล 3 คน
64. เปโต ริโก้ 3 คน
65. โรมาเนีย 3 คน
66. รัสเซีย 18 คน
67. สก้อตแลนด์ 5 คน
68. เซอร์เบีย 3 คน
69. สิงคโปร์ 35 คน
70. สโลวาเกีย 3 คน
71. สโลวีเนีย 3 คน
72. อัฟริกาใต้ 3 คน
73. สเปน 3 คน
74. สวีเดน 3 คน
75. สวิสเซอร์แลนด์ 3 คน
76. ศรีลังกา 61 คน
77. ตุรกี 3 คน
78. อาหรับเอมิเรต 3 คน
79. อูกานดา 3 คน
80. ยูเครน 3 คน
81. อุรุไกว 3 คน
82. สหรัฐอเมริกา 18 คน
83. เวเนซูเอล่า 3 คน
84. เวียตนาม 115 คน

~โครงการจัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาษาอังกฤษ เพื่อถวายพระราชกุศลและเฉลิมกระเกียรติ ในหลวง รัชกาลที่ 10 ที่ประกาศพระองค์เป็น พุทธศาสนูปถัมภก  แปลเพื่อเผยแพร่ให้ถึงชาวต่างประเทศ เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต โดยแปลจากพระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ เป็นต้นแบบ โดยมี  คณะกรรมการอำนวยการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานอำนวยการจัดทำ กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นกรรมการ และ พระพรหมบัณฑิต เป็นกรรมการและเลขานุการ

~ คณะกรรมการฝ่ายอุปถัมภ์ โครงการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย นายก รมต. หรือ รองนายก รมต. ที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธาน  รมต. กระทรวงวัฒนธรรม เป็นรองประธาน คนที่ 1 รัฐมนตรีสำนักนายกฯ เป็นรองประธานฯ คนที่ 2 ปลัดกระทรวง 20 กระทรวง เป็น กรรมการ และ กรรมการอื่นๆ  ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา และ อธิบดีกรมการศาสนา   เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม

~ ในปี 63-64 จะมีการเสนอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการดำเนินงาน คณะบรรณาธิการ คณะอนุกรรมการแปล และ คณะทำงานฝ่ายต่างๆ เพื่อดำเนินการแปลพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐ เป็นภาษาอังกฤษต่อไป

~ โดยรัฐบาลให้งบฯเพื่อการแปลพระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ เป็นภาษาอังกฤษนี้ เป็นเงิน 80 ล้านบาท โดยกำหนดทำการเผยแพร่ พระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ  ได้ภายในปี 2564
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #169 เมื่อ: มีนาคม 04, 2020, 10:15:58 PM »

“อานาปานสติกับไวรัสโคโรน่า”

โดยส่วนตัวในทุกวันนี้ ผมอยู่กับลมหายใจ (อานาปานสติ) ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนนอน

ที่ทำได้เพราะฝึกฝน

ที่ฝึกฝนเพราะเชื่อพระพุทธเจ้า และต้องการพิสูจน์จนประจักษ์กับตนเอง

และที่สำคัญ เมื่อผมศึกษาเรื่องกลไกของร่างกาย สมอง และสารเคมีในสมอง

มันเลยทำให้ผมเข้าใจจริงๆว่า

“ทำไมพระพุทธเจ้าถึงสรรเสริญบุคคลผู้ทำอานาปานสติยิ่งนัก”

สิ่งที่ทำได้ง่าย และทำได้ตลอดเวลา ที่อยู่ในตัวเรา ทำไมถึงมีอานุภาพมากมายมหาศาล ถึงเพียงนี้? สามารถทำให้มนุษย์ปุถุชน กลายเป็นอริยบุคคลก็ยังได้ หรือแม้กระทั่งมีร่างกายที่แข็งแรงมหาศาลก็ได้

วันนี้ผมจะมาเฉลยทั้งหมด และให้คุณเอาอานาปานสติไปช่วยชีวิตตนเองและคนรอบข้างได้แล้ว

ในแง่ของวิทยาศาสตร์

หากเราอยู่กับลมหายใจธรรมชาติเมื่อใดก็ตาม (ลมธรรมชาติคือลมที่ไม่ฝืน ไม่ควบคุม ฝึกทั้งวันแค่ 1 วัน เราก็จะจับหลักถูกจนทำให้ลมที่บังคับกลายเป็นลมธรรมชาติได้จริง) ร่างกายของเราจะสงบ สมองจะทำงานน้อยลง

และเมื่อลมหายใจตามธรรมชาติเริ่มเป็นลมยาวมากขึ้นๆ

ลมที่ลึกและยาวนั้นจะสร้างออกซิเจนจำนวนมหาศาลเข้าไปฟอกเลือด และไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆอย่างทั่วถึง ฉะนั้นภูมิคุ้มกันต่างๆในร่างกายจะฟื้นตัวและดียิ่งขึ้น

ที่สำคัญ ลมที่ลึกและยาวอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะขึ้นไปเลี้ยงสมอง ปรับนิวรอนในสมอง และกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุขชนิดต่างๆออกมา มันจึงทำให้เราอารมณ์ดี ผ่อนคลาย คิดดี และมีความสุขได้จริง

แถมสมองของเรามีกระแสไฟฟ้า และคลื่นแม่เหล็ก ที่จะดึงธาตุต่างๆที่ตรงกับในสมองเข้ามา เพิ่มขึ้นๆ ฉะนั้น ถ้าในสมองมีแต่สิ่งที่ดี มันก็จะดึงสิ่งที่ดีเข้ามาไว้รวมกันเป็นธรรมดา

ในแง่ของพุทธศาสนา

สิ่งที่พระพุทธเจ้าอยากให้พวกเราเจริญที่สุด นั่นก็คือ

“สติ”

การรู้สึกถึงลมหายใจ (อานาปานสติ) เป็นการเจริญสติที่ดีที่สุด ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญผู้ใดก็ตามที่เจริญอานาปานสติให้มาก

ฉะนั้นแล้ว ขนาดมหาบุรุษอย่างพระพุทธเจ้ายังทรงสรรเสริญ จะกล่าวไปใยกับ เทวดา และพรหมต่างๆ

ยิ่งหากใครก็ตามที่สามารถอยู่กับลมหายใจได้ตลอดวันตั้งแต่ตื่นจนนอน

บุคคลผู้นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับสหายแห่งพรหม ผู้เจริญฌานอยู่เป็นนิตย์

ซึ่งอยู่เหนือว่าเทวดาในทุกภพภูมิ

ความถี่ แสงสว่างจากจิต และกายของเรา ที่เปล่งออกมาจากการทำอานาปานสติเสมอ

จะเหมือนสัญญาณโทรทัศน์ ที่ทำให้เทวดาและพรหมมองเห็น และอยากจะช่วยเหลือ

เนื่องจากพวกเค้าประทับใจ ที่มีมนุษย์ที่สามารถอยู่กับลมหายใจได้จนจิตปล่อยคลื่นความถี่ที่ละเอียดจนพวกเค้ารับรู้ได้

พวกเค้าจะอยากช่วยเหลือ เพราะรู้ว่า หากช่วยคนๆนี้ เค้าก็จะได้บุญได้กุศลมาก

ไม่ต่างอะไรกับผู้คน ที่อยากช่วยเด็กกตัญญู ที่ทำงานหาเงินแต่เด็ก แถมยังเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่อีก

เทวดาจะเอ็นดู และรักเรา

จนไปถึงเคารพหรือสรรเสริญเราเลยก็มี

โดยส่วนตัว
เหตุผลที่ทำให้ลมหายใจมีอานุภาพมากขนาดที่พระพุทธเจ้าและเทวดาทั้งหลายสรรเสริญ นั่นก็คือ

ลมหายใจ เป็นธาตุลมที่มีความเป็นธรรมชาติ

เมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกถึงเค้า โดยปราศจากความคิด แต่เป็นเพียงแค่การอยู่ และเห็นเค้าจนจิตของเราและลมหายใจ กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อนั้นจิตของเราจะไปรวมกับธรรมชาติ

เมื่อจิตไปรวมกับธรรมชาติ

มันจะมีการเชื่อมต่อกัน ในระดับธรรมชาติในตัวเรา และธรรมชาติทั้งหมดในสากลโลก

ดังนั้น มันจึงเป็นคลื่นความถี่ที่ละเอียด มีพลัง และมีผลบุญมหาศาล

เพราะบุญที่สูงที่สุดในพุทธศาสนาก็คือ

บุญจากการเจริญภาวนา ด้วยจิตที่เป็นอุเบกขา

การเห็นลมหายใจไปรวมกับธรรมชาติได้

ต้องเกิดจากจิตที่เป็น อุเบกขา

ที่มีความเป็นกลางอย่างถึงที่สุด

และนั่นเอง มันจะทำให้เราได้เข้าใจมากขึ้นๆว่า

เราคือ “ธรรมชาติ”
และ “ธรรมชาติคือเรา”

และสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือธรรมชาติ

ฉะนั้น ถ้าเราเข้าถึงความจริงว่า “เราคือธรรมชาติ”

นั่นก็คือเหตุผลทั้งหมดว่า ทำไมพระพุทธเจ้าและเทวดาทั้งหลายจึงสรรเสริญ บุคคลผู้ทำอานาปานสติจนเป็นวสี

ในส่วนของพุทธศาสนา

ทุกท่านยังไม่จำเป็นต้องเชื่อผม

ค่อยเชื่อเมื่อประจักษ์กับตนเอง

แต่ในแง่ของวิทยาศาสตร์

ท่านสามารถพิสูจนได้เลย และทั้งหมดเป็นสิ่งที่เชื่อได้ มีวิจัยรับรอง มีการเผยแพร่วิจัยนี้ให้ทราบกันทั่วโลก

ฉะนั้น

สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์สามารถช่วยตัวเองได้ในขณะนี้ก็คือ

“การฝึกเจริญอานาปานสติครับ”

ไม่มีอะไรยาก

แค่ผ่อนคลายร่างกายให้สบาย ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้สึกถึงร่างกายโดยความเป็นขอบเขตทั้งหมด

แล้วก็แค่ทำความรู้ตัวไปว่าร่างกายกำลังหายใจ

ระลึกรู้ว่าร่างกายกำลังหายใจไปสบายๆ  รู้ให้เบาที่สุด ออกแรงรู้ให้น้อยที่สุด

แล้วมันจะเป็นลมหายใจแห่งความสุข

ที่ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก ยิ่งมีความสุข ยิ่งรู้สึกดี

ฉะนั้น เราก็จะยิ่งทำได้ดียิ่งๆขึ้น ผ่อนคลายยิ่งขึ้น สบายยิ่งขึ้น แข็งแรงยิ่งขึ้น

อานาปานสตินี้ คือบุญใหญ่ ที่ยิ่งกว่าให้เงินทอง หรือสร้างวัด และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
ี่สำคัญ มันอยู่กับเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

และมันสามารถเพิ่มภูมิต้านทานไข้หวัดโคโรน่าให้เราได้จริง

ผมทำได้แค่มาบอก

ที่เหลือ อยู่ที่การตัดสินใจของทุกคนแล้วนะครับ

ขอให้ทุกท่านผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันได้ด้วยสติปัญญา และลมหายใจของเราทุกคนนะครับ

ป้อง

fb สถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ


ขอขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #170 เมื่อ: เมษายน 24, 2020, 09:13:33 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=cAEJ6wDIMb4&feature=youtu.be
ตาย อย่าง ดี - Die So Well [HD]

..เสถียรธรรมสถาน คือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างศานติ ทํางานสร้างชีวิตตั้งแต่ปฏิสนธิจิตจนคืนชีวิตสู่ธรรมชาติ เพื่อพุทธกิจการ สร้างสร้างสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข พ้นทุกข์ร่วมกัน...
ในวาระก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ ๓ ของเสถียรธรรมสถาน
ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน ได้มีดําริให้จัดสร้างภาพยนตร์ สารคดีขนาดสั้น ในชื่อ “ตาย อย่าง ดี ( Die So Well)”
ถ่ายทอดเรื่องราว ปรากฏการณ์ของชีวิต การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย บริเวณแม่นํ้าคงคา เมืองพาราณสี ประเทศอินเดีย ด้วยความเชื่อ ความศรัทธาในความจริงของชีวิต และความงดงามของวัฒนธรรม ผ่านมุมมองของผู้กํากับ ทีมงาน ก่อนจะนําไปสู่ผู้ชมให้ตระหนักรู้ถึงความดีในการใช้ชีวิตที่
เหลือต่อไปอย่างไรไม่ให้ตายทั้งเป็น…

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #171 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2020, 10:27:31 AM »

       
@วันเสาร์..เข้าใจ@
   **********
   @เสาร์..เข้าใจตน ฝึกฝนจิต@
    เสาร์..เข้าใจมิตร จิตแจ่มใส
    เสาร์..เข้าใจงาน สำราญใจ
 เสาร์..เข้าใจ ใช้ศีลธรรม อำนวยพร
  @พรวันเสาร์เช้าสายบ่ายเย็นค่ำ@
 พรวันเสาร์  เราพึ่งธรรม คำพุทธสอน
     พรวันเสาร์ เรามีสุข ทุกบาทจร
    พรวันเสาร์ เราสังวร ก่อนคิด-ทำ
      @เสาร์..เบาใจ ในชีวิต@
        เสาร์..เบากิจ จิตชื่นฉ่ำ
       เสาร์..เบาบาง ล้างบาปกรรม
         เสาร์..เบาคำ จำนรรจา
   @เสาร์..เข้าใจตน และคนอื่น@
      เสาร์..เราหยิบยื่น ชื่นหรรษา
      เสาร์..เรามอบสุข ถูกเวลา
      เสาร์..เราเมตตา เอื้ออาทร
  @คุณไตรรัตน์ขจัดภัยในวันเสาร์@
     ทุกค่ำเช้า แจ่มจรัส ประภัสสร
  จงแข็งแรง รวยเลิศล้ำ เกียรติกำจร
   ส่งเป็นพร สุนทรสุข ทุกท่านเอยฯ
      ************
พระครูนิโครธบุญญากร ดร.
มหาน้อย ณ วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี
     วันเสาร์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #172 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2020, 04:37:10 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=LJ9lx-7e7rI&feature=youtu.be
ใจที่ไม่ได้แบก - ธรรมะสัญจร เมตตาธรรมค้ำจุนโลก - ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมภาณ วัดพระพุทธแสงธรรม

สามารถรับชมคลิ้ปต้นฉบับได้ที่
เฟสบุ๊ควัดพระพุทธแสงธรรม :

https://www.facebook.com/buddhasangdh...
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #173 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2020, 07:52:13 AM »

เล่าสู่กันฟัง...เรื่อง “เหตุใดพระพุทธรูปประจำวันเกิดจึงเป็นปางนั้นๆ

http://www.culture.go.th/culture_th/ewt_news.php?nid=5215&filename=index

  หากเอ่ยถึงพระพุทธรูปประจำวันเกิด เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดี เพราะปัจจุบันเวลาไปวัดเรามักจะเห็นพระพุทธรูปประจำวันเกิดตั้งเรียงรายให้ศาสนิกชนได้ทำบุญตามแต่ศรัทธา โดยมากจะมี ๗ + ๑ ปางตามวันในสัปดาห์คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ โดยมีวันราหูคือพุธกลางคืนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปาง รวมเป็น ๘ วัน ๘ ปาง
 
     ทำไมต้องมีวันพุธกลางคืนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ก็เพราะว่าในวิชาโหราศาสตร์ถือว่าดวงดาวสำคัญมีอยู่ ๘ ดวง โดยราหูเป็นดาวดวงที่ ๘ แต่ในสัปดาห์หนึ่งมีเพียง ๗ วันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เพียงให้มีวันครบตามดวงดาวดังกล่าว เขาจึงได้แบ่งวันกลางสัปดาห์ออกเป็น ๒ ส่วน (คงเพราะง่ายต่อการแบ่งและสะดวกต่อการจดจำ) ซึ่งวันที่ถูกแบ่งก็คือวันพุธนั่นเอง เพราะอยู่กลางสัปดาห์พอดี ทั้งนี้ ตามความเชื่อโบราณ ช่วงเวลากลางวันจะนับตั้งแต่ ๐๖.๐๐-๑๗.๕๙ น. (ก่อน ๖ โมงเย็น) และช่วงกลางคืน ตั้งแต่ ๑๘.๐๐ -๐๕.๕๙ น. (ก่อน ๖ โมงเช้า)
 
     การกำหนดพระพุทธรูปแต่ละปางให้ตรงกับแต่ละวันในสัปดาห์นั้นมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏแน่ชัด เพราะการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆก็มีมาแต่สมัยโบราณแล้ว โดยเชื่อว่าพระพุทธรูปซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธองค์จะเป็นพุทธานุสติน้อมนำใจให้คนปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน อีกทั้งยังเป็นโบราณอุบายของคนสมัยก่อนที่จะหาที่พึ่งทางใจให้แก่ตนเองและลูกหลาน รวมทั้งเชื่อว่าการบูชาพระพุทธรูปประจำวันเกิดจะเป็นมงคล ช่วยปัดเป่าเหตุร้ายต่างๆให้กลายเป็นดี
 
     พระพุทธรูปปางใดประจำวันใดในสัปดาห์ และเหตุใดจึงต้องเป็นปางนั้น จะขอนำแนวคิดและมุมมองบางส่วนของอาจารย์เล็ก พลูโต ที่ได้ศึกษาความหมายของดวงดาวตามหลักโหราศาสตร์ และได้อธิบายไว้ได้อย่างน่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้
 
     ๑.ปางถวายเนตร เป็นพระประจำวันอาทิตย์ มาจากเมื่อครั้งศาสดาได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็ได้ประทับเสวยวิมุตติสุข (ความสุขอันเกิดจากความสงบ) อยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นเวลา ๗ วัน จากนั้นได้เสด็จไปประทับยืน ณ กลางแจ้งทางทิศอีสานของต้นศรีมหาโพธิ์ และทอดพระเนตรต้นศรีมหาโพธิ์ดังกล่าวโดยไม่กระพริบพระเนตรเลยเป็นเวลา ๗ วัน ซึ่งสถานที่ประทับยืนนี้ได้มีชื่อเรียกว่า "อนิมิสเจดีย์”
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้เป็นพระประจำวันอาทิตย์ น่าจะมาจากการน้อมบูชาพระอาทิตย์ด้วยการเพ่ง "อาโลกกสิณ” (เพ่งแสงสว่าง) เพราะการเสด็จยืนและลืมพระเนตรเพ่งต้นศรีมหาโพธิ์ทางทิศอีสานนั้น เป็นทิศเดียวกับดวงอาทิตย์ในภูมิทักษา (การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ที่ใช้ดาวพระเคราะห์ ๙ ดวงเป็นเกณฑ์) และดวงอาทิตย์ยังมีความหมายถึงดวงตาด้วย ทั้งนี้ อ.เล็กได้กล่าวว่าการบูชา "สุริยเทพ”นี้มีมาแต่โบราณ ด้วยเห็นว่าดวงอาทิตย์เป็นบ่อเกิดแห่งพลังงาน และให้แสงสว่างแก่โลก จึงเป็นดังผู้มีคุณ ดังนั้น การบูชาสิ่งที่มีคุณจึงเป็นสิ่งสมควร แม้พระพุทธองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มิได้เย่อหยิ่ง ถือองค์ว่าเหนือกว่า ดังนั้น ปางนี้จึงเป็นเสมือนอุทาหรณ์สอนใจให้ผู้ที่เกิดวันนี้ ซึ่งมักมีอุปนิสัยรักเกียรติ รักศักดิ์ศรี ชอบเป็นผู้นำ และมักหยิ่งทะนงตนว่าให้รู้จักเจริญรอยตามพระพุทธองค์ที่ทรงนอบน้อม ถ่อมตน ไม่ถือดี และว่าการบูชาพระปางนี้ก็เพื่อเสริมบารมีด้านความเจริญรุ่งเรือง ความก้าวหน้าด้วยเกียรติยศ ขจัดความมืดบอด และปัญหาอุปสรรคต่างๆ
 
     ๒.ปางห้ามญาติหรือปางห้ามสมุทร เป็นพระประจำวันจันทร์ จะมีลักษณะต่างกันเล็กน้อย คือ ถ้าเป็นปางห้ามญาติจะยกมือขวาขึ้นเพียงมือเดียว แต่ถ้าเป็นปางห้ามสมุทรจะยกมือขึ้นห้ามทั้งสองข้าง ความเป็นมาของปางห้ามญาติสืบเนื่องมาจากเมื่อครั้งกรุงกบิลพัสดุ์ พระญาติฝ่ายพุทธบิดา กับกรุงเทวทหะ พระญาติฝ่ายพุทธมารดา มีเรื่องทะเลาะแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีเพื่อไปเพาะปลูก แล้วตกลงกันไม่ได้ ถึงกับเตรียมยกทัพเปิดศึกกันขึ้น พระพุทธองค์จึงต้องเสด็จไปเจรจาห้ามทัพมิให้พระญาติฆ่าฟันกันเอง ส่วนปางห้ามสมุทร เป็นช่วงที่เสด็จไปโปรดพวกชฎิล ๓ พี่น้องอันได้แก่ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราพร้อมบริวาร ๑,๐๐๐ คน ครานั้นได้ทรงแสดงพุทธปาฏิหารย์เพื่อทำลายทิฐิมานะของเหล่าชฎิลทั้งหลาย ด้วยการห้ามฝน ห้ามลม ห้ามพายุ และห้ามน้ำมิให้ท่วมบริเวณที่ประทับ ทำให้พวกชฎิลเห็นเป็นที่อัศจรรย์และยอมบวชเป็นพุทธสาวก
 
     เหตุที่กำหนดทั้งสองปางนี้ประจำวันจันทร์ ก็เพราะทางโหราศาสตร์ ดาวจันทร์จะมีความหมายถึงรูปร่างหน้าตา ความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการ ผู้ที่เกิดวันนี้จึงมักมีอารมณ์อ่อนไหว ปรับตัวง่าย นอกจากนี้ดาวจันทร์ยังหมายถึงญาติพี่น้อง และจัดเป็นธาตุน้ำ ซึ่งทั้งสองปางนี้ตามพุทธประวัติล้วนเกี่ยวข้องกับน้ำและญาติ ซึ่งนัยก็คือการเตือนให้ระลึกถึงความสามัคคีในหมู่พี่น้อง และยังได้พูดถึงอานิสงส์แห่งการบูชาพระปางนี้ว่าจะช่วยห้ามทุกข์ ห้ามโศก ห้ามโรคห้ามภัย ฯลฯ ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงห้ามน้ำ ห้ามฝนพายุ ครั้งทรมานให้พวกชฎิลยอมละทิฐิ
 
     ๓.ปางไสยาสน์ เป็นพระประจำวันอังคาร บางแห่งก็เรียก ปางปรินิพพาน ความเป็นมาของปางดังกล่าวมี ๒ นัย นัยแรกคือเมื่อครั้งพระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระจุนทะเถระปูอาสนะระหว่างต้นรังคู่หนึ่ง แล้วทรงประทับ บรรมแบบสีหไสยาสน์ ตั้งพระทัยว่าจะไม่ลุกอีก แต่ก็ยังได้โปรดสุภัททะปริพาชกจนได้เป็นอรหันต์องค์สุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน อีกนัยหนึ่งเล่าถึง "อสุรินทราหู” หรือพระราหู ผู้ครองอสูรพิภพ ได้ยินคำสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระพุทธเจ้าจากเทพยดาทั้งหลาย ก็อยากไปเฝ้าบ้าง แต่ก็คิดเองว่าพระองค์เป็นมนุษย์ คงจะมีพระวรกายเล็ก ถ้าต้องไปเฝ้าก็ต้องก้มเศียรลง ก็รู้สึกถือตน ไม่อยากไป จนได้ยินคำสรรเสริญอีกก็ทนไม่ได้ จึงไปเข้าเฝ้าในที่สุด ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงทราบความในใจนี้ จึงทรงเนรมิตพระวรกายให้ใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูหลายเท่า และเสด็จบรรทมรอรับ เมื่ออสุรินทราหูเข้าเฝ้าก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ ที่ต้องแหงนหน้ามองดูพระพุทธเจ้าแทนที่จะต้องก้มมอง พระองค์จึงได้ตรัสสอนและพาไปเที่ยวพรหมโลกเพื่อให้เห็นว่ามีผู้ที่มีร่างกายใหญ่กว่าอสุรินทราหูมากมาย จนอสุรินทราหูลดทิฐิลงได้และหันมาเลื่อมใสศาสดา
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันอังคาร ก็เพราะดาวอังคารจัดเป็นดาวพิฆาตหรือดาวมรณะ และยังเป็นดาวเกี่ยวกับสงคราม และอุบัติเหตุ ดังนั้น ปางนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจให้คนวันนี้ดำรงชีวิตด้วยความมีสติ ระมัดระวังไม่ไปก่อเหตุกับใคร อีกทั้งวันที่พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานก็ตรงกับวันองคาร ส่วนที่กล่าวถึงการโปรดอสุรินทราหู นั้นน่าจะหมายถึงการขจัดความมัวเมาลุ่มหลง เห็นผิดเป็นชอบ อันเป็นลักษณะของพระราหูด้วย
 
     ๔.ปางอุ้มบาตร เป็นพระประจำวันพุธกลางวัน มาจากเมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้สำแดงอิทธิปาฏิหารย์เหาะขึ้นไปในอากาศต่อหน้าพระประยูรญาติทั้งหลายเพื่อให้คลายทิฐิ พร้อมทั้งได้เทศนาสั่งสอนว่าด้วยเรื่องพระเวสสันดรชาดก ครั้นเสร็จสิ้นต่างพากันแยกย้ายกลับโดยไม่มีผู้ใดทูลอาราธนาให้ฉันพระกระยาหารเช้าในวันรุ่งขึ้น ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์และพระสาวกจะต้องฉันภัตตาหารที่มีเตรียมไว้ในพระราชนิเวศน์เอง แต่พระองค์กลับพาพระภิกษุสาวกเสด็จจาริกไปตามถนนหลวงเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ อันเป็นกิจของสงฆ์ และเป็นครั้งแรกที่ประชาชนได้เห็นพระจริยาวัตรขณะอุ้มบาตรโปรดสัตว์ จึงต่างกันแซ่ซ้องอภิวาท พระเจ้าสุทโธทนะ พุทธบิดาทรงทราบเข้า ก็โกรธและเข้าใจผิดหาว่าพระองค์ออกไปขอทานชาวบ้าน ไม่ฉันภัตตาหารที่เตรียมให้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงอธิบายถึงการออกบิณฑบาตว่าเป็นการออกไปเพื่อโปรดสัตว์ มิใช่การขอทาน จึงเข้าใจกันได้ในที่สุด
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันพุธกลางวัน ด้วยดาวพุธเป็นตัวแทนของการติดต่อสื่อสาร การเดินทาง พาหนะ พืชพันธุ์ธัญญาหารและเรื่องที่เกี่ยวกับปากท้อง ซึ่งตรงกับลักษณะการออกไปบิณฑบาตที่ต้องออกไปหาอาหารเพื่อปากท้อง ขณะเดียวกันก็ถือเป็นการไปโปรดสัตว์ คอยสังเกตุทุกข์สุขของชาวบ้านเพื่อสอนธรรมะในการดับทุกข์ ปางนี้ถือกันว่าเมื่อบูชาแล้วจะประสบแต่ความอุดมสมบูรณ์ ไม่อดอยาก และมีเสน่ห์เมตตามหานิยม
 
     ปางป่าเลไลยก์ เป็นพระประจำวันพุธกลางคืน (ราว ๑๘.๐๐ น.วันพุธ -๐๖.๐๐ น.เช้าพฤหัสบดี) มาจากเมื่อครั้งพระพุทธองค์ประทับอยู่เมืองโกสัมพี แล้วพระภิกษุซึ่งมีอยู่มากรูปด้วยกันชอบทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่เชื่อฟัง และยังประพฤติตนตามใจชอบ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในป่าที่ชื่อว่าปาลิไลยกะตามลำพังพระองค์เดียว เวลานั้นได้มีพญาช้างชื่อเดียวกับป่ามาคอยปรนนิบัติและพิทักษ์มิให้สัตว์ร้ายมากล้ำกรายพระองค์ ต่อมาพญาลิงเห็นเช่นนั้น ก็เกิดกุศลจิตทำตามอย่างบ้าง ส่วนชาวบ้านเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้า และทราบเหตุก็พากันติเตียนและไม่ทำบุญกับพระเหล่านั้น จนพระเหล่านี้ได้สำนึก จึงได้ขอให้พระอานนท์ทูลเชิญเสด็จกลับมา พญาช้างได้ตามมาส่งเสด็จ และเกิดความเศร้าโศกเสียใจจนหัวใจวายตาย ด้วยผลบุญที่ทำจึงได้ไปเกิดเป็น "ปาลิไลยกะเทพบุตร”
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันพุธกลางคืน หรือวันราหู ก็ด้วยพระราหูมีความหมายถึงอบายมุข สิ่งเสพติด นักเลงอันธพาล อันส่งผลให้เกิดความมัวเมา ลุ่มหลง เชื่อคนง่าย เอาแต่ใจตนเอง ไม่มีเหตุผล ดังนั้น ปางป่าเลไลย์ฯอันเป็นเวลาที่พระพุทธองค์ทรงปลีกวิเวก หนีไปจากพระสงฆ์ที่ชอบทะเลาะวิวาท ไม่ฟังโอวาท ถือทิฐิ จนเป็นเหตุให้ต่างต้องได้รับความลำบากกันเองนั้น จึงเสมือนการเตือนสติให้เราอย่าหลงผิด อย่าดื้อดึงจนเป็นเหตุให้ตัวเองต้องเดือดร้อน
 
     ๕.ปางสมาธิ เป็นพระประจำวันพฤหัสบดี บางทีก็เรียกว่า "ปางตรัสรู้” มาจากเมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้าคาใต้ต้นมหาโพธิ์ ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา และได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ หรือที่เรียกว่า "วันวิสาขบูชา” นั่นเอง
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันพฤหัสบดี ก็เพราะดาวพฤหัสบดีมีความหมายถึง ความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง ศาสนาศีลธรรม และสติปัญญา ฯลฯ อีกทั้งยังถือเป็นวันครู ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นครูที่ทรงสั่งสอนพุทธบริษัทและเหล่าเวไนยสัตว์ ซึ่งปางตรัสรู้นี้จึงสอดคล้องกับลักษณะดาวพฤหัสบดีพอดี
 
     ๖.ปางรำพึง เป็นพระประจำวันศุกร์ โดยคำว่า "รำพึง" ตรงกับความหมายว่า ครุ่นคิด ตรึกตรอง ใคร่ครวญถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งในครั้งนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงคิดพิจารณาว่าธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งยากที่มนุษย์ปุถุชนจะรู้ตามได้ จึงเกิดความท้อพระทัยคิดจะไม่สั่งสอนชาวโลก ร้อนถึงท้าวสหัมบดีพรหมได้มากราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม โดยทูลว่าในโลกนี้ยังมีบุคคลที่มีกิเลสเบาบางสามารถฟังธรรมของพระองค์เข้าใจได้อยู่ พระองค์จึงทรงรำพึงถึงธรรมเนียมพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน ว่าตรัสรู้แล้วย่อมแสดงธรรมโปรดสัตว์เพื่อประโยชน์สุขแก่โลก จึงทรงเปลี่ยนพระทัยและเห็นชอบที่จะเสด็จออกไปแสดงธรรมแก่คนทั้งปวงตามคำอาราธนานั้น
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันศุกร์ ก็เพราะดาวศุกร์เป็นตัวแทนเกี่ยวกับโลกีย์ ที่ต้องใช้อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงจินตนาการเข้าช่วย แล้วยังพ้องเสียงกับคำว่า "สุข” ที่มักไปในทางโลก รวมถึงการเกี่ยวข้องกับเรื่องศิลปะ บันเทิงด้วย ดังนั้น การที่กำหนดปางรำพึงอันเป็นปางที่พระพุทธเจ้าทรงครุ่นคิดถึงธรรมะที่ทรงตรัสรู้อันเป็นเรื่องทวนกระแสใจของมนุษย์ จึงคล้ายๆกับการคิดในทางตรงกันข้าม เป็นการเตือนให้เราอย่าหลงระเริงไปในทางโลกให้มาก และให้ระลึกถึงหลักธรรมคำสั่งสอนไว้อยู่เสมอ ชีวิตจึงจะมีความสุข
 
     ๗.ปางนาคปรก เป็นพระประจำวันเสาร์ มาจากเมื่อครั้งพระพุทธองค์เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ในสัปดาห์ที่ ๓ ได้ไปประทับอยู่ใต้ต้นมุจลินทร์ (ต้นจิก) ขณะนั้นฝนได้ตกลงมาไม่หยุดเป็นเวลา ๗ วัน พญานาคตนหนึ่งชื่อว่า "มุจลินท์นาคราช” ก็ได้ขึ้นมาแสดงอิทธิฤทธิ์เข้าไปวงขนด ๗ รอบและแผ่พังพานปกพระพุทธเจ้าไว้ จนฝนหาย จึงได้แปลงร่างเป็นมานพเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
 
     เหตุที่กำหนดปางนี้ประจำวันเสาร์ ก็เพราะวันเสาร์เป็นวันแข็งและดาวเสาร์ก็เป็นดาวบาปเคราะห์ใหญ่ ผู้ที่เกิดวันนี้จึงมักอาภัพ มักมีเรื่องทุกข์ใจ ผิดหวัง และพบเจออุปสรรคอยู่เสมอ ดังนั้น โบราณจึงให้พระนาคปรก ประจำวันนี้ เปรียบเสมือนให้พญานาคราชได้แผ่พังพานปกป้องคุ้มครองให้เจ้าชะตาพ้นทุกข์และภัยพิบัติต่างๆ อีกทั้งดาวเสาร์ยังใช้เลข ๗ เป็นสัญลักษณ์ซึ่งตรงกับเศียรพญานาคและการวงขนดเป็น ๗ รอบ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าพระปางนี้ศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตา ซึ่งสอนทางอ้อมให้ระลึกถึงอานิสงส์ของความเมตตาที่จะเกิดผลดีต่อ ผู้ปฏิบัติ ดังที่พญานาคยังขึ้นจากน้ำมาถวายอารักขาพระพุทธเจ้าก็ด้วยพลานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่สัมผัสได้ ดังนั้น คนวันเสาร์ที่มักเป็นคนเจ้าทุกข์ เขาจึงให้ฝึกมีเมตตาอยู่เสมอ เพื่อให้ทุกข์คลายลง
 
     ทั้งหมดข้างต้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นอุบายธรรมของคนโบราณ ที่จะทำให้ผู้สักการะได้ทราบพุทธประวัติที่เกี่ยวข้องกับปางนั้นๆ ส่วนเหตุผลที่ว่าปางใดตรงกับวันไหนนั้นเป็นการกำหนดจากลักษณะนิสัยความเชื่อทางโหราศาสตร์ ซึ่งบางท่านอาจจะเห็นต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นความคิดแบบใด การบูชาพระพุทธรูปอันเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ก็ล้วนให้ผลดีต่อเราทั้งสิ้น
 
.................................................
 
น.ส.ทัศชล เทพกำปนาท ที่ปรึกษากรมส่งเสริมวัฒนธรรม
ที่มา : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #174 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2020, 12:28:00 PM »

#วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่
ณ เชตวัน ของอนาถบิณฑกะ

เทวดาได้มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแปลงกายเป็นพราหมณ์ที่มีใบหน้าสว่างสไว สวมชุดสีขาวราวหิมะ
เทวดาทูลถามปัญหาต่อพระพุทธเจ้าว่า
“อะไรคือดาบที่คมที่สุด
อะไรคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด
อะไรคือไฟที่ร้ายที่สุด
อะไรคือคืนที่มืดที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า :
“วาจาที่กล่าวด้วยความโกรธคือดาบที่คมที่สุด
ความโลภคือยาพิษที่ร้ายแรงที่สุด
ความปรารถนาคือไฟที่ร้ายที่สุด
ความหลงผิดคือคืนที่มืดที่สุด”

เทวดาทูลถามว่า
“ใครคือผู้ที่ได้มากที่สุด
ใครคือผู้ที่เสียมากที่สุด
อะไรเป็นเกราะที่แข็งกร่งที่สุด 
อะไรคืออาวุธที่ดีที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“คนที่ให้คือคนที่ได้มากที่สุด
คนที่เอาแต่ได้โดยไม่ตอบแทน
คือคนที่เสียมากที่สุด
ความอดทนคือเกราะที่แข็งแกร่งที่สุด
ปัญญาคืออาวุธที่ดีที่สุด

เทวดาทูลถามว่า
“ใครคือโจรที่อันตรายที่สุด
อะไรคือทรัพย์ที่มีค่าที่สุด
ใครที่สามารถที่สุดในการยึดครอง
ไม่ว่าบนโลกหรือสวรรค์
อะไรคือขุมทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“ความคิดร้ายคือโจรที่อันตรายที่สุด
คุณธรรมคือทรัพย์อันมีค่าที่สุด
ใจคือผู้ยึดครองทุกสิ่งไม่ว่าบนโลกนี้หรือสวรรค์
อมตะนิพพานคือขุมทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด

เทวดาทูลถามว่า
“อะไรคือสิ่งที่น่ารัก
อะไรคือสิ่งที่น่ารังเกียจ
อะไรคือความทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุด
อะไรคือความสุขที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“ความดีคือสิ่งที่น่ารัก
ความชั่วคือสิ่งที่น่ารังเกียจ
มิจฉาสติคือความทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุด
ความหลุดพ้นคือความสุขที่สุด”
เทวดาทูลถามว่า
“อะไรทำให้โลกพินาศ
อะไรที่ทำลายมิตรภาพ
อะไรคือไข้ที่ร้ายแรงที่สุด
ใครคือแพทย์ที่ดีที่สุด”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“อวิชชา (ความไม่รู้แจ้ง) ทำให้โลกพินาศ
ความริษยาและความเห็นแก่ตัวทำลายมิตรภาพ
ความเกลียดชังคือไข้ที่ร้ายแรงที่สุด และ
พระพุทธเจ้าคือแพทย์ที่ดีที่สุด”

เทวดาจึงทูลว่า
“บัดนี้ข้าพเจ้ายังมีข้อสงสัยอีกข้อหนึ่ง ที่ต้องการคำตอบให้แจ่มแจ้ง อะไรที่ไม่ไหม้ด้วยไฟ ไม่สลายด้วยน้ำ ไม่แตกกระจายด้วยลม แต่สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผลแห่งกรรมดี ไม่ว่า ไฟ น้ำ หรือ ลม ก็ทำลายผลแห่งกรรมดีไม่ได้ และผลแห่งกรรมดีสามารถเปลี่ยนโลกได้”

เทวดาเมื่อได้สดับดังนี้ ก็เกิดปิติเป็นล้นพ้น ประณมหัตถ์น้อมลงถวายอภิวาทต่อศาสดา และร่างเทวดาก็หายไปจากตรงนั้น

Cr : ตามรอยพระอรหันต์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #175 เมื่อ: ธันวาคม 09, 2020, 08:02:35 PM »

คนโดยมากมักเข้าใจผิดในผลของความดี คือมักไปเข้าใจ "ผลพลอยได้" ว่าเป็นผลโดยตรง และมักมุ่งผลพลอยได้เป็นสำคัญ
เมื่อไม่ได้ผลเป็นวัตถุจากการทำความดี ก็จะบ่นว่าทำดีไม่เห็นได้อะไร รักษาศีลไม่เห็นร่ำรวยอะไร เป็นเพราะไม่เข้าใจว่า ผลของความดีคืออะไร
ผลของความดี คือความหลุดพ้น

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #176 เมื่อ: ธันวาคม 28, 2020, 10:46:24 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=A_VrJxKKlJs
เจริญสติอยู่กับปัจจุบันคือความสุข "พศิน อินทรวงศ์" (2 ม.ค. 63)

https://www.youtube.com/watch?v=pa2ZY6JuLzA
บรรยายหัวข้อศิลปะแห่งความสุข โดย อ พศิน อินทรวงค์ ณ เฮือนตะวา วันที่ 7 มีนาคม 2563

https://www.youtube.com/watch?v=wwXr7goLrbQ
ปาฏิหาริย์แห่งการมีชีวิตอยู่(ตอนที่ 1)

https://www.youtube.com/watch?v=MRsJANZdhNk
ปาฏิหาริย์แห่งการมีชีวิตอยู่(ตอนที่ 2)

https://www.youtube.com/watch?v=SbGcjVr_Yno
ศิลปะแห่งความสุข โดย คุณ พศิน อินทรวงค์

https://www.youtube.com/watch?v=iuvcwlCCbog
อาจารย์พศิน อินทรวงค์ • บ้านจิตสบาย • ศิลปะแห่งการใช้ชีวิต • 630809

https://www.youtube.com/watch?v=JlIClybxWAQ
เรื่อง กระแสวัตถุ วิปัสสนาและการไล่ล่าของโลกอนาคต โดย คุณพศิน อินทรวงค์ (๐๒/๐๘/๖๓)

https://www.youtube.com/watch?v=OINqC8jydy4
เจาะใจ LIFE HACKS : EP.5 "คำถามสำคัญในชีวิต...ตัวเราคืออะไร" กับ พศิน อินทรวงศ์ [ 3 ธ.ค.63 ]
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #177 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 05:48:13 PM »

“เพื่อรอยยิ้ม เมื่อสิ้นลม”

หลายคนอาจสงสัยว่า
ทำไมต้องบริหารจิต

คำตอบก็คือ
จะได้เอาใช้ ในเวลาที่สำคัญ ที่สุดของชีวิต คือ
ตอนสภาวะจิต ณ ขณะใกล้ตาย ซึ่งจิตก็จะไปตามสภาวะนั้นๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่ในวัยชราภาพด้วยแล้ว ย่อมมีโรคภัย ที่จะมาสร้างความเจ็บปวด ตอนจิตจะดับ

ดังนั้น ถ้าจิตไม่ได้รับการฝึกหัดมา บ่มบุญ บ่มสติมา ก็เป็นการยากที่จะตั้งจิตไว้ ในทางที่ดีได้

โดยปกติแล้วห้องไอซียู มักมีแต่ความตึงเครียด หดหู่ น่ากลัว จึงเป็นธรรมดาที่ห้องไอซียู จะเป็นความทรงจำ ที่ผู้ผ่านประสบการณ์ มักต้องการลบและลืม


แต่สำหรับคุณยายพิสมัย และลูกหลานอีกสองคน กลับเป็นความประทับใจ ที่ต้องจดจำไปอีกยาวนาน คงเป็นเพราะในชีวิต คุณยายคงจะทำบุญมาดี เลยมีพระดีๆมาโปรด ทำให้คุณยายพิสมัยมาป่วยพร้อมๆ กับพระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ ผู้เป็นเสาหลัก ของการเผยแผ่ธรรมจากภูโค้ง จ.ชัยภูมิ

ซึ่งท่านมีลูกศิษย์มาก ด้วยเหตุนี้ภายในห้องไอซียู จึงมีพระสงฆ์อยู่เฝ้าไข้เป็นประจำ

ในค่ำคืนนี้ เป็นเวรของพระอธิการครรชิต อกิญฺจโน เจ้าอาวาสวัดป่าสันติธรรม ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

แต่ด้วยเหตุห้องไอซียู
ไม่เอื้อต่อบรรยากาศ ในการสนทนาความ และสนทนาธรรม
อาการชักของคุณยายพิสมัย จึงอยู่เพียงในสายตา การเฝ้ามองของพระอธิการครรชิต เท่านั้น
ท่านได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ คอยแผ่เมตตา ส่งแรงใจช่วยเท่านั้น

ตลอดคืนนั้นอาการของคุณยายพิสมัยไม่ดีขึ้น อาการชักกระตุกยังมีต่อเนื่องไม่ผ่อนคลาย มาตรวัดที่จอมอนิเตอร์ข้างเตียง บ่งบอกถึงอาการ ไม่น่าไว้วางใจ จนแพทย์เวร ต้องมาเปรยๆกับลูกหลาน ว่า คุณยายควรทำสังฆทานได้แล้วนะ

เช้าวันรุ่งขึ้น ลูกหลานของคุณยายพิสมัย ได้เข้ามาอาราธนาท่าน ให้ไปรับสังฆทานจากคุณยาย แม้ว่าจะเห็นหน้ากันคุ้นเคย แต่การสนทนาที่แท้จริง เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
พระอธิการได้สอบถามถึง เหตุอาการป่วยไข้ จึงรู้ว่า เป็นด้วยอาการชราภาพ แขนขาอ่อนกำลัง มิใช่ความผิดปกติจากโรคภัยไข้เจ็บใดๆ
อาการชักนั้นไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แพทย์บอกได้เพียงว่า มาจากสภาพเสียสมดุลของปฏิกิริยาเคมีภายในร่างกาย

ลูกหลานจึงนิมนต์ขอให้พระอธิการครรชิต โปรดรับสังฆทาน แล้วช่วยสวดมนต์ให้คุณยายด้วย

พระอธิการตอบรับ แต่ในใจนั้นท่านมีวิธีการอื่น ที่คิดว่าน่าลองทำมากกว่า

พระอธิการได้ถามถึงกิจวัตรของคุณยาย จึงรู้ว่า คุณยายชอบใส่บาตร ในตอนเช้าไม่เคยขาด
คุณยายเคยผ่านการอบรมกรรมฐานมาบ้าง และชอบไปไหว้หลวงพ่อทองคำ ที่วัดไตรมิตรฯ เป็นประจำ

ณ ข้างเตียงของคุณยายพิสมัย ในห้องไอซียู
คุณยายยังคงอยู่ในสภาพที่ร่างกายกระตุกตลอดเวลา

พระอธิการครรชิตได้พิจารณาอาการ และคิดหาหนทางแก้ไข และเห็นว่า การน้อมนำจิตของคุณยาย ออกจากทุกข์เวทนาทางกาย ไปสู่ที่หมายใหม่ ให้จิตได้ตั้งมั่น และที่ง่ายที่สุดน่าจะพึ่งอานิสงส์ จากการใส่บาตรเป็นประจำทุกๆเช้านี่แหละ

ท่านนั่งลงที่ข้างเตียงแล้วเริ่มบทสนทนา แน่นอนว่า เป็นการพูดข้างเดียว เพราะคุณยายมีสายยางสอดผ่านลำคอ แต่ยังดีที่คุณยายมีสติพยักหน้ารับรู้

“คุณโยม อาตมาเป็นพระนะ วันนี้ มาเยี่ยมไข้คุณโยม คุณโยมรับรู้หรือไม่ ถ้ารับรู้ช่วยพยักหน้ารับทีได้ไหม”
พระอธิการเริ่มการสนทนา

คุณยายผงกศีรษะรับรู้
พระอธิการจึงเข้าเรื่องทันที
“คุณโยม วันนี้ วันพระนะ เช้าแล้วไปใส่บาตรกันดีไหม”

คุณยายผงกศีรษะรับอีก

“เข้าครัวกันดีกว่า หาขันข้าวเจอหรือยัง กับข้าวอยู่ไหน เรียงใส่ถาดให้ครบนะ ค่อยๆ ใจเย็นๆ ”

พระอธิการเริ่มนำจินตนาการ เป็นจังหวะช้าๆ หน่วงเวลาให้คุณยายได้สร้างมโนภาพตาม ด้วยความคุ้นเคยในกิจวัตรที่กระทำในทุกๆเช้า จึงไม่ยากเลยที่คุณยายจะคล้อยตาม

“ไปหน้าบ้านกันดีกว่าโยม ใกล้เวลาพระมาแล้ว เอาเก้าอี้ไปด้วยนะ จะได้นั่งให้สบาย”

คุณยายผงกศีรษะรับ

“ไหนคุณโยมพระมาหรือยัง หันไปทางซ้ายดูซิ มีพระมาไหม”

คุณยายสั่นศีรษะ พระอธิการรู้ทันทีว่า ที่บ้านของคุณยายทุกเช้าพระบิณฑบาต จะเดินมาจากทางขวามือ

“ทางขวาล่ะ พระมาหรือยัง”

คราวนี้คุณยายผงกศีรษะรับ

“คุณโยมพระมาแล้ว ท่านมายืนข้างหน้าเปิดฝาบาตรรอแล้ว คุณโยม.. ยกขันข้าวขึ้นอธิษฐานก่อน”

คราวนี้คุณยายเลื่อนมือที่เคยวางทอดอยู่ข้างเตียง ขึ้นมาประสานกันที่บริเวณหน้าท้อง ในลักษณะประคองขันข้าว

พระอธิการได้กล่าวคำอธิษฐานนำ ซึ่งมีแต่สิ่งดีงามเพื่อน้อมนำจิตใจ

“อ้าวคุณโยมตักข้าวใส่บาตรนะ ใส่กับข้าวด้วย เอาดอกไม้ธูปเทียนวางบนฝาบาตรเสร็จแล้วองค์ที่หนึ่ง พระไปยืนรอทางซ้ายแล้ว”

“องค์ที่สอง ตักข้าวใส่บาตรนะใส่กับข้าวด้วย  อย่าลืมดอกไม้ธูปเทียนวางบนฝาบาตร เสร็จแล้วองค์ที่สอง พระไปยืนรอทางซ้าย”

พระอธิการนำจินตนาการใส่บาตรทีละองค์ ทีละองค์ จนครบหกองค์ เป็นการพูดนำทีละขั้นตอน เป็นจังหวะที่เนิบช้าอยู่หกรอบ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการย้ำภาพเดิมๆ ที่คุณยายคุ้นเคย เพื่อปลุกเร้าจินตนาการ ให้เกิดนิมิตอันแรงกล้าขึ้น

เพียงการนำจินตนาการ ใส่บาตรพระผ่านไปยังไม่ทันครบ ผลที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดก็คือ อาการกระตุกของร่างกายคุณยาย เริ่มลดลง คุณยายเริ่มมีความผ่อนคลายมากขึ้น แล้วเมื่อการนำจินตนาการใส่บาตรครบสมบูรณ์ทั้งหกองค์

“คราวนี้กรวดน้ำรับพรนะ เตรียมตัวพระจะสวดแล้ว  ยะถา วาริวะหา ปูรา ปาริปูเรนติ”

พระอธิการสวดอนุโมทนา ยะถาสัพพีทั้งบท อย่างสมจริง เพื่อให้คุณยายได้ตั้งจิตรับพร

ไม่น่าเชื่อว่า ความปกติได้หวนคืนกลับมา คุณยายพิสมัยไม่มีอาการกระตุก หลงเหลืออีกแล้ว

“คุณโยม ใส่บาตรรับพรจากพระเรียบร้อยแล้ว อิ่มอกอิ่มใจกันแล้ว วันนี้เราไปไหว้พระ ที่วัดไตรมิตรฯ กันต่อดีไหม”

คุณยายผงกศีรษะรับ พระอธิการจึงพาไปเที่ยวไหว้พระต่อ ที่วัดไตรมิตรฯ ทันที

ที่วัดไตรมิตรฯ ตามจินตนาการ พระอธิการครรชิต ได้พาคุณยายพิสมัย กราบหลวงพ่อทองคำ

ท่านถามคุณยายว่า พระพุทธรูปงามไหม คุณยาย ผงกศีรษะรับว่างดงาม พระอธิการยังได้ชวนคุณยาย นั่งลงภาวนาพุทโธ ที่หน้าองค์พระทองคำ โดยที่ท่านนำการภาวนาด้วยตัวเอง โดยออกเสียง พุท – โธ
พุท – โธ เป็นจังหวะช้าๆ

เมื่อการภาวนาผ่านไปไม่นานนัก สิ่งที่พระอธิการสังเกตเห็นก็คือ เส้นกราฟแสดงผลการเต้นของหัวใจที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ข้างเตียงนั้น จากที่เคยยุ่งเหยิงสับสน ก็เริ่มจัดระเบียบตัวเอง และเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เส้นกราฟก็เริ่มขยับเป็นจังหวะ สอดคล้องตรงกับจังหวะเสียง พุท – โธ ที่ท่านพูดนำ

ท่านรู้ทันทีว่าจิตของคุณยาย ได้ดิ่งลงสู่สมาธิภาวนาที่สมบูรณ์แบบแล้ว ในขณะนั้น ท่ามกลางความเป็นไปในห้องไอซียู ความเคลื่อนไหวรอบกายยังคงยุ่งเหยิง ไปตามปกติ ของภารกิจในหมู่พยาบาลและแพทย์

แต่ที่เตียงของคุณยายพิสมัยนั้น เป็นข้อยกเว้น ทุกอย่างสงบและควบคุมอยู่ในอาการภาวนา พุท – โธ ที่ราบเรียบ
โชคดีที่ไม่มีใครในห้องหันมาให้ความสนใจ หรือเข้ามารบกวน ขัดจังหวะ มีแต่ลูกหลานทั้งสองที่สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด เกิดปีติจนน้ำตาพรั่งพรู เพราะนี่คือความสงบระงับของคุณยาย อันน่าอัศจรรย์ เนื่องด้วยร่างกายของคุณยาย ได้กระตุกต่อเนื่องมานานหลายเวลาแล้ว

เวลาล่วงเลยไปนานหลายนาน การภาวนา พุท – โธ ยังคงดำเนินต่อเนื่อง มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่จอมอนิเตอร์ ระดับชีพจรของคุณยายเริ่มช้าลง แรงดันโลหิตลดระดับลง และลดลงอย่างต่อเนื่อง

จนในที่สุด ความเคลื่อนไหวทั้งหมด ได้หยุดนิ่งลง
เส้นกราฟราบเรียบเป็นเส้นตรง ตัวเลขทุกตัวแสดงค่าเป็นศูนย์ บ่งชี้ว่า คุณยายพิสมัยได้สิ้นลมแล้วอย่างสงบ

เป็นการละสังขาร ในขณะที่ยังตั้งมั่นอยู่ในจิตภาวนาที่สมบูรณ์แบบ อันเป็นสภาวะที่หาได้ยากยิ่งโดยเฉพาะสำหรับปุถุชน ที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนจิตอย่างช่ำชอง
ความเป็นไปทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในห้องไอซียู ห้องที่มักพบแต่ความอาภัพอับเฉาของชีวิตผู้คน

แต่สำหรับวันนี้ของคุณยายพิสมัย ด้วยการนำจินตนาการของพระอธิการครรชิต ที่ไม่เคยเสวนาธรรมกันมาก่อนเลยในชีวิต

วันนี้พระอธิการได้พาคุณยายก้าวเดินสู่การละวางสังขาร ที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้อารมณ์ของการภาวนาอย่างแท้จริง

พระอธิการครรชิต ได้อรรถาธิบายว่า อาการกระตุกของคุณยายเกิดจากเวทนา ด้วยความเสื่อมไปของสังขารร่างกาย เมื่อเวทนาแรงกล้า จิตย่อมขาดที่พึ่งพิง การน้อมนำสู่จินตนาการใส่บาตรที่คุ้นเคย เป็นการสร้างปุญฺญานุสสติ ใช้ความดี ใช้บุญกุศลเป็นที่ตั้ง เมื่อจิตมีที่หมายที่แรงกล้าได้พักพิง จิตย่อมสงบ เมื่อจิตสงบ กายย่อมระงับเป็นธรรมดา เมื่อกายระงับและจิตสงบ ย่อมง่ายที่จะน้อมนำไปสู่สมาธิภาวนาได้ในท้ายที่สุด

 คุณยายทำบุญมาดี เลยมีพระดีมาโปรด

แล้วเราจะโชคดีแบบคุณยายกันไหม


ท่านพระอธิการครรชิต อกิญฺจโน ท่านเป็น
เจ้าอาวาสวัดป่าสันติธรรม ต.ท่าหินโงม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

จากหนังสือ
“เพื่อรอยยิ้ม เมื่อสิ้นลม”
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #178 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2021, 02:48:56 PM »

ღ อิ่มเดียว หลับเดียว : ในหลวงทรงสอน ღ

เรื่อง "อิ่มเดียว หลับเดียว"

ข้าพเจ้าจะนำท่านย้อนหลังกลับไปเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ใหม่ๆ ทรงโปรดการทรงภูษาเป็นสนับเพลาสั้น ( กางเกงขาสั้น ) ในยามดึกเวรยามรอบพระราชฐานที่ประทับต่างทำหน้าที่กันตามจุดต่างๆไม่มีบกพร่อง ไม่มีการละทิ้งหน้าที่ ไม่มีการหยอกล้อเฮฮา ส่งเสียงอึกทึกหรือเล่นหัวกัน เพราะต่างรู้หน้าที่ของตนว่ากำลังถวายอารักขาและถวายความปลอดภัย แด่องค์พระประมุขของชาติ จอมคนของปวงชนชาวไทย แม้จะมิได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตร แต่ทุกคนก็รู้หน้าที่กันเป็นอย่างดี

ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว ลมพัดกรูเกรียวเสียงน้ำค้างตก ใครจะนึกบ้างเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเสด็จลงมา ทรงพระราชดำเนินไปรเวท ( เดินเล่น ) บางครั้งทรงเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆ

แล้วก็มีพระราชดำรัสทักทายแก่ทหารมหาดเล็กที่ถวายเวรยาม และนายทหารราชองครักษ์เวร ประดุจน้ำทิพย์หยาดลงชโลมดวงใจของผู้ที่ทำการอยู่เวรยามให้ได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณว่า ทรงเป็นห่วงผู้ที่มาอยู่เวรยามด้วยความจงรักภักดี แม้เวลาจะดึกดื่นแล้วก็ยังคงอยู่ในหน้าที่ด้วยอาการสงบ ที่เป็นการถวายชีวิตเป็นราชพลี

ตอนนั้นทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านหน้าข้าพเจ้า ซึ่งกำลังหมอบกราบด้วยความเคารพอย่างสุดชีวิต ทรงหยุดพระราชดำเนินแล้วมีพระราชดำรัสเรียกชื่อของข้าพเจ้า จากนั้นทรงพระราชดำรัสต่อไปว่า....

"ชีวิตมนุษย์เรานี่ อิ่มเดียว หลับเดียวเท่านั้น"

ทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป จนลับพระองค์ ข้าพเจ้าทบทวนพระราชดำรัสจนขึ้นใจ นึกไม่ออกว่าทรงหมายความว่าอย่างไร จนรุ่งเช้าออกเวรแล้วจึงได้กลับบ้าน อีกสองสามวันต่อมาได้มีโอกาสเข้าไปคุยธรรมะกับพระที่วัดเทพธิดา จึงได้เอ่ยถามท่านมหาผู้มีเปรียญเป็นดีกรีว่า...

"...ท่านมหาขอรับ คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนี่ หมายความว่าอย่างไรขอรับ..."

ท่านมหาขมวดคิ้วแล้วย้อนถามผมด้วยความฉงนฉงาย ทำให้ผมยิ่งงงเข้าไปอีกว่า...

"...โยมเฉลิมศักดิ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนกันล่ะ..."

ข้าพเจ้ามิได้บอกท่านตรงๆ ในที่สุดท่านก็ได้ตอบปัญหาให้ผมได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่า...

"...โยมเฉลิมศักดิ์ คำนี้น่ะผู้ที่ได้กล่าวถึงนี้เป็นผู้มีความรู้ในพระพุทธพจน์อันมีความหมายยาวให้ย่นย่อเข้าใจได้ง่ายอีกด้วย คำว่าอิ่มเดียวหลับเดียวนั้น มาจากพระพุทธพจน์ ที่ทรงให้ตัดความโลภ เพื่อให้ชีวิตเป็นสุข ให้รู้จักคำว่าพอ เพราะมนุษย์เรานั้นจะกินได้มากเท่าใด ก็ไม่เกินอิ่มของตน พออิ่มแล้วก็เท่านั้นแหละ อะไรก็ไม่วิเศษอีกแล้ว การนอนก็เช่นกัน จะนอนนานแค่ไหนก็แค่อิ่มนอนของตัวเองเท่านั้น

มนุษย์เรานั้นวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่รู้จักอิ่ม ได้มาอิ่มแล้วก็ยังอยากได้อีก นอนอิ่มแล้วก็อยากนอนอีกอยากได้ให้มันมากขึ้นไปอีก ถ้าคนเรายึดในหลักว่าอิ่มเดียวหลับเดียวโลกก็จะเป็นสุข ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดี และแสวงหาจนทำให้เดือดร้อนกันไปทั่ว

คนเรานะโยมจะบริโภคอาหารอันอิ่มเอมโอชะสักเท่าใดก็อิ่มเดียว กินข้าวคลุกน้ำปลา หรือ กินอาหารจีนรสเลิศชามละเป็นพันบาท ก็อิ่มเดียวแค่อิ่มเท่านั้น กินเข้าไปไม่ได้แล้ว จะนอนบนที่นอนยัดนุ่นรองด้วยสปริง อยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ นอนในสลัม หรือ นอนในคฤหาสน์ ก็แค่นอนหลับอิ่มเดียวเท่านั้น เต็มอิ่มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมา ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ก็เท่าเทียมกันด้วยอิ่มเดียวและหลับเดียวนี่แหละ..."

ที่มา จากบางส่วนของหนังสือเรื่องหลังจากวังหลวง บันทึกความทรงจำของอดีตตำรวจหลวง เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท


ขอขอบคุณบทความดี ๆ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยเจ้าค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 16, 2021, 02:51:31 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
paul711
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4406


Gold is value because it's value!


« ตอบ #179 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2021, 02:07:10 PM »

ขอบคุณครับคุณ หนูใจ นําบทความดีๆมาให้อ่าน Kiss
บันทึกการเข้า

ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 
จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน 
ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้


http://ichpp.egat.co.th/

Gold2Gold.com
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: