Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 14   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศรัทธา ธรรม  (อ่าน 13551 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #45 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2014, 10:42:52 PM »






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2014, 11:46:26 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #46 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2014, 10:35:50 PM »

เด็กเกาหลีพี่น้องสองคน ที่เกิดมาในตระกูลคนยากจนแบบสุดๆ

แต่พี่น้องสองคนนี้ กลับกลายเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศเกาหลี

สวัสดีฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งfหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ Huh?

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'

ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
....
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่
บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'...


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #47 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:53:08 PM »

[/img]








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2014, 11:50:05 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #48 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2014, 08:53:24 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #49 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2014, 09:04:07 PM »






























« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 04, 2014, 09:16:59 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #50 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:46:25 AM »





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:24:43 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #51 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:41:39 PM »



มหาสุตตโสม

เรื่องนี้ค่อนข้างยาว พระสิริมังคลาจารย์นำมากล่าวเฉพาะคำคมที่นันทพราหมณ์สอน มหาสุตตโสมว่า การคบกับสัตบุรุษนั้นคุ้มครองเขาได้ดีกว่าสมาคมกับพวกอสัตบุรุษมากมายเสียอีก เรื่องมีอยู่ว่า พระราชาเมืองพาราณสีชอบเสวยเนื้อทุกวันขาดไม่ได้ พ่อครัวก็ปิ้งเนื้อถวายทุกวัน วันหนึ่งเป็นวันพระหาเนื้อไม่ได้ จึงไปตัดเอาขาคนที่ตายใหม่ๆ ในป่าช้ามาย่างมาปิ้งอย่างดีถวาย พระราชาติดใจในรสเนื้อ จึงซักถามจนได้ความจริงว่าเป็นเนื้อมนุษย์ จึงสั่งให้พ่อครัวไปหามาให้เสวยทุกวัน จนนักโทษในคุกหมด

หลังจากนั้น จึงสั่งให้พ่อครัวดักจับคน ฆ่าเอาเนื้อส่วนที่ดีๆ มาปรุงอาหารถวาย จนลือทั่วเมืองว่าเกิดมีโจรอำมหิตฆ่าคนเพื่อเฉือนเอาเนื้อไปกิน เสนาบดีจึงวางแผนจับได้ สืบไปจนกระทั่งรู้ความจริงว่าพระราชาเป็นตัวการสั่งให้พ่อครัวทำ

เสนาบดีจึงขอร้องให้พระราชาเลิกเสวยเนื้อคน แต่ไม่สำเร็จจนกระทั่งต้องเนรเทศออกจากเมือง เมื่อออกจากเมืองไป เธอก็ไล่จับคนกินเนื้อ จนได้ชื่อว่า มหาโจรโปริสาท (โจรกินคน) เป็นที่หวาดกลัวของประชาชน
 
วันหนึ่งมหาโจรโปริสาทไปจับพราหมณ์ที่กำลังจะข้ามน้ำเอาใส่บ่าแบกหนีไป ชายฉกรรจ์ที่รับจ้างพราหมณ์จะพาข้ามน้ำวิ่งตาม โปริสาทเหยียบตอไม้แหลม ตอไม้ทะลุฝ่าเท้าเลือดอาบจึงปล่อยพราหมณ์ แกโขยกเขยกหนีรอดไปจนได้ ไปพักอยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ บวงสรวงเทพบนต้นไม้ว่า ถ้าแผลหายเร็วๆ จะนำเอากษัตริย์จากพระนครทั้งหลายมาเซ่นไหว้บูชา บังเอิญไม่ถึงเจ็ดวันแผลก็หาย แกก็เข้าใจว่า เป็นเพราะอานุภาพเทวดา
จึงไปจับเอากษัตริย์จากเมืองต่างๆ มาผูกเท้าแขวนให้ศีรษะห้อยลง เทวดาที่สิงอยู่บนต้นไม้เห็นความทารุณของโปริสาทจึงจำแลงกายเป็นนักบวช โปริสาทคิดว่านักบวชก็เท่ากับกษัตริย์จับมาเซ่นเทพเจ้าก็คงจะดีเหมือนกัน จึงวิ่งไล่จับ ไล่เท่าไรก็ไม่ทันนักบวชนั้นจึงสำแดงตนว่าคือเทพบนต้นไม้ใหญ่ จึงสั่งว่ายังขาดพระราชาอีกองค์ คือ มหาสุตตโสม ให้ไปนำตัวมา ไม่อย่างนั้นพิธีกรรมนั้นจักไม่สมบูรณ์

โปริสาทจึงไปจับมหาสุตตโสม แต่มหาสุตตโสมรับปากจะฟังธรรมจากพราหมณ์ในวันรุ่งขึ้น มหาสุตตโสมจึงขอให้โปริสาทปล่อยกลับไปฟังธรรมก่อน เสร็จแล้วจะกลับมา โปริสาทขอคำมั่นว่าจะมาแน่ๆ จึงปล่อยตัวไป และแล้ว โปริสาทก็ต้องทึ่งในความเป็นผู้มีสัจจะของมหาสุตตโสม ที่กลับมาตามสัญญา มหาสุตตโสมกล่าวสอนให้โปริสาทเลิกกันเนื้อมนุษย์ ด้วยการยกเหตุผล และเล่าเรื่องในอดีตมาประกอบ โปริสาทขอฟังธรรมที่มหาสุตตโสมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อไปฟังว่าดีอย่างไร มหาสุตตโสมจึงกล่าวให้ฟัง โปริสาทจึงพอใจและจะให้พร ขอให้มหาสุตตโสมขอมา 4 ข้อ

มหาสุตตโสมขอให้โปริสาทมีอายุยืนปราศจากโรค ข้อสอง ขอให้ปล่อยกษัตริย์ทั้งหลายที่จับตัวมา ข้อสาม ขอให้ส่งกษัตริย์เหล่านั้นคืนเมือง ข้อสี่ ขอให้โปริสาทเลิกกินเนื้อมนุษย์ เมื่อโปริสาทอิดออด ไม่กล้าให้พรข้อสุดท้าย มหาสุตตโสมก็ท้วงว่าไม่ควรเสียสัจจะ ตัวท่านเองยังรักษาสัจจะ แล้วโปริสาทก็เคยเป็นกษัตริย์ จะทำลายสัจจะเสียย่อมหาควรไม่ โปริสาทจึงให้พรทั้งสี่ตามที่ขอ ในที่สุดกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนมีศีลธรรม เลิกกินเนื้อมนุษย์ และไม่ทำบาปอีกต่อไป

สรุปว่า การคบบัณฑิตเช่นมหาสุตตโสมนั้น ทำให้คนชั่วคนบาปเลิกทำชั่ว มีสุคติเป็นไปในเบื้องหน้า ด้วยประการฉะนี้แล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #52 เมื่อ: มีนาคม 01, 2014, 09:02:58 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #53 เมื่อ: มีนาคม 01, 2014, 09:42:44 PM »


ยอมเป็นก็เย็นได้

แม่
คำๆแรกที่คนเราทุกคนมักจะพูดถึงบ่อยที่สุดตั้งแต่หัดพูด และเป็นคำพูดเดียวที่ซึ้งกินใจที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นชาติใด ภาษาใดก็ตาม แม้จะต่างอักขระแต่ถ้าเป็นความหมายเดียวกันแล้วละก็ ใช่เลย
มีคนจำนวนมากพูดและเขียนถึงแม่ได้ลึกซึ้งกว่าเม้า แต่ที่ยังเขียนถึงแม่ของเม้าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านอีกครั้งด้วยความระลึกถึง และรักแม่มากที่สุดในโลกจริงๆ
เผื่อว่าทุกคนจะร่วมระลึกถึงมือสองข้างที่โอบอุ้มพวกเรามาแต่ฝาหอย ประคบประหงมเลี้ยงดูอย่างแสนรัก
มีอะไรที่ดีที่สุดสำหรับแม่ ก็จะให้พวกเราก่อน อย่างไม่ต้องคิดหรือนึกให้เสียเวลาแม้แต่น้อย เพราะหัวใจของแม่มีแต่พวกเราอยู่เต็มหัวใจ
เคยเล่าเรื่องของเม้าในวัยเด็กในตามหาแก่นธรรมมาหลายครั้งแล้ว และเม้าเองก็เคยพูดถึงแม่ไปบ้าง วันนี้มีโอกาสก็เลยเขียนมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ตอนที่เล่าแล้วจะไม่ขอเล่าซ้ำ จะขอผ่านไป
แม่ของเม้าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง กล้าหาญ ซื่อสัตย์ รักษาคำพูดเป็นที่สุด ใจดีต่อทุกคน เป็นนักคิดและนักพัฒนาอย่างเหลือเชื่อ
ด้วยที่ว่าแม่มีลูกเยอะจึงทำให้ต้องแบกภาระหนักอึ้ง เพราะมีแต่งานให้ทำไม่รู้จักจบจักสิ้น ตั้งแต่เช้ายันดึก จนกระทั่งพวกเราพี่น้องจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและทำงานกันแล้ว ภาระทางกายของแม่จึงเริ่มทุเลาเบาบางลง
ด้วยลักษณะของแม่ที่เม้าเคยเล่าให้ฟัง แม่ก็จะถ่ายทอดให้ลูกแต่ละคนไป แล้วแต่ว่าใครจะรับได้มากน้อยแค่ไหน
ทุกครั้งที่เม้านั่งกระเทาะเปลือกบัวกับแม่ ก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพี่ๆ แต่ละคนว่าไปทำอะไรมา แล้วทำได้ผลเป็นอย่างไรแค่ไหน
เม้าจึงรู้เรื่องราวลูกทุกคนของแม่เป็นอย่างดี และรู้ว่าแม่ห่วงใครมากน้อยแค่ไหน แม้แม่จะไม่พูดอะไรสักคำในเรื่องนี้
แม่มักจะเน้นเสมอเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาและจริงใจกับผู้คน จนเพื่อนๆหลายคนที่รักและที่ไม่รักเม้า ต่างพูดที่หลังว่าเม้าใจดีและจริงใจกับทุกๆคน
แม่มักพร่ำสอนให้รู้จักคำว่าช่างมันเถอะและยอม ตอนนั้นเม้าก็ได้แต่รับปากรับคำแม่ แต่เพิ่งมาเข้าใจในภายหลัง ซึ่งมันทำให้เม้ามีเพื่อนมากและคลายทุกข์ไปได้เยอะ แม่สอนเม้าหลายต่อหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องการจัดการ
พอมาได้เรียนหนังสือในภายหลัง จึงสงสัยว่าสิ่งที่แม่สอนทำไมล้วนแล้วแต่อยู่ในหลักสูตรปริญญาโทการบริหารของมหาวิทยาลัยแทบทั้งนั้น ทั้งๆที่แม่นั่งเรือสำเภามาจากเมืองจีน พูดไทยไม่ค่อยได้
ด้วยความเป็นคนรักษาคำพูดเป็นที่่สุด แม่ของเม้าจึงมีเครดิตดีมาก เอ่ยปากกับใครในเรื่องหยิบยืมเงิน ไม่เคยผิดหวัง จนพวกเราผ่านสภาวะนั้นกันมาได้ และที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดก็คือคนที่แม่ไปหยิบยืมเงินมาล้วนกลายเป็นเพื่อนสนิทของแม่กันทั้งนั้น
แม่เป็นคนใจเย็นและมักจะมีคำตอบดีๆเสมอ จึงมีเพื่อนๆของแม่มานั่งปรับทุกข์ด้วยบ่อยๆ และก็หายกลุ้มกลับไป
แม่พูดให้ฟังเสมอว่าในวัยเด็กของแม่ แม่เป็นนักเล่นการพนันที่เก่งคนหนึ่ง แม่จึงเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แต่แม่ก็สอนไม่ให้ลูกๆเล่นการพนัน และด้วยลักษณะเช่นนี้จึงเห็นแม่แสดงความกล้าหาญอยู่บ่อยครั้ง เวลาจะออกหน้าเรื่องใดๆอย่างมีสติ
แม่สอนเม้าแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่การคบเพื่อนจนถึงการตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง แม่คงเป็นต้นแบบในความกล้าหาญของเม้าที่กล้าคิดกล้าทำ เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วจนทุกวันนี้
แม่มีเรื่องสะเทือนใจเข้ามาในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง อย่างเช่นตอนที่แม่เล่าว่าได้ข่าวยายเสียแล้ว และแม่เก็ล่าให้เม้าฟังเพียงครั้งเดียวอย่างซึมๆบ่นเสียดายที่ไม่ได้กลับไปดูใจยายที่เมืองจีน ตั้งแต่นั้นมาแม่จึงตั้งความหวังว่าจะกลับเมืองจีนสักครั้ง
พี่ยีพี่ชายแสนดีของเม้ารู้เรื่องนี้ดี จึงได้ลางานหนึ่งอาทิตย์เพื่อพาแม่กลับไปพบญาติที่เมืองจีนในวัยใกล้ๆหกสิบปี
ตอนแรกแม่ตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเยี่ยมญาติที่โน่น แม่เล่าให้ฟังว่ามีป้าคนหนึ่งที่เป็นพี่สาวของพ่ออายุกว่าเก้าสิบปีแล้ว รักแม่มาก อุตส่าห์เดินข้ามภูเขาตั้งสามลูกเพื่อมาพบแม่ทุกวันในตอนที่แม่กับพี่ยีอยู่เมืองจีน
และที่แม่ดีใจมากก็คือได้จัดโต๊ะจีนราคาเจ็ดร้อยบาทเลี้ยงพวกญาติๆที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น นี่เป็นสิ่งที่แม่มีความสุขมากอย่างหนึ่งในชีวิต แม่จึงเล่าได้หลายๆครั้งไม่รู้จักเบื่อ
เมื่อครั้งที่พี่ยีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่น้ำตาซึมเงียบมาหลายปี และทุกๆครั้งที่พูดถึงพี่ยี น้ำตาของแม่ก็ร่วงออกมาจากหัวใจ เพราะพี่ยีเป็นลูกชายแสนดีของแม่ที่ไม่เคยพูดคำว่าไม่กับแม่เลยสักครั้งเดียว
อีกทั้งพี่ยียังเป็นที่รักในหมู่เพื่อนๆที่เรียกพี่ยีว่าเซอร์วิสแมน แม้กาลเวลาจะผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้วก็ตาม เพื่อนๆของพี่ยีก็ยังพูดถึงและเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องของเขา คล้ายๆว่าพี่ยีเป็นตำนานของพวกเพื่อนๆ
จนมาถึงจุดหนึ่งแม่ก็หยุดร้องไห้ให้ดู เมื่อเม้าเป็นตัวแทนของพี่ยีได้ แม้จะไม่เทียบเท่าสักครึ่งหนึ่งของพี่ยีก็ตาม
แม่จะเป็นหลักของคนทั้งครอบครัว และทุกคนก็จะมารวมตัวกันในวันเกิดของแม่ทุกๆปีนอกเหนือการแวะมาเยี่ยมบ่อยครั้ง แม่จะมีความสุขมากในวันนั้น ถึงแม้เวลาลูกๆหลานๆจะทยอยกลับไปกันจนหมด แต่แม่ก็ไม่เคยนั่งซึมเหมือนคนแก่บางคน เพราะแม่เข้าใจความจริงของการแยกย้ายจากกันดี
ทุกๆคำถามจะมีคำตอบดีๆจากแม่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึงเช่นการลาออกจากงานของเม้า แม่จะพูดสั้นๆว่าเมื่อคิดดีถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจเถอะ แล้วแต่ลูก แม่เชื่อลูกนะ
แม่เป็นคนอดทนมากแม้ยามเจ็บป่วย แม่ก็ยังนิ่งเฉยเสมอ แถมยังพูดอวดบ่อยๆกับเม้าว่าแม่คุมเบาหวานได้ดีจนหมอชม และขอดื่มเป็บซี่ที่แม่ชอบตั้งแต่ไหนแต่ไรหน่อยหนึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ตกเตียง แม่เล่าให้เม้าฟัง แล้วแม่ก็บอกว่าไม่เป็นไร พอเม้าได้ฟังเช่นนั้นก็เลยขอเปิดดูข้างหลังของแม่ เม้าเห็นเนื้อตรงสะโพกเป็นสีม่วงจนตกใจ ก็พยายามชักชวนแม่ให้ไปหาหมอ แต่แม่ไม่ยอมและบอกว่าไม่มีอะไร แข็งแรงดี ภายหลังจากทายาให้แม่แล้วเม้าก็เชื่่อแม่และรอดูอาการก่อน เพราะแม่รู้ตัวเองดีที่สุด
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่เจ็บตรงหัวไหล่แทบทนไม่ไหวและทำให้แม่ยกแขนไม่ขึ้น แม่จึงยอมให้เม้าพาไปหาหมอ ทำกายภาพบำบัดอยู่หลายเดือนจึงหาย แต่แม่ไม่เคยปริปากบ่นสักคำ
ในวัยเจ็ดสิบสองปีแม่มีอาการเหนื่อยหอบ เม้าพาแม่ไปหาหมอที่ไว้ใจที่คลีนิคใกล้บ้าน หมอบอกว่าแม่ไม่เป็นไร หัวใจยังดี
อีกสักสิบนาทีแม่หมดแรงคอตก เม้าจึงรีบพาแม่ส่งไปโรงพยาบาล ภายหลังจากหาหมอแล้ว หมอจะให้แม่นอนในโรงพยาบาล แต่แม่ปฏิเสธ เม้าต้องให้พี่ชายคนถัดไปเกลี้ยกล่อมแม่เพราะเม้ามีประชุมด่วนใกล้โรงพยาบาล
สักพักแม่มีอาการหัวใจวายแบบนึกไม่ถึงแต่หมอช่วยไว้ทันเพราะรู้อาการดีอยู่แล้ว แม่จึงมีอายุยืนยาวเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกมาถึงอายุแปดสิบหกปี
ในปีที่แปดสิบห้าของแม่ แม่บอกเม้าว่าจะอยู่กับเม้าอีกปีหนึ่งเท่านั้นเพราะร่างกายของแม่ มันไปไม่ไหวแล้ว หมดสภาพที่จะอยู่ต่อ แม่พูดอย่างหน้าตาเฉย แถมยังขอบใจเม้าที่จะอยู่กับแม่จนตายจากไป แม่ยังชมเม้าอีกนะว่าเป็นลูกที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งและหาได้ยาก
วันที่เจ็ดเดือนเมษายนสองพันห้าร้อยสี่สิบห้า แม่มีอาการเดินเซ จะพาไปหาหมอ แต่แม่ว่าไม่เป็นไร พร่งนี้ค่อยไป
วันรุ่งขึ้นเม้าจึงอุ้มแม่ไปหาหมอ หมอบอกให้นอนในโรงพยาบาล แม่บอกไม่เป็นไร และแล้วก็เป็นวันสุดท้ายที่แม่จะคุยกับเม้าในชีวิตนี้
แม่มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบในตอนแรก และติดเชื้อในกระแสเลือดในตอนหลัง อันเป็นระยะสุดท้ายในชีวิตของแม่ เม้าได้ป้อนน้ำส้มให้แม่ในวันที่เก้า ถึงแม่จะไม่รู้สึกตัวแล้วก็ตาม แต่แม่ก็ยังรับน้ำส้มจากมือของเม้าอย่างช้าๆ และถึงแม้ว่าเม้าจะได้คุยกับแม่ฝ่ายเดียวก็ตาม แต่เม้าก็ยังบอกแม่ว่าว่าเม้ารักแม่แค่ไหนอย่างไร
ในวันที่สิบเดือนเมษายนแม่ก็จากไป ทุกระบบในร่างกายของแม่หยุดทำงาน แม่ของเม้าสอนลูกทุกอย่าง แม้กระทั่งการตายอย่างงดงาม แม่จ๋า...เม้ารักแม่ที่สุดในโลกเลยนะจ๊ะ

เม้า

คงหายคิดถึงเม้ากันบ้างที่ห่างหายไปจากแก่นธรรม แม้จะไม่ได้ไปไหน เรื่องที่เม้าเล่าเป็นเรื่องที่งดงามที่สุด และมีแม่เป็นอาจารย์คนแรกที่ดีที่สุด แม้กระทั่งลาจาก แม่ยังเป็นบุคคลที่แสดงธรรมได้อย่างงดงามในเรื่องของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องว่าแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พร้อมให้และให้อภัยลูกเสมอ และยังเป็นบุคคลที่แสดงความหมายแห่งคำว่ารักแท้ตรงความหมายที่สุด หากจะเกิดในชาติใดภพใดขอให้เม้ามีแม่เป็นกัลญาณมิตรทุกภพทุกชาติไป
สะมะชัยโย
Thammasatu ธรรมะสาธุ เวบดีดีมีธรรมะ » หมวดหมู่ทั่วไป » ประสบการณ์ที่ผ่านมา » ตามหาแก่นธรรม 82 แม่ บทความแก่นธรรมที่มีผู้อ่านและส่งต่อมากที่สุดตอนหนึ่ง


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #54 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 08:28:58 PM »



อริยสัจ หรือจตุราริยสัจ หรืออริยสัจ 4 เป็นหลักคำสอนหนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ คือ
1. ทุกข์ คือ สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5

2. ทุกขสมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ

3. ทุกขนิโรธ คือ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง

4. ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา คือ แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่
มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ
1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ
3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ
6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ
7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ
8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง

มรรคมีองค์แปดนี้สรุปลงในไตรสิกขา ได้ดังนี้
 1. อธิสีลสิกขา ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ
 2. อธิจิตสิกขา ได้แก่ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และ
 3. อธิปัญญาสิกขา ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ
อริยสัจ 4 นี้ เรียกสั้น ๆ ว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #55 เมื่อ: มีนาคม 04, 2014, 09:17:31 PM »



(ปิด "หู" ปิด "ตา" ปิด "ปาก")

"ปิดหู ปิดตา ปิดปาก กันบ้าง ! แล้วนั่งสบาย สบาย"

"ปิดหูซ้ายขวา"

รู้จักเลือกฟังสิ่งที่ควรฟังที่ควรฟัง สิ่งใดไม่ควรฟัง ก็อย่าไปฟัง ฟังแล้วเป็นทุกข์ฟังทำไม

"ปิดตาสองข้าง"

"รู้จักเลือกดูสิ่งที่ควรดู สิ่งใดไม่สมควรดู ก็อย่าไปดูมัน ดูแล้วเป็นทุกข์ดูทำไม"

"ปิดปาก"

"รู้จักเลือกพูดสิ่งที่ควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด ก็อย่าไปพูด เพราะพูดแล้วมันเป็นทุกข์พูดไปทำไมกัน

# คนสำรวมระวังกิริยา วาจา ใจ นั้น คนยำเกรง ดีกว่าคนพูดมาก ที่แท้ของแน่ ๆ คือ คนที่ หาสาระใดใดไม่ได้เลย #

@ วิสาขา อุบาสิกา


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 05, 2014, 09:47:43 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #56 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 08:16:03 PM »

สิ่งที่เกิดมีได้ยากในโลก
ปัญหา อะไรบ้างเป็นสิ่งที่เกิดมีได้ยากในโลก แต่ในปัจจุบันเรามีแล้วควรพยายามฉวยเอาผลประโยชน์ให้เต็มที่ ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนมหาปฐพีนี้กลายเป็นน่านน้ำเดียวกัน บุรุษพึงโยนแอกมีช่องเดียวไปในน้ำนั้น ลมในทิศตะวันออก พึงพัดเอาแอกนั้นไปทางทิศตะวันตก
ลมทิศตะวันตกพัดเอาไปทางทิศตะวันออก
ลมทิศเหนือพัดเอาไปทางทิศใต้
ลมทิศใต้พัดเอาไปทางทิศเหนือ
เต่าตาบอดในห้วงน้ำนั้นจะโผล่ขึ้นมาหนึ่งครั้งทุก ๆ ระยะเวลาผ่านไปหนึ่งร้อยปี เธอจะเห็นข้อนั้นอย่างไร
เต่าตาบอดนั้น...จะมีโอกาสสอดคอเข้าไปในแอกที่มีช่องเดียวนั้นบ้างหรือไม่"
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "การที่เต่าตาบอด จะมีโอกาสสอดคอเข้าไปในแอกที่มีช่องเดียวนั้น เป็นของยาก"

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก
การที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกที่เป็นของยาก
การที่พระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็เป็นของยาก

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ท่านได้ความเป็นมนุษย์แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกแล้ว และพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วก็เจริญรุ่งเรืองอยู่ในโลก เพราะฉะนั้นเธอทั้งหลายจึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้นิโรธ นี้อริยมรรคมีองค์ ๘"
ฉิคคฬสูตรที่ ๒

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #57 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 08:17:54 PM »

ประโยชน์ของจิตที่ใสสะอาด

ปัญหา จิตที่ใสสะอาดก่อให้เกิดประโยชน์อะไรบ้าง ?

พุทธดำรัสตอบ "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนห้วงน้ำใสแจ๋ว ไม่ขุ่นมัว บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนฝั่งพึงเห็นหอยโข่ง และหอยกาบบ้าง ก้อนกรวดและกระเบื้องบ้าง ถ้วยบ้าง ฝูงปลาบ้าง ซึ่งเที่ยวไปบ้าง ตั้งอยู่บ้าง ในห้วงน้ำนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะน้ำไม่ขุ่นฉันใดภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักรู้จักประโยชน์ทั้งสองบ้าง กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษคือ อุตริมนุสธรรมอันเป็นความรู้ความเห็นอย่างประเสริฐ อันเป็นของพระอริยะได้ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัว ข้อนี้เป็นเรื่องที่จะเป็นไปได้ เพราะเหตุใด เพราะจิตไม่ขุ่นมัว..."
บาลีแห่งเอกธรรม


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #58 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 08:46:52 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #59 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 08:49:04 PM »


คุณย่าชีนารี การุณ

คุณย่าชีนารีได้สมรสกับนายวันดี ซึ่งมีลูกด้วยกัน 6 คน เป็นหญิง 4 ชาย 2 พอคุณย่าชีนารีอายุครบ 40 ปี ก็มีอารมณ์อยากจะบวชโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนหน้านั้นท่านได้พบองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ

องค์หลวงปู่มั่นได้เดินธุดงค์ไปพักอยู่ใกล้บ้านๆและได้สอบถามถึงครอบครัวแล้วท่านก็จากไป

คุณย่าจึงขออนุญาตนายวันดีออกบวช นายวันดีให้ข้อแม้ว่าคุณย่าต้องหาภรรยาให้ซัก 3 คน เมื่อถึงวันบวชนายวันดีก็อนุญาตให้ออกบวช หลวงปู่มั่นท่านทราบด้วยญาณจึงส่งพระมา 3 รูป

คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก พร้อมด้วยบริขารมาทำการบวชให้ คุณย่าหลังจากบวชชีแล้ว ได้อยู่ปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น โดยท่านให้อุบาย ให้คุณย่าภาวนา นะโมและพุทโธ

ท่านภาวนาท่านเห็นอดีตชาติขององค์ท่านเองว่าเคยเกิดเป็นชาวรัฐเซีย ไต้หวัน กษัตริย์ ทหาร แต่ไม่เคยเกิดเป็น 3 อย่างคือ เสือ ไส้เดือน กิ้งกือ

หลังจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ นิพพาน ได้มีการจัดงานประชุมเพลิงที่วัดป่าสุทธาวาส คุณย่าเล่าให้ฟังว่าในงานประชุมเพลิงมีเทพธิดามาร่วมถวายเพลิง 30,000 องค์ ท้าวมหาพรหม 6 องค์ เทพบุตรมา 2 องค์ เกือบทุกชั้นมีเทพประธานมากำกับด้วย ท่านเห็นแล้วชื่นใจ

หลังจากประชุมเพลิงเสร็จ ศิษยานุศิษย์องค์หลวงปู่ได้เข้าไปแย่งขี้เถ้า อัฐิ ตัวคุณย่าเองก็เข้าไปล้วงกับเค้า ได้อัฐิส่วนซี่โครง เศษอัฐิ และอังคาร มา เมื่อคุณย่าเก็บรักษาต่อมาได้แปรสภาพเป็นพระธาตุแก้วใสหมด

หลังจากนั้นท่านก็อยู่วัดป่าสุทราวาสเรื่อยมา เมื่อปีพ.ศ. 2520 สมเด็จพระนางเจ้าราชนีนาถมีศรัทธาสร้างกุฏิ ถวายใหม่ สมเด็จพระเทพมาครั้งใดจับแขน จับขาคุณย่า เห็นคุณย่านุ่งห่มผ้าขาวแทบจะเป็นดำ ก็เข้าไปจัดแจงจะให้คุณย่าเปลี่ยนชุดใหม่

ถึงกับทรงจะผลัดให้เอง คุณย่าต้องห้ามไว้ ท่านเล่าด้วยความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ หลังจากท่านอยู่วัดป่าสุทธาวาสมานาน ท่านก็ย้ายไปจำพรรษาหลายที่ เช่น วัดป่าวังน้ำทิพย์

จนองค์ท่านได้มาหยุดที่สำนักชีบ้านหนองยาง จ.สกลนคร โดยมีคุณยายสมรและคุณตาเพลินเป็นผู้ดูแล หลวงปู่คำคะนิงในอดีตชาติเป็นพี่ชาติขององค์ท่าน ในชาติปัจจุบันนึ้ท่านก็มาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ

และได้นำประคำที่อยู่กับองค์ท่านมาตั้่งแต่สมัยออกปฏิบัติธรรมใหม่ๆให้แด่คุณย่า หลวงปู่หลุย จันทาสาโร นับถือคุณย่าเป็นแม่ เพราะในอดีตชาติคุณย่าเป็นแม่ขององค์หลวงปู่ หลวงปู่จะกล่าวชมให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเป็นแม่ขาวแม่ออกที่ปฏิบัติธรรมจนเห็นธรรม

หลวงปู่หลุยท่านรักและเคารพคุณย่ามากถึงขนาดทำที่ครอบฟันปลอมให้และส่งปัจจัยจำนวน 10,000 บาท ให้คุณย่าทุกเดือน หลวงปู่หลอด ปโมทิโต เคารพในคุณธรรมคุณย่าและมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ

ตอนที่คุณย่าจะนิพพาน หลวงปู่ถวายปัจจัยให้คุณย่า 20,000 บาท หลวงปู่หลุยและหลวงปู่หลอดกล่าวว่าที่ท่านมีทุกวันนึ้ได้ก็
เพราะขึ้มือคุณแม่นั้นแหละ

ก่อนวันที่ท่านจะนิพพาน ท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สติแจ่มใสมาก ท่านบอกให้คุณยายสมรเตรียมน้ำมารับพระเถระบนกุฏิ
คุณยายสมรเตรียมน้ำมาแล้วไม่เห็นใคร ท่านก็บอกให้เอาขึ้นมา พระเถระมาเต็มกุฏิแล้ว หลังจากนั้นวันต่อมา

คุณย่าได้จับมือคุณยายสมรและคุณตาเพลินได้สั่งเสียไว้ว่า ถ้าท่านนิพพานแล้วอย่าทึ้งคุณย่าเขียนน่ะ(ผู้ดูแลคุณย่าตั้่งแต่สมัยวัดป่าสุทธาวาส)

คุณยายสมรและคุณตาเพลินรับคำ ท่านทรงสติมาก แล้วท่านก็ยึ้มงามมาก ยึ้มอย่างไม่อาไรอาวรณ์ไม่สนแก่การตาย พอท่านยึ้ม ลมหายใจและหัวใจก็หยุดเต้น ท่านเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานเมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ. 2542 เวลา 20.25

สิริอายุขัย 123 ปี อยู่ในเพศแม่ชี 83 ปีพอดี

ในวันประชุมเพลิงมี หลวงปู่ผ่าน ปัญญาปทีโป เป็นประธานในฝ่ายบรรพชิต ถวายเพลิง เมื่อไฟไกล้จะมอดเห็นดวงไฟสีเขียว พุ่งออกมา เมื่อเก็บอัฐิพบว่า อัฐิคุณย่าแปรสภาพเป็นพระธาตุทันทีหลังจากประชุมเพลิงเสร็จ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 14   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: