Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศรัทธา ธรรม  (อ่าน 13645 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #60 เมื่อ: มีนาคม 09, 2014, 07:16:23 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #61 เมื่อ: มีนาคม 09, 2014, 07:21:13 PM »







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 09, 2014, 07:25:01 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #62 เมื่อ: มีนาคม 09, 2014, 07:22:31 PM »


หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร



หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ



หลวงปู่ดูลย์





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 17, 2014, 09:22:05 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #63 เมื่อ: มีนาคม 09, 2014, 07:25:55 PM »



การเจริญสติปัฏฐาน 4 อันได้แก่ กาย เวทนา จิต ธรรม หลักการคือ การตามรู้ เพียงแค่รู้ ใช้โยนิโสมนัสสิการ(ดูเหมือนพิจารณาเปลวเทียนที่ไหม้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดแค่รู้) โดยดูรู้อยู่ในอาณาเขตของกายใจตนเท่านั้น จําดีๆหลักคือแค่ในกายกับแค่รอบๆกายกับใจตนเท่านั้น!!! กายเราเป็นดังธาตุ 4 มีดินนํ้าลมไฟ นอกกายที่รอบๆกายก็คือ ดินนํ้าลมไฟ เหมือนกัน ดูการโต้กันของธาตุระหว่างกายกับรอบกาย เป็นการเปิดสัมผัสรู้ เกิดความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวที่ได้ เป็นสติ สติเกิด ปัญญาญาณ จะเกิดตามมา เมื่อมีปัญญาญาณ เป็นปัญญาที่เกิดจากรู้ จะเห็นความจริงไปละอวิชชาได้ .... หมั่นเพียรเจริญในสติปัฏฐานกันครับ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #64 เมื่อ: มีนาคม 09, 2014, 07:26:55 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #65 เมื่อ: มีนาคม 09, 2014, 07:31:56 PM »




เมตตาประกอบด้วยปัญญา เล่าโดย พระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ

พระธุดงค์รูปหนึ่งอยากจะเจริญเมตตาภาวนา ท่านได้ข่าวเรื่องหลวงปู่องค์หนึ่งอยู่ในวัดที่ห่างไกลจากความเจริญและอัตคัดกันดารมาก หลวงปู่มีชื่อเสียงมากในความมีเมตตาของท่าน พระธุดงค์องค์นี้จึงตั้งใจเดินทางไปหาหลวงปู่ เส้นทางยาวไกลและยากลำบากมาก แต่ท่านก็กัดฟันสู้ ท่านเดินธุดงค์หลายวันกว่าจะถึงวัดของหลวงปู่ เมื่อท่านเดินเข้าไปในเขตวัด ลูกวัดออกมาต้อนรับพาท่านไปพักผ่อนที่กุฏิ บอกให้ท่านเก็บริขารให้เรียบร้อยแล้วจะกลับมานิมนต์ไปกราบหลวงปู่

พระธุดงค์ขึ้นไปบนกุฏิ เปิดหน้าต่างมองลงไปเบื้องล่าง เห็นหลวงปู่กำลังยืนอยู่ที่ชายป่า ท่านรำพึงขึ้นว่า "โอ้ ! นี่คือหลวงปู่ผู้มีเมตตาธรรม" ท่านรู้สึกปีติซาบซึ้งเลื่อมใส พอดีมีกวางตัวหนึ่งเดินออกมาจากชายป่า หน้าตาของหลวงปู่ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมเปลี่ยนไป ท่านยกไม้เท้าของท่านขึ้นตีกวางอย่างแรง ทำให้กวางตกใจวิ่งกลับเข้าป่าไปทันที พระธุดงค์เห็นแล้วรู้สึกหมดศรัทธาทันที...

"โอ้ ! นี่เราโดนหลอกอย่างแรงเลย อุตส่าห์เดินทางมาหาด้วยความยากลำบากแทบตาย ใครๆ ก็ว่าหลวงปู่องค์นี้มีเมตตานัก เราก็อยากจะเจริญเมตตาภาวนา... โอ้ย ! ไม่เอาแล้ว รีบเก็บบริขารแล้วเผ่นเลยดีกว่า ไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับท่าน ท่านทำให้เราผิดหวังสุดๆ เลย" ...หลังจากนั้นไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ไปเจอใคร ท่านก็จะเที่ยวพูดถึงหลวงปู่ว่า "อย่าไปเชื่อเลยนะ หลวงปู่ที่เขาว่ามีเมตตาสุดๆ น่ะ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นี่ผมไม่ได้นินทาท่านนะ ผมไปเจอมาเอง ไม่ใช่ฟังจากคนอื่นนะ ผมเห็นกับตาตัวเอง เห็นชัดๆ เลยนะ ท่านทั้งทรมานสัตว์ ทั้งตีสัตว์ ผมเห็นหน้าท่านผมตกใจเลย" ไปไหนๆ ท่านก็พูดอย่างนี้

ส่วนที่วัดของหลวงปู่ หลวงปู่ถามลูกวัดว่า "พระธุดงค์องค์นั้นอยู่ไหนล่ะ ไหนว่าท่านจะมากราบ" ลูกวัดกราบเรียนท่านว่า "หลวงปู่ครับ ท่านออกจากวัดไปแล้ว" หลวงปู่จึงพูดว่า "โอ... หลวงปู่รู้แล้ว เห็นพระองค์หนึ่งมองลงมาจากหน้าต่าง น่ากลัวท่านจะเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะ" แล้วท่านก็ยิ้มก่อนที่จะพูดต่อว่า "วันนี้ตั้งใจจะตักเตือนพวกท่านอยู่แล้ว เรื่องนี้ว่า พระเรามักจะเทอาหารที่เหลือจากบาตรทิ้งไว้ที่ชายป่า กวางมันชอบมากิน กินบ่อยเข้าๆ จนมันคุ้นเคยกับคน มันก็เริ่มจะเข้าไปแถวๆ หมู่บ้าน ถูกชาวบ้านยิงตายลงหม้อไปหลายตัวแล้ว วิธีแก้มีอยู่เพียงวิธีเดียว เราต้องทำให้กวางมันกลัวคน หลวงปู่สงสารมัน หลวงปู่ก็เลยตีเพื่อให้มันกลัวคน มันจะได้ปลอดภัยจากความโหดร้ายของคน" นี่คือความเมตตาของหลวงปู่ ไม่ใช่เมตตาด้วยการเอาใจ แต่เป็นเมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา มองภาพใหญ่หรือภาพรวมเป็นหลัก

ท่านอาจารย์สอนว่า ข้อคิดข้อแรก คือ ในกระบวนการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อจะช่วยคนอื่น ในบางช่วงอาจจะต้องทำสิ่งที่คนอื่นมองได้ว่าไม่น่าจะทำเลย แต่ก็เป็นการทำด้วยเมตตาเหมือนกัน ข้อคิดข้อที่สอง คือ พระธุดงค์ท่านเห็นกับตานะ ไม่ได้ฟังจากคนอื่น แต่ตาตัวเองนี่ก็เชื่อไม่ได้เสมอไป เพราะเราอาจจะเห็นแค่ช่วงสั้นๆ ของเรื่องราวทั้งหมดที่อาจจะสลับซับซ้อน ถ้าเราเห็นเพียงแค่นั้น เราอาจจะด่วนสรุปอย่างผิดๆ ก็ได้

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 09, 2014, 07:48:25 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #66 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:10:02 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #67 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:10:29 PM »







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 30, 2014, 05:02:50 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #68 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:14:53 PM »



การเคาะโลงศพ

"..เวลาทำบุญให้คนตาย เคยพบเห็นบ่อยเวลาพระจะสวดมนต์ ลูกหลานหรือเจ้าภาพก็จะไปเคาะโลงบอก "ฟังสวดมนต์นะ" เวลาพระจะให้ศีลก็ไปเคาะโลงบอก "รับศีลนะ" พอเอาอาหารไปวางก็เคาะโลงบอก "กินข้าวนะ"

ความจริงคนตายแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะกินของที่เอาไปวางให้กิน ผีมีสิทธิ์โมทนาในผลบุญที่มีผู้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลไปให้เท่านั้น เราจะทำอย่างไรผู้ตายจึงได้รับ ในชาดกมีเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่างคือ มีอุบาสกคนหนึ่งนั่งเจริญพระกรรมฐานในที่สงัด ปรากฏว่าภรรยาที่ตายไปแล้วมาแสดงตัว มีแต่ซี่โครงขึ้นเป็นแถวและผ้าผ่อนท่อนสไบไม่มีนุ่ง ท่านผู้นี้จึงถามว่า "เธอเป็นใคร" ตอบว่า "ฉันเป็นภรรยาของท่านเมื่อตายไปแล้ว อาศัยที่จิตเป็นอกุศล ขณะมีชีวิตอยู่เป็นคนไม่ทำบุญทำทานและก็เป็นคนใจร้าย จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต เวลานี้มีความหิวโหยมาก หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน มีทั้งหนาวและร้อนเพราะไม่มีผ้าปิดกายและหิวอาหารมาก เพราะไม่มีอะไรจะกิน"

ท่านสามีก็บอกว่า "ไปบ้านสิมีของกินมากมาย เลือกกินเอาตามชอบใจเหมือนกับสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่"

ผีเปรตจึงบอกว่า "สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านจะเอามาวางไว้ในมือของเรา มันก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินที่จะใช้ในวัตถุ"

ท่านสามีจึงถามว่า "ถ้าฉันต้องการจะสงเคราะห์เธอ ทำอย่างไรเธอจึงจะได้ล่ะ"

เธอก็บอกว่า "ขอให้ท่านนำเอาของไปถวายแก่สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านใดท่านหนึ่ง คือต้องการให้มีผ้าก็ขอให้นำผ้าไปถวาย ต้องการให้มีร่างกายสมบูรณ์ ร่างกายเป็นทิพย์ก็นำอาหารไปถวาย และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ฉัน ฉันจึงจะได้"

ท่านสามีจึงนำของไปถวายแด่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา และก็อุทิศส่วนกุศลไปให้เธอ

พอรุ่งขึ้นอีกคืนหนึ่งเธอก็มาแสดงตนใหม่ตอนที่ท่านสามีนั่งเจริญพระกรรมฐาน มาคราวนี้เป็นนางฟ้าสวยแจ๋ว ใสสว่าง มีวิมานทองคำมาปรากฏชัด

ท่านสามีจำไม่ได้จึงถามว่า "เธอเป็นนางฟ้าเพราะบำเพ็ญบารมีอะไร ร่างกายจึงประดับประดาไปด้วยเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ สวยสดงดงามมีแสงสว่างไปทั่วทิศ และก็มีวิมานทองคำ"

นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า "ท่านจำไม่ได้หรือ เมื่อคืนที่แล้วที่ผ่านมาน่ะ"

ก็เป็นอันว่าผลที่ผู้ตายจะพึงได้รับ ต้องได้จากการโมทนาในบุญกุศลที่อุทิศไปให้ ไม่ใช่ได้จากการไปเคาะโลงหรือได้จากการเอาของไปให้เฉยๆ.."

จากหนังสือ : ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #69 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:26:54 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #70 เมื่อ: มีนาคม 13, 2014, 08:35:22 AM »

นิทาน.....กำเนิดต้นข้าว


นิทาน.....กำเนิดต้นข้าว

ในสมัยโบราณนานมาเมล็ดข้าวเกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องปลูก และมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่ากำมือของมนุษย์ประมาณ 5 เท่า
เมล็ดข้าวนั้นมีสีเงินและมีกลิ่นหอม มนุษย์ก็ได้ใช้หุงกินกันมานาน

ต่อมามีหญิงหม้ายคนหนึ่ง สร้างยุ้งฉางให้ข้าวมาเกิดในยุ้งฉาง แม่หม้ายคนนั้นเป็นคนที่มีจิตใจหยาบช้า ตีข้าวเมล็ดใหญ่ด้วยไม้ เมล็ดข้าวแตกหักและปลิวไป

ที่ปลิวไปตกในป่าก็กลายเป็นข้าวดอย

ที่ปลิวไปตกในน้ำก็กลายเป็นข้าวนาดำมีชื่อว่านางพระโพสพ

นางพระโพสพอาศัยอยู่กับปลาในหนองน้ำ นางพระโพสพโกรธมนุษย์จึงตัดสิ้นใจจะไม่กลับไปอีก มนุษย์จึงต้องอดอยากไม่มีข้าวกินไปถึงพันปี

ต่อมามีลูกชายของเศรษฐีไปเที่ยวป่าแล้วเกิดหลงทางจนมาถึงหนองน้ำก็นั่งร้องไห้ ปลากั้งเกิดความสงสารจึงขอให้นางพระโพสพบอกทางให้และกลับไปอยู่กับมนุษย์

นางพระโพสพจึงได้เล่าถึงความใจร้ายของแม่หม้าย ลูกชายเศรษฐีจึงได้อ้อนวอนให้นางพระโพสพกลับไป

แต่นางก็ไม่ยอมกลับ เทวดาจึงแปลงตัวเป็นปลากับนกแก้วมาอ้อนวอนให้นางกลับไปดูแลมนุษย์และพระศาสนา

เพราะพระพุทธเจ้าจะไปเกิดอีก นางพระโพสพจึงยอมกลับไปเมืองมนุษย์แต่ข้าวนั้นจะเล็กลง และต้องทำการเพาะปลูก

ถ้าจะตำข้าวจะต้องทำพิธีขอเพื่อที่จะขออนุญาตต่อนางพระโพสพ และเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วต้องทำพิธีสู่ขวัญข้าวด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #71 เมื่อ: มีนาคม 13, 2014, 08:37:49 AM »


สายลมแห่งการให้อภัยและก้อนหินแห่งความทรงจำ

มีคน 2 คนเป็นเพื่อนซี้กัน.. ร่วมเดินทางไปในทะเลทราย… ระหว่างทาง… เกิดทะเลาะกัน เพื่อนคนหนึ่ง..ระงับอารมณ์ไม่อยู่…ตบหน้าอีกฝ่าย เพื่อนที่ถูกทำ ร้าย….เจ็บปวด…แต่ไม่เอ่ยวาจา… กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า “วันนี้…ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”

พวกเขายังคงเดินทางต่อ…กระทั่งถึงแหล่งน้ำ พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ…แต่เกิดอุบัติเหตุคนที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ รีบลงไปช่วยทันที คนรอดตาย…ยังคงไม่เอ่ยวาจา…กลับสลักลงไปบนหินใหญ่…“วันนี้…เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”

อีกคนไม่เข้าใจ…เลยถามว่า “เมื่อถูกฉันตบหน้า เธอเขียนเรื่องราวลงพื้นทราย แล้วเรื่องที่ได้ช่วยจมน้ำ ทำไมจึงต้องสลักบนหิน”

อีกคนยิ้มพราย…กล่าวตอบ
เมื่อถูกคนที่รักทำร้าย…เราควรเขียนมันไว้บนพื้นทราย ซึ่ง “สายลมแห่งการให้อภัย” จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ”
แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย เกิดขึ้นเราควรสลักไว้บน “ก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ” ซึ่งต่อให้มีสายลมแรงเพียงใด ก็ไม่อาจ ลบล้าง ทำลาย

โดย ทางแพทย์สายพุทธ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #72 เมื่อ: มีนาคม 15, 2014, 09:14:22 AM »






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2014, 03:11:31 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #73 เมื่อ: มีนาคม 17, 2014, 09:30:44 PM »



เล่าเรื่องฤษี
ฤๅษี"ผู้สานตำรับตำราพระเวท ความเชื่อจากโบราณสู่ปัจจุบัน
นอกจากพระเกจิอาจารย์แล้ว ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาไม่แพ้กันก็คือ "ฤๅษี" ไม่ค่อยได้เห็นนัก และห่างหายไปนานกับสิ่งคุ้นตา ชายชราหนวดยาวห่มคลุมอยู่ในชุดผ้าลายเสือ ที่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกกันว่า "ฤๅษี" ระยะหลังสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล

สมัยก่อน ฤๅษีจำนวนมากได้รับเชิญเข้าร่วมพิธี มีการทำสิ่งแปลกหลายอย่าง อาทิ นั่งในกระทะที่มีน้ำมันร้อนๆ เพื่อบริกรรมคาถา เดินลุยไฟ สาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาชีวิต ซึ่งก็มีคณะศรัทธาเป็นจำนวนมาก

"ฤๅษี แปลว่า ผู้ที่สืบสานตำรับตำราพระเวท พระคาถาจากครูบาอาจารย์ ตำราจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และผู้ประกอบพิธีกรรม บวงสรวง เชิญเทวดา เจ้าที่ เจ้าแม่ เจ้าปู่ เจ้าเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 ภพ คือ สวรรค์ มนุษย์ บาดาล และฤๅษีเป็นผู้ที่ถือสัจจะ สมัยโบราณการสร้างพระ การทำพระ ไม่ว่าจะเป็น พระผงสุพรรณ, พระรอดมหาวัน, พระคงลำพูน ตามใบลานทองที่จารึกว่าให้ฤๅษีเป็นผู้หาว่าน หาสมุนไพร หาโลหธาตุ เช่น เหล็กไหล เป็นต้น การประกอบพิธีบวงสรวงพิมพ์พระ แล้วก็นิมนต์พระเกจิอาจารย์ เจริญพระพุทธมนต์อัญเชิญพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ผ่านสายสิญจน์สู่วัตถุมงคลนั้นๆ ความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์จึงบังเกิดครบทุกประการ

ฤษีได้ถือบวชบำเพ็ญเพียรถือศีล ถือสัจจะ ศึกษาพระเวท จากของเก่าและประกอบพิธีกรรม เช่น หุงน้ำมันมนต์ เป็นตำราจากคัมภีร์โบราณ รวบรวมว่านมหามงคล ผงวิเศษ ผงยาวาสนาจินดามณี น้ำมันลงในกระทะเนื้อสัตตโลหะใบใหญ่ สุมไฟด้วยไม้ที่เป็นมงคล ฤๅษีก็ภาวนาพระคาถาดับพิษไฟ พระเกจิอาจารย์เจริญพระพุทธมนต์ น้ำมันมนต์นำไปใช้แก้เคล็ดขัดยอก แก้แมลงมีพิษ ลมเพลมพัด ป้องกันเสนียดจัญไร เพิ่มพูนเมตตามหานิยม
ส่วนใหญ่ฤๅษีที่มาเปิดอาศรมในสถานที่ต่างๆ

ฤษีในอดีตเคยบวชเป็นพระ เป็นเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส แต่เล็งเห็นว่าพฤติกรรมบางอย่างทำได้จำกัด อาจผิดพุทธบัญญัติ เลยลาสมณเพศมาสู่เครื่องนุ่งห่มฤๅษี คือ ลายเสือ ได้ประกอบกรรมพิธีต่างๆ ตามที่ได้ศึกษาจดจำจากตำราจากครูบาอาจารย์ จากนิมิตที่บังเกิดขึ้นในขณะนั่งกรรมฐานบำเพ็ญเพียรภาวนา

บทไหว้ครูของเก่า
"พุทธวันทิตวา ข้าพเจ้าของอาราธนาบารมีคุณ พระพุทธคุณนัง ธรรมคุณนัง สังฆคุณนัง วันทิตวา ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีคุณ พระสังฆคุณนัง อีกทั้งคุณพระบิดา พระมารดา พระอนุกรรมวาจา อุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ อีกทั้งพระฤาษีนารอด พระฤาษีนารายณ์ พระฤาษีตาวัน พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีเกตุ พระฤาษีเนตร พระฤาษีมุชิตวา พระฤาษีมหาพรหมเมศ พระฤาษีสมุหวัน ทั้งพระเพชรฉลูกัน และนักสิทธวิทยา อีกทั้งพระคงคา พระเพลิง พระพาย พระธรณี พระอิศวรผู้เป็นเจ้าฟ้า ขออัญเชิญเสด็จลงมาประสิทธิพระพรชัย ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาวันนี้ ข้าพเจ้าขอเชิญเทพดาเจ้าทั้งหลายทั่วพื้นปถพีดล พระฤาษี ๑๐๘ ตน บันดาลดลด้วยสรรพวิทยา พระครูยา พระครูเฒ่า พระครูภักและอักษร สถาพรเป็นกรรมสิทธิ์ ให้แก่พวกข้าพเจ้าในเวลาบัดนี้เถิด
ข้าพเจ้า ขออาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชิญเสด็จลงมาปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพเจ้าขอเชิญพระพรหมลงมาอยู่บ่าซ้าย ขอเชิญพระนารายณ์มาอยู่บ่าขวา ขอเชิญพระคงคาลงมาเป็นน้ำลาย ขอเชิญพระพายลงมาเป็นลมปาก ขอเชิญพญานาคลงมาเป็นสร้อยสังวาล ข้าพเจ้าขอเชิญพระอังคารมาเป็นด้วยใจ ถ้าแม้นข้าพเจ้าจะไปรักษาไข้แห่งหนึ่งแห่งใด ให้มีชัยชนะแก่โรค ขอจงประสิทธิให้แก่ข้าพเจ้าทุกครั้ง พุทธสังมิ ธรรมสังมิ สังฆสังมิ"
(คัดตามต้นฉบับเดิม)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #74 เมื่อ: มีนาคม 17, 2014, 09:31:14 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: