Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 14   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศรัทธา ธรรม  (อ่าน 13641 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #75 เมื่อ: มีนาคม 17, 2014, 09:50:41 PM »

" คำสัญญา คำสาบาน "
เคยสงสัยตัวเองบ้างไหมว่า ไปสัญญา สาบานกับใครเค้าไว้เมื่อชาติก่อนๆหรือเปล่า ถึงได้ส่งผลให้ชาตินี้ไม่มีคู่ หรือมีความรักก็ไม่สมหวังในความรัก ต้องมีเรื่องให้ทุกข์ใจตลอด ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

การสัญญา สาบาน โดยเฉพาะต่อหน้าพระพุทธรูป มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีอานุภาพอย่างยิ่ง แรงอธิษฐานจะติดตัวเราข้ามภพ ชาติ ไม่ใช่สุขข้ามชาติ แต่มันเป็นทุกข์ข้ามชาติ ทุกข์ที่เกิดจากความรัก มันหนักมากกก ความรักไม่ได้ทำให้เกิดความสุข สมหวังในชีวิตอย่างเดียวนะครับ การเวียนวายตายเกิด ข้ามภพ ข้ามชาติ มันมีอยู่จริง คนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว และตายชาติเดียวนะตัวอย่างก็มีให้รับรู้แล้ว
ชาตินี้มีทุกอย่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าชาติหน้าจะเกิดมาหล่อ สวย รวย มีทุกอย่างเหมือนชาตินี้ เรื่องจริงไม่อิงนิยายเรื่อง สัจจะสัญญา ๑,๔๐๐ ปี มาเล่าให้ฟัง

เรื่องนี้ได้มาจากการเข้ากรรมฐานของท่านหนึ่งได้พบเจ้าของเรื่องใน นิมิต คือ พระนางอุทุมมาพรเทวี มาเล่าเรื่องสัจจะอธิษฐานให้ท่านนั้นฟัง และขอให้ช่วยถอนคำสาบาน เรื่องมีอยู่ว่า

นางอุทุมมาพรหรือพระนางอุทุมมาพรเทวี นางในผู้ดูแลรับใช้พระแม่จามเทวี นครหริภุญไชย (จ.ลำพูน) ได้รับมอบหมายจากพระแม่จามเทวีให้ดูแลการสร้างวัดและพระประธานต่างๆในราช อาณาจักร นางก็ได้ดำเนินการไปด้วยดี แต่ด้วยวิบากกรรมปางก่อน ทำให้นางได้พบรักกับนายทหารหนุ่ม นามว่า อมรเทพ ซึ่งเป็นทหารคู่บารมีของเจ้าชายอนันตยศ พระราชโอรสของพระแม่จามเทวี ทั้งสองรักกันมาก ได้ครองรักกัน หลังจากสร้างวัดเสร็จแล้ว นางอุทุมมาพรและนายกองอมรเทพ ได้อธิษฐานร่วมกันต่อหน้าองค์พระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ ว่า

“เราได้ตั้งจิตไว้ถึงเทพไท้เทวัญ
ขอให้ได้ครองคู่กันทุกครา
และเมื่อเกิดมาทั้งสองตัองพันผูก
หากแม้ว่าผู้ใดมิได้เกิด
ขอทวยเทพโปรดจำคำนี้ไว้
การตั้งสัจจะอธิษฐานทุกคราไป
ขออย่าได้ครองคู่หมู่อื่นเลย
หากแม้ใครคิดตระบัดสัตย์
ขอข้องขัดเรื่องครองคู่ อย่าอยู่เฉย
มันผู้นั้นจงฉิบหายตายไปเลย
อย่าได้เคยเคียงคู่ทุกชาติไป”

ท่านอมรเทพเป็นทหาร จำต้องเดินทางไปรักษาเมืองต่างๆตามที่ได้รับมอบหมาย จึงกล่าวกับนางอุทุมมาพรไว้ว่า หากเราไปทำกิจของเราเสร็จ เราจะกลับมารับเจ้าไปอยู่ด้วยกัน และนางก็ตอบว่า เราจะรอท่านอยู่ที่นครหริภุญไชยนี้ จะรอจนกว่าท่านจะกลับมา (นั้นแน่ ยังสัญญาต่ออีก ไม่รู้ซะแล้ว...)
อมรเทพได้ติดตามเจ้าชายอนันตยศไปสร้างเมืองเขลางค์ แต่เนื่องจากวิบากกรรมเก่าที่ยังมี ทำให้อมรเทพได้เข้าไปในหมู่บ้านในเมืองเขลางค์นคร ได้พบรักหญิงสาวนางหนึ่ง คือ นางแก้วจินดา จึงอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ทั้งๆที่นางก็รู้ว่าอมรเทพมีคู่แล้วรออยู่ที่เมืองหริภุญไชย แต่นางก็รักท่านอมรเทพและพยายามไม่ให้อรมเทพกลับไปที่หริภุญไชย จนกระทั่งท่านอมรเทพเสียชีวิตในป่า เพราะนางจับได้ว่า อมรเทพมีหญิงอื่น จึงหลอกล่อใหท่านเข้าป่า แล้วก็หลงทางตายอยู่ในป่านั้นแหละ

ส่วนนางอุทุมมาพรก็ยังรออมรเทพอยู่โดยไม่รู้ว่าท่านอมรเทพตาย แล้ว นางเฝ้ารอคอยสามีให้กลับมา แต่ไร้วี่แวว รอจนกระทั่งได้ข่าวว่า อมรเทพมีผู้หญิงอื่นอีกหลายคน (ขนาดสัญญา สาบานกันไว้แล้ว ยังกล้ามีคนอื่นอีก นี่เป็นสันดานผู้ชายเจ้าชู้จริงๆค่ะ) และได้เสียชีวิตไปแล้ว นางได้แต่เฝ้าคิดถึงและร้องไห้ถึงท่านอมรเทพ ทำให้ต้องระทมทุกข์อยู่กับอดีต เสียใจอย่างมากมาย หลังจากนั้นนางได้รับพระยศเป็นพระนางอุทุมมาพรเทวี ต่อมาก็ได้ออกบวชพร้อมกับพระนางจามเทวี และได้เสียชีวิตลงในวัย ๘๖ ปี

หลังจากที่พระนางเสียชีวิตลง ด้วยบุญกุศลที่ได้กระทำ (สร้างวัด) มานางก็ได้ไปเกิดเป็นอากาศเทวา ประจำอยู่ที่บริเวณเมืองเวียงท่ากาน (ปัจจุบัน คือ บริเวญรอยต่อระหว่าง อ.สันป่าตอง กับ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน) สถานที่ๆได้ทำการอธิษฐานไว้

หลังจากนั้น พระนางอุทุมมาพรเทวีก็ได้เลื่อนชั้นเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช (สันนิษฐานว่า มีผู้อุทิศบุญกุศลให้พระนางอย่างต่อเนื่อง) แต่ยังไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ส่วนท่านอมรเทพได้เกิดมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม ลูกชาวป่า และมีนิสัยเจ้าชู้เหมือนเดิม พระนางอุทุมมาพรเทวี ได้ติดตามจนทราบว่าท่านอมรเทพมาเกิด ณ หมู่บ้านในเมืองเขลางค์นคร นางก็เฝ้าติดตามดูแลท่านอมรเทพมิได้ห่าง แล้วเห็นพฤติกรรมผิดสัจจะที่เคยให้ไว้แก่พระนาง ทำให้พระนางสะเทือนใจมาก แต่ก็เฝ้ารอคอยว่า ท่านอมรเทพจะระลึกถึงคำสัญญาได้ในวันหนึ่ง
ในชาตินั้น ท่านอมรเทพได้ใช้ชีวิตอย่างประมาท ยังคงเจ้าชู้ มักมาก และก็ไม่สมหวังในความรัก แล้วก็ตายอย่างอนาถ เพราะทะเลาะวิวาทแย่งคนรักกัน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนอยู่สักพักใหญ่ๆ

ต่อมาในยุคพระเจ้าอาทิตยราช ได้เกิดมาเป็นลูกชาวบ้าน ณ เมืองมูล ได้ร่วมสร้างวัดศรีสร้อยเมืองมูล (ทำบุญสร้างวัดด้วย) พระนางได้ติดตามท่านอมรเทพ ได้เฝ้าดูแล แต่ก็เห็นพฤติกรรมเจ้าชู้ มากรัก ผิดสัจจะเหมือนเดิม พระนางก็ได้แต่ช้ำใจ และก็รอคอยว่า สักวันหนึ่งท่านอมรเทพจะกลับใจ และระลึกชาติได้ ระลึกถึงคำสัญญา สาบานที่ให้กันไว้ แต่แล้วก็รอเก้อ ท่านอมรเทพลืมทุกอย่าเกี่ยวกับพระนางไปสิ้น สุดท้ายชายมากรัก หลายใจ ก็ผิดหวังในความรักเรื่อยไป แล้วตัดสินใจบวชในพระศาสนา แต่ก็ไม่ได้บรรลุธรรม หรือได้ทิพยจักขุญาณ จึงไม่สามารถระลึกชาติได้
เทพธิดาอุทุมมาพร รู้สึกเสียใจมาก ท่านคิดได้ว่า ไม่น่าเอาความรัก ความบริสุทธิ์ใจของตน ผูกติดกับคำอธิษฐาน สัญญา สาบาน กับชายคนนี้ เพราะแรงอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป พระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ทำให้นางไม่สามารถไปเกิดใหม่ ไม่สามารถที่จะยกจิตขึ้นสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น หรือบรรลุธรรมได้ สุดแสนจะเศร้าใจ ต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าดูชายที่ตนรัก ลืมความรัก ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระนาง ได้แต่มองดูคนรักจากไป ไปหาผู้หญิงอื่น ไปรักคนอื่น รักเรื่อยๆ รักหลายคน แล้วก็รับกรรมของเค้าไป ช่วยอะไรไม่ได้

พระนางจึงได้สติ และคิดว่า เราควรยกเลิกคำอธิษฐานที่มีต่อกัน จึงจะเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย
พระนางอุทุมมาพรเทวีหรือเทพธิดาอุทุมมาพร จึงได้เหาะไปยังสถานที่ๆเคยให้สัจจะ อธิษฐาน แล้วอธิษฐานต่อหน้าพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ว่า

“ข้าฯ แต่พระปฏิมาอันศักดิ์สิทธิ์
ผู้มีฤทธิ์ที่อยู่เบื้องหน้าข้าฯ
โปรดฟังคำขอข้า อีกสักครา
ที่ได้มาอธิษฐานด้วยความทุกข์ใจ
อันตัวข้าและชายโฉด
ท่านเคยโปรดข้าทั้งสองประคองไว้
เราเคยพบรักพ้องด้วยต้องใจ
และจึงได้สัญญาใจ สาบานกัน ด้วยสัจจะวาจา
มาครานี้ตัวข้าขอยกเลิก
ขอฟ้าเบิกคำอ้อนวอนของข้าหนา
อย่าได้ประสบพบกันทุกข์อีกครา
เพราะตัวข้าอิดหนาระอาใจ
จะเกิดมากี่ภพ เกิดกี่ชาติ
เขาไม่อาจเลิกมากรัก เลิกเจ้าชู้ได้
เมื่อเค้านั้นผิดสัจจะทุกคราไป
ตัวข้าไซร้แสนเจ็บปวดรวดอุรา
ขอเทพไท้เทวาอันศักดิ์สิทธิ์
ขอพระปิดคำอธิษฐานของตัวข้า
ขออีกภพที่เขาได้เกิดมาอีกครา
อันตัวข้าจะจะขอติดตามไป
นำตัวเขามาพร้อมกับตัวข้า
เพื่อได้มายกเลิกคำสัญญา สัจจะอธิษฐานไว้
ขอได้โปรดหนุนนำข้าทุกคราไป
ขอให้ได้สัมฤทธิ์ผลในอนาคตกาล..”

เมื่ออธิษฐานแล้ว พระนางก็เฝ้ารอการกลับมาเกิดของอมรเทพอีกครั้ง (รอนานมาก...) จนกระทั่งอมรเทพได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ เทพธิดาอุทุมมาพรได้มาให้พี่คนที่เล่าเรื่องเห็นในสมาธิ ขอให้ช่วยถอนคำสาบานและได้ไปหาอมรเทพ ทำให้อมรเทพทราบในสมาธิ เพื่อจะได้ไปทำพิธียกเลิกคำอธิษฐาน คำสาบานดังกล่าว (ในชาตินี้ท่านอมรเทพในวัยนักเรียนชั้นมัธยมปลายได้เรียนกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง จนสามารถระลึกชาติได้บ้าง ได้รู้อะไรบางอย่าง แต่ยังลังเลสงสัยไม่แน่ใจ จึงสอบถามจากผู้รู้ก็คือ พี่คนเล่าเรื่องกับพระอาจารย์ที่เคารพ
พิธีการถอนคำอธิษฐาน คำสัญญา สาบาน จึงได้เริ่มขึ้น

พวก เราได้รับรู้เรื่องจริงในเรื่องราวของความรัก ความผูกพันที่พันผูกข้ามภพ ข้ามชาติ ติดตามมาพร้อมคำอธิษฐาน สัญญา สาบานต่อหน้าพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระนางอุทุมมาพรเทวีหรือเทพธิดาอุทุมมาพร กับท่านอมรเทพไปแล้ว แรงอธิษฐานทำให้พระนางเกิดความทุกข์ทรมานยาวนานถึง ๑,๔๐๐ ปี (ไม่ใช่น้อยๆนะคะ แรงจริงๆ) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อคะ พลังแรงอธิษฐานที่เกิดขึ้น ศักดิ์สิทธิ์จริงๆค่ะ ทุกข์จริง เจ็บจริงด้วย โดยไม่ใช้สแตนต์อิน เลิกรักก็ไม่ได้ เลิกรอก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ทุกข์ เศร้า เสียใจ ทุกข์ระทมมานานจนหมดใจยินดีในรักแล้ว ก็ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะพระนางติดอยู่กับคำอธิษฐาน ไปไหนไม่ได้ (เฮ้อ..สุดแสนจะเศร้าใจ เราเคยไปสาบานรักแบบนี้ไว้กับใครบ้างไหมหนอ)

มา เอาใจช่วยพระนางอุทุมมาพรเทวีหรือเทพธิดาอุทุมมาพรกันต่อนะคะว่า เมื่อตัดใจจากอมรเทพแล้ว พระนางจะถอนคำอธิษฐานได้หรือไม่ จะได้ไปเกิดบนสวรรค์หรือไม่ ตามมาอ่านเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ได้มาจากกรรมฐานของคุณพี่เค้ากันต่อเลยคะ
เมื่อ ได้จุดธูป แล้วพนมมือ ก็มีลำแสงสีเหลืองพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและอยู่ใกล้กับน้องอมรเทพ พี่เค้าก็เริ่มพิธีถอนคำอธิษฐาน กล่าวคำอธิษฐาน เพื่อนร่วมคณะต่างพากันได้ยินเสียงผู้หญิงกล่าวว่า “ขอบคุณมากนะ”

เสร็จพิธีแล้วพระอาจารย์ที่ทางคณะนิมนต์มาร่วมเป็นสักขีพยานในการทำพิธีนี้ ก็ได้ทำการกรวดน้ำอุทิศบุกุศลให้ ก่อนเดินทางกลับ
ในที่สุดคำสัญญาที่กลายเป็นคำสาป ทำให้เกิดการจองจำอันยาวนานถึง ๑,๔๐๐ ปีของพระนางอุทุมมาพรเทวีก็ได้สิ้นสุดลง พระนางได้เป็นอิสระจากบ่วงรัก บ่วงทุกข์แล้ว พระนางได้ขึ้นไปอยู่บนวิมานในสวรรค์ชั้นดุสิตและจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป

นี่คือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ ของความทุกข์ทรมานที่เกิดจากความรัก เรื่องนี้เป็นแบบอย่างให้ทุกคนรู้ว่า อย่าล้อเล่นกับคำสัญญา คำอธิษฐาน คำสาบานใดๆ เราควรมีสติ ไม่ไปสัญญา สาบานรักไว้กับใคร และไม่ยอมให้ใครมาสัญญา สาบานรักกับเรา โดยเฉพาะการตั้งสัจจะอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป ทำให้เกิดอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ข้ามภพ ข้ามชาติติดตามกันไม่รู้จบ ถ้าไม่ทำพิธีถอนคำอธิษฐาน ก็อย่าได้หวังว่าจะสุข สมหวังในความรักอีกเลย ก็ต้องทนทุกข์เพราะความรักทุกชาติไปแบบนี้ล่ะ

เพราะ เราไม่อาจจะรู้ใจคนรักของเราได้ว่า ใจจะแปร รักจะเปลี่ยน ไปเมื่อใด จะรักษาความรักไว้ได้นานเท่าใด ที่สำคัญ เราจะตามกันมาเกิดในทุกชาติภพอีกหรือไม่ ชาตินี้เราเกิดเป็นมนุษย์ แต่เค้าล่ะ ชาตินี้เกิดมาเป็นอะไร ใช่เป็นมนุษย์เหมือนเราหรือเปล่า จริงๆแล้ว แน่ใจหรือว่าเค้าได้มาเกิดแล้ว 555 แน่ใจหรือว่าเราจะตามกันทันทุกชาติ ภพ บุญกรรม ทำมาไม่เท่ากัน การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า จะแน่นอน

กฏไตรลักษณ์ของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าบอกเอาไว้แล้วนี้ค่ะ ว่า มันไม่เที่ยง (ไม่แน่นอน) มันเป็นทุกข์ มันบังคับไม่ได้ แล้วจะหวังอะไร กับใครได้ค่ะ กับตัวเองก็หวังพึ่งไม่ได้ค่ะ เราเวียนว่ายตายเกิด แล้วเราก็ลืม แล้วเราก็เกิด แล้วเราก็ลืม แล้วเราก็เกิด วนเวียนอยู่อย่างนี้ในวัฏฏสงสาร น่าอนาถไหมค่ะ
รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มันเป็นเพียงแค่คำพูดค่ะ ให้หลงใหล ให้ติดกับบ่วงรัก บ่วงทุกข์กันเล่นๆ ถ้าเอามาจริงจังถึงขั้นสัญญา สาบาน อธิษฐานกันด้วยแล้ว ระวังจะเป็นอย่างเรื่องพระนางอุทุมมาพร ต้องรออยู่ที่เดิม รอคนเดิมมาเป็นพันปี

ดังนั้น ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท อย่าล้อเล่นกับการตั้งสัจจะอธิษฐาน ผูกจิตวิญญาณของตัวเองกับใครทั้งสิ้น ขอร้องอย่าทำ อย่าได้คิดที่จะทำ
ชีวิตไม่แน่นอน ใจมนุษย์ก็ไม่แน่นอนค่ะ ทั้งใจเราเองและใจคนอื่น มันเปลี่ยนกันได้ จำไว้นะคะ ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาทค่ะ เพื่อจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความรักเหมือนดั่งพระนางอุทุมมาพรเทวี

สำหรับ ใครที่จำได้ว่า เราเอง เคยไปทำสัญญา สาบานไว้ อธิษฐานรักต่อหน้าพระพุทธรูปไว้กับใครบางคน จะทำจริงจังหรือทำเล่นๆก็ตาม ขอแนะนำว่า ให้ไปตามเค้ากลับมา แล้วรีบไปทำพิธีถอนซะ ในสถานที่เดิม เวลาเดิม อย่าได้รีรอ อย่าได้ลองดี อย่าได้ประมาท อย่ารอให้คำอธิษฐานกลายเป็นคำสาปจองจำเราทุกชาติภพ วันนี้อะไรๆ ยังไม่เปลี่ยน แต่วันหน้าอะไรๆ ก็เปลี่ยนไป รีบๆ ไปถอนคำสาบานรักก่อนดีกว่าค่ะ กันเหนียวค่ะ
สำหรับ ใครที่จำไม่ได้ แต่มีความสงสัยอยู่ว่าเราอาจจะไปเผลอ ขาดสติ ทำอะไรแบบนี้ไว้กับใครๆในชาติก่อนๆ ถึงได้ส่งผลให้ชาตินี้มีรักที่เป็นทุกข์ มีทุกข์กับความรักเสมอ มีทุกอย่าง แต่ไม่มีรักแท้ ไม่มีรักจริง ก็ขอให้ไปเข้ากรรมฐาน ฝึกจิต ระลึกชาติกับครูบาอาจารย์ (พระวิปัสสนากรรมฐาน) จะได้รู้ที่มาที่ไป รู้จัก พบเจอเจ้ากรรมนายเวรตัวจริง แล้วจะได้ขออโหสิกรรมเค้าได้ แต่ถ้าใจร้อน หรือยังฝึกกรรมฐานได้ไม่ดีพอที่จะระลึกชาติเอาเองได้ ก็แนะนำให้ไปหาคนที่มีญาณทิพย์ค่ะ ไปขอให้เค้าช่วยตรวจดู ช่วยหาคนต้นเรื่อง สาเหตุแห่งความทุกข์ของเรา ถ้าเจอจะได้ทำพิธีถอนสัญญาอย่างเป็นทางการค่ะ
ถ้าจะรักกันในชาติปัจจุบันก็ขอ ให้รักกัน อยู่ด้วยกันโดยอาศัยบุญ กรรมในปัจจุบันนะคะ ทาน ศีล ภาวนาให้เสมอกัน ให้บุญรักษา ธรรมคุ้มครองกันและกัน จะดีกว่าผูกวิญาณไว้ด้วยคำอธิษฐาน เพราะสุดท้าย เรื่องอาจจะไม่จบแบบ happy เหมือนในนิทานหรือในนิยาย แบบว่า เราจะรักกันชั่วนิรันดร์ เราจะมีความสุขกันชั่วนิรันดร์
ที่มา:http://www.gotoknow.org/blogs/posts/485505


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #76 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 08:19:06 PM »

***40 สถานที่ปฏิบัติกรรมฐานยอดนิยม***

๑. วัดธรรมมงคล
ซอยปุณณวิถี ๒๐ ถ. สุขุมวิท ๑๐๑ บางจาก พระโขนง กรุงเทพฯ โทร. ๗๔๑-๗๘๒๑-๒, ๓๓๒-๒๘๒๖-๗
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร
แนวการปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
สถานที่ปฏิบัติมีหลายแห่ง คือ ๑. ศาลาปฏิบัติธรรม เป็นห้องมุ้งลวด
๒. ถ้ำวิปัสสนา (จำลอง) ๓. ศูนย์สมาธิวิริยานุภาพ มี ๘๐ ห้องพัก
ทุกห้องมีเครื่องปรับอากาศ ๔. ห้องสำหรับทำสมาธิ
๕. สถานปฏิบัติธรรม จ. เชียงราย ๖. สำนักสงฆ์น้ำตกแม่กลาง

๒. วัดอัมพวัน
๕๓ บ. อัมพวัน ถ. เอเชีย กม. ๑๓๐ หมู่ที่ ๔ ต. พรหมบุรี อ. พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
โทร. (๐๓๖) ๕๙๙-๓๘๑), (๐๓๖) ๕๙๙-๑๗๕
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม
แนวการปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ บริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”

๓. ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในราชูปถัมภ์
๕๘/๘ ถ.เพชรเกษม ๕๔ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐ โทร. ๔๑๓-๑๗๐๖, ๘๐๕-๐๗๙๐-๔
วิปัสสนาจารย์ คุณแม่สิริ กรินชัย
แนวการปฏิบัติ แนวสติปัฏฐาน ๔ เจริญสติอย่างต่อเนื่อง
ตามแนวพระธีรราชมหามุนี วัดมหาธาตุ
สถานที่เป็นตึกทันใหม่ทันสมัยหลายหลัง โดยทั่วไปการอบรมใช้เวลา ๘ วัน ๗ คืน

๔. สวนโมกขพลาราม
๖๘ หมู่ ๖ ต. เลเม็ด อ. ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี ๘๔๑๑๐
วิปัสสนาจารย์ ท่านพุทธทาสภิกขุ
แนวการปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา

๕. วัดป่าสุนันทวราราม
บ้านลิ่นถิ่น ต. ท่าเตียน อ. ไทรโยค จ. กาญจนบุรี
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
แนวการปฏิบัติ อานาปานสติภาวนา
เปิดอบรม “อานาปานสติภาวนา” แก่ผู้สนใจ ครั้งละ ๙ วัน
เปิดรับครั้งละ ๑๐๐-๑๕๐ คน เป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัด กินอาหารวันละ ๑ มื้อ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณดารณี บุญช่วย (๐๒) ๓๒๑-๖๓๒๐

๖. วัดภูหล่น
๙ ต. สงยาง อ. ศรีเมืองใหม่ จ. อุบลราชธานี
ปฐมวิปัสสนาหลวงปู่มั่นฯ (สถานที่หลวงปู่มั่นออกธุดงค์ครั้งแรกกับหลวงปู่เสาร์)
วัดนี้ค่อนข้างจะห่างจากตัวเมือง บรรยากาศดีมาก เย็นสบาย และเงียบสงบ มีสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนเขาไม่สูงนักสามารถกางกลดอยู่ได้ มีโบสถ์บนเขาและมีกุฏิโดยรอบ บ้างก็ซ่อนอยู่ตามซอกเขา ที่นี่เหมาะกับผู้เคยปฏิบัติธรรมมาแล้ว ต้องการมาปฏิบัติขั้นอุกฤษฎ์

๗. วัดถ้ำขาม
บ้านคำข่า หมู่ที่ ๔ ตำบาลไร่ อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
วิปัสสนาจารย์ อาจารย์ฝั้น อาจาโร
วัดมีเนื้อที่ ๘๔๐ ไร่ พื้นที่จรดเขตอุทยานป่าแนวเทือกเขาภูพาน วัดอยู่บนเขาสูง แต่ก็มีบันไดขึ้นลงสะดวก มีลิงป่า และไก่ป่า ที่พัก มีที่พักเป็นกุฏิ (กุฏิละ ๑ คน) หรือพักรวมบนศาลาก็ได้ เหมาะสำหรับไปปฏิบัติแบบอุกฤษฎ์

๘. วัดมเหยงคณ์
ต. หันตรา อ. พระนครศรีอยุธยา จ. พระนครศรีอยุธยา
แนวปฏิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดรู้ รูป-นาม

๙. สำนักปฏิบัติธรรมแสงธรรมส่องชีวิต
ต. โคกแย้ อ. หนองแค จ. สระบุรี ๑๘๒๓๐
โทร. (๐๓๖) ๓๗๙-๔๒๘
แนวปฏิบัติ เน้นให้ผู้ฝึกมีสติรู้ในอิริยาบท
ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันสำคัญทางศาสนา
จะมีการจัดอบรมฝึกวิปัสสนากรรมฐาน บวชชีพราหมณ์ เนกขัมมะ

๑๐. วัดสนามใน
๒๗ ต. วัดชลอ อ. บางกรวย จ. นนทบุรี
โทร. ๔๒๙-๒๑๑๙, ๘๘๓-๗๒๕๑
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ
แนวปฏิบัติ เน้นการเจริญสติ วิธีที่เป็นที่นิยมคือวิธีสร้างจังหวะ เป็นวิธีสร้างสติแบบนั่งทำสมาธิแต่ไม่ต้องหลับตา

๑๑. วัดป่านานาชาติ
บ้านบุ่งหวาย หมู่ ๗ ต. บุ่งหวาย อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี (สาขา ๑๑๙ ของวัดหนองป่าพง)
เป็นวัดป่าที่มีต้นไม้ใหญ่มาก มียุงและแมลงต่าง ๆ มาก
คนที่แพ้ยุงก็ควรหายากันยุงไปด้วย อากาศเย็นสบาย ทานอาหารวันละ ๑ มื้อ การไป ให้เขียนจดหมายไปขออนุญาตจากเจ้าอาวาส แล้วจึงเดินทางไปอยู่

๑๒. วัดปทุมวนาราม
ถ. พระราม ๑ ปทุมวัน กรุงเทพฯ ๑๐๓๓๐
โทร. ๒๕๑-๒๓๑๕, ๒๕๒-๕๔๖๕
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์ถาวร จิตฺตถาวโร
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
นั่งปฏิบัติในศาลาพระราชศรัทธา มีอาสนะและผ้าคลุมตักให้หยิบใช้ได้ บริเวณโดยรอบมีการปลูกแต่งด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ร่มรื่นสวยงาม กำหนดการปฏิบัติธรรมที่ศาลาฯ ประจำวันจันทร์ – ศุกร์ วันละ ๓ เวลา
เช้า ๗.๐๐ – ๘.๐๐ น. กลางวัน ๑๒.๐๐ – ๑๓.๐๐ น. เย็น ๑๗.๐๐ – ๒๐.๐๐ น.

๑๓. วัดปากน้ำภาษีเจริญ
เลขที่ ๘ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ วิปัสสนาจารย์ พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด)
แนวปฏิบัติ ตามแนวธรรมกาย ใช้คำบริกรรม “สัมมาอรหัง”
สถานที่ปฏิบัติ ๑. หอเจริญวิปัสสนาฯ ชั้น ๒ เป็นห้องแอร์ปูพรม
๒. หอสังเวชนีย์มงคลเทพนิมิต ๓. ตึกบวรเทพมุนี

๑๔. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์
เลขที่ ๓ ท่าพระจันทร์ แขวงมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
แนวปฏิบัติ ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ปฏิบัติ คณะ ๕ สำนักงานกลาง กองการวิปัสสนาธุระ
เปิดทุกวัน สอนเดินจงกรมและนั่งสมาธิ
เช้า ๐๗.๐๐ – ๑๐.๐๐ น. กลางวัน ๑๓.๐๐ – ๑๖.๐๐ น. เย็น ๑๘.๐๐ – ๑๙.๐๐ น.

๑๕. วัดอินทรวิหาร
อาคารปฏิบัติธรรม “เฉลิมพระเกียรติ” วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร. ๖๒๘-๕๕๕๐-๒
แนวการปฏิบัติ แนวหลักสูตรของคุณแม่สิริ กรินชัย ๘ วัน ๗ คืน หรือ ๔ วัน ๓ คืน
เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมขยายผล จากผู้ปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ กรินชัย
เป็นอาคารทันสมัย ๕ ชั้น จุได้ประมาณ ๕๐๐ คน

๑๖. สำนักงานพุทธมณฑล
พุทธมณฑล ถ. พุทธมณฑลสาย ๔ ต. ศาลายา อ. พุทธมณฑล จ. นครปฐม โทร. ๔๔๑-๙๐๐๙, ๔๔๑-๙๐๑๒
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ กำหนดรู้อารมณ์ บริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ปฏิบัติ ชั้น ๒ ของหอประชุม มีเครื่องปรับอากาศ ห้องนอน มีเครื่องนอน เช่น หมอน มุ้ง ผ้าห่มให้พร้อม หรือนำไปเองก็ได้ ทานอาหาร ๒ มื้อ

๑๗. ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธฯ เฉลิมพระเกียรติ
คลองสาม จ. ปทุมธานี โทร. ๙๘๖-๖๔๐๔-๕
เป็นสาขาของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย – ภาษีเจริญ

๑๘. วัดอโศการาม
๑๓๖ หมู่ ๒ กม. ๓๑ ถ. สุขุมวิท (สายเก่า) ต. ท้ายบ้าน อ. เมือง จ. สมุทรปราการ
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อลี ธมฺมชโช
บริเวณกว้างขวาง มีสระน้ำใหญ่ในบริเวณวัด
กุฏิพระ แม่ชี และที่พักแยกเป็นสัดส่วนเรียงรายรอบวัดเป็นร้อย ๆ หลัง ส่วนมากอยู่ติดริมทะเลซึ่งเป็นป่าชายเลน

๑๙. วัดญาณสังวรารามวรวิหาร
ต. ห้วยใหญ่ อ. บางละมุง จ. ชลบุรี โทร. (๐๓๘) ๒๓๗-๖๔๒ สถานที่ปฏิบัติ เป็นอาคารคอนกรีต ๒ ชั้น มีอาคาร ญส. ๗๒ ชาย และ ญส. ๗๒ หญิง
ชั้นละ ๑๐ ห้อง มีห้องน้ำในตัว เรือนปฏิบัติธรรมมี ๑๗ หลัง

๒๐. สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม
ซ. ประชานุกูล ๗ ถ. ชลบุรี-บ้านบึง ต. บ้านสวน อ. เมือง จ. ชลบุรี โทร (๐๓๘) ๒๘๓-๗๖๖
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์ภัททันตะ อาสภมหาเถระ
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ” มีเรือนพักปฏิบัติธรรมทั้งหญิงชายแยกเป็นสัดส่วนอยู่จำนวนมาก การอยู่ปฏิบัติให้พักคนเดียว เน้นการเก็บอารมณ์ ไม่พูดคุยกัน อย่างเคร่งครัด
การรับประทานอาหารจะมีปิ่นโตส่งถึงห้อง ๒ มื้อ
ทุกวันจะมีการสอบอารมณ์กรรมฐานโดยพระอาจารย์
ค่าน้ำไฟ อาหาร วันละ ๕๐ บาท หรือเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ห้ามอยู่เกิน ๙๐ วัน

๒๑. สำนักวิปัสสนาสมมิตร – ปราณี
จ. ชลบุรี โทร. พระอาจารย์ใหญ่ (๐๑) ๙๒๑-๑๑๐๑
เป็นสถานที่ซึ่งมีผู้บริจาคเพื่อขยับขยายมาจากวิเวกอาศรม แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ ใช้คำบริกรรม “ยุบหนอ พองหนอ”
สถานที่ล้อมรอบด้วยทุ่งและธรรมชาติ มีกุฏิสงฆ์สร้างในแบบธรรมชาติมุงจาก
อาคารปฏิบัติธรรมขนาดกลางและอุโบสถ ยังรับผู้ปฏิบัติธรรมได้ไม่มากนัก

๒๒. วัดเขาสุกิม
ต. เขาบายศรี อ. ท่าใหม่ จ. จันบุรี
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ใช้คำบริกรรม “พุทโธ”
วัดตั้งอยู่สูงขึ้นไปบนเชิงเขา กว้างขวางกว่า ๓,๒๘๐ ไร่
มีทางบันได และรถรางขึ้นไปบนวัด บริเวณร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มีศาลาที่พักที่สะดวกสบาย เป็นห้องมุ้งลวด มีเตียง ที่นอน หมอนให้ หรือพักที่กุฏิว่างต่าง ๆ

๒๓. วัดจันทาราม (วัดท่าซุง)
๖๐ บ้านท่าซุง หมู่ ๑ ต. น้ำซึม อ. เมือง จ. อุทัยธานี
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
แนวปฏิบัติ มโนมยิทธิ บริกรรม “นะ มะ พะ ธะ” และสอนอนุสติ บริกรรม “พุทโธ”

๒๔. สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ. เชียงดาว จ. เชียงใหม่
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่สิม พุทธจาโร
สำนักสงฆ์แห่งนี้อยู่บนดอย ทางขึ้นลงเทปูนเป็นบันไดเดินได้สะดวกแต่ค่อนข้างสูง
หลวงปู่เคยเล่าไว้ว่าที่ถ้ำผาปล่อง และถ้ำเชียงดาวนี้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ให้สำรวมระวัง รักษาความสงบ ไม่ร้องรำทำเพลง เล่นตลกคะนอง เพราะเคยมีพระอรหันต์ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ พระอรหันต์สมัยพระพุทธเจ้าโกนาคม พระอรหันต์สมัยพระกัสสโป และพระอรหันต์สมัยพระพุทธโคดม มาบำเพ็ญเพียรและละสังขารอยู่หลายองค์
การนั่งภาวนาที่นี่จะทำเหมือนสมัยที่หลวงปู่ยังอยู่ คือ
ท่านจะให้ทุกคนที่ไปภาวนานั่งสมาธิเพชรฟังเทศน์ ด้วยเหตุผลว่า ”การนั่งสมาธิเพชรนั้นเป็นการฝึกฝนคนเราให้เกิดความตั้งใจมั่น”

๒๕. วัดป่าสาละวัน
อ. เมือง จ. นครราชสีมา
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วันที่ ๑-๕ ของทุกเดือน จะมีการอบรมการปฏิบัติแก่อุบาสกอุบาสิกา ที่ใต้ศาลา และบนวิหารชั้น ๒ โดยจะมีพระให้การอบรม

๒๖. วัดสมเด็จแดนสงบ (แสงธรรมเวฬุราราม)
๙๙ ซอย ๑๙ ถ. มิตรภาพ อ. เมือง จ. นครราชสีมา ๓๐๐๐๐ โทร. (๐๔๔) ๒๑๔-๑๓๔, ๒๑๔-๘๖๙-๗๐
วิปัสสนาจารย์ พระครูภาวนาวิสิฐ
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔

๒๗. วัดป่าวะภูแก้ว
ต. มะเกลือใหม่ อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา
แนวปฏิบัติ แนวหลวงปู่เสาร์ - หลวงปู่มั่น ภาวนา “พุทโธ”
วัดอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ มีต้นไม้ใหญ่น้อยมาก สถานที่เงียบสงบ สวยงาม มีอาคารอบรมขนาดใหญ่ สำหรับผู้มาทำสมาธิเป็นหมู่คณะ

๒๘. วัดหนองป่าพง
๔๖ หมู่ ๑๐ ต. โนนผึ้ง อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อชา สุภทฺโท
แนวปฏิบัติ เน้นให้มีสติสม่ำเสมอ ฝึกสมาธิแบบอานาปานสติ

๒๙. ศูนย์ปฏิบัติธรรมสวนเวฬุวัน
บ้านเนินทาง ต. บ้านค้อ อ. เมือง จ. ขอนแก่น ๔๐๐๐๐
โทร. (๐๔๓) ๒๓๗-๗๘๖, ๑๒๗-๗๙๐
เป็นสถานปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสาขา ของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ เช่นเดียวกับวัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี

๓๐. วัดป่าวิเวกธรรมวิทยาราม
ซ. ศรีจันทร์ ๑๓ ถ. ศรีจันทร์ ต. ในเมือง อ. เมือง จ. ขอนแก่น ๔๐๐๐๐ โทร. (๐๔๓) ๒๒๒-๐๔๒
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”

๓๑. วัดถ้ำผาบิ้ง
ต. ทรายขาว อ. วังสะพุง จ. เลย
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่หลุย จันทสาโร
เมื่อไปถึงจะพบศาลาสร้างด้วยไม้ที่โปร่งสะอาดน่านั่งสมาธิ มีกุฏิหลายหลัง มีถ้ำอยู่ไม่สูงจากเชิงเขา มีบันได้ขึ้นสะดวก เป็นที่สงบวิเวกมาก
เหมาะแก่การปฏิบัติอย่างอุกฤษฎ์ พระในสายพระอาจารย์มั่นมักมากจำพรรษา และปฏิบัติธรรมที่นี่ เพราะเป็นที่สัปปายะ บรรยากาศเงียบสงบ ห่างจากเมือง

๓๒. วัดถ้ำกองเพล
ต. โนนทัน อ. เมือง จ. หนองบัวลำภู ๓๙๐๐๐
โทร. (๐๔๒) ๓๑๒-๓๗๗
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่ขาว อนาลโย
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
เป็นวัดป่ากว้างขวาง พร้อมศาลาปฏิบัติธรรมสร้างภายในถ้ำ ทางไปถ้ำสะดวกอยู่ริมถนน รถเข้าถึงปากถ้ำได้ ไม่ต้องปีน บางกุฏิก็ซ่อนอยู่ตามเหลือบผาต่าง ๆ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เมื่อไปถึงให้ติดต่อศาลาประชาสัมพันธ์เพื่อขออนุญาตก่อน ปฏิบัติธรรมอย่างเข้ม

๓๓. วัดป่าบ้านตาด
ต. บ้านตาด อ. เมือง จ. อุดรธานี
วิปัสสนาจารย์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
ในวัดมีกุฏิที่พักหลายกุฏิ มักจะมีลูกศิษย์มาอยู่ปฏิบัติกันมาก แต่ผู้มาปฏิบัติที่นี่ต้องกินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติมาก
กลางคืนมักจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ จนดึก หรือโต้รุ่งก็มี
ไม่ใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน ผู้ปฏิบัติจึงควรจำไฟฉายหรือเทียนติดตัวไปด้วย เพื่อใช้ส่องทางเดิน ทางจงกรม ซึ่งมักจะเป็นทางดิน และอาจมีสัตว์ เช่น งู อยู่บ้าง ต้องเจริญเมตตาไม่เบียดเบียนต่อกัน

๓๔. วัดหินหมากเป้ง
บ้านไทยเจริญ หมู่ ๔ ต. พระพุทธบาท อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
ในวัดมีกุฏิเรือนรับรองอยู่มาก บริเวณกว้างขวาง ประกอบด้วยป่าโปร่ง ป่าไผ่ ทะเลสาบใหญ่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เหมาะแก่การอยู่ปฏิบัติ

๓๕. วัดเจติยาคีรีวิหาร (ภูทอก)
อ. บึงกาฬ จ. หนองคาย
วิปัสสนาจารย์ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
วัดตั้งอยู่บนภูทอก ทางขึ้นค่อนข้างชัน
สร้างด้วยความอัศจรรย์และด้วยจิตที่เด็ดเดี่ยวของพระเณร ท่านพระอาจารย์จวนได้ทำทางขึ้นเป็นขั้นบันไดและทางเดินด้วยไม้รอบภูจนถึงยอด
บริเวณหน้าผา ท่านใช้ไม้ ๒ ลำมัดให้แน่นยื่นออกไป ๔ เมตร เอาเชือกบังสุกุลผูกปลายไม้ที่ยื่นออกไป ตรึงใส่เสาที่ปักไว้ แล้วไปนั่งที่ปลายไม้นั้น เพื่อตอกหินเจาะหลุมที่หน้าผา ปรากฏว่า ถ้าให้ฆราวาสไปนั่งปลายไม้ครั้งใด
ก็ไม่สามารถควบคุมสติสมาธิได้ เพราะมองไปข้างบ่างก็เกิดความหวั่นไหว จนไม่สามารถตอกหินได้สำเร็จ ผู้สร้างจึงเป็นพระและเณร สิ่งปลูกสร้างนี้มี ๗ ชั้น
มีกุฏิที่พักเชิงเขาที่ชั้น ๒ หรือจะพักกุฏิว่างรอบเขาก็ได้ (ต้องขออนุญาตก่อน)
เหมาะกับผู้ปฏิบัติที่ฝึกมาดีพอสมควร มีความเข้มแข็งพึ่งตนเองได้ เนื่องจากเปลี่ยวและสูงอยู่บนภูเขา แต่บรรยากาศเย็นสบาย เงียบสงบ

๓๖. วัดดอยธรรมเจดีย์
บ้านทาสีนวล หมู่ ๓ ต. ตองโขบ อ. ศรีสุพรรณ จ. สกลนคร วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ”
ปกติจะปฏิบัติที่ศาลา ส่วนที่พักมีกุฏิ และอาคารคึกสะอาดทันสมัย

๓๗. วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม
ถนน รพช หมู่ ๑ ต. ปทุมวาปี อ. ส่องดาว จ. สกลนคร
แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภาวนา “พุทโธ”
ที่นี่มีหลายถ้ำ มีถ้ำหนึ่งชื่อถ้ำพวง ซึ่งพระอาจารย์มั่นเคยเล่าให้ฟังว่า เป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เคยมีพระอรหันต์ชื่อ พระนรสีห์ มานิพพานที่นี่

๓๘. วัดป่าสุทธาวาส
๑๓๙๖ บ้านคำสะอาด หมู่ ๑๐ ต. ธาตุเชิงชุม อ. เมือง จ. สกลนคร แนวปฏิบัติ แนวพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภาวนา “พุทโธ” มีอาคารเป็นตึกปูน ๓ ชั้นหลังใหญ่ จุคนได้หลายร้อยคน เย็นสบาย

๓๙. วัดคำประมง
เลขที่ ๒๐ หมู่ ๔ บ้านคำประมง ต. สว่าง
อ. พรรณนานิคม จ. สกลนคร ๔๗๑๓๐
วิปัสสนาจารย์ หลวงปู่สิม พุทธจาโร
เนื่องจากเป็นวัดที่มีพระจำพรรษาอยู่น้อยในฤดูนอกพรรษา จึงเงียบสงบ มีเจ้าหน้าที่ตัดหญ้า ปลูกดอกไม้สวยงามอย่างดี มีพระพุทธรูปปางต่าง ๆ และสิ่งก่อสร้างสวยงาม มีสระน้ำทะเลสาบใหญ่ ฝูงปลามากมาย มีนักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมและให้อาหารปลาอยู่เสมอ

๔๐. สำนักปฏิบัติธรรมศิริธรรม (ถ้ำชี)
เขากิ่ว ต. ไร้ส้ม อ. เมือง จ. เพชรบุรี ๗๖๐๐๐
โทร. (๐๓๒) ๔๒๘-๕๒๒
วิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อกนฺตสิริภิกขุ
แนวปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ และอานาปานสติ
เขากิ่วเป็นภูเขาเตี้ย ๆ มีต้นไม้หนาแน่นมาก อยู่ใกล้เมือง เดินทางสะดวก บนเขามีลิงอยู่บ้าง แต่ไม่ทำร้ายคน บนสำนักฯ มีเจดีย์บรรจุสารีริกธาตุ
ศาลา ถ้ำชี ซึ่งใช้เป็นอุโบสถ กุฏิที่พัก ห้องน้ำ-ส้วม พอสะดวกสบายแก่การปฏิบัติ ที่นี่เน้นการปฏิบัติเคร่งครัด กินน้อย นอนน้อย ปฏิบัติมาก.

(เป็นข้อมูลเก่า บางแห่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามผู้ดูแลใหม่ หรือวิปัสสนาจารย์รุ่นหลัง)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #77 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 08:20:09 PM »


***พญานาคแสดงอิทธิฤทธิ์***

ในตำนาน พระพุทธชัยมงคลคาถาบทที่ 7 มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคว่า

สมัยหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร วันหนึ่งทรงรับนิมนต์ที่จะเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น

ครั้นเวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงพิจารณาดูหมู่เวไนยสัตว์ปรากฏว่า “พญานันโทปนันทนาคราช” เข้ามาปรากฏอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์

พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า พญานาคราชนี้เป็นสัตว์เดรัจฉานมีวาสนาเข้ามาข้องในข่ายพระญาณของเราตถาคต ควรที่เราตถาคต จะเสด็จไปโปรดแต่พญานันโทปนันทนาคราชนี้ ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิศักดานุภาพยิ่งนักและเป็นมิจฉาทิฐิ

ผู้ที่จะทรมานทำให้หมดพยศร้ายได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยมหิทธิฤทธิ์อันพิเศษ พระโมคคัลลานะเถระมีความสามารถ ที่จะทรมานพญานันโทปนันทนาคราชให้หมดพยศร้ายได้

พอได้เวลาจึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏิ แล้วมีพระดำรัสสั่งให้พระอานนท์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน แล้วทรงอธิษฐานว่า ขอให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นพระตถาคตและพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลบัดนี้

ครั้นทรงอธิษฐานแล้วก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหาะมาโดยทางนภากาศ แล้วมาสู่สวรรค์เทวโลก เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปในอากาศวันนั้น ประกอบด้วยพระรัศมีอันสว่างไสว

วันนั้นพญานันโทปนันทนาคราชได้แลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดความพิโรธยิ่งนัก จึงคำรามว่า สมณะโล้นเหล่านี้ จะได้ยำเกรงเราสักนิดก็ไม่มี พาพรรคพวกเหาะมาบัดนี้ชะรอยว่าจะไปสู่ดาวดึงส์พิภพกระมัง

ถ้าเหาะไปทางอื่นก็ช่างเถิด แต่ถ้าเหาะข้ามเราไปเมื่อไร เป็นต้องผิดใจกัน เพราะเมื่อเหาะข้ามเราไป ผงละอองธุลีในฝ่าเท้าก็จะต้องหล่นลงเหนือหัวของเราเป็นมั่นคง ทางที่ดีเราควรจะไปสกัดหน้าหมู่สงฆ์เอาไว้ อย่าให้เหาะข้ามเราไปได้ เมื่อคิดดังนั้นก็สำแดงมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพ เนรมิตตนให้มหึมาใช้ลำตัวรัดเขาพระสุเมรุราช อันสูงประมาณแปดหมื่นสี่พันโยชน์ด้วยขนดหาง 7 รอบแล้วแผ่พังพานปิดเมืองดาวดึงส์กว้างประมาณได้สิบสองโยชน์ปรากฏอยู่เหนือเขาพระะสุเมรุราชนั้น แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นควันและหมอกมืดมัวไปทั่ว

ฝ่ายพระรัฐบาลอรหันตเถรเจ้า ครั้นเห็นมืดมนอนธการไปทั่วเช่นนั้น จึงกราบทูลถามมูลเหตุแด่องค์สมเด็จศาสดาว่าเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น

สมเด็จพระพุทธองค์ตรัสว่าที่มืดมนอนธการเช่นนี้เป็นเพราะ “อานุภาพของพญานาคราชอันมีชื่อว่า นันโทปนันทะ” มีจิตกริ้วโกรธพยาบาทต่อเราผู้ตถาคตยิ่งนัก จึงเอาร่างกายกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุราชไว้ประมาณเจ็ดรอบแล้วแผ่พังพานปกคลุมไปในเขตเมืองดาวดึงส์สวรรค์ แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นหมอกควัน มืดมัวไปทั่วแดนดาวดึงส์สวรรค์ เมื่อพระรัฐบาลอรหันตเถระเจ้าได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธองค์เช่นนั้น จึงกราบทูลอาสาที่จะทรมานพญานาคราชให้พ่ายแพ้สิ้นพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต ต่อจากนั้นพระอรหันตเถระเจ้าทั้งหลายได้กราบทูลขออาสา ที่จะทรมานปราบพญานาคราชนั้นให้เสื่อมหายจากพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต

เดชพระโมคคัลลา

เมื่อพระมหาโมคคัลลานะเถระผู้เป็นอัครสาวกเบึ้องซ้าย ได้กราบทูลขออาสาไปทรมานพญานาคราชนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต

พระมหาโมคคัลลานะเถรเจ้า เมื่อได้รับพระพุทธานุญาตแล้วจึงมาดำริว่า

พญานาคราชตนนี้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานสำคัญตนว่า มีร่างกายยาวใหญ่ยิ่งกว่าพญานาคราชอื่น ๆ ไม่มีผู้ใดที่จะมาต่อสู้ตนด้วยอานุภาพได้ จึงบังเกิดความกำเริบมัวเมาคิดอาละวาด เราจะต้องทรมานให้หมดพยศอันร้ายนี้เสีย

ครั้นคิดเช่นนั้นแล้ว จึงเนรมิตกายให้กลับกลายเป็นพญานาคราชอันเรืองฤทธา มีกายยาวใหญ่กว่าพญานันโทปนันทนาคราชประมาณสองเท่า แล้วเนรมิตพังพานประมาณกว้างแสนหนึ่ง แล้วกระหวัดรัดตัวพญานันโทปนันทนาคราชนั้น ให้แน่นเข้ากับภูเขาพระสุเมรุสี่รอบ แล้วแผ่พังพานออกไปอย่างใหญ่หลวงมหึมาอยู่เหนือเบึ้องบนแห่งพญานันโทปนันทนาคราช แล้วรัดให้แน่นเข้า ๆ กับภูเขาพระสุเมรุราชนั้น

ฝ่ายพระยานันโทปนันทนาคราชให้บังเกิดความอึดอัดประหนึ่งว่าจะขาดใจตาย ทั้งกระดูกนั้นเล่าก็เหมือนจะแตกแหลกลาญเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกายสักนิดก็มิได้ ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเดือดตาลใจเป็นกำลังจึงบันดาลพ่นพิษให้เป็นควัน แผ่ออกไปในระยะไกลได้ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ตั้งแต่พื้นพสุธาถึงภวัคพรหม

พระมหาโมคคัลลานะเถระก็บันดาลมหิทธิฤทธิ่ให้เป็นควันมากขึ้นเป็นสองเท่า ให้ผจญกับฤทธิ์ของพญานันโทปนันทนาคราช

พญานันโทปนันทนาคราช มิสามารถจะผจญกับฤทธิ์ของพระมหาโมคคัลลานะเถรได้ก็ให้บังเกิดคั่งแค้นอย่างใหญ่หลวง จึงบันดาลเนรมิตให้เกิดเป็นไฟขึ้น เพื่อหวังจะให้เผาผลาญพระเถระเจ้าให้ย่อยยับไป

พระมหาโมคคัลลานะเถระจึงบันดาลให้เกิดเปลวไฟขึ้นบ้าง ลุกลามไหม้กายพญานันโทปนันทนาคราชไพโรจน์โชติช่วงทั้งภายในและภายนอก สร้างความรุ่มร้อนระส่ำระสายสุดที่จะทนทานได้

พญานันโทปนันทนาคราชครุ่นคิดอย่างตื่นตระหนกว่า บุคคลผู้นี้ชื่อใด มาแต่ไหนหนอ จึงประกอบไปด้วยฤทธิ์ศักดาเดชานุภาพมากมายนัก จึงถามไปว่า ท่านมาแต่ไหน มีชื่อเสียงว่าอย่างไร จงบอกให้ข้าพเจ้าทราบหน่อยเถิด

พระมหาโมคคัลลานะจึงกล่าวตอบว่า เราเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อว่าโมคคัลลานะ

เมื่อพญานันโทปนันทนาคราชได้ทราบดังนั้น จึงกล่าวอย่างมีเล่ห์อุบายว่า พระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นสมณะ มาทำกรรมอย่างนี้เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง

พระมหาเถระจึงตอบว่า การที่เราต้องกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการจะทรมานท่านให้หมดพยศร้าย หายจากมิจฉาทิฐิ ว่าแล้วพระมหาเถระเจ้าก็บันดาลให้เพศพญานาคราชอันตรธานหายไป กลับกลายเป็นสมณะอย่างเดิม แล้วกล่าวว่า

กัมมวิปากชาฤทธิ์

ท่านพญานันโทปนันทนาคราช ตัวท่านเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีมหิทธิฤทธิ์อานุภาพยิ่งล้นด้วยบุพกรรมเท่านั้น แต่หาได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักคุณพระรัตนตรัย คุณมารดา บิดา กล้าด่าบริภาษแม้กระทั่งองค์สมเด็จครูกับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ นานา

เท่านี้ยังไม่พอท่านยังบังอาจเนรมิตกายให้ยาวใหญ่ด้วยน้ำใจอหังการ์ เพื่อจะไม่ให้พระพุทธองค์กับเหล่าสาวกเสด็จไป ด้วยกลัวว่าธุลีที่ติดอยู่ตามพระบาทนั้นจะตกลงมาใส่หัวแห่งตน

ความจริงท่านควรจะปลื้มปีติใจ ถ้าละอองธุลีที่พระบาทของพระพุทธองค์ตกใส่หัวท่าน เพราะการที่พระบาทยุคลแห่งองค์สมเด็จทศพลถูกต้องศรีษะแห่งใครนั้น ย่อมเป็นบุญลาภอันยิ่งใหญ่

ทั้งนี้เพราะผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ ยากนักที่จะได้พบเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างเกิดมาเปล่าไปเสียหลายหมื่นหลายแสนชาติ จะได้พบพระพุทธเจ้านั้นก็หามิได้

ตัวท่านเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานมีฤทธิ์เดชโดยกำเนิดเกิดแก่ผลกรรมเรียกว่า “กัมมวิปากชาฤทธิ์” ประกอบไปด้วยมิจฉาทิฐิเช่นนี้ ท่านสมควรจะได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัส ในปัจจุบันทันตาเห็นบัดเดี๋ยวนี้ เพราะผลแห่งกรรมปัจจุบันอันชั่วช้าของท่าน

ครั้นว่าดังนี้แล้ว พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าก็เข้าไปในช่องหูข้างขวาของพญานันโทปนันทนาคราช แล้วออกมาทางหูข้างซ้าย แล้วย้อนกลับเข้าหูข้างซ้าย ออกทางหูขวา แล้วเข้าไปทางช่องจมูกข้างขวา ออกทางช่องจมูกซ้าย ย้อนเข้าช่องจมูกซ้าย ออกช่องจมูกขวา

เดินไปเดินมาอยู่อย่างนี้ สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่พญานันโทปนันทนาคราชอย่างแสนสาหัส ถึงกับคร่ำครวญในใจว่า

บรรดาพญานาคทั้งหลายจะมีฤทธิ์เดชานุภาพมากเหมือนตัวเรานี้ย่อมหาไม่ได้ แต่สมณะองค์นี้ทำให้เราได้รับทุกขเวทนาลำบากสุดแสนสาหัสเหลือที่จะอดทนได้ จำเราจะใช้อุบายหลอกลวงสมณะองค์นี้ให้หลงเข้าไปในปากเรา แล้วเคี้ยวให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงไปเสียบัดนี้เถิด

คิดดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ข้าแต่สมณะ ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมปฏิบัติตามคำพูด ก็ท่านพูดว่ามิได้โกรธเคืองแก่ข้าพเจ้าแต่บัดนี้ท่านมากระทำให้ข้าพเจ้าได้รับความลำบากยิ่งนัก

พระโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงตอบว่า การที่เราต้องกระทำเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้ท่านละจากมิจฉาทิฐิอันวิปริตผิดจากคลองธรรม นำให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิ เราหวังดีต่อท่านถึงกระนี้แล้ว ตัวท่านยังคิดร้ายจะให้เราเข้าไปในปากของท่าน แล้วท่านก็จะขบกัดเราให้แหลกละเอียดเป็นธุลีไปอีกหรือ?

ว่าแล้วพระมหาเถรเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธานุภาพ ก็ปาฏิหาริย์เข้าไปในปากของพญานาคราชมิจฉาทิฐิตัวนั้น แล้วก็เดินจงกรมไปมาอยู่ในท้องของพญานาคราช

ฤทธิ์ปราบฤทธิ์

ฝ่ายพญานันโทปนันทนาคราชคิดในใจด้วยอุบายว่า ถ้าสมณะองค์นี้มิได้มีใจโกรธเราแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้เบียดเบียนทำอันตรายแก่เราเลย ขอจงออกมาจากในท้องของเราในบัดนี้เถิด

พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าทราบความนึกคิดของพญานาคราชดังนั้น ท่านก็เดินออกมาจากในท้องของพญานาคราชนันโทปนันทะแล้วนั่งอยู่

พญานันโทปนันทนาคราชเห็นดังนั้น จึงรีบฉวยโอกาสพ่นลมพิษออกไป หมายทำร้ายพระอรหันตเถระเจ้า แต่ก็หาทำร้ายพระเถระเจ้าได้ไม่

ต่อจากนั้นพญานาคราชได้สำแดงฤทธิ์ด้วยประการต่าง ๆ ด้วยความเคียดแค้นพยาบาท หวังจะทำลายพระมหาโมคคัลลานะเถระ ให้พินาศย่อยยับไปด้วยฤทธิ์เดชของตน

แต่ผลสุดท้ายก็ถูกพระมหาเถระเจ้าผู้เลิศด้วยมหิทธิฤทธิ์เดชานุภาพ ทรมานจนหมดพิษสงฤทธิ์ชั่วร้าย ยอมพ่ายแพ้สำนึกผิดกลายเป็นสัมมาทิฐิ เนรมิตกายเป็นมานพหนุ่มน้อย เข้าไปถวายนมัสการลงแทบเท้าของพระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้า อ้อนวอนขอขมาโทษและขอนับถือเป็นที่พึ่ง

พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าจึงพาพญานันโทปนันทนาคราช ไปสู่สำนักของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงยกโทษให้แก่พญานาคราชนันโทปนันทะ

เมื่อไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงประทานศีลห้า ให้แก่นันโทปนันทนาคราชยึดถือรับไปเป็นหลักปฏิบัติ

แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ไปสู่เรือนของอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐี เพื่อรับภัตตาหารสืบไป.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #78 เมื่อ: มีนาคม 19, 2014, 06:54:50 PM »

การกำเนิดของมนุษย์และธาตุสี่ตามสายพุทธ ๑

ตามคัมภีร์ปฐมจินดา
กล่าวว่าธาตุทั้ง 4 อันอุดมสมบูรณ์ในหญิงและชายถ้าได้ร่วมประเวณีกัน จะก่อให้เกิดมีการปฏิสนธิระหว่าง "สุขุมังปรมาณู"กับ " เลือดมารดาใน"ครรภ์(ไข่)"ผสมกัน("สุขุมังปรมาณู"คือสิ่งมีชีวิตซึ่งเล็กละเอียดสุดมีขนาดเท่ากับน้ำมันงาที่เหลือ อยู่บนขนจามรี"

ซึ่งนำไปจุ่มในน้ำมันงาแล้วสลัดออก 7 ครั้ง หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึง เชื้ออสุจินั่นเอง ) หลังผสมแล้วจะมีการเจริญเติบโตเกิดชัยเภท

• ไชยเภท (คือ ระยะพลาสโตซิส) = ขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงความเจริญเติบโตของไข่ที่ผสมแล้ว จะฟังตัวในมดลูก จะมีเลือดออกนิดหน่อยเป็น ฤดูล้างหน้า (หลังจากไข่ + สเปิร์ม ผสมกันแล้วและเดินทางมาฝังตัวในมดลูก 7 วัน) ขึ้นตามลำดับดังนี้

• หลังปฏิสนธิ7วัน ก้อนเลือดที่ผสมกันจะข้นเข้าเป็นน้ำล้างเนื้อ

• หลังจากนั้นอีก 7 วัน ก้อนเลือดจะมีรูปร่างเปลี่ยนไป มีลักษณะเหมือนไข่งู

• หลังจากนั้นอีก 7 วัน ก้อนเลือดจะมีปัญจะสาขา คือมี หัว มือ 2 ข้าง และเท้า 2 ข้าง

• หลังจากนั้นอีก 7 วัน เกิดมี ผม ขน เล็บ และฟัน

. เมื่อครบ 1 เดือน กับ 12 วัน ก้อนเลือดจะเวียนเข้าเป็นตานกยูงเพื่อรับวิญญาณการเวียนของทารกเพศชาย และหญิงจะแตกต่าง ถ้าทารกเป็นเพศหญิงเลือดที่จะเวียนทางซ้าย หากทารกเป็นเพศชายเลือดจะ เวียนไปทางขวา

• เมื่อครรภ์ครบ 3 เดือนแล้ว เลือดจะไหลเข้าไปใน ปัญจะสาขา

• เมื่อครรภ์ครบ 4 เดือน ทารกจะมีอวัยวะครบ 32 ประการ โดยเริ่มจากมีหน้าผากก่อนแล้วค่อยพัฒนาไป เป็นรูปร่าง และ ร่างกายเหมือนมนุษย์ทั่วไป

• ระหว่างทารกอยู่ในครรภ์มารดา ทารกจะนั่งขดตัว หันหน้าเข้าหากระดูกสันหลังของแม่ โดยกินอาหาร จากแม่ไปจนครบกำหนดคลอด

• เมื่อถึงกำหนดคลอด จะเกิด ลมกัมมัชชาวาต มาพัดพาให้ทารกกลับหัวลงเพื่อคลอดออกมาเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต(ขันธ์๕)

ใน อินทกสูตร "พัฒนาการแห่งชีวิต"

อินทกยักษ์ทูลถามปัญหา รูปหาชีวะมิได้สัตว์นี้ได้ร่างกายมาแต่ไหน กระดูกและก้อนเนื้อมาจากไหน สัตว์อยู่ในครรภ์อย่างไร

พระ พุทธองค์ตรัสว่า
เบื้องแรกเกิดมี "กลละ" ก่อน
จากนั้นก็เป็น "อัพพุทะ"
จากอัพพุทะเป็น "เปสิ"
จากเปสิเป็น "ฆนะ"
จากฆนะ "เป็นปุ่มห้าปุ่ม"
จากปุ่มห้าปุ่มเป็นผม ขน เล็บ
มารดาดื่มกินอะไร สัตว์ในครรภ์ยังชีพด้วยสิ่งนั้น

พระสูตรนี้ชื่อ อินทกสูตร ตรัสไว้สั้นๆ แต่ทรงขยายความในอีกสูตรหนึ่งชื่อ มหาตัณหาสังขยสูตร ว่า
คนเราจะเกิดขึ้นมาได้ต้องมีองค์ประกอบ ๓ ประการ คือ
๑ บิดามารดาร่วมกัน
๒ มารดามีไข่สุกพร้อมจะผสม และ
๓ "คันธัพพะ" ปรากฎ "คันธัพพะ"

มีปัจจัยหรือองค์ประกอบ ๓ คือ
กรรมที่สัตว์ทำไว้เปรียบเหมือนที่นา
วิญญาณเปรียบเหมือนเมล็ดพืช
และตัณหาเปรียบเหมือนยางเหนียวในเมล็ดพืช
สรุปแล้วคนจะเกิดเป็นคนขึ้นมาได้ต้องประกอบด้วย
องค์ประกอบทั้งรูปธรรมและ นามธรรม ในขณะที่นักวิชาการสมัยใหม่พูดถึงแต่ในรูปธรรมอย่างเดียว

พัฒนาการของชีวิตในครรภ์ที่ตรัสไว้ข้างบนนั้น
ท่านอธิบายรายละเอียดดังนี้
กลละ มีลักษณะใสสะอาดเหมือนหยาดน้ำมันงา มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเพราะเล็กมาก ท่านเปรียบเหมือนเอาขนจามรีจุ่มน้ำมันใสแล้วสลัด ๗ ครั้ง ที่เหลืออยู่บนปลายขนจามรีนั่นแหละเท่าขนาดของกลละ

เมื่อผ่านไป ๗ วัน จะมีการเปลี่ยนแปลง คือสีจะข้นขึ้น (อัพพุทะ)

ผ่านไปอีก ๗ วัน สีจะแดงเรื่อเหมือนน้ำล้างเนื้อ (เปสิ)

ผ่านไปอีก ๗ วัน จะจับเป็นก้อน (ฆนะ)

ผ่าน ไปอีก ๗ วัน จะมีปุ่ม ๕ ปุ่ม คือ ศรีษะ แขนสอง ขาสอง ต่อจากนั้นก็เกิดผม ขน เล็บ ในระยะนี้อาศัยอาหารผ่านรกมารดาเจริญเติบโตตามลำดับ
ถ้วนทศมาสก็คลอดออกมา


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #79 เมื่อ: มีนาคม 23, 2014, 09:15:12 PM »
















บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #80 เมื่อ: มีนาคม 23, 2014, 09:16:48 PM »

...หลุมไฟที่พรางตา...

กามคุณเป็นของร้อน ทำให้ไหม้เป็นแผลที่ดวงใจ
พอเริ่มรักก็ร้อนเสียแล้ว

"ไม่ได้เห็นหน้าเจ้ากินข้าไม่ลงคอ
พอเห็นหน้าเจ้ากินข้าวได้สองหม้อ"

คนที่ตกในหลุมรัก มีความเร่าร้อนอยู่เหมือนไฟเผาใจกาย
ถ้าได้เข้าใกล้ ยิ่งร้อนหนักเข้าไปอีก
เพราะต้องคิดรักษา ป้องกันอะไรต่างๆ นานา
เพื่อให้พ่องามแม่งามได้อยู่ในสภาพเป็นสุขเสมอ

หลุมถ่านเพลิงที่กำลังลุกแดงอยู่ มีความร้อนสูงมาก
เพียงแค่เดินเฉียด เข้าใกล้ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ผิวหน้า ผิวหนัง

ถ้าเผลอตกลงในหลุมนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นอย่างไร
มีคนตกหลุมถ่านปีหนึ่งไม่กี่คน
แต่คนตาย เพราะหลุมรัก
มีจำนวนเหลือที่จะคณานับได้
...ควรจะเรียกว่า เป็นหลุมไฟที่พรางตา...
(หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #81 เมื่อ: มีนาคม 23, 2014, 09:31:33 PM »


ภาพเก่า-ใหม่
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #82 เมื่อ: มีนาคม 23, 2014, 09:38:29 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #83 เมื่อ: มีนาคม 29, 2014, 09:47:53 PM »


2. ฤดูร้อน ร้อนมาก
เพื่อนๆหลายคน ไปเดินเล่นกัน
ไปถึงแม่น้ำ ก็เอาขาไปแช่น้ำกัน
ปรากฏว่า รองเท้าของ สมศรี ลอยตามน้ำไป
ระหว่างทางเดินกลับบ้าน พื้นถนนร้อนมาก
และต้องเดินไกล สมศรีจึงขอให้เพื่อนๆช่วย
แต่ทุกคน มีรองเท้าแค่คู่เดียว
สมศรี ไม่สบอารมณ์
เพราะเธอชอบ ขอให้คนอื่นช่วยเสมอ
และแค่ทำเป็นงอน ก็จะมีคน ยื่นมือเข้าช่วย
แต่ครั้งนี้ไม่ เธอจึงคิดว่า เพื่อนๆทุกคนใช้ไม่ได้ ไม่ยอมช่วยเหลือ
แล้วก็มี สมปอง เอารองเท้าตัวเอง ให้สมศรีใส่
ยอมทนเท้าร้อน เดินต่อ
สมศรี ขอบคุณ สมปอง สมปองบอกสมศรีว่า
“เธอต้องจำไว้ว่า ไม่มีใคร มีหน้าที่ต้องช่วยเธอ
ที่ช่วยเธอ เพราะเป็นเพื่อนกัน ไม่ช่วยก็ไม่ผิด”
สมศรี จำคำพูดของสมปอง
ต่อแต่นี้ไป สมศรีก็ให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆเป็น และด้วยความเต็มใจ
หลายครั้ง เรามักจะหวังให้ คนอื่นดีต่อเรา
ตอนแรก เราก็ซาบซึ้ง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็เคยชิน
เคยชินกับที่คนอื่นดีต่อเรา
เหมือนเป็นหน้าที่ ที่เขาต้องดีต่อเรา
เมื่อวันหนึ่ง ไม่ดีต่อเรา เราก็โมโห
ความจริง ไม่ใช่ว่า คนอื่นไม่ดีต่อเราแล้ว
แต่เป็นเพราะ เราเรียกร้องมากขึ้น เคยชินกับการรับ
ก็เลยลืมบุญคุณ เลิกซาบซึ้ง ลืมขอบคุณ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2014, 11:02:53 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #84 เมื่อ: มีนาคม 29, 2014, 09:54:38 PM »




1. สมหวัง ไม่ชอบกินไข่
ทุกครั้งที่ได้ไข่มา ก็ให้ สมนึก กิน
แรกๆ สมนึก ก็รู้สึก ขอบคุณสมหวัง
แต่นานๆเข้า สมนึก ก็เคยชิน
เมื่อเกิดความเคยชิน ก็เหมือนกับเป็นหน้าที่
ที่ สมหวัง ต้องทำ
จนมาวันหนึ่ง สมหวัง เอาไข่ให้ สมชาย
สมนึก ก็อารมณ์เสีย โดยลืมไปว่า
ไข่นี้เป็นของ สมหวัง สมหวังจะให้ใครก็ได้
สมนึก จึงทะเลาะกับ สมหวัง เพราะเรื่องนี้
แล้วก็เลิกคบกัน


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2014, 11:03:35 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #85 เมื่อ: มีนาคม 29, 2014, 09:54:51 PM »



3. แพะตัวหนึ่ง เจอหมาป่า
หมาป่าจะกินแพะ แพะจึงสู้
ใช้เขาสู้กับหมาป่า และก็ตะโกนขอให้เพื่อนๆช่วย
วัว มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไป
ม้า มองมา เห็นเป็นหมาป่า ก็วิ่งหนีไปอีกตัว
ลา เห็นเป็นหมาป่า ก็เดินหนีไปอย่างเงียบๆ
หมู ผ่านมา เห็นเป็นหมาป่า ก็หายตัวไป
กระต่าย ได้ยิน วิ่งหนีแซงเพื่อนๆไปทุกตัว
หมา ได้ยิน รีบวิ่งเข้ามา จะสู้กับหมาป่า
หมาป่าเห็นมีหมามาช่วย จึงวิ่งหนีไป แพะรอดตาย
กลับมาถึงบ้าน เพื่อนๆมาทุก “ตัว”
วัวบอก “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เขาของข้า แทงทะลุท้องมัน”
ม้า “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้เกือกของข้า กระทืบมัน”
ลา “ทำไมไม่บอก ข้าจะร้องเสียงดังๆ ให้หมาป่าตกใจตาย”
หมู “ทำไมไม่บอก ข้าจะใช้ปากของข้า พุ่งชนให้มันตกเขาไป”
กระต่าย “ทำไมไม่บอก ข้าวิ่งเร็ว ข้าจะไปส่งข่าวของความช่วยเหลือ”
ในการพูดคุยกันอย่างเมามันนี้
ขาดอยู่”ตัว”เดียวคือ หมา
มิตรภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ดูที่ คำพูด ที่แสนหวาน
แต่เป็น มือ ที่ยื่นให้ตอนคับขัน
พวกที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังคุณ ทำให้คุณรู้สึกดี อาจจะไม่ใช่เพื่อนแท้ของคุณ
แต่กับเขา ที่ดูเหมือนห่างไกล แต่ใส่ใจคุณตลอดเวลา
ตอนคุณมีความสุข ไม่ไปสมทบ
แต่ตอนคุณต้องการช่วยเหลือ จะทำเพื่อคุณอย่างเงียบๆ และเป็นห่วงใส่ใจคุณ
นั่นเป็นเพื่อนแท้ของคุณ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 30, 2014, 10:59:07 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #86 เมื่อ: มีนาคม 29, 2014, 09:55:27 PM »




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 13, 2014, 05:52:56 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #87 เมื่อ: มีนาคม 30, 2014, 08:57:19 PM »










บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #88 เมื่อ: เมษายน 05, 2014, 09:18:16 PM »








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 10, 2014, 01:30:00 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #89 เมื่อ: เมษายน 08, 2014, 10:25:00 PM »







บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 14   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: