Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 14   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศรัทธา ธรรม  (อ่าน 13695 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #105 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 01:30:04 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #106 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 01:34:20 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #107 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 01:34:49 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #108 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 01:58:18 PM »




ก็มีแต่คนไม่ฉลาดเท่านั้นแหละ
ถึงไม่รู้ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้มีดีอะไร

พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม (ถ้ำพวง) อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #109 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 02:04:18 PM »






ข้ามทะเลทั้งสี่ แล้วจะถึงจิตหนึ่ง (๖) พระโสดาบันละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน
หลวงพ่อปราโมทย์: ความเป็นตัวเราจริงๆไม่มี ความเป็นตัวเราเกิดจากความคิดล้วนๆเลย คิดเอาเองว่าเป็นเรา ถ้าไม่ไปหลงอยู่ในโลกของความคิดนะ กายนี้ใจนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา เนี่ย พอเราเห็นซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ นะ ถึงจุดหนึ่งจิตมันจะรวมเข้ามา มันจะเข้าสมาธิ รวมเอง ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จิตมี ปีติ สุข เอกัคคตา มีวิตกวิจารณ์คือการตรึกถึงอารมณ์ การตรองเคล้าเคลียอยู่ในอารมณ์นั้น อารมณ์อะไร อารมณ์นิพพาน จิตจะรวมเข้ามานะ ขั้นแรกพอรวมเข้ามาปั๊บ มันจะเห็นสภาวธรรม อะไรก็ไม่รู้ นะ ไม่รู้ว่าคืออะไร นะ ถ้ายังรู้ว่าคืออะไรนี่ยังเจือด้วยสมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ของจริง จิตจะเห็นสภาวธรรมบางอย่าง เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ขึ้นมา บางคนเห็นสองครั้ง บางคนเห็นสามครั้ง
เห็นสองทีเนี่ย จิตก็วางการรับรู้อารมณ์นั้นแล้วทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ ทวนกระแสเข้ากลับมาหาธาตุรู้ จากนั้นสิ่งที่ห่อหุ้มปิดบังธาตุรู้ไว้ จะถูกแหวกถูกทำลายออกชั่วขณะ จะแหวกออก จิตที่เป็นอิสระล้วนๆเลยที่สัมผัสกับธรรมะคือนิพพานล้วนๆเลยจะปรากฎขึ้นมา
เสร็จแล้วจิตจะถอยออกมานะ ตรงนี้ไม่มีคำพูดนะ แว้บเดียวเอง แต่มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พร้อมอยู่ตรงนี้เลย พอถอยออกมากลับมาสู่โลกภายนอก จิตจะทวนกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น มันจะรู้เลยว่า อ้อ..เมื่อตะกี้นี้เกิดอริยมรรคขึ้นแล้ว สังโยชน์เบื้องต้นถูกละไปแล้ว ความเห็นผิดถูกละไปแล้ว กายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวเรา ดูยังไงก็ไม่เป็นเราอีกต่อไปแล้ว จะละความเห็นผิดได้ จะหมดความลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเรายังลังเล รู้สึกมั้ย ฝึกๆไปช่วงหนึ่งก็รู้สึก เอ้อ.. จริง ไม่จริงว้า.. จริง ไม่จริงว้า.. อั้นนั้นเป็นธรรมชาตินะ ต้องมี ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไม่มี
หรือเราเคยงมงาย เห็นว่าต้องปฎิบัติอย่างนี้แล้วจะดี ปฏิบัติแล้วจะดี ต้องทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี จะหมดความงมงายอย่างนี้เลย รู้แต่ว่ามีแต่การเจริญสติรู้กายรู้ใจทางสายเดียว ทางสายเอก มีอันนี้อันเดียว ไม่มีอันอื่นอีกแล้ว เนี่ย พระโสดาบันละสิ่งเหล่านี้ได้ ละความเห็นผิดว่ามีตัวมีตน ละความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยได้ ละการถือศีลบำเพ็ญพรตแบบงมงาย ลูบๆคลำๆ ว่าทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ดี รู้แล้วว่าไม่มีทางอื่นเลยนอกจากการมีสติรู้กายรู้ใจ หรือสติปัฏฐานนั่นเอง
เพราะฉะนั้นเวลาที่บรรลุพระโสดาบันไม่ใช่จิตดับนะ ทุกวันนี้มีคำสอนเรื่องจิตดับมากมาย คิดว่าภาวนาไปเรื่อย กำหนดไปเรื่อยนะ อย่างจะหยิบอะไรสักอันหนึ่ง กำหนดไปเรื่อยให้จิตมันแนบอยู่ที่มือเนี่ย เพ่งมากๆนะ จิตจะดับลงไป จิตดับแล้วสำคัญมั่นหมายว่าบรรลุธรรมแล้ว ดับ ๔ หน ก็เป็นพระอรหันต์นะ ออกมาจากพระอรหันต์ก็มาทะเลาะกับเมียเหมือนเดิมแหละ นะ ละกิเลสไม่ได้จริง
ในขณะที่บรรลุ มรรค ผล นิพพาน มีจิตนะ ไม่ใช่ไม่มีจิต ขณะที่บรรลุอริยมรรค นะ ก็มี มรรคจิต ขณะที่บรรลุอริยผล มีผลจิต มรรคจิตมี ๔ ดวง ผลจิตอีก ๔ ดวง นี่เรียก มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คนโบราณชอบพูด
ถ้าพูดอย่างละเอียด ก็มี ๒๐ อย่างละ ๒๐ เพราะว่ามันเจือด้วยฌานเข้าไปในแต่ละชนิด ฌานมันไม่เท่ากัน มีฌาน ๕ อย่าง เพราะฉะนั้นจิตที่บรรลุมรรคผลเนี่ย รวมแล้วมีจิตตั้ง ๔๐ ดวงแหน่ะ ทีนี้พวกเรารุ่นหลังๆนะ เชื่อคำสอนของอาจารย์มากไป เลยคิดว่าเวลาบรรลุมรรคผลนิพพาน จิตดับวูบลงไปหมดสติ พอรู้สึกตัวขึ้นใหม่ บอกบรรลุไปแล้ว ตรงที่จิตดับลงไปนั้น คือ อสัญญสัตตาภูมิ คือ พรหมลูกฟักนะ
มีองค์หนึ่งท่านเล่น เมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านอนุสรณ์ เนี่ย ท่านลองเล่นๆของท่านนะ ดับปั๊บเลย และท่านรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ เพราะมันขาดสติ ออกมาแล้วไม่เห็นจะละกิเลสอะไรเลย ดับไปเฉยๆ ฝึกไม่กี่วันก็เป็นแล้ว นี่คือการเพ่งกาย เพ่งกายแล้วลืมจิต จนจิตดับลงไป เหลือแต่กายอันเดียวล้วนๆ
เพราะฉะนั้นเวลาบรรลุมรรคผลนิพพานมีจิต ไม่ใช่ไม่มี ถ้าไม่มีจิตแล้วใครจะรู้นิพพาน นิพพานเป็นอารมณ์นะ มีอารมณ์ต้องมีจิต เป็นกฎนะ กฏของธรรมะ ชื่อภาษาแขกเพราะๆเรียกว่า “ธรรมนิยาม” กฎของธรรมะ
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แสดงธรรมที่สำนักสงฆ์สวนสันติธรรม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #110 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 02:05:28 PM »




" เมื่อเห็นทางแล้ว ต้องทําด้วยตนเอง "

เมื่อทุกคนเห็นทางแล้ว การจะพบธรรมะอันวิเศษแจ้งแก่ใจตนเองได้นั้น ต้องลองปฏิบัติเอง ซึ้งจะเป็นเส้นทางเดินเฉพาะของตนเอง เพราะแต่ละท่านมีจริตสะสมมาไม่เหมือนกัน ในการปฏิบัติจริงๆนั้นยังมีรายละเอียดย่อยที่ต้องไปปรับไปสัมผัสให้เข้าและตรงกับจริตตนเอง เช่นบางคนต้องเจริญปัญญาถึงดี หรือบางคนต้องเพียรสมถะทําสมาธิเพื่อให้ไม่วอกแวก ซึ้งก็มากน้อยหรือไม่ต้องทํา แตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงบอกทางไว้แล้ว แต่เวลาที่จะเดินข้ามไปต้องเดินไปด้วยตนเอง แล้วจะเดินยังไงให้เหมาะกับตนเองหรือจะวิ่งหรือจะพกอุปกรณ์ช่วยอะไร นั้นคือสิ่งที่แต่ละคนต้องไปปรับกันเอง การปฏิบัติถึงจะก้าวหน้าได้เร็วครับ การถามกับผู้สอนไม่สามารถจะช่วยอะไรตรงนี้ได้มากนั้น ตนเองจะเป็นคนที่พาตนเองไปให้พ้นได้เองครับ พระพุทธเจ้าเองยังไม่สามารถช่วยให้พระอานนท์ได้เป็นพระอรหันต์หรือได้นิพพานเลย พระอานนท์รู้ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทั้งหมดแล้ว แต่จะพ้นได้พระอานนท์ต้องกระทําด้วยตนเองที่พอเหมาะกับจริตของตนเอง จึงพ้นได้เองครับ และในกรณีนี้ใครที่บอกว่าพาไปนิพพานไปหาพระพุทธเจ้าได้ ก็ไปคิดเอาเองนะครับ เพราะพระพุทธเจ้าเองยังทําให้คนอื่นไม่ได้เลย ต้องทําด้วยตนเองจึงไปนิพพานได้เองครับ พ้นของตนเองไม่ใช่พ้นของคนอื่นครับ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #111 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 04:20:56 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #112 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 08:59:37 PM »

กรรมที่เคยเจ้าชู้

เรื่องมีอยู่ว่า พระเถรีรูปนี้ท่านระลึกชาติไปดูพบว่า ท่านเคยสร้างบารมีมาในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ หลายพระองค์ทีเดียว และเคยเกิดเป็นผู้ชายมาแล้วหลายภพหลายชาติ ได้เคยสั่งสมบุญกุศลที่เป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาตลอด

ครั้นพอมาถึงใน ๗ ชาติสุดท้าย ท่านได้เกิดในนครเอรกัจฉะ เป็นลูกชายนายช่างทอง มีสมบัติมาก และถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ คือมีรูปร่างหน้าตาดี จึงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งหลาย ลูกชายช่างทองได้ประพฤติผิดในกาม เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น ครั้นละโลกไปแล้ว ทำให้ไปบังเกิดในนรก ต้องหมกไหม้อยู่ในนรกนั้นยาวนาน

พอพ้นจากอัตภาพของสัตว์นรกแล้ว บุญที่เคยทำเอาไว้ในอดีต ได้พยุงท่านให้มาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ๓ ชาติ คือได้เกิดเป็นลูกวานร พอคลอดได้เพียง ๗ วันเท่านั้น วานรจ่าฝูงก็กัดอวัยวะเพศของลูกวานรทิ้ง กลายเป็นลิงตอนตลอดชาติ นี่ก็เป็นเพราะผลกรรมของความเจ้าชู้มาก่อน

ครั้นจุติจากกำเนิดวานร ก็ไปเข้าท้องของแม่แพระตาบอดและเป็นง่อย มีความเป็นอยู่ลำบากมาก พวกเด็กๆ ได้ชักชวนกันมาเล่นขี่หลังแพะตัวนี้ และเพราะกรรมที่เคยเจ้าชู้นั่นเอง ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ของแพะเป็นโรคมีหนองไหล ได้รับทุกข์ทรมานมาก จึงเป็นอวัยวะใช้การไม่ได้จนตลอดชีวิต

ชาติถัดมาก็ได้มาเกิดในกำเนิดโคของพ่อค้าโค เป็นลูกโคขนแดงเหมือนสีน้ำครั่ง ได้รูปทรงสมส่วน และเป็นที่ดึงดูดใจของโคตัวเมียทั้งหลาย ทำให้ถูกตอนตั้งแต่ยังไม่โตเป็นโคหนุ่ม จากนั้นก็ถูกใช้ให้ลากไถและลากเกวียนทำงานหนักจนตาบอด

พอจุติจากกำเนิดโคแล้ว ชาติที ๕ ได้ไปเกิดเป็นลูกของนางทาสีเป็นหญิงก็ไม่ใช่ เป็นชายก็ไม่เชิง คือเกิดเป็นกะเทยนั่นเอง ได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากสังคมในยุคนั้นมาก และก็ไม่เป็นที่รักของคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นชีวิตจึงพบแต่ความทุกข์ตรมระทมใจมาโดยตลอด จะรักชายหนุ่ม เขาก็ไม่รัก จะคบกับหญิง เพื่อนหญิงก็หวาดระแวง พออายุได้ ๓๐ ปี ก็ล้มป่วยตาย

จากนั้นในชาติที่ ๖ ได้มาเกิดเป็นเด็กผู้หญิงในตระกูลช่างทำเกวียนเข็ญใจ ถูกเจ้าหนี้มารุมทวงหนี้ทุกวัน เมื่อหนี้สินพอกพูนมากขึ้น นายกองเกวียนก็ริบสมบัติ พร้อมกับเอาลูกสาวไปเป็นคนรับใช้ที่บ้าน ลูกชายของนายกอดเกวียน ชื่อคิริทาส เห็นนางซึ่งกำลังอยู่ในวัยรุ่นอายุ ๑๖ ปี ก็มีจิตปฏิพัทธ์ ขอไปเป็นภรรยาน้อย

เมื่อนางไปเป็นภรรยาน้อยของเขาแล้ว ได้พูดยุยงให้สามีแยกทางกับภรรยาหลวง จนกระทั่งภรรยาหลวงต้องแยกทางกับสามี ทั้งที่จริงแล้วภรรยาหลวงเป็นคนมีศีล มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ต่อสามี การที่นางพูดยุยงให้เขาแตกกัน จึงเป็นการสร้างกรรมใหม่

พอมาถึงสมัยพุทธกาล ก็ได้ไปบังเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงอุชเชนี นางมีชื่อว่า อิสิทาสี ได้รับยกย่องว่าเป็นคนที่มีศีลมีธรรม เมื่อเติบโตเป็นสาวได้แต่งงานกับลูกเศรษฐีที่มีสมบัติทัดเทียมกัน เมื่อมีสามีแล้ว นางก็ตั้งใจทำหน้าที่เป็นศรีภรรยาเคารพสามีประดุจเทวดา เป็นคนไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่คิดนอกใจสามีเลย แต่เพราะกรรมเจ้าชู้ และด้วยกรรมที่ทำให้สามีภรรยาเขาแยกทางกันนั่นเอง บีบคั้นให้สามีเกิดความเบื่อหน่าย อยู่ร่วมกันได้เพียงเดือนเดียว สามีก็บอกให้นางกลับไปอยู่บ้านตามเดิม

พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกสาวเป็นหม้าย ก็เลยให้แต่งงงานครั้งที่สองกับคนฐานะปานกลาง นางก็ไม่รังเกียจ ตั้งใจทำหน้าที่ศรีภรรยา ปรนนิบัติดูแลสามีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ไม่เป็นที่รักของสามีเหมือนเดิม ถึงแม้ว่านางจะเป็นที่รักของพ่อแม่สามีและคนในบ้านก็ตาม แต่เมื่อไม่ถูกใจสามีเสียแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่เป็นหม้ายสาวตามเดิม

บิดาของนางเห็นว่า ถ้าให้ลูกสาวแต่งงงานกับคนที่ยากจนเข็ญใจ ลูกเขยคนใหม่นี้ไม่น่าจะทอดทิ้งนาง จึงไปหาหนุ่มขอทานหน้าตาดีมาเป็นเขย หนุ่มขอทานคนนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพราะอยู่ดีๆ ก็มีเศรษฐีมาขอร้องให้ไปเป็นลูกเขย เหมือนหนูตกถังข้าวสาร โชคดียิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เสียอีก

พอได้ไปอยู่กับลูกสาวเศรษฐี อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาเพียงครึ่งเดือนก็เกิดความเบื่อหน่ายอีกแล้ว นี่เป็นเพราะกรรมที่นางเคยทำให้สามีเขาทะเลาะและแยกทางกัน ในที่สุดหนุ่มขอทานก็ขอแยกทางกลับไปเป็นขอทานเหมือนเดิม

ลูกสาวเศรษฐีมีความรู้สึกละอายใจมาก ที่นางแต่งงานมาถึง ๓ ครั้งแล้ว แต่ต้องถูกทอดทิ้งในระยะเวลาอันสั้นทุกครั้งไป และด้วยบุญที่นางสั่งสมมาดีในภพชาติอดีต ทำให้นางปรึกษากับพ่อว่าจะออกบวชเป็นภิกษุณี แต่พ่อกลัวลูกสาวจะลำบาก เลยแนะนำว่า “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นคฤหัสถ์ก็สามารถประพฤติธรรมได้ ลูกจงเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ด้วยข้าวน้ำเถิด ไม่ต้องบวชก็ได้”

นางให้เหตุผลแก่พ่อว่า “ความจริงลูกก็ทำบาปมามากแล้ว ลูกจะชำระบาปนั้นให้เสร็จสิ้นไปเสียที”

บิดาเมื่อเห็นความตั้งใจจริงที่จะออกบวชให้ได้ของลูกสาวแล้ว ก็ไม่ขัดข้อง ได้อนุญาตและอวยพรว่า “ขอลูกจงบรรลุธรรมอันเลิศ และให้ได้พระนิพพานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำให้แจ้งแล้วเถิด”

เมื่อได้รับอนุญาตจากบิดาแล้ว นางก็ไปบวชในสำนักของภิกษุณี และด้วยบุญเก่าที่เคยสั่งสมมาในอดีต ครั้นบวชได้เพียง ๗ วัน ก็ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันตเถรี

เราจะเห็นว่า การประพฤติผิดในกาม นอกจากจะทำให้ไม่เป็นที่รักแล้ว ยังเป็นเหตุให้บาปอกุศลที่เคยทำไว้ในอดีตได้ช่องตามมาส่งผลถึงในภพชาติปัจจุบันอีกด้วย ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบารมี ซึ่งกรรมบางอย่างที่แรงกล้ามากก็สามารถตามส่งผลถึงภพชาติสุดท้ายทีเดียว

เพราะฉะนั้นดีที่สุดอย่าไปสร้างบาปกรรมอีก ให้ตั้งใจสั่งสมแต่กรรมดี อย่าประมาทในชีวิต เพราะถ้าประมาทพลั้งเผลอ การดำเนินชีวิตมีสิทธิ์ผิดพลาด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอบาย ไม่พ้นวิบากกรรม ดีที่สุดต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมอันจะนำออกจากวัฏฏสงสารได้ บาปกรรมทั้งหลายจะได้ตามไม่ทัน ยิ่งถ้าหมดกิเลสก็หมดกรรม หยุดการเวียนว่ายตายเกิด สุดท้ายจะถึงซึ่งพระนิพพานได้ในที่สุด

ที่มา gconnex.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #113 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2014, 03:36:50 PM »




หน้าที่ปลูก หน้าที่ตาย
มีครั้งหนึ่งสมัยก่อนองค์หลวงปู่ลี ได้นำพาลูกศิษย์ไปปลูกต้นไม้ไว้จำนวนมากมายถวายหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นที่รู้ดีกันว่าสภาพดินแถวนั้นไม่ค่อยเหมาะกับการปลูกต้นไม้ใหญ่ หรือไม้ยืนต้น ชาวบ้านจะนิยมทำนาปลูกข้าว ปทุมธานีไม่ค่อยมีสวนผลไม้ เพราะดินเปรี้ยว
สังเกตดูเวลาปลูกต้นสัก ต้นตะเคียน ฯลฯ พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งต้นไม้ก็ตาย สาเหตุเพราะรากมันลงไปถึงดินเปรี้ยว รากมันเน่าก็ตายหมดเลย ตายทุกปีทุกครั้ง ปลูกต้นไม้ไม่รู้กี่หนก็ตาย จากนั้นต่อมาองค์หลวงปู่ก็ไม่ได้ลดละความพยายาม ท่านก็ได้พาลูกศิษย์ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนลูกศิษย์ที่ติดตามไปช่วยปลูกต้นไม้เกิดความท้อใจและเกิดความสงสัยในใจ จึงได้ขอโอกาสกราบเรียนถามองค์หลวงปู่ลี เพื่อให้เกิดความกระจ่างว่า
ลูกศิษย์ : ปลูกไปแล้วก็ตาย ไม่ทราบจะปลูกทำไมครับผม
หลวงปู่ลี : หน้าที่ปลูกเป็นหน้าที่ของเรา หน้าที่ตายเป็นหน้าที่ของต้นไม้
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
จากหนังสือ ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม
ณ ปัจจุบันวันนี้ องค์หลวงปู่ลี ในวัย ๙๑ ปี องค์ท่านก็ยังนำลูกหลานปลูกป่า ปลูกต้นไม้อยู่ตลอด โดยเฉพาะช่วงก่อนหน้าฝนจะมา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #114 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2014, 04:43:44 PM »







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 08, 2014, 04:53:55 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #115 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2014, 05:14:49 PM »




พบหมู่บ้านถือศีล 5 กินมังสวิรัติทั้งหมู่บ้าน 10,000 หลังคาเรือน อยู่ที่ ต.นาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน ทั้งยังยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงของ“ในหลวง” ในการใช้ชีวิต คณะสงฆ์ภาค 7 เตรียมเสนอ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์” ประกาศยกย่องเป็นหมู่บ้านต้นแบบการถือศีล 5

วันพุธ 7 พฤษภาคม 2557 เวลา 16:52 น.


เมื่อวันที่ 7 พ.ค. พระธรรมคุณาภรณ์(พิมพ์ ญาณวีโร) เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร รองเจ้าคณะภาค 7 (เชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน) กล่าวว่า จากการที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีนโยบายให้คณะสงฆ์ดำเนินการโครงการหมู่บ้านศีล 5 เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ปฏิบัติศีล 5 อย่างจริงจัง เนื่องจากทุกวันนี้สังคม ประชาชนขาดศีลธรรม และเกิดความแตกแยก นั้น จากการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยอบรมประชาชน ประจำตำบล(อ.ป.ต.) ที่จ.ลำพูนและแม่ฮ่องสอน และตรวจเยี่ยมชุมชนร่วมกับพระเทพวรสิทธาจารย์ (ธงชัย สุวณฺณสิริ )เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร รองเจ้าคณะภาค 7 เมื่อช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ได้พบ หมู่บ้านที่น่าสนใจ คือ หมู่บ้านในตำบลนาทราย จำนวน 10 หมู่บ้าน รวมกว่า 10,000 หลังคาเรือน มีการรักษาศีล 5 โดยไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ไม่นำสัตว์มาเลี้ยงในหมู่บ้าน ไม่ดื่มสุรา ไม่เสพสิ่งเสพติดทุกชนิด ประกอบสัมมาอาชีพ และทำสวนทำไร่ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจว่า ยังมีหมู่บ้านเช่นนี้หลงเหลืออยู่ในประเทศไทย เพราะสังคมไทย ได้มีการพัฒนาไปมาก โดยเฉพาะเรื่องของวัตถุ

พระธรรมคุณาภรณ์ กล่าวต่อไปว่า ชาวบ้านในทั้ง 10 หมู่บ้านดังกล่าว ทุกคนจะยึดหลักศีล 5 ในการดำรงชีวิต โดยทุกวันพระจะหยุดทำงาน แล้วพากันไปวัดปฏิบัติธรรม สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิภาวนา ยังวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน นอกจากนี้ยังมีการจัดรายการท่องเที่ยวทางธรรม โดยมีกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้ขับเคลื่อน ร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หน่วยงานราชการ จนเกิดผลเป็นรูปธรรม

พระธรรมคุณาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้จากการสอบถามข้อมูลจากนายอุดม จันตาใหม่ นายอำเภอลี้ ทราบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าปอเกอญอในจ.ตาก และมาอยู่ที่นี่เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว โดยติดตามมากับครูบาชัยวงศาพัฒนา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งครูบาชัยวงศาพัฒนา ได้ชวนให้มาอยู่พร้อมกับมอบที่ดินให้ทำกินครอบครัวละ 1 ไร่ โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องรักษาศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งตอนแรกมีอยู่ไม่กี่ครัวเรือน จนมาถึงปัจจุบันมีมากถึง 10,000 ครัวเรือน ที่สำคัญชุมชนแห่งนี้ ไม่มีปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด มีแต่ความรัก สามัคคีกัน ดังนั้นตนจะนำเรื่องนี้รายงานยังสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อดำเนินการจะยกย่องให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบ หมู่บ้านศีล 5 เพื่อให้หมู่บ้านอื่นได้มาเรียนรู้วิธีการส่งเสริม ให้ประชาชนเข้าถึงศีล 5 และทำให้สังคมเกิดความสงบสุข

ด้านพระครูอุปถัมภ์ สังฆกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ในฐานะเจ้าคณะตำบลนาทราย อ.ลี้ จ.ลำพูน กล่าวว่า ชาวบ้านในพื้นที่ต.นาทรายกลุ่มดังกล่าวทั้ง 10 หมู่บ้าน จะใช้ชื่อรวมกันว่าหมู่บ้านพระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งมีความศรัทธาใน ครูบาชัยวงศาพัฒนา อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทห้วยต้มมาก และยึดถือแนวทางในการปฏิบัติการถือศีล 5 กินอาหารมังสวิรัตตามครูบาชัยวงศาพัฒนามาตั้งแต่ครูบาชัยวงศาพัฒนา ยังไม่มรณภาพ และแม้ว่าครูบาชัยวงศาพัฒนาจะมรณภาพไปแล้วกว่า 10 ปี ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวก็ยังถือแนวปฏิบัตินี้อยู่ โดยจะมีการคอยว่ากล่าวตักเตือนกันอยู่ตลอด และในหมู่บ้านจะไม่มีการเลี้ยงสัตว์ไว้กินเนื้อ เช่น หมู เป็ด ไก่ ซึ่งในแต่ละวันผู้ใหญ่บ้านทั้ง 10 หมู่บ้านจะมีการออกตรวจพื้นที่ในหมู่บ้านทุกวันด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #116 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2014, 03:55:07 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #117 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2014, 04:08:50 PM »












































































บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #118 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2014, 09:50:55 PM »



ยายครับ,,,,,,,ยายยังขาดอะไรในชีวิต ครับ,,,,,,ยายตอบอย่างภาคภูมิใจ ยังขาดความทุกข์
ฝากพิจารณาอ่านครับ,,,,,ได้สาระอย่างมหาศาล

ชอบประโยคนี้จัง

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ
อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา
จ.พิษณุโลก อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน
ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ
ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม
ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า
"แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หาเลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา
แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้ ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธารหล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์ และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้
และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืนหุงข้าวตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้ ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้

ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดิน ข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่ม ชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์
ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝายเวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล
บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเ ล่นเอาเหงื่อตก แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม
จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้
รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน
เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..
ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็นผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ
ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่
พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #119 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2014, 10:12:43 PM »

























บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 14   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: